แจ้งเตือน

กลับสู่หน้าหลัก

[แชร์ประสบการณ์ลงทุน] เริ่มต้น สำเร็จ ผิดพลาด และเริ่มใหม่

เขียนโดย Mr. Investor

ทุกคนคงเคยเป็นมือใหม่ในการลงทุนกันมาทั้งนั้น ใช่ไหมครับ แน่นอนว่าเมื่อตอนเราเริ่มต้นในการลงทุนและเข้ามาในตลาดหุ้น มักจะเป็นเวลาที่ตลาดเป็นขาขึ้นจนดึงดูดใครต่อใครให้เข้ามาลงทุนหาผลกำไรกันทั้งนั้น และเมื่อตลาดกลับเป็นขาลงก็มักจะริบกำไรที่เราเคยทำได้เป็นกอบเป็นกำกลับไปด้วย ต่อไปนี้คือประสบการณ์ของผมช่วงเริ่มลงทุนใหม่ๆ กับกำไรที่หอมหวาน จนตลาดกลับทิศและกำไรเริ่มหายไป และผมกลับมาใหม่ได้อย่างไร ติดตามกันครับ

ประมาณ 9 ปีก่อน ผมเริ่มสนใจในการลงทุน โดยจุดเริ่มแรกเริ่มจากการไป งาน Money Expo ที่เมืองทองธานี ที่ที่รวม บล. บลจ. บริษัทประกัน และบริษัทในแวดวงการเงินการลงทุนหลายแห่งไว้ด้วยกัน ในงานผมเดินพูดคุยกับพนักงานขายประจำบูธต่างๆ จนมาสนใจในกองทุนของ บลจ. แห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเป็นกองทุนยอดฮิต ที่จ่ายปันผลได้สูงถึง 15% !!! หลังพูดคุยกับ IC (Investment Consultant) ของบริษัท จบที่การลงทุนในกองทุนรวมตราสารเงินในจำนวนเงินไม่มาก แต่ในใจผมคิดแล้วว่าแค่ตราสารเงินที่ให้ผลตอบแทนน้อยผมคงไม่สนใจ หลังจากยื่นเอกสารเปิดบัญชีแล้ว หลายวันต่อมาพอบัญชีเปิดผมก็ไม่รอช้า ผมลงทุนในกองทุนยอดฮิตที่ผมเล็งไว้แต่แรก ประกอบกับช่วงนั้นผมเริ่มศึกษาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนและหลักการที่ผมประทับใจมากๆ คือ  กฎ 72 และ Time Value Of Money ผมลองทำแบบจำลองสำหรับการลงทุนของผม ว่าถ้าผมลงทุนไปเรื่อยๆกับกองทุนนี้ แล้วเอาเงินปันผลมาทบลงทุนต่อเนื่อง ผมจะมีเงินถึง 11.5 ล้านบาท ในเวลา 25 ปี ในใจผมคิดว่าเราจะรวยแล้ว หรืออย่างน้อยก็เกษียณแบบไม่ลำบากแล้ว ผมลงทุนแบบ Dollar Cost Average (DCA) กับกองทุนนี้มาประมาณ 2 ปี และทำตามที่คิดมาตลอด คือ เอาเงินปันผลทุกงวดและเงินเดือนที่กันออกมาก่อนแล้วจำนวนหนึ่งเข้าซื้อกองทุนในช่วงที่ตลาดปรับลดหนักๆ ตลอด จนผมมีหน่วยลงทุนของกองทุนนี้มากพอสมควรและปันผลที่ได้ก็มากขึ้นมาก เช่นเดียวกับ NAV ของกองทุนที่เพิ่มขึ้นไปมากตลอดเวลา 2 ปีแรกที่ผมลงทุน เพราะว่าตลาดเป็นขาขึ้นมาตลอดจนไปถึงจุดสูงสุดของรอบนั้นที่ 1649 จุด ตอนเดือน พ.ค. ปี 56 ถ้านับจากดัชนีในเดือน พ.ค. 54 ที่ผมเริ่มลงทุนที่ 1073 จุด เท่ากับว่าตลาดให้ผลตอบแทนได้ถึง 23.96% CAGR (Compound Annual Growth Rate: ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นต่อปี) ทีเดียว ซึ่งผลตอบแทนของผมก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แต่ว่าหลังจากนั้นดัชนีก็เริ่มเป็นตลาด Side Way และกองทุนที่ผมลงทุนอยู่เปลี่ยน CIO (Chief Investment Officer) รวมทั้งขนาดกองทุนที่ใหญ่มากขึ้นทำให้ไม่สามารถลงทุนในสไตล์เดิมได้นั่นทำให้กองทุนเริ่มทำผลตอบแทนได้ไม่ดีเหมือนก่อนผมตัดสินใจหยุดลงทุนแบบ DCA ต่อ แต่ว่าก็ยังไม่ได้ขายหน่วยลงทุนที่ถืออยู่ออกไปยังคงหวังว่าตลาดจะกลับทิศแล้วกองทุนจะกลับมาทำผลตอบแทนได้ดีเหมือนเดิม แต่ก็เป็นได้แค่ความหวังเพราะกองทุนไม่เคยกลับมาทำผลตอบแทนได้เท่ากับช่วงแรกที่ผมลงทุนอีกเลย ผมขาดทุน Capital Gain แต่ถ้ารวมเงินปันผลแล้วยังพอจะได้กำไรอยู่บ้าง และที่แย่ไปกว่านั้นคือแม้ว่าผมจะมีเงินลงทุนในกองทุนอื่นๆ และหุ้นรายตัวอยู่ด้วยแต่ว่าเงินลงทุนส่วนใหญ่ของผมอยู่ในกองทุนนี้

หลังจากนั้นผมได้ศึกษาหลักการการลงทุนอย่างรอบด้านมากขึ้น และได้พบว่าวิธีการลงทุนของผมมีความเสี่ยงมาก ตรงที่พอร์ตการลงทุนผมเป็นการลงทุนในหุ้นถึงประมาณ 90% (แถมยัง Focus กับกองทุนนี้มากเกินไป) โดยไม่มีการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อื่นๆ อย่างทองคำ หรือตราสารหนี้มากพอ ซึ่งถ้าเราเน้นลงทุนในกองทุนรวมเราควรต้องรู้ความสามารถในการรับความเสี่ยงของเราและจัดสินทรัพย์ลงทุนให้เป็นไปตามนั้น และทำการ Rebalancing เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตทำให้ความผันผวนระหว่างทางที่ลงทุนลดลงและอาจจะป้องกันความผิดพลาดจากการลงทุนแบบเน้นกองทุนประเภทเดียวได้อีกด้วย เพราะว่าเราจะลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนตราสารทุนลงเมื่อหุ้นเป็นตลาดกระทิง เพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้และทองคำ และเมื่อตลาดเป็นขาลงเราจะขายตราสารหนี้และทองคำออกมาเพื่อซื้อหุ้นซึ่งขณะนั้นมีราคาถูก

รู้ไหมครับจนถึงทุกวันนี้ผมลองคำนวณอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น (CAGR) ของกองทุนนี้ตามเงินลงทุนของผมในช่วงที่ผมลงทุนผลตอบแทนอยู่ที่แค่ประมาณ 3% ต่อปีเท่านั้น (ผลตอบแทน CAGR เป็นระยะเวลา 8 ปี และไม่มีการลงทุนเพิ่มเลยนับตั้งแต่ปี 56) ซึ่งไม่ต่างกับการลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้เลย ผมคิดว่าถ้าผมลงทุนแบบมีการ rebalance ที่ดีพอผมอาจจะได้ผลตอบแทนประมาณ 6-8% ก็ได้ สุดท้ายผมได้ขายกองทุนนี้ออกไปเพื่อนำมาลงทุนใหม่อีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ผมมาพร้อมกับความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าการนำเงินจำนวนนี้กลับมาลงทุนใหม่อีกครั้งของผมอาจจะไม่มีอะไรรับประกันว่าจะทำผลตอบแทนได้ดีมากๆหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ การลงทุนที่ถูกต้องตามหลักการอย่างรอบด้านเป็นสิงสำคัญ รวมทั้งมีความรอบคอบในการลงทุนที่มากกว่าเดิม และการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้นมากครับ

สุดท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ที่เริ่มลงทุนไม่มากก็น้อยนะ ครับ

การลงทุนด้วยความรู้ที่ครบถ้วนและมีความรอบคอบน่าจะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ดีกว่าการที่เราประสบความสำเร็จจากลงทุนแบบที่เราโชคดี ดัง Quote ของ Warren Buffett ที่กล่าวว่า

“Risk comes from not knowing what you’re doing.”

ความเสี่ยงมาจากการที่คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่

และ

“The most important investment you can make is in yourself.”

การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวคุณเอง

(อันนี้ผมขอเสริมว่าคือการเพิ่มเติมความรู้และประสบการณ์ลงทุนของตัวเองนั่นเอง ครับ)

ส่งต่อเรื่องราวการเงินการลงทุนของคุณ

อ่่านเรื่องราวอื่นๆ

iran-israel-war