แจ้งเตือน

แด่ Charlie Munger เส้นทางชีวิตตลอด 99 ปี ผู้ยึดแนวคิด “คอยให้เป็น เย็นให้พอ”

Park Kathawut
Charlie Munger ชาร์ลี มังเกอร์

28 พฤศจิกายน 2023 Berkshire Hathaway ออกแถลงการณ์ถึงการจากไปอย่างสงบของ “Charlie Munger” (ชาร์ลี มังเกอร์) ตำนานนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ผู้จุดประกายแนวคิดการลงทุนหุ้นคุณภาพที่เติบโตในระยะยาว

ตลอดช่วงเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ Charlie Munger ได้สร้างแรงบันดาลใจมากมายต่อผู้คนทั่วโลก ผ่านการดำเนินชีวิตอันเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ซึ่งเราได้สรุปบางแง่มุมที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟัง

จุดเริ่มต้น Charlie Munger เด็กหนุ่มจากเมือง Omaha

Charlie Munger เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1924 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เติบโตมาในครอบครัวที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ฐานะปานกลาง โดยมีคุณพ่อเป็นนักกฎหมายด้านธุรกิจ และคุณแม่ที่คอยดูแล

เวลาส่วนใหญ่ในวัยเด็กของ Charlie Munger หมดไปกับการอ่านหนังสือ และยังฉายแววความอัจฉริยะตั้งแต่ตอนนั้นจากการเป็นคนขี้สงสัย สนใจที่จะเรียนรู้เรื่องรอบตัวอยู่ตลอดเวลา  

ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกันกับครอบครัวของ Warren Buffett ซึ่งทั้งคู่มีอายุห่างกัน 6 ปี ทำให้เด็กชายทั้งสองยังไม่ได้รู้จักกันในตอนนั้น 

ในช่วงวัยรุ่นเขามีโอกาสทำงานเป็นแคชเชียร์ที่ร้านขายของชำ ‘Buffet & Son’ ซึ่งเจ้าของเป็นคุณปู่ของ Warren Buffett นั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นในการพาตัวเองเข้าสู่โลกของธุรกิจ ผ่านการเรียนรู้ระบบสินค้าคงคลัง การจัดวางสินค้า การให้บริการลูกค้า ไปจนถึงการเรียนรู้วิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น

ปี 1942 เขาเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่ University of Michigan สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์และคณิตศาสตร์ แต่เรียนถึงแค่ปี 2 ดันเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ต้องดรอปเรียนเพราะถูกเกณฑ์ทหารไปประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ และถูกส่งไปฝึกเป็นนักอุตุนิยมวิทยา ที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน สงครามสิ้นสุดลง ชีวิต Charlie Munger กลับเข้าสู่เป้าหมายอีกครั้ง เขาตัดสินใจเข้าเรียนต่อวิชากฎหมายที่ Harvard Law School หวังตามรอยพ่อที่เป็นนักกฎหมาย และสำเร็จการศึกษาพร้อมเกียรตินิยมในปี 1948

งานแรกหลังเรียนจบ Charlie Munger เป็นทนายความในสำนักงานกฎหมายชื่อดัง Wright & Garrett ที่ลอสแอนเจลิส เป็นเวลากว่า 12 ปีในแวดวงกฎหมาย เขาได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจมากมาย โดยเฉพาะการเห็นบทเรียนว่าบริษัทซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีทางออก ยากมากที่จะพลิกฟื้นกลับมาเติบโตได้

ระหว่างทำงานเป็นนักกฎหมาย เขาหมกมุ่นกับเรื่องธุรกิจค่อนข้างมาก ชอบที่จะซักไซ้มุมมองของนักธุรกิจเก่ง ๆ จนเป็นนิสัย นอกจากนี้ ยังทำงานหนักเพื่อต้องการยกระดับฐานะของตัวเอง แต่ก็พบว่ากว่าจะเก็บเงินล้านแรกได้นั้น มันช่วงยากลำบากเหลือเกิน และทำให้เขาคิดขึ้นมาว่าคงไม่มีทางร่ำรวยได้ด้วยการทำงานประจำ

ชีวิตที่พลิกผันของ Charlie Munger เมื่อได้พบ Warren Buffett 

Charlie Munger ชาร์ลี มังเกอร์

ทุกคนรู้ดีว่า Warren Buffett เป็นคู่หูคนสำคัญของ Charlie Munger ทั้งคู่อายุไล่เลี่ยกัน เกิดที่เมืองเดียวกัน เคยทำงานที่ร้านขายของชำเดียวกัน แต่มีช่วงชีวิตที่เฉียดกันไปเฉียดกันมา

กระทั่งปี 1959 คุณพ่อของ Charlie Munger ได้จากไป เขาจึงต้องเดินทางกลับบ้านเกิดที่เมืองโอมาฮา ตอนนั้นเองเป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับ Warren Buffett ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ ชาย 2 คน กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันอย่างรวดเร็ว หนึ่งในบทสนทนาที่ถูกหยิบมาพูดคุยกันวันนั้น คือความเป็นอัจฉริยะในการลงทุนของ Benjamin Graham

ที่สุดแล้วในปี 1962 Warren Buffett ก็แนวโน้มให้ Charlie Munger ลาออกจากงาน แล้วมาเปิดบริษัทด้านการลงทุนเต็มตัว ในชื่อว่า Wheeler, Munger and Company ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนแบบเดียวกับ Buffett Partnership นั่นเอง

ผลงานการลงทุนของ Charlie Munger โดดเด่นมากทีเดียว ตั้งแต่ปี 1962-1975 สามารถผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 19.8% ต่อปี ในขณะที่ดัชนี Dow Jones ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 6.4% ต่อปี

และแล้วช่วงปี 1978 Warren Buffett จึงตัดสินใจชวน Charlie Munger มาทำงานกับ Berkshire Hathaway ในตำแหน่งรองประธานบริษัท ซึ่งตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา เขาเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตบริษัท จนมีมูลค่าตลาดมากถึง 7.84 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

Buffett และ Munger กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว รู้ใจ และเฉียบคม แม้จะมีบุคลิกที่ต่างกันสุดขั้ว คนนึงสุขุม ใจเย็น แต่อีกคนเด็ดเดี่ยว โผงผาง พูดจาตรงไปตรงมา 

Charlie Munger ชาร์ลี มังเกอร์

ภาพที่หลายคนคุ้นตาคือการที่ทั้งคู่จะขึ้นกล่าววิสัยทัศน์ร่วมกันในการประชุมประจำปีของ Berkshire Hathaway 

ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่เป็นเพื่อนกันมา เราไม่เคยทะเลาะกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาคือเพื่อนแท้ที่คอยมอบคำแนะนำดี ๆ มากมายแก่ผม ผมมีชีวิตที่ดีขึ้นได้เพราะเขา

Warren Buffett กล่าวถึง  Charlie Munger ในการสัมภาษณ์สื่อเมื่อปี 2018 

ลงทุนแบบ Charlie Munger 

ข้อคิด นักลงทุน

แม้จะไม่เคยพูดถึงความเชื่อในการลงทุนส่วนตัวของตัวเองแบบชัดเจน แต่จากสิ่งที่ทำมาตลอด ก็คงพอปะติดปะต่อได้ว่าสูตรความสำเร็จของ Charlie Munger นั่นคือ

การลงทุนระยะยาวในบริษัทที่เติบโต โดยเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นที่ถูกมาก แต่ต้องเป็นหุ้นที่มีคุณภาพ และมีความได้เปรียบในการแข่งขัน

เขาแนะนำแนวคิดดังกล่าวแก่ Warren Buffett และได้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของ Berkshire Hathaway ในช่วงหลัง ๆ จากที่เคยเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นราคาถูกที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หันมาลงทุนหุ้นที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม แต่ยอมจ่ายในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น 

ทำให้บริษัทไม่พลาดโอกาสลงทุนในบริษัทดี ๆ มากมาย เช่น Coca-Cola, See’s Candies, P&G หรือแม้แต่ Apple เป็นต้น

Charlie Munger เคยพูดเอาไว้ว่า “บางครั้งชีวิตก็เหมือนการเล่นโป๊กเกอร์ คุณต้องเรียนรู้ที่จะถอยแม้จะถือไพ่ในมือดีแค่ไหน คุณต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดพลาดและความจริงใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น”

ประโยคนี้ทำให้เห็นแนวคิดที่สำคัญในการลงทุนของเขาได้เป็นอย่างดี โดยให้ความสำคัญกับการรอคอยความสำเร็จในระยะยาว อดทนใจเย็นสุด ๆ เพื่อรอจังหวะ และโอกาสที่ดีที่สุดในการลงทุน

ความอดทนฝึกกันได้ สมาธิที่มั่นคงและความสามารถที่จะจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างยาวนานถือเป็นข้อได้เปรียบอันใหญ่หลวง แต่คนส่วนใหญ่มักอดทนรอไม่ได้

Charlie Munger พูดถึงสิ่งสำคัญของการลงทุนระยะยาว

ชีวิตที่เรียบง่ายอย่าง Charlie Munger 

Charlie Munger เคยพูดถึงชีวิตที่ดีและมีความสุขเอาไว้ว่าจงทำตามกฎง่าย ๆ เหล่านี้ อย่าอิจฉาริษยา อย่าโกรธแค้น มองโลกในแง่ดีแม้จะเจอปัญหา อยู่ร่วมกับคนที่ไว้ใจได้ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่หามาได้ พยายามเรียนรู้ต่อไปตลอดชีวิต 

และสุดท้ายแล้ว เกราะกำบังที่ดีที่สุดในวัยชราคือการใช้ชีวิตอย่างดีในช่วงก่อนหน้านั้น ทั้งหมดนี้ดูเป็นเรื่องธรรมดา ๆ แต่กลับน่าจดจำและนำไปใช้ 

Charlie Munger ชาร์ลี มังเกอร์

สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถทำได้ ก็คือการช่วยให้มนุษย์คนอื่นให้เรียนรู้ได้มากขึ้น

แอบส่อง! รายชื่อบลจ. ที่เตรียมออกกองทุน ThaiESG มีบลจ.ไหนบ้าง?

FINNOMENA FUNDS
แอบส่อง! รายชื่อบลจ. ที่เตรียมออกกองทุน ThaiESG มีบลจ.ไหนบ้าง?

หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) และให้ผู้ซื้อกองทุน ThaiESG ทุกคนสามารถนำค่าซื้อกองทุนไปลดหย่อนภาษีได้ เริ่มตั้งแต่ปี 2566 ไปจนถึงสิ้นปี 2575 ทำให้กองทุน ThaiESG กลายเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดหย่อนภาษีน้องใหม่ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

โดยล่าสุดได้มีการเปิดเผยรายชื่อบลจ. ที่เตรียมออกกองทุน ThaiESG มาแล้ว FINNOMENA FUNDS จึงขอพาทุกคนมาส่องรายชื่อบลจ. เหล่านั้นกัน จะมีบลจ.ใดบ้าง และมีกี่กองทุน มาดูกัน

แอบส่อง! รายชื่อบลจ. ที่เตรียมออกกองทุน ThaiESG มีบลจ.ไหนบ้าง?

จากข้อมูลในตาราง คาดว่าจะมีกองทุน ThaiESG มาให้เราได้เลือกลงทุนรวมทั้งหมด 24 กองทุนด้วยกัน โดยบลจ. ที่เตรียมออกกองทุน ThaiESG จำนวนมากที่สุดคือ บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) และ บลจ. กรุงไทย (KTAM) ซึ่งเตรียมออก 3 กองทุน ประกอบไปด้วย กองทุนหุ้น Active, กองทุนหุ้น Passive และกองทุนผสมหุ้นกับตราสารหนี้

หมายเหตุ: ข้อมูลจาก Fund Connext ณ พฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้ข้อมูลอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง

หากมีการเปิดให้ซื้อกองทุน ThaiESG ผ่าน FINNOMENA FUNDS เมื่อไหร่ จะมีการอัปเดตให้ทราบกันอีกครั้งแน่นอน

ศึกษาเกี่ยวกับกองทุน ThaiESG เพิ่มเติมได้ที่

.

กองทุนลดหย่อนภาษีปีนี้ มาซื้อที่ฟินโนมีนา ฟันด์ เปิดบัญชีที่เดียว ซื้อ SSF-RMF ได้หลากหลาย บลจ. พร้อมโปรโมชันพิเศษ ดูรายละเอียดได้ที่ https://finno.me/tsf-23-ws

FINNOMENA FUNDS Market Alert : หุ้นฮ่องกงทรุด จ่อทำ New Low หลัง Meituan เผยการฟื้นตัวเริ่มสะดุด

FINNOMENA FUNDS Investment Team

วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ร่วง 2.5% ซึ่งปรับตัวลงใกล้เคียงจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี หลังบริษัท Meituan ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ food-delivery platform เผยว่าแนวโน้มธุรกิจมีทิศทางชะลอลงในไตรมาสนี้ตามการชะลอตัวลงอุปสงค์ในประเทศจีน โดยราคาหุ้น Meituan ร่วงลงทันที 12.3% ประเด็นนี้ยังสร้าง Sentiment ลบกดดันต่อหุ้นที่เกี่ยวอื่นๆ ให้ปรับตัวลงตามกัน นำโดย Baidu -4.8%, Alibaba -3% และ JD.com -2% 

FINNOMENA FUNDS Investment Team มองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นการตอกย้ำการฟื้นตัวอย่างติดๆขัดๆของเศรษฐกิจจีนซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมมายังผลประกอบการของบริษัทฯ แม้ที่ผ่านมาภาครัฐบาลจะพยามยามออกมาตรการกระตุ้นเพื่อประคับประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่มาตรการที่ออกมายังไม่มากพอที่จะหนุนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนไม่ได้ดีอย่างที่ตลาดคาดหวัง

นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังมีอีก 1 งานที่ท้าทายคือการแก้ไขปัญหาภาคอสังหาฯ ของจีนที่สร้างกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา โดยเรายังคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขนาดที่เหมาะสมจะค่อย ๆ ทยอยออกมาเพิ่มเติมอีกในอนาคต เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจจีน

เศรษฐกิจจีนที่แนวโน้มเติบโตชะลอลงและต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวัง รวมถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนทำให้ตลาดหุ้นจีน และฮ่องกง ปรับตัวลง underperform หุ้นโลกในปีนี้ แต่เรายังเล็งเห็นโอกาสจากความคาดหวังของนักลงทุนที่ต่ำต่อตลาดหุ้นจีน ส่งผลให้ Valuation ของตลาดหุ้นจีนอยู่ในแดนถูก โดย P/E ratio (ล่วงหน้า 12 เดือน) ของตลาดหุ้นจีน (CSI300) อยู่ที่ 10.5 เท่าซึ่งอยู่ที่ระดับ – 1S.D. จากค่าเฉลี่ย 10 ปี สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและยังมีสัดส่วนหุ้นจีนในพอร์ตไม่มาก เราแนะนำทยอยสะสมในกองทุน K-CHINA-A และ ABCA-A

——————

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน

สรุปไฮไลต์: Income Strategy in 2024 เงินเฟ้อพีค ดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงสุด ถึงเวลาตราสารหนี้?

FINNOMENA FUNDS

Market Outlook: ภาพอนาคต ที่ต้องจับตาหลังจากนี้ 

สำหรับประเด็นเศรษฐกิจที่นักลงทุนควรจับตาในอนาคต ทาง UOBAM สรุปเอาไว้ว่ามีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ด้วยกัน ได้แก่ 

  1. ภาวะเงินเฟ้อ ที่อาจชะลอตัวแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง 
  2. นโยบายการเงิน ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
  3. ความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Recession) 

โดยปัจจัยสามเรื่องนี้ล้วนเชื่อมโยงถึงกัน และยังเป็นเรื่องสำคัญที่จะบ่งบอกถึงภาวะการลงทุนในอนาคตด้วย

ในด้านของภาวะเงินเฟ้อ UOBAM เห็นว่าเมื่อพิจารณาจากสัญญาณด้านต่าง ๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน รวมถึงเงินเฟ้อจากค่าที่พักอาศัยและราคารถมือสอง ค่อนข้างชัดเจนว่าเงินเฟ้อเติบโตในอัตราที่ “ชะลอตัวลง” ซึ่งอาจหมายความว่าเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวแม้เผชิญแรงต้านจากการจ้างงานที่ยังตึงตัวอยู่ 

และจุดนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนให้นโยบายการเงินของ Fed มีแนวโน้มคลายความเข้มงวดลง 

นอกจาก 2 ปัจจัยข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่ควรจับตาคือการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจก้าวเข้าสู่สภาวะถดถอย  จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในหลาย ๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เริ่มมองว่าโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้าเริ่มลดลง โดยจะเป็นไปในลักษณะที่ไม่รุนแรงและใช้เวลาฟื้นตัวเร็วจากภาคการจ้างงานที่ยังคงแข็งแกร่ง

ด้วยปัจจัยทั้ง 3 ทาง UOBAM มองว่าสินทรัพย์การลงทุนที่ควรจัดสรรสัดส่วนเข้ามาเพิ่มเติมในพอร์ตการลงทุนควรเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยที่จะอยู่ในระดับสูงต่อไป (แม้ Fed อาจหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว) และทนทานต่อเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลงจากการเติบโตที่ชะลอตัวและอาจเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยสินทรัพย์ดังกล่าวก็คือ ตราสารหนี้

UOBAM มองว่า ตราสารหนี้โลก เป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ ภายใต้บริบทการลงทุนที่กำลังจะมาถึงในช่วงเวลาข้างหน้าที่นักลงทุนต้องเผชิญ จาก 4 เหตุผลหลัก คือ

  • เงินเฟ้อสหรัฐฯ กำลังผ่านจุดสูงสุด จากสัญญาณทางเศรษฐกิจหลายตัว แต่ในอนาคตยังอาจอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายของ Fed ที่ 2% 
  • Fed ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย (หรือหยุดไปแล้ว) หมายความว่าอัตราดอกเบี้ยซึ่งสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้อาจอยู่ในจุดสูงสุด
  • ตราสารหนี้ช่วยลดความเสี่ยง ให้กับพอร์ตที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะเมื่อลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีอย่างพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้เกรดลงทุน (IG)
  • ตราสารหนี้อยู่ในจุดที่น่าลงทุน จากอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นมากว่า 3% – 5% จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา และเราจะพูดถึงเรื่องนี้กันเพิ่มเติมในส่วนถัดไป

 

UGIS UOBAM

ที่มา: Presentation กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566

เจาะลึกตราสารหนี้ ทำไมอยู่ในจุดที่น่าลงทุน

จากสภาวะการลงทุนในปัจจุบันและอนาคตที่จะถึง เห็นได้ว่าตอนนี้กำลังเป็นจังหวะการลงทุนตราสารหนี้ที่ดีที่สุดในวัฏจักรรอบนี้จากระดับอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ คือเพิ่มขึ้นมาเร็วและแรงในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาในทุก ๆ ประเภทตราสารหนี้ ผลลัพธ์คือการลงทุนตราสารหนี้ในเวลานี้จะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยที่สูง

UOBAM อธิบายว่า ที่ผ่านมามีการศึกษาพบว่า ยิ่งเริ่มต้นลงทุนตราสารหนี้ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนสูงก็จะเพิ่มโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในอีก 5 ปีข้างหน้าที่สูงเช่นเดียวกัน โดยมีสหสัมพันธ์ในการศึกษา (Correlation) ที่สูงถึง 90% เลยทีเดียว จากการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital Gain) ที่เพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ย (และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้) ที่ลดลงตามกลไกทั่วไปของตราสารหนี้

แนะนำการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้โลก

UGIS หรือ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ เป็นกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก ภายใต้การบริหารแบบ Active ของ PIMCO บลจ. ระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารตราสารหนี้โดยเฉพาะ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ บนความผันผวนต่ำ

ทั้งนี้ UGIS ประกอบด้วยชนิดหน่วยลงทุน 4 แบบ เพื่อให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้ตามแผนทางการเงินของตนเอง ได้แก่

  1. UGIS-N กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ ชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ
  2. UGIS-A กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ ชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ
  3. UGIS-SSF กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ ชนิดเพื่อการออม (SSF)
  4. UGISRMF กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ ชนิดเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)

 

ที่มา: Presentation กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566

จุดที่น่าสนใจคือ กองทุนหลัก* ของ UGIS ซึ่งก็คือกองทุน GIS Income Fund ถือเป็นกองทุนที่มีชื่อเสียงระดับเรือธงของ PIMCO โดยทาง PIMCO เองก็เป็นบลจ. ด้านตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 1.8 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ความไว้วางใจที่นักลงทุนมีให้ 

*กองทุนหลักหมายถึงกองทุน GIS Income Fund ซึ่งกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ ทั้ง 4 ชนิดหน่วยลงทุน ได้แก่ UGIS-N, UGIS-A, UGISRMF และ UGIS-SSF เข้าไปลงทุนในรูปแบบ feeder fund

ทั้งนี้ กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่

1. ลงทุนแบบสมดุล

มีการสร้างสมดุลระหว่างการสร้างผลตอบแทนและการมุ่งรักษาเงินต้นของผู้ลงทุนผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งแบบคุณภาพดี (แสดงผ่านกราฟสีน้ำเงินและเขียว) เช่น สินทรัพย์ที่รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันอย่าง Agency MBS และสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง (แสดงผ่านกราฟสีแดง) เช่น ตราสารหนี้ Non-Agency MBS และ ตราสารหนี้ High-Yield ที่ทาง PIMCO คัดเลือกมาลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับผู้ลงทุน โดยในช่วงที่ผ่านมามีการลดสัดส่วนตราสารหนี้ผลตอบแทนสูง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการลงทุนที่มากขึ้น

UGIS UOBAM

ที่มา: Presentation กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566

2. บริหารแบบเชิงรุกและยืดหยุ่น

กองทุนหลักของ มีการลงทุนที่ยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับตราสารหนี้แบบใดแบบหนึ่งหรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง ในช่วงที่ผ่านมา กองทุนหลักสลับมาลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น (สีน้ำเงิน) ในช่วงที่ตลาดผันผวน รวมถึงมีการลงทุนใน Position ที่เป็นลบในตราสารหนี้ญี่ปุ่น (สีม่วง) เนื่องจากมองว่าวัฏจักรนโยบายการเงินของญี่ปุ่นยังตามหลังประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่น ๆ

ที่มา: Presentation กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566

3. กลยุทธ์ถูกพิสูจน์แล้วว่าแข็งแกร่ง

นโยบายของกองทุนหลักพิสูจน์แล้วว่าแข็งแกร่งจากอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (YTM) ของพอร์ตการลงทุนที่สูงใกล้เคียงกับตราสารหนี้กลุ่ม High Yield (ที่มีคุณภาพเครดิตต่ำกว่า) และให้ YTM สูงกว่าตราสารหนี้เกรดลงทุนและดัชนี Bloomberg U.S. Aggregate นอกจากนี้ กองทุนหลักยังสามารถทำผลงานเหนือกว่าตราสารหนี้ประเภทอื่นมากกว่าครึ่งในตลาด หากมองย้อนกลับไปในระยะเวลากว่า 10 ปี

ที่มา: Presentation กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566

ที่มา: Presentation กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566

สรุปแล้ว UOBAM มองว่า ตอนนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนตราสารหนี้โลกผ่านกองทุน UGIS ที่มีตัวเลือกให้ลงทุนถึง 4 ชนิดหน่วยลงทุน ได้แก่ UGIS-N, UGIS-A, UGISRMF และ UGIS-SSF ตามจุดมุ่งหมายของผู้ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในกรณีผู้ที่ยังไม่มีตราสารหนี้ในพอร์ตการลงทุน หรือผู้ที่มีอยู่แล้วในพอร์ต เพื่อเป็นการเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ในยุคที่ดอกเบี้ยอยู่ในจุดพีค และนโยบายการเงินกำลังกลับทิศ

UGIS UOBAM

ที่มา: Presentation กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566

UOBAM แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุน
ในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้โลก
UGIS-N, UGIS-A, UGIS-SSF และ UGISRMF


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT

มัดรวมกองทุน SSF & RMF สาย Growth สร้างพอร์ตให้เติบโตระยะยาว

FINNOMENA FUNDS
มัดรวมกองทุน SSF & RMF สาย Growth สร้างพอร์ตให้เติบโตระยะยาว

ใครเป็นนักลงทุนสายหุ้นเติบโต (Growth) ที่กำลังมองหากองทุนลดหย่อนภาษีอย่างกองทุน SSF และ RMF สำหรับวางแผนภาษีในปีนี้อยู่บ้าง?

วันนี้ FINNOMENA FUNDS คัดกองทุน SSF และ RMF สำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้น Growth เอาไว้สร้างพอร์ตให้เติบโตระยะยาวมาให้โดยเฉพาะ จะมีกองไหนบ้าง แต่ละกองมีจุดเด่นอะไร ลองมาดูกัน

กองทุนลดหย่อนภาษีปีนี้ มาซื้อที่ฟินโนมีนา ฟันด์ เปิดบัญชีที่เดียว ซื้อ SSF-RMF ได้หลากหลาย บลจ. พร้อมโปรโมชันพิเศษ ดูรายละเอียดได้ที่ https://finno.me/tsf-23-ws

สารบัญ

กองทุน SSF แนะนำสำหรับนักลงทุนสาย Growth

มัดรวมกองทุน SSF & RMF สาย Growth สร้างพอร์ตให้เติบโตระยะยาว

K-CHANGE-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมหุ้นตามแนวคิด ESG ที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนทั่วโลก แบบ Active

จุดเด่น

  • บริหารโดย Baillie Gifford หนึ่งในผู้บริหารกองทุนหุ้นเติบโตอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน
  • คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโต 2 เท่าใน 5 ปี และเป็นไปตามมาตรฐาน ESG แบบเข้มข้น
  • กลยุทธ์ Buy & Hold เพิ่มความมั่นใจในการไม่พลาดโอกาส และลดค่าใช่จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 500 บาท
  • ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.3736%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566)

  • MercadoLibre 8.32%
  • ASML 6.71%
  • TSMC 5.42%
  • Shopify ‘A’ 4.75%
  • Deere & Co 4.75%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: K-CHANGE-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 29 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/K-CHANGE-SSF.pdf

KKP GNP-H-SSF

รายละเอียดกองทุน

ลงทุนในหุ้นสามัญทั่วโลกของบริษัทที่มีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศของโลกในอนาคต

จุดเด่น

  • กองทุนมี Correlation กับหุ้นโลก ACWI ในระยะยาว มีสไตล์การลงทุน ที่สร้าง Alpha ในระยะยาวได้เหนือดัชนีชี้วัดต่อเนื่อง โดยที่มีความผันผวนต่ำกว่า Active Fund หลายกองทุน
  • มีมุมมองการลงทุนในระยะยาว Turnover เฉลี่ยของกองเพียง 25% ถือครองหุ้นมากกว่า 5 ปีกว่า 60% ของพอร์ต
  • กองทุนมีการเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ในแต่ละอุตสาหกรรม ไม่ได้มี High Conviction มากเกินไปจนทำให้กองทุนมีการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมผิดเพี้ยนไปจาก Index ทำให้ได้ Alpha มาจากการเลือกหุ้นที่เป็นผู้ชนะในตลาดจริง ๆ

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 100 บาท
  • ครั้งถัดไป: 100 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.7530%

สัดส่วนสินทรัพย์หลัก 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2566)

  • Microsoft 5.0%
  • Novo Nordisk 3.4%
  • Meta Platforms 2.4%
  • Broadcom 2.2%
  • TSMC 2.2%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Capital Group New Perspective Fund, Class P (USD)โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KKP GNP-H-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 29 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://media.kkpfg.com/document/2021/Oct/AM%20Sum%20KKP%20GNP-H-SSF.pdf

MEGA10-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งทั่วโลกโดยกระจายการลงทุนในหุ้น 10 ตัว สัดส่วนเท่า ๆ กัน

จุดเด่น

  • ใช้หลักการเลือกหุ้นเข้ามาในพอร์ตแบบ Rule Based Investing Approach ทำให้มีหลักการที่ชัดเจนในการเลือกหุ้นเข้ามาไม่มี Bias ของผู้จัดการกองทุน
  • แบรนด์ชั้นนำระดับโลกเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเป็นบริษัทที่ทุกคนให้การยอมรับโดยการจัดอันดับแบรนด์เหล่านี้มีการใช้งบการเงินของบริษัทมาเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกด้วย ทำให้ได้หุ้นที่ดีมีคุณภาพ และมีงบการเงินที่แข็งแรง

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 1,000 บาท
  • ครั้งถัดไป: 1 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.7120%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก

  • Tesla 9.50%
  • Alphabet 9.38%
  • Meta 9.38%
  • Microsoft 9.35%
  • JPMorgan 9.29%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE / NASDAQ โดยเฉลี่ยใน รอบปีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: MEGA10-SSF Fund Fact Sheet วันที่: 29 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.talisam.co.th/wp-content/uploads/2023/10/20230929_MEGA10-SSF.pdf 

K-CHINA-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นจีน All China แบบ Active 

จุดเด่น

  • เน้นการลงทุนบนเป้าหมายการเติบโตในระยะ 5 ปีขึ้นไป จากการวิเคราะห์อย่างเข้มข้น เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
  • ใช้ชุดคำถาม Checklist กว่า 100 ข้อ ในการคัดเลือกหุ้นเข้าสู่พอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจบนมุมมองที่แข็งแกร่ง

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 500 บาท
  • ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.1603%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566)

  • Tencent 9.90%
  • Meituan 5.90%
  • Alibaba 5.10%
  • Pinduoduo 4.30%
  • Baidu 4.00%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในหน่วยลงทุนของ JPMorgan Funds – China Fund, Class JPM China I (acc) – USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: K-CHINA-SSF Fund Fact Sheet วันที่: 29 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/K-CHINA-SSF.pdf

B-INNOTECHSSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก บริหารแบบ Active เน้นการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อรับโอกาสการเติบโตที่ดีภายใต้ความผันผวนที่ต่ำกว่าในระยะยาว

จุดเด่น

  • กองทุนหุ้นเทคโนโลยีแนวหน้า ที่มีผลการดำเนินงานติดอันดับต้น ๆ สม่ำเสมอ
  • บริหารแบบ Active ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย อาทิ เข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีตามวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งจัดสรรเข้าลงทุนในหุ้นวัฏจักร หรือ หุ้นสถานการณ์พิเศษ (Special Situation) ได้บางส่วน เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนหรือกระจายความเสี่ยง
  • ผู้จัดการกองทุนหลักบริหารมาอย่างยาวนาน ส่งผลถึงความสม่ำเสมอของผลตอบแทนกองทุนในอดีต และความต่อเนื่องในอนาคต

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 500 บาท
  • ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 0.5144%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2566)

  • Microsoft 5.1%
  • Apple 4.8%
  • Taiwan Semiconductor 3.9%
  • Amazon.com 3.7%
  • Alphabet 3.3%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Funds – Global Technology Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: B-INNOTECHSSF Fund Fact Sheet วันที่ 30 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.bangkokbank.com/-/media/files/personal/save-and-invest/mutual-funds/fund-information/b-innotechssf/b-innotechssf_factsheet_th.pdf?la=th-th&hash=D774A625F28D7045F3FA83EF097AB924BE94D398

กองทุน RMF แนะนำสำหรับนักลงทุนสาย Growth

มัดรวมกองทุน SSF & RMF สาย Growth สร้างพอร์ตให้เติบโตระยะยาว

KFGGRMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนมีกลยุทธ์การบริหารแบบไม่อิงกับ Benchmark เลือกหุ้นแบบ Bottom Up เน้นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว เน้นการซื้อและถือเป็นหลัก ในหุ้นที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง 

จุดเด่น

  • บริหารโดย Baillie Gifford หนึ่งในผู้บริหารกองทุนหุ้นเติบโตอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน
  • คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตการลงทุนอย่างเข้มข้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีโอกาสเติบโต 2 เท่าใน 5 ปี
  • กลยุทธ์ Buy & Hold เพิ่มความมั่นใจในการไม่พลาดโอกาส และลดค่าใช่จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 500 บาท
  • ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.1491%

สัดส่วนหุ้น 5 ดันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.ย. 2566)

  • NVIDIA 7.20%
  • Amazon.com 6.50%
  • PDD Holdings 5.40%
  • Tesla Inc 5.20%
  • ASML 4.10%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund, Class B USD Acc โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KFGGRMF Fund Fact Sheet วันที่ 31 ตุลาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.krungsriasset.com/DataWeb/AYFWeb/th/pdf/FFS_KFGGRMF_TH.pdf?rnd=20220818022444

KCHANGERMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมหุ้นตามแนวคิด ESG ที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนทั่วโลก แบบ Active

จุดเด่น

  • บริหารโดย Baillie Gifford หนึ่งในผู้บริหารกองทุนหุ้นเติบโตอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน
  • คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโต 2 เท่าใน 5 ปี และเป็นไปตามมาตรฐาน ESG แบบเข้มข้น
  • กลยุทธ์ Buy & Hold เพิ่มความมั่นใจในการไม่พลาดโอกาส และลดค่าใช่จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 500 บาท
  • ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่มี
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.3666%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566)

  • MercadoLibre 8.32%
  • ASML 6.71%
  • TSMC 5.42%
  • Shopify ‘A’ 4.75%
  • Deere & Co 4.75%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KCHANGERMF Fund Fact Sheet วันที่ 29 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/KCHANGERMF.pdf

KKP GNP RMF-H

รายละเอียดกองทุน

ลงทุนในหุ้นสามัญทั่วโลกของบริษัทที่มีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศของโลกในอนาคต

จุดเด่น

  • กองทุนมี Correlation กับหุ้นโลก ACWI ในระยะยาว มีสไตล์การลงทุน ที่สร้าง Alpha ในระยะยาวได้เหนือดัชนีชี้วัดต่อเนื่อง โดยที่มีความผันผวนต่ำกว่า Active Fund หลายกองทุน
  • มีมุมมองการลงทุนในระยะยาว Turnover เฉลี่ยของกองเพียง 25% ถือครองหุ้นมากกว่า 5 ปีกว่า 60% ของพอร์ต
  • กองทุนมีการเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ในแต่ละอุตสาหกรรม ไม่ได้มี High Conviction มากเกินไปจนทำให้กองทุนมีการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมผิดเพี้ยนไปจาก Index ทำให้ได้ Alpha มาจากการเลือกหุ้นที่เป็นผู้ชนะในตลาดจริง ๆ

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 1,000 บาท
  • ครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.7630%

สัดส่วนสินทรัพย์หลัก 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2566)

  • Microsoft 5.0%
  • Novo Nordisk 3.4%
  • Meta Platforms 2.4%
  • Broadcom 2.2%
  • TSMC 2.2%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Capital Group New Perspective Fund, Class P (USD)โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KKP GNP RMF-H Fund Fact Sheet วันที่ 29 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://media.kkpfg.com/document/2020/Nov/AM%20Sum%20KKP%20GNP%20RMF-H.pdf 

MEGA10RMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งทั่วโลกโดยกระจายการลงทุนในหุ้น 10 ตัว สัดส่วนเท่า ๆ กัน

จุดเด่น

  • ใช้หลักการเลือกหุ้นเข้ามาในพอร์ตแบบ Rule Based Investing Approach ทำให้มีหลักการที่ชัดเจนในการเลือกหุ้นเข้ามาไม่มี Bias ของผู้จัดการกองทุน
  • แบรนด์ชั้นนำระดับโลกเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเป็นบริษัทที่ทุกคนให้การยอมรับโดยการจัดอันดับแบรนด์เหล่านี้มีการใช้งบการเงินของบริษัทมาเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกด้วย ทำให้ได้หุ้นที่ดีมีคุณภาพ และมีงบการเงินที่แข็งแรง

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 1,000 บาท
  • ครั้งถัดไป: 1 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.7120%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก 

  • Tesla 9.50%
  • Alphabet 9.38%
  • Meta 9.38%
  • Microsoft 9.35%
  • JPMorgan 9.29%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE / NASDAQ โดยเฉลี่ยใน รอบปีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: MEGA10RMF Fund Fact Sheet วันที่ 29 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.talisam.co.th/wp-content/uploads/2023/10/20230929_MEGA10RMF.pdf 

B-INNOTECHRMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก บริหารแบบ Active เน้นการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อรับโอกาสการเติบโตที่ดีภายใต้ความผันผวนที่ต่ำกว่าในระยะยาว

จุดเด่น

  • กองทุนหุ้นเทคโนโลยีแนวหน้า ที่มีผลการดำเนินงานติดอันดับต้น ๆ สม่ำเสมอ
  • บริหารแบบ Active ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย อาทิ เข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีตามวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งจัดสรรเข้าลงทุนในหุ้นวัฏจักร หรือ หุ้นสถานการณ์พิเศษ (Special Situation) ได้บางส่วน เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทน หรือ กระจายความเสี่ยง
  • ผู้จัดการกองทุนหลักบริหารมาอย่างยาวนาน ส่งผลถึงความสม่ำเสมอของผลตอบแทนกองทุนในอดีต และความต่อเนื่องในอนาคต

ลงทุนขั้นต่ำ

  • ครั้งแรก: 500 บาท
  • ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ
  • ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.4222%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2566)

  • Microsoft 5.1%
  • Apple 4.8%
  • Taiwan Semiconductor 3.9%
  • Amazon.com 3.7%
  • Alphabet 3.3%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Funds – Global Technology Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: B-INNOTECHRMF Fund Fact Sheet วันที่ 30 กันยายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.bangkokbank.com/-/media/files/personal/save-and-invest/mutual-funds/fund-information/b-innotechrmf/b-innotechrmf_factsheet_th.pdf?la=th-th&hash=BDCEE04E66E4C67E200CFA3479A44E7C1B30455D

.

“มาใช้เงินลงทุนทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่ากัน ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF & RMF ทั้งประหยัดภาษี ทั้งสร้างให้พอร์ตโตในระยะยาว ให้เราเกษียณอย่างมีคุณภาพนะครับ”

– ชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO, FINNOMENA Funds

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดบัญชี FINNOMENA FUNDS ได้ที่

.

รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/taxplanner-services


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

รู้จัก 3 สูตรบริหารเงิน ที่จะช่วยให้คุณเก็บเงินได้แบบอยู่หมัด!

Finspace
รู้จัก 3 สูตรบริหารเงิน ที่จะช่วยให้คุณเก็บเงินได้แบบอยู่หมัด!

ใครเป็นบ้าง? เงินเดือนออกทีไรตั้งใจไว้ว่าจะเก็บเงินให้ได้ แต่ไม่ว่าจะเดือนไหน ๆ ก็ใช้หมดไม่เหลือเก็บสักเดือน หากใครพบเจอกับปัญหานี้อยู่ ลองมาใช้สูตรบริหารเงินกันเถอะ!

วันนี้ FinSpace จะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 3 สูตรบริหารเงิน ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ซึ่งจะช่วยให้เราจัดสรรเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเก็บเงินได้แบบอยู่หมัดด้วย! จะมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามไปพร้อมกันได้เลย

รู้จัก 3 สูตรบริหารเงิน ที่จะช่วยให้คุณเก็บเงินได้แบบอยู่หมัด!

1. สูตร 50/30/20

สูตรบริหารเงิน 50/30/20 แบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วน โดยคำนวณจากรายได้หลังหักภาษีแล้ว ได้แก่

  • ค่าใช้จ่ายจำเป็น 50% ของรายได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทาง ค่าประกัน ค่าเลี้ยงดูบุตร ฯลฯ
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับความบันเทิง 30% ของรายได้ เช่น การท่องเที่ยว รับประทานอาหารนอกบ้าน ชอปปิง ฯลฯ
  • เก็บออมหรือชำระหนี้ 20% ของรายได้

ตัวอย่างเช่น นาย A เงินเดือนหลังหักภาษี ของนาย A เท่ากับ 30,000 บาท หากใช้สูตรบริหารเงิน 50/30/20 จะแบ่งออกได้เป็น ค่าใช้จ่ายจำเป็น 15,000 บาท ค่าใช้จ่ายสำหรับความบันเทิง 9,000 บาท และเก็บออมหรือชำระหนี้ 6,000 บาท

2. สูตร 80/20

สูตรบริหารเงิน 80/20 แบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 2 ส่วน โดยคำนวณจากรายได้หลังหักภาษีแล้ว ได้แก่

  • ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 80% ของรายได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทาง ชอปปิง ค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยว ฯลฯ
  • เก็บออมหรือชำระหนี้ 20% ของรายได้

สำหรับใครที่ไม่อยากแยกค่าใช้จ่ายจำเป็นและค่าใช้จ่ายสำหรับความบันเทิงให้ยุ่งยาก สามารถปรับใช้สูตร 80/20 แทนสูตร 50/30/20 ได้

ตัวอย่างเช่น เงินเดือนหลังหักภาษี ของนาย A เท่ากับ 30,000 บาท หากใช้สูตรบริหารเงิน 80/20 จะแบ่งออกได้เป็น ค่าใช้จ่าย 24,000 บาท และเก็บออมหรือชำระหนี้ 6,000 บาท

3. สูตร 50/15/5

สูตรบริหารเงิน 50/15/5 แบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วน โดยคำนวณจากรายได้หลังหักภาษีแล้ว ได้แก่

  • ค่าใช้จ่ายจำเป็น 50% ของรายได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทาง ค่าประกัน ค่าเลี้ยงดูบุตร ฯลฯ
  • ออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ 15% ของรายได้
  • เก็บออมเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน 5% ของรายได้

สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเงินระยะยาว โดยแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งมาออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุด้วย หลายคนอ่านแล้วอาจจะสงสัยว่า 50/15/5 บวกกันก็ไม่ครบ 100% นี่หน่า อีก 30% หายไปไหน? คำตอบคืออีก 30% ที่เหลือมีไว้สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เราสามารถจัดสรรมันได้เอง ไม่ว่าจะเป็น ค่าใช้จ่ายสำหรับความบันเทิงต่าง ๆ ท่องเที่ยว ชอปปิง ดูหนัง และ เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น เงินเดือนหลังหักภาษี ของนาย A เท่ากับ 30,000 บาท หากใช้สูตรบริหารเงิน 50/15/5 จะแบ่งออกได้เป็น ค่าใช้จ่ายจำเป็น 15,000 บาท ออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณ 4,500 บาท เก็บออมเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน 1,500 บาท และอีก 30% หรือ 9,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/3-budget-rules/

รวมกองทุน Term Fund ออกใหม่ (IPO) ประจำสัปดาห์ (27 พ.ย. – 3 ธ.ค. 66)

FINNOMENA FUNDS
รวมกองทุน Term Fund ออกใหม่ (IPO) ประจำสัปดาห์ (27 พ.ย. - 3 ธ.ค. 66)

สัปดาห์นี้ วันที่ 27 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2566 จะมีกองทุน Term Fund ออกใหม่ (IPO) กองไหนบ้าง บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ

รวมกองทุน Term Fund ออกใหม่ (IPO) ประจำสัปดาห์ (27 พ.ย. – 3 ธ.ค. 66)

รวมกองทุน Term Fund ออกใหม่ (IPO) ประจำสัปดาห์ (27 พ.ย. - 3 ธ.ค. 66)

1. SCBCP3M42 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 3 เดือน 42

นโยบายลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเป็นหรือเกี่ยวข้องกับตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายในประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารที่มุ่งให้เกิดการรักษาเงินต้น ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือ บัตรเงินฝาก และ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงิน รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้

กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่

https://www.scbam.com/medias/fund-doc/summary-prospectus/SCBCP3M42_SUM.pdf

2. SCBCP1Y10 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 1 ปี 10

นโยบายลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเป็นหรือเกี่ยวข้องกับตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายใน ต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารที่มุ่งให้เกิดการรักษาเงินต้น ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือบัตรเงินฝาก และ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงิน รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้

กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่

https://www.scbam.com/medias/fund-doc/summary-prospectus/SCBCP1Y10_SUM.pdf

3. KTSUPAI58 – กองทุนเปิดกรุงไทย ธนทรัพย์ 58 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย 

นโยบายลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เสนอขายทั้งในและ/หรือต่างประเทศ อาทิเช่น ตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือตราสารการเงิน ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (investment grade)

กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่

https://www.ktam.co.th/document_fund/fundfactsheet/Factsheet_th_KTSUPAI58.pdf

4. KFJGB6M6 – กองทุนเปิดกรุงศรีพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 6M6

นโยบายลงทุน: ลงทุนในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ภาครัฐ ที่รัฐบาล หรือกระทรวงการคลังของประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ออกโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากธนาคาร และ/หรือตราสารทางการเงิน และ/หรือศุกูก และ/หรือตราสารหนี้อื่นใดที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร (Issue rating) หรือของผู้ออกตราสาร (Issuer rating) อยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade)

กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่

https://www.krungsriasset.com/DataWeb/AYFWeb/th/pdf/FFS_KFJGB6M6_TH.pdf?rnd=20231127120353

5. PRINCIPAL FI6M2AI – กองทุนเปิดพรินซิเพิล ตราสารหนี้ 6M2 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย

นโยบายลงทุน: ลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน และ/หรือเงินฝากที่เสนอขายในประเทศที่ออกโดยภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ/หรือภาคเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) และ/หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออก (Issue/Issuer) ตํ่ากว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-investment grade)

กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่

https://www.principal.th/sites/default/files/fund-documents/Thailand%20Site/th_PRINCIPAL_FI6M2AI_FFS.pdf

6. SCBCP3M43 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 3 เดือน 43

นโยบายลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเป็นหรือเกี่ยวข้องกับตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายทั้งใน และ/หรือต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารที่มุ่งให้เกิดการรักษาเงินต้น ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือบัตรเงินฝาก และ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงิน รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้

กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ

7. SCBCP6M29 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 6 เดือน 29

นโยบายลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเป็นหรือเกี่ยวข้องกับตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารที่มุ่งให้เกิดการรักษาเงินต้น ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือบัตรเงินฝาก และ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงิน รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้

กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ

วันนี้นักลงทุนสามารถทำรายการซื้อกองทุน Term Fund ด้วยตัวเองผ่านแอปฯ FINNOMENA โดยกดเพิ่มรายการคำสั่งซื้อที่พอร์ต DIY ได้เลย หรือสอบถามรายละเอียดได้ผ่านที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวของท่าน

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุน Term Fund


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

Tactical Call: DAPP ETF ทำ Higher High ยืนยันการกลับตัวเหมาะแก่การเก็งกำไร

FINNOMENA FUNDS Investment Team
ASP-DIGIBLOC

อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงใกล้เคียงระดับเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างต่อเนื่อง หนุน sentiment risk on ในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นขนาดกลางและเล็ก รวมไปถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain ที่เคยถูกกดดันด้วยภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงในอดีต และแนวโน้มการจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF หลังจาก Grayscale Investments ชนะคดีต่อ SEC ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในวงกว้าง

DAPP ETF ทำ Higher Highรูปที่ 1: กราฟดัชนี DAPP ETF TF Day
Source: Tradingview as of 27/11/2023

ส่งผลให้ DAPP ETF ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สามารถทำ Pattern Higher High พร้อมกับทะลุยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (MA 100D) ได้สำเร็จ

DAPP ETF ทำ Higher High

รูปที่ 2: ข้อมูล Correlation ของกับกองทุน ASP-DIGIBLOC กับ DAPP ETF
Source: Bloomberg as of 27/11/2023

FINNOMENA FUNDS Investment Team จึงแนะนำลงทุนภายใต้คำแนะนำ Tactical Call ในกองทุน ASP-DIGIBLOC ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนใน DAPP ETF 78% มีค่า Correlation กับ DAPP ETF ที่ 0.97 สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวตาม DAPP ETF โดยมีคำแนะนำดังนี้

1. แนะนำเข้าลงทุนที่ไม่เกินระดับ  6.60 ดอลลาร์ (+1.23% จากระดับราคาปิดตลาดวันที่ 24/11/2023) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1

และหากหลังจาก FINNOMENA FUNDS Investment Team แนะนำ Tactical Call แล้ว DAPP ETF ปรับตัวลงต่ำกว่า 6.60 ดอลลาร์ ยังคงแนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Tactical Call เนื่องจากปัจจัยทางเทคนิคอาจเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงที่ให้คำแนะนำครั้งแรก

2. แนะนำ Take Profit หรือขายทำกำไร เมื่อ DAPP ETF ปรับตัวขึ้นถึง 7.40 ดอลลาร์ (Upside 13.50% จากระดับราคาปิดตลาดวันที่ 24/11/2023) ซึ่งเป็นระดับ fibonacci 50% ของรอบขาลงที่ผ่านมา

3. แนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อ DAPP ETF ปิดตลาดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (200 MA) ซึ่งเป็นเส้นที่บ่งบอกถึงการเป็นแนวโน้มขึ้น (Downside 11.04% จากระดับราคาปิดตลาดวันที่ 24/11/2023 ) 

นักลงทุนที่เหมาะกับ Tactical Call ระยะสั้นนี้ควร…

  1. เป็นนักลงทุนที่มีเงินสด หรือสภาพคล่องส่วนเกิน และรับความผันผวนได้สูง
  2. ใช้เงินลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของภาพรวมพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
  3. นักลงทุนต้องยอมรับการ Limit Loss หรือ การตัดขาดทุนได้ทันที

ASP-DIGIBLOC

DAPP ETF ทำ Higher High

รูปที่ 3 : ASP-DIGIBLOC Top Holding
Source: Fund Fact Sheet ของกองทุน ASP-DIGIBLOC as of 31/10/2023

ASP-DIGIBLOC เป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets Companies) และ/หรือบริษัทที่มีรายได้จากการดำาเนินธุรกิจและ/หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัล และ/หรือบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) เช่น เพิ่มประสิทธิภาพหรือลดต้นทุนในการดำเนินงาน เป็นต้น และ/หรือลงทุนในหน่วย CISและ/หรือ ETF ที่มีการลงทุนในตราสารทุนตามลักษณะดังกล่าวข้างต้นด้วย 

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/ 

FINNOMENA FUNDS Investment Team


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในกรอบระยะเวลาตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกันตามคำแนะนำ | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด

FINNOMENA FUNDS Investment Team

Weekly Market Insight

ประจำสัปดาห์  27/11/2023 – 01/12/2023

พิเศษ! สำหรับสมาชิก FINNOMENA

THIS ISSUE
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

EYE ON THIS WEEK
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้

MARKET
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

FINNOMENA PORT PERFORMANCE
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน

ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”

กดที่นี่เพื่อดาวน์โหลดได้เลย

 

MATCH 5 ธีมลงทุนรับปี 2024

DR.JITIPOL PUKSAMATANAN
MATCH 5 ธีมลงทุนรับปี 2024

ปี 2023 กำลังผ่านพ้นไป ได้เวลาที่ Thematic Investor ต้องเรียนรู้จากอดีต ค้นหาบทเรียนจากการลงทุน เพื่อมองไปถึงปีหน้า

สำหรับปีนี้ จากดัชนีธีมลงทุนที่ผมติดตามอยู่กว่า 200 แบบ ธีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดคือ Magnificent 7, FANG+, Semiconductors, Blockchain, และ Next Generation Internet ส่วนธีมที่ทำผลงานย่ำแย่คือ Cannabis, Hydrogen, Thai Industrials, Solar และ China Real Estate

บทเรียนสำคัญจากปี 2023 ชัดเจนในสามเรื่อง (1) ถ้าใครไม่มีหุ้นใหญ่สหรัฐ ในปีที่แนวโน้มไม่ชัดเจนมีโอกาสทำผลงานแพ้ตลาดอย่างมาก (2) ความสัมพันธ์ระหว่างธีมอนาคตกับตัวแปรตลาด อาจไม่เป็นไปตามแนวคิดของอุตสาหกรรมเก่า และ (3) ฟองสบู่ทางการเงิน อยู่รอดได้นานขึ้นในยุคข้อมูลข่าวสาร

สำหรับปี 2024 ตลาดคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว เงินเฟ้อจะลดลง และหลายประเทศเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ตลาดมีแนวโน้มซื้อขายในกรอบกว้าง ผมจึงเลือก 5 ธีมลงทุน ประกอบด้วย Magnificent 7, AI, Technology, Clean Tech, และ Health Care รวมเป็น M-A-T-C-H ผสมผสานธีมผลงานดี และธีมที่มีโอกาสกับตัว มาให้ทุกคนได้คิด และเลือกลงทุนในปี 2024

Magnificent 7 เป็นธีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุด มีโอกาสไปต่อ อย่างน้อยช่วงครึ่งปีแรก

ผลตอบแทนของ Bloomberg Magnificent 7 ตั้งแต่ต้นปีบวกไปถึง 102% จุดสำคัญของการลงทุนในกลุ่มนี้ไม่ใช่กำไรที่เติบโตสูงจากเทคโนโลยีเช่น NVDIA เพียงอย่างเดียว แต่มีแรงหนุนหลักจากหุ้น Quality Growth อย่าง META Microsoft รวมถึง Alphabet

หุ้นใหญ่พื้นฐานมั่นคง ควรทำผลงานได้ดีช่วงปลายของเศรษฐกิจ (Late Cycle) ธีมนี้จึงเป็นธีมที่ไม่มีไม่ได้ในปีหน้า หรือใครที่กังวลความเสี่ยงเรื่องมูลค่า อาจเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นบางบริษัทที่ไม่แพงได้เช่นกัน

AI เป็นธีมแห่งทศวรรษที่ต้องมีติดพอร์ตไว้แน่นอน โอกาสของการลงทุนอยู่ที่มูลค่าตลาดที่ AI จะสร้างได้

Indexx Artificial Intelligence ทำผลงานได้ดีถึง 47% ในขณะที่ P/E เฉลี่ยของหุ้นอยู่ที่ระดับ 34x ถือว่าไม่ได้แพงมาก

เปรียบเทียบกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีต ผู้ชนะที่แท้จริงในธีม AI กำลังจะถือกำเนิดขึ้น จึงเป็นธีมที่มีโอกาสไปต่อได้ในระยะยาว

ในปี 2024 ผมมองว่าการลงทุนในธีม AI จะขยับไปสู่การนำเทคโนโลยีไปเพิ่มประสิทธิภาพของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจริงมากขึ้น อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือซอฟต์แวร์ ค้าปลีก บริการ และการขนส่ง ผู้ชนะตัวจริง คือผู้ที่สามารถนำ AI ไปเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจตัวเองได้มากที่สุด

Technology เป็นธีมที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง การลงดอกเบี้ยจะเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม

MSCI ACWI Information Technology ทำผลงานบวก 42%

ในปีที่ผ่านมา ความแตกต่างจากสองธีมแรก คือการกระจายการลงทุนออกนอกสหรัฐมากกว่า 20% ทำให้มีโอกาสรับแรงหนุนจาก Valuation เพิ่มเติม

ผมเชื่อว่าปี 2024 จะเป็นปีที่ Tech เอเชีย ปรับตัวขึ้นได้มากกว่าฝั่งตะวันตก จากแรงหนุนด้านการฟื้นตัวของภาคการผลิต และบริโภค นอกจากนี้การปรับตัวลงของเงินเฟ้อ จะเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางลดดอกเบี้ย และเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดถ้านโยบายการเงินผ่อนคลาย

Clean Energy ธีมเปลี่ยนพลังงานโลก มีโอกาสกลับตัวในปีหน้า สลับกับเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่คาดว่าจะลดลง

สำหรับปีนี้ Indexx Global CleanTech ปรับตัวลงถึง 33% ค้านกับความเชื่อว่าธีมที่เป็นตัวแทนพลังงานใหม่ควรได้แรงหนุนถ้าราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น

บทเรียนในปี 2023 สอนเราว่า ราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นสร้างแรงหนุนให้การลงทุนในกลุ่มพลังงานเก่า (Old Energy) ในช่วงที่สภาพคล่องไม่เพิ่มขึ้น พลังงานทางเลือกจึงเป็นหลุ่มที่ถูกลดความสำคัญลง และถูกขายมากที่สุด

หลังจากราคาปรับตัวลงมาก Long-term P/E เหลือเพียง 17x ถ้าราคาน้ำมันลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจ Clean Energy ก็มีโอกาสฟื้นในปี 2024 ได้เช่นกัน

Health Care มีโอกาสฟื้นตัวในช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจ รายได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

MSCI ACWI Information Technology ทำผลงานไม่ดี -2.5% ในปี 2023 ผิดจากที่ตลาดมองไว้มาก

ประเด็นสำคัญคือเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา บวกกับรายได้ที่ปรับตัวลดลงจากช่วงวิกฤตโควิด ทำให้ดีนี้หมดความน่าสนใจ

อย่างไรก็ดี ผมมองว่าเหตุผลการลงทุนจะกลับทิศในปี 2024 ถ้าเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงทดถอย กลุ่มบริการสุขภาพที่มี Beta ต่ำจะมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Health Care เป็นธีมที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับในอดีตและธีมอื่น ๆ ล่าสุดมี LTPE เพียง 27x บนการเติบโตของรายได้ที่คาดว่าจะกลับมาสูงกว่า 10%

ถึงตรงนี้ผมเชื่อว่า Thematic Investor คงมองเห็นโอกาสสำหรับการลงทุนในปี 2024 บ้างไม่มากก็น้อย

ไม่ว่าพอร์ตปัจจุบันของเราจะเป็นแบบไหน ส่วนประกอบของ M-A-T-C-H สามารถนำไปปรับผสมเข้ากับพอร์ตของทุกท่านได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่การผสมผสานให้มีทั้งธีมไปต่อและธีมกลับตัว กระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

ชวนมนุษย์เงินเดือนพิชิตเงินล้านด้วยกองทุน SSF ภายใน 10 ปี!!

FINNOMENA FUNDS
ชวนมนุษย์เงินเดือนพิชิตเงินล้านด้วยกองทุน SSF ภายใน 10 ปี!!

“เก็บเงินล้าน” ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ หลาย ๆ คนคงคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะไปถึงเป้าหมาย แต่หากมีการวางแผนการเงินที่ดีแล้ว เป้าหมายเก็บเงินล้านก็ไม่ยากอย่างที่คิด

วันนี้ FINNOMENA FUNDS ขอชวนมนุษย์เงินเดือนทุกท่าน มาพิชิตเงินล้านด้วยการลงทุนในกองทุน SSF แบบ DCA ภายในระยะเวลา 10 ปีร่วมกัน มาดูกันว่าเส้นทางพิชิตเงินล้านจะต้องทำยังไงบ้าง

กองทุนลดหย่อนภาษีปีนี้ มาซื้อที่ฟินโนมีนา ฟันด์ เปิดบัญชีที่เดียว ซื้อ SSF-RMF ได้หลากหลาย บลจ. พร้อมโปรโมชันพิเศษ ดูรายละเอียดได้ที่ https://finno.me/tsf-23-ws

ชวนมนุษย์เงินเดือนพิชิตเงินล้านด้วยกองทุน SSF ภายใน 10 ปี!!

ตัวอย่างในภาพเป็นแบบจำลองการลงทุนในกองทุน SSF แบบ DCA อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนที่ 5,500 บาท โดยไม่มีการถอนออกจนกว่าจะครบระยะเวลาลงทุน 10 ปี คำนวณจากผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นที่ 8% ต่อปี และไม่นับรวมปัจจัยอื่นที่อาจทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ด้วยการลงทุนภายใต้จำนวนเงินดังกล่าว จะมีโอกาสทำให้เราสามารถพิชิตเงินล้านภายในระยะเวลา 10 ปี

ทั้งนี้สามารถปรับเพิ่มเงินลงทุนได้ตามเงื่อนไขของเรา เพราะปกติแล้วยิ่งเวลาผ่านไป รายได้ของเราก็ควรเพิ่มขึ้นตาม และหากรายได้เพิ่มขึ้นก็สามารถแบ่งเงินมาออมได้มากขึ้น ซึ่งเงินลงทุนต่อเดือนที่มากขึ้นก็จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายเงินล้านเร็วได้ขึ้น

“DCA เป็นทางเลือกที่ดี สำหรับคนที่ไม่มีเวลาหรือไม่ถนัดจับจังหวะตลาด เพราะวินัยการลงทุนและความสม่ำเสมอของผลตอบแทน ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้ แม้เงินลงทุนตั้งต้นไม่สูง แต่ความมหัศจรรย์ ของดอกเบี้ยทบต้นจะช่วยให้เงินลงทุนของเราเติบโตขึ้นได้ค่ะ
ลงทุน SSF RMF แบบ DCA กับ FINNOMENA FUNDS วันนี้ จะทำให้ การจัดการภาษีเป็นเรื่อง Easy แถมมีเงินออมด้วยค่ะ” – Aoei Thananit, CFP® (The Financial Planner)

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดบัญชี FINNOMENA FUNDS ได้ที่

.

ลงทุน SSF RMF ได้แบบไม่ติดขัด เพราะ FINNOMENA FUNDS สามารถตั้ง DCA กองทุนภาษีแบบอัตโนมัติได้แล้ว!
👉 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://finno.me/9-step-ssf-rmf-dca-web


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

ปรับพอร์ต Quantum Global Opportunity พฤศจิกายน 2023: เวียดนามดาวเด่นของเอเชียในอนาคต เพิ่มน้ำหนัก 20%

Quantum Wealth
ปรับพอร์ต QGO

Fed เริ่มมีทีท่าในการดำเนินนโยบายผ่อนคลายมากขึ้น ตามตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ดูชะลอตัวลง อันส่งผลบวกต่อตราสารหนี้ระยะยาวและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นเติบโต (ผลงานปีนี้ underperform หุ้นกลุ่ม Value มาโดยตลอด) รวมทั้ง Dollar Index เริ่มแสดงทิศทางอ่อนค่าในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังอยู่ในอำนาจคอยจัดการเรื่องต่าง ๆ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการบูรณาการและมีส่วนร่วมในข้อตกลงเศรษฐกิจโลก ทั้งการเข้าร่วมข้อตกลงทางการค้า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการค้าระหว่างประเทศ ในช่วงที่ผ่านมาเวียดนามมีการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ปัญหาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์และลดดอกเบี้ยนโยบายและลดภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาโดยตลอด

ทั้งนี้ถือเป็นโอกาสลงทุนของบริษัทข้ามชาติหลายแห่งที่ต่างก็จับจ้องมาที่เวียดนามจากข้อดีหลายด้านดังที่เราทราบกัน ประเด็นสำคัญคือเรื่องของ “การยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตและความร่วมมือในระดับสูงสุดของเวียดนามและสหรัฐ” (Comprehensive Strategic Partnership) ขึ้นมาเทียบเท่ากับรัสเซียและจีน

สำหรับสหรัฐฯ นั้น ความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่ถ่วงดุลทางภูมิรัฐศาสตร์กับจีน และช่วยให้บริษัทข้ามชาติของตนสามารถเข้าถึงต้นทางการผลิตทั้งนโยบายสนับสนุน แรงงานที่มีทักษะ และค่าแรงที่อยู่ในระดับต่ำ และเวียดนามเองก็ยังได้กระจายห่วงโซ่อุปทานของตนนอกเหนือจากประเทศจีนอีกด้วย

ปรับพอร์ต Quantum Global Opportunity พฤศจิกายน 2023Source: CLSA, JETRO, Vinacapital, Julius Bear as of 20/11/2023

สิ่งสำคัญในข้อตกลงครั้งนี้คือ การสนับสนุนต่อยอดความร่วมมือทางเทคโนโลยีเพื่อขยายห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ แรงงาน และโครงสร้างพื้นฐานในเวียดนาม ซึ่งจะเป็นการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จำเป็นอย่างมากสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีในระยะยาว รวมถึงการสร้างงานและพัฒนาทักษะแรงงานและบริษัทท้องถิ่น อย่างเช่นทุกวันนี้ที่กว่า 50% ของ Samsung smartphone และกว่า 45% ของ Airpods นั้นมีการผลิตในเวียดนาม และในอนาคตทั้ง Macbook และ Apple Watch ก็มีแผนจะเข้าไลน์การผลิตที่นี่ในอีก 2 ปีข้างหน้าอีกด้วย

ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงจากการเลื่อนร่างกฎหมายที่ดินที่ได้ยื่นต่อรัฐสภา ยังไม่ได้รับการอนุมัติและจะถูกยืดเวลาในการพิจารณาไปอีกทีในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2024 ซึ่งจะทำให้ภาคอสังหาฯ และการปล่อยสินเชื่อภาคธนาคารชะลอออกไป

ปรับพอร์ต Quantum Global Opportunity พฤศจิกายน 2023Source: Bloomberg, Julius Bear as of 20/11/2023

อย่างไรก็ตาม เราเห็นโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามด้วยมุมมองระยะยาวเชิงบวก ซึ่งคาดว่าดัชนี VNINDEX ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ปัจจุบันมี forward P/E 9.3 เท่า ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ระดับ 12.2 เท่า

ดังนั้น QGO จะมีการปรับพอร์ตรอบนี้โดยสับเปลี่ยนกองทุนตลาดเงินที่มีอยู่ 20% (ASP-DPLUS) เข้าไปยัง PRINCIPAL VNEQ-A ทำให้สัดส่วนของพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน จะเป็นดังนี้

QGO: Quantum Global Opportunities (Rebalancing as of 20/11/2023)

ปรับพอร์ต Quantum Global Opportunity พฤศจิกายน 2023

ปั้นพอร์ตเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมเฟ้นหาโอกาสในทุกช่วงเวลา Quantum Global Opportunity

👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/quantum-wealth-ws

บทความโดย Quantum Wealth สำหรับพอร์ต Quantum Global Opportunity (QGO) ที่ FINNOMENA FUNDS เท่านั้น 
ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2023


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทําให้ผู้ลงทุน ขาดทุนหรือได้รับกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | บางกองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

กองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG เหมาะกับใคร คนแบบไหนที่ควรซื้อ

FINNOMENA FUNDS
ThaiESG เหมาะกับใคร

ซื้อกองทุน ThaiESG ดีไหม ใครบ้างที่เหมาะกับกองทุนนี้ อะไรคือจุดเด่นจุดด้อยของ ThaiESG และเงื่อนไขแบบไหนควรลงทุน ThaiESG บ้าง? 

บทความนี้ได้สรุปเรื่องสำคัญของกองทุน ThaiESG ลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ ซึ่งกำลังจะเปิดขายเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2023 นี้ ยิ่งรู้ก่อน ยิ่งดีกว่า จะได้มีเวลาเตรียมตัวทัน

– คลิกอ่านบทความ 👉 กองทุน ThaiESG คืออะไร? ลดหย่อนภาษีแบบใหม่ เทียบกับ SSF RMF ต่างกันอย่างไร 

ThaiESG เหมาะกับใคร

กรณีไหนควรซื้อ ThaiESG

หากคุณตรงกับเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งในนี้ อาจแปลได้ว่าคุณเหมาะที่จะลงทุนในกองทุน ThaiESG และยิ่งมีข้อที่ติ๊กถูกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอกย้ำว่าคุณไม่ควรพลาดการลงทุนครั้งนี้

1. มีรายได้สุทธิที่หักลบค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว มากกว่า 150,000 บาท 

2. ต้องการลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน เพราะไม่อยากจ่ายภาษีเป็นจำนวนมาก หรือโดยหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว แต่อยากขอเงินภาษีคืน

3. เป็นคนที่ฐานภาษีสูง เช่น 20% 25% ขึ้นไป ยิ่งฐานภาษีสูงเท่าไหร่ การลดหย่อนภาษียิ่งคุ้มค่าขึ้นเท่านั้น เช่น คนฐานภาษี 20% การซื้อ TESG จำนวน 100,000 บาท จะช่วยประหยัดภาษีถึง 20,000 บาท แต่คนฐานภาษี 5% แม้จะซื้อ 100,000 บาทเท่ากัน จะนำไปลดภาษีได้เพียง 5,000 บาท

4. ยังลดหย่อนภาษีไม่พอ ต้องการวงเงินเพิ่ม ซึ่งการลงทุนใน SSF กับ RMF ให้สิทธิลดหย่อนภาษีรวมกันแค่ 500,000 บาท แต่หากใครที่ต้องการวงเงินมากกว่านั้น การซื้อ TESG จะให้วงเงินลดหย่อนเพิ่มอีก 100,000 บาท รวมสูงสุดเป็น 600,000 บาท

5. ต้องการลดหย่อนภาษี แต่ไม่อยากซื้อ RMF เพราะต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และต้องถือถึงอายุ 55 ปี ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะขายได้ สำหรับคนที่อายุน้อยกว่า 45 ปี 

6. ต้องการลดหย่อนภาษี แต่ไม่อยากซื้อ SSF เพราะมองว่าการถือลงทุนถึง 10 ปี ยังยาวนานเกินไปหน่อย

7. มีเป้าหมายการลงทุนระยะยาว สามารถถือกองทุน ThaiESG อย่างน้อย 8 ปีขึ้นไป

8. เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของหุ้นไทยยั่งยืน ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG

9. เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตราสารหนี้ไทยยั่งยืน หรือ ESG Bond ที่ผู้ระดมทุนมีเป้าหมายนำเงินไปใช้กับโครงการต่าง ๆ ภายใต้แนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมองค์กรในระยะยาว 

10. มีเงินเย็นปล่อยทิ้งไว้นิ่ง ๆ กำลังมองหาช่องทางนำไปลงทุนให้งอกเงย พร้อมลดหย่อนภาษีไปด้วยเลย

กรณีไหนไม่ต้องซื้อ ThaiESG ก็ได้

แล้วเงื่อนไขแบบไหนบ้างล่ะที่ไม่ควรซื้อ ThaiESG หรือยังไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะมีทางเลือกการลงทุนประเภทอื่น ๆ ที่สามารถตอบโจทย์เป้าหมายได้ดีกว่า 

1. รายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องจ่ายภาษีเหมือนกันหมด หากปีนี้คำนวณออกมาแล้ว รายได้ของเราไม่ต้องเสียภาษี หรือไม่มีความต้องการที่จะขอเงินภาษีคืน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี หากอยากลงทุนแนะนำให้ซื้อกองทุนรวมทั่วไปจะเหมาะกว่า

2. ปีนี้ค่าลดหย่อนภาษีเพียงพอแล้ว เช่น คนที่วางแผนซื้อกองทุน SSF RMF หรือประกันลดหย่อนภาษี จนค่าลดหย่อนเพียงพอความต้องการไปแล้ว

3. กำลังชักหน้าไม่ถึงหลัง หากกำลังประสบปัญหาทางการเงิน แบบนี้การยอมจ่ายภาษีน่าจะเหมาะกว่าการทุ่มเงินก้อนซื้อ TESG เพื่อให้ได้ลดหย่อนภาษี แต่ต้องมานั่งปวดหัวเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน

4. ยังไม่มีเงินออมสำรองฉุกเฉิน เราควรจะมีเงินออมก่อนเริ่มต้นลงทุน สำหรับกันไว้ใช้จ่ายประมาณ 6 เดือน โดยเฉพาะ TESG ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว แปลว่าถ้าเรานำเงินทั้งหมดไปเก็บไว้ในกองทุน หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา เราจะไม่มีเงินก้นถุงเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  

5. ลงทุนแล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้ารู้ตัวว่ากลัวความเสี่ยงจากการลงทุน ทนเห็นตัวเลขเงินในพอร์ตที่ผันผวนขึ้นลงไม่ได้ การมองหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีอื่น ๆ น่าจะเหมาะกว่า เช่น ประกันออมทรัพย์ ประกันสุขภาพ 

6. หากต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ThaiESG ไม่สามารถตอบโจทย์เป้าหมายนี้ได้ ซึ่งถ้าคุณอยากลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ แบบนี้ต้องซื้อ SSF กับ RMF 

7. ถ้าอายุเกิน 55 ปีแล้ว และกำลังวางแผนเกษียณในเร็ว ๆ นี้ แนะนำให้ซื้อ RMF มาลดหย่อนภาษีจะเหมาะกว่า เนื่องจากถือแค่ 5 ปีเท่านั้น

รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA FUNDS ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
👉 ลงทะเบียน คลิก https://finno.me/taxplanner-services 

TISCO Omakase Extra Fund ปรับพอร์ตเดือนพฤศจิกายน 2023: กระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นเวียดนาม

บลจ.ทิสโก้
TISCO Omakase Extra Fund

TISCO Omakase Extra Fund

ที่มา: บลจ. ทิสโก้ วันที่: 20 พฤจิกายน 2023

Outlook

  • มุมมองระยะกลาง 3-6 เดือน เงินเฟ้อคาดผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ดอกเบี้ยจะทรงตัวในระดับสูงไปอีกระยะจนกว่า Fed จะมีความเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อย่างไรก็ดีเรามองว่าตัวเลขการจ้างงาน และ ค่าแรง ในสหรัฐฯได้เริ่มสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง
  • โดยประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสชะลอลงได้บ้าง แต่คาดว่าจะไม่ถึงระดับชะลอตัวรุนแรง (hard landing) , ขณะที่ความเสี่ยงเศรษฐกจิชะลอในกลุ่มประเทศยุโรปมีโอกาสมากกว่า โดยเฉพาะหลายประเทศที่มีระดับหนี้ที่สูงกำลังเผชิญการจ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อาจกระทบกับความเชื่อมั่นของ นลท. ส่วนเศรษฐกจิไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีในปี 2024 แต่ยังคงต้องรอความเชื่อมั่นของ นลท.โดยเฉพาะความชัดเจนในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ นโยบาย Digital Wallet

Strategy

  • แม้เรามองว่าอัตราดอกเบี้ยจะใกล้ผ่านจุดสูงสุด หรือ ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศจะยังคงสูงไปอีกระยะ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงของบริษัทที่มีงบการเงินไม่แข็งแกร่งอาจเผชิญต้นทุนดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้นภาพรวมจะยังลงทุนเน้นหุ้นในกลุ่มที่งบการเงินที่ดี
  • ประเมินแนวโน้มผลตอบแทนตลาดพันธบัตรฯ มีโอกาสที่จะปรับลดลง ดังนั้นการถือกองทุนจะยังรักษาสมดุลระหว่างกองทุนที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยปรับลดลง เชน่ TISCO US Treasury และ หุ้นในกลุ่มที่เศรษฐกิจโดยรวมยังเติบโตได้ดีเช่น TISCO Vietnam Equity

Portfolio Action

  • ปรับลดน้ำหนัก TISCO 1 Year Bond ไปยัง TISCO US Treasury โดยมองว่าวัฏจักรดอกเบี้ยน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในสหรัฐฯ ดังนั้นการถือกองทุนตราสารหนี้พันธบัตรสหรัฐฯน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า ในขณะที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงให้พอร์ตกองทุนเพิ่มขึ้น
  • ปรับลดน้ำหนัก TISCO China Technology ไปยัง TISCO Vietnam Equity แม้เรายังมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นจีน แต่มองว่า การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งได้ประโยชน์จาก FDI ของนลท.ต่างชาติที่หันมาลงทุนในประเทศเวียดนามมากขึ้น

Performance Review

  •  ผลตอบแทนพอร์ตกองทุนนับจากต้นปี 2023 จนถึง 19 พ.ย. 2023 ปรับลดลง -2.1%
  • Detractor:
    o นับจากต้นปี 2023 กองทุนกลุ่มจีน (TISCO China Technology และ TISCO China Consumer) เป็นตัวฉุด performance ของพอร์ตโดยรวม แม้เรายังมีมุมมองที่เป็นบวกจากทิศทางผลการดำเนินงาน, valuation ที่อยู่ในระดับต่ำ และ แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน แต่ภาพรวม
    นลท.ยังกังวลกับปัญหาภายในจีน โดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯที่ยังมีความเปราะบาง
  • Contributor:
    o นับจากต้นปี หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ (TISCO US Technology) เป็นกองทุนหนุน
    ผลตอบแทนพอร์ตกองทุน รองลงมาคือ กองทุนทองคำา (TISCO Gold)

บลจ. ทิสโก้


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน |  ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

กองทุน Term Fund คืออะไร? ทางเลือกอีกสไตล์ของคนไม่ชอบเสี่ยง

FINNOMENA FUNDS
กองทุน Term Fund คืออะไร? ทางเลือกอีกสไตล์ของคนไม่ชอบเสี่ยง

ในช่วงที่สถานการณ์ตลาดมีความไม่แน่นอนเช่นนี้ สินทรัพย์เสี่ยงสูงต่างผันผวน ทำให้หลายคนมองหาสินทรัพย์เสี่ยงต่ำแต่ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก วันนี้ FINNOMENA Funds ขอพาทุกคนไปรู้จักกับ “กองทุน Term Fund” ซึ่งเป็นหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่เหมาะกับสถานการณ์ตลาดตอนนี้

กองทุน Term Fund คืออะไร?

กองทุน Term Fund คืออะไร? ทางเลือกอีกสไตล์ของคนไม่ชอบเสี่ยง

กองทุน Term Fund คือ กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีการกำหนดระยะเวลาลงทุนไว้ชัดเจน เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี เน้นบริหารกองทุนเพื่อให้สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากประจำ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุนที่กำลังมองหาสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยสูงกว่าเงินฝากประจำ ในขณะที่ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ โดยผู้ลงทุนจะทราบผลตอบแทนโดยประมาณก่อนลงทุนได้จากหนังสือชี้ชวนกองทุนรวม

กองทุน Term Fund จะมีการเสนอขายเป็นรอบ รอบละประมาณ 1-2 สัปดาห์ สามารถซื้อได้เฉพาะช่วงเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น โดยมีการกำหนดเงินลงทุนเริ่มต้น เช่น 500 บาท หรือ 1,000 บาท เป็นต้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาลงทุนจะมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ

กองทุน Term Fund ลงทุนในสินทรัพย์อะไร?

กองทุน Term Fund คืออะไร? ทางเลือกอีกสไตล์ของคนไม่ชอบเสี่ยง

ลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากของสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศที่ระบุผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยไว้อยู่แล้ว โดยตราสารหนี้ที่กองทุน Term Fund เข้าลงทุนส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) คือระดับ AAA ไปจนถึง BBB- จึงมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ซึ่งหากไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ และผู้ลงทุนถือหน่วยลงทุนครบตามระยะเวลาที่กำหนดก็จะได้รับผลตอบแทนตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน

ข้อควรรู้ก่อนลงทุนกองทุน Term Fund

กองทุน Term Fund คืออะไร? ทางเลือกอีกสไตล์ของคนไม่ชอบเสี่ยง

  • สภาพคล่องต่ำ ต้องรอครบกำหนดระยะเวลาลงทุนจึงจะสามารถไถ่ถอนหรือขายคืนกองทุนได้
  • ผลตอบแทนจากการลงทุนจะได้รับเมื่อขายคืนกองทุนหลังครบกำหนดระยะเวลาลงทุน และไม่มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างการลงทุน
  • แม้ว่ากองทุน Term Fund จะจัดเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกันหากตราสารหนี้ที่ลงทุนมีการผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากบางกองทุนอาจนำเงินลงทุนไม่เกิน 20% ของ NAV ไปลงทุนในตราสารหนี้ที่อยู่ในระดับ Non-investment grade อย่างไรก็ตาม หากเป็นกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล โอกาสที่รัฐบาลจะผิดนัดชำระหนี้จะต่ำมาก ๆ
  • ผลตอบแทนที่ได้รับจริงจากการลงทุนอาจไม่ตรงตามประมาณการผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับ มีโอกาสมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนกองทุนรวม

เปรียบเทียบกองทุน Term Fund กับ เงินฝากประจำ

กองทุน Term Fund คืออะไร? ทางเลือกอีกสไตล์ของคนไม่ชอบเสี่ยง

ข้อมูลผลตอบแทน ณ พฤศจิกายน 2023 ตัวเลขอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายคนอาจจะยังสงสัยว่ากองทุน Term Fund ต่างจากเงินฝากประจำอย่างไร FINNOMENA Funds เลยสรุปความเหมือนต่างของทั้ง 2 สินทรัพย์นี้มาให้ 5 เรื่อง ดังนี้

  • ระยะเวลาทุน: ทั้งกองทุน Term Fund และเงินฝากประจำมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนในการไถ่ถอน เช่น 3 เดือน, 6 เดือน และ 12 เดือน เป็นต้น
  • การไถ่ถอน/ขายคืน: สำหรับเรื่องการไถ่ถอนหรือขายคืน กองทุน Term Fund จะไม่สามารถขายคืนหรือถอนเงินก่อนครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ได้ ส่วนเงินฝากประจำนั้นไม่แนะนำให้ถอนก่อนกำหนด เพราะอาจได้รับดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ธนาคารแจ้ง
  • ความเสี่ยง: เงินฝากประจำไม่มีความเสี่ยงขาดทุน แต่ในขณะที่กองทุน Term Fund เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ มีโอกาสขาดทุนได้หากกองทุนลงทุนในตราสารหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นถ้าผู้จัดการกองทุนคัดสรรและเลือกลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี
  • ผลตอบแทน: กองทุน Term Fund ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงกว่าเงินฝากประจำเล็กน้อย โดยเงินฝากประจำให้ดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 1.8%-2.1% ในขณะที่กองทุน Term Fund ประมาณการผลตอบแทนที่ได้รับเฉลี่ยประมาณ 2%-2.7% (ข้อมูลผลตอบแทน ณ พฤศจิกายน 2023 ตัวเลขอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต)
  • ภาษีผลตอบแทน: ผลตอบแทนที่ได้รับจากกองทุน Term Fund ณ วันครบกำหนดจะไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มเติม ในขณะที่ดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากประจำจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%

กองทุน Term Fund เหมาะกับใคร?

กองทุน Term Fund คืออะไร? ทางเลือกอีกสไตล์ของคนไม่ชอบเสี่ยง

  • คนที่เป็นมือใหม่ เพิ่งเริ่มต้นลงทุน และยังไม่เคยลงทุนในกองทุนรวมมาก่อน
  • คนที่ต้องการลงทุนรับโอกาสสร้างผลตอบแทนในช่วงดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงสุด
  • คนที่กำลังมองหาสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยสูงกว่าเงินฝากประจำ
  • คนที่รับความเสี่ยงได้น้อย แต่ยังต้องการลงทุนเพื่อให้เงินเติบโต
  • คนที่ต้องการพักเงิน ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในช่วงอายุของกองทุนรวม
  • คนที่อยากลงทุนในตราสารหนี้แต่ไม่ต้องการรับความผันผวนของตราสารหนี้ทั่วไป

.

ใครสนใจลงทุนกองทุน Term Fund ทาง FINNOMENA Funds มีกองทุน IPO มาอัปเดตทุกสัปดาห์ ติดตามได้ที่นี่

ซึ่งวันนี้นักลงทุนสามารถทำรายการซื้อกองทุน Term Fund ด้วยตัวเองผ่านแอปฯ FINNOMENA โดยกดเพิ่มรายการคำสั่งซื้อที่พอร์ต DIY ได้เลย หรือสอบถามรายละเอียดได้ผ่านที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวของท่าน


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

ลดหย่อนภาษี ปี 2566: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!

FINNOMENA
ลดหย่อนภาษี ปี 2566: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!

ในวันเงินเดือนออก ใครเคยเปิดดูในสลิปเงินเดือนบ้างว่าเราโดนหักภาษีไปเท่าไร? ใครที่ไม่เคยให้ลองเปิดอีเมลเช็กดู เพราะหากเอามารวมดูจริง ๆ แล้ว ปีหนึ่งเราอาจจะเสียภาษีมากกว่าที่คิดไว้ก็ได้

ได้ยินแบบนี้ หลายคนอาจจะกังวล และเริ่มสนใจการวางแผนภาษี อยากรู้ว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้เราประหยัดภาษีได้?

บทความนี้ FINNOMENA ขอไขข้อสงสัยเหล่านั้นให้ พร้อมรวบรวมรายการลดหย่อนภาษี ปี 2566 ที่ทุกคนต้องรู้มาไว้ให้แล้ว หาคำตอบได้ที่นี่ ครบจบในที่เดียว!

อ่านเพิ่มเติม สรุปวิธีคำนวณภาษี: รายได้เท่าไรต้องเสียภาษีเท่าไร?

รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/taxplanner-services

การวางแผนภาษีสำคัญอย่างไร? ทำไมถึงต้องวางแผนภาษีทุกปี

ขอแบ่งเป็น 2 เหตุผลหลัก ๆ ดังนี้

  1. สามารถวางแผนการเงินได้รัดกุมและเป็นระบบมากขึ้น: ช่วยให้การเสียภาษีถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
  2. ยิ่งวางแผนภาษีเร็ว ยิ่งประหยัดภาษีได้มาก: ทำให้เราได้เงินภาษีคืน และประหยัดเงินในกระเป๋าของตัวเองได้มากขึ้น

ทั้งนี้ค่าลดหย่อนภาษีที่กฎหมายได้ระบุไว้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นเราในฐานะผู้เสียภาษีจึงควรหมั่นติดตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขในทุกปี เพื่อที่จะได้วางแผนลดหย่อนภาษีได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเซฟงบในกระเป๋าไปได้อีกมาก

สรุปรายการลดหย่อนภาษี ปี 2566

1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว

ลดหย่อนภาษี ปี 2564: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!

ประกอบด้วย

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 บาท สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส จำนวน 60,000 บาท สำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสจะต้องไม่มีรายได้ (ได้สูงสุด 1 คน)
  • ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ที่จ่ายให้กับสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง รวมสูงสุดไม่เกินครรภ์ละ 60,000 บาท (ทั้งนี้การตั้งครรภ์ลูกแฝดจะนับว่าเป็นครรภ์เดียว) หากทั้งสามีและภรรยายื่นภาษีทั้งคู่ จะให้สิทธิลดหย่อนนี้แก่ภรรยาเท่านั้น โดยสามีสามารถลดหย่อนภาษีในกรณีที่ภรรยาไม่มีเงินได้
  • ค่าลดหย่อนภาษีบุตร คนละ 30,000 บาท โดยจะต้องเป็นบุตรโดยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว และต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุไม่เกิน 25 ปี และกำลังศึกษาอยู่ หรือในกรณีที่บุตรอายุเกิน 25 ปี ขึ้นไป แต่มีสถานะเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป สามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
    • กรณีมีเฉพาะบุตรชอบด้วยกฎหมาย: สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรกี่คนก็ได้ตามจำนวนบุตรจริง
    • กรณีมีเฉพาะบุตรบุญธรรม: สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรได้คนละ 30,000 บาท สูงสุด 3 คน
    • กรณีมีทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม: ให้ใช้สิทธิบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายก่อน และหากบุตรบุญธรรมเป็นคนที่ 4 จะไม่สามารถใช้สิทธิได้ แต่ถ้าบุตรบุญธรรมอยู่ในคนที่ 1-3 สามารถใช้สิทธิบุตรบุญธรรมได้
  • ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส จำนวนคนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน กล่าวคือ สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 120,000 บาท (และจะต้องไม่ใช่พ่อแม่บุญธรรม) โดยบิดามารดาจะต้องมาอายุมากกว่า 60 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนซ้ำระหว่างพี่น้องได้
  • ค่าลดหย่อนภาษีกรณีอุปการะผู้พิการหรือบุคคลทุพลภาพ จำนวนคนละ 60,000 บาท และผู้พิการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และมีบัตรประจำตัวผู้พิการ รวมถึงจะต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะ

ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพลภาพเป็นบิดามารดา บุตร หรือคู่สมรสของตนเอง สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ทั้งสองส่วน ตัวอย่างเช่น คู่สมรสไม่มีรายได้และเป็นผู้พิการ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 120,000 บาท (ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท และค่าลดหย่อนอุปการะผู้พิการ 60,000 บาท)

2. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน

ลดหย่อนภาษี ปี 2566: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!

ลดหย่อนภาษี ปี 2566: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!

ประกอบด้วย

  • เงินประกันสังคม สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยเงื่อนไขของค่าลดหย่อนประกันชีวิตคือ ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และถ้าหากมีการเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไข ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
  • เบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  • เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท (บิดามารดามีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่จำเป็นต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป)
  • เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจ Social Enterprise ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป สามารถนำเงินลงทุนไปเป็นค่าลดหย่อนได้ โดยลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
  • กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท – สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุน ThaiESG ได้ที่ กองทุน ThaiESG คืออะไร? ลดหย่อนภาษีแบบใหม่ เทียบกับ SSF RMF ต่างกันอย่างไร
  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท – สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุน RMF ได้ที่ “RMF” คืออะไร? ทบทวนเงื่อนไขพร้อมกองทุนแนะนำ!
  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds) เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว สามารถนำมาลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท – สามารถอ่านเรื่องกองทุนรวม SSF เพิ่มเติมได้ที่ คัมภีร์มหากาพย์กองทุน SSF กองไหนดี ต้องซื้อไหม ซื้อได้เท่าไร? สุดยอดกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2565
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน สามารถนำมาลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยเงื่อนไขของค่าลดหย่อนประกันชีวิตคือ ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และมีการจ่ายผลประโยชน์เป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ

*** สำหรับกลุ่มค่าลดหย่อนประกันชีวิตและการลงทุนในการวางแผนเกษียณ ได้แก่ กองทุน RMF กองทุน SSF กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมด ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ***

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันชนิดต่าง ๆ และสิทธิประโยชน์ทางการลดหย่อนภาษีได้ที่ สรุป ซื้อประกันแบบไหน ได้ลดหย่อนภาษี? สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขที่ต้องรู้

3. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค

ลดหย่อนภาษี ปี 2564: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!

ประกอบด้วย

  • เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
  • เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และบริจาคเพื่อสถานพยาบาลของรัฐ สามารถนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
  • เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง นำมาลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2561 เป็นต้นไป

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้ที่ บริจาคอะไร ลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า !

4. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ

ลดหย่อนภาษี ปี 2566: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!

ประกอบด้วย

  • โครงการช้อปดีมีคืน 2566 สามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 40,000 บาท สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566 ตามที่จ่ายจริง โดย 30,000 บาทแรกเป็นค่าซื้อสินค้าและบริการที่มีหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ และอีก 10,000 บาท ต้องมีหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น สินค้าและบริการที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ได้แก่ สินค้าและบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สินค้า OTOP และสินค้าหมวดหนังสือ (รวมถึง E-Book)
  • ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัย เช่น บ้านเดี่ยว คอนโด ห้องชุด และอาคาร เป็นต้น สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

รูปแบบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอยู่ 2 แบบ คือ ภ.ง.ด.90 (สำหรับผู้มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือน) และ ภ.ง.ด.91 (สำหรับผู้มีรายได้เป็นเงินเดือนโดยไม่มีรายได้เสริมอื่น) และจะต้องเตรียมเอกสารดังนี้

  • หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) – สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับใบ 50 ทวิ
  • รายการลดหย่อนภาษีที่รวบรวมทั้งปี เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา
  • เอกสารประกอบการลดหย่อนภาษี เพื่อกรอกแบบฟอร์มการยื่นจ่ายภาษี

สถานที่สำหรับการยื่นภาษี

  • ยื่นภาษีด้วยตัวเองที่กรมสรรพากร หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา
  • ยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบ E-Filing ของ กรมสรรพากร https://efiling.rd.go.th/rd-cms/ – สามารถอ่านวิธียื่นภาษีออนไลน์เพิ่มเติมได้ที่ วิธียื่นภาษีออนไลน์ ฉบับมือใหม่ทำตามได้ง่ายสุด ๆ
  • ยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน RD Smart Tax โดยต้องทำการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรก่อน จึงจะสามารถยื่นผ่านแอปพลิเคชันได้

กรณียกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

  • กรณีผู้มีเงินได้เป็นผู้พิการ และมีบัตรประจำตัวคนพิการว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น
  • กรณีเป็นผู้สูงอายุ และมีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น
  • กรณีมีเครดิตภาษีเงินปันผล สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น สามารถใช้ยกเว้นภาษีได้ตามสัดส่วนที่ได้รับจากเงินปันผล

และทั้งหมดนี้ก็คือ รายการลดหย่อนภาษีสำหรับปี พ.ศ. 2566 ที่ทาง FINNOMENA ได้รวบรวมมาให้

การวางแผนภาษีมีความสำคัญเพราะจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการเงินได้อย่างรัดกุมและเป็นระบบมากขึ้น อย่างไรก็ตามรายการลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ลดหย่อนภาษีเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ เช่น กองทุนประหยัดภาษี SSF และ RMF ที่นอกจากจะนำค่าซื้อไปลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนได้ด้วย

สุดท้ายแล้ว อยากจะฝากไว้ว่าการวางแผนภาษีไม่จำเป็นต้องทำทีเดียวตอนสิ้นปี เราสามารถเริ่มวางแผนภาษีได้เลยตั้งแต่ต้นปี ซึ่งตอนนี้ FINNOMENA FUNDS เปิดให้ลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีอย่าง SSF และ RMF แบบ DCA ได้แล้ว สร้างแผน DCA ครั้งเดียว ลงทุนให้ทุกเดือนอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งรายการใหม่ทุกเดือน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://finno.me/9-step-ssf-rmf-dca-web

กองทุนลดหย่อนภาษีปีนี้ มาซื้อที่ฟินโนมีนา ฟันด์ เปิดบัญชีที่เดียว ซื้อ SSF-RMF ได้หลากหลาย บลจ. พร้อมโปรโมชันพิเศษ ดูรายละเอียดได้ที่ https://finno.me/tsf-23-ws

FINNOMENA Admin

สรุปเน้น 10 เหตุผลที่ AFMOAT-HA น่าลงทุนในมุม Trend Following

Bank - The Trend Following Investor
ทำไม AFMOAT-HA น่าลงทุน

ถ้ามองในมุม The Trend Following Investor หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนในตลาดที่เป็นเทรนด์ขาขึ้น จะเห็นว่าตอนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา กำลังเห็นสัญญาณกลับตัวสู่เทรนด์ขาขึ้นชัดเจน และนี่อาจจะเป็นจังหวะสำคัญในการทยอยสะสมกองทุนสหรัฐฯ อย่าง AFMOAT-HA เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ต เหตุผลเป็นเพราะอะไรนั้น มาดูกันครับ

FINNOMENA FUNDS ให้คุณได้ลงทุนในกองทุนรวมชั้นนำของประเทศไทยจากหลากหลาย บลจ.
ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะลงกองเดี่ยว จัดพอร์ต วางแผนลงทุน หรือลดหย่อนภาษี
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://finno.me/get-started-ws?ct_id=afmoat-trend-following-investor/

ทำไม AFMOAT-HA น่าลงทุน

1. AFMOAT-HA ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปราการทางธุรกิจ 

นโยบายการลงทุนของ AFMOAT-HA จะเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาที่มีปราการทางธุรกิจ หรือความได้เปรียบด้านการแข่งขันสูง โดยเคลื่อนไหวตามดัชนี Morningstar Wide Moat Focus Index เพื่อคาดหวังการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว

หลักคิดการคัดเลือกหุ้นที่มีปราการทางธุรกิจ (MOAT) มีอยู่ 5 อย่าง ได้แก่ 

  • มี Intangible Assets: การมี Brand Value ที่ผู้คนให้ความสนใจ และต้องเป็นเบอร์ต้น ๆ ในอุตสาหกรรม 
  • มี Switching Cost สูง: เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแล้วจะเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าหรือบริการเจ้าอื่นได้ยาก 
  • มี Network effect: มีจำนวนผู้ใช้ที่เติบโตเป็นวงกว้างจนเกิดการบอกต่อไปเรื่อย ๆ  
  • มี Cost advantage: ขนาดของธุรกิจมีความได้เปรียบทางด้านราคาจากต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง นำไปสู่การตั้งราคาที่ได้เปรียบคู่แข่ง
  • มี Efficient scale: เป็นธุรกิจที่รายอื่นเข้ามาแข่งขันได้ยากลำบาก เพราะเรื่องของเงินทุน

2. สามารถช่วยลดแรงเสียดทานในช่วงตลาดอาจผันผวนสูง

แม้ว่าตลาดจะคลายความกังวลไปมากแล้ว แต่ความผันผวนยังอาจสูง จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่ยุติการขึ้นแบบสมบูรณ์ ดังนั้น การทยอยสะสม AFMOAT-HA ซึ่งลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ พื้นฐานดี มีปราการป้องกันคู่แข่งสูง และทนทานต่อปัจจัยภายนอก จึงช่วยลดแรงกดดันไปได้อีกทาง รวมทั้งโอกาสและความเสี่ยงก็คุ้มค่าต่อการลงทุนในช่วงนี้

3. ผสมผสานด้วยหุ้นใหญ่พื้นฐานแกร่ง และหุ้นเล็กที่ Valuation น่าสนใจ

ทำไม AFMOAT-HA น่าลงทุน

Source: VanEck Morningstar Wide Moat ETF Fact Sheet as of 31/10/2023
*ข้อมูลบริษัทอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และการลงทุนของกองทุน AFMOAT-HA มิได้ลงทุนในบริษัทข้างต้นนี้เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทใดจะเข้าเงื่อนไขตรงกับนโยบายของกองทุน

ถ้ากางรายชื่อหุ้นที่กองทุนหลักของ AFMOAT-HA ลงทุน 10 อันดับแรก จะเห็นว่ามีหลากหลาย ทั้งหุ้นบิ๊กแคปที่แกร่งด้วย Moat เช่น Alphabet, Nike, Wells Fargo & Co, และ Walt Disney เป็นต้น ขณะเดียวกันยังกระจายพอร์ตไปยังหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มี Valuation น่าดึงดูด

นอกจากนี้ กองทุนมีน้ำหนักการลงทุนใน Magnificent-7 น้อยมาก จากกลยุทธ์เลือกหุ้นที่เน้นมูลค่าสมเหตุสมผล จึงได้ปรับพอร์ตลดน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นแรงในปีนี้อย่าง Nvidia และ Meta ออกไป

4. ผลตอบแทนชนะดัชนี S&P 500 ได้ในระยะยาว

ทำไม AFMOAT-HA น่าลงทุน

Source: FINNOMENA FUNDS, Bloomberg as of 06/10/2023
ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

Morningstar Wide Moat Focus Index สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้มากกว่าดัชนี S&P 500 อย่างสม่ำเสมอทั้งในปีที่ดีและปีที่แย่ของตลาดหุ้น ซึ่งผ่านการพิสูจน์มายาวนานถึงจุดเด่นของนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน และเป็นแนวทางที่ถูกต้อง 

5. หุ้นสหรัฐฯ รายงานกำไรแกร่งกว่าคาด

ทำไม AFMOAT-HA น่าลงทุน

Source: Bloomberg, FINNOMENA FUNDS as of 06/11/2023

ภาพรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ทั้ง S&P 500 และ Russel 2000 ในงวด Q3/23 ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และดีกว่าคาดทุก sector พร้อมทั้งยังถูกปรับประมาณการกำไรขึ้นในปีหน้า สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง

6. แรงกดดันเรื่องดอกเบี้ยลดน้อยลง ตลาดเลิกกังวลเงินเฟ้อ

ทำไม AFMOAT-HA น่าลงทุน

Source: FINNOMENA FUNDS Macrobond, Federal Reserve Bank of New York , CME Group, U.S. Department of Treasury as of 06/11/2023

หลัง Fed มีแนวโน้มที่จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดคาด Fed Fund Rates ขึ้นไปพีคแล้วที่ระดับ 5.25-5.50% แล้วจะค่อย ๆ ลงในช่วงกลางปี 2024 ซึ่งจะทำให้ภาพ Inverted Yield Curve หายไปโดยธรรมชาติ

7. เศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดหวัง Soft Landing

หลังรายงาน GDP Q3/23 ขยายตัว 4.9% ถือว่าสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 4.7% ด้วยเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น นำโดยภาคการบริโภคที่ยังแข็งแกร่ง แม้ภาคการผลิตจะยังอ่อนแอ ซึ่งเกิดจากการระบายสต็อกสินค้า

8. ตลาดออกจาก Extreme Fear เข้าสู่โหมดกลัวน้อยลง

ทำไม AFMOAT-HA น่าลงทุน

Source: CNN.com as of 20/11/2023

Fear & Greed Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ดูอารมณ์ของตลาดว่ากำลังกลัวหรือโลภ โดยก่อนหน้านี้ลงไปถึง Extreme Fear (กลัวสุดขีด) แต่ตอนนี้ตลาดเริ่มกลัวน้อย และกำลังดีดกลับเข้าสู่โหมด Greed (โลภ) แล้ว

9. สัญญาณเทคนิคบอกเป็นโอกาสขาขึ้น

ทำไม AFMOAT-HA น่าลงทุน

Source: Tradingview.com as of 20/11/2023

เมื่อพิจารณาในเชิงเทคนิค ดัชนี S&P 500 กลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (MA200) ได้อีกครั้ง พร้อมทะลุแนวต้าน downtrend line ประกอบกับการเกิด Bullish Divergence ในเส้น RSI บ่งชี้ถึงแนวโน้มการกลับตัวเป็นขาขึ้น

10. เป็นจังหวะทยอยสะสม เพื่อรับ Santa Claus Rally

สุดท้ายนี้ เมื่อวิเคราะห์ด้วยกรอบ MEVT ของ FINNOMENA FUNDS Investment Team บอกว่ามีโอกาสสูงที่นับตั้งแต่ Q4/23 ถึง Q1/24 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะกลับมาสดใสอีกครั้ง เมื่อประกอบกับ Valuation ที่คลายความตึงตัวลง จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าทยอยสะสมกองทุนหุ้นสหรัฐฯ พื้นฐานแกร่ง AFMOAT-HA เพื่อรับ Santa Claus Rally ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะปรับตัวขึ้นโดดเด่น ตั้งแต่ช่วงหลังเทศกาลคริสต์มาส จนถึงช่วงวันปีใหม่

ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/ 

นักลงทุนสาย Trend Following เรามีความเชื่อว่าราคาสินทรัพย์จะเคลื่อนที่เป็นแนวโน้ม คือ แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) แนวโน้มขาลง (Downtrend) และแกว่งตัวออกข้าง (Sideway) จุดเด่นของกลยุทธ์ Trend Following คือเราจะเข้าลงทุนก็ต่อเมื่อเห็นสัญญาณและแนวโน้มว่ามีโอกาสเป็นขาขึ้นเท่านั้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องลงทุนถือในระยะยาวที่ยาวเกินไป เพราะมองว่ามีต้นทุนค่าเสียโอกาส

Bank – The Trend Following Investor

แจกฟรีคูปอง 10,000 FINT* ใช้แลก Cashback ส่วนลดค่าธรรมเนียมซื้อกองทุนแบบจัดเต็มสูงสุด 20,000 บาท* เมื่อลงทุนภายในวันที่ 16 – 30 พ.ย. 2566 เข้าร่วมกิจกรรม คลิก https://finno.me/10000-fint-ws
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด


คำเตือน

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว วางแผนการเงินอย่างไร ไม่ให้มืดแปดด้าน

FINNOMENA FUNDS
วางแผนการเงิน พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว

การเป็น Single Mom – Single Dad ไม่ง่ายเลย เพราะต้องทำหน้าที่หลายอย่างไปพร้อมกันในคนเดียว โดยเฉพาะเรื่องการเงินที่ต้องวางแผนดูแลทั้งครอบครัวให้ดี วันนี้เราจึงจะมาแชร์วิธีการวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวยุคใหม่ โดยใช้ FINNOMENA FUNDS Goals Navigator ที่จะช่วยดูแลทั้งเป้าหมายการเลี้ยงลูก พร้อมกับไม่ลืมเป้าหมายเกษียณสุขของตัวเอง

อย่าท้อ อดทน และใจเย็น

พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวหลายคน มักจะเต็มไปด้วยปัญหามืดแปดด้าน มองไม่เห็นทางออกว่าจะผ่านจากสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้อย่างไร ดังนั้นแล้วสิ่งแรกที่ควรทำ คือต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งก่อน พยายามมองในแง่บวก แล้วค่อยมองไปข้างหน้าว่าระหว่างคุณกับลูก จะต้องวางแผนชีวิตกันอย่างไร หัวใจสำคัญคือเมื่อคุณเข้มแข็ง การเงินเราจะมั่นคง

จัดระเบียบเงินออมให้รัดกุม

วางแผนการเงิน พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว

เมื่อใจเข้มแข็ง การเงินก็ต้องมั่นคงด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าการต้องดูแลครอบครัวคนเดียวนั้นเต็มไปด้วยภาระมากมาย ไหนจะต้องทำงานหาเงิน ไหนจะต้องดูแลบ้าน ดูแลลูก หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่การจัดสรรเวลาในแต่ละวันให้ดี และหากสามารถขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างในครอบครัว ก็จะช่วยบรรเทาภาระลงไปได้บ้าง แต่สิ่งที่เราต้องจัดการด้วยตัวเองให้ดีที่สุด คือ 

  • ภาระค่าใช้จ่าย: ไม่ว่าจะเป็นของส่วนตัวและของลูก
  • วางแผนเงินออม: ควรมีไม่ต่ำกว่า 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เผื่อเหตุไม่คาดฝัน เช่น ลูกป่วย อุบัติเหตุ ตกงาน ฯลฯ
  • เงินเพื่อการศึกษาของลูก: ก้อนใหญ่สุดคือค่าเทอม แต่ยังมีอื่น ๆ อีกจิปาถะ เช่น ค่าชุด อุปกรณ์การเรียน กิจกรรมออกค่ายต่าง ๆ และค่าเรียนพิเศษ เป็นต้น
  • เงินเก็บหลังเกษียณของตัวเอง: ไม่ว่าจะอย่างไรก็คาม แผนเกษียณเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับคนทุกกลุ่ม ควรมีการวางแผนเกษียณอายุให้ดี และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

แยกเป้าหมายให้ชัด

วางแผนการเงิน พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว

วิธีวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เมื่อลูกก็ต้องเลี้ยง ตัวเองก็ต้องสตรอง แล้วจะรับผิดชอบหลายอย่างไปพร้อมกันได้อย่างไร คำแนะนำคือให้แยกเป้าหมายออกมาให้ชัดก่อน เพื่อให้เห็นภาพว่าเราต้องใช้เงินเท่าไหร่ให้เหมาะสม เพราะหลายคนอยากจะส่งลูกเรียนสูง ๆ เท่าที่กำลังไหว แต่ก็ต้องไม่ลืมเผื่อเงินมาดูแลตัวเองด้วยในอนาคต

  • เป้าหมายของลูก 

เช่น เงินเพื่อการศึกษา, ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูในแต่ละปี, เงินสำรองการเจ็บป่วย, เงินขวัญถุงสำหรับสร้างรากฐานในอนาคต เป็นต้น

  • เป้าหมายของตัวเอง

เช่น เงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ, ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ, เงินก้อนสำหรับเติมเต็มความสุขในชีวิต เป็นต้น

พยายามแยกเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อย ๆ แล้วกำหนดจำนวนเงินให้ชัดเจน เพราะเมื่อเราเห็นจำนวนเงินที่ต้องเก็บ จะทำให้เห็นภาพในอนาคต และเข้าใจถึงความสำคัญของการวางแผนการทางการเงิน

ลงมือทำตามแผนอย่างสตรอง!

คุณสามารถนำเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ ลงมือทำให้สำเร็จได้จริงผ่าน Goals Navigator นวัตกรรมวางแผนการลงทุนที่ FINNOMENA FUNDS พัฒนาร่วมกับ Franklin Templeton ซึ่งจะช่วยออกแบบแผนการลงทุนที่เหมาะกับคุณโดยเฉพาะ ทำให้เป้าหมายเป็นจริงได้ง่ายขึ้น

โดยเราสามารถนำแต่ละเป้าหมาย (วางแผนพร้อมกันได้หลายเป้าหมาย) มาวางแผนผ่าน Goals Navigator ได้เลย เพียงกำหนดความสำคัญของแผนลงทุน, จำนวนเงินลงทุนครั้งแรก, เงิน DCA, เงินที่จะ DCA เพิ่มในแต่ละปี, จำนวนเงินที่ต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ ยังกำหนดให้คำนวณเงินเฟ้อได้ด้วย

FINNOMENA FUNDS Goals Navigator นวัตกรรมวางแผนการลงทุนจัดพอร์ตระดับโลก ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายชีวิต ร่วมเคียงข้างคุณจนถึงฝัน

👉 ลงทะเบียนรับบริการ คลิก >> https://finno.me/gnavi-web

ยกตัวอย่างเช่น แผนการลงทุน Single Mom ที่มีเป้าหมาย Kid’s Education กับ Retirement

วางแผนการเงิน พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว

ตัวอย่างแผนการลงทุน Single Mom บน Goals Navigator | Source: FINNOMENA FUNDS as of 6/11/2023

จะเห็นว่า Goals Navigator วิเคราะห์ผลลัพธ์ออกมาให้เลยว่าสิ่งที่เราต้องการ มีโอกาสบรรลุเป้าหมายแค่ไหน หรือหากเป็นเป้าหมายที่เกินจริง (Goal is not realistic) ก็จะแสดงข้อความแจ้งเตือนให้เราปรับรายละเอียดเป้าหมายให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด เช่น เพิ่มเงิน เพิ่มระยะเวลาลงทุน เป็นต้น

เช่นในกรณีข้างต้นเป็นแผนของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่มีเงินลงทุนตั้งต้น 1 ล้านบาท และตั้งใจจะ DCA 30,000 บาทต่อเดือน เพื่อ 2 เป้าหมาย หนึ่งคือเงินเพื่อการศึกษาลูก จำนวนประมาณ 2.5 ล้านบาทในอีก 15 ปีข้างหน้า สองคือเงินเพื่อเกษียณอายุ จำนวนประมาณ 27 ล้านบาทในอีก 35 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ Goals Navigator จึงจัดสรรเงินลงทุนออกเป็น 2 พอร์ต ดังนี้

วางแผนการเงิน พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว

ตัวอย่างแผนการลงทุน Single Mom บน Goals Navigator | Source: FINNOMENA FUNDS as of 6/11/2023

เงินก้อนแรกสำหรับการศึกษาลูก: เริ่มด้วยเงินตั้งต้น 650,000 บาท ลงทุนต่อเดือน 7,000 บาท และคิดอัตราเงินเฟ้อที่ 5% ต่อปี (เงินเฟ้อการศึกษาสูงกว่าเงินเฟ้อทั่วไป) ซึ่งหากลงทุนตามเงื่อนไขดังกล่าว จะมีโอกาสสำเร็จตามเป้าหมาย 79%

เงินก้อนที่สองเงินสำหรับเกษียณอายุ: เริ่มด้วยเงินตั้งต้น 350,000 บาท ลงทุนต่อเดือน 23,000 บาท และคิดอัตราเงินเฟ้อที่ 3% ต่อปี ซึ่งหากลงทุนตามเงื่อนไขดังกล่าว จะมีโอกาสสำเร็จตามเป้าหมาย 62%

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการเงินผ่าน Goals Navigator เท่านั้น ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จของเป้าหมายได้ด้วยการวางแผนที่ถูกต้อง ไม่ยุ่งยาก ชัดเจน และเป็นไปตามความจริง อย่างไรก็ดี หากอยากเจาะลึกรายละเอียดมากกว่านี้ ลงทะเบียนรับบริการ คลิกเลย 


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำควรเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

บอกลาความผิดพลาดในตลาดหุ้น ด้วยหนังสือ 8 เล่มนี้

Finspace
บอกลาความผิดพลาดในตลาดหุ้น ด้วยหนังสือ 8 เล่มนี้

ถ้าตลาดหุ้นคือแหล่งรวมของฝูงชน จิตวิทยาการลงทุนก็เป็นศาสตร์ที่นักลงทุนต้องรู้เพื่อให้มีสติและภูมิคุ้มกันจากพฤติกรรมของคนหมู่มาก (ซึ่งบ่อยครั้งก็นำไปสู่การลงทุนที่ไม่ดี) ได้มากขึ้น

วันนี้ FinSpace จะแนะนำหนังสือจิตวิทยาการลงทุน 8 เล่ม ที่เป็นเหมือนวัคซีนที่จะช่วยให้คุณมีสติและลดข้อผิดพลาดในตลาดหุ้นได้มากขึ้น แล้วจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

บอกลาความผิดพลาดในตลาดหุ้น ด้วยหนังสือ 8 เล่มนี้

1. หนังสือหุ้น หมวดพื้นฐานของการคิดและตัดสินใจ

Thinking, Fast and Slow

สำรวจความบกพร่องในการตัดสินใจของมนุษย์ ผ่านมุมมองของนักคิดและนักจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค

โดย Daniel Kahneman

The Psychology of Money

บทเรียนเหนือกาลเวลาเรื่องความมั่งคั่ง ความโลภ และความสุข ที่คุณไม่ควรพลาด หนึ่งในหนังสือการเงินที่ดีที่สุดและสดใหม่ที่สุดในรอบหลายปี

โดย Morgan Housel

2. หนังสือหุ้น หมวดพื้นฐานจิตวิทยาการลงทุน

The Psychology of Investing

หนังสือหุ้นที่ว่าด้วยอคติอันเจ้าเล่ห์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน แม้ว่าเราจะไม่รู้ตัวว่ามันมีอยู่ แต่มันมักจะเผยตัวออกมาเสมอเวลาที่มีเรื่องของ การลงทุน เข้ามาเกี่ยวข้อง และทุกครั้งที่มันเผยตัว เจ้าอคติตัวร้ายนี้เองมักทำให้นักลงทุนหลายคนเจ็บตัวมานักต่อนัก

โดย John R. Nofsinger

The Little Book of Behavioral Investing

เล่าถึงขบวนการตัดสินใจของสมองของคุณว่าเหตุผลใดจึงตัดสินใจไปแบบนั้น ทำไมถึงสมองของเราจึงตัดสินใจผิดด้วยการซื้อตอนราคาแพงและขายตอนราคาถูก ทำไมสมองถึงสั่งให้คุณซื้อหุ้นตามคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่นี้ก็คือผู้ที่ขาดทุนนั่นเอง คุณจะได้เรียนรู้และเข้าใจกับระบบการตัดสินใจของมนุษย์ที่เรียกว่า X-System และ C-System

โดย James Montier

3. หนังสือหุ้น หมวดสำรวจพฤติกรรมฝูงชนในตลาดหุ้น

A Random Walk Down Wall Street

Burton Malkiel นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชื่อในทฤษฎีความมีประสิทธิภาพของตลาด เขียนอธิบายรวมถึงยกตัวอย่างแบบละเอียดว่าทำไมทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคอลจึงอาจใช้ไม่ได้ผล รวมถึงอคติในการลงทุนต่างๆ ว่าทำไมเราถึงเชื่อได้ขนาดนั้นว่าการเอาชนะตลาดทำได้ง่าย

โดย Burton G. Malkiel

Fooled by Randomness

ในโลกที่หาคนประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าการหาคนธรรมดา เราอาจเชื่อกันว่า ความสำเร็จของใครสักคนมันเกิดขึ้นได้เพราะความเก่งและความขยันของเขาที่มากกว่าคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วทำไมคนอีกตั้งมากมายที่ขยันเหมือนกัน เก่งเหมือนกันกลับไม่ประสบความสำเร็จได้อย่างที่ควรจะเป็น

โดย Nassim Nicholas Taleb

Irrational Exuberance

Robert J. Shiller ศึกษาประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลามากกว่า 100 ปี กลั่นกรองออกมาเป็นองค์ความรู้แก่นแท้ถึงการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปของตลาดฟองสบู่ ภูมิปัญญาชั้นสูงว่าด้วยวงจรชีวิตของฟองสบู่ทั้งหมดนี้ สรุปรวบยอด อยู่ในบทนิพนธ์คลาสสิก “เอาชนะฟองสบู่ หยั่งรู้สัญญาณตลาดล่ม”

โดย Robert J. Shiller

Manias, Panics, and Crashes

ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ กายวิภาคของวิกฤตการณ์ และความคลั่งไคล้ในการเก็งกำไร ในห้วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาซึ่งดูเหมือนว่าจะซ้ำรอยอยู่เนือง ๆ

โดย Charles P. Kindleberger

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/8-best-investment-psychology-books/

บทบาทผู้กำกับตลาดหุ้น

Dr.Niwes Hemvachiravarakorn
บทบาทผู้กำกับตลาดหุ้น

ช่วงเร็ว ๆ นี้ ผู้กำกับหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่ดูแลและพัฒนาตลาดทุน หรือตลาดหุ้น อาทิเช่น ตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต. ต่างก็ถูกโจมตีจากนักเล่นหุ้นว่าไม่ได้ทำอะไรที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนที่เข้าไปเล่นหุ้นที่กำลังขาดทุนอย่างหนักเพราะตลาดหุ้น “ตกเอา ๆ” อันเนื่องจากการที่ตลาดปล่อยให้มีการทำชอร์ตเซล โดยเฉพาะแบบที่คนทำไม่ได้มีหุ้นหรือที่เรียกว่า “Naked Short” หรือมีการปล่อยให้นักลงทุนบางกลุ่มทำการซื้อขายหุ้นโดยหุ่นยนต์ที่เรียกว่า “Robot Trading” ที่สามารถทำการซื้อขายอย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนการซื้อขายที่ถูกมาก ซึ่งทำให้ได้เปรียบนักลงทุนส่วนบุคคลทั่วไป

ดูเหมือนว่าทั้งผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์และก.ล.ต. ต่างก็แถลงแก้ว่าได้ตรวจสอบดูข้อมูลอย่างละเอียดแล้วพบว่า ไม่มีการทำ Naked Short และการทำชอร์ตเซลที่ต้องยืมหุ้นก็มีระดับปกติ เช่นเดียวกับ Robot Trade ซึ่งก็ทำมานานแล้วก่อนที่ตลาดหุ้นจะตกลงมาแรงในช่วงนี้  ส่วน ก.ล.ต. เองก็มองว่า ชอร์ตเซลเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการลงทุน และก็ได้กำหนดแนวทางต่าง ๆ ที่เหมาะสม เพื่อควบคุมการทำชอร์ตเซลไม่ให้ตลาดหุ้นผันผวนเกินไป รวมถึงการที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลให้นักลงทุนทราบ

เช่นเดียวกัน การซื้อขายด้วย AI หรือหุ่นยนต์เองนั้น ก็เป็นวิวัฒนาการที่ตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วใช้มานานแล้วและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้มีปริมาณการซื้อขายมากกว่าที่ทำโดยคนไปแล้ว ถ้าไปห้ามก็คงทำให้ตลาดหุ้นไม่พัฒนา ส่วนเรื่องว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยอื่นนั้น แม้ ก.ล.ต.จะไม่ได้พูดถึง แต่ก็ได้พูดว่านักลงทุนแต่ละกลุ่มเองนั้นก็มีมุมมองไม่เหมือนกัน นัยยะก็อาจจะเป็นว่า คนที่ลงทุนระยะยาวก็อาจจะไม่ได้คิดว่าการเทรดที่เร็วกว่าโดยหุ่นยนต์เป็นเรื่องที่ทำให้ตนเองเสียเปรียบ พวกเขาอาจจะชอบด้วยซ้ำถ้าทำให้หุ้นมีสภาพคล่องที่ดี เวลาขายจะได้มีคนมารับ เป็นต้น

ผมเองคงไม่ถกเถียงว่าใครผิดหรือถูก เพราะเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ระยะสั้นที่จะผ่านไปในไม่ช้า โดยเฉพาะถ้าหุ้นเริ่มปรับตัวดีขึ้นมาก แต่สิ่งที่ผมจะพูดก็คือ บทบาทหรือหน้าที่ที่ผู้กำกับตลาดทุนหรือตลาดหุ้นควรจะต้องทำในระยะยาวคืออะไรที่จะทำให้ตลาดทุนของไทยดีขึ้น และเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการระดมทุนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ประเด็นแรกก่อนที่จะเข้าเรื่องก็คือ ผมคิดว่า “ผู้ดูแลหรือกำกับ” ตลาดทุนหรือตลาดหุ้นนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะตลาดหุ้นและ ก.ล.ต. เท่านั้น แต่ยังรวมถึงหน่วยงานเก็บภาษีการลงทุนในหุ้นและเครื่องมือลงทุนอื่น ๆ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ รัฐบาลที่เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย

เรื่องต่อมาที่ควรจะต้องเข้าใจให้ตรงกันก็คือ การกำกับและพัฒนาตลาดทุนและตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญอย่างน้อย 2 ครั้งใหญ่ ๆ คือครั้งแรก ประมาณปี 2530 ที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มสามารถเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ และครั้งที่สองก็คือเมื่อประมาณ 7-8 ปีมาแล้วหรือประมาณปี 2558 ที่นักลงทุนส่วนบุคคลไทยสามารถนำเงินออกไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ เหตุการณ์ทั้งสองดังกล่าวนั้น  ทำให้นิยามของการกำกับและพัฒนาตลาดหุ้นควรจะต้องเปลี่ยนไปนั่นก็คือ เดิมทีเมื่อเราพูดถึงการพัฒนาตลาดหุ้นหรือตลาดทุนนั้น เราจะพูดถึงสิ่งเดียวคือ “ตลาดหุ้นไทย” โดยปรัชญาหรือนโยบายอะไรต่างก็ผูกอยู่กับตลาด ตัวอย่างเช่นเรื่องภาษีที่บอกว่าถ้าจะพัฒนาตลาดก็จะต้องงดเก็บภาษีบางอย่าง เช่น ภาษีกำไรจากการลงทุน เป็นต้น

แต่ถึงวันนี้ เวลาที่พูดถึงการพัฒนาตลาดทุนหรือตลาดหุ้น ผมคิดว่าเราจะต้องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ “นักลงทุน” ซึ่งจะมีความสำคัญพอ ๆ กัน หรือมากกว่าตลาดหุ้นด้วยซ้ำ และจะต้องแยกแยะว่า “นักลงทุนไม่ใช่ตลาดหุ้น” นโยบายหรือเกณฑ์อะไรต่าง ๆ ที่จะออกมานั้นจะต้องคำนึงถึงนักลงทุนด้วย เพราะบางครั้งนโยบายที่ดีต่อตลาดอาจจะเป็นผลเสียต่อนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่ได้ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ

พูดง่าย ๆ ต่อจากนี้ไป เราต้องคิดว่านักลงทุนมีโอกาสไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ และเราก็ควรจะต้องส่งเสริม อย่าไปคิดว่าถ้าส่งเสริมแล้วพวกเขาก็จะขนเงินไปลงทุนในต่างประเทศซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเหงาและราคาหุ้นจะตก เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า ถ้าพื้นฐานของหุ้นในตลาดไม่ดี มันก็จะต้องตก  ฝืนยากมาก เลิกหรืองดเว้นการทำชอร์ตเซลในช่วงนี้อาจช่วยให้หุ้นขึ้นบ้างเหมือนตลาดหุ้นเกาหลีที่กำลังทำอยู่ แต่ถ้าพื้นฐานแย่ลงเพราะเศรษฐกิจไม่ดี หุ้นที่ขึ้นไป “ชั่วคราว” ก็จะตกลงมาใหม่

การส่งเสริมหรืออย่างน้อยไม่ไป “กีดกัน” การลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนนั้น ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเศรษฐกิจ อย่างน้อยมันเป็นโอกาสให้คนที่มีเงินออมไปหาผลตอบแทนที่ดี และในไม่ช้าเขาก็จะนำกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อเขาคิดว่าหุ้นไทย “น่าลงทุน” อาจจะเพราะว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นแล้ว หรืออาจจะเพราะราคาหุ้นหรือดัชนีตกลงมามากจนคุ้มค่าที่จะลงทุน “แบบ VI” แล้ว เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ยังไงเราก็เป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เราก็อยากที่จะมีรายได้หรือได้ผลตอบแทนในประเทศไทยมากกว่าจากต่างประเทศถ้าปัจจัยอย่างอื่นเท่ากันหรือเหมือนกัน

ด้วยหลักการหรือแนวทางการกำกับและพัฒนาโดยคำนึงถึงประเด็นที่ว่าตลาดกับนักลงทุนนั้น ไม่ใช่สิ่งเดียวกันแล้ว จากนั้นผมคิดว่าเวลาจะกำหนดนโยบายหรือกฎเกณฑ์จะต้องคำนึงถึงประเด็นดังต่อไปนี้คือ

หนึ่ง กฎเกณฑ์จะต้อง Fair and Transparent หรือยุติธรรมและโปร่งใส ตัวอย่างของความยุติธรรมก็เช่น นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศควรจะเสียภาษีเหมือนตลาดหุ้นไทย การกำหนดให้กำไรจากต่างประเทศจะต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาที่สูงสุดถึง 35% เวลานำเงินกลับมาจึง “ไม่แฟร์”

ความโปร่งใสหรือการเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุด ตัวอย่างที่ตลาดเคยทำก็คือ การเปลี่ยนการเปิดเผยชื่อนักลงทุนรายใหญ่จากที่ถือหุ้นถึง 0.5% เป็นเปิดเฉพาะ 10 อันดับแรก ซึ่งเป็นการ “ลด” การเปิดเผยลงนั้น ไม่สอดคล้องกับทิศทางที่ควรจะเป็น แต่ในช่วงนั้นก็มีคนต้านน้อยมาก ตรงกันข้ามกับช่วงนี้ที่ดูเหมือนว่า ตลาดพร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลเรื่องการชอร์ตเซลมากขึ้น

สองก็คือเรื่อง Competitiveness หรือความสามารถในการแข่งขันของตลาดหลักทรัพย์ไทยกับต่างประเทศ เหตุผลก็ชัดเจนว่าปัจจุบันตลาดไม่ได้เป็น “ผู้ผูกขาดการลงทุนหุ้นในตลาด” อีกต่อไป ดังนั้น การที่จะออกเกณฑ์อะไรก็ตามก็จะต้องดูว่าออกมาแล้ว นักลงทุนจะยอมรับแค่ไหน เพราะถ้าไม่เป็นผลดีต่อนักลงทุน พวกเขาก็แค่ย้ายไปลงทุนในตลาดอื่น และประเทศก็จะไม่ได้อะไรจากเม็ดเงินที่ออกไปรวมถึงภาษีบางอย่างที่ควรจะได้

สามก็คือ เราจะต้องคำนึงถึง Efficiency หรือความมีประสิทธิภาพของตลาดในการซื้อขายลงทุนในหุ้น ก็อย่างที่ได้กล่าวแล้วในกรณีตัวอย่างของการใช้ AI และ Robot Trade ที่เป็นทิศทางของนักลงทุนระดับโลก ถ้าเราห้าม เขาก็อาจจะไม่มาปริมาณซื้อขายรายวันน่าจะหายไปมาก ตลาดไทยที่เป็นตลาดหุ้นที่คึกคักก็อาจจะกลายเป็นตลาดหุ้นที่เหงา และ Valuation หรือการตีมูลค่าก็จะลดลง กระทบไปถึงบริษัทจดทะเบียนที่จะระดมทุนในอนาคต

สุดท้ายที่ผมเห็นว่าเป็นปัญหามากสำหรับตลาดหุ้นไทยก็คือ Predictability นั่นก็คือ นักลงทุนควรจะสามารถคาดการณ์เรื่องของ Regulation หรือกฎเกณฑ์ที่ออกมาได้ในระดับที่ดี นี่เป็นเรื่องสำคัญเพราะว่านักลงทุนไม่ชอบความเสี่ยงโดยเฉพาะด้านลบ ถ้าคิดว่ามีความเสี่ยงมากเขาก็จะให้มูลค่ากับหุ้นในตลาดนั้นต่ำลง  ตัวอย่างเช่น การประกาศเก็บภาษีในตลาดหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นแบบ “กระทันหัน” อย่างการเก็บภาษีการลงทุนในต่างประเทศที่ประกาศแล้ว ไม่ให้เวลาปรับตัว คนที่ออกไปลงทุนแล้วถ้านำเงินกลับมาก็จะต้องเสียภาษีทันที เป็นต้น

ตัวอย่างของตลาดหุ้นอื่นเช่น มาเลเซีย เขาให้เวลาหลายปีเพื่อให้โอกาสคนที่ไม่อยากเสียภาษีนำเงินกลับมา ตัวอย่างอีกแห่งหนึ่งก็คือที่ออสเตรเลีย ที่เคยประกาศเก็บภาษีกำไรจากหุ้น สิ่งที่ทำก็คือ เขาให้ปรับต้นทุนใหม่หมดก่อนที่จะเก็บภาษี  ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุติธรรมสำหรับคนที่ถือหุ้นมานานและมีกำไรในพอร์ตมากที่จะไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นต้น

ทั้งหมดนั้นผมก็หวังว่าต่อจากนี้ไป ผู้กำกับและผู้คุมกฎเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่รวมไปถึงผู้เก็บภาษีและรัฐบาลจะยึดถือเป็นหลักในการทำงาน ผมเชื่อว่าถ้าทำแบบนั้น  ทุกคนเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนก็จะเข้าใจ และก็คงไม่มาประท้วงว่าทำไมผู้กำกับหรือผู้มีอำนาจไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะกฎเกณฑ์ต่าง  ๆ ออกมาอย่างมีเหตุผลที่ถูกต้องเพื่อทำให้ตลาดดีในระยะยาว

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร