กองทุนธีม China Play คว้าโอกาสหลังจีน-สหรัฐฯ สงบศึกภาษีทางการค้า ตกลงเปลี่ยน Trade War เป็น Trade Deal คัดกองทุนหุ้นจีนที่ได้รับประโยชน์ ทั้งหุ้นจีนยักษ์ใหญ่, หุ้นเทคโนโลยีจีน, หุ้นจีน Health Care, Rare Earth, โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษีหุ้นจีน
การพบปะระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ในงานประชุม APEC Economic Leaders’ Meeting 2025 ช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ที่ประเทศเกาหลีใต้ ได้เกิดสัญญาณเชิงบวกหลายมิติ โดยเฉพาะการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ผ่านข้อตกลงที่สำคัญหลายประการ เช่น
Finnomena Funds ประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังอยู่ในทิศทางเชิงบวก เพราะได้รับแรงหนุนจากนโยบายเทคโนโลยีในประเทศและการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า หลังผลการเจรจากับสหรัฐฯ ออกมาดี โดยมีกองทุนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน RMF ตามคู่มือการลงทุนและข้อกำหนดของกรมสรรพากร กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด| ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สรุปกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 ลงทุนอย่างไรดีดี เมื่อสหรัฐฯ และจีน ตกลงสงบศึกการค้า ในขณะที่ผลประกอบการหุ้น Big Tech ยังแข็งแกร่ง หนุนตลาดหุ้นปรับตัวไปต่อ

(*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน)
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังเร่งผ่านร่างงบประมาณชุดสุดท้าย เพื่อยุติภาวะ “ชัตดาวน์” ที่ลากยาวจนกลายเป็นหนึ่งในวิกฤตทางการเมือง–เศรษฐกิจที่ยืดเยื้อที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ
ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาว่าการกลับมาเปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลจะช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เพียงใด หลังข้อมูลสำคัญด้านการจ้างงานและรายได้ถูกระงับการเผยแพร่ไปหลายสัปดาห์
ในช่วงเวลาที่การบริหารประเทศชะงัก การตัดสินใจเชิงนโยบายกลับต้องเดินต่อ โดยเฉพาะจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งเพิ่งลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่กรอบ 3.75–4% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในปีนี้
พร้อมประกาศ ยุติมาตรการนโยบายการเงินแบบตึงตัว (QT) หลังปรับลดการถือครองพันธบัตรและตราสาร MBS ไปแล้วกว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ เหลืองบดุลรวมราว 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ ถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางสำคัญของนโยบายการเงิน
เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed เตือนว่าการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม “ยังไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน” และ “อยู่ห่างไกลจากข้อสรุป” คำพูดไม่กี่ประโยคนี้สะเทือนตลาดการเงินทันที ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลพุ่งกลับเหนือ 4% ขณะที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ พลิกจากบวกเป็นลบในช่วงท้ายการซื้อขาย
ท่าทีระมัดระวังของ Fed สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญแรงกดดัน 2 ทาง ทั้งเงินเฟ้อที่ยังสูงเหนือเป้าหมาย 2% และตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง
ข้อมูลเอกชนจาก ADP ชี้ว่าการจ้างงานเดือนกันยายนลดลงกว่า 32,000 ตำแหน่ง แม้พาวเวลล์ยืนยันว่าตลาดแรงงานยังไม่ทรุดตัว แต่ก็พูดเปรียบเปรยไว้ว่า “เมื่อคุณขับรถในหมอก สิ่งที่ควรทำคือชะลอความเร็ว”
การเปรียบเปรยนั้นสะท้อนสถานการณ์จริงที่ Fed กำลังเผชิญ นั่นคือการขับเคลื่อนนโยบายในภาวะที่ข้อมูลขาดหายจากรัฐบาลชัตดาวน์ ทำให้การประเมินภาพเศรษฐกิจเต็มไปด้วยช่องว่าง
ขณะเดียวกัน การยุติ QT ยังบ่งชี้ว่าธนาคารกลางเริ่มกังวลต่อสภาพคล่องในตลาดการเงินระยะสั้น หลังจากดูดซับเงินออกจากระบบมากว่า 2 ปี
ภายในคณะกรรมการ FOMC ยังมีความเห็นแตกต่างอย่างชัดเจน กรรมการ 2 คนลงมติ “คัดค้าน” การตัดสินใจครั้งนี้
คนแรกคือ สตีเฟน มิแรน ต้องการให้ลดแรงกว่าที่ 0.5% ขณะที่ เจฟฟรีย์ ชมิด จาก Fed แคนซัสซิตี้ เห็นควร “ไม่ลดเลย” ความแตกแยกนี้ชี้ว่าภายในธนาคารกลางเองก็ยังไม่เห็นพ้องในแนวทางนโยบายระยะต่อไป
ขณะเดียวกัน ตลาดรอการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่ที่จะทยอยออกหลังรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ ทั้งตัวเลขจ้างงาน รายได้ส่วนบุคคล และยอดค้าปลีก ซึ่งจะเป็นสัญญาณสำคัญบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเดินเข้าสู่ภาวะชะลอตัว หรือเพียงแค่ “พักหายใจ”
อ้างอิง: CNBC
Finnomena Funds คัดเลือกกองทุนเด่นรับเทศกาลการลงทุน 11.11 ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการ รับ Cashback รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท
แจกหนัก จัดเต็ม แจก E-Coupon เพื่อรับ Cashback เป็นหน่วยลงทุน K-CASH* (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการบนแอป Finnomena ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2025
กดรับคูปองก่อนซื้อกองทุนได้ที่: https://www.finnomena.com/promotions
เช็กกองทุนที่เข้าร่วมได้ที่: http://finnomena.com/promotions/e-coupon/fund-list
แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีกองทุนในใจ วันนี้เราคัดมาให้เลือกแบบง่าย ๆ กับ 11 กองทุนแนะนำโดย Finnomena Funds ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายสไตล์การลงทุน
อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 โดย Finnomena Funds
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
1. KKP GINFRAEQ-H กองทุนเปิดเคเคพี โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ อิควิตี้ เฮดจ์ ชนิดทั่วไป
2. KFCHINA-T10PLUS-A กองทุนเปิดกรุงศรี China Tech 10 Plus หน่วยลงทุนชนิดสะสมมูลค่า
3. ES-GTECH กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Technology
4. KKP GHC-A กองทุนเปิดเคเคพี โกลบอล เฮลธ์แคร์ ชนิดสะสมมูลค่า
5. PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า
6. DAOL-RARE กองทุนเปิด ดาโอ แรร์เอิร์ธ แอนด์ สตราทีจิค เมทัลส์
7. KT-MINING กองทุนเปิด เคแทม เวิลด์ เมทัล แอนด์ ไมน์นิ่ง ฟันด์
8. X-NUCTECH กองทุนเปิดเอ็กซ์สปริงเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียม
9. ES-GAINCOME-A กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Multi Asset Income ชนิดสะสมมูลค่า
10. B-BHARATA กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ
11. TISCOHD-A กองทุนเปิด ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
E-Coupon สามารถใช้ได้ผ่านแอป Finnomena เท่านั้น โดยจะใช้ได้หลังจากทำรายการลงทุนสำเร็จ ที่หน้า Order result จะมีปุ่มให้ใช้งานคูปองแสดงขึ้นมา
ระยะเวลาโปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2568
ข้อกำหนดและเงื่อนไข:
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Pham Nhat Vuong มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเวียดนามและผู้ก่อตั้ง Vingroup กลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าตลาดกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 970,000 ล้านบาท) เดินหน้าขยายอาณาจักรสู่ธุรกิจอวกาศและการบิน ด้วยการตั้งบริษัทใหม่ VinSpace Joint Stock Company เพื่อผลิต “เครื่องบินและยานอวกาศ” ตามเอกสารที่ปรากฏในทะเบียนธุรกิจของประเทศ
Pham Nhat Vuong เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจจากการขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในยูเครนช่วงทศวรรษ 1990 ก่อนจะกลับมาก่อตั้ง Vingroup และขยายกิจการอย่างรวดเร็วในเวียดนาม จากอสังหาฯ สู่รถยนต์ไฟฟ้า และล่าสุดคืออวกาศ
ปัจจุบันเขาถือเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในภาคเอกชนเวียดนาม และถูกมองว่าเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจเทคโนโลยีเวียดนามยุคใหม่
บริษัทใหม่นี้มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 300,000 ล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 370 ล้านบาท) โดย Vuong ถือหุ้นใหญ่ 71% Vingroup ถือ 19% และบุตรชายทั้งสองของ Vuong ถืออีก 10%
VinSpace ระบุในเอกสารว่า ธุรกิจจะครอบคลุมการผลิตอากาศยาน การขนส่งสินค้าทางอากาศ การดำเนินงานดาวเทียมสื่อสาร และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง Vingroup ชี้ว่า “จะช่วยเสริมและสนับสนุนธุรกิจหลักของกลุ่ม พร้อมวางรากฐานสำหรับการพัฒนาในอนาคต”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดยุทธศาสตร์เทคโนโลยีแห่งชาติของ Vuong หลังจากที่ Vingroup ประสบความสำเร็จในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว การแพทย์ การศึกษา ไปจนถึงการปั้นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า VinFast ที่จดทะเบียนใน Nasdaq สหรัฐฯ ก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ Vingroup ยังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงมูลค่า 70,000 ล้านดอลลาร์ และแผนสร้างโรงงานเหล็กเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ซึ่งทั้งหมดสะท้อนทิศทางของเวียดนามที่ต้องการพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจต้องเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
PRINCIPAL VNEQ-A เป็นกองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี มีท้ังการเติบโตทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตลอดจนแรงผลักดันของรัฐบาล เหมาะกับการสะสมในระยะยาว
อ้างอิง: Reuters
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
สำหรับการวางแผนภาษีปี 2568 นี้ หลายคนคงกำลังมองหาตัวช่วยบางอย่างที่จะทำให้เราประหยัดภาษีได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งหนึ่งในตัวช่วยประหยัดภาษีที่เราไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ “กองทุนลดหย่อนภาษี” เพราะการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี นอกจากจะช่วยประหยัดภาษีได้แล้วยังสามารถสร้างวินัยในการลงทุนได้อีกด้วย
บทความนี้จึงขอพาทุกคนมาดูว่าหากเราลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีจำนวนเท่านี้แล้ว จะสามารถทำให้เราประหยัดภาษีไปได้มากเท่าไร?
“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที
ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี
คำอธิบายตารางเพิ่มเติม:
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดบัญชี Finnomena Funds ได้ที่
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESGพิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน และอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี KOSPI ปรับตัวขึ้นแรง +2.41% มาที่ระดับ 4,049.12 จุด ฟื้นตัวจากสัปดาห์ก่อนซึ่งเป็นการปรับลงแรงที่สุดในรอบ 8 เดือน หลังมีรายงานว่ารัฐบาลเกาหลีใต้เตรียมลดภาษีเงินปันผล และกองทุนบำนาญแห่งชาติ (NPS) อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นภายในประเทศ ส่งผลให้แรงซื้อจากสถาบันและต่างชาติไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง ขณะที่นักลงทุนรายย่อยยังคงขายทำกำไรบางส่วน
แรงหนุนหลักมาจากหุ้นกลุ่มการเงินและเทคโนโลยี โดย KB Financial +6.55%, Hana Financial +6.85% และ Shinhan Financial +4.65% พุ่งแรงหลังมีข่าวว่ารัฐบาลจะปรับลดอัตราภาษีเงินปันผลลงเหลือ 25% ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนหลังภาษีของผู้ถือหุ้น ขณะเดียวกันหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่กลับมาหนุนตลาดอีกครั้ง นำโดย Samsung Electronics (005930) ปิดที่ 99,600 วอน เพิ่มขึ้น +1.74% และ SK Hynix (000660) ปรับตัวขึ้นแรง +3.71% มาปิดที่ 602,000 วอน ตามทิศทางความต้องการชิปหน่วยความจำที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง
รายงานจาก Mirae Asset Securities ระบุว่า ข่าวการลดภาษีเงินปันผลและแนวโน้มการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นภายในประเทศของ NPS จะช่วยสร้างสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดและเป็นปัจจัยกระตุ้นการ Re-rating ของ Valuation โดยเฉพาะในกลุ่มการเงินและโบรกเกอร์ที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง ขณะที่ค่าเงินวอนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยแตะระดับ 1,454.4 วอนต่อดอลลาร์ สะท้อนแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามา
ด้านต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมเมื่อวันศุกร์ โดย Dow Jones +0.16%, S&P 500 +0.13% และ Nasdaq -0.21% ท่ามกลางความคาดหวังว่าเฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 2026 ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเข้าของเงินทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงเกาหลีใต้
Finnomena Funds ประเมินว่า การดีดตัวแรงของตลาดเกาหลีใต้ในวันนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อ Sentiment ระยะสั้น สะท้อนการตอบรับมาตรการเชิงโครงสร้างของรัฐบาลที่มุ่งลด “Korea Discount” และหนุนให้ตลาดกลับมาอยู่ในจุดสมดุลระหว่าง Valuation และ Earnings Growth
โดยเรายังคงมุมมอง “Slightly Positive” ต่อหุ้นเกาหลีใต้ จากแนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในกลุ่มเทคโนโลยีและการเงิน ภายใต้นโยบาย Value-Up Program ของรัฐบาล พร้อมแนะนำทยอยสะสมกองทุน SCBKEQTG เพื่อรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาด
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Cathie Wood แห่ง ARK Invest วิเคราะห์ถึงเวลาจบรอบขาขึ้นของราคาทองคำ และจะเป็นจังหวะซื้อหุ้นไม้ใหญ่ หลังกราฟ Gold Market Cap / M2 พุ่งสู่จุดสูงสุด ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ยุค Great Depression 30’s และ Great Inflation 80’s
การวิเคราะห์ของ Cathie Wood ได้ยกความสัมพันธ์ของมูลค่าตลาดทองคำ (Gold Market Cap) เทียบกับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ (M2 Money Supply) มาชี้ให้เห็นสัญญาณจุดจบขาขึ้นของราคาทองคำ
เพราะว่าอัตราส่วนมูลค่าตลาดทองคำต่อ M2 กำลังแตะระดับสูงสุดใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งในประวัติศาสตร์ คือ
ปัจจุบันอัตราส่วนนี้สูงขึ้นอีกครั้งเช่นเดียวกับที่เคยเป็นในอดีต ปัจจัยที่จุดชนวนให้เกิดการขึ้นของราคาทองคำ คือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risks) ความตึงเครียดต่อภาวะสงครามทั่วโลก รวมถึงสงครามเศรษฐกิจ/เทคโนโลยีของสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งนำไปสู่การหันไปหาความปลอดภัย
หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เรากำลังเห็นจุดสูงสุดของทองคำ และหากอัตราส่วน Gold Market Cap / M2 เริ่มคลี่คลายลงสู่ด้านล่าง (Resolve to The Downside) เหมือนกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา จะเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับตลาดหุ้น
อาจถึงเวลาที่ S&P 500 จะกลับมาชนะทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นกลุ่มนวัตกรรม AI
สรุปแล้ว Cathie Wood เชื่อว่าตลาดกระทิง (Bull Market) ของหุ้นได้เข้ามาอย่างมั่นคงแล้ว และจะดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากอัตราส่วนทองคำต่ออุปทานเงิน และปัจจัยขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมที่สนับสนุนว่าหุ้นจะกลับมาทำผลงานได้ดีกว่าทองคำ
อ้างอิง: Ark Invest
พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี กลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง หลังจากที่ถูกเทขายอย่างหนักในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความคาดหวังว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า เพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืดที่ยังยืดเยื้อ
รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า บอนด์ไทยระยะยาวเริ่มทรงตัว หลังจากราคาปรับลงแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี สาเหตุหลักมาจากการที่แบงก์ชาติ “คงดอกเบี้ย” สวนทางกับที่ตลาดคาด ขณะที่ความกังวลเรื่องการออกพันธบัตรของรัฐบาลจำนวนมากและดีมานด์การประมูลที่อ่อนแอ ยิ่งซ้ำเติมแรงขายในตลาดช่วงก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม กระแสคาดการณ์เรื่อง “การลดดอกเบี้ย” กลับมาสร้างแรงหนุนให้บอนด์ไทยอีกครั้ง โดย M&G Investments มองว่าพันธบัตรระยะยาวของไทยเริ่มมี “มูลค่า” จากระดับราคาที่ปรับลงมา
นายพีรัมภา จันทร์จำรัสแสง ผู้จัดการกองทุนจาก M&G Investments กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรไทยต่ำกว่ามาตรฐาน และมีแนวโน้มจะเข้าซื้อเพิ่มในช่วงที่ราคาอ่อนตัว โดยคาดว่าแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี | Source: Bloomberg
ข้อมูลของ Bloomberg ชี้ว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ไทยมีเงินทุนไหลเข้าพันธบัตรสุทธิเพียง 1,700 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีถึงสามเท่า ซึ่งหมายความว่ายังมี “ช่องว่าง” สำหรับการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดบอนด์ไทย โดยเฉพาะในรุ่นอายุ 10 ปี
ผลการประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม สะท้อนแรงซื้อนี้อย่างชัดเจน แม้ระดับการประมูลโดยรวมจะต่ำสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ความต้องการหลักกลับมาจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรจากโอกาสที่แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลงอีก
ด้าน นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนจาก Krungthai Global Markets ให้ความเห็นว่า หากแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% จริง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ระดับ 1.7% ในปัจจุบัน ถือเป็นจุดที่ “คุ้มค่า” สำหรับการเข้าซื้อเพื่อล็อกผลตอบแทน ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับตัวลงตาม
แม้กระทรวงการคลังเพิ่งปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2568 เป็น 2.4% จาก 2.2% แต่ Bloomberg Consensus มองต่าง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 2.1% ในปีนี้ และลดลงเหลือ 1.8% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มฟื้นตัวของเศรษฐกิจจริง
จากแบบสำรวจนักกลยุทธ์ Bloomberg คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยจะลดลงแตะ 1.4% ภายในไตรมาสนี้ ลดลงราว 30 bps จากระดับปัจจุบัน ซึ่งตอกย้ำมุมมองของตลาดว่า แบงก์ชาติอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย เพื่อสกัดแรงเสี่ยงจากภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
บอนด์ไทยจึงกลับมาน่าสนใจในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งจากความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยขาลงและเงินเฟ้อต่ำ ที่ช่วยหนุนให้พันธบัตรไทยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างคงที่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอ
อ้างอิง: Bloomberg, กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี VN-Index ร่วงแรง -2.65% ปิดที่ระดับ 1,599.10 จุด ลดลงกว่า 43.5 จุด “หลุด” แนวรับทางจิตวิทยาที่ 1,600 จุด เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 เดือน ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดที่ปรับตัวลงแรงที่สุดในเอเชียวันเดียวกัน มูลค่าการซื้อขายบน HoSE อยู่เพียง 23.6 ล้านล้านด่อง ต่ำสุดในรอบกว่า 5 เดือน สะท้อนภาวะสภาพคล่องที่ซบเซาและความระมัดระวังของนักลงทุน ขณะที่ดัชนี VN30 ปรับตัวลง -2.40% เหลือ 1,824.7 จุด โดยมีถึง 28 จาก 30 หุ้นในกลุ่มปรับลดลง
แรงขายหลักกระจุกอยู่ในหุ้นกลุ่มการเงินและอสังหาริมทรัพย์ โดย Vinhomes (VHM) ร่วง -6.98%, Vingroup (VIC) -3.9%, Masan Group (MSN) -2.54%, Mobile World (MWG) -4.73% และ MBBank (MBB) -1.69% สะท้อนแรงขายจากภาวะ Margin Call หลังนักลงทุนรายย่อยใช้ Leverage สูงในช่วงตลาดขาขึ้นตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ FPT เป็นหนึ่งในไม่กี่หุ้นที่ยังคงบวกได้ +0.8% จากแรงซื้อสะสมของนักลงทุนสถาบัน
นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ตลาดเวียดนามถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ร้อนแรงที่สุดในโลก โดย VN-Index ปรับขึ้นกว่า +27% YTD แต่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตลาดเริ่มเข้าสู่ “ระยะพักฐานและสะสม” ตามแรงขายทำกำไรและความผันผวนจากกลุ่มนักลงทุนภายในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มหลักของตลาด ทั้งนี้ข้อมูลจาก Trung tâm Lưu ký Chứng khoán Việt Nam (VSD) ระบุว่า ในเดือนตุลาคม 2025 เพียงเดือนเดียว มีการเปิดบัญชีใหม่กว่า 310,000 บัญชี เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน สะท้อนความสนใจในตลาดที่ยังคงแข็งแกร่งแม้ภาวะสภาพคล่องจะชะลอตัว
Finnomena Funds ประเมินว่าการปรับตัวลงในวันนี้เป็นเพียงการปรับตัวลงระยะสั้นหลังจากตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นมาได้อย่างร้อนแรงในปีนี้ อย่างไรก็ดีภาพรวมพื้นฐานของตลาดเวียดนามยังคงแข็งแกร่งโดยมีแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจและแนวโน้มการปรับขึ้นของประมาณการกำไร (EPS Revision) ยังคงต่อเนื่อง
เราคงมุมมอง “Positive” ต่อหุ้นเวียดนาม และแนะนำทยอยสะสมผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
เคยไหม? ถึงช่วงปลายปีทีไร ความรู้สึกรีบ ๆ ลน ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง เพราะต้องรีบหากองทุนลดหย่อน ซื้อประกัน หรือหาวิธีไหนก็ได้ให้ภาษีลดลงให้ทันสิ้นปี แต่รู้ไหมว่าการวางแผนภาษีแบบไม่วางแผน คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แผนภาษีของคุณ “ป่วยหนัก” แบบไม่รู้ตัว
ก่อนจะถึงเดดไลน์ยื่นภาษี มาลองเช็กกันหน่อยว่าแผนภาษีของคุณมีสัญญาณเตือนเหล่านี้หรือเปล่า?
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESGพิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มคิดเรื่องภาษีตอนปลายเดือนธันวาคม บอกเลยว่านี่คือสัญญาณเตือนแรกที่อาจทำให้แผนภาษีพลาดหลายจุด เช่น ลงทุนแบบรีบ ๆ โดยไม่คำนวณวงเงินให้พอดี พลาดจังหวะลงทุนดี ๆ ไปทั้งปี หรือไม่รู้เลยว่ากองที่ซื้อปีที่แล้วครบเงื่อนไขหรือยัง
การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้มีเวลาศึกษาและเลือกเครื่องมือลดหย่อนที่เหมาะกับเป้าหมายการเงินของตนเอง ไม่ใช่ซื้อเพราะใคร ๆ ก็ซื้อ หรือเห็นลดหย่อนเยอะก็ว่าดี แต่อาการนี้รักษาได้ด้วยการเริ่มต้นคำนวณภาษีตั้งแต่ต้นปี และทยอยลงทุนหรือวางแผนอย่างมีระบบ จะได้ทั้งลดหย่อนภาษี และสร้างพอร์ตลงทุนที่เติบโตไปพร้อมกัน
หลายคนรีบซื้อกองทุน RMF หรือ Thai ESG เพราะอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษี แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากองทุนนั้น ลงทุนในอะไร เหมาะกับระดับความเสี่ยงของตัวเองไหม หรือแม้แต่เงื่อนไขการถือครอง ว่าต้องถือกี่ปี ถึงอายุเท่าไรจึงจะไม่ผิดเงื่อนไข
อาการแบบนี้อันตรายกว่าที่คิด เพราะกองทุนลดหย่อนภาษีอาจช่วยให้คุณได้คืนภาษี แต่ในระยะยาวอาจ พลาดโอกาสเติบโตของพอร์ต หรือแย่กว่านั้น ผิดเงื่อนไขจนโดนภาษีย้อนหลัง พร้อมดอกเบี้ยและค่าปรับ ก่อนซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีทุกครั้ง ให้เริ่มจากคำถามที่ว่า “เป้าหมายของคุณคืออะไร?” จากนั้นค่อยเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและระยะเวลาการลงทุนของคุณ
เคยไหม? ซื้อทั้งกองทุน RMF และประกันบำนาญ เพราะคิดว่าวงเงินลดหย่อนแยกกัน ความจริงคือ สิทธิลดหย่อนของทั้งสองอย่างนี้นับรวมกัน และลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อปีเท่านั้น
หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าซื้อเยอะ = ได้ลดหย่อนเยอะ แต่พอถึงเวลายื่นภาษีจริง กลับพบว่าลดได้ไม่ครบตามที่คิดไว้ กลายเป็นลงทุนเกินสิทธิ เสียเงินไปโดยไม่ได้ประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น ก่อนลงทุนควรเช็กวงเงินลดหย่อนที่เหลือทุกครั้ง โดยเฉพาะถ้ามีทั้งกองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) หรือประกันบำนาญ เพื่อไม่ให้สิทธิลดหย่อนซ้ำซ้อนกันเอง
หลายคนอาจรู้สึกดีที่สามารถลดหย่อนภาษีได้เต็มเพดาน แต่พอมาดูผลตอบแทนจริง ๆ กลับพบว่าเงินในพอร์ตไม่ขยับไปไหนเลย ปัญหานี้มักเกิดจากการเลือกกองทุนโดยดูแค่สิทธิลดหย่อน โดยไม่ได้พิจารณาคุณภาพหรือแนวทางการบริหารกองทุน
บางคนถือกองทุน RMF มาหลายปี แต่ผลตอบแทนแทบไม่ต่างจากเงินฝาก หรือบางทีก็สะสมขาดทุนจนท้อ ทั้งที่จุดประสงค์ของกองภาษีคือส่งเสริมการออมระยะยาว ไม่ใช่แค่ลดภาษีระยะสั้น ดังนั้นควรเลือกกองทุนที่มีสไตล์สอดคล้องกับพอร์ตระยะยาว เพื่อให้เงินเติบโตไปพร้อมกับสิทธิลดหย่อน
ภาษีไม่ใช่เรื่องตายตัว อาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและเงื่อนไขทุกปี ทั้งสิทธิลดหย่อนใหม่ ๆ อย่าง Thai ESGX หรือการยกเลิกกองทุน SSF ใครที่ใช้ข้อมูลเก่าตลอด อาจพลาดสิทธิที่ควรได้หรือใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะกับปีภาษีนั้น วิธีป้องกันง่าย ๆ คือติดตามแหล่งข้อมูลที่อัปเดต หรือใช้เครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์
แผนภาษีที่แข็งแรง ต้องเริ่มจาก “การวางแผนล่วงหน้า” และ “เข้าใจตัวเอง” เพราะเป้าหมายของการลดหย่อนภาษี ไม่ใช่แค่ “จ่ายน้อยลง” แต่คือ “ต่อยอดเงินให้เติบโต” เพื่ออนาคต ถ้าไม่อยากให้แผนภาษีของคุณป่วยหนัก ลองเริ่มเช็กสุขภาพภาษีของตัวเองวันนี้
“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที
ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน และอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ในวันที่ตลาดเต็มไปด้วยความผันผวนพอร์ต All Weather Strategy (AWS) สร้างผลตอบแทนสะสมได้กว่า 74.6% นับตั้งแต่จัดตั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2025, ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) สะท้อนแนวทางการออกแบบเพื่อช่วยรับมือกับความผันผวนในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) คือพอร์ตกองทุนที่พร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด ใช้โมเดล FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน มีการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลงทุนอย่างมั่นคง พร้อมแนวทางบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ เพราะมีนักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำอย่างคุณ Andrew Stotz เป็นผู้ออกแบบกลยุทธ์การจัดพอร์ตในเชิงวิเคราะห์ข้อมูลและความเสี่ยง
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ Dr. Andrew Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยพอร์ต AWS นี้ มุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยให้พอร์ตพร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด (All Weather) โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผลตอบแทนของพอร์ต AWS ตั้งแต่จัดตั้ง เทียบกับพอร์ต 60/40
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 31 ต.ค. 2025
จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนสะสม (Total Return) นับตั้งแต่จัดตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ถึงเดือนตุลาคม 2025 ของพอร์ต All Weather Strategy (AWS) กับพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีสัดส่วนหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% (60/40 Portfolio) จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ 74.6% ขณะที่พอร์ต 60/40 ทำผลตอบแทนได้ 43.2% หรือสูงกว่า 31.4% โดยหลังช่วงกลางปี 2023 เป็นต้นมา ผลตอบแทนของพอร์ต AWS เริ่มแซงหน้าพอร์ต 60/40 อย่างชัดเจน และยังคงมีผลตอบแทนที่มากกว่าพอร์ต 60/40 ในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี KOSPI ปรับตัวลงแรง -3.05% มาปิดที่ระดับ 3,903.62 จุด หลังจากระหว่างวันร่วงลงกว่า -1.36% แตะระดับ 3,971.75 จุด จากแรงขายของนักลงทุนรายย่อยและต่างชาติรวมมูลค่ากว่า 120,000 ล้านวอน โดยมีเพียงสถาบันเท่านั้นที่เป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 130,000 ล้านวอน แรงขายกระจายตัวในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่นำตลาดในช่วงก่อนหน้า เช่น Hanwha Aerospace (-4%), HD Hyundai Heavy Industries (-3%), Hyundai Motor (-1.67%), SK hynix (-1.52%), Doosan Enerbility (-1.39%), และ Samsung Electronics (-0.71%) ส่วนหุ้นการเงินอย่าง KB Financial ปรับขึ้นเล็กน้อย +0.16%
ตลาด KOSDAQ ซึ่งสะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กก็ปรับตัวลงแรง -1.87% ปิดที่ 881.40 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 41,900 ล้านวอน หุ้นเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานสะอาดส่วนใหญ่ปิดลบ เช่น HLB และ EcoPro BM ที่ร่วงกว่า -3% สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มกำไรในกลุ่มเติบโตสูง ขณะที่ Peptron (+3.17%) และ PharmaResearch (+1.01%) เป็นเพียงไม่กี่ตัวที่ยังปรับขึ้นได้เล็กน้อย ด้านค่าเงินวอนอ่อนค่ามาที่ 1,454.4 วอนต่อดอลลาร์สหรัฐ (+5.1 วอนจากวันก่อนหน้า) ตามแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในตลาดโลก
ในฝั่งญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลงแรง -2.24% มาปิดที่ 37,805 จุด จากแรงขายในหุ้นเทคโนโลยีและยานยนต์ เช่น Sony, Advantest, และ Toyota หลังตลาดปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วงต้นเดือน ขณะที่ค่าเงินเยนกลับมาอ่อนค่าทะลุระดับ 153 เยนต่อดอลลาร์ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไปอาจเกิดขึ้น “อย่างค่อยเป็นค่อยไป” เพื่อไม่ให้กระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงลดสถานะในสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น
แม้ตลาดหุ้นเกาหลีและญี่ปุ่นจะปรับตัวลงพร้อมกันในวันศุกร์ แต่พื้นฐานระยะกลางยังคงแข็งแกร่ง โดยในเกาหลีใต้ ความต้องการชิปหน่วยความจำขั้นสูง (HBM, DRAM) จาก AI demand ทั่วโลกยังเป็นปัจจัยหนุนต่อกลุ่ม Semiconductor ขณะที่รัฐบาลเดินหน้า “Korea Value-Up Program” และการปฏิรูปธรรมาภิบาล ซึ่งช่วยลด “Korea Discount” และดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติในระยะยาว ด้านญี่ปุ่น BoJ ยังคงใช้นโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกันการผลักดัน Corporate Governance โดย FSA และ TSE ช่วยหนุนมูลค่าบริษัทในเชิงโครงสร้าง
Finnomena Funds ประเมินว่าการปรับตัวลงของตลาดทั้งสองประเทศในวันนี้เป็นเพียงการพักฐานระยะสั้นหลังการปรับขึ้นแรงในเดือนตุลาคม โดยภาพรวมของเศรษฐกิจและแนวโน้มกำไรในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง
เราคงมุมมอง “Slightly Positive” ต่อทั้งตลาดหุ้นเกาหลีใต้และญี่ปุ่น แนะนำทยอยสะสมผ่านกองทุน SCBKEQTG สำหรับเกาหลีใต้ และ ASP-NGF สำหรับญี่ปุ่น เพื่อรับโอกาสจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการปฏิรูปธรรมาภิบาลที่ต่อเนื่องในระยะกลางถึงยาว
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
โอกาสการลงทุนใน KKP CorePath Series กองทุนรวม Multi-Asset จัดพอร์ตลงทุนทั่วโลกที่มีให้เลือกหลากหลายระดับความเสี่ยง ได้แก่ 1.) KKP CorePath Ultra Light 2.) KKP CorePath Light 3.) KKP CorePath Balanced และ 4.) KKP CorePath Extra ตอบโจทย์เป้าหมายของนักลงทุนไทยแบบครบวงจร
หัวใจสำคัญของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว มักมาพร้อมกับ 3 ส่วนผสมสำคัญ หนึ่งคือ กระจายการลงทุนได้ดี (Diversification) สองคือ มุ่งสร้างผลตอบแทนบนความเสี่ยงที่เหมาะสม (Risk-adjusted Returns) และสามก็คือ การติดตามและบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาพตลาด (Rebalance & Monitoring)
สำหรับใครที่กำลังหากลยุทธ์ที่จะพาไปถึงเป้าหมายทางการเงิน โดยไม่ต้องจัดพอร์ตเอง ไม่มีเวลาตามติดตลาด ต้องรู้จักกับ KKP CorePath Series ที่มาพร้อมกับคอนเซปต์ “One-stop Solution for Thai Investors”
Source: KKPAMas of 29/08/2025
KKP CorePath Series เป็นกลุ่มกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Multi-Asset (ความเสี่ยงระดับ 5) ผสมผสานโอกาสการลงทุนจากหลากหลายสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งเป็นฝั่ง Global Investment เน้นหุ้นโลกและตราสารหนี้โลกเพื่อการเติบโตระยะยาว โดยการสร้างพอร์ตระดับโลกภายใต้คำแนะนำของที่ปรึกษาการลงทุน บล. เกียรตินาคินภัทร (KKPS) ร่วมมือกับ Goldman Sachs Asset Management พร้อมเสริมความทนทานของพอร์ตด้วย Local Investment ผ่านตราสารหนี้ไทย บริหารการลงทุนโดย บลจ. เกียรตินาคินภัทร (KKPAM)
Source: KKPAM as of 29/08/2025
ความน่าสนใจของ KKP CorePath Series คือเลือกได้หลากหลายระดับความเสี่ยง ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายที่แตกต่างกันของนักลงทุน โดยแต่ละ Series มีจุดเด่นดังนี้
Source: KKPAM as of 29/08/2025
ผสานความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศด้านการลงทุน ด้วยทีมผู้จัดการกองทุนจาก KKPAM และทีมที่ปรึกษาการลงทุนจาก KKPS ร่วมมือกับ Goldman Sachs Asset Management* ที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างและวิเคราะห์พอร์ตการลงทุน รวมถึงเชี่ยวชาญการคัดเลือกกองทุนที่หลากหลายทั่วโลก ด้วยหลักการ Open Architecture
Source: KKPAM as of 29/08/2025
มีโอกาสการลงทุนที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการกระจายการลงทุนในหลาย Asset Class ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโลก ตราสารหนี้โลก และตราสารหนี้ไทย เพื่อสร้างผลตอบแทนและควบคุมความเสี่ยง
Source: KKPAM as of 29/08/2025
ช่วยติดตามและปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับมุมมองและสภาพตลาดในระยะสั้นและระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ ตอบโจทย์ผู้ลงทุนจำนวนมากที่ไม่ได้มีเวลาติดตามตลาดใกล้ชิด
สรุปแล้ว KKP CorePath Series เหมาะกับการใช้เป็น Core-Portfolio ของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการทำ Asset Allocation และสามารถหยิบจับแต่ละกองทุนใน Series ไปใช้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิตได้เลย
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
ข้อมูลเพิ่มเติมกองทุน
*กองทุน KKP CorePath Series นี้ได้รับคำแนะนำเชิงกลยุทธ์โดย KKPS ซึ่งได้รับประโยชน์ จากความเชี่ยวชาญด้านการจัดสรรการลงทุนของ Goldman Sachs Asset Management (GSAM)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน KKP CorePath Balanced RMF ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้รับประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินต้นคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศข้อตกลงร่วมกับสองบริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลก Eli Lilly และ Novo Nordisk เพื่อลดราคายาลดน้ำหนักยอดนิยมในกลุ่ม GLP1 อย่าง Zepbound และ Wegovy ลงอย่างมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการเข้าถึงยารักษาโรคอ้วนให้กับประชาชนอเมริกันในวงกว้าง
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ราคายาแบบเม็ดเริ่มต้นจะอยู่ที่ 149 ดอลลาร์ต่อเดือน และยาฉีดจะลดลงเหลือ 245 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับผู้ใช้ในโครงการ Medicare และ Medicaid รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ซื้อผ่านเว็บไซต์ใหม่ของรัฐบาล “TrumpRx” ซึ่งจะเปิดให้บริการโดยตรงจากทำเนียบขาว
ทรัมป์กล่าวระหว่างแถลงข่าวในทำเนียบขาวว่า “นี่คือการทำให้โลกกลับมาเท่าเทียมกัน” พร้อมระบุว่า บริษัทผู้ผลิตยาจะจำหน่ายยาให้กับโครงการ Medicaid ในราคาพิเศษระดับ “ประเทศที่ได้รับสิทธิสูงสุด” หรือ Most-Favored-Nation Price
ข้อตกลงนี้จะช่วยขยายความคุ้มครองของยากลุ่ม GLP-1 ให้กับผู้ป่วยโรคอ้วน ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน และผู้ป่วยโรคหัวใจในโครงการ Medicare ซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกันกว่า 65 ปีขึ้นไป รวมถึง Medicaid ซึ่งดูแลผู้มีรายได้น้อย
ภายใต้เงื่อนไขใหม่ ผู้ป่วย Medicare จะจ่ายเพียง 50 ดอลลาร์ต่อเดือนเป็นค่า co-pay ขณะที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถซื้อยาในราคาเริ่มต้นไม่เกิน 350 ดอลลาร์ และคาดว่าจะลดลงถึง 245 ดอลลาร์ภายในสองปี
David Ricks ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Eli Lilly กล่าวว่า บริษัทยาคาดว่าจะได้รับการอนุมัติยาเม็ดลดน้ำหนักรุ่นใหม่ Orforglipron จากองค์การอาหารและยา (FDA) ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งจะเข้าสู่โครงการราคาพิเศษของรัฐบาลทันที
ด้าน Mike Doustdar ซีอีโอของ Novo Nordisk กล่าวว่า “การเข้าถึงยาที่เปลี่ยนชีวิตไม่ควรเป็นสิทธิของคนบางกลุ่ม แต่เป็นพันธะทางสังคมที่ทุกคนควรได้รับ”
ในอีกมุมหนึ่ง ดีลครั้งนี้ยังมาพร้อมแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ รัฐบาลสหรัฐฯ จะยกเว้นภาษีนำเข้ายาให้กับ Lilly และ Novo เป็นเวลา 3 ปี ขณะที่ Novo Nordisk ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 10,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อขยายฐานการผลิตและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank ประเมินว่า การจำกัดราคายาลดน้ำหนักไว้ที่ 150 ดอลลาร์ต่อเดือนอาจเปิดโอกาสให้ชาวอเมริกันกว่า 15 ล้านคนสามารถเข้าถึงยาเหล่านี้ได้
ข้อตกลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็นทั้งชัยชนะทางการเมือง และก้าวสำคัญด้านสาธารณสุข สำหรับรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งต้องการลดค่าครองชีพและเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงยารักษาโรคเรื้อรังของชาวอเมริกัน ขณะที่ฝ่ายสาธารณสุขมองว่า นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อสู้กับโรคอ้วนที่ครอบงำประชากรกว่า 40% ของประเทศในปัจจุบัน
“นี่ไม่ใช่แค่การลดราคายา แต่คือการเปลี่ยนอนาคตของสุขภาพอเมริกันให้กลับมาอยู่ในมือของประชาชน” ทรัมป์กล่าวปิดท้าย
อ้างอิง: Reuters
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงฟื้นตัวแข็งแกร่งจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI) ปรับตัวขึ้น +2.10% มาปิดที่ 9,355.97 จุด ขณะที่ดัชนี Shanghai Composite Index ขยับกลับมายืนเหนือระดับจิตวิทยา 4,000 จุด ที่ 4,004.25 จุด (+0.97%) และ CSI300 Index ปรับขึ้น +1.43% ได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเชิงนโยบายและกระแสการพึ่งพาชิปผลิตในประเทศ (Domestic Semiconductor Policy)
ตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานของ Reuters ที่ระบุว่า รัฐบาลจีนออกแนวทางใหม่กำหนดให้ศูนย์ข้อมูล (Data Centre) ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐต้องใช้เฉพาะชิป AI ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการเชิงรุกที่สุดของจีนในการผลักดัน “Tech Self-Sufficiency” และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ หุ้นกลุ่ม Semiconductor พุ่งแรง นำโดย SMIC (+3.9%) และ Cambricon Technologies (+9.8%) ส่งผลให้ดัชนี CSI Semiconductor Industry Index ปรับขึ้นกว่า +4% ขณะที่ Hang Seng Tech Index และ CSI AI Sector Index เพิ่มขึ้นกว่า +2% จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบัน
บรรยากาศเชิงบวกยังได้รับแรงสนับสนุนจากความคืบหน้าด้านการเมืองระหว่างประเทศ หลังการพบปะระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง นำไปสู่ข้อตกลงด้าน rare earths ที่ลดความตึงเครียดทางการค้า และส่งสัญญาณความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งช่วยหนุน sentiment ของตลาดเทคโนโลยีจีน ขณะเดียวกัน Credit Impulse ของจีนเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง บ่งชี้การเร่งตัวของสภาพคล่องภาคเอกชน และตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบหลายปี
ด้าน Valuation ของตลาด H-share แม้ยังอยู่ในระดับตึงตัวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่กลุ่ม “Terrific 10 China” ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทดิจิทัลคุณภาพสูง เช่น Tencent, Alibaba, Meituan และ BYD ยังคงมีความน่าสนใจ โดยมี Forward P/E เพียง 18.9 เท่า และคาดการณ์ EPS Growth เฉลี่ยปี 2025–2028 ราว 20% ต่อปี สะท้อนศักยภาพการเติบโตที่เหนือกว่าตลาดโดยรวม ขณะที่นโยบาย “Anti-involution” ของรัฐบาลเริ่มเห็นผลเชิงโครงสร้างในภาคเทคโนโลยี การศึกษา และสื่อออนไลน์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของบริษัทขนาดใหญ่ในระยะยาว
Finnomena Funds ประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังอยู่ในทิศทางเชิงบวก โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายเทคโนโลยีในประเทศและการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า มุมมองโดยรวม “Slightly Positive” ต่อหุ้น H-shares และ “Neutral” ต่อ A-shares
พร้อมแนะนำ ทยอยสะสมกองทุน MEGA10CHINA-A เพื่อรับโอกาสจากการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีคุณภาพสูงใน “Terrific 10 China” และนโยบายสนับสนุนภาค AI และ Semiconductor ของรัฐบาลจีน
นอกจากนี้สำหรับนักลงทุนที่ติดตาม FundTalk Call ได้มีการแนะนำ เข้าซื้อกองทุน KFCHINA-T10PLUS ที่เน้นลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีน 11 อันดับแรกใน Hang Seng Tech Index ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง คาดแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังผลการเจรจากับสหรัฐฯ ออกมาในทางที่ดี
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วางแผนลงทุนลดหย่อนภาษี ไม่ต้องรอให้ถึงปลายปี เริ่มทยอยจัดพอร์ตคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพโอกาสสร้างการเติบโตได้เลยตั้งแต่วันนี้ ซึ่งปี 2025 บลจ. ยูโอบี ทำการคัดเลือก 6 กองทุนเด่นทั้งกองทุน RMF และ Thai ESG ที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายทางเลือกมาฝากกัน
UGISRMF (ระดับความเสี่ยง 5) ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกในหลากหลายประเภทตราสาร เพื่อสร้างกระแสรายได้ในระดับสูงผ่านการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ ผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund (Class I)
UOBGARMF (ระดับความเสี่ยง 5) กระจายการลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุนทั่วโลกไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV ผ่านกองทุนหลัก BGF Global Allocation Fund (Class A)
UNIRMF (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นสร้างการเติบโตในตราสารทุนกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั่วโลก ซึ่งมีศักยภาพในการคิดค้นนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรองรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ผ่านกองทุนหลัก United Global Innovation Fund Class A USD Acc
UOBGRMF-H (ระดับความเสี่ยง 8 ) กองทุนทรัพย์สินทางเลือกที่เน้นลงทุนในทองคำแท่ง ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust
UTSB-THAIESG (ระดับความเสี่ยง 3) กองทุน Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยเพื่อความยั่งยืน เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวของผู้ลงทุน
UTSEQ-THAIESG (ระดับความเสี่ยง 6) กองทุน Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนเพื่อความยั่งยืน โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
สำหรับใครที่มีข้อสงสัย ยังไม่จุใจกับเรื่องการวางแผนภาษี มาหาคำตอบได้ที่งาน TAX Source Solution 2025 มัดรวมทุกทางออกลดหย่อนภาษี
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคาร B ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
คำเตือน:
“China is going to win the AI race” (จีนกำลังจะชนะการแข่งขันด้าน AI) Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia กล่าวระหว่างงานสัมมนา Future of AI Summit ของ Financial Times
และก่อนหน้านั้นก็เพิ่งโพสบน X ว่า “As I have long said, China is nanoseconds behind America in AI” (อย่างที่ผมเคยพูดมานานแล้ว จีนตามหลังอเมริกาในด้าน AI แค่ไม่กี่นาโนวินาทีเท่านั้น)
โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการที่รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนด้านพลังงาน คือจุดสำคัญที่ผลักดันการพัฒนาด้าน AI ของจีน ทำให้บริษัทเทคโนโลยีในประเทศสามารถผลิตและใช้งานชิปที่พัฒนาได้เองในราคาถูกกว่า
หนำซ้ำกลับมีกระแสการออกกฎระเบียบด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นในหลายรัฐของอเมริกา ซึ่งกฎเกณฑ์ที่มากเกินไปอาจ ขัดขวางนวัตกรรมได้ด้วย
อย่างไรก็ดี Jensen Huang ย้ำว่าต้องการให้ิอเมริกาชนะการแข่งขันด้าน AI อยู่แล้ว และมุ่งหวังให้โลกทั้งใบถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยีของอเมริกา แต่เราก็ต้องอยู่ในจีนด้วยเพื่อชนะใจนักพัฒนาของพวกเขาเช่นกัน ซึ่งนโยบายที่ทำให้อเมริกาสูญเสียของนักพัฒนา AI กว่าครึ่งโลกไป นั้นไม่เป็นผลดีในระยะยาว และจะทำร้ายเรามากกว่า
ทั้งนี้ การเข้าถึงชิป AI ขั้นสูง โดยเฉพาะชิปจาก Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน ยังคงเป็น ประเด็นร้อนในความขัดแย้งทางเทคโนโลยีระหว่างจีนกับอเมริกา เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคต
สนใจลงทุนเทคโนโลยีจีน แนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A เน้นลงทุนบริษัท 11 อันดับแรกใน Hang Seng Tech Index ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่ม Consumer Tech, EV, Gaming และ AI
อ้างอิง: Business Insider, Reuters
RMF กับ Thai ESG กองทุนไหน ๆ ก็ให้สิทธิ์ลดภาษีเหมือนกัน แต่ถ้าเลือกกองทุนที่ลงทุนสินทรัพย์ได้ถูก รับสถานการณ์และแนวโน้มเติบโตได้ดี ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนดี ๆ คุ้มค่าในอนาคต
ปีนี้ บลจ. กรุงศรี ได้คัดเลือกกองทุน RMF และ Thai ESG มาให้ตอบโจทย์แบบครบ ๆ ทุกเป้าหมาย ทั้งเน้นความมั่นคง เล็งโอกาสโตตามดัชนีหุ้น เสริมพอร์ตฝ่าความผันผวน หรือมุ่งเอาชนะตลาด ซึ่งสรุปมาให้ตามนี้
*ที่มา Morningstar และ บลจ.กรุงศรี ณ 30 ก.ย. 68 | การจัดอันดับดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของ AIMC แต่อย่างใด | ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
สำหรับใครที่มีข้อสงสัย ยังไม่จุใจกับเรื่องการวางแผนภาษี มาหาคำตอบได้ที่งาน TAX Source Solution 2025 มัดรวมทุกทางออกลดหย่อนภาษี
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคาร B ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
คำเตือน: KFGOLDRMF เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน | KFGOLDRMF, KF-WORLD-INDXRMF มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG มีเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะตามที่กรมสรรพากรกำหนด | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”