อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย … ตลาดก็เช่นกัน
ปี 2025 น่าจะเป็นปีที่แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของโลกการลงทุนไม่น้อย เพราะถ้าย้อนไปตั้งแต่ต้นปี เราจะเห็นถึงความไม่แน่นอนที่ปกคลุมตลาดอย่างชัดเจน ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งหลังสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่นักลงทุนทั่วโลก นโยบายภาษี (Tariff) ที่เข้มงวดขึ้นจากการกลับมาของประธานาธิบดี ทรัมป์ กับนโยบาย ‘America First’ ก็เป็นอีกปัจจัยที่สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการค้าโลก และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในหลายอุตสาหกรรม
ถ้ามองในมุมของการลงทุน ก็ถือว่าตลาดเปลี่ยนแปลงบ่อยจริง ๆ และสิ่งที่นักลงทุนทำได้คือการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจคือการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอที่มีการจัดพอร์ตเพื่อเอาชนะตลาดทุกสภาวะ อย่างพอร์ต A.Stotz All Weather Strategy
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทย ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework หรือการวิเคราะห์รอบด้านทั้ง Fundamental, Valuation, Momentum และ Risk ในการวิเคราะห์การลงทุน โดยมุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง
หัวใจการลงทุนของพอร์ต คือ G-L-D
Andrew Stotz เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง A.Stotz Investment Research ทำงานด้านการลงทุนในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 1992 ในฐานะนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และอาจารย์มหาวิทยาลัย
โดยในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง Head of Research ที่ CLSA ได้รับการโหวตจากผลสำรวจของ Asiamoney Brokers ให้เป็นนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยประจำปี 2008 และ 2009 รวมถึงได้รับการโหวตให้เป็นนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของเมืองไทยจากรายงานของ All-Asia Research Team ซึ่งจัดทำโดยนิตยสาร Institutional Investor เช่นกัน
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz อาจเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามแต่ละภาวะตลาด ดังนี้
นอกจากนี้ A.Stotz All Weather Strategy ยังพิจารณาลงทุนใน 6 ภูมิภาค ตามสภาวะตลาด คือ สหรัฐอเมริกา, ตลาดเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน), ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป, ญี่ปุ่น, เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง) และจีน
ปกติแล้วในการจัดพอร์ตการลงทุน จะมีสัดส่วนที่คนนิยมคือแบบ 60/40 หรือการลงทุนในหุ้น 60% ตราสารหนี้ 40% ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว ที่ผ่านมา A.Stotz All Weather Strategy สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า การกระจายการลงทุนแบบดังกล่าวภายใต้ความผันผวนที่ต่ำกว่า*
ถ้านับตั้งแต่จัดตั้งพอร์ต A.Stotz All Weather Strategy ปรับขึ้นกว่า 52.8% โดดเด่นกว่าพอร์ต 60/40 ที่ปรับตัวขึ้น 31.6%
*ผลงานของพอร์ต 60/40 คำนวนจาก NAV 60% ของ MSCI AC World & KKP PGE-H และ NAV 40% ของ KT-BOND, SCBGLOB โดยจัดเป็นดัชนีชี้วัดของพอร์ตการลงทุนนี้
ผลตอบแทนของ A.Stotz All Weather Strategy เทียบกับพอร์ตการลงทุน 60/40 | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 07/06/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
นอกจากนี้ หากมองย้อนกลับไป A.Stotz All Weather Strategy ยังมีความผันผวนต่ำกว่า ปรับตัวลงน้อยกว่าในวันที่ตลาดแย่กว่า และทำผลงานในแต่ละเดือนได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับพอร์ตแบบ 60/40
A.Stotz All Weather Strategy มีความผันผวนต่ำกว่า เมื่อเทียบกับพอร์ตแบบ 60/40 | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 07/06/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
A.Stotz All Weather Strategy ปรับตัวลงน้อยกว่า พอร์ตการลงทุน 60/40 ในวันที่ตลาดแย่กว่า | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 07/06/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
A.Stotz All Weather Strategy ทำผลงานในแต่ละเดือนได้ดีกว่าถึง 60% เทียบกับพอร์ตแบบ 60/40 | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 07/06/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
ผลตอบแทนของ A.Stotz All Weather Strategy เทียบกับพอร์ตการลงทุน 60/40 ในทุกช่วงเวลา | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 07/06/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
มุมมองการลงทุนล่าสุด (07/06/2025) A.Stotz All Weather Strategy กระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก โดยเน้นลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วน 70% แบ่งเป็นหุ้นยุโรป 25% หุ้นตลาดเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน) 25% หุ้นสหรัฐฯ 5% หุ้นจีน 5% หุ้นญี่ปุ่น 5% หุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นและจีน 5%
สำหรับตราสารหนี้ พอร์ต AWS ลงทุนด้วยสัดส่วน 5% และสัดส่วนที่เหลืออีก 25% กระจายการลงทุนในทองคำ
ติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
Debt to GDP Ratio หรือ อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ คือหนึ่งในตัวชี้วัดสุขภาพการคลังของประเทศ แสดงให้เห็นว่ามีภาระหนี้เกินกว่ากำลังการผลิตทางเศรษฐกิจของตัวเองแค่ไหน วิธีแปลค่าง่าย ๆ เบื้องต้น
แต่ค่านี้ควรดูร่วมกับอัตราดอกเบี้ย, งบประมาณรายปี, ความสามารถในการก่อหนี้ใหม่ และสถานะทุนสำรองระหว่างประเทศด้วย เพราะจะเห็นว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา แม้จะมีหนี้ต่อ GDP สูงระดับเกิน 100% มายาวนาน แต่กลับไม่ล้มละลาย เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากการมีเครดิตที่ดีและมูลค่าเศรษฐกิจที่สูง จึงมีความน่าเชื่อถือและมีเครื่องมือควบคุมเสถียรภาพทางการเงิน ต่างจากประเทศเล็ก ๆ ที่หากก่อหนี้สูงเกินไป ก็อาจถูกกดดันจากตลาดแล้ว
Source: World Population Review
ถ้าพูดถึงหุ้นปันผลที่แกร่งในทุกสภาพเศรษฐกิจ คงไม่มีใครเกิน “Dividend Kings” หุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีประวัติการเพิ่มเงินปันผลต่อเนื่องทุกปีเป็นเวลา 50 ปีขึ้นไป
ไม่ว่าจะเกิดภาวะถดถอย วิกฤตตลาด เงินเฟ้อ หรือเทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน บริษัทเหล่านี้ก็ยังมอบผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่จ่ายปันผลทุกปี แต่ต้องเพิ่มเงินปันผลต่อเนื่องติดต่อกันอย่างน้อย 50 ปี
เราได้นำข้อมูลจาก Simply Safe Dividends ที่รวบรวมรายชื่อหุ้น Dividend Kings ล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 12 มิ.ย. 2568) มาฝากกัน พร้อมอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) และคะแนนความปลอดภัยของเงินปันผล (Dividend Safety Score™) เพื่อช่วยให้คุณเลือกหุ้นปันผลได้อย่างมั่นใจขึ้น
ถ้าเป้าหมายของคุณคือสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว ต้องห้ามพลาดบทความนี้!
1. Altria (MO)
🔸 Sector: ยาสูบ
🔸 Yield: 6.81%
🔸 Dividend Safety Score: Borderline Safe
2. Universal (UVV)
🔸 Sector: ยาสูบ
🔸 Yield: 5.37%
🔸 Dividend Safety Score: Borderline Safe
3. Northwest Natural (NWN)
🔸 Sector: ก๊าซธรรมชาติ
🔸 Yield: 4.87%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
4. Stanley Black & Decker (SWK)
🔸 Sector: เครื่องจักรอุตสาหกรรม
🔸 Yield: 4.87%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
5. Canadian Utilities (CDUAF)
🔸 Sector: สาธารณูปโภคหลายประเภท
🔸 Yield: 4.74%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
6. Black Hills (BKH)
🔸 Sector: สาธารณูปโภคหลายประเภท
🔸 Yield: 4.71%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
7. Target (TGT)
🔸 Sector: ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค
🔸 Yield: 4.59%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
8. Federal Realty (FRT)
🔸 Sector: REIT
🔸 Yield: 4.55%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
9. PepsiCo (PEP)
🔸 Sector: เครื่องดื่ม
🔸 Yield: 4.30%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
10. Archer-Daniels-Midland (ADM)
🔸 Sector: ผลิตภัณฑ์เกษตร
🔸 Yield: 4.11%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
11. United Bankshares (UBSI)
🔸 Sector: ธนาคารในภูมิภาค
🔸 Yield: 4.07%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
12. Kimberly-Clark (KMB)
🔸 Sector: สินค้าอุปโภค
🔸 Yield: 3.76%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
13. Hormel Foods (HRL)
🔸 Sector: อาหารสำเร็จรูป
🔸 Yield: 3.74%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
14. Kenvue (KVUE)
🔸 Sector: ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนตัว
🔸 Yield: 3.72%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
15. Fortis (FTS)
🔸 Sector: สาธารณูปโภคไฟฟ้า
🔸 Yield: 3.61%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
16. AbbVie (ABBV)
🔸 Sector: ไบโอเทคโนโลยี
🔸 Yield: 3.41%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
17. Genuine Parts (GPC)
🔸 Sector: อะไหล่รถยนต์และเครื่องจักร
🔸 Yield: 3.37%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
18. Johnson & Johnson (JNJ)
🔸 Sector: ยาและอุปกรณ์การแพทย์
🔸 Yield: 3.32%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
19. Consolidated Edison (ED)
🔸 Sector: สาธารณูปโภคหลายประเภท
🔸 Yield: 3.28%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
20. H2O America (HTO)
🔸 Sector: สาธารณูปโภคน้ำ
🔸 Yield: 3.14%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
21. Sysco (SYY)
🔸 Sector: กระจายวัตถุดิบอาหาร
🔸 Yield: 2.87%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
22. Coca-Cola (KO)
🔸 Sector: เครื่องดื่ม
🔸 Yield: 2.82%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
23. Stepan (SCL)
🔸 Sector: เคมีภัณฑ์เฉพาะทาง
🔸 Yield: 2.77%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
24. Procter & Gamble (PG)
🔸 Sector: สินค้าในครัวเรือน
🔸 Yield: 2.59%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
25. California Water (CWT)
🔸 Sector: สาธารณูปโภคน้ำ
🔸 Yield: 2.57%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
26. National Fuel Gas (NFG)
🔸 Sector: ก๊าซธรรมชาติ
🔸 Yield: 2.54%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
27. Illinois Tool Works (ITW)
🔸 Sector: เครื่องจักรอุตสาหกรรม
🔸 Yield: 2.44%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
28. PPG Industries (PPG)
🔸 Sector: เคมีภัณฑ์เฉพาะทาง
🔸 Yield: 2.43%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
29. Becton Dickinson (BDX)
🔸 Sector: อุปกรณ์การแพทย์
🔸 Yield: 2.38%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
30. Middlesex Water (MSEX)
🔸 Sector: สาธารณูปโภคน้ำ
🔸 Yield: 2.38%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
31. American States Water (AWR)
🔸 Sector: สาธารณูปโภคน้ำ
🔸 Yield: 2.37%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
32. Cincinnati Financial (CINF)
🔸 Sector: ประกันภัย
🔸 Yield: 2.35%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
33. ABM Industries (ABM)
🔸 Sector: บริการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก
🔸 Yield: 2.29%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
34. Lancaster (LANC)
🔸 Sector: อาหารสำเร็จรูป
🔸 Yield: 2.25%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
35. Colgate-Palmolive (CL)
🔸 Sector: สินค้าอุปโภค
🔸 Yield: 2.23%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
36. Lowe’s (LOW)
🔸 Sector: ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง
🔸 Yield: 2.15%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
37. Gorman-Rupp (GRC)
🔸 Sector: เครื่องจักรอุตสาหกรรม
🔸 Yield: 2.01%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
38. ADP (ADP)
🔸 Sector: บริการด้าน HR
🔸 Yield: 1.99%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
39. Farmers & Merchants (FMCB)
🔸 Sector: ธนาคารในภูมิภาค
🔸 Yield: 1.86%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
40. Nucor (NUE)
🔸 Sector: เหล็ก
🔸 Yield: 1.86%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
41. RPM International (RPM)
🔸 Sector: เคมีภัณฑ์เฉพาะทาง
🔸 Yield: 1.78%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
42. Commerce Bancshares (CBSH)
🔸 Sector: ธนาคารในภูมิภาค
🔸 Yield: 1.77%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
43. Abbott (ABT)
🔸 Sector: อุปกรณ์การแพทย์
🔸 Yield: 1.73%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
44. H.B. Fuller (FUL)
🔸 Sector: เคมีภัณฑ์เฉพาะทาง
🔸 Yield: 1.68%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
45. Emerson Electric (EMR)
🔸 Sector: อุปกรณ์ไฟฟ้า
🔸 Yield: 1.67%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
46. Tennant (TNC)
🔸 Sector: เครื่องจักรอุตสาหกรรม
🔸 Yield: 1.55%
🔸 Dividend Safety Score: Safe
47. Nordson (NDSN)
🔸 Sector: เครื่องจักรอุตสาหกรรม
🔸 Yield: 1.43%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
48. MSA Safety (MSA)
🔸 Sector: อุปกรณ์ความปลอดภัย
🔸 Yield: 1.29%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
49. Dover (DOV)
🔸 Sector: เครื่องจักรอุตสาหกรรม
🔸 Yield: 1.15%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
50. Tootsie Roll (TR)
🔸 Sector: ขนมหวาน
🔸 Yield: 1.08%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
51. Parker-Hannifin (PH)
🔸 Sector: เครื่องจักรอุตสาหกรรม
🔸 Yield: 1.08%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
52. Walmart (WMT)
🔸 Sector: ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค
🔸 Yield: 0.99%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
53. RLI Corp (RLI)
🔸 Sector: ประกันภัย
🔸 Yield: 0.86%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
54. W.W. Grainger (GWW)
🔸 Sector: สินค้าอุตสาหกรรม
🔸 Yield: 0.84%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
55. S&P Global (SPGI)
🔸 Sector: บริการด้านข้อมูล วิเคราะห์ และดัชนีทางการเงิน
🔸 Yield: 0.76%
🔸 Dividend Safety Score: Very Safe
ที่มา: Simply Safe Dividends
โดยทั่วไปแล้ว หากมองในระยะยาว หุ้นกลุ่ม Dividend Kings มักสร้างผลตอบแทนรวม (Total Return) ที่ใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 แต่มีความผันผวนของราคาต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Dividend Kings เริ่มให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่มีสัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกระแสลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Stocks) และหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI
ความแตกต่างของผลตอบแทนนี้ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เนื่องจากสัดส่วนอุตสาหกรรมของ Dividend Kings และ S&P 500 มีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน ปัจจุบันเกือบครึ่งหนึ่งของ S&P 500 เป็นหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึง Amazon, Meta และ Alphabet ในขณะที่ Dividends Kings กว่า 80% กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มที่มีความมั่นคงสูงกว่า เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Staples), อุตสาหกรรม (Industrials), สุขภาพ (Healthcare) และสาธารณูปโภค (Utilities)
ดังนั้น นักลงทุนที่เลือกลงทุนใน Dividend Kings จึงโฟกัสไปที่ความมั่นคงของกระแสเงินสดและเงินปันผล มากกว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะสั้นของหุ้นเทคโนโลยี
อ้างอิง: Simply Safe Dividends
คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
วันที่ 19 มิถุนายน 2025 ดัชนี Hang Seng (HSI) ของฮ่องกงปรับตัวลงกว่า 2.08% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ และดัชนี HSCEI (หุ้นจีน H-Share) ปรับตัวลงกว่า 2.12% ท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจากการขึ้นภาษีนำเข้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง และ การปรับเกณฑ์ใหม่เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนในฮ่องกอง เช่น Alibaba และ Tencent สามารถออกหุ้น A-shares ในตลาดเซินเจิ้นได้ เพื่อเพิ่มช่องทางการระดมทุนในตลาดจีน แต่อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังมีท้าทายเกี่ยวกับกฏระเบียบที่อาจเข้มงวดขึ้น
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับตัวลดลงกว่า 2.11% จากความกดดันทางความไม่แน่นอนทางการเมืองจากกรณีคลิปเสียง “อุ๊งอิ๊ง-ฮุน เซน” ส่งผลให้หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ต่อรัฐบาลไทยรวมถึงมีพรรคร่วมรัฐบาลประกาศถอนตัวจากฝ่ายรัฐบาล ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับโอกาสการยุบสภาหรือการลาออกของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้การพิจารณางบประมาณปี 2569 และแผนการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ มีความไม่แน่นอน
Finnomena Funds มองว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยและจีนในช่วงนี้สะท้อนความไม่แน่นอนชั่วคราวจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยเราอยู่ระหว่างทบทวนมุมมองต่อตลาดหุ้นจีน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยคงมุมมอง slightly positive แม้กำไรยังถูกปรับลด และยังเผชิญกับความไม่แน่นอน แต่ Valuation ยังถูกในเชิง P/E และ Dividend Yield
แนะนำทยอยสะสมกองทุนเน้นหุ้นปันผลสูงอย่างกองทุน TISCOHD-A
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักลงทุนหลายคนอาจเคยตั้งคำถามว่า “พอร์ตของเราจะรอดไหมถ้าเกิดวิกฤต?” เพื่อตอบรับความท้าทายนี้ Finnomena Funds จึงจัดงานสัมมนาพิเศษ “All-Weather Strategy Thrive in Any Market ฝ่าทุกมรสุมตลาดกับการคว้าโอกาส สร้างพอร์ตให้แข็งแกร่ง” เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา
ในงานสัมมนา Andrew Stotz, CFA ได้นำเสนอพอร์ต “All-Weather Strategy (AWS)” พอร์ตการลงทุนที่ทางทีม A. Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้น เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนพร้อมรับทุกฤดู ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาวะใด โดยมีหัวใจหลัก 3 อย่างคือ Global ลงทุนทั่วโลก, Long-term เน้นการเติบโตระยะยาว และ Diversified กระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์และภูมิภาค
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
All-Weather Strategy (AWS) ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตการลงทุน โดยเป็นพอร์ตการลงทุนที่มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว โดยมีการบริหารความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด
*ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนและมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในปี 2025 ทีมงาน A. Stotz จึงทำการปรับสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ต AWS ล่าสุด (มิถุนายน 2568) ดังนี้
Andrew Stotz เน้นย้ำว่า “การลงทุนระยะยาวที่ยั่งยืน ไม่ได้หมายถึงการเอาชนะตลาดทุกปี แต่คือการเอาตัวรอดจากช่วงตลาดขาลง และเดินหน้าต่อได้เมื่อโอกาสกลับมา” AWS จึงไม่ได้เน้นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด แต่เน้นการลงทุนที่ลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
หากคุณกำลังมองหากลยุทธ์วางแผนมาเพื่อรับมือทุกฤดูกาลของตลาด All-Weather Strategy คือหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ออกแบบมาเพื่อมุ่งสร้างผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว พร้อมช่วยบริหารความเสี่ยงในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
ข้อมูลติดต่อ: ฝ่ายสื่อสารการตลาด Finnomena
มะลิลา ใจพันธ์ โทร. 089-874-8982 Email: nim.malila@finbroadcasting.com
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวม ไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ร่วมกับกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และโครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวมโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เตรียมจัดงาน “THAI ON TOP ยกทัพ ยกระดับ ตลาดทุนไทย” เปิดเวทีเสวนาเชิงลึก เจาะทุกมิติของ ThaiESGX พร้อมค้นหาโอกาสลงทุนระยะยาวในตลาดทุนไทย และเปิดมุมมองใหม่สู่การลงทุนอย่างยั่งยืน โอกาสสุดท้ายในการสับเปลี่ยน LTF หรือลงทุนใหม่ใน ThaiESGX จาก บลจ. ชั้นนำ ครบจบในงานเดียว
ทั้งนี้ งานจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 เวลา 12:00 – 17:00 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคาร B ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองกับนักวิเคราะห์ระดับแนวหน้า ผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนมืออาชีพ พร้อมแนะนำกองทุน ThaiESGX ที่คุณไม่ควรพลาด
ไฮไลต์ของงานประกอบด้วย
รวมสุดยอดวิทยากรแถวหน้าในแวดวงการลงทุน นักวิเคราะห์ และนักลงทุนชื่อดังของตลาดทุนไทย ครอบคลุมมุมมองทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ผ่านเวทีเสวนาหลัก ได้แก่
1. Thai on Global ตลาดทุนไทย เชื่อมั่นได้แค่ไหนจากสายตาต่างชาติ ผ่านมุมมองของนักลงทุนสถาบัน และปรมาจารย์ด้านการลงทุน ร่วมรับฟังมุมมองสุดพิเศษจาก
2. Top on Thai ร่วมเฟ้นหาสุดยอดหุ้นและกองทุน ThaiESGX กับโอกาสลงทุนอย่างยั่งยืน ผ่านผู้มีประสบการณ์ในวงการตลาดทุน อาทิ
3. Thai on Top เวทีถ่ายทอดกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากนักลงทุนมืออาชีพ โดย
4. Special Session: Thai on Returns เปิดมุมมองจาก “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการ Finnomena และนักการเงินมากประสบการณ์ ที่จะพาเรามองอนาคตของเศรษฐกิจไทยอย่างมีความหวัง
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการสรุปเงื่อนไขสำคัญเกี่ยวกับการโอนย้ายกองทุน ThaiESGX สิทธิประโยชน์ และโอกาสการลงทุนในโค้งสุดท้าย
พบกับบูธจาก บลจ. ชั้นนำ ที่มาพร้อมกับโอกาสสุดท้ายสำหรับการสับเปลี่ยนจาก LTF สู่ ThaiESGX ได้สะดวก ครบ จบในงานเดียว!
งานนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ในการลงทุนหุ้นไทยอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน
สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://form.jotform.com/EventFC/THAIONTOP
พิเศษ! 300 ท่านแรก ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าและทำแบบสอบถามหน้างาน รับฟรี! บัตร Starbucks มูลค่า 100 บาท
Finnomena Funds มองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสผันผวนในอนาคตหลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุด (all-time high) ที่ระดับ 6,147 จุด ส่งผลให้ Valuation ของตลาดหุ้นเริ่มอยู่ในระดับตึงตัวอีกครั้ง โดย 12-m forwad P/E ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ 21.9 (+1.5 S.D.) นอกจากนี้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Tariff ยังคงอยู่ หลังนายโดนัลด์ทรัมป์ระบุว่าเตรียมประกาศอัตราภาษีฝ่ายเดียว (unilateral tariff rates) แก่ประเทศคู่ค้าในอีก 1-2 สัปดาห์ข้่างหน้า ก่อนสิ้นสุดเส้นตายการผ่อนผันภาษีภาษี Reciprocal Tariff ในวันที่ 9 กรกฎาคม แม้ในความเป็นจริงอาจจะมีโอกาสต่อหรือเลื่อนไปได้ แต่ความไม่แน่นอนและความผันผวนน่าจะเพิ่มจากประเด็นที่กล่าวมา
การปรับประมาณการกำไรและ P/E Ratio ของดัชนี S&P500
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
ดัชนีความไม่แน่นอนทางการค้าทั่วโลกและดัชนี S&P500
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
Finnomena Funds จึงแนะนำปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตลง “De-risk” (แต่ไม่ใช่ Risk-off mode) จากความไม่แน่นอนในอนาคต ด้วยการลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงลง พร้อมเพิ่มสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและ/หรือสินทรัพย์ที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง ที่มีโอกาสรับประโยชน์จากความผันผวนในอนาคตและเตรียมสภาพคล่องเพื่อลงทุนในเพิ่มในยามที่ตลาดผันผวน ดังนี้
ตารางสรุปการปรับสัดส่วนการลงทุนแผน All Balance
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
จัดทำโดยบลป. เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Finnomena Funds มองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสผันผวนในอนาคตหลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุด (all-time high) ที่ระดับ 6,147 จุด ส่งผลให้ Valuation ของตลาดหุ้นเริ่มอยู่ในระดับตึงตัวอีกครั้ง โดย 12-m forwad P/E ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ 21.9 (+1.5 S.D.) นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Tariff ยังคงอยู่ หลังนายโดนัลด์ทรัมป์ระบุว่าเตรียมประกาศอัตราภาษีฝ่ายเดียว (unilateral tariff rates) แก่ประเทศคู่ค้าในอีก 1-2 สัปดาห์ข้่างหน้า ก่อนสิ้นสุดเส้นตายการผ่อนผันภาษีภาษี Reciprocal Tariff ในวันที่ 9 กรกฎาคม แม้ในความเป็นจริงอาจจะมีโอกาสต่อหรือเลื่อนไปได้ แต่ความไม่แน่นอนและความผันผวนน่าจะเพิ่มจากประเด็นที่กล่าวมา
การปรับประมาณการกำไรและ P/E Ratio ของดัชนี S&P500
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
ดัชนีความไม่แน่นอนทางการค้าทั่วโลกและดัชนี S&P500
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
Finnomena Funds จึงแนะนำปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตลง “De-risk” (แต่ไม่ใช่ Risk-off mode) จากความไม่แน่นอนในอนาคต ด้วยการลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงลง พร้อมเพิ่มสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและ/หรือสินทรัพย์ที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง ที่มีโอกาสรับประโยชน์จากความผันผวนในอนาคตและเตรียมสภาพคล่องเพื่อลงทุนในเพิ่มในยามที่ตลาดผันผวน ดังนี้
กองทุน ES-GAINCOME ลงทุนในกองทุนหลัก AMUNDI FUNDS INCOME OPPORTUNITIES กระจายการลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ (multi-assets) หาประโยชน์จากความผันผวนผ่านการใช้ตราสารอนุพันธ์อย่าง Option และมีการทำป้องกันความเสี่ยง Hedging ขาลง ลด Downside ลดความเสี่ยงด้านราคา (Downside Protection) กองหลัก AMUNDI FUND INCOME OPPORTUNITIES บริหารโดยผู้จัดการกองทุนซึ่งมีประสบการณ์ลงทุนมากว่า 25 ปี และบริหารตั้งแต่เริ่มกลยุทธ์นี้ตั้งแแต่ปี 2011
ตารางสรุปการปรับสัดส่วนการลงทุนแผน GAR
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
ตารางสรุปการปรับสัดส่วนการลงทุนแผน GCP
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
ตารางสรุปการปรับสัดส่วนการลงทุนแผน All star
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
ตารางสรุปการปรับสัดส่วนการลงทุนแผน All Balance
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
แผน All Defense
ตารางสรุปการปรับสัดส่วนการลงทุนแผน All Defense
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 16/06/2025
จัดทำโดยบลป. เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
อย่าลืมเปิดฟังก์ชันปรับพอร์ตอัตโนมัติ! Automatic Allocation ช่วยบริหารพอร์ตตามสภาวะตลาด สะดวก ใช้งานง่าย ให้คุณปรับสมดุลพอร์ตอยู่ในสถานะที่เหมาะสมอยู่เสมอ
สามารถเปิดใช้ Automatic Allocation ได้แล้ววันนี้ที่พอร์ตการลงทุนของคุณ หรือดูวิธีการได้ที่ Finnomena Funds Automatic Allocation
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
หลายคนที่ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น RMF, Thai ESG รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษีน้องใหม่สายรักษ์โลกอย่าง Thai ESGX ด้วยความรู้สึกที่ว่า “อย่างน้อยก็ได้เงินภาษีคืน” แต่เคยสงสัยไหมว่า ถ้าผลตอบแทนของกองทุนไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ หรือแย่จนติดลบหนัก การได้เงินภาษีคืนจะเพียงพอต่อความเสี่ยงที่ต้องแบกรับหรือไม่?
วันนี้ Finnomena Funds ขอนำข้อมูลจากเพจ Money We Plan มาแบ่งปัน โดยจะคำนวณให้เห็นภาพชัด ๆ ด้วยการเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนของกองทุน Thai ESGX กับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับ
ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) แบบง่าย ๆ ที่จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้น สมมติว่าเราถือหน่วยลงทุน Thai ESGX เป็นเวลา 5 ปี และผลตอบแทนรวมตลอด 5 ปีนั้น ผันผวนอยู่ในช่วง -30% ถึง +20%
CAGR = (เงินครบกำหนด ÷ เงินต้น)^(1 ÷ จํานวนปี) – 1
สมมติฐาน:
เช่น ลงทุน 100,000 บาท
ฐานภาษี 20% = ได้สิทธิลดหย่อนภาษี 20% = 20,000 บาท
ดังนั้นเงินต้นที่ใช้คำนวณคือ 100,000 – 20,000 = 80,000 บาท
จากข้อมูลในตารางจะเห็นได้ว่าในบางกรณี แม้ผลตอบแทนรวมของกองทุน Thai ESGX ในช่วง 5 ปีที่ถือครองจะติดลบ เช่น -10% หรือ -20% แต่ด้วยสิทธิลดหย่อนภาษีที่เราได้รับไปแล้วตั้งแต่ต้น อาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของเรายังคงเป็นบวกได้
ดังนั้น อย่าลืมพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ก่อนลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ฐานภาษี ระดับความเสี่ยงที่รับได้ และระยะเวลาการลงทุนที่ต้องถือครอง 5 ปี เพื่อวางแผนภาษีและต่อยอดความมั่งคั่งให้มีประสิทธิภาพที่สุด
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปกองทุน Thai ESGX เงื่อนไขพิเศษ โยก LTF เดิม ลดหย่อนภาษี 5 แสนบาท
Finnomena Funds คัดกองทุน Thai ESGX ที่เดียวครบจาก 19 บลจ. ชั้นนำ โอกาสการลงทุนครั้งสำคัญ พร้อมลดหย่อนภาษีพิเศษปี 2568 เฉพาะเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้เท่านั้น
ดูคำแนะนำเพิ่มเติม 👉 https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESGX กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อกำหนดก่อนตัดสินใจ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”| สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
จบกันไปแล้วกับงาน SET in the City 2025 บรรยากาศเต็มไปด้วยพลังของผู้คนที่สนใจการลงทุนจากทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่นักศึกษา คนเพิ่งเริ่มทำงาน ไปจนถึงนักลงทุนรุ่นใหญ่ที่แวะมาหาคำแนะนำใหม่ ๆ ทุกมุมของงานเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย การตั้งคำถาม และบรรยากาศของการเปิดกว้างในการรับความรู้
สำหรับบูธ Finnomena ของเรานั้นก็เป็นหนึ่งในบูธที่มีผู้คนแวะเวียนไม่ขาดสายบูธของเราไม่ใช่แค่บูธแนะนำกองทุน แต่เป็นพื้นที่ที่สามารถพูดคุยเรื่องการเงินได้อย่างตรงไปตรงมา เป็นกันเอง และเข้าใจง่าย พร้อมทีมผู้แนะนำการลงทุนมืออาชีพคอยตอบทุกคำถามอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ Finnomena ยังมอบความสดชื่นด้วย “ไอศกรีมแห่งโลกการลงทุน” แจกฟรีให้ผู้ร่วมงานได้คลายร้อนระหว่างเดินชมงาน และเปลี่ยนบรรยากาศทางการให้กลายเป็นพื้นที่สนทนาแบบสบาย ๆ
โดยอีกหนึ่งไฮไลต์โดดเด่นในบูธ Finnomena คือ “เมนูน่าลงทุน” ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษสำหรับงานนี้ สำหรับใครที่กำลังมองหาไอเดียลงทุนที่ตอบโจทย์เป้าหมายต่าง ๆ Finnomena มีเมนูเด็ดให้เลือกชิม ได้แก่
ทั้งหมดนี้ถูกจัดเรียงอย่างน่ารักบนบอร์ด “เมนูน่าลงทุน” เหมือนร้านคาเฟ่ประจำงาน ที่ใครผ่านมาก็ต้องหยุดชม และอดไม่ได้ที่จะเข้ามาชิมสักเมนู
ตลอดทั้งวัน บรรยากาศเต็มไปด้วยบทสนทนาที่หลากหลาย ทั้งจากคนรุ่นใหม่ที่เริ่มสนใจการลงทุนอย่างจริงจัง พนักงานประจำที่กำลังวางแผนใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ไปจนถึงนักลงทุนวัยเกษียณที่อยากให้พอร์ตเติบโตอย่างมั่นใจ
Finnomena ภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอีเวนต์การเงินที่ยิ่งใหญ่ประจำปี ซึ่งรวมนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำของไทยไว้มากที่สุดในรอบปี สะท้อนบทบาทของ Finnomena ในการร่วมพัฒนาและขับเคลื่อนระบบนิเวศการลงทุนของไทยอย่างจริงจัง
บทความนี้ จะพามาแนะนำตลาดหุ้นแนว Turnaround หรือตลาดที่ดัชนีร่วงลงมาเยอะในช่วงที่ผ่านมา ทว่ามีโอกาสที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นแบบจริงจังอยู่ค่อนข้างสูง ประจำปี 2025 โดยผมมองว่าประกอบด้วย เกาหลีใต้ และ ฮ่องกง
ประธานาธิบดี ลี แจ มยอง ที่เพิ่งได้รับเลือกเป็นผู้นำเกาหลีใต้ มีนโยบายการปฏิวัติระบบธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และสนับสนุนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ โดยได้สัญญากับบรรดานักลงทุนรายย่อย เกาหลีใต้ว่าจะทำให้ดัชนีหุ้น Kospi ขึ้นไปถึง 5,000 จุด ในวาระการเป็นผู้นำสหรัฐของเขา ซึ่งตลาดก็ตอบรับด้วยการพุ่งขึ้น 7% สู่ระดับเหนือ 2,900 จุด ในสัปดาห์หลังจากที่ทราบผลการเลือกตั้ง
กระนั้นก็ดี หลังการเลือกตั้งใหญ่ในอดีตแทบจะทุกครั้ง ผู้นำเกาหลีใต้คนแล้วคนเล่า ต่างก็มีความตั้งใจที่จะผลักดันให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ หลุดพ้นจากสภาวะ Valuation ของดัชนี Kospi ที่ต่ำมากเป็นประวัติการณ์ จนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ได้ฉายาว่ามี Korea Discount อยู่ในตัวเอง ทว่าไม่มีผู้นำท่านใดสามารถทำได้สำเร็จ โดยในปัจจุบัน อัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี หรือ อัตราส่วน Price-to-Book อยู่ในระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.84 เมื่อปีที่แล้ว
เหตุผลหนึ่งเนื่องจากกฎหมายของเกาหลีใต้ให้ความคุ้มครองต่อผู้ถือหุ้นไว้น้อยมากในช่วงเวลาที่กลุ่มบริษัท หรือที่เรียกว่า Chaebol ต้องการที่จะขาย บริษัทย่อยออกไป หรือควบรวมกิจการบริษัทอื่น ๆ เข้ามา ภายใต้โครงสร้างการถือหุ้นแบบไขว้ไปมาระหว่างกันที่ค่อนข้างซับซ้อน
อย่างไรก็ดี การเข้ามาของนักลงทุนรายย่อยของชาวเกาหลีใต้ นับตั้งแต่ ช่วงวิกฤตโควิด และความกังวลต่ออัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ได้ผลักดันให้นโยบายการปฏิวัติตลาดทุนเป็น Agenda อันดับหนึ่ง ของผู้นำ ท่านใหม่ โดยลีและพรรคประชาธิบไตยของเขาได้เสนอให้ออกกฎหมาย ที่คุ้มครองผู้ถือหุ้นแบบเข้มข้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงการให้กรรมการ และผู้บริหารบริษัทต้องมี Fiduciary Duty ต่อผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรก
โดยมาตรการของลี แจ มยอง แตกต่างจากอดีตผู้นำ ยุน ซอก ยอล ตรงที่เจาะลึกถึงต้นตอของปัญหามากกว่า โดยแทนที่จะแก้ไขเพียงความขัดแย้ง ระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเกาหลีใต้กับฝ่ายอื่น ๆ เพียงเท่านั้น ลีต้องการแก้กฎหมาย Commercial Act ทำให้กรรมการและผู้บริหารบริษัทต้องมีหน้าที่ Fiduciary Duty ต่อผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรก ไม่ใช่มีเพียงแค่ต่อบริษัทเท่านั้น ซึ่งทำให้ในปัจจุบัน สมาชิกผู้ก่อตั้งบริษัทให้ความสำคัญต่อการควบคุมบริษัท มากกว่าการจ่ายเงินปันผลและทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มจำนวนการโหวตต่อผู้ถือหุ้นรายเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มาร่วมประชุมผู้ถือหุ้นด้วยตนเอง เพิ่มจำนวนสมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบ และเพิ่มอำนาจต่อรอง ต่อผู้ถือหุ้นเสียงส่วนน้อยในการแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัท
มาตรการเหล่านี้ ได้สร้างโมเมนตัมแห่งความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ในขณะนี้ รวมถึงการเป็นช่วงขาขึ้นของ Memory Chip การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินวอน การสงบลงของความเสี่ยงการเมืองในประเทศ และความหวังถึงการตกลงกันได้ระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐในอัตราส่วน Tariff ของทางการสหรัฐ ทั้งนี้ สิ่งที่น่าจับตา คือกฎหมาย Commercial Act ในท้ายที่สุด จะยังมีเนื้อหาที่กล่าวไว้ครบถ้วนมากน้อยแค่ไหน
โดยลีตั้งเป้าดัชนีหุ้น Kospi ไว้ที่ 5,000 จุด ในช่วง 5 ปีถัดจากนี้ ซึ่งเป็นช่วงหมดวาระการเป็นผู้นำของลี ซึ่ง P/E จะเท่ากับตลาดหุ้นญี่ปุ่นในตอนนี้ โดยหากสามารถทำให้ P/E เท่ากับค่าเฉลี่ยของตลาดเกิดใหม่ ดัชนีหุ้น Kospi จะขึ้นไปที่ 4,000 จุด ทั้งนี้ ต้องอาศัยมาตรการการลดอุปทานของจำนวนหุ้น ในตลาดผ่านการซื้อคืนหุ้น รวมถึงกระแสฟันด์โฟลว์ไหลออกจากจากตลาดสหรัฐที่เกิดจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยในอดีตที่ผ่านมา ดัชนี Kospi เคยขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่ 3,321 ในปี 2021
จาก ณ ช่วงกลางปี 2024 ฮ่องกงถูกมองว่าน่าจะสามารถกลับมาอยู่ในเรดาร์ ของนักลงทุนได้ค่อนข้างยาก ด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่
การเข้ามาควบคุมและปกครองประชาชนในฮ่องกงแบบใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นของรัฐบาลกลางจีน การลดลงของอัตราการเติบโตจีดีพีจากค่าเฉลี่ย 3.7% ระหว่างปี 1980-2011 เหลือ 1.5% ในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา ตามการชะลอตัวของ เศรษฐกิจจีน และการพึ่งพาการค้าของเศรษฐกิจฮ่องกงที่น่าจะชะลอตัวลง ตามสภาวะการค้าโลกที่ซบเซา
อย่างไรก็ดี ด้วยสภาวะการตัดขาดระหว่างกัน (Decoupling) ระหว่างสหรัฐและจีน ที่เข้มข้นมากขึ้นนับตั้งแต่ต้นปีนี้ที่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่ง ผู้นำสหรัฐ ได้ส่งผลดีต่อตลาดทุนและตลาดการเงินฮ่องกงเป็นอย่างมาก โดยบริษัทสัญชาติจีนที่ต้องการเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น จากเดิมที่พยายาม จะนำตัวเองเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากมีมูลค่าการเทรด ที่สูงกว่าตลาดอื่นเป็นอย่างมากนั้น สามารถทำได้ยากขึ้นหรือแทบ จะทำไม่ได้จากปัจจัยทางการเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐที่ถือว่าเสี่ยงขึ้นมาก หากจะยังซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐในยุคทรัมป์หรือแม้แต่หลังจากนั้นก็ตามที
ทำให้บริษัทเหล่านี้หันมาเข้ามาเทรดในตลาดฮ่องกงแทน เนื่องจากตลาดถือว่ามีความลึกมากกว่าตลาดสิงคโปร์ นอกจากนี้ บริษัทของอังกฤษยังหันมาสนใจซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงแทนตลาดหุ้นลอนดอน เนื่องจากมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านภาษีที่ผ่อนคลายกว่า
ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ดัชนีฮั่งเส็งได้พุ่งขึ้นกว่า 60% นับตั้งแต่ต้นปี 2024 สูงกว่าดัชนี CSI 300 ของจีนที่เพิ่มขึ้น 21% อย่างไรก็ดี ดัชนีฮั่งเส็งก็ยังต่ำกว่าระดับเมื่อต้นปี 2021 อยู่ 22%
หากมองจากตรงนี้ กระแส Decoupling ระหว่างสหรัฐและจีน นับวัน ๆ มีแต่จะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายถึงการเป็น Financial Center ของฮ่องกงก็ยังน่าจะสดใสมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
สำหรับในมิติอื่น ๆ จะเห็นได้ว่าทางการฮ่องกงได้เปลี่ยนฮ่องกงให้เป็นประเทศ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ จากการเปลี่ยนโฉมสนามบิน ไคตั๊กเดิมให้เป็นสถานที่จัด Event ด้านกีฬาต่าง ๆ อาทิ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และคอนเสิร์ตของศิลปินระดับโลก โดยมีการสร้างเทศกาลและ Event สำคัญ ๆ เกิดขึ้นตลอดทั้งปี เพื่อสร้างรายได้จากภาคบริการให้มาทดแทนรายได้อื่นที่ลดลงอันเป็นผลพวงจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนในช่วงเวลานี้
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
Finnomena Funds มองแนวโน้มภาวะการลงทุนต่อจากนี้จะอยู่ในช่วง Sideway และเต็มไปด้วยสถานการณ์ตลาดที่คลุมเคลือ จากสัญญาณทางเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง ตลาดหุ้นโลกทดสอบจุดสูงสุดเดิม แนะนำลดระดับความเข้มข้นเกมรุก แล้วหันไปเสริมแกร่งแนวรับ
อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2025 โดย Finnomena Funds
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hubแหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
แม้การเจรจา Trade Deal ดูเหมือนจะคืบหน้าไปทีละก้าว แต่ในอีกมุมก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงที่สูง ซึ่ง OECD ระบุว่าอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 15% ลดลงจาก 30% ในช่วงประกาศ Reciprocal Tariffs แต่ก็ยังคงสูงกว่าในอดีตที่ต่ำกว่าระดับ 5%
แปลว่าเศรษฐกิจโลกย่อมได้รับผลกระทบจาก Tariffs ไปพอสมควร สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว รายงาน Global Economic Prospects ฉบับล่าสุดของ World Bank ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกปี 2025 จะเติบโตเพียง 2.3% ลดลงจากตัวเลขเดิมที่คาดไว้ 2.7% ถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 โดยมีปัจจัยมาจากความขัดแย้งเรื่องสงครามการค้า ซึ่งได้ทำลายเสถียรภาพเชิงนโยบายหลายด้าน
เราจึงมองว่าทิศทางตลาดหุ้นต่อจากนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วง Sideway จากความไม่ชัดเจนต่าง ๆ เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุมตลาด ดังนั้น แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้โลก และ REITs เพื่อรับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย รวมถึงกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นกลุ่ม Defensive, หุ้น Emerging Markets และกองทุนที่มีกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงขาลง กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) KT-BOND (ความเสี่ยงระดับ 4)
กองทุนตราสารหนี้โลกอายุยาว ลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Global Bond Fund ที่อ้างอิงดัชนี Bloomberg Global Aggregate (USD Hedged) Index ปัจจุบันมี Yield to Maturity คาดการณ์ที่ 6.46% และเน้นลงทุนในตราสารหนี้อายุยาวประมาณ 7 ปี) โดยเป็นช่วงเวลาที่แนะนำให้เพิ่มสัดส่วน Global Bond เสริมความปลอดภัย เน้นสร้างกระแสเงินสด พร้อมรับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย
– รีวิวกองทุน KT-BOND: ตราสารหนี้โลกอายุยาว ล็อกผลตอบแทน Bond Yield ดีดแรงทุกรุ่น อ่านต่อคลิก
2.) K-GPINUH-A(A) และ K-GPINUH-A(R) (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นโลกสาย Defensive และมีรายได้ Premium จากการขาย Call Options ในช่วงตลาดขาลง ซึ่งเหมาะกับจังหวะในการสลับจากหุ้นกลุ่ม Growth ไปยังกลุ่มหุ้นตั้งรับ เช่น Health Care, Consumer Staples, Utility ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐโลกส่งสัญญาณชะลอตัว
3.) TUSREIT (ความเสี่ยงระดับ 8)
กองทุนในกลุ่ม REITs สหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Vanguard Real Estate ETF ที่เน้นลงทุนในกลุ่ม Data Center, Healthcare, Retail ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มักวิ่งสวนทางกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้หลังจากนี้ REITs สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นได้ตามแนวโน้ม Bond Yield ที่ลดลง
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) LHINNO-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นนวัตกรรม ARK Innovation ซึ่งเป็น Fund of Funds และลงทุนในกองทุน ARK Innovation (ARKK) สัดส่วน 76.5% โดยแนะนำเก็งกำไรระยะสั้น หลังช่วงที่ผ่านมา ARKK ทำ Pattern Higher High บ่งชี้โมเมนตัมเชิงบวก
2.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามเติบโตสูง เป็นประเทศเป้าหมายในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่มีโอกาสสูงที่จะ Make Deal กับสหรัฐฯ ซึ่งจะกลายเป็นโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องในการหนุนตลาดหุ้นเวียดนาม
3.) ABGFIX-A และ SCBFST (ความเสี่ยงระดับ 4)
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ สำหรับเป้าหมายการเก็งกำไรระยะสั้น โดยมองสัญญาณทางเทคนิค หาก Dollar Index ยืนที่ระดับ 98 จุด แล้วดีดขึ้นได้สำเร็จ จะเป็นจุดต่ำสุดของรอบนี้แล้ว
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical
1.) ES-GAINCOME-A และ ES-GAINCOME-RP (ความเสี่ยงระดับ 5)
กองทุนผสมที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Global Multi-Asset Allocation
) อาทิ หุ้น, Equity Linked-note, ตราสารหนี้ และ Catastrophe Bond ตลอดจนมีการป้องกันความเสี่ยงขาลง (Hedging) เหมาะกับการลงทุนเพื่อหาประโยชน์จากความผันผวนจากแนวทางการบริหารของ Donald Trump
– รีวิวกองทุน K-GPINUH และ ES-GAINCOME: ตั้งรับรอสวนกลับ ลงทุนหลบความผันผวน อ่านต่อคลิก
2.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี พร้อมด้วย Sentiment จากธีม China+1 และมีแรงหนุนระยะยาวทั้งเรื่องการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งล่าสุดเวียดนามได้อัปเกรดตลาดโดยนำระบบซื้อขายของ Korea Exchange มาใช้เพื่อยกระดับตลาดทุน
3.) B-BHARATA และ TISCOINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นอินเดียเติบโตแกร่ง เป็นตลาดที่สามารถเก็บสะสมได้ในระยะยาว หนุนโดยโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น พร้อมด้วย Sentiment จากธีม China+1
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนรุนแรงในระยะสั้น ๆ นักลงทุนกังวลต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลสหรัฐอเมริกา หนุนให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้นรวดเร็ว แต่นี่คือโอกาสของกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ต พร้อมสร้างผลตอบแทนในจังหวะที่ตลาดหุ้นชะลอตัวกับกองทุน KT-BOND
Source: Finnomena Funds, Macrobond as of 26/5/2025
ก่อนหน้านี้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงรวดเร็ว และส่งผลให้ Yield Curve ตัวยาวทั่วโลกกำลังชันขึ้น หนึ่งในสาเหตุคือการสะท้อนความกังวลด้านภาระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ และใกล้ชนเพดาน (X-Date) ในช่วงเดือนสิงหาคม 2025 รวมถึงอาจจะมีการออกพันธบัตรจำนวนมากเพื่อ Roll Over หนี้เก่า ทำให้ตลาดส่งสัญญาณเรียกร้อง Risk Premium ที่สูงขึ้นจากพันธบัตรระยะยาว
ประเด็นที่กระตุ้นเรื่องนี้แรง ๆ คือการที่ Moody’s Rating ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก Aaa เป็น Aa1 โดยระบุถึงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยที่สูง เช่นเดียวกับอีกหนึ่งศูนย์กลางการเงินโลกอย่างญี่ปุ่นที่มีหนี้สาธารณะมหาศาลกว่า 260% ของ GDP แล้ว ประกอบกับเงินเฟ้อญี่ปุ่นพุ่งแรงในรอบ 2 ปี เพิ่มโอกาสที่ BoJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
Bond Yield สหรัฐฯ ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2025 ใกล้เคียงกับระดับปี 2006-2007
Source: Finnomena Funds, Macrobond as of 26/5/2025
แม้ว่าการเจรจา Trade Deal จะคงดำเนินต่อไป และดูเหมือนจะคืบหน้าไปด้วยดีทีละก้าว แต่ในอีกมุมก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากท่าทีของรัฐบาล Trump ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว เพราะแรงกดดันของ Tariffs ในช่วงที่่ผ่านมา
รายงาน Global Economic Prospects ฉบับล่าสุดของ World Bank ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกปี 2025 จะเติบโตเพียง 2.3% ลดลงจากตัวเลขเดิมที่คาดไว้ 2.7% โดยเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 เนื่องจากความขัดแย้งในเรื่องสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งได้ทำลายเสถียรภาพเชิงนโยบายหลายอย่าง
– อ่านต่อ World Bank เตือนเศรษฐกิจโลกโตช้าสุดในรอบ 65 ปี และอาจเข้าสู่ทศวรรษแห่งความเศร้าซึม
เมื่อ Bond Yield เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณชะลอตัว นับเป็นโอกาสำคัญที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้โลก (Global Bond) อายุยาว ๆ ซึ่งมีข้อดี คือ
ทั้งนี้ 30 ปีที่ผ่านมา ดัชนี Global Bond ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6 เดือนก่อน Recession ราว 5% และ 6 เดือนหลัง Recession ราว 3% เท่ากับว่ารวม 12 เดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนระยะยาวของดัชนี Global bond ที่ให้ผลตอบแทนปีละ 3.3% กว่า 2 เท่า
KT-BOND หรือ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ บอนด์ ฟันด์ บลจ. กรุงไทย มีนโยบายการลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Global Bond Fund ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกระยะยาว อ้างอิงดัชนี Bloomberg Global Aggregate (USD Hedged) Index ปัจจุบันกองทุนหลักมีตัวเลข Yield to Maturity คาดการณ์ที่ 6.46% และเน้นลงทุนในตราสารหนี้อายุยาว (Effective Duration ประมาณ 7 ปี)
ข้อมูลกองทุนหลัก PIMCO GIS Global Bond Fund
Source: PIMCO as of 31/05/2025
สัดส่วนสินทรัพย์การลงทุนของ PIMCO GIS Global Bond Fund
Source: PIMCO as of 31/05/2025
จะเห็นว่ากองทุนหลักกระจายลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก นำโดยสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และจีน โดยเน้นตราสารอายุยาวในช่วง 5-10 ปี เป็นหลัก
ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ Finnomena Funds
สรุป KT-BOND เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวที่เหมาะกับลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้พอร์ต เป็นแหล่งพักเงินในช่วงที่ไม่มั่นใจในตลาดหุ้น รวมถึงยังสามารถคาดหวังผลตอบแทนหากดัชนีราคา Global Bond Index เริ่มปรับเป็นขาขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง: PIMCO, Finnomena Funds (1), Finnomena Funds (2), KTAM
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
จัดอันดับสกุลเงินที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก พบว่าเงินหยวนของจีนมีมูลค่ารวมในระบบเศรษฐกิจสูงกว่าดอลลาร์สหรัฐ จากการที่จีนเน้นอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และจำนวนประชากรที่เยอะกว่า 1.4 พันล้านคน
หน่วย: USD
อ้างอิงมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ของสกุลเงินในเว็บไซต์ AssetMarketCap as of 03/06/2025 คำนวณโดยการคูณจำนวนเงินที่หมุนเวียนในระบบ (Circulating Supply) กับอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินนั้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD)
ข้อมูลดังกล่าวถือเป็นการวัดปริมาณเงิน (Money Supply) ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นสกุลเงินที่มีคนใช้มากกว่า หรือถูกยอมรับมากกว่าในแง่การค้าระหว่างประเทศ เพราะจำเป็นต้องดูข้อมูลส่วนอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น การใช้งานระหว่างประเทศ, สัดส่วนในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก และสัดส่วนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) เป็นต้น
คาดการณ์การเติบโตของ GDP ในกลุ่มประเทศ G20 ในปี 2024 ถึง 2026
Source: Finnomena Funds, OECD as of 13/06/2025
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว หลังจากล่าสุด OECD ออกรายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการปรับลดเป้าประมาณการ GDP ลงในหลายประเทศ โดยภาพรวมประเทศกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศ/ภูมิภาคที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งล่าสุด OECD คาดการณ์การเติบโตของ GDP ในกลุ่มประเทศ G20 เติบโต 3.4%, 2.9% และ 2.9% ในช่วงปี 2024, 2025 และ 2026 ตามลำดับ และคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.8%, 1.6% และ 1.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศอย่างสหรัฐฯ ในอนาคต ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มเติบโต เริ่มมี upside ค่อนข้างจำกัด
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี
Source: Finnomena Funds, TradingView as of 13/06/2025
ในฝั่งตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ พบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เริ่มปรับตัวลดลงหลังจากปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนเดือนพฤษภาคม 2025 ซึ่งสะท้อนว่าตลาดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะชะลอตัวในอนาคต
จากปัจจัยกดดันเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจ และการปรับลดตัวเลขการเติบโตของ GDP FundTalk จึงมีคำแนะนำขายกองทุน ASP-USSMALL-A ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก Virtus GF U.S. Small Cap Focus Fund เน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก มูลค่ากองทุนนี้จะเติบโตไปพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่เนื่องจาก FundTalk มีมุมมองว่าหลังจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มชะลอตัว จึงมีคำแนะนำขายออก นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำขายกองทุนหุ้นกลุ่มเติบโต ได้แก่
TISCOAI (กองทุนหลัก Xtrackers Artificial Intelligence & Big Data UCITS ETF), TCLOUD (กองทุนหลัก Global X Cloud Computing ETF), และ MEGA10CHINA-A (กองทุนหุ้นจีน 10 ตัว ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง) ทั้งสามกองทุนลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งมีโอกาสปรับตัวลงได้ค่อนข้างแรง ถ้าหากหลังจากนี้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการชะลอตัว
Vanguard Real Estate ETF และ US 10-year Treasury Yield
Source: Finnomena Funds, TradingView as of 13/06/2025
จากปัจจัยเรื่องแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ FundTalk จึงมีคำแนะนำเพิ่มสัดส่วนในทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ (REITs) สหรัฐฯ ผ่านกองทุน TUSREIT ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก Vanguard Real Estate ETF (VNQ) ตัวกองทุนหลักลงทุนใน REITs ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกระจายลงทุนในหลายอุตสาหกรรม ทั้ง Data Center, Healthcare, Retail และอื่น ๆ โดยผลตอบแทนของสินทรัพย์กลุ่มดังกล่าวมักวิ่งสวนทางกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่ง FundTalk มีมุมมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี หลังจากนี้จะเริ่มปรับตัวลง จึงคาดว่า REITs สหรัฐฯ หลังจากนี้จะสามารถปรับตัวขึ้นได้
สนใจลงทุนในพอร์ต Dynamic Contrarian Model Portfolio
คลิก https://finnomena.onelink.me/10bl/dcm
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
อย่าลืมเปิดฟังก์ชันปรับพอร์ตอัตโนมัติ! Automatic Allocation ช่วยบริหารพอร์ตตามสภาวะตลาด สะดวก ใช้งานง่าย ให้คุณปรับสมดุลพอร์ตอยู่ในสถานะที่เหมาะสมอยู่เสมอ
สามารถเปิดใช้ Automatic Allocation ได้แล้ววันนี้ที่พอร์ตการลงทุนของคุณ หรือดูวิธีการได้ที่ Finnomena Funds Automatic Allocation
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
เมื่อพูดถึง “สงครามเย็น” ภาพในหัวของหลายคนอาจนึกถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง 2 มหาอำนาจ สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต ที่ขับเคี่ยวกันทั้งด้านอาวุธ เทคโนโลยี และอิทธิพลทางการเมือง โดยไม่เคยลั่นไกใส่กันโดยตรง แต่กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก
แต่วันนี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่สงครามเย็นยุคใหม่ ที่แม้จะไม่มีเสียงปืนหรือกำแพงกั้นเหมือนในอดีต แต่กลับเต็มไปด้วยการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าเดิมในหลายมิติ
นี่คือสงครามที่ข้อมูล เทคโนโลยี และความร่วมมือเชิงภูมิรัฐศาสตร์ กำลังกลายเป็นอาวุธใหม่ในเกมแห่งอำนาจ ที่อาจเปลี่ยนทิศทางของโลกทั้งใบ
กำแพงเบอร์ลิน สัญลักษณ์ของสงครามเย็น | Source: The Guardian
สงครามเย็น (Cold War) ถือเป็นยุคที่โลกถูกแบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่าง 2 มหาอำนาจที่มีระบบการเมืองและเศรษฐกิจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำโลกเสรีประชาธิปไตย กับสหภาพโซเวียตในฐานะผู้นำโลกคอมมิวนิสต์
ความขัดแย้งนี้ไม่เคยบานปลายจนกลายเป็นสงครามโดยตรง แต่แข่งขันกันอย่างเข้มข้นในหลายมิติ ทั้งสงครามตัวแทน (Proxy War) อย่างในเกาหลี เวียดนาม และอัฟกานิสถาน การแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงการชิงความได้เปรียบทางเทคโนโลยี อย่างการแข่งขันด้านอวกาศที่นำไปสู่การส่งมนุษย์ขึ้นดวงจันทร์
ลักษณะสำคัญของสงครามเย็นคือ การแบ่งขั้วอย่างเด็ดขาดทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และอุดมการณ์ อย่างสหรัฐฯ ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจตลาดเสรี ขณะที่โซเวียตเดินหน้าแนวคิดคอมมิวนิสต์และเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์
ทั้ง 2 ฝ่ายต่างพยายามขยายอิทธิพลไปทั่วโลกเพื่อชิงความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเศรษฐกิจของแต่ละฝ่ายถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่มีการพึ่งพากันทางการค้าและเทคโนโลยี การแข่งขันจึงกลายเป็นการแบ่งขั้วอย่างเด็ดขาด โดยมีเส้นแบ่งทางภูมิรัฐศาสตร์และอุดมการณ์ในยุโรปที่ถูกเรียกว่า “ม่านเหล็ก” (Iron Curtain)
เมื่อเวลาผ่านไป ยุคสงครามเย็นแรกจบลงพร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 พร้อมกับการขึ้นเป็นมหาอำนาจโลกของสหรัฐอเมริกา
โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง | Source: The Guardian
แต่ในยุคปัจจุบัน ภายใต้เงื่อนไขของโลกาภิวัตน์และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้งระหว่างประเทศ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ปะทุขึ้นในรูปแบบที่หลายคนเรียกว่า “Cold War 2.0” หรือ “สงครามเย็นครั้งที่ 2” ซึ่งแม้จะมีลักษณะคล้ายสงครามเย็นเดิม แต่ก็แตกต่างและซับซ้อนมากขึ้นในหลายมิติ
คู่แข่งหลักคือสหรัฐฯ มหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก กับจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์
ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการค้า แต่ขยายไปสู่สนามแข่งขันหลากหลาย เช่น เทคโนโลยีการสื่อสาร โดยสหรัฐฯ ใช้มาตรการแบนบริษัทจีนรายใหญ่ เช่น Huawei
ขณะที่จีนพยายามพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI ของตัวเอง พร้อมกันนั้น สหรัฐฯ ก็พัฒนาทั้งเทคโนโลยี AI คลาวด์ และคอมพิวเตอร์ควอนตัมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การแข่งขันด้านเทคโนโลยีจึงเป็นหัวใจสำคัญของความขัดแย้งในยุคนี้
ในมิติการเงินระหว่างประเทศ จีนพยายามผลักดันให้หยวนกลายเป็นสกุลเงินสำรองและใช้ในค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ขณะที่สหรัฐฯ ยังใช้อำนาจของดอลลาร์สหรัฐและระบบ SWIFT ในการควบคุมมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
เส้นทางสายไหมยุคใหม่ | Source: Asia Green Real Estate
การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุคนี้สะท้อนผ่านโครงการ Belt and Road Initiative หรือ “เส้นทางสายไหมยุคใหม่” ของจีน ที่ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และยุโรป
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ขานรับด้วยการสร้างพันธมิตรใหม่ เช่น กลุ่ม Quad ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย รวมถึงกลุ่ม AUKUS ที่มีสมาชิกคือ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย เพื่อตอบโต้การขยายตัวของจีน
ในขณะที่จีนเองยังมีพันธมิตรสำคัญอย่างกลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่มีบทบาททางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลกอย่าง บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้
อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในยุคนี้แตกต่างจากยุคสงครามเย็นครั้งแรก เพราะทั้ง 2 ประเทศพึ่งพากันและกันในห่วงโซ่อุปทานโลก โดยสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบและสินค้าเทคโนโลยีจากจีน
ในขณะที่จีนก็ต้องการเข้าถึงตลาดการเงินและดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สงครามเย็นครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งอาวุธ แต่เป็นสงครามข้อมูล เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนทั่วโลก
เมื่อเปรียบเทียบ Cold War ครั้งแรกกับ Cold War 2.0 จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งเดิมเน้นไปที่อุดมการณ์แบบตรงข้ามและการแยกขั้วทางเศรษฐกิจ ขณะที่ยุคนี้ความขัดแย้งเป็นการแข่งขันที่มีหลายมิติและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีลึกซึ้ง
สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่า ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์จะกลายเป็น “New Normal” ที่ต้องมีการปรับกลยุทธ์ให้ยืดหยุ่น พร้อมจับตาเทรนด์เทคโนโลยีสำคัญ เช่น AI เซมิคอนดักเตอร์ และความมั่นคงไซเบอร์ รวมถึงโอกาสในประเทศตัวกลางที่สามารถบาลานซ์อำนาจได้ เช่น อินเดียและกลุ่มอาเซียน ซึ่งอาจกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจในครั้งนี้
อ้างอิง: Britannica, The Strategist, The Diplomat
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept Help Center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สรุปหุ้น Nintendo ที่สามารถลงทุนผ่าน DR ในชื่อย่อ NINTENDO19 บริษัทเกมยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น ต้นกำเนิด Super Mario ผู้สร้างความสุขให้ทุกเพศทุกวัย พร้อมโอกาสการลงทุนผ่านกลยุทธ์คัดเลือกหุ้นนอกคุณภาพดี Definit Global Select (DGS)
Nintendo คือบริษัทเกมสัญชาติญี่ปุ่นระดับตำนานที่มีประวัติยาวนานกว่า 130 ปี จุดเริ่มต้นของบริษัทคือธุรกิจไพ่ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม (Hanafuda) ก่อนจะผันตัวมาสู่อุตสาหกรรมวิดีโอเกมและกลายเป็นหนึ่งในผู้สร้างนวัตกรรมเกมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก
Nintendo เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ระดับโลกอย่าง Super Mario, The Legend of Zelda, Pokémon, Animal Crossing และ Donkey Kong โดยถือเป็นบริษัทที่มีทั้งฮาร์ดแวร์ (เครื่องเกม) และซอฟต์แวร์ (เกม) อยู่ในมือแบบครบวงจร
ทั้งนี้ Nintendo เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น (Tokyo Stock Exchange) ภายใต้ Ticker: 7974.T และสามารถลงทุนได้ง่ายขึ้นผ่าน DR ในชื่อ NINTENDO19 ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เริ่มต้นลงทุน DR อย่างเป็นระบบ เริ่มที่ Definit Global Select (DGS) ดูข้อมูลคลิกเลย
Source: Nintendo Investor-Relations, Finnomena Stock as of 10/06/2025
Nintendo รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด Q1/2025 (สิ้นสุด มี.ค. 2025) มีรายได้อยู่ที่ 208,700 ล้านเยน (+24.67% YoY) สะท้อนกระแสตอบรับที่ดีจากซอฟต์แวร์และบริการออนไลน์ แม้ช่วงเวลาดังกล่าวจะยังไม่เริ่มขาย Switch 2
ด้านกำไรสุทธิขยายตัวแรงถึง 49.59% แตะระดับ 41,620 ล้านเยน หนุนให้กำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นเป็น 35.75 เยน (+49.58% YoY) และอัตรากำไรสุทธิดีดขึ้นเป็น 19.94% (เพิ่มขึ้นกว่า 33% จากปีก่อนหน้า)
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างรุ่น แต่ Nintendo ก็ยังรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง และกำลังปูทางสู่การเติบโตครั้งใหม่ในยุค Switch 2
หลังจากสร้างปรากฏการณ์ยอดขายสะสมกว่า 152 ล้านเครื่องทั่วโลกจาก Nintendo Switch รุ่นแรก ล่าสุด Nintendo ได้เปิดตัวเครื่องเกมรุ่นถัดไป Nintendo Switch 2 อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายน 2025 และเริ่มวางจำหน่ายทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในประเทศไทยในวันที่ 26 มิถุนายน 2025
Switch 2 ยังคงยึดแนวคิด “ไฮบริด” ที่เล่นได้ทั้งแบบพกพาและเชื่อมต่อกับทีวี พร้อมอัปเกรดฮาร์ดแวร์หลายด้าน เช่น
นอกจากนี้ ยังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่อย่าง GameChat และ GameShare ที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการเชื่อมต่อในเชิงสังคม เพิ่มความผูกพันให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความถี่ในการใช้งาน และมีศักยภาพต่อยอดเป็นแหล่งรายได้ประจำในระยะยาว
ในด้านคอนเทนต์ Switch 2 เปิดตัวพร้อมเกม Mario Kart World (เปิดตัวเฉพาะบน Switch 2) และ Zelda เวอร์ชันอัปเกรด ขณะเดียวกัน ค่ายเกมภายนอกหลายแห่งก็อยู่ระหว่างพัฒนาเกมใหม่ให้กับแพลตฟอร์มนี้อย่างต่อเนื่อง
Nintendo ตั้งเป้ายอดขาย Switch 2 ไว้ที่ 15 ล้านเครื่อง ภายในปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2026) ซึ่งใกล้เคียงกับยอดขาย Switch รุ่นแรกในช่วง 10 เดือนแรก
แม้ว่าราคาขายจะสูงขึ้น (รุ่นมาตรฐาน $449.99 / รุ่น Bundle $499.99) แต่บริษัทแสดงความมั่นใจในศักยภาพของเครื่องรุ่นใหม่ และระบุว่าไม่มีข้อจำกัดด้านการผลิต พร้อมเร่งกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการ
ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มเดิมอย่าง Switch รุ่นแรกยังคงมีเกมใหม่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น Pokémon Legends: Z-A และ Metroid Prime 4: Beyond
แม้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างเจเนอเรชันของฮาร์ดแวร์ แต่ Nintendo คาดว่าผลประกอบการจะกลับมาเติบโตทั้งรายได้และกำไรในปีงบประมาณ 2025/26 จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีแนวโน้มตอบรับดี และการต่อยอดแบรนด์ IP ที่มีฐานผู้เล่นเหนียวแน่นทั่วโลก
โอกาสลงทุนหุ้น Nintendo ผ่าน Definit Global Select กลยุทธ์ลงทุน DR คัดหุ้นนอกคุณภาพ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ ไม่ต้องจับจังหวะลงทุนเอง
– อ่านเพิ่มเติม ทำความรู้จัก Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก
นักลงทุนที่สนใจสามารถเปิดบัญชีลงทุน Definit Global Select กับ บล.หยวนต้า คลิกที่นี่เลย หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้
คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
ปี 2025 โลกของเรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่ซับซ้อนและเปราะบางทางเศรษฐกิจ ความผันผวนไม่ได้มาในรูปแบบวิกฤตใหญ่ แต่เป็นระลอกคลื่นเล็ก ๆ ถี่ ๆ ที่ทำให้ภูมิทัศน์การลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
นี่คือยุคที่การยึดติดกับตลาดใดตลาดหนึ่งอาจกลายเป็นความเสี่ยง และ “การกระจายความเสี่ยง” ด้วยการลงทุนที่หลากหลาย ทั้งสินทรัพย์และภูมิภาค คือกลยุทธ์สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้
การทำความเข้าใจภาพรวมของแต่ละภูมิภาคเศรษฐกิจหลักจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง เพื่อให้นักลงทุนสามารถปรับตัวและคว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ในความไม่แน่นอนนี้
สหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและตลาดทุนใหญ่สุดของโลก แต่ในปีนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลต่อการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ยังเติบโต แต่บางภาคส่วนเริ่มชะลอตัว เงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลงถึงระดับเป้าหมายของธนาคารกลาง และความขัดแย้งภายในของรัฐบาลทรัมป์ที่เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงกดดันให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสงครามการค้าที่เขาก่อขึ้น และยังวิพากษ์วิจารณ์ ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ประธาน Fed คนปัจจุบันอย่างหนักหน่วง
อีกทั้งยังมีข่าวออกมาว่า สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีชื่อโผล่เป็นแคนดิเดตตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่แทนเจอโรม พาวเวลล์ ที่จะหมดวาระในปี 2026 ซึ่งอาจทำให้เกิดคำถามเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
ในด้านของอัตราเงินเฟ้อ แม้จะมีสัญญาณดีขึ้นในเดือนพฤษภาคม โดย Core PCE ลดลงเหลือ 2.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมายของ Fed เล็กน้อย ทำให้เจอโรม พาวเวลล์ ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีนี้เพื่อรอข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
อีกฟากหนึ่งของโลก จีนซึ่งเคยถูกคาดหวังว่าจะเป็น “เครื่องยนต์แห่งการเติบโตใหม่” กลับยังอยู่ในภาวะฟื้นตัวแบบเปราะบาง แม้รัฐบาลกลางจะอัดฉีดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่กลับสู่สมดุล
จีนกำลังพยายามฟื้นตัวจากความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ แม้รัฐบาลจะออกมาตรการสนับสนุนและมีสัญญาณบวกในเมืองชั้นนำ แต่ในเมืองรองยังคงเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกินและราคาที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคยังไม่กลับมาเต็มที่ อีกทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญต่อตลาดที่อยู่อาศัย
ปัจจัยภายนอกอย่างความเสี่ยงด้านภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และการกีดกันทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภาคการส่งออกของจีน แม้รัฐบาลจะเร่งผลักดันนวัตกรรมและ “พลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพ” แต่การพึ่งพาอุปสงค์ภายนอกหรือการส่งออกกำลังการผลิตส่วนเกินอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ยูโรโซนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อน อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม 2025 แม้จะลดลงเหลือ 1.9% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย 2.0% ของ ECB เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แต่ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา โดยเฉพาะราคาอาหารและเครื่องดื่มที่ยังเร่งตัวขึ้น ทำให้แรงกดดันด้านค่าครองชีพยังคงมีอยู่
ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มแผ่วลง โดยเจ้าหน้าที่ Eurosystem คาดการณ์ GDP จริงจะเติบโตเฉลี่ย 0.9% ในปี 2025, 1.1% ในปี 2026 และ 1.3% ในปี 2027
แม้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ก็ยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำให้อัตราเงินเฟ้อมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน
ด้านเอเชียและตลาดเกิดใหม่กำลังเผชิญความท้าทายจากสงครามการค้าที่ซับซ้อน เนื่องจากผลกระทบของภาษีที่ไม่สามารถคาดเดาได้ นโยบายของทรัมป์อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อและดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดเกิดใหม่ยังคงมีโอกาสท่ามกลางความผันผวน แรงขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาวที่แข็งแกร่ง เช่น การลงทุนทุนและโครงสร้างพื้นฐาน การกระจายซัพพลายเชน ยังคงหนุนกำไรในภูมิภาคนี้ มูลค่าหุ้นยังน่าสนใจ โดยเฉพาะเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) เนื่องจากตลาดอาเซียนมีความเปราะบางน้อยกว่าเอเชียเหนือ
Finnomena Funds แนะนำเข้าลงทุนตามการพิจารณา MEVT Call ผ่านกองทุน ES-GAINCOME-A และ ES-GAINCOME-RP ที่มีความยืดหยุ่นทั้งในเชิงความหลากหลายของประเภทสินทรัพย์ทั่วโลก และกลยุทธ์เน้นสร้างผลตอบแทนและกระแสเงินสดสูง ผ่านการหาประโยชน์จากความผันผวน ลดความเสี่ยงขาลงด้วยการทำป้องกันความเสี่ยง เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการสร้างผลตอบแทน แต่อยากได้กองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นและมีเครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยง
อ้างอิง: Bank of China, The Economic Times, IC Markets, Thrivent Mutual Funds, Trading Economics, Eastspring, The Daily Beast
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept Help Center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299