มีโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีอยู่หลายโปรเจกต์ครับที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นฐานข้อมูลดิจิทัล โดยโปรเจกต์เหล่านี้จะชูจุดเด่นในด้านความกระจายศูนย์ (decentralization) ของการเก็บข้อมูล ที่จะไม่มีกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถแก้ไขข้อมูลได้ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ครับ โปรเจกต์เหล่านี้ส่วนมากประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชน พร้อมกับกลไกในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ก่อนที่จะบันทึกข้อมูลชุดดังกล่าวลงบนบล็อกเชน โปรเจกต์ลักษณะนี้ที่มีชื่อเสียงก็อย่างเช่น Bitcoin และ Ethereum ซึ่งเป็นสองโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาด (market capitalization) สูงเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ แต่เทคโนโลยีบล็อกเชนก็มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่างครับ วันนี้ผมจะพาทุก ๆ คนมาทำความรู้จักกับโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีที่มีเป้าหมายสร้างฐานข้อมูลเช่นเดียวกันกับโปรเจกต์อื่น ๆ แต่เลือกวิธีการทำงานที่ต่างกันออกไป และโปรเจกต์ดังกล่าวยังเคลมตัวเองว่าเป็นโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซี Gen 3 อีกด้วย วันนี้ผมพาทุกคนมารู้จักกับ Hedera กันครับ มาดูกันว่า Hedera มีความแตกต่างจากโปรเจกต์อื่น ๆ อย่างไรบ้าง
Hedera (หรือชื่อเต็มคือ Hedera Hashgraph) เป็นโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีที่สร้างฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (distributed ledger) โดยมีเป้าหมายที่จะแก้ไขปัญหาเดียวกันกับโปรเจกต์คริปโตตัวอื่น ๆ ที่ใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ทั้งในแง่ของความเร็ว ความปลอดภัย และกินพลังงานน้อยกว่า
Hedera เริ่มต้นจาก Swirlds ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติอเมริกัน ซึ่งถูกก่อตั้งในปี 2015 โดย Mance Harmon และ Leemon Baird โดยคุณ Leemon เป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยี Hashgraph ซึ่งเป็นกลไกฉันทามติรูปแบบใหม่สำหรับเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลไกกระดูกสันหลังของ Hedera ครับ โดยหลังจากที่คุณ Leemon ตีพิมพ์งานวิจัยในหัวข้อดังกล่าวในเดือนพฤษภาคม 2016 ภายใต้ชื่อ Swirlds Hashgraph โปรเจกต์ Hedera ก็ได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น โดยมีคุณ Mance ดำรงตำแหน่ง CEO และคุณ Lemon ดำรงตำแหน่ง chief scientist ของโปรเจกต์ครับ
ซึ่ง Hedera อธิบายเทคโนโลยีของตัวเองว่าเป็นเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (distributed ledger technology:DLT) รุ่นที่ 3 ต่อจาก Bitcoin และ Ethereum ซึ่ง Hedera ให้คำจำกัดความว่าเป็นเทคโนโลยี DLT รุ่นที่ 1 และ 2 ตามลำดับครับ
ตัวโปรเจกต์เปิดระดมทุนจากนักลงทุนครั้งแรกในปี 2017 ครับ โดยในปัจจุบัน Hedera เป็นบริษัทร่วมที่ถือหุ้นโดย Swirlds ซึ่งเป็นบริษัทผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ถือสิทธิบัตรเทคโนโลยี Hashgraph ร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งทั่วโลก เช่น Google, LG, Boeing, IBM, Aberdeen, Dell และ Ubisoft ครับ (เรียกบริษัทเหล่านี้รวมกันว่า Hedera Governing Council) โดยจะมีเพียงบริษัทเหล่านี้เท่านั้นที่มีสิทธิในการโหวตกำหนดทิศทางความเป็นไปของโปรเจกต์ แต่ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเสนอร่างการอัปเกรดที่เรียกว่า Hedera improvement proposal (HIP) เพื่อให้บริษัทกลุ่มดังกล่าวพิจารณาได้ครับ
ความแตกต่างสำคัญหนึ่งอย่างของ Hedera เมื่อเทียบกับโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ คือชุดโปรแกรมของ Hedera จะไม่เป็น open source เหมือนกับโปรเจกต์อื่น ๆ เนื่องจาก Hashgraph ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลักของโปรเจกต์ มีการจดสิทธิบัตรชัดเจน โดยมี Swirlds เป็นเจ้าของสิทธิดังกล่าว ไม่สามารถเปิดเผยแก่สาธารณชนได้ โดยชุดโปรแกรมของ Hedera มีลักษณะเป็น open review นั่นคือจะเปิดเผยแก่สาธารณชนสำหรับการตรวจสอบ และทดสอบการทำงาน แต่ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ประโยชน์ใด ๆ ครับ
ตามที่กล่าวไปครับว่า Hedera ใช้เทคโนโลยีที่ชื่อว่า Hashgraph โดย Hashgraph เป็นเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์รูปแบบหนึ่ง อธิบาย DLT เพิ่มเติมคือ DLT เป็นวิธีการเก็บข้อมูลที่ไม่พึ่งพาอาศัยตัวกลางใด ๆ แต่ใช้วิธีการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องภายในระบบ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (เรียกว่า consensus) ในกรณีของคริปโตเคอร์เรนซี ข้อสรุปดังกล่าวหมายถึงรายการธุรกรรมที่ได้รับการยืนยันความถูกต้องจากคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ภายในเครือข่ายครับ ซึ่งโปรเจกต์คริปโตโดยปกติจะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็น DLT รูปแบบหนึ่งนั่นเองครับ
Hedera เป็นหนึ่งในโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีไม่กี่โปรเจกต์ ที่ไม่ใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่เลือกใช้เทคโนโลยี directed acyclic graph (DAG) แทนครับ ซึ่งการเก็บข้อมูลในรูปแบบดังกล่าวจะมีความแตกต่างสำคัญจากบล็อกเชน นั่นคือคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่าย จะสามารถติดต่อและส่งข้อมูลหาคอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้ (เรียกว่า network gossiping) ผลลัพธ์คือเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายของ Hedera สามารถทำงานแบบขนาน (parallel) ไปพร้อมกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ ช่วยเพิ่มปริมาณธุรกรรมที่เครือข่ายสามารถประมวลผลได้ต่อหนึ่งหน่วยเวลาครับ
นอกจากนี้ Hedera ยังมีกลไกการตรวจสอบธุรกรรมที่เรียกว่า virtual voting ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วให้กับเครือข่ายครับ โดยในเครือข่ายของ Hedera เมื่อมี node ใด ๆ รับข้อมูลธุรกรรมใหม่ node นั้นจะส่งต่อข้อมูลให้เฉพาะ node กลุ่มหนึ่ง (ไม่ใช่ทั้งหมด) ที่ถูกเลือกมาแบบสุ่ม (ทำให้ประมวลผลได้เร็วกว่าโปรเจกต์อื่น ๆ ที่ต้องให้ส่งข้อมูลไปยังทุก ๆ node ภายในเครือข่าย) และการตรวจสอบธุรกรรมจะเกิดขึ้นกับ node กลุ่มเล็ก ๆ เช่นเดียวกันครับ และเมื่อกลุ่ม node ดังกล่าวตรวจสอบธุรกรรมเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งต่อผลการตรวจสอบไปยังกลุ่ม node อื่น ๆ ภายในเครือข่าย จนทุก ๆ node ในเครือข่ายรับรู้ความถูกต้องของธุรกรรมครับ
ทั้ง network gossiping และ virtual voting เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ Hedera มีความเร็วค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโปรเจกต์อื่น ๆ อ้างอิงจากเว็บไซต์ของ Hedera เครือข่ายของ Hedera สามารถประมวลธุรกรรมได้ 10,000 ธุรกรรมต่อวินาที และมีระยะเวลาที่ต้องใช้ในการสรุปผลความถูกต้อง (finality) อยู่ที่ 3–5 วินาทีครับ แต่ความเร็วดังกล่าวเกิดขึ้นกับเฉพาะธุรกรรมที่เป็นการโอนโทเคนจากกระเป๋าเงินหนึ่งไปยังอีกอีกกระเป๋าเงินหนึ่งเท่านั้น สำหรับธุรกรรมรูปแบบอื่น ๆ ที่มีความซับซ้อนขึ้น (เช่น smart contract) ความเร็วของ Hedera จะลดลงเหลือเพียง 10 ธุรกรรมต่อวินาทีครับ
Hedera ใช้กลไกฉันทามติ asynchronous byzantine fault torelance (aBFT) ซึ่งทาง Hedera อ้างว่าเป็นกลไกที่มีความปลอดภัยสูงมากครับ โดย aBFT มีคุณสมบัติป้องกันความพยายามบิดเบือนข้อมูลจากผู้ไม่หวังดี ตราบเท่าที่สัดส่วนของผู้ไม่หวังดีนั้น มีไม่เกิน 1 ใน 3 ของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดในเครือข่าย นอกจากนี้ aBFT ยังทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายของ Hedera รับรู้ความถูกต้องของธุรกรรมในเวลาเดียวกันกับที่ธุรกรรมได้รับการยืนยันความถูกต้อง ทำให้ Hedera ปลอดภัยจากการโจมตีแบบ distributed denial-of-services (DDoS) ถึงแม้จะมีคอมพิวเตอร์บางเครื่องในเครือข่ายถูกปิดการทำงานครับ
นอกเหนือจาก aBFT แล้ว Hedera ยังมีกลไกเพิ่มความปลอดภัยโดยมีการบันทึกเวลาของธุรกรรม (โปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ไม่มีการบันทึกเวลาแบบนี้) ทำให้รายการธุรกรรมที่ถูกบันทึกลงบนฐานข้อมูลของ Hedera มีการจัดเรียงลำดับที่ชัดเจน และไม่สามารถแก้ไขลำดับได้ครับ
เครือข่าย Hedera สามารถเขียน smart contract ได้ครับ โดย Hedera ใช้งานฟังก์ชัน smart contract จาก Ethereum Virtual Machine (EVM) ซึ่งสามารถประมวลผลธุรกรรมได้ 300 ธุรกรรมต่อวินาที เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความเร็วของ Hedera สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ smart contract ลดลงอย่างมีนัยสำคัญครับ
เป็นโทเคนประจำโปรเจกต์ Hedera อ้างอิงจาก CoinGecko ในปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2023) HBAR มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 1.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นอันดับที่ 35 ในบรรดาคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมด โดย HBAR มีปริมาณอุปทานสูงสุด (maximum supply) อยู่ที่ 5 หมื่นล้านโทเคน แต่ในเว็บไซต์ของ Hedera ระบุไว้ว่า Swirlds ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนา Hedera มีสิทธิในการปรับเปลี่ยนตัวเลขดังกล่าวได้ครับ โดยอุปทานดังกล่าวถูกแบ่งเป็นสัดส่วนได้ตามนี้
แต่ในเดือนธันวาคม 2019 มีการแบ่งสัดส่วน HBAR เพิ่มอีก 3% โดยใช้แจกเป็นโบนัสให้กับนักลงทุนรายใหญ่ที่ลงทุนกับโปรเจกต์ไปในปี 2018 เนื่องจากในปี 2019 มีนักลงทุนรายใหญ่ส่วนหนึ่งเทขาย HBAR จนราคาของโทเคนปรับตัวลงอย่างรุนแรง ทาง Hedera จึงตัดสินใจแจก HBAR เป็นโบนัส สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ที่ตกลงที่จะชะลอการเทขาย HBAR ที่มีอยู่จากการระดมทุนครับ
ในส่วนของการใช้งาน จะมาจากสองส่วนหลัก ๆ ส่วนแรกคือใช้ชำระเป็นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมภายในเครือข่ายของ Hedera ครับ อีกส่วนคือใช้สำหรับผู้ตรวจสอบ (validator) ซึ่งก็คือบริษัทที่เป็นสมาชิกของ Hedera Governing Council ที่จะต้องวาง (stake) HBAR เพื่อเป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อรับสิทธิในการตรวจสอบธุรกรรมภายในเครือข่าย Hedera ครับ จากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทั้งหมด ผู้ตรวจสอบจะได้ส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม 90% ในขณะที่อีก 10% จะเป็นรายได้ของ Swirlds ครับ ความแตกต่างสำคัญของ Hedera จากโปรเจกต์คริปโตอื่น ๆ อีกหนึ่งอย่างคือ Hedera ไม่มีกลไกในการยึด (slash) HBAR ที่ถูกวางเป็นหลักประกันไว้ กรณีที่พบว่าผู้ตรวจสอบบิดเบือนข้อมูลแต่อย่างใด ทำให้ผู้คนในวงการคริปโตหลาย ๆ คนตั้งคำถามในจุดนี้ครับ ซึ่งทาง Hedera ก็ได้ออกมาชี้แจงว่า กลไกฉันทามติของ Hedera ถูกออกแบบมาให้การบิดเบือนข้อมูลทำได้ยากมาก ๆ อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีการยึดโทเคนตรงนี้แต่อย่างใดครับ แต่หลาย ๆ คนก็ตั้งข้อสังเกตว่าผู้ตรวจสอบของ Hedera ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทเหล่านี้คงไม่ยอมให้โทเคนที่ถือครองอยู่ถูกยึดไปไม่ว่ากรณีใด ๆ ครับ ถ้าหากมีกลไกการยึดตามที่กล่าวไปข้างต้น บริษัทเหล่านี้อาจจะยกเลิกการเป็นพันธมิตรกับ Hedera ก็เป็นได้ครับ
เป็นแพลตฟอร์มส่งข้อความแบบกระจายศูนย์ที่เป็นกระดูกสันหลังของการสร้างแอปพลิเคชันในเครือข่ายของ Hedera ครับ ซึ่งในปัจจุบันก็มีการใช้งาน HCS อยู่แล้ว แต่ทีม Hedera ตั้งเป้าที่จะเพิ่มฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้กับ HCS และปรับปรุงให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น และเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยด้วยครับ
ในการทำงานหนึ่งครั้งของ smart contract จะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นข้อมูลชุดหนึ่ง ซึ่งการออกแบบข้อมูลขาออกให้สามารถติดตามย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้าของการทำงานของ smart contract เพื่อให้สามารถสั่งโปรแกรมทำงานได้อีกครั้งโดยที่ผลลัพธ์ยังออกมาเป็นแบบเดิม มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการเขียนโปรแกรมครับ แต่การออกแบบดังกล่าวก็ต้องแลกมาด้วยการส่งข้อมูลที่มีต้นทุนสูงขึ้น
ทีม Hedera มีแผนที่จะเพิ่มฟีเจอร์นี้เข้าไปใน smart contract ปัจจุบันครับ แต่จะมีการปรับการติดตัวติดตาม (tracer) ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อจะได้ไม่กระทบกับต้นทุนและประสิทธิภาพของเครือข่ายมากนัก โดยมีแผนจะปล่อยฟีเจอร์ดังกล่าวภายในไตรมาสแรกของปี 2023 ครับ
ด้วยการออกแบบของ Hedera ที่จะมีเพียงผู้ใช้งานกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับสิทธิในการตรวจสอบธุรกรรม ซึ่งผู้ใช้งานกลุ่มนี้ก็คือ Hedera Governing Council ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่อีกด้วย ในโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีทั่วไป ผู้ใช้งานทุกคนควรมีสิทธิได้เป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรมภายในเครือข่ายครับ (แต่จะมีวิธีการคัดเลือกอย่างไรก็แล้วแต่เครือข่าย เช่นบล็อกเชน Proof-of-Work ที่ใช้กำลังการคำนวณ หรือบล็อกเชน Proof-of-Stake อื่น ๆ ที่ใช้มูลค่าการ stake) แต่ใน Hedera ต่อให้ผู้ใช้งานคนอื่น ๆ จะพร้อมแค่ไหน ก็ไม่สามารถเป็นผู้ตรวจสอบได้ครับ ประเด็นจุดนี้ทำให้เกิดความรวมศูนย์ (centralization) ขึ้นกับเครือข่ายของ Hedera เพราะมีบริษัทและองค์กรเพียงไม่กี่แห่งที่ควบคุมความเป็นไปของ Hedera อยู่ครับ ทำให้โอกาสที่จะเกิดการบิดเบือนข้อมูลภายในเครือข่ายของ Hedera มีสูงกว่าเครือข่ายบล็อกเชนอื่น ๆ ครับ ยังไม่นับเรื่องการไม่มีกลไกการยึด (slash) HBAR ของบริษัทเหล่านี้ หากมีความตั้งใจที่จะบิดเบือนข้อมูลภายในเครือข่าย ทำให้การบิดเบือนข้อมูลสามารถทำได้ง่ายขึ้นอีกหนึ่งระดับครับ
เทคโนโลยีของ Hedera ถือว่าค่อนข้างล้ำหน้าเมื่อเทียบกับโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ ในท้องตลาดครับ แต่การใช้งานเครือข่าย Hedera ยังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับโปรเจกต์อื่น ๆ ครับ มูลค่ารวมของโทเคนที่อยู่ใน smart contract ของ Hedera ในปัจจุบัน อยู่ที่ 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับโปรเจกต์อื่น ๆ ที่มีฟังก์ชัน smart contract เช่นกัน (ยกตัวอย่างโปรเจกต์ที่ไม่ได้มีมูลค่าตลาดใหญ่มากอย่าง Celo หรือ NEO ก็มีมูลค่าโทเคนใน smart contract สูงกว่า Hedera ครับ) ดังนั้น Hedera ยังมีปัญหาในด้านการขยายฐานผู้ใช้งานอยู่ครับ หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือความเร็วของเครือข่ายครับ ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าถ้าหากทำธุรกรรมที่มีความซับซ้อนอย่างเช่น smart contract เครือข่ายของ Hedera สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เพียง 10 ธุรกรรมต่อวินาที ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับโปรเจกต์อื่นครับ
อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งในวงการคริปโตเคอร์เรนซีเลือกที่จะไม่ใช้งาน Hedera คือการจดสิทธิบัตรเทคโนโลยี Hashgraph และไม่เปิดชุดโปรแกรมของเครือข่ายให้เป็นสาธารณะ อธิบายเพิ่มเติมคือโปรเจกต์คริปโตเกือบทั้งหมดจะเปิดเผยชุดโปรแกรมในลักษณะ open source ครับ นั่นคือผู้ใช้งานทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในการเขียนโปรแกรมเพิ่มเติม และส่งให้กับชุมชนผู้ใช้งานตรวจสอบและโหวตได้ หรือผู้ใช้งานสามารถนำชุดโปรแกรมดังกล่าวไปพัฒนาต่อเป็นของตัวเองก็ได้ ซึ่งแนวทางการทำธุรกิจของ Hedera ไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ Hedera เลือกที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานทั่วไปนำเทคโนโลยีของตนไปต่อยอด นั่นทำให้ผู้คนในวงการคริปโตหลาย ๆ คนเลือกที่จะไม่ใช้งาน Hedera ครับ
Hedera เป็นโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากโปรเจกต์อื่น ๆ พอสมควรเลยครับ ตัวโปรเจกต์เองมีจุดแข็งอยู่ในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Hashgraph ที่เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ช่วยให้เครือข่ายของ Hedera มีความเร็วในการประมวลผลธุรกรรมที่ไม่ซับซ้อนได้เร็วพอสมควรครับ รวมถึงตัวโปรเจกต์เองได้รับการหนุนหลังจากบริษัทชั้นนำของโลกหลาย ๆ แห่ง ที่เข้ามาเป็นสมาชิกของ Hedera Governing Council และ Hedera เองก็ยังมีเป้าหมายจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำแห่งอื่น ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนสมาชิกอีกครับ
แต่เป้าหมายดังกล่าวดูจะไม่ใช่แนวทางที่ชุมชนผู้ใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีอยากจะให้เป็นสักเท่าไรครับ การที่บริษัทขนาดใหญ่มีส่วนร่วมกับโปรเจกต์มากเกินไป ในท้ายที่สุดอาจจะทำให้โปรเจกต์ขาดความกระจายศูนย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีครับ อันที่จริงแล้วในปัจจุบัน ผู้คนในวงการคริปโตส่วนหนึ่งก็มีความสงสัยในประเด็นเรื่องความกระจายศูนย์ของ Hedera เช่นกันครับ เนื่องจากตัวโปรเจกต์อนุญาตให้ผู้ใช้งานเพียงกลุ่มเดียว มีสิทธิในการตรวจสอบธุรกรรม และกำหนดทิศทางความเป็นไปของโปรเจกต์ ซึ่งบริษัทที่ว่าก็คือกลุ่มของบริษัทใหญ่ที่เป็นสมาชิกของโปรเจกต์นั่นเองครับ ยังไม่นับว่า Swirlds ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนา Hedera สามารถปรับเปลี่ยนปริมาณอุปทานของ HBAR ได้ (ตามที่กล่าวไว้ในเว็บไซต์) ทำให้มูลค่าของ HBAR มีความไม่แน่นอนสูงมากครับ ประเด็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนรายย่อยหลายคนยังไม่ค่อยให้ความสนใจ HBAR มากนัก ต้องรอดูกันต่อไปครับว่า Hedera จะมีแนวทางพัฒนาโปรเจกต์อย่างไรต่อไป จะมุ่งเป้าไปที่การจับมือกับบริษัทใหญ่แบบเดิม หรือจะปรับเปลี่ยนแนวทางเข้ามาหาผู้ใช้งานรายย่อยมากขึ้นครับ
CodeBreaker
ที่มาบทความ: https://link.medium.com/vjOz3eHjoyb
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูล รวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ในช่วงนี้กระแสโกงเงินในโลกออนไลน์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมัลแวร์ดูดเงิน การเข้าควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ซึ่งได้สร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก วันนี้แอดมินจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหนึ่งในกลโกงที่พบได้บ่อยที่สุดบนโลกออนไลน์อย่าง “Phishing” (ฟิชชิ่ง)
Phishing คือรูปแบบการหลอกลวงผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งใช้วิธีทางจิตวิทยาร่วมด้วย ทั้งกลอุบายหลอกล่อผู้ใช้งาน และการแอบอ้างเป็นเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ธนาคาร หรือบัญชีโซเชียลมีเดีย โดยทั่วไปจะนิยมให้กดที่ ‘ลิงก์’ เพื่อย้ายไปยังหน้าเว็บไซต์อื่นและทำการกรอกข้อมูล โดยเว็บไซต์นั้นก็จะทำเลียนแบบจนเกือบเหมือนกับฉบับเลย
Phishing เป็นคำเปรียบเทียบที่พ้องเสียงมาจาก Fishing ที่แปลว่า การตกปลา โดยในการตกปลานั้นต้องมีเหยื่อล่อให้ปลามาติดเบ็ด จึงเปรียบเทียบถึงการสร้างสถานการณ์โดยการส่งข้อความ อีเมล หรือเว็บไซต์ปลอม เพื่อเป็นเหยื่อล่อให้ผู้ใช้งานเข้ามาติดเบ็ด
คำว่า “Phishing” เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 1990 เมื่อแฮ็กเกอร์ได้ใช้อีเมลปลอมในการล้วงข้อมูลของเหยื่อที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แฮกเกอร์ในยุคนั้นถูกเรียกว่า “Phreaks” (Freaks+Phone) และได้กลายมาเป็นคำว่า “Phishing” (Fishing+Phone) อย่างทุกวันนี้
เป็นวิธีการที่นิยมมากในหมู่อาชญากรออนไลน์ โดยหลักการทำงานคือการแอบอ้างเป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ และมักเป็นองค์กรที่เราเคยทำธุรกรรมด้วย จากนั้นจะทำการส่งอีเมล์หรือลิงก์บางอย่างเพื่อให้เหยื่อคลิกเข้าไป
เป็นการโจมตีแบบเจาะจงไปที่บุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง มักจะรวบรวมข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับเหยื่อเพื่อเพิ่มโอกาสที่จะหลอกลวงบุคคล/องค์กรนั้น ๆ ในบางครั้งอีเมลแบบ Spear Phishing อาจเพิ่มรายละเอียดของผู้ร่วมงานหรือผู้บริหารขององค์กรนั้น ๆ รวมทั้งชื่อเหยื่อเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถืออีกด้วย
Whaling Attacks เป็นการเลือกโจมตีไปที่ผู้บริหารในองค์กร แฮกเกอร์จะทำการหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเหยื่อเพื่อสร้างข้อความที่น่าเชื่อถือ เป็นการหลองลวงที่ต้องอาศัยการหาข้อมูลละเอียด และความแม่นยำของเนื้อหาเพื่อเพิ่มโอกาสในการหลอกลวงได้สำเร็จ!
Pharming คือการเปลี่ยนเส้นทางเข้าเว็บไซต์ของเราไปยังเว็บไซต์ปลอมที่จะมีลิงก์ให้เรากด เป็นการหลอกให้เหยื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ปลอมและดึงเอาข้อมูลหรือแฮ็กเข้าอุปกรณ์ของเหยื่อไป
บทความโดย คุณานันต์ TechToro
BYD เปิดตัว BYD DOLPHIN รถบนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา รุ่นเล็กกะทัดรัดที่ทุกคนรอคอย พร้อมเปิดให้จองรุ่น Standard Range ในราคาคาดการณ์จำหน่าย 799,999 บาท ในงานมอเตอร์โชว์
สำหรับหน้าตาของเจ้า BYD DOLPHIN จะใกล้เคียงกับรถยนต์ค่ายคู่แข่งอย่าง ORA Good Cat แต่สั้นและแคบกว่านิดหน่อย โดยมิติตัวถัง ยาว 4,150 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร สูง 1,570 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร
ไทยรัฐออนไลน์ระบุสเปค Dolphin EV ว่า ใช้แพลตฟอร์มไฟฟ้า 100% e-Platform 3.0 เหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ BYD ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ห้องโดยสารกว้างขวาง ตัวถังของ Dolphin ออกแบบในสไตล์แฮตช์แบ็ก ไฟหน้า LED มาพร้อม Daytime Running Light มาพร้อม Bucket Seat ทรงสปอร์ต พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน มือจับเปิดประตูออกแบบคล้ายครีบของโลมา
โดยDolphin EV ขับเคลื่อนในรูปแบบ FWD (ขับหน้า) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous ขนาด 130 kW (177 PS) แรงบิดสูงสุด 290 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียม BYD Blade Battery ขนาด 44.9 kWh ชาร์จผ่านไฟกระแสสลับ AC, 7 kW จาก 0-100% ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 25 นาที ส่วนการชาร์จผ่านไฟ DC, 60 kW ในรูปแบบ Fast Charging ชาร์จจาก 30-80% ใช้เวลา 30 นาที แบตเต็มวิ่งได้ไกล 405 กิโลเมตร
BYD Dolphin ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchonous Motor มอเตอร์วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลัง 177 แรงม้า แรงบิด 290 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ BYD Blade Battery (LFP) ความจุ 44.9 kWh มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง ตัวเลขสมรรถนะ อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทำการต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มไกล 405 กิโลเมตร หักกลบลบหนี้จะมีไฟวิ่งไกล 350 กิโลเมตรแบบสบายๆ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ระบบชาร์จกระแสตรง DC Fast Charging สูงสุด 60 kW ชาร์จไฟจาก 30% จนถึง 80% ภายใน 30 นาที! กินกาแฟหมดแก้วแล้วรออีกหน่อยก็วิ่งได้ถึง 350 กิโลเมตร แบบสบายๆ
สีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 5 สี ส่วนภายในห้องโดยสารจะอิงไปตามภายนอก
– สีชมพู Pupu Pink
– สีน้ำเงิน Surf Blue
– สีขาว-ส้ม Honey Orange
– สีขาว-เขียว Sasha Green
– สีขาว-ฟ้า Sparkling Blue
สำหรับใครที่สนใจประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ลูกค้าที่ซื้อ BYD DOLPHIN จะได้สิทธิพิเศษ Rêver Care เพื่อดูแลและเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า มูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท ประกอบด้วย ออกรถง่าย ๆ ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 39,999 บาท ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ.ระยะเวลา 1 ปี มั่นใจไปกับการรับประกันคุณภาพตัวรถและแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร อุ่นใจด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ นาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และอุปกรณ์จำเป็นอย่าง Home Charger พร้อมฟรีค่าติดตั้ง สายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้า Vtol สายชาร์จเคลื่อนที่ Portable Charger ค่าจดทะเบียน พรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ
ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2660075
https://www.prachachat.net/motoring/news-1239023
https://www.matichon.co.th/economy/auto/news_3886392
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ตลาดหุ้นโลกมีความผันเพิ่มสูงขึ้น เริ่มจากความกังวลต่อการใช้นโยบายการเงินตึงตัวของ Fed ตามมาด้วย ความปั่นป่วนในกลุ่มธนาคารของสหรัฐฯ และยุโรป มีผลกระทบเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
เบื้องต้นเราประเมินว่า สถานการณ์ไม่น่าจะพัฒนาไปในเชิงที่เลวร้ายมาก เมื่อพิจารณาจากการเข้ามา Take Action ค่อนข้างรวดเร็วของธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแล ดังนั้น ตลาดหุ้นยังมีโอกาสฟื้นตัวในระยะถัดไป
ภาพแสดงการปรับสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนของพอร์ต SCB Grow Together ที่มา: SCBAM วันที่: 21 มีนาคม 2023
ภาพแสดงสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนของพอร์ต SCB Grow Together ที่มา: SCBAM วันที่: 21 มีนาคม 2023
เรานำ SCBCLEANA ออกจากพอร์ต หลังจาก Underperform ค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา แล้วนำกองทุนใหม่เข้าพอร์ต ได้แก่ (1) กองทุนหุ้น Global Quality Equity หรือ SCBGQUAL(A) เรามองว่า นักลงทุนจะให้น้ำหนักมากขึ้นกับปัจจัยเชิงคุณภาพ ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นโลกผันผวนเนื่องจากความกังวลต่อระบบการเงิน และ (2) กองทุนหุ้น Asian Emerging Market หรือ SCBAEM ประเมินว่า ปัญหาสภาพคล่องกลุ่ม Banking ในสหรัฐฯ และยุโรป มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชียน้อยกว่าฝั่ง Developed Market นอกจากนี้ คาดว่า หุ้นเอเชีย ยังได้ผลบวกจาก China Reopening
เริ่มสร้างแผนลงทุนกับ บลจ. ชั้นนำทั่วฟ้าเมืองไทยที่คุณชื่นชอบ ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง
👉 สร้างแผน คลิก >>> https://finno.me/plan-select-playlists-web
คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด โทร 02 777 7777
ความยากของการลงทุนทุกวันนี้ คือการที่สถานการณ์ตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และยังมีตัวแปรต่าง ๆ มากมาย ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่ดีจึงต้องประกอบไปด้วยทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์”
ศาสตร์แห่งการลงทุน คือ ความรู้ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค วิธีประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่เหมาะสม ตลอดจนมีกระบวนการตัดสินใจที่ชัดเจนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ไม่ให้ความรู้สึกกับอารมณ์เข้าครอบงำ เพื่อการตัดสินใจอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ขณะเดียวกันต้องควบคู่กับการมี ศิลปะแห่งการลงทุนด้วย นั่นคือการไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อปัจจัยเปลี่ยนก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และเข้าใจธรรมชาติของโลกการลงทุน รู้ว่าจังหวะไหนควรที่จะ “รุก” “คอย” หรือ “ถอย” นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการคาดเดาอารมณ์ของคนในตลาดอีกด้วย
ด้วยโลกของการลงทุนเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง และมีพัฒนาการอยู่เสมอ นักลงทุนที่ดีจึงต้องผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ เพื่อสร้างกรอบกลยุทธ์การลงทุนในการคัดเลือกสินทรัพย์ เพื่อการจับจังหวะตลาดอย่างแม่นยำ และการทำใจเป็นกลางปราศจากอคติ ย่อมมองเห็นช่องทางได้กระจ่างกว่าเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ดี บางคนเก่งคัดเลือกสินทรัพย์ แต่ไม่ถนัดจับจังหวะตลาด จึงเหมาะเฉพาะกับกลยุทธ์การลงทุนในระยะยาว ทำให้อาจจะพลาดโอกาสสร้างผลกำไรในระยะกลาง ส่วนบางคนคาดการณ์แนวโน้มตลาดเก่งมาก แต่ไม่ถนัดคัดเลือกสินทรัพย์ที่ดี จึงหันไปมุ่งเน้นเก็งกำไรระยะสั้นแทน ซึ่งแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูง และไม่สามารถวิเคราะห์การลงทุนได้รอบครอบครบทุกมิติ
FINNOMENA Investment Team มองเห็นถึงข้อจำกัดตรงนี้ของนักลงทุน จึงได้ออกแบบคำแนะนำการลงทุนรูปแบบใหม่ “MEVT Call” ที่มองทั้งเรื่องศาสตร์และศิลป์ ซึ่งจะเข้ามาช่วยให้คุณคว้าทุกโอกาสการลงทุน และสามารถตัดสินใจได้ถูกที่ถูกเวลา
โดยมีกระบวนการคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโต ด้วยการวิเคราะห์จุดเข้าซื้อด้วยปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค เพื่อคัดกรองกองทุนรวมที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา ที่สำคัญคือจะมีการแจ้งเตือนจุดออก (Exit Strategy) เมื่อปัจจัยต่าง ๆ เปลี่ยนไป ผ่านกรอบการลงทุน 4 ด้าน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า M-E-V-T ได้แก่
1. คนที่ไม่รู้ว่าช่วงนี้ควรจะลงทุนในกองทุนอะไรดี เพราะได้มีการคัดสรรกองทุนคุณภาพมาให้เลือกลงทุน ซึ่งกลั่นกรองโดย Investment Team จาก FINNOMENA ที่มากประสบการณ์ พิจารณาจากทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยด้านเทคนิค
2. คนที่กำลังกังวลในภาวะตลาด จับจุดเข้าจุดออกไม่ถูก เพียงแค่รอสัญญาณแจ้งเตือน MEVT Call กองทุนเด็ดจาก FINNOMENA พร้อมด้วยคำแนะนำ take profit หรือ stop loss โดยสามารถติดตามผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้ง Facebook, Youtube, Website และ FINNOMENA App
3. คนที่มีเป้าหมายการลงทุนในระยะกลาง 6 – 12 เดือน โดยควรมีเงินเย็นนิ่ง ๆ หรือเงินสดเหลือ ที่ต้องการนำมาลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลกำไรในระยะกลาง
คัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพกับ “MEVT Call”
👉 ลงทุนใน MEVT Call คลิก >>> https://finno.me/mevt-web
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
แนวคิดจาก Templeton Global Equity Group ต่อการลงทุนหุ้นคุณค่า (value investing) โดยเราเชื่อว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีในการขยายการลงทุนไปสู่หุ้นโลก
“มันค่อนข้างตรงไปตรงมาว่า ถ้าคุณต้องการหาผลตอบแทนที่ดี คุณไม่ควรแสวงหาการลงทุนเฉพาะในสหรัฐฯ แต่ควรหาในทุก ๆ ที่ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราทำมาตลอด 40 ปี เรามองหาการลงทุนที่ดีจากทั่วทุกมุมโลก” – Sir John Templeton, 1979
ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ (global financial crisis: GFC) ถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
รูปที่ 1 ผลตอบแทนของหุ้นโลกเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ ถือว่าต่ำกว่าอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน (over a generation)
นอกจากนั้น ถ้าพิจารณาการประเมินมูลค่าในแบบต่าง ๆ หุ้นโลกถือว่ามีมูลค่าต่ำกว่า เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ โดยถือว่าเกือบต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี
รูปที่ 2 อัตราส่วน Price-to-Earnings, Price-to-Sales และ Price-to-Book ของหุ้นโลกมีระดับต่ำกว่าหุ้นสหรัฐฯ
มีหลายปัจจัยที่เป็นผลให้หุ้นสหรัฐฯ ทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นโลกอย่างนัยสำคัญ แต่ปัจจัยหลักมาจากนโยบายการเงิน โดยตั้งแต่วิกฤต GFC วิกฤตหนี้ยุโรปในปี 2011 การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2013 ความผันผวนอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นในปี 2018 และวิกฤต COVID-19 ในปี 2020 ธนาคารกลางหลายแห่งได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดสภาพคล่อง ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ย และการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยวงเงินไม่จำกัด ซึ่งคล้ายกับการตีเช็คเปล่า (blank check) เข้าสู่ตลาดพันธบัตร
ระดับหนี้ในตลาดโลกพุ่งขึ้นไปสูงกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่เกิดวิกฤต GFC ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ถือเป็นธนาคารที่อัดฉีดสภาพคล่องในระดับสูง และการอัดฉีดในหลายช่วงเวลาทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเติบโตในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้บริโภค และเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) สูงในตลาดสหรัฐฯ เป็นผู้ได้รับประโยชน์หลัก
แต่นั่นเป็นอดีต ปัจจุบันสถานการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม จากที่เคยเป็นบวกต่อการปรับตัวขึ้นของหุ้นเติบโตในสหรัฐฯ กล่าวถือ ตอนนี้ดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับขึ้นสูงเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการอัดฉีดสภาพคล่องในหลายปีก่อนหน้า บทบาทของธนาคารกลางในประเทศตะวันตกเปลี่ยนจากผู้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ เป็นผู้ดึงสภาพคล่องออกจากระบบ การเติบโตของเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง เมื่อมาตรการกระตุ้นในช่วง COVID-19 เริ่มหมดอายุ ในขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัท และผู้บริโภคก็เริ่มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงเงินทุน จากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น (higher costs of capital) นอกจากนั้น เรายังเห็นฟองสบู่ราคาที่เคยเกิดขึ้นในหลากหลายสินทรัพย์เริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ cryptocurrencies จนถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทเทคโนโลยีที่ยังไม่มีผลกำไร
ประธาน FED นายเจอโรม พาวเวลล์ ให้ความสำคัญกับการควบคุมอัตราเงินเฟ้อเป็นลำดับแรก โดยในการแถลงข่าวในเดือนพฤศจิกายน 2022 กล่าวว่า FED ยังต้องดำเนินนโยบายในการสู้กับอัตราเงินเฟ้อต่อไป แม้ว่าความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยน่าจะเริ่มช้าลงในหลายไตรมาสข้างหน้า แต่ถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์ สื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ในระดับสูง และการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบตึงตัวน่าจะคงอยู่ต่อไปในอนาคตอันใกล้ โดยรูปด้านล่างแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นบวกต่อหุ้นโลกในส่วนหุ้นคุณค่า เมื่อเทียบกับหุ้นเติบโตในสหรัฐฯ ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในวัฏจักรตลาดหุ้นรอบที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะมีผลต่ออัตราคิดลด (discount rates) ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้กระแสเงินสดในปัจจุบันของหุ้นคุณค่ามีความสำคัญมากขึ้น เมื่อเทียบกับหุ้นเติบโต ที่ให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดในช่วงหลัง ๆ มากกว่า นอกจากนั้น ดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นยังทำให้การพิจารณามูลค่าหุ้นผ่านปัจจัยพื้นฐานมีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นคุณค่าด้วย
รูปที่ 3 อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงเป็นบวกต่อหุ้นโลกในส่วนหุ้นคุณค่า มากกว่าหุ้นเติบโตในสหรัฐฯ
เรามองว่าในระยะต่อไป บริษัทที่ไม่สามารถหารายได้ได้เพียงพอ เมื่อเทียบกับต้นทุนทางการเงิน และความสามารถในการชำระหนี้ในภาวะดอกเบี้ยสูงจะถูกกดดัน ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้เราเชื่อว่าการวิเคราะห์หุ้นโดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน (fundamental analysis) จะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง สำหรับนักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จ ทดแทนแนวการวิเคราะห์แบบชี้นำ (narrative) และการคาดการณ์การเติบโต ซึ่งเป็นแนวคิดของวัฏจักรการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นครั้งก่อนหน้า
นักลงทุนสหรัฐฯ ที่ต้องการซื้อหุ้นโลกจะได้แรงหนุนจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจากที่กล่าวไปแล้วว่าหุ้นโลกนับว่ามีการประเมินมูลค่าที่เกือบต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ในขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เกือบแข็งค่าที่สุดในรอบ 20 ปีเช่นกัน อย่างไรก็ดี เราพบว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 2 ปี เริ่มอ่อนค่าลงมาบ้างแล้ว โดยในช่วงปลายปี 2022 การเก็งกำไรของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ในระดับเกือบสูงที่สุด และจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคพบว่าระดับดังกล่าวอยู่ในระดับซื้อมากเกินไป (overbought) นอกจากนี้ มูลค่าของเงินดอลลาร์ต่อดัชนีค่าเงินที่แท้จริง (REER) ถือว่าสูงเป็นสถิติ เช่นกัน
รูปที่ 4 เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มอ่อนตัวลงเล็กน้อยในช่วงที่ผ่านมา
แล้วอะไรที่จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง? ปัจจัยพื้นฐาน ความแตกต่างกันของระดับดอกเบี้ยนโยบาย ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ (ที่วัดจากเครื่องชี้ เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) และดุลบัญชีเดินสะพัด ต่างแสดงให้เห็นว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง แต่เราเริ่มมองว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติจนเกินไป ซึ่งเราเชื่อว่าในระยะยาวน่าจะกลับเข้าสู่ระดับค่าเฉลี่ย โดยเราเริ่มเห็นแนวโน้มอ่อนค่าลงบ้างแล้วในช่วงปลายปี 2022 ถึงต้นปี 2023 และเราเชื่อว่าการอ่อนตัวน่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง
ปัจจัยอื่น ๆ ที่จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง ประกอบด้วย
เราส่งเสริมให้นักลงทุนใช้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งในการซื้อสินทรัพย์ทั่วโลกที่ราคาถูกปรับลงมา โดยเราเชื่อว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดีในการทยอยสะสมมูลค่า ซึ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลง มักจะมาพร้อมกับผลตอบแทนสินทรัพย์นอกตลาดสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มสูงขึ้น
มีหลายอย่างที่น่าคิดในช่วงต้นปี 2023 ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงต้นปีเป็นการปรับขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว หรือว่าเป็นเพียงการปรับตัวขึ้นทางเทคนิคในช่วงตลาดลง (bear market rally) อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มปรับตัวลงเมื่อไร และอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปถึงระดับใด ตลอดจนข้อพิพาทในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ว่าจะมีแนวทางคลี่คลายหรือไม่ อย่างไร คำตอบของคำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรายังไม่มีคำตอบแน่ชัด แต่เราเชื่อว่าเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีในการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นโลกที่ยังมีมูลค่าต่ำกว่า
ข้อสงวนสิทธิ์
แหล่งข้อมูล
https://www.franklintempleton.com/articles/blogs/international-equities-poised-for-recovery
สัปดาห์ก่อนดูเหมือนว่าคนในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุน ต่างก็วุ่นวายสับสนกันทั่วโลก เนื่องจากการล่มสลายของธนาคาร SVB หรือ Silicon Valley Bank ซึ่งเป็นแบงก์ขนาดใหญ่ที่ให้บริการแก่บริษัทสตาร์ทอัพและดิจิทัลในคาลิฟอร์เนีย และอีกหลายแบงก์ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้
นอกจากนั้น ก่อนสิ้นสัปดาห์ แบงก์เครดิตสวิสซึ่งเป็นแบงก์ใหญ่ “ระดับโลก” ของสวิตเซอร์แลนด์ ก็เริ่มมีปัญหาในเรื่องของทุนที่ไม่เพียงพอ เพราะธนาคารมีผลประกอบการขาดทุนหนักและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นกองทุนจากประเทศตะวันออกกลางปฎิเสธที่จะเพิ่มทุน ทำให้ราคาหุ้นที่ตกต่ำอยู่แล้ว ตกลงไปอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะคนกลัวว่าแบงก์อาจจะต้องล้มในที่สุด อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของทั้งสหรัฐและสวิตเซอร์แลนด์ดูเหมือนว่าจะรีบเข้าแทรกแซงและช่วยเหลือทันทีจนทำให้สถานการณ์ไม่ลุกลามรุนแรงต่อเนื่องไปถึงธนาคารอื่นอย่างเป็นระบบ เฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารกลางของสหรัฐได้ประกาศค้ำประกันเงินฝากทั้งหมดของ SVB
ซึ่งทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ฝากเงินทั่วไปว่า เงินฝากของตนเองในแบงก์และแบงก์อื่นจะไม่หายไป ไม่จำเป็นต้องไปถอนเงินออกพร้อม ๆ กันซึ่งจะทำให้เกิด “Bank Run” ซึ่งธนาคารจะมีเงินไม่พอให้ถอนและต้องล้มละลายทันที ส่วนของสวิสเอง แบงก์ชาติก็จัดหาเงินเป็นสภาพคล่องหลายหมื่นล้านเหรียญให้ในกรณีที่มีคนขอถอนเงินจำนวนมาก
นั่นทำให้ผมหวนนึกถึงวันที่ผมยังทำงานอยู่ในฐานะผู้บริหารสถาบันการเงินแห่งหนึ่งของไทย ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่สถาบันการเงินหรือแบงก์ที่รวมถึงบริษัทที่ผมอยู่ด้วย ประสบปัญหาและเกิด “Bank Run” อย่างเป็นระบบ และจบลงด้วยการ “ล้ม” ของสถาบันการเงินกว่า 50 แห่งแทบจะพร้อมกันทันที เหลือเพียง 2-3 แห่งที่รอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ถึงวันนี้เองก็ยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า เหตุการณ์แบงก์รันและแบงก์ล้มที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในสหรัฐและยุโรปนั้นจบลงไปแล้ว ยังมีโอกาสเหมือนกันที่แบงก์จะล้มเหลวต่อไปต่อเนื่องเป็นระบบโดยเฉพาะในยุโรปที่แบงก์เครดิตสวิสมีขนาดใหญ่มากและเป็น “แบงก์หลัก” ที่การแก้ปัญหาอาจจะทำได้ยากกว่า
และผลกระทบรุนแรงกว่า ซึ่งถ้ามันส่งผลต่อเนื่องไปยังแบงก์อื่นก็อาจจะทำให้เกิด “วิกฤติ” ทางการเงินขึ้นได้ปัญหาและผลกระทบที่ตามมาของแบงก์ หรือสถาบันการเงินที่รับเงินฝากหรือกู้เงินจากคนอื่นเพื่อมาปล่อยต่อหรือลงทุนกินส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยหรือต้นทุนกับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยหรือจากการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินเช่นพันธบัตรก็คือเกิดความผิดพลาดหรือการฉ้อฉลในการทำงาน เช่น ปล่อยกู้ให้กับบริษัทหรือโครงการที่ไม่คุ้มค่า ลงทุนในทรัพย์สินหรือหุ้นที่มีราคาแพงเกินไปซึ่งในที่สุดก็ตกลงมาทำให้ขาดทุนมหาศาล ทั้งสองอย่างนั้นมักจะเกิดขึ้นในยามที่เกิดความเฟื่องฟูของการลงทุนในกิจการธุรกิจ หรือความเฟื่องฟูของราคาหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นรวมถึงที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
ในกรณีของเหตุการณ์ในช่วงนี้ก็คือ ความเฟื่องฟูของธุรกิจสตาร์ทอัพ ดิจิทัล เหรียญต่าง ๆ เช่น บิตคอยน์ เป็นต้น ซึ่งก็มีแบงก์จำนวนหนึ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยการให้กู้หรือลงทุนจำนวนมากโดย SVB ก็ถือได้ว่าเป็นแบงก์ที่เน้นในกลุ่มสตาร์ทอัพโดยเฉพาะ ให้บริการที่หลากหลายรวมถึงการเป็นผู้รับฝากเงินของบริษัทเหล่านั้นด้วย
ส่วนเครดิตสวิสเองนั้น เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเฮดจ์ฟันด์ Archegos Capital ซึ่งเป็นกองทุนที่เล่นหุ้นแบบร้อนแรงใช้มาร์จินและอาจจะมีการใช้ข้อมูลภายในและปั่นหุ้นด้วย ซึ่งทำให้มีผลงานโดดเด่น มีชื่อเสียงและได้เงินจากนักลงทุนมหาศาล แต่สุดท้ายก็พัง กองทุนล่มสลายและเครดิตสวิสสูญเงินไปเกือบ 5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท
ในกรณีของไทยในช่วงก่อนปี 2540 ก็คือความเฟื่องฟูของอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่นโรงงานเหล็กและการผลิตอื่น ๆในยามที่ไทยกำลังเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่และจะเป็น “เสือ” แห่งเอเชีย และตลาดหุ้นที่กำลังคึกคัก
โดยมี “บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์” ซึ่งทำหน้าที่เหมือนแบงก์แต่มีขนาดเล็กกว่าและกล้าเสี่ยงมากกว่า เข้าไปให้บริการรวมถึงการร่วมลงทุนในความเฟื่องฟูนั้น ซึ่งก็เช่นเคยและเกิดขึ้นเสมอก็คือ ในที่สุด “ฟองสบู่” ก็ “แตก” บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มีผลประกอบการขาดทุนอย่างหนัก บริษัทที่ร้อนแรงที่สุดและเป็น “ราชัน” ของวงการคือ “ฟินวัน” ล่มสลายก่อน หลังจากนั้นบริษัทอื่นก็ตามกันมาจนล่มสลายเกือบทั้งหมด
ความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้แบงก์ล้มง่ายก็คือ ลักษณะธรรมชาติของกิจการที่มีหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินฝากนั้น มีปริมาณมากกว่าทุนของตนเองหลายเท่า บางทีเป็น 10 เท่า ดังนั้น ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจรุนแรงและกระทบกับแบงก์รุนแรง เช่น ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นเร็วมาก และทำให้ส่วนต่างรายได้และต้นทุนเปลี่ยนเป็นติดลบ ก็อาจจะทำให้เกิดขาดทุน เช่น 10% ของทรัพย์สิน ก็จะทำให้เงินทุนที่มีเพียง 10% หายไปทั้งหมดได้
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หนี้สินของธนาคารส่วนใหญ่จะเป็นระยะสั้นและมีเจ้าหนี้จำนวนมากบางทีเป็นล้าน ๆ คนที่ฝากเงิน ในขณะที่ทรัพย์สินที่ปล่อยกู้หรือลงทุนนั้นมักจะเป็นระยะยาวซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ถ้าวันไหนเจ้าหนี้ “ขาดความมั่นใจ” ว่ากิจการของบริษัทหรือธนาคารอาจจะเลวร้ายและล้มละลายในอนาคต พวกเขาก็จะถอนเงินและไม่ต่ออายุหนี้จำนวนมากที่ถึงกำหนดชำระ ซึ่งแบงก์ก็จะไม่มีเงินสดพอและก็ต้องล้มละลายทันที และนี่ก็คือ “แบงก์รัน”
ข้อสรุปของธุรกิจแบงก์ก็คือ แบงก์ที่ “ซ่า” หรือ “กล้ามาก” โตเร็วมากและอาจจะกำไรดี แต่ทุนอาจจะ “ไม่ค่อยพอ” อาจจะเพราะโตเร็วเกินไป มีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจเปลี่ยน ทำให้ความเชื่อมั่นของคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะคนฝากเงินหรือเจ้าหนี้หมดไป ซึ่งจะทำให้พวกเขาเริ่มถอนเงินและก่อให้เกิดแบงก์รัน และสุดท้ายในเวลาอันสั้นมากเป็นแค่หลักไม่กี่วัน แบงก์ก็ล้มถ้าไม่มีรัฐบาลหรือคนอื่นที่ใหญ่และแข็งแรงพอเข้ามาช่วย
ประสบการณ์ของผมในช่วงที่บริษัทเงินทุนล้มก็คือ บริษัทปล่อยกู้ให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากรวมถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่เช่นโรงงานเหล็ก โดยที่บริษัทเงินทุนหลายบริษัทร่วมกันปล่อยกู้แบบซินดิเคทโลน แต่แล้วภาคธุรกิจเหล่านั้นก็เกิดปัญหา
ส่วนหนึ่งก็ตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่กำลังถดถอยลง การส่งออกลดลงและสุดท้ายประเทศต้องแก้ปัญหาลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งทำให้หนี้ของบริษัทต่าง ๆ เพิ่มขึ้นและไม่สามารถจ่ายคืนหนี้แบงก์ได้ กลายเป็นหนี้เสียซึ่งทำให้แบงก์มีปัญหา
ข่าวนี้ทำให้บริษัทเงินทุนถูกถอนเงินและไม่ต่ออายุเงินหนี้เงินกู้ บริษัทเงินทุนที่อ่อนแอและไม่มีแบงก์เป็นบริษัทแม่หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ “ล้ม”ก่อน บริษัทที่ผมอยู่เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นแบงก์ก็ยังพออยู่ได้แต่อาการ “แบงก์รัน” คือมีผู้ฝากเงินถอนเงินมากกว่าฝากวันละ 3-400 ล้านบาทเกือบทุกวัน
งานปล่อยกู้และให้บริการทางการเงินทุกอย่างหยุดหมด พนักงานเปลี่ยนมาทำเรื่อง “กู้บริษัท” โดยการ “ควบรวม” กับบริษัทที่มีปัญหาอื่น ๆ เพราะไม่มีบริษัทดีหรือใหญ่พอที่จะเข้ามาช่วยควบรวมหรือเพิ่มทุนให้ ว่าที่จริงบริษัทใหญ่ ๆ รวมถึงแบงก์ก็กำลังจะ “ตาย” แนวคิดเรื่องบริษัทที่อ่อนแอมารวมกันเพื่อให้เกิดความแข็งแรงนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเมื่อมองย้อนกลับไป แต่ในขณะนั้นเราไม่รู้และไม่เข้าใจ
สุดท้ายบริษัทก็ล่มสลาย ในขณะที่แบงก์ส่วนใหญ่ก็รอดเพราะรัฐบาลปล่อยให้ล้มไม่ได้ ประเทศเริ่มต้นใหม่และเจริญเติบโตต่อไปจนถึงวันนี้และไม่ได้มีวิกฤติแบบปี 2540 อีกเลย โดยเฉพาะในภาคของการเงินที่มีการจัดระบบและการบริหารที่เข้มงวด แบงก์มีการสะสมทุนเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดจนสูงกว่ามาตรฐานมาก พร้อมกับการทำงานอย่างอนุรักษ์นิยม ซึ่งทำให้ผมเชื่อว่า วิกฤติการเงินจากต่างประเทศรอบนี้ จะไม่มีผลอะไรกับสถาบันการเงินของไทยอย่างแน่นอน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งทะยาน การชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และเงินเฟ้อที่เร่งตัวครั้งประวัติศาสตร์จนถึงขนาดที่ธนาคารกลาง Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสูงสุดในรอบ 15 ปี เพื่อสู้เงินเฟ้อ คือหลากหลายมูลเหตุที่สร้างความท้าทายให้ตลาดการลงทุน
ในภาวะแบบนี้ หลายคนอาจไม่กล้าลงทุนเพราะเกรงว่าจะสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะหุ้น จะไม่สามารถทำผลงานได้ดีเหมือนเคย แต่ถึงอย่างนั้น ข่าวดีคือยังมีสินทรัพย์บางตัวที่สามารถสร้างผลตอบแทนสู้ตลาดหุ้นได้ เพราะราคามีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นต่ำ (stock correlation) สินทรัพย์ทางเลือกเหล่านี้จึงเป็นโอกาสที่หาไม่ได้ในสินทรัพย์ทั่วไป และยังเป็นทางเลือกที่ดีในการจัดพอร์ตแบบ asset allocation เพื่อกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวสัมพันธ์กับหุ้นอีกด้วย
นอกจากหุ้นและตราสารหนี้ ยังมีสินทรัพย์อีกหลายชนิดที่สามารถมอบโอกาสแบบใหม่ ๆ ให้นักลงทุนได้ เช่น การซื้อขายกรมธรรม์ประกันชีวิต อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด หุ้นนอกตลาด และสกุลเงิน เนื่องจากธรรมชาติของตัวสินทรัพย์เองไม่ได้เชื่อมโยงกับตลาดหุ้น ลองมาดูกันว่าสินทรัพย์เหล่านี้มีหน้าตาเป็นแบบไหน และมีความพิเศษอย่างไรบ้าง
1. การซื้อขายกรมธรรม์ประกันภัย (Life Settlement)
ปกติแล้วเมื่อผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตต้องการเงินสด ก็จะต้องทำการยกเลิกหรือเวนคืนกรมธรรม์ซึ่งจะได้รับเงินกลับมาต่ำ แต่สำหรับในบางประเทศอย่างเช่นในสหรัฐฯ ผู้ถือกรมธรรม์ประกันสามารถนำกรมธรรม์ไปขายในตลาดเสรีให้กับกองทุนเพื่อรับเงินในมูลค่าที่สูงกว่ากลับมาได้ โดยกองทุนจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์และรับภาระจ่ายเบี้ยประกันที่เหลือแทน และกองทุนเหล่านี้ก็จะเปิดให้เข้ามาลงทุนในกองทุนซื้อขายกรมธรรม์ประกันชีวิต (Life Settlement)
การลงทุนใน Life Settlement จะมีความผันผวนต่ำเนื่องจากผลประโยชน์ที่กองทุนได้รับจะมาจากผลประโยชน์ของกรมธรรม์ประกันชีวิตซึ่งบริษัทประกันมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินส่วนนี้ ไม่เหมือนหุ้นที่จะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทหรือความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้น นอกจากนี้ กองทุนประเภทนี้อาจมีทีมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยเข้ามาวิเคราะห์กรมธรรม์อีกด้วย
ดังนั้น Life Settlement จึงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ทางเลือกที่ไม่ขึ้นลงตามตลาดหุ้น โดยสินทรัพย์ชนิดนี้มีค่า Stock correlation ที่ -0.04 โดยที่ปกติค่านี้จะอยู่ระหว่าง -1 ถึง 1 (-1 คือสัมพันธ์กันในเชิงลบที่สุด ส่วน 1 คือสัมพันธ์กันในเชิงบวกมากที่สุด)
2. อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด (Private Real Estate)
อสังหาริมทรัพย์นอกตลาดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย เช่น ออฟฟิศ ค้าปลีก ห้องแลป ที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ โรงงาน ไปจนถึงคลังสินค้า นอกจากนี้ ยังมีหลายตลาดให้เลือกสรรไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ที่มีสภาพคล่องสูงและมีสภาพสินทรัพย์ดี หรือเอเชียที่อัตราการเติบโตสูง เป็นต้น
นอกจากนี้ สินทรัพย์ชนิดนี้ยังมีความผันผวนต่ำเนื่องจากไม่ได้ถูกซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ราคาไม่ได้เคลื่อนไหวตามข่าวและการเก็งกำไร โดยส่วนใหญ่ราคาจะเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐาน
3. หุ้นนอกตลาด (Private Equity)
เพราะบริษัทที่ดีบางครั้งก็ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น และบริษัทนอกตลาดมักให้ผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นโลกในระยะยาว หุ้นนอกตลาดจึงเป็นหนึ่งในการลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ ทั้งนี้ การเข้าไปลงทุนในหุ้นนอกตลาดมีทางเลือกหลายแบบ เช่น เข้าไปลงทุนในช่วงตั้งต้นกิจการ (Venture Capital) ลงทุนในช่วงที่บริษัทเติบโต (Growth Capital) หรือแม้แต่การร่วมทุนโดยการเข้าซื้อกิจการ (Buyout)
การลงทุนในหุ้นนอกตลาดจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในบริษัทขนาดเล็กที่มีศักยภาพสูง และมี upside ด้านมูลค่าที่สูงกว่าบริษัทใหญ่ ๆ จากนั้นจึงขายหุ้นนั้นหลังจากที่ได้เข้าไปลงทุนและเปลี่ยนผ่านกิจการนั้นให้เติบโตขึ้นแล้ว
การเข้าลงทุนในหุ้นนอกตลาดของกองทุนมักจะมีความใกล้ชิดและสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อบริษัทที่เข้าลงทุนได้สูง อย่างน้อยที่สุดก็คือการได้อัดฉีดเงินลงทุนเข้าไปสู่บริษัทโดยตรง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นนอกตลาดที่เป็นการซื้อขายหุ้นจากนักลงทุนรายอื่น ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกโดยตรงดังเช่นการลงทุนในหุ้นนอกตลาด
นอกจากผลตอบแทนที่น่าสนใจ การลงทุนในหุ้นนอกตลาดยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากการลงทุนแบบนี้เปิดโอกาสให้เข้าไปลงทุนในบางอุตสาหกรรมที่ตลาดหุ้นไม่ครอบคลุม นอกจากนี้ กองทุนหุ้นนอกตลาดมักมีความผันผวนของราคาต่ำกว่าหุ้นในตลาด เนื่องจากเป็นราคาที่สะท้อนตามการประเมินปัจจัยพื้นฐาน ไม่มีการเคลื่อนไหวตามข่าวและการเก็งกำไรดังเช่นหุ้นที่ซื้อขายในตลาด
4. สกุลเงิน (Currency)
การลงทุนในสกุลเงินสามารถเข้าถึงได้โดยการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ทางการเงินที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงในสกุลเงินหลักต่างประเทศหลายประเภท เช่น สัญญาฟิวเจอร์ส (futures) สัญญาฟอร์เวิร์ด (forwards) และสัญญาสวอป (swaps) ทั้งนี้ ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราถือเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยใหญ่กว่าตลาดหุ้นถึง 25 เท่า
การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกประเภทนี้เหมาะกับการกระจายการลงทุนจากหุ้น เพราะแม้ค่าเงินอาจมีความผันผวนสูงในตัวเอง แต่มักมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์การลงทุนพื้นฐานทั้งหุ้นและตราสารหนี้เป็นลบ ซึ่งถือว่าสามารถลดความเสี่ยงภาพรวมได้ดีที่สุด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่ใช้ และหากใช้กลยุทธ์การลงทุนทั้ง Short และ Long ก็สามารถเพิ่มโอกาสทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด
กองทุน UI หรือ กองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra Accredited Investor Mutual Fund) คือช่องทางที่จะทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงโอกาสที่หาไม่ได้จากสินทรัพย์ทั่วไป ทั้ง กรมธรรม์ประกันชีวิต อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด หุ้นนอกตลาด ไปจนถึงสกุลเงิน ที่ให้ผลตอบแทนน่าประทับใจ มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นต่ำ ตอบโจทย์การกระจายการลงทุนจากหุ้น
หากพิจารณาทางเลือกการลงทุนเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วยผลตอบแทนที่ผ่านมาก็จะพบว่าสินทรัพย์ดังกล่าวมีผลงานที่น่าสนใจ โดยในตารางที่ยกมาข้างล่างจะเป็นการแสดงถึงผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตของกองทุนตัวอย่างที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก
ตารางแสดงผลตอบแทนต่อปีย้อนหลังของกองทุนตัวอย่างที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกแต่ละประเภท
Source: FINNOMENA as of 13/3/2022
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
*กองหลักตัวอย่างอาจหมายถึงกองทุนหลักในต่างประเทศหรือกองทุนอื่นที่บริหารจัดการด้วยผู้จัดการกองทุนรายเดียวกันด้วยกลยุทธ์ที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับกองทุนหลักที่เข้าไปลงทุน แต่อาจมีผลการดำเนินการที่ยาวกว่าหรือ share class ต่างกัน โดยพยายามคัดสรรตัวอย่างจากทางเลือกที่ให้ track record ของผลตอบแทนในอดีตที่ยาวที่สุด ผลตอบแทนในสกุลเงินของกองทุนหลักตัวอย่าง และยังไม่รวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆของระดับกองทุนในไทย
สำหรับนักลงทุนที่สนใจโอกาสการลงทุนสุดพิเศษในสินทรัพย์นอกกระแส สามารถลงทุนได้ผ่านกองทุน UI ที่ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 46 กองทุนในไทย ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกหลากหลายรูปแบบ
และสำหรับนักลงทุนท่านใดที่ไม่อยากพลาดโอกาสการลงทุนในกองทุน UI ที่ FINNOMENA คัดมาให้เป็นพิเศษ สามารถรับคำแนะนำการลงทุนได้ทันที พิเศษเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์กำหนด
Reference
https://www.investopedia.com/terms/c/correlation.asp
https://www.schroders.com/en/hk/institutional-service/strategic-capabilities/private-assets/
https://www.institutionalinvestor.com/article/b1h72k0u8tts00/Everyone-Wants-to-Know-What-Private-Assets-Are-Really-Worth-The-Truth-It-s-Complicated
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
วันนี้ (20 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงถ้วนหน้า นำโดย ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 3.32% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 2.0% หุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ลดลง 1.4% หุ้นจีน (CSI 300) ลดลง 0.5% จากแรงเทขายในกลุ่มธนาคาร หลังทางการสวิสเซอร์แลนด์ประกาศว่า ผู้ที่ถือตราสารหนี้ Additional Tier 1 (AT1) ของธนาคาร Credit Suisse ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องรับความเสียหายไปด้วย ส่งผลให้ตราสารหนี้ AT1 และหุ้นของธนาคารต่าง ๆ ถูกเทขาย โดยเฉพาะของ ธนาคาร HSBC และธนาคาร Standard Chartered เนื่องจากกังวลว่าอาจจะได้รับความเสียหายหากสถานการณ์ลุกลาม
โดยตราสารหนี้ Additional Tier 1 (AT1) เป็นตราสารทางการเงินที่ถูกสร้างขึ้นมาหลัง Global Financial Crisis ปี 2008 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานทุนของธนาคารพาณิชย์ โดยถ้าธนาคารผู้ออกตราสารหนี้ AT1 เกิดปัญหาขึ้น ตราสารหนี้ AT1 อาจถูกเปลี่ยนจากตราสารหนี้เป็นตราสารทุนได้ทันที ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนในตราสารหนี้ AT1 อาจต้องรับความเสียหายเหมือนผู้ถือหุ้น เพื่อไม่ให้ต้นทุนในการเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินของภาครัฐฯ มากเกินไป
FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียจะยังคงมีความผันผวนต่อไปโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารและการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกอบกับการประชุม FOMC ในวันที่ 21-22 มีนาคม ซึ่งยังคงมีความไม่แน่อนด้านนโยบายการการเงิน ดังนั้นในระยะสั้นแนะนำชะลอการลงทุน ก่อนทยอยสะสม หลังเหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย
ในระยะกลางถึงยาวเรามองภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังทางจีนรายงานดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับหลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆอยู่ในทิศทางทรงตัว ยกเว้นเกาหลีใต้ที่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ในแง่ของ Valuation ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในระดับถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ยกเว้นเกาหลีใต้และอินเดียที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
เรามีมุมมองเป็นกลางต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเนื่องจากมีบางประเทศที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย แต่เราชื่นชอบตลาดหุ้นจีนมากกว่า โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-ASHARES-A และ K-CHINA-A(A) และชื่นชอบตลาดหุ้นเวียดนามโดยแนะนำกองทุน PRINCIPAL-VNEQ-A
——————-
ท่าทีของธนาคารกลางทั่วโลกที่ต่างเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อสูงในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ได้สร้างแรงกดดันต่อสภาวะการลงทุนอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลว่าอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือวิกฤติในที่สุด ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วข้างต้น เริ่มส่งผลให้เกิดปัจจัยเสี่ยงที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติ หรือเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหม่ อาทิ
รูปที่ 1: Silicon Valley Bank Timeline Source: FINNOMENA, Tradingview as of 16/03/2023
Silicon Valley Bank (SVB) เป็นธนาคารท้องถิ่นที่เน้นการปล่อยสินเชื่อให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดกลาง ขนาดเล็ก และ start-up พร้อมกับรับฝากเงินจากบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley รวมถึง venture capital ซึ่งการชะลอตัวของอุตสาหกรรม start-up ได้ส่งผลถึงปริมาณเงินฝากและสภาพคล่องของธนาคารที่ลดลง เมื่อธนาคารต้องขายสินทรัพย์อย่างตราสารหนี้ระยะยาวที่ยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง จนเป็นผลให้เกิดการบันทึกผลขาดทุนในงบการเงินไตรมาสล่าสุด และถูกปรับลด credit outlook ลง นำไปสู่การถอนเงินจำนวนมาก (bank run) จากความไม่เชื่อมั่นต่อธนาคารทำให้ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (FDIC) เข้าควบคุมกิจการและสร้างความเชื่อมั่นกับผู้ฝากเงินโดยประกาศคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน พร้อมกันนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ และกระทรวงการคลังได้เสริมสภาพคล่องผ่านระบบ BTFP (Bank Term Funding Program) เพื่อหยุดปัญหาที่อาจจะเกิดหากความกังวลแพร่กระจายออกไป อย่างไรก็ตาม FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่ายังต้องติดตามผลกระทบด้านความเชื่อมั่นอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการรับประกันดังกล่าวนั้นยังอยู่ในวงจำกัด และกระแสความอาจยังส่งผลให้ธนาคารท้องถิ่นบางรายมีโอกาสเกิด bank run และสร้างความผันผวนได้อีก
รูปที่ 2: ทางเลือกของ Fed ในการประชุมวันที่ 22 มีนาคม 2023 Source: FINNOMENA as of 16/03/2023
จึงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดว่าผลการประชุม FOMC ในวันที่ 22 มีนาคมนี้ จะออกมาในรูปแบบใด เมื่อเฟดยังต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ยังอยู่สูงกว่าเป้าหมาย แต่ความเปราะบางของระบบธนาคารสหรัฐฯ เริ่มแสดงออกมาให้เห็นมากขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ทำให้ในการประชุมครั้งนี้เกิดความไม่แน่นอนด้านทิศทางการดำเนินนโยบาย
ซึ่งตลาดคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อจะหมายถึงเฟดให้ความสำคัญกับการต่อสู้กับเงินเฟ้อ และไม่ได้กังวลกับวิกฤติธนาคารที่เกิดขึ้นมาก และเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่หากมีการเปลี่ยนท่าทีเป็น dovish (หยุดขึ้น หรือลดอัตราดอกเบี้ย) แม้จะส่งผลให้สภาพคล่องที่ตึงตัวผ่อนคลายลง แต่การเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดยอมรับถึงความเสี่ยงวิกฤตรอบใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอาจสร้างความกังวล และส่งผลให้ตลาดผันผวนได้เช่นเดียวกัน
รูปที่ 3: Credit Default Swap ของ ธนาคารขนาดใหญ่ Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 16/03/2023
ทางด้านยุโรป ธนาคาร Credit Suisse ที่มีปัญหาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี 2008 ทั้งข่าวเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน และการฉ้อโกงภายในอีกจำนวนมาก ส่งผลให้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในกลุ่มธนาคารในสหรัฐฯ ส่งผลให้ Credit Suisse เป็นอีกหนึ่งสถาบันการเงินที่เจอภาวะ bank run สร้างความกังวลต่อนักลงทุน ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาถึง 97% จากจุดสูงสุดในปี 2007 และส่งผลให้ราคาของ Credit Default Swap (CDS) ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูง
ด้าน S&P Global ได้ปรับลดอันดับ credit ของธนาคารลงสู่ระดับ BBB- ซึ่งอีก 1 ระดับจะเข้าสู่ non-investment grade ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดแรงกังวลในวงกว้างด้วยขนาดของธนาคารที่ใหญ่ระดับโลก
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ อาจจะไม่ได้ลุกลามบานปลาย แต่สิ่งที่ค่อนข้างแน่นอนคือ ความผันผวนสูงที่จะตามมา ดังนั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดความเสี่ยงเพื่อลด drawdown ที่อาจเกิดขึ้น จากนั้นจึงจะพิจารณากลับมาลงทุนอีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย หรือชัดเจนมากขึ้น
รูปที่ 4: ผลตอบแทนของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในช่วง Recessions Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 16/03/2023
ในช่วงวิกฤติทุกครั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 ต่างปรับตัวลงในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงหุ้นในกลุ่มที่เป็น defensive อย่าง health care ก็ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน แต่ก็ปรับตัวลงน้อยกว่าดัชนี
รูปที่ 5: MSCI World และ MSCI Infrastructure Drawdown ในช่วง Recessions Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 16/03/2023
เช่นเดียวกับกลุ่ม infrastructure ก็ปรับตัวลดลงในช่วงสภาวะวิกฤติ แม้จะปรับตัวลดลงน้อยกว่าก็ตาม เราจึงแนะนำปรับลดน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม health care และ infrastructure ลงเพื่อรักษาเงินต้น
รูปที่ 6: ผลตอบแทนของ High Yield Bond และ Investment Grade Bond ในช่วง Recessions Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 16/03/2023
ขณะที่ในวิกฤติต่าง ๆ ที่ผ่านมา ตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (high yield) มักปรับตัวลงได้มากกว่า ตราสารหนี้ investment grade จากความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงกว่า จึงทำให้เราแนะนำเพิ่ม credit quality ในพอร์ต โดยลดน้ำหนักการลงทุนใน high yield และเพิ่มการลงทุนใน investment grade bond แทน
รูปที่ 7: ผลตอบแทนของทองคำในช่วง Recessions Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 16/03/2023
ในขณะที่ทองคำนับเป็นสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่เกิดเศรษฐกิจถดถอยและสามารถใช้เป็นสินทรัพย์ในการป้องกันความเสี่ยงให้แก่พอร์ตยามตลาดการเงินผันผวนได้ จึงนำไปสู่การปรับพอร์ตการลงทุน
เพื่อปรับลดสัดส่วนความเสี่ยงของพอร์ตในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอน FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนใน KFINFRA-A ซึ่งลงทุนใน global infrastructure ลง เพื่อรักษาเงินต้น แม้ global infrastructure จะปรับตัวลงน้อยกว่าหุ้นทั่วโลกก็ตาม และแนะนำถือกองทุน KFSPLUS-A เพื่อเป็นสภาพคล่องและรอโอกาสการลงทุน
และแนะนำลดสัดส่วนการกองทุน UDB-A ซึ่งลงทุนใน Jupiter Dynamic Bond Fund ลง จากการมีสัดส่วนลงทุนใน high yield bond ถึง 49.9% โดยมีค่าเฉลี่ยของ credit rating อยู่ที่ระดับ BBB ซึ่งมีความเสี่ยงการปรับตัวลง (downside risk) มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน เนื่องจาก UGIS-A มีการลงทุนในตราสารที่มี credit rating เฉลี่ยระดับ A+
เพื่อปรับลดสัดส่วนความเสี่ยงของพอร์ตในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอน FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุน KKP G-UBOND-H ซึ่งลงทุนใน Jupiter Dynamic Bond Fund ลง จากการมีสัดส่วนลงทุนใน high yield bond ถึง 49.9% โดยมีค่าเฉลี่ยของ credit rating อยู่ที่ระดับ BBB ซึ่งมีความเสี่ยงการปรับตัวลง (downside risk) มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน เนื่องจาก UGIS-A มีการลงทุนในตราสารที่มีค่าเฉลี่ย credit rating เฉลี่ยระดับ A+
เพื่อปรับลดสัดส่วนความเสี่ยงของพอร์ตในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอน FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนใน KFHHCARE-A เพื่อรักษาเงินต้น แม้ global healthcare จะปรับตัวลงน้อยกว่าหุ้นทั่วโลกก็ตาม แต่การเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้อาจเกิด drawdown ได้ และปรับเข้าลงทุนในทองคำผ่าน SCBGOLDH เพื่อเป็น safe haven ในการลด drawdown ของพอร์ตการลงทุนลง
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัว ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มี.ค. 2566 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 17 มี.ค. 2566)
1. UGMAC – กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล แม็คโคร ออพพอร์ทูนิตี้ส์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.96%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +6.32%
2. KT-GMO-A – กองทุนเปิดเคแทม โกลบอล แม็คโคร ออพเพอทูนิตี้ ฟันด์ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.86%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +5.91%
3. UOBSG – H – กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท โกลด์ ฟันด์ – H
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.72%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +3.08%
ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 5 อันดับเพิ่มเติม: UGMAC, KT-GMO-A, UOBSG – H, SCBGOLDH, KT-GOLD
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2566 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 17 มี.ค. 2566)
1. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -0.78%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -1.66%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุนเวียดนาม ครบจบในที่เดียว!
ซื้อกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A คลิก
2. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -1.09%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +7.68%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ONE-UGG-RA : กองทุนหุ้นเติบโตทั่วโลก คว้าโอกาสแห่งอนาคต
3. MEGA10-A : กองทุนเปิด MEGA 10 ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -0.98%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +14.79%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน MEGA10: โอกาสลงทุนใน 10 บริษัท ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก
ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : PRINCIPAL VNEQ-A, ONE-UGG-RA, MEGA10-A, K-CASH, TMBGQG, UGIS-N, K-CHINA-A(A), B-INNOTECH, K-VIETNAM, SCBS&P500
ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB เมินสถานการณ์วุ่นวายของตลาดเงินตลาดทุนในยุโรปและทั่วโลก ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ตามเป้าหมายเมื่อวันพฤหัสบดี (16 พ.ค.)
VOA Thai รายงานว่า ในวันพฤหัสบดี ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ย 0.5% หลังจากภาวะเงินเฟ้อยังยังส่งผลกระทบหนักต่อประชาชนใน 20 ประเทศของยุโรปที่ใช้สกุลเงินยูโร ในขณะที่ประเมินว่าเงินเฟ้อในปีนี้จะอยู่ที่ 5.3% ก่อนจะลดลงมาที่ระดับ 2.9% ในปีหน้า และลงไปที่ระดับ 2.1% ในปี 2025 ซึ่งยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการก่อนปัจจัยด้านวิกฤตสถาบันการเงินจะปะทุขึ้นช่วงสัปดาห์นี้
ที่ผ่านมา ECB ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วเพื่อลดความร้อนแรงของภาวะเงินเฟ้อในภูมิภาค แต่ความวุ่นวายในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก อันเป็นผลมาจากการล้มของธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ หรือ SVB ของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนได้สร้างความกังวลถึงแผนการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่ง ECB ระบุว่าจะติดตามความตึงเครียดในตลาดเงินตลาดทุนที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและพร้อมจะใช้มาตรการตอบโต้หากจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและด้านการเงินในกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรต่อไป
หุ้นภาคธนาคารในกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร หรือ ยูโรโซน ร่วงหนักในสัปดาห์นี้ ในช่วงแรกนั้นเป็นผลจากเหตุธนาคาร SVB ล้ม และร่วงหนักอีกระลอกเมื่อวันพุธจากกรณีที่ธนาคารเครดิตสวิส (Credit Suisse) สถาบันการเงินขนาดใหญ่อันดับสองของสวิตเซอร์แลนด์ กำลังประสบปัญหาการเงิน และมีความเสี่ยงที่จะต้องล้มลงตามสถาบันการเงินหลายแห่งในสหรัฐฯ ก่อนที่ทางธนาคารแห่งชาติสวิส (Swiss National Bank) จะเข้ามาช่วยเหลือด้วยเงินกู้ 54,000 ล้านดอลลาร์เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ และดันหุ้นธนาคารเครดิตสวิสขึ้นมาราว 20% เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มธนาคารอื่น ๆ
ประเด็นที่ทาง ECB แสดงความกังวล คือ นโยบายการเงินของ ECB ที่ทำผ่านระบบธนาคาร และวิกฤตการเงินอย่างเต็มรูปแบบอาจทำให้นโยบายของธนาคารกลางไร้ประสิทธิภาพได้ ทำให้ตอนนี้ ECB อยู่ระหว่างเส้นทางของการต่อสู้กับเงินเฟ้อที่สูงกว่าระดับเป้าหมายไปมาก ในขณะที่ต้องรักษาเสถียรภาพทางการเงินท่ามกลางวิกฤตทั่วโลก
อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/ecb-raises-rates-as-planned-despite-banking-turmoil/7008273.html
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
“เวียดนาม” เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีเศรษฐกิจน่าสนใจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา GDP ของเวียดนามเพิ่มขึ้นกว่า 8% แตะระดับ 6.5% ถือเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่ปี 2540 เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความโดดเด่นทางเศรษฐกิจในบรรดาประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN)
บทความนี้จึงขอพาทุกคนไปส่อง 10 ธุรกิจที่เป็นดาวเด่นในประเทศเวียดนาม จะมีธุรกิจอะไรบ้าง? แต่ละธุรกิจมีจุดเด่นอะไรถึงกลายเป็นดาวเด่นของเวียดนาม? ลองมาดูกัน!
อ่านเพิ่มเติม MEVT Call : เวียดนาม ถูกและดี มีอยู่จริง!
‘Vietcombank’ หรือ ‘Joint Stock Commercial Bank for Foreign Trade of Vietnam’ ก่อตั้งขึ้นในปี 1963 เป็นสถาบันการเงินที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในเวียดนาม ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 18.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566) โดยให้บริการผลิตภัณฑ์ด้านการธนาคารพาณิชย์แก่ลูกค้าบุคคลและลูกค้าองค์กรแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านเงินฝาก สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงบริการซื้อขายหลักทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมต่างประเทศ เช่น การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การจัดหาเงินทุนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ
ปัจจุบัน Vietcombank มีสาขาธนาคารมากกว่า 100 แห่ง ในเวียดนาม นอกจากนี้ยังลงทุนในบริษัทย่อยกว่า 10 บริษัท ซึ่งได้แก่ Vietcombank Financial Leasing, Vietcombank Securities, Vietcombank Tower 198, Vietnam Finance, Vietcombank Laos, Vietcombank Money, Vietcombank Remittance, Vietcombank – Bonday – Ben Thanh, Vietcombank Fund Management, Vietcombank – Cardif Life Insurance และ Vietcombank Bonday
‘Hoa Phat’ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตชั้นนำในเวียดนามที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1992 โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้าง และค่อย ๆ ขยายธุรกิจไปสู่การผลิตและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ท่อเหล็ก เหล็ก เครื่องทำความเย็น อสังหาริมทรัพย์ และการเกษตร
Hoa Phat Group ประกอบธุรกิจด้านการผลิตเหล็กเป็นหลัก โดยคิดเป็นรายได้และกำไรกว่า 80-90% ของกลุ่มบริษัท ด้วยกำลังการผลิตเหล็กดิบ 8 ล้านตันต่อปี พร้อมกับความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเหล็กยาวนานกว่า 30 ปี ส่งผลให้ Hoa Phat Group ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในเวียดนามสำหรับตลาดเหล็กก่อสร้าง ท่อเหล็ก และเนื้อวัวออสเตรเลีย ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 4.90 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566) นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
‘VP Bank’ หรือ ‘Vietnam Prosperity Joint Stock Commercial Bank’ เป็นผู้ให้บริการทางการเงินตั้งแต่ปี 1993 และเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทั้งในด้านขนาดสินทรัพย์และฐานลูกค้า โดยเป็นสถาบันการเงินที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดเป็นอันดับ 4 ในเวียดนาม ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 4.82 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566)
VP Bank ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินที่หลากหลายแก่องค์กรและบุคคลทั่วไปในเวียดนาม เช่น บัญชีกระแสรายวันและออมทรัพย์ เงินฝากประจำและเงินฝากเผื่อเรียก สินเชื่อ บัตรเครดิตและบัตรเดบิต การโอนเงินระหว่างประเทศ การจัดหาเงินทุนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนบริการด้านประกัน เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันรถจักรยานยนต์ และประกันสินเชื่อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น ธนาคารบนมือถือและอินเทอร์เน็ตเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมสำหรับลูกค้าที่อยู่ในเวียดนามและต่างประเทศ
‘FPT’ หรือ ‘FPT Corporation’ ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 3.70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566)
ปัจจุบัน FPT ดำเนินธุรกิจ 3 ภาคส่วน ผ่าน 10 บริษัทย่อยในเครือที่ให้บริการในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ได้แก่ 1.) ภาคส่วนเทคโนโลยี เป็นผู้ให้บริการโซลูชันดิจิทัลสำหรับบริการสำหรับการเงินและการธนาคาร และบริการด้านสุขภาพ ผลิตแผงวงจรขนาดเล็ก (microcircuit) ขายปลีกคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ 2.) ภาคส่วนโทรคมนาคม เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตชั้นนำของเวียดนาม ผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท เช่น FPT Internet ให้บริการอินเทอร์เน็ตด้วยแพ็คเกจที่หลากหลาย, FPT Television ให้บริการโทรทัศน์ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ และ iOT/Smart Home เป็นต้น และ 3.) ภาคส่วนการศึกษา มีการขยายธุรกิจไปสู่ภาคการศึกษาอย่างเต็มรูปแบบผ่าน ‘FPT Education’ พร้อมเปิดรับนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา
‘MB Bank’ หรือ ‘Military Commercial Joint Stock Bank’ ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 เป็นผู้ให้บริการด้านการธนาคารแก่องค์กรและบุคคลทั่วไปในเวียดนามและต่างประเทศที่มีความโดดเด่นจากธนาคารอื่น ๆ ในเวียดนามด้วยการให้บริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูง และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำ ปัจจุบัน MB Bank มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566)
MB Bank นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านการธนาคารแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ บัญชีเงินฝากประจำ บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ สินเชื่อเพื่อผู้บริโภค บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และบริการธนาคารดิจิทัล ตลอดจนบริการจัดการหนี้และสินทรัพย์ นอกจากนี้ธนาคารยังเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมให้บริการที่เกี่ยวข้องการลงทุนและซื้อขายหลักทรัพย์ การจัดการกองทุนรวม การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงบริการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันวินาศภัย
‘Sacombank’ หรือ ‘Saigon Thuong Tin Commercial Joint Stock Bank’ ก่อตั้งขึ้นในปี 1991 เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการด้านการธนาคารที่หลากหลายแก่ลูกค้าบุคคลและลูกค้าองค์กรในเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็น บัญชีกระแสรายวัน บัญชีออมทรัพย์ และเงินฝากประจำ บัตรเดบิตและบัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อธุรกิจ สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และสินเชื่อวิสาหกิจขนาดลางและขนาดย่อม (SME) บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ตลอดจนนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและประกันวินาศภัย นอกจากนี้ธนาคารยังมีส่วนร่วมในการระดมทุน เช่า ผลิต และค้าทองคำและเครื่องประดับ รวมถึงขายปลีกทองคำ เงิน เพชรพลอย และเครื่องประดับอีกด้วย
ปัจจุบัน Sacombank มีมูลค่าบริษัทกว่า 1.88 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566) โดยให้บริการลูกค้ามากกว่า 6 ล้านคนทั่วทั้งเวียดนามผ่านเครือข่ายสาขาธนาคารกว่า 500 แห่ง ซึ่งหลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ในปี 2549 Sacombank ได้กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมธนาคาร ด้วยบริการด้านการธนาคารที่หลากหลายทำให้ธนาคารมีความโดนเด่นต่างจากธนาคารอื่น ๆ ในเวียดนาม
‘Phu Nhuan Jewelry’ หรือ ‘Phu Nhuan Jewelry Joint Stock Company’ ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 เป็นผู้ผลิต ค้าปลีก นำเข้าและส่งออกทองคำ เงิน เครื่องประดับ และอัญมณีในเวียดนาม บริษัทนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ในเครือ ได้แก่ CAO Fine Jewellery, PNJ Gold Jewelry, PNJ Silver, Style By PNJ, Disney, PNJ Art และ PNJ Watch โดยส่งออกผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปยัง 13 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบริการตรวจสอบและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ PNJ Lab อีกด้วย
ณ วันที่ 28 ก.พ. 2565 Phu Nhuan Jewelry มีร้านทอง 320 สาขา, ร้านเงิน 11 สาขา, ร้าน CAO Fine Jewellery 3 สาขา, ร้านนาฬิกา 89 สาขา รวมถึงช่องทางจำหน่ายสินค้าออนไลน์ โดยปัจจุบัน Phu Nhuan Jewelry มีมูลค่าบริษัทกว่า 1.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566)
‘Phu My Fertilizer Plant’ หรือ ‘PetroVietnam Fertilizer and Chemicals Corporation’ หนึ่งในบริษัทในเครือของ Vietnam Oil and Gas Group (Petrovietnam) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ย แอมโมเนียเหลว ก๊าซ และผลิตภัณฑ์เคมีอื่น ๆ สำหรับการเกษตรและอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซทั้งในเวียดนามและต่างประเทศ
นอกจากนี้บริษัทยังมีส่วนร่วมในการผลิตและการจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การขายส่งผลิตผลทางการเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุ และการขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือ ตลอดจนให้บริการขนส่งสินค้าทางบกและทางน้ำ และบริการคลังสินค้า ปัจจุบัน Phu My Fertilizer Plant มีมูลค่าตลาดกว่า 577.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566)
‘PV Drilling’ หรือ ‘PetroVietnam Drilling & Well Service Corporation’ อีกหนึ่งในบริษัทในเครือของ Vietnam Oil and Gas Group (Petrovietnam) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 เป็นผู้ให้บริการมืออาชีพด้านแท่นขุดเจาะ รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะแก่อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซทั้งในเวียดนามและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบ ตรวจสอบ ซ่อมแซม และบำรุงรักษา ตลอดจนการจัดหากำลังคนสำหรับดำเนินการขุดเจาะบนบกและนอกชายฝั่ง ปัจจุบัน PV Drilling มีมูลค่าบริษัทกว่า 496.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566)
‘Ha Do Group’ หรือ ‘Ha Do Group Joint Stock Company’ ก่อตั้งขึ้นในปี 1990 ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ การพัฒนาด้านพลังงาน และการก่อสร้างในเวียดนาม บริษัทมีส่วนร่วมในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธา อุตสาหกรรม และการขนส่ง การชลประทาน ไฟฟ้าพลังน้ำ และระบบสาธารณูปโภค (M&E) รวมถึงบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบและก่อสร้าง การพัฒนาและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ บริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนและจำหน่ายโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนบริการเดินเครื่องสำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ นอกจากนี้บริษัทยังลงทุนในธุรกิจรีสอร์ต โรงแรม และร้านอาหารอีกด้วย ปัจจุบัน Ha Do Group มีมูลค่าบริษัทกว่า 303.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566)
.
ใครสนใจลงทุนในธุรกิจดาวเด่นของเวียดนามทั้ง 10 บริษัทนี้ สามารถลงทุนได้ผ่านกองทุนที่ทาง FINNOMENA ได้มีการทำ MEVT Call อย่างกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนหุ้นเวียดนามจาก บลจ. PRINCIPAL บริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในเวียดนาม พร้อมรับโอกาสเติบโตไปกับเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม
อ่านบทความ “รีวิวกองทุน Principal VNEQ-A: กองทุนผลตอบแทนโดดเด่น รับโอกาสเติบโตของประเทศเวียดนาม”
คัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพกับ “MEVT Call”
👉 ลงทุนใน MEVT Call คลิก >>> https://finno.me/mevt-web
ยิ่งลงทุนเยอะ ยิ่งได้ Cashback คุ้มกว่า สูงสุด 20%!!!
“FINT Cashback” ฟีเจอร์ใหม่จาก FINNOMENA
ลูกค้าจะได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียม “Front-end-fee” สำหรับ “การซื้อกองทุน” ได้สูงสุด 20%
ยิ่งซื้อมากขึ้นยิ่งลดมากกว่า ลงทุนกับเราเลย
ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขกิจกรรมได้ที่ https://finno.me/cashback-ac
— planet 46.
อ้างอิง
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้
ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่อั
ขณะเดียวกันหากลงทุนในตราสารหนี้ โดยคาดหวังที่อัตราผลตอบแทน ก็
ด้วยเหตุนี้เอง การลงทุนด้วย “วิ
กองทุน Double Shark – Fin เป็นกองทุนที่มี
วิธีการสร้างคุณสมบัติ Capital
ส่วนคุณสมบัติที่สอง คือ การสร้
ยกตัวอย่างกองทุน Double Shark
กรณีที่ 2: กรณีที่เกิน Knock-out Barrier
จะเห็นได้ว่าความน่
ตัวอย่างการกำหนดผผลตอบแทนให้ผู้
ธนาคารทิสโก้แนะนำ กองทุนแบบ Do
เนื่องจาก นักลงทุนกลุ่มนี้ ยั
กองทุนแบบ Double Shark Fin เงิ
=============================
TISCO Advisory
ที่มาบทความ: https://www.tiscowealth.com/article/investment-advisory.html
ธนาคาร Credit Suisse เป็นธนาคารระดับโลกที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1856 และตั้งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซูริก และมีสำนักงานอยู่ในศูนย์การเงินหลักทุกแห่งทั่วโลก
Credit Suisse (CS) ถือเป็น 1 ใน 9 ธนาคารระดับโลก “Bulge Bracket” ซึ่งหมายถึงธนาคารขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลมาก ๆ ต่อระบบการเงินโลก ประกอบไปด้วย
โดยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ที่ออกสู่ตลาด มักจะมาจากไม่เจ้าใดเจ้าหนึ่งใน 9 ธนาคารนี้เป็นอันดับแรก ก่อนกระจายไปขายกันทั้งโลกในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็น mortgage-backed securities (MBS) ช่วงปี 1980s, credit default swaps ในปี 1990s, cllaoteralized debt obligations (CDO) นับตั้งแต่ปี 2000
รวมถึงการทำ carbon emission trading และ insurance-linked products ที่เสนอขายกันอย่างแพร่หลายในกลุ่มลูกค้า High Net Worth ในปัจจุบัน
และที่สำคัญธนาคาร 9 แห่งนี้ ถือเป็น primary dealers สำหรับ US treasury ซึ่งมีปริมาณการเทรดเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลแห่งอื่น ๆ บนโลก นั่นยิ่งทำให้อิทธิพลของ 9 ธนาคารนี้ต่อระบบการเงินโลกสูงทีเดียว
10 ปีที่ผ่านมา Net Income ของ Credit Suisse เป็นตามนี้
2012 $1,440 Million
2013 $2,511 Million
2014 $2,052 Million
2015 -$3,064 Million
2016 -$2,751 Million
2017 -$999 Million
2018 $2,069 Million
2019 $3,441 Million
2020 $2,847 Million
2021 -$1,805 Million
2022 -$7,642 Million
ซึ่งหากเอาผลการดำเนินงาน 10 ปีมารวมกัน จะพบว่า Credit Suisse มีผลขาดทุน -$1,901 Million ถือว่าน่าเป็นห่วงทีเดียว
ในฝั่งของราคาหุ้นก็เป็นขาลงมาอย่างยาวนาน จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนเม.ย. 2007 ที่ $77 ล่าสุดตอนนี้เทรดอยู่ที่ $2.07 หรือ ปรับฐานลงมา -97% ขณะที่ Market Cap เคยทำจุดสุงสุดในปี 2006 ที่ราวๆ $89 billion มาวันนี้ เหลือแค่ $7.9 billion
การขาดทุนของ Credit Suisse ที่ทำให้ตลาดวิตกกังวลครั้งแรกคือในปี 2015 ต่อเนื่องมาปี 2016 สาเหตุมาจากการตัดหนี้สูญของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่เป็นผลพ่วงมาจากหลังวิกฤต subprime ปี 2008 และ euro debt crisis ในปี 2009 รวมถึง การซื้อขายที่ผิดพลาดของโต๊ะเทรดและต้องรับรู้ผลขาดทุนมโหฬาร
ธนาคารก็พยายามปรับโครงสร้างภายใน และเปลี่ยนผู้บริหารมาเรื่อย ๆ ซึ่งเหมือนผลประกอบการของบริษัทจะดีขึ้นหลังจากนั้นแต่จนกระทั่งปี 2021….
Credit Suisse ก็ตกเป็นข่าวร่วมกับธนาคารยักษ์ใหญ่ ๆ หลายๆแห่ง กับกรณี Archegos Capital จากการไปร่วมปล่อยกู้ Margin Loan เพื่อให้ Hedge Fund รายนี้ไปลงทุน
เพราะหุ้นที่ Archegos เข้าลงทุนกลับร่วงลงรุนแรง ทำให้สถาบันการเงินเหล่านี้ต้องเรียก Archegos ให้หาหลักประกันมาวางเพิ่ม (Margin Call) เมื่อ Archegos หาหลักประกันเพิ่มให้ไม่ได้ ก็ต้องสั่งบังคับขาย (Force Sell) และนำมาซึ่งการขาดทุนของ 2 ธนาคารยักษ์ใหญ่ เจ้าหนึ่งคือ Nomura และอีกเจ้าคือ Credit Suisse
เฉพาะการบังคับขายขาดทุนหุ้นในพอร์ตของ Archegos ตอนนั้น CS เจอขาดทุนไป 5 พันล้านดอลล่าร์ ขณะที่ Nomura โดนไปเกือบ ๆ 3 พันล้านดอลลาร์
และถ้ารวมทุกธนาคารรวมกันที่เสียหายจากเหตุการณ์นี้ ก็มากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ทีเดียว
แล้วปี 2022 ทำไม Credit Suisse ยังขาดทุน?
คำตอบคือ ตลาดทุนเข้าสู่การปรับฐานทั้งปี ดูได้จากดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะเดียวกัน ฝั่งตลาดตราสารหนี้ก็มีปัญหาจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของเฟดและ ECB เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ทำให้รายได้จาก wealth management กับเทรดบอนด์หายไป
ทำไมตลาดมาให้ความสนใจกับ Credit Suisse ตอนนี้?
เพราะ CDS ซึ่งเป็นตราสารอนุพันธ์ที่ประกันการผิดนัดชำระหนี้ที่เจ้าหนี้ของ Credit Suisse ราคาพุ่งทำ All Time High ซึ่งมันแปลว่า นักลงทุนมองว่า ธนาคารมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้และล้มละลายมาก ๆ ให้โอกาสล้มสูงถึง 47% ทีเดียว
ซึ่งด้วยความที่เป็นธนาคารขนาดใหญ่ และมีปัญหามาก่อน จึงทำให้ถูกนักลงทุนโฟกัสว่า เหตุการณ์ที่เกิดกับ SVB จะลุกลามเป็นโดมิโนมาที่ธนาคารฝั่งยุโรปหรือไม่
ตอนนี้เราเห็นเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลิดภัยต่อเนื่อง ตัวแรกคือ ทอง ซึ่งทดสอบ $1,930 อยู่ตอนนี้
ฝั่งตลาดตราสารหนี้ มองภาย US Treasury ก็พบว่า ทั้งพันธบัตรอายุ 2 ปี และ 10 ปี มีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่องจน yield ปรับลดลงเหลือ 3.87% และ 3.45% ตามลำดับ
ส่วน Dollar Index ก็เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ทะลุเหนือ 104 จุดอีกรอบ
ปัญหาสภาพคล่อง จาก SVB, Signature Bank ลามมาที่ CS ณ ตอนนี้ ถ้าจะถามว่า เราอยู่ในวิกฤตแล้วหรือยัง?
ความเห็นส่วนตัว ผมมองว่า เราอยู่ในวิกฤตแล้วครับ!!
แต่… จะออกจากวิกฤตเร็วช้า ตลาดหุ้นจะลงนานไหม ต้องไปดู action จาก Policy Maker ครับว่าตลาดพอใจ และ “เอาอยู่” จริงหรือเปล่า
ซึ่งตอนนี้ตลาดคิดแล้วว่า มีโอกาสมากกว่า 60% ทีเดียว ที่เฟดจะพิจารณาไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 22 มี.ค.
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตาม
แหล่งที่มาข้อมูล :-
https://www.macrotrends.net/stocks/charts/CS/credit-suisse-group/net-income
https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-04-27/nomura-ubs-take-global-banks-archegos-hit-to-over-10-billion?sref=e4t2werz#xj4y7vzkg
https://www.cnbc.com/2023/03/15/stocks-making-the-biggest-moves-premarket-cs-len-pacw.html
https://www.cnbc.com/2023/03/15/gold-in-tight-range-with-focus-on-feds-rate-hike-moves.html
Mr.Messenger รายงาน
รับคำปรึกษาจาก Investment Advisor เกี่ยวกับพอร์ต All Balance ฟรี! คลิกเลย >> รับคำปรึกษาลงทุน <<
เมื่อพูดถึงการจัดพอร์ตลงทุน เป้าหมายหลักของทุกคนมักจะหนีไม่พ้นเพื่อการเก็บเงินก้อนให้ได้อย่างที่ตัวเองฝันไว้ จะสิบล้าน ยี่สิบล้าน หรือร้อยล้านก็ตามแต่ศักยภาพในการหารายได้ของแต่ละคน และนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อให้งอกเงยไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ พอร์ต All Balance เป็นพอร์ตการลงทุนแนะนำที่เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง มีการสร้างสมดุลด้วยการกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์หลัก บนเป้าหมายผลตอบแทน 7 – 9% ต่อปี และมีระดับความผันผวนที่ต่ำกว่าตลาดหุ้น
สัดส่วนการลงทุน ณ เดือนมีนาคม 2566
ตรวจสอบสัดส่วนปัจจุบันได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/all-balance
พอร์ต All Balance สร้างด้วย Black Litterman Model ที่พิจารณาทั้งผลตอบแทน ความผันผวน และความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ ซึ่งเป็นการพิจารณาข้อมูลแบบ Historical นอกจากนี้ Model ดังกล่าวยังใช้ข้อมูลมุมมองการลงทุนของ Investment Team เพื่อตัดสินใจเลือกสินทรัพย์
การใช้ Black Litterman Model จึงเหมาะสมกับนักลงทุนในปัจจุบันเนื่องจากเป็นการผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีผ่าน Historical Data และประสบการณ์ผ่านมุมมองการลงทุนของ Investment Team
สัดส่วนการลงทุน ณ เดือนมีนาคม 2566
ตรวจสอบสัดส่วนปัจจุบันได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/all-balance
พอร์ตการลงทุน All Balance ที่ได้จาก Black Litterman Model พบว่ามีสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนที่ 50% ซึ่งมีการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนหุ้น 3 กองทุน ประกอบไปด้วย
กองทุนหุ้นทั่วโลก มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตในระยะยาวของกองทุน ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะเน้เนการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศของโลกในอนาคต
กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ เน้นลงทุนในหุ้นของที่จดทะเบียนในประเทศภูมิภาคเอเชีย รวมถึงจดทะเบียนในประเทศที่อยู่นอกภูมิภาคเอเชีย แต่ดำเนินธุรกิจหลักในประเทศภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้จะไม่รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
กองทุนหุ้นเวียดนาม มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมทั้งหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องหรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม
และพอร์ต All Balance มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ 25% ซึ่งลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้โลกที่เปิดโอกาสการลงทุนและช่วยกระจายความเสี่ยงไปในเวลาเดียวกัน
กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง เน้นลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในตราสารหน้ี เงินฝาก ตราสารเทียบเท่าเงินฝากที่ออกรับรองรับอาวัล หรือค้ำประกันการจ่ายเงินโดยภาครัฐบาล รัฐวสิาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน
กองทุนตราสารหนี้ทั่วโลกซึ่งมีกองทุนแม่จาก PIMCO ที่ขึ้นชื่อด้านตราสารหนี้ ลงทุนแบบ Active ในตราสารหนี้ทั่วโลก เน้นการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนขณะเดียวกันยังช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอีกด้วย
และสัดส่วนที่เหลือของพอร์ต All Balance เข้าลงทุนในตราสารทางเลือก 25% อันประกอบไปด้วย Property Fund & REITs และทองคำ
กองทุนรวม Property Fund & REITs ไทยและต่างประเทศ ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active เน้นการลงทุนในไทยและสิงคโปร์เป็นหลัก เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และสร้างผลตอบแทนจาก REITs ทั้งจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นและการปันผลที่มีอัตราสูงเมื่อเทียบกับทั่วโลก
ลงทุนใน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการลงทุนในทองคำอันเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนในระยะยาวทั้งจากอัตราเงินเฟ้อและความเสี่ยงทั้งทางการเงินและการเมือง
พอร์ต All Balance นั้นถูกสร้างโดยใช้โมเดลเดียวกับพอร์ต GOAL ของทาง FINNOMENA ซึ่งเริ่มลงทุนจริงตั้งแต่ปี 2017 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยจะปรับตัวลงในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมานั้น แต่ข้อดีของ Black Litterman Model คือการที่เราสามารถใส่มุมมองการลงทุนระยะยาวของ Investment Team ซึ่งเรามีมุมมองว่า SET จะทำผลงานได้ไม่ดีนักเนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นโลก หรือหุ้นเอเชีย
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ข้อดีที่สำคัญของการลงทุนในพอร์ต All Balance คือการมีทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนจากฟินโนมีนามาทำการอัปเดต Black Litterman ให้อย่างต่อเนื่องทุกปีเพื่อทำการปรับสัดส่วนการจัดสรรการลงทุนในแต่ละชนิดหลักทรัพย์ ทำการเลือกกองทุนที่มีแนวโน้มที่ดีจากทุกกองทุนที่มีในท้องตลาด และส่งคำแนะนำการปรับพอร์ตให้กับผู้ดูแลของนักลงทุน รวมถึงแจ้งเตือนทางอีเมล และระบบ Notification ของแอปฯ
นอกจากนี้ยังมีบริการ Rebalance คือการเข้าซื้อเพิ่มในกรณีที่สินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งในพอร์ตราคาปรับลงมาก การขายทำกำไรในกรณีที่สินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก หรือเป็นกลไกการ “ซื้อถูก ขายแพง” นั่นเอง ซึ่งเป็นอีกกลไกหนึ่งที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
พอร์ต All Balance เหมาะกับท่านนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง และต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างผลตอบแทนทบต้นบนเป้าหมาย 7- 9% ต่อปี ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนของคุณเติบโตเป็นสองเท่าในระยะเวลาประมาณทุก ๆ 9 ปี
โดยนักลงทุนสามารถเพิ่มเงินลงทุน ทั้งลักษณะการลงทุนเป็นเงินก้อน และการซื้อสม่ำเสมอเป็นรายเดือน (DCA) ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเงินของท่านจะถูกกระจายลงทุนในหลายชนิดสินทรัพย์อย่างสมดุล ซึ่งจะเป็นการทำให้เงินลงทุนเติบโตไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้เร็วขึ้น
โดยสรุป พอร์ต All Balance เป็นพอร์ตการลงทุนแนะนำที่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาวเพื่อเป้าหมายการเก็บเงินก้อน โดยเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง มีการสร้างสมดุลโดยกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์หลัก บนเป้าหมายผลตอบแทน 7 – 9% ต่อปี และมีระดับความผันผวนที่ต่ำกว่าตลาดหุ้น โดยทาง FINNOMENA Investment Team จะมีการปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับมุมมองระยะยาว และการทำ Rebalance พอร์ตให้ต่อเนื่องตลอดระยะเวลาลงทุน
FINNOMENA Investment Team
เริ่มต้นสร้างแผน All Balance ได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/all-balance
รับคำปรึกษาจาก Investment Advisor เกี่ยวกับพอร์ต All Balance ฟรี! คลิกเลย >> รับคำปรึกษาลงทุน <<
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน I สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากลงทุนในระยะกลาง เพื่อสร้างโอกาสทำกำไร แต่กังวลตลาด ไม่มีความมั่นใจในการเลือกกองทุน ไม่รู้ว่าจะลงทุนตอนไหนดี หรือลงทุนแต่หาจังหวะจุดเข้า-ออกไม่ได้
ลองให้ MEVT Call หรือเมพคอล ช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะ MEVT Call เป็นตัวช่วยแนะนำการลงทุนรูปแบบใหม่ ของนักลงทุนปี 2023 ในการคัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพ เพื่อให้การลงทุนของคุณมีคุณภาพ ผ่านการคิดวิเคราะห์ที่รอบด้าน
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนกับ FINNOMENA อยู่แล้ว และอยากรู้จัก MEVT Call ให้มากขึ้นไปอีก วันนี้ FINNOMENA จะขอพาทุกคนไปเจาะลึกกับ MEVT Call ว่ามีอะไรดี ทำไมถึงมีความน่าสนใจ ?
MEVT Call หรือ เมพคอล คือ คำแนะนำการลงทุนแบบใหม่จาก FINNOMENA Investment Team ที่เป็นตัวช่วยในการคัดเลือกกองทุนอย่างเมพในจังหวะขั้นเทพ โดยจะเน้นเจาะโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework เน้นปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิคมาประกอบ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันผ่านกรอบการลงทุน 4 ด้าน ได้แก่
Macro (มหภาค)
– ปัจจัยเชิงมหภาค เงินเฟ้อ นโยบายการเงินและการคลัง ประชากรศาสตร์ และอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อหาโอกาสการลงทุนที่เหมาะสม
Earnings (กำไร)
– วิเคราะห์การเติบโตของกำไร แนวโน้มการปรับประมาณการกำไร และงบดุลของบริษัท
Valuation (มูลค่า)
– การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุนว่ามีความน่าสนใจมากขนาดไหน เพื่อแนะนำเข้าลงทุนในราคาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้
Technical (เทคนิค)
– ปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยเชิงพื้นฐาน เช่น fund flow, sentiment, seasonal statistic และ technical analysis เพื่อการลงทุนที่รอบด้าน นำไปสู่การลงทุนที่ดีกว่า
– MEVT Call จะเน้นหาโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework ทั้ง 4 ด้าน ที่จะเน้นไปทางปัจจัยพื้นฐาน และมีปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาวิเคราะห์ประกอบ ในกรอบระยะการลงทุน 6-12 เดือน (ระยะกลาง) ส่วนการแจ้งจุดออกจะมาจากทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยด้านเทคนิคเช่นกัน
– Tactical Call จะเน้นการลงทุนแบบเก็งกำไรในกรอบระยะเวลาที่สั้น 1-3 เดือน โดยหาสัญญาณการเข้า-ออก จากการลงทุนผ่านปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก และการแจ้งจุดออกจะมาจากปัจจัยทางเทคนิคอย่างเดียว
รายชื่อกองทุน ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566
ปัจจุบัน FINNOMENA ได้ใช้ MEVT Call ในการจับจังหวะกองทุน ทั้งหมด 3 กองทุน ได้แก่
1. ตราสารหนี้โลก UGIS-N และ UGIS-A
อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : คว้าโอกาสลงทุนตราสารหนี้โลก
2. หุ้นจีน K-CHINA-A(A)
อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : รักใครให้ซื้อจีน
3.หุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A
อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : เวียดนาม ถูกและดี มีอยู่จริง!
1. วิเคราะห์จุดเข้าด้วยปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิคประกอบ
2. คัดกรองกองทุนที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา
3. แจ้งเตือนจุดออก (Exit Strategy) เมื่อปัจจัยเปลี่ยนไป
4. มีกระบวนการคัดเลือกสินทรัพย์ ที่มีศักยภาพในการเติบโต
ให้ MEVT Call ช่วยคุณในการลงทุน
คัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพกับ “MEVT Call”
👉 ลงทุนใน MEVT Call คลิก >>> https://finno.me/mevt-web
อัตราเงินเฟ้อสหรัฐล่าสุด เดือนกุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 6.0% ตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นไม่ตรงกันว่าตัวเลขนี้มากพอหรือไม่ที่จะผลักดันให้เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย หลังจากธนาคารเกิดวิกฤติ Bank run
ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า สำนักสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกา แถลงดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI) หรือมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตารอคอย รวมถึงผู้กำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐที่กำลังเจอทางแยกอันท้าทายระหว่างการสู้เงินเฟ้อ กับการรักษาเสถียรภาพของตลาด-ภาคการเงิน และการเติบโตของเศรษฐกิจ
ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เพิ่มขึ้น 6.0% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ซึ่งหมายถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 6.0% ชะลอลงมาจากอัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคม 2566 ซึ่งอยู่ที่ 6.4% และนับเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 17 เดือน นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 ซึ่งอยู่ระดับ 5.4%
เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกุมภาพันธ์ 2566 (หลังปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว) เพิ่มขึ้น 0.4% เป็นการเพิ่มรายเดือนในอัตราชะลอลงจากเดือนมกราคม ที่ CPI เพิ่ม 0.5% จากเดือนธันวาคม 2565
หมวดสินค้าที่เป็นปัจจัยหนุนดัชนีราคาผู้บริโภคมากที่สุดคือ ที่พักอาศัย ซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของการเพิ่มขึ้นทั้งหมด ตามมาด้วยราคาอาหาร ค่าสันทนาการ ราคาของตกแต่งบ้านและสำนักงาน
ทั้งนี้ ดัชนีอาหารเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.4% ส่วนดัชนีพลังงานลดลง 0.6% และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ดัชนีราคาอาหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เพิ่มขึ้น 9.5% ส่วนดัชนีราคาพลังงานเพิ่มขึ้น 5.2%
ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core Consumer Price Index : CPI) ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เพิ่มขึ้น 5.5% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งหมายถึงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนกุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 5.5% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ซึ่องยู่ที่ 5.5% เช่นกัน
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อ 6.0% เป็นไปตามการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ลงควมเห็นในการสำรวจของ Reuters ก่อนหน้านี้ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นไม่ตรงกันว่า ตัวเลขดังกล่าวจะเพียงพอหรือไม่ที่จะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในสัปดาห์หน้า หลังจากธนาคารในสหรัฐสองแห่งเกิดวิกฤติ Bank run
ตอนนี้การคาดการณ์เงินเฟ้อของตลาดแยกออกเป็นสองมุมมอง โดยส่วนมากในตลาดมองว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% และมีมุมมองอีกส่วนหนึ่งที่มองว่าเฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราวในการประชุมครั้งที่จะถึงนี้ แล้วค่อยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไปในการประชุมครั้งถัดไป
อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1232124
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ในยุทธจักรมังกรหยก ก๊วยเจ๋ง ขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้าด้วยการผสานวิชาจากหลายสำนักมากกว่าที่จะเรียนเคล็ดความสำเร็จจากสำนักใดเพียงสำนักหนึ่ง เขาเติบโตในทัพมองโกล เรียนลมปราณจากนักพรตนิกายช้วนจิน สืบทอด 18 ฝ่ามือพิชิตมังกรจากประมุขพรรคกระยาจก ถกวิชากับเฒ่าทารก ก่อนจะบรรลุยอดวิทยายุทธจากคัมภีร์เก้าอิม
ทอดตาไปในยุทธจักรการลงทุน 2 สำนักใหญ่ที่ทรงอิทธิพลประกอบด้วยสำนักพื้นฐาน (fundamental analysis) และสำนักเทคนิค (technical analysis) ทว่ายอดฝีมือบางคนกลับสามารถผสานวรยุทธสองแนวทางออกมาเป็นการลงทุนแบบ “พื้นฐานผสานเทคนิค” หรือ Techno-fundamental analysis ที่นำปัจจัยทั้งสองแบบเข้ามาเป็นตัวกำหนดการลงทุน
ยอดยุทธผู้นั้นมีนามว่า William J. O’Neil
1930 คือปีที่ปรากฏการณ์ Dust Bowl พายุฝุ่นครั้งใหญ่เริ่มกระหน่ำทำลายที่ราบตอนกลางอันแห้งแล้งของสหรัฐฯ ต่อเนื่องยาวนาน 6 ปี และก่อนหน้านั้นหนึ่งปีที่วอลสตรีท ตลาดหุ้นได้ถล่มลงมาจากการเก็งกำไรของนักลงทุนหลายล้านชีวิต นำไปสู่ภาวะตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ซึ่งเป็นเหมือนพายุลูกใหญ่ที่ม้วนกลืนเอาเศรษฐกิจสหรัฐฯ (และโลกที่กำลังฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 1) เข้าสู่ช่วงเวลาอันแสนลำบาก
มหันตภัยทั้งหมดคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ WIlliam O’Niel ชายผู้ที่จะเป็นอีกหนึ่งสุดยอดนักลงทุนในอนาคตจะเกิดมาในปี 1933 ณ โอคลาโฮมา หนึ่งในรัฐที่ได้รับผลกระทบหนักหนาจาก Dust Bowl และความยากลำบากเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นภูมิหลังของแรงผลักดันในการทำงานอันเข้มข้นและการเห็นถึงความสำคัญด้านการเงินของตัว O’Neil เอง
ปี 1955 คือปีที่มี 3 สิ่งเกิดขึ้นกับตัว William O’Neil ในวัย 21 ปี นั่นคือ 1) การจบการศึกษาด้านธุรกิจจาก Southern Methodist University 2) การเข้าสู่กองทัพอากาศสหรัฐฯ และที่สำคัญคือ 3) การชิมลางการลงทุนด้วยการซื้อหุ้นตัวแรกคือ Procter & Gamble จำนวน 5 หุ้น
แต่เส้นทางการเติบโตอันเร้าใจของเขาจะเริ่มขึ้นในอีก 3 ปีให้หลัง…
O’Neil เข้าสู่โลกการลงทุนเต็มตัวในปี 1958 ด้วยเลือดของนักสวนตลาดที่ไหลเวียนอยู่เต็มตัว เขาว่ายทวนกระแสของฝูงชนที่มุ่งหน้าสู่วอลสตรีทด้วยการเริ่มต้นเส้นทางอาชีพที่แคลิฟอร์เนียในฐานะนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ Hayden, Stone & Company
เขาเคยกล่าวเอาไว้ถึงสาเหตุตนที่ปฏิเสธเส้นทางอาชีพในวอลสตรีทว่า “ผมต้องการไปยังแอลเอเพราะผมคิดว่าที่นั่นมีอนาคตมากมาย”
แล้วก็เป็นที่นั่นเองที่เขาพบว่า การวิเคราะห์ข้อมูล คือกุญแจดอกสำคัญของความสำเร็จในการลงทุน และเขาก็กลายเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่นำคอมพิวเตอร์และฐานข้อมูลเข้ามาใช้ในการเทรดหุ้น
Charles Harris ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอจาก O’Neil Capital Management อธิบายถึงจุดเด่นของ “บิล” จากประสบการณ์ที่เคยทำงานร่วมกันว่า
สิ่งที่ทำให้บิลต่างไปจากคนอื่นคือความสามารถในการวางอารมณ์เอาไว้ห่างตัว แล้วทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ความเคลื่อนไหวของหุ้นและข้อมูลจริง
ความน่าสนใจก็คือว่า เมื่อพูดถึง “ข้อมูล” ในสารบบความคิดของ O’Neil เขาไม่ได้หมายถึงแค่ข้อมูลทางเทคนิคเท่านั้นแต่ยังนับรวมปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ เช่น ยอดขาย อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแม้แต่ทีมบริหาร เข้าไปในการวิเคราะห์อีกด้วย
และในเวลาต่อมาแนวคิดของเขาก็ถูกพิสูจน์ว่าใช้ได้จริงด้วยผลงานการลงทุนที่อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าสะท้านยุทธภพ
การลงทุนแบบผสมผสานผลิดอกบานสะพรั่งในปี 1962 ถึง 1963 เมื่อ William O’Neil สามารถลงทุนและเปลี่ยนเงิน 5,000 เหรียญให้กลายเป็น 200,000 เหรียญ (คิดเป็นเงินปัจจุบัน 1.5 ล้านเหรียญ) คิดเป็นการเติบโต 400% ภายในเวลาแค่ 1 ปี ด้วยขายชอร์ตหุ้น Korvette ลองหุ้น Chrysler และ ลองหุ้น Syntex
เขาต่อยอดความสำเร็จครั้งนี้ด้วยการก่อตั้ง William O’Neil + Co. บริษัทโบรกเกอร์เพื่อทำการวิจัยโดยมีการสร้างฐานข้อมูลรายวันที่ติดตามบริษัทกว่า 70,000 แห่งทั่วโลกเพื่อบริการแก่กลุ่มนักลงทุนสถาบัน ส่วนผลงานอื่น ๆ ของบริษัทคือการก่อตั้งกองทุนรวมที่ใช้เวลาแค่ 2 ปีก็กลายเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีผลงานระดับท็อปในสหรัฐฯ แถมบริษัทของเขาก็ยังได้รับความไว้วางใจจากวาติกันให้จัดการสินทรัพย์บางส่วนให้อีกด้วย
รูปภาพของ William J’ O’Neil Source: www.williamoneil.com
O’Neil ย้อนกลับไปอธิบายถึงงานอย่างแรกที่บริษัทของเขาทำ ในการให้สัมภาษณ์ในวาระครบรอบ 50 ปี William O’Neil + Co. เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมาว่า
ผลงานแรกที่ผมสร้างขึ้นคือชาร์ตที่ไม่ได้พูดถึงเพียงราคาและปริมาณหุ้นทั้งหมด แต่ยังรวมเอาปัจจัยพื้นฐานทุกแบบเข้าไปด้วยทั้งยอดขาย กำไร ไปจนถึงผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
นอกจากนี้ David Saito-Chung รองบรรณาธิการสายตลาดหุ้นของ Investor’s Business Daily (IBD คือหนังสือพิมพ์ด้านการลงทุนซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของ O’Neil) เคยเขียนบทความเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตและการลงทุนของ O’Neil โดยช่วงหนึ่งของบทความมีการอธิบายว่าทำไมนักลงทุนผู้นี้ถึงให้ความสำคัญกับปัจจัยทั้งสองแบบเอาไว้อย่างแจ่มแจ้ง ดังนี้
เขาเป็นคนแรกๆ ที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญของหุ้น และยังเป็นคนแรกๆ ที่เอาปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มการซื้อขายมารวมเอาไว้ในกราฟหุ้น เพราะเขามองว่าปัจจัยพื้นฐานคือสิ่งสำคัญในการคัดเลือกบริษัทที่ดี และมองว่าปัจจัยเทคนิคจะช่วยให้เข้าหุ้นเหล่านั้นได้ในจังหวะที่เหมาะเจาะ
ตลอดเส้นทางในยุทธจักรการลงทุน William O’Neil ได้พบพานกับ 7 สิ่งที่มักจะมีร่วมกันในหุ้นชั้นยอดก่อนที่ราคาจะพุ่งทะยาน และสิ่งเหล่านั้นก็กลายมาเป็นกฎเหล็กการลงทุน 7 ข้อที่เขาตราเอาไว้ในชื่อ CANSLIM ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูกันมา
และกฎเหล็กประจำสำนักที่ว่า มีดังนี้
C = Current earnings
มองหาบริษัทที่ประกาศผลการดำเนินงานเป็นกำไรเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 25% แต่ถ้าเป็นการเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร่งจะยิ่งเป็นสัญญาณที่ดี
A = Annual earnings
บริษัทที่มีการเติบโตติดต่อกัน 3 ปี และโตไม่น้อยกว่า 25% ต่อปี และ ROE ควรสูงกว่า 17%
N = New product, service or highs
หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆ เช่น สินค้าใหม่ นวัตกรรม ที่เป็นผลดีต่อธุรกิจ เช่น iPhone เป็นต้น
S = Supply and Demand
หาหุ้นขนาดเล็กที่มีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสูงๆได้
L = Leader or laggard
เลือกหุ้นที่เป็นผู้นำจากอุตสาหกรรมที่เป็นผู้นำ 2-3 บริษัท โดยอาจใช้ Relative price strength
I = Institutional Sponsorship
หาหุ้นที่ถือโดยสถาบันในสัดส่วนที่พอดี เช่น กองทุนและธนาคาร แต่เราควรจะซื้อหุ้นในช่วงที่สถาบันกำลังเริ่มเข้าซื้อเนื่องจากจะได้หุ้นในราคาที่ไม่แพงเกินไป
M = Market direction
ภาวะตลาดโดยรวมควรเป็น uptrend ซึ่งจะช่วยผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นตามด้วย เขากล่าวว่าในภาวะที่ตลาดเป็นขาขึ้น สามในสี่ของหุ้นในตลาดจะมีทิศทางขาขึ้น
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ CANSLIM ได้ที่: การเลือกหุ้นด้วยวิธี CANSLIM
สรุปสั้น ๆ ว่าหลัก CANSLIM มองว่าปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความสามารถในการเติบโตของหุ้นจะประกอบไปด้วยผลประกอบการรายไตรมาสและรายปี ความเปลี่ยนแแปลงใหม่ ๆ ของธุรกิจ ปริมาณการซื้อขาย สถานะในอุตสาหกรรม การลงทุนจากสถาบัน ไปจนถึงเทรนด์ตลาดโดยรวม ซึ่งเป็นเรื่องของทั้งพื้นฐานและเทคนิคผสมผสานกันไป
พูดถึงปัจจัยพื้นฐาน O’Neil จะมองข้ามปัจจัยบางอย่างไปและให้ความสำคัญกับปัจจัยบางส่วนที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เช่น การเติบโตของกำไรและยอดขายที่แข็งแกร่ง การเป็นผู้นำในวงการในแง่ของผลกำไรด้วยสินค้าชิ้นใหม่ที่เหนือกว่าคนอื่น เป็นต้น ซึ่งในแง่นี้แนวทางของเขาก็ดูจะละม้ายคล้ายกับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ก็มีปัจจัยพื้นฐานบางตัวที่เขาค่อนข้างตั้งคำถาม ยกตัวอย่างเช่น มูลค่าทางบัญชีของบริษัท เงินปันผล หรือ P/E ratio ที่เขาระบุว่ามีค่าทางการพยากรณ์น้อยมากในการระบุบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอเมริกาในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา
แนวคิดการลงทุนแบบพื้นฐานผสานเทคนิคในระบบ CANSLIM ถูกส่งผ่านถึงนักลงทุนรุ่นต่อมาอย่างเป็นระบบในหนังสือที่ William O’Neil เขียนขึ้นเมื่อ 35 ปีก่อน (และยังเป็นตำราการลงทุนขึ้นหิ้งจวบจนปัจจุบัน) เรื่อง How to Make Money In Stocks หรือที่แปลเป็นฉบับไทยในชื่อ คัดหุ้นชั้นยอด ด้วยระบบชั้นเยี่ยม ซึ่งตอนนี้มียอดขายกว่า 4 ล้านเล่มทั่วโลก
พูดได้ว่า William O’Neil เป็นต้นธารของการลงทุนแบบไฮบริดอย่างแท้จริง จนถึงขั้นที่ว่า Mark Minervini เทรดเดอร์ระดับเซียนเจ้าของตำแหน่งแชมป์ U.S. Investing Championship 2 สมัย (และแน่นอนเขาคืออีกหนึ่งนักลงทุนสายพื้นฐานผสานเทคนิค) ก็ยังออกมายกย่อง O’Neil ในปี 2019 ว่าเป็นตำนานผู้สร้างคุณูปการให้กับศาสตร์แห่งการเทรดหุ้นที่ยิ่งใหญ่กว่าใครคนไหนในประวัติศาสตร์
สำหรับใครที่สนใจการลงทุนแบบผสมผสานแต่ไม่มีเวลาคัดเลือกสินทรัพย์เอง ขอแนะนำ MEVT Call คำแนะนำการลงทุนรูปแบบใหม่จาก FINNOMENA Investment Team ที่ผ่านการพิจารณาผ่านกรอบการลงทุน 4 ด้านประกอบไปด้วย
ตารางที่ 1 MEVT Call Source: FINNOMENA as of 03/03/2023
Macro – ปัจจัยเชิงมหภาค เงินเฟ้อ นโยบายการเงินและการคลัง ประชากรศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ และอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อหาโอกาสการลงทุนที่เหมาะสมบนปัจจัยมหภาคที่สนับสนุนการเติบโต
Earnings – วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, แนวโน้มการปรับประมาณการกำไร และงบดุลของบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ เพื่อพิจารณาถึงการรับรู้ของนักวิเคราะห์ต่อแนวโน้มที่ดีหรือแย่ของเศรษฐกิจ ซึ่งจะสนับสนุนปัจจัยการลงทุนในแง่อื่นๆ เช่น เชิง valuation และ fund flow เป็นต้น
Valuation – การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน ว่ามีความน่าสนใจมากเพียงใด เพื่อนำไปสู่คำแนะนำเข้าลงทุนในระดับราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้
Technical – ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยเชิงพื้นฐาน เช่น fund flow, sentiment, seasonal statistic และ technical analysis เพื่อพิจารณาให้รอบด้าน ซึ่งจะช่วยนำไปสู่โอกาสการลงทุนที่ดีกว่า
ตารางที่ 2 ความแตกต่างของ MEVT Call และ Tactical Call Source: FINNOMENA as of 03/03/2023
ความแตกต่างของ MEVT Call และ Tactical Call
ความแตกต่างของ MEVT Call และ Tactical Call
MEVT Call จะเน้นเจาะโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework ที่มองทั้งเรื่องของปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค โดยจะเป็นมุมมองการลงทุนในระยะกลาง 6-12 เดือน ส่วนการ Take Profit หรือตัดขาดทุนจะมาจากทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยด้านเทคนิค ส่วน Tactical Call จะเป็นการเน้นหาสัญญาณการเข้า-ออกการลงทุนผ่านปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก โดยจะเป็นการลงทุนระยะสั้นกว่า MEVT Call อยู่ที่ 1-3 เดือน
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEVT Call ได้ที่นี่: MEVT Call by FINNOMENA Investment Team
Reference
https://www.investors.com/author/william-j-oneil/
https://www.investors.com/news/management/leaders-and-success/bill-oneil-ibd-founder-and-stock-investor-success-tips/
https://www.investors.com/news/william-oneil-legendary-investor-ibd-founder-canslim-creator/
https://www.investors.com/ibd-university/can-slim/case-studies/
https://www.investopedia.com/terms/w/william-j-oneil.asp
https://finance.yahoo.com/news/william-oneil-fundamental-technical-analyses-192511729.html
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
Andrew Stotz
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >>แอปฯ FINNOMENA
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ FINNOMENA
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย Andrew Stotz ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-andrew-all-weather-create/ หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลยครับ
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”