News Update: ดร.นิเวศน์ เผยมุมมองตลาดหุ้น 6 ปัจจัยกำหนดทิศทางหุ้นไทย 2023 ผลตอบแทน 10% ในปีหน้าอาจเป็นไปได้

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้บุกเบิกการลงทุนหุ้นคุณค่าในไทยเผยมุมมองตลาดหุ้นปี 2023 โดยเล่าถึง 6 ปัจจัยที่จะส่งผลให้ดัชนีหุ้นปีหน้าจะดีหรือแย่ไว้ดังนี้

📌คาดการณ์ GDP ไทยปีหน้าโด 3.6%

ปัจจัยแรกที่มักส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นก็คือ การเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศ ซึ่งปี 2566 นั้น ได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเศรษฐกิจโตประมาณ 2.2% ในปี 2562 ติดลบ -6.2% ในปี 2563 1.6% กว่าในปี 2564 และคาดว่าจะบวกในระดับ 3.4% ในปี 2565

ส่วนปี 2566 นั้นคาดการณ์ว่าจะโตขึ้นประมาณ 3.6% แม้ว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะถดถอยลง GDP ในปี 2566 ที่ประมาณ 3.6% นั้น ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ระยะยาวในยุคประเทศไทยรุ่งเรืองก็ต้องถือว่าการเติบโตของ GDP ต่ำมาก และน่าจะเป็นด้านลบต่อดัชนีตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากช่วง 4 ปีที่ผ่านมาก็ต้องถือว่าดีมาก และน่าจะเป็น ‘ผลบวก’ ที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นดีขึ้น เพราะปีหน้านั้น น่าจะเป็นช่วงของการ “ฟื้นตัว” ต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะจากโควิด-19 เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่เขาฟื้นตัวไปก่อนหน้านานมากแล้ว ดังนั้น ดร.นิเวศน์ คิดว่าปัจจัยด้าน GDP ของไทยในปีหน้าจะเป็นบวกในระดับกลางๆ ต่อดัชนีหุ้น

📌อัตราดอกเบี้ยไทยเพิ่มขึ้นน้อยมาก

ปัจจัยตัวที่ 2 คือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของไทยที่บางส่วนก็ต้องขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะของสหรัฐฯ ปีหน้านั้นสหรัฐคงจะยังขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกจนถึงประมาณ 5-5.25% ในปีหน้า และนี่เป็นผลลบต่อดัชนีหุ้นอย่างชัดเจนและลดสภาพคล่องทางการเงินในระบบอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยของไทยกลับเพิ่มขึ้นน้อยกว่ามากและอยู่ที่ 1-1.25% และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าถ้ามีการปรับอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐฯ ก็จะยังคงต่ำมากอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยไทยก็ไม่เคยอยู่ในระดับสูงเกิน 2% ดังนั้น สำหรับดร.นิเวศน์ อัตราดอกเบี้ยของไทยอาจจะ ‘ไม่เป็นบวกหรือลบ’ ต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก

📌กำไรบริษัทจดทะเบียนกดดันตลาดหุ้น

ปัจจัยที่ 3 คือเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาด ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนราคาหุ้นในอดีตมาก กล่าวคือ ถ้ากำไรของปีหน้าเพิ่มขึ้นมาก ดัชนีหุ้นก็มักจะปรับตัวสูงขึ้นตาม ถ้ากำไรลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น ดัชนีหุ้นก็ขึ้นยาก

ประเด็นก็คือ ปี 2565 กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนน่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1,100,000 ล้านบาท และใกล้เคียงกับปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ผลประกอบการเติบโตดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงโควิดระบาดหนักในปี 2563 ดังนั้น ดร.นิเวศน์ เองคาดว่าปี 2566 เมื่อราคาพลังงานลดลงสู่สภาพปกติมากขึ้นแล้ว กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีน้ำหนักอยู่ที่หุ้นพลังงานค่อนข้างมาก ก็อาจจะไม่เติบโตขึ้น ซึ่งก็จะกลายเป็น ‘ปัจจัยลบ’ ต่อดัชนีหุ้นได้

📌PE ตลาดหุ้นไทยไม่ถูกหรือแพง

ปัจจัยที่ 4 คือ เรื่องของความถูก-แพงของตลาดหุ้นในตอนสิ้นปี 2565 ซึ่งวัดจากค่า PE โดยที่ถ้าหุ้นเริ่มต้นปี 2566 ที่ราคาถูกมาก โอกาสที่หุ้นในปีนั้นจะขึ้นก็มีสูง ตรงกันข้าม ถ้าเริ่มต้นจากหุ้นที่แพง ค่า PE สูง โอกาสก็คือ หุ้นในปีนั้นไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้มากหรืออาจจะตกลงไปก็ได้

ในกรณีของตลาดหุ้นไทย ค่า PE ของตลาดในช่วงปลายปี 2565 อยู่ที่ 17-18 เท่า ซึ่งทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดอยู่ที่ประมาณ 5.7% ต่อปี ก็น่าจะถือว่าตลาดหุ้นไม่ถูกหรือแพง และอาจจะถือว่าเป็นราคายุติธรรมสำหรับตลาดการเงินของไทยที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ดังนั้น ปัจจัยเรื่องค่า PE จึงเป็นกลาง ‘ไม่ดีหรือร้าย’ ต่อดัชนีหุ้นปีหน้า

📌เทียบผลตอบแทนกับปีก่อน

ปัจจัยที่ 5 ที่มีผลต่อผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นในปีหน้าก็คือ ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีนี้ นั่นก็คือ ถ้าปีนี้ตลาดหุ้นดีมาก ปีหน้าหุ้นก็มักจะไม่ค่อยดี และตรงกันข้าม ถ้าปีนี้แย่ ปีหน้าหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น ยิ่งถ้าหุ้นให้ผลตอบแทนดีมากสองปีซ้อน ปีต่อไปหุ้นก็มักจะตกลงมามากกว่าปกติ และก็เช่นเดียวกัน ถ้าหุ้นแย่มาแล้ว 2 ปี หุ้นปีหน้าก็มักจะดีค่อนข้างแน่

นี่อาจจะดูเหมือนว่าไม่ได้อิงกับพื้นฐานของกิจการแนว VI แต่ตลาดหุ้นก็เป็นเช่นนั้น คือมีความผันผวนแบบลูกคลื่นมายาวนาน ถ้าหุ้นดีมานานก็ต้องเตรียมใจว่ามันมีโอกาสตกลงมาแรง และตรงกันข้าม ถ้าหุ้นแย่มานานจนแทบหมดกำลังใจเลิกเล่น เราก็จะพลาดโอกาสเอาคืนซึ่งมักจะเกิดขึ้นเสมอ

ปี 2563 ตลาดหุ้นตกลงมา -8.3% ปีต่อมาคือ 2564 หุ้นขึ้นมา 14.4% ปีนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว ดัชนีหุ้นยังทรงๆ ก็คือ ไม่ดี ดังนั้น ปี 2566 ดัชนีตลาดหุ้นจึง ‘น่าจะดีขึ้น’ ถ้าคิดจากปัจจัยเรื่องผลตอบแทนของปีก่อน

📌ปัจจัยไม่คาดคิด

สุดท้ายซึ่งก็อาจจะเรียกว่าปัจจัยที่ 6 ที่อาจจะเปลี่ยนหรือเพิ่มหรือลดพลังของปัจจัยอื่นๆ ที่กล่าวถึงได้ และเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด เช่น การเกิดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพในปี 2554 หรือการเกิดรัฐประหารที่เกิดขึ้นโดยเฉลี่ย 10 ปีต่อครั้ง หรือการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั้งจากในหรือต่างประเทศที่มักจะเกิดแบบ 10 ปีต่อครั้งเหมือนกัน

ในบางกรณีก็อาจจะคาดได้ว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแต่ผลกระทบนั้นอาจจะคาดการณ์ยาก ตัวอย่างเช่น เรื่องทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในประเทศไทยต้นปีหน้า ที่อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญตามมา ทั้งทางดีหรือทางไม่ดีที่อาจจะกระทบถึงตลาดหุ้นได้ ทั้งหมดนั้น บางทีก็เอาไว้เป็นข้อแก้ตัวเวลาที่การคาดการณ์ผิดพลาด

📌ผลตอบแทน 10% ในปีหน้าอาจเป็นไปได้

ปัจจัยทั้งหมดที่พูดถึงนั้น คงบอกไม่ได้ว่าโดยรวมจะเป็นบวกหรือลบต่อตลาดหุ้นทางด้านใดและมากน้อยแค่ไหน ถ้าปัจจัยส่วนใหญ่เป็นบวกและบวกมาก เช่น เศรษฐกิจร้อนแรง อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว บริษัทจดทะเบียนกำไรเพิ่มสูงมาก และค่า PE ของตลาดอยู่ในระดับต่ำ ดัชนีตลาดหุ้นย่ำแย่ อย่างที่มักจะเป็นในสถานการณ์ตลาดหุ้นที่วิกฤต การลงทุนในช่วงเวลานั้นก็จะอาจจะกลายเป็น ‘โอกาสทอง’ และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นให้ผลตอบแทนอย่างโดดเด่น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ส่วนใหญ่นั้นมักจะผสมผสาน บางปัจจัยก็ดี บางปัจจัยก็ไม่ดี อย่างตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ปีหน้าเราก็อาจจะหวังว่าหุ้นจะดีเลิศก็น่าจะยาก แต่ก็ดูเหมือนว่าโดยรวมก็ไม่น่าจะเลวร้ายนัก การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทน 10% ในเวลา 1 ปีต่อจากนี้ก็อาจจะเป็นไปได้ และถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องถือว่าดีทีเดียวในยามที่ประเทศไทยโตช้ามาหลายปีและแทบจะไม่มีโอกาสกลับมาโตเร็วอีกต่อไปเมื่อคำนึงถึงศักยภาพของประเทศที่คนแก่ตัวลงมากและระบบการปกครองและเศรษฐกิจของประเทศ ‘ติดหล่ม’ มานาน

อ้างอิง: https://www.prachachat.net/finance/news-1158494 

——————-

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน

iran-israel-war