รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า Tencent วางแผนขายหุ้นบริษัทฟู้ดเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่อย่าง Meituan ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เพื่อขายล็อคกำไร รวมถึงเอาใจรัฐบาลจีน
ในรายงานระบุว่า ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Tencent บริษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของจีนได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อดำเนินการขายหุ้น Meituan โดย Tencent ถือครอง 17% ของหุ้น Meituan ทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 24,000 ล้านดอลลาร์
ข่าวดังกล่าวส่งผลให้วันนี้ (16 ส.ค.) ราคาหุ้น Meituan ในตลาดฮ่องกงดิ่งลงมามากกว่า 10% โดยหุ้น Tencent ลดลงมากกว่า 2% ขณะที่หุ้น Kuaishou Technology อีกบริษัทเทคโนโลยีอีกแห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก Tencent ก็ลดลงมากกว่า 5%
ตั้งแต่ปลายปี 2020 รัฐบาลจีนได้ดำเนินการควบคุมอิทธิพลของผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Tencent และ Alibaba เนื่องจากทั้ง 2 บริษัท มีอิทธิพลลอย่างมากต่อภาคอินเทอร์เน็ตจีน ผ่านการเป็นเจ้าของบางส่วนในสตาร์ทอัพและบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหุ้นหลายร้อยแห่ง
จากประมาณการของ Bloomberg Intelligence ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2021 พอร์ตการลงทุนของ Tencent มีมูลค่ารวมถึง 185,000 ล้านดอลลาร์
ในปีที่แล้ว Tencent เริ่มเปิดเผยแผนการขายหุ้นทั้ง JD.com และ Sea ซึ่งนั่นทำให้มีการคาดการณ์ว่าบริษัทกำลังพิจารณาลดการลงทุนในบริษัทอื่นๆ อย่าง Meituan และ Bilibili ด้วย
รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า Tencent มีแนวโน้มที่จะขายหุ้น Meituan แบบ Block Trade หรือการซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ 1-2 วันถึงจะเสร็จสมบูรณ์
ด้าน Willer Chen นักวิเคราะห์จาก Forsyth Barr Asia กล่าวว่า หากรายงานดังกล่าวเป็นจริง จะเกิดแรงกดดันเทขาย Meituan อย่างมหาศาล เพราะ Tencent อาจลดการลงทุนทั้งหมดผ่าน Block Trade รวมถึงอาจมีการเทขายในบริษัทอื่นเพิ่มอีกเพื่อลดแรงกดดันด้านกฎระเบียบจากรัฐบาลจีน
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
Berkshire Hathaway ปรับพอร์ตการลงทุนไตรมาส 2 เพิ่มการลงทุนใน Amazon, Apple และ Occidental Petroleum พร้อมหั่นหุ้น Verizon Communications ออกหมดพอร์ต
ตามเอกสารที่ยื่นกับ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 ส.ค.) Berkshire Hathaway ที่ก่อตั้งโดย Warren Buffett ถือหุ้น Amazon ที่ 10.7 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 534,000 หุ้นในไตรมาสก่อน และถือหุ้น Apple อยู่ 895 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นจากประมาณ 150 ล้านหุ้นในไตรมาสก่อน
Berkshire Hathaway ยังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Occidental Petroleum อีกจำนวนมาก แต่ในรายงานที่ยื่นล่าสุดไม่ได้สะท้อนการเดิมพันนั้นทั้งหมด โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานว่า บริษัทถือหุ้นในบริษัทพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 188 ล้านหุ้น
บริษัทยังคงเดิมพันในธุรกิจการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Ally Financial รวมมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ แต่ลดการถือหุ้น US Bancorp ลงไป 6.6 ล้านหุ้น แต่ยังคงถือมากกว่า 119 ล้านหุ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมดในบริษัทโทรคมนาคม Verizon Communications ที่ก่อนหน้านี้ถือไว้ประมาณ 1.38 ล้านหุ้น และยังได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน General Motors เหลือ 53 ล้านหุ้นจาก 62 ล้านหุ้นในไตรมาสก่อนหน้า
ภาพรวมไตรมาสที่ 2 Berkshire Hathaway ซื้อหุ้นสุทธิไปทั้งหมด 3,800 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 41,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสก่อนหน้านี้ รวมถึงใช้จ่ายน้อยลงในการซื้อหุ้นคืนด้วย
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
วันนี้แอดมินมีเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) มาฝากกัน เรียกได้ว่าเทคโนโลยีนี้เป็นที่พูดถึงในหลากหลายวงการ มีการทดลองนำมาปรับใช้กับระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การสาธารณสุข (เก็บข้อมูลผู้ป่วย) หรือในแวดวงธุรกิจ (เก็บบันทึกข้อมูลเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของข้อมูล)
เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักได้แก่ Public Blockchain และ Private Blockchain
ตัวอย่างเช่น Bitcoin, Ethereum
ตัวอย่างเช่น เช่น Hyperledger, Ripple
อ้างอิงจากการศึกษาวิจัยของ TripleA และ Grandview research มากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกเป็นเจ้าของหรือใช้สกุลเงินดิจิทัลในปี 2021 แปลว่าพวกเขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับส่วนหนึ่งที่อยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนนั่นเอง (ส่วนหนึ่งที่ว่านั้นก็คือคริปโตฯ) รายงานจาก Grandview Research ยังเชื่อว่าตลาดของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) นั้นใหญ่กว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้
รายงานจาก Vantage market research ในปี 2022 พบว่าขนาดตลาดโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) ในภาคส่วนของสาธารณสุขนั้นถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะมีมูลค่ากว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2028
จากรายงานพบว่าในช่วงวิกฤติโรคระบาดที่ผ่านมาการเก็บข้อมูลสาธารณสุขนั้นมีช่องโหว่ มีความต้องการให้ระบบข้อมูลมีความโปร่งใสและมีความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) ก็เป็นคำตอบที่ตามหา
นอกจากจะใช้ในวงการ “การเงิน” แล้ว เรายังสามารถนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) มาปรับใช้ในวงการอื่นได้ด้วย เช่น
ใช้ติดตามการขนส่งและที่มาของสินค้า โดยเฉพาะอาหาร ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความโปร่งใสให้กับบริษัท
ผู้บริโภคสามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้อย่างง่ายดายด้วยเงินดิจิทัล มีความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัยและลดค่าใช้จ่าย
ลดค่าใช้จ่าย (ตัวกลาง) และข้อผิดพลาดจากมนุษย์ในการทำงานเอกสารในการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานอีกด้วย
เก็บข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญต่อการระบุตัวตน หรือที่เรียกว่า “Sensitive Information” ช่วยลดการก่ออาชญากรรมจากการขโมยข้อมูลและการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายได้
ยกระดับความโปร่งใส เพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลเลือกตั้งและลดช่องว่างที่นำไปสู่การทุจริต
TechToro
Ref
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
วันนี้ขอเอาใจนักลงทุนคริปโตฯ มือใหม่ด้วย “15 ศัพท์โลกคริปโตฯ ต้องรู้! สำหรับนักลงทุนมือใหม่”
ศัพท์คำแรก ไม่รู้ไม่ได้! คือคำว่า…
Cryptocurrency คือสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้ระบบกระจายศูนย์ (Decentralized System) โดยอาศัยการเข้ารหัส (Cryptography) สิ่งนี้เป็นการเพิ่มความถูกต้องแม่นยำ และความปลอดภัยให้กับธุรกรรมทางการเงิน
Arbitrage คือ กลยุทธ์ในการทำกำไรที่มีความนิยมมากในตลาดคริปโตฯ โดยอาศัยกำไรส่วนต่างของสินค้าเดียวกันเพื่อสร้างกำไรจากส่วนต่างนั้น หรือเป็นการการทำกำไรส่วนต่างราคาของเหรียญชนิดเดียวกันที่อยู่ในตลาดต่างกัน สั้น ๆ คือ “ซื้อถูกขายแพง” นั่นเอง
Crypto Wallet เป็นเครื่องมือหรือโปรแกรมที่มีหน้าที่จัดเก็บคีย์ส่วนตัวเพื่อให้เกิดความปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยในการรับ-โอนเงินดิจิทัลอีกด้วย โดย Crypto Wallet สามารถอยู่ในรูปของโปรแกรมซอฟต์แวร์ เช่น Guarda Waller ก็ได้ หรือจะเป็นรูปแบบของอุปกรณ์ที่จับต้องได้ เช่น Ledger Nano
แพลตฟอร์มซื้อ-ขายสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency)
Altcoin เกิดจากการรวมกันระหว่าง Alternative (ทางเลือก) + coin (เหรียญ) = Altcoin (เหรียญทางเลือก) หมายถึง สกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจาก Bitcoin และทำงานอยู่บนระบบ Blockchain เช่น ETH, SHIB, BNB และ ADA
เงิน Fiat หรือ Fiat Money หมายถึง เงินที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน จับต้องได้ สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามข้อกำหนดของรัฐบาลหรือกฎหมาย เช่น THB, USD และ EURO
All-time high หมายถึง ราคาสูงสุดตลอดกาลนับตั้งแต่สินทรัพย์นั้น ๆ เข้าสู่ตลาด
All-time low หมายถึง ราคาต่ำสุดตลอดกาลนับตั้งแต่สินทรัพย์นั้น ๆ เข้าสู่ตลาด (ตรงข้ามกับ All-time high)
Bull Market หรือ ตลาดกระทิง หมายถึง ภาวะที่สินทรัพย์ในตลาดมีปริมาณการซื้อขายมาก สภาพคล่องสูง และมีความเชื่อมั่นว่าตลาดยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ทำให้ราคาสินทรัพย์มีระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Bear Market หรือ ตลาดหมี หมายถึง ภาวะที่สินทรัพย์ในตลาดมีปริมาณการซื้อขายซบเซา ความเชื่อมั่นในตลาดและสินทรัพย์ต่ำ นักลงทุนมองราคาในแง่ลบ ส่งผลให้ราคาตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
รู้หรือไม่? Bull Market และ Bear Market อาจมีที่มาจากลักษณะการต่อสู้ของสัตว์ชนิดนั้น โดยกระทิงใช้เขาดันขึ้นเพื่อขวิด ขณะที่หมีโจมตีด้วยการใช้กรงเล็บตะปบลง
ค่า Gas หมายถึง ค่าธรรมเนียมหรือมูลค่าราคาในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มบล็อกเชน ซึ่งค่า Gas นี้เป็นหนึ่งต้นทุนของการเทรดที่นักลงทุนห้ามมองข้าม! (อาจขาดทุนไม่รู้ตัว)
Bitcoin halving หมายถึง ระบบของ Bitcoin ที่จะทำการลดจำนวนการผลิตหรือความสามารถในการขุด Bitcoin ลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในทุก ๆ 4 ปี
Hold On to Dear Life หรือ HODL หมายถึงการถือเหรียญคริปโตฯ เอาไว้ในระยะเวลานานโดยไม่สนใจความผันผวนของราคา
NFT (Non-Fungible Token) แปลตรงตัวว่า โทเคนที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ซึ่งแอดมินขอขยายความว่า NFT คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่เก็บข้อมูลไว้บนบล็อกเชน โดยสินทรัพย์ดังกล่าวจะไม่สามารถแลกเปลี่ยนหรือทดแทนกันได้ หรือก็คือมีชิ้นเดียวในโลกนั่นเอง ซึ่งต่อให้สินทรัพย์นั้นหน้าตาเหมือนกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีราคาเท่ากัน
DeFi (Decentralized Finance) หมายถึง บริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง ทำให้เกิดการกระจายอำนาจขึ้น โดยใช้สกุลเงินดิจิทัลและดำเนินระบบด้วย Smart Contract บนเทคโนโลยี Blockchain
Whale หรือ ‘วาฬ’ หมายถึง คำที่ใช้เรียกแทนผู้ถือเหรียญรายใหญ่ซึ่งถือเหรียญไว้เป็นจำนวนมาก การซื้อ-ขายของ ‘วาฬ’ นั้นมักส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาไม่ว่าในทางตรงหรือทางอ้อม เรียกได้ว่าการตัดสินใจของ ‘วาฬ’ อาจเพิ่มหรือลดความผันผวนของตลาดและสภาพคล่องได้
TechToro
Ref
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ประเทศไทยเคยเป็น “ดาวรุ่ง” ของโลกโดยเฉพาะในช่วง “สงครามเย็น” ที่เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 ถึงปี 1991 เป็นเวลา 46 ปี และต่อจากนั้นอีกประมาณ 16 ปี จนถึงปี 2007 ก่อนที่จะเกิดวิกฤติซับไพร์มในอเมริกาในปี 2008
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นและการมี “บทบาทในเวทีโลก” ในช่วงแรกนั้นส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือการที่มหาอำนาจคืออเมริกาต้องต่อสู้ป้องกันการเผยแพร่ของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่นำโดยรัสเซียและจีน โดยที่ไทยเป็นประเทศ “หน้าด่าน” ที่สำคัญในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่อเมริกาต้องการชักชวนให้เข้าเป็นพวกซึ่งในกระบวนการนั้น ได้ช่วยให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยโดยเฉพาะในด้านของสาธารณูปโภคและการใช้จ่ายทางด้านการทหารจำนวนมากของสหรัฐเพื่อต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่กำลังมีอิทธิพลครอบงำประเทศส่วนใหญ่ที่อยู่รอบไทย
หลังจบสงครามเย็นและเริ่มกระบวนการ “Globalization” หรือการที่โลกเน้นการค้าขายระหว่างประเทศ รวมถึงการลงทุนที่มีการเคลื่อนย้ายไปทั่วโลก นั่นทำให้ไทยซึ่งมีความพร้อมกว่าประเทศในย่านอาเซียน สามารถพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วโดยการเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านการผลิต โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น และนั่นทำให้ไทยกลายเป็น “เสือเศรษฐกิจ” ประเทศหนึ่งของเอเชีย และแม้ว่าไทยจะประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 2540 หรือปี 1997 เราก็ยังสามารถฟื้นขึ้นมาได้และเติบโตเร็วต่อมาอีก 10 ปี จนถึงปีวิกฤติ 2008 ที่เศรษฐกิจตกลงมาอย่างหนักและหลังจากนั้นประเทศก็ยังเกิดปัญหาต่อเนื่องมาตลอดรวมถึงปัญหาทางการเมือง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เคยเติบโตสูงต่อเนื่องยาวนานดูเหมือนว่าจะ “ลดลงอย่างถาวร” จนถึงวันนี้เป็นเวลา 13-14 ปีแล้ว
การเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าของประเทศไทยที่โดดเด่นในอดีตเองนั้น ดูเหมือนจะตกต่ำลงมากอานิสงค์จากการที่ประเทศข้างเคียงรวมถึงเวียดนามเริ่ม “เปิดประเทศ” ซึ่งสามารถดึงดูดทุนจากต่างประเทศได้ดีกว่าและมากกว่าไทยที่คนเริ่มขาดแคลนและแรงงานมีราคาแพงขึ้นมากเมื่อเทียบกับศักยภาพ ปัญหาทางการเมืองก็มีส่วนที่ทำให้ความยอมรับของโลกลดต่ำลงเมื่อเทียบกับเวียดนามที่กำลังมีบทบาทเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะในสายตาของอเมริกา กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่สำคัญก็ไม่สนใจที่จะทำสนธิสัญญาทางการค้าด้วย ซึ่งก็ส่งผลให้ประเทศไทยไม่ใช่ทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจอีกต่อไปโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่ปัจจัยต่าง ๆ เอื้ออำนวยมากขึ้นมากเมื่อเทียบกับไทยที่ปัจจัยต่าง ๆ ถดถอยลง
ที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประชากรไทยมีอายุสูงขึ้นมากและอัตราการเกิดต่ำมาก และกำลังเป็น “สังคมคนแก่” ซึ่งจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตนั้นเป็นไปได้ยากนอกเสียจากว่าจะสามารถ “เพิ่มประสิทธิภาพ” การทำงานขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาที่แก้ยาก เหตุผลก็เพราะ “คุณภาพ” ของคนค่อนข้างจะจำกัด เพราะระดับการศึกษาของไทยนั้นมีการพัฒนาขึ้นน้อย เห็นได้จากระดับความก้าวหน้าทางด้านการศึกษาเช่น การวัดและจัดอันดับการทดสอบเช่น PISA Test ของเด็กไทยไม่ได้ดีขึ้นในระยะเวลายาวนาน เช่นเดียวกับดัชนีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
คำถามที่สำคัญก็คืออนาคตของประเทศไทยจะไปทางไหน เปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่ามาก? และผมเองก็อยากจะตอบคำถาม “ยอดฮิต” ที่ว่า เวียดนามจะตามทันไทยไหม? และจะทันเมื่อไร? และนี่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องของเศรษฐกิจ แต่เป็นบทบาททางการเมืองและสังคมระหว่างประเทศซึ่งหลายคนบอกว่าควรจะรวมถึงการเป็นผู้นำทางด้านกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอลที่เป็นกีฬายอดนิยมของทั้งสองประเทศด้วย
ผมจะใช้ข้อมูลผลผลิตมวลรวมประชาชาติหรือ GDP ของ 3 ประเทศหลักในอาเซียนคือไทย ฟิลิปปินส์และเวียดนามเป็นตัววัด โดยที่ไทยจะเป็นประเทศหลักในฐานะที่เจริญเติบโตมาก่อนและมีขนาดใหญ่ที่สุด ในปี 2021 ตัวเลขจากธนาคารโลกบอกว่า GDP ของไทยเท่ากับประมาณ 506 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 18 ล้าน ๆ บาท ในขณะที่ของฟิลิปปินส์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ที่ 394 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 78% ของไทย และเวียดนามเล็กที่สุดที่ 363 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณ 72% ของไทย อย่างไรก็ตาม มองไปในอนาคตระยะยาวจากสถาบันระดับโลกและโดยการปรับตัวเลขที่ผมคิดว่าน่าจะใกล้เคียงนั้นบ่งชี้ว่าเวียดนามจะโตได้ปีละประมาณ 7.2% ต่อปี ฟิลิปปินส์โตปีละ 5.3% และไทยจะโตแค่เพียง 3.6% ต่อปี
ดังนั้น ภายในเวลา 10 ปี หรือปี 2032 เศรษฐกิจเวียดนามก็จะตามทันเศรษฐกิจไทย คือ GDP อยู่ที่ประมาณ 726 พันล้านเหรียญ หรือเศรษฐกิจเวียดนามโตขึ้นเท่าตัว ในขณะที่เศรษฐกิจไทยโตขึ้น 43% นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าตกใจมาก เพราะหลายคนรวมถึงผมเองที่เข้าไปเที่ยวและลงทุนในเวียดนามอาจจะนึกไม่ถึง แต่ผมเองก็คิดว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้สูงเมื่อลองนึกดูว่าครั้งแรกที่ผมไปจีนเมื่อเกือบ 30 ปีก่อนที่ได้เห็น “ความล้าหลัง” ของจีนอย่างสุดกู่ แต่เวลาผ่านมา “ไม่นาน” จีนซึ่งเติบโตเร็วมากกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง
ฟิลิปปินส์เองที่เคยรุ่งเรืองกว่าไทยและแทบทุกประเทศในเอเชียในอดีต ได้กลายเป็น “คนป่วยแห่งเอเซีย” ในสมัย “เผด็จการมาร์กอส” และก็กลับมารุ่งเรืองใหม่อีกครั้งในช่วง “ประชาธิปไตย” ในระยะหลังนี้ ประกอบกับจำนวนประชากรที่สูงถึง 116 ล้านคน ก็จะสามารถไล่ตามไทยทันในอีกประมาณ 15 ปีข้างหน้า โดยที่เศรษฐกิจจะใหญ่เท่ากันที่ 858 พันล้านเหรียญ ถึงวันนั้นประเทศไทยจะใหญ่เป็นอันดับ 4 ถ้ามาเลเซียไม่แซงไปเสียก่อน
คำถามที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งก็คือ ไทยจะเป็นประเทศร่ำรวยหรือพัฒนาแล้วเมื่อไร? ถ้าคิดจากตัวเลขรายได้หรือนิยามในปัจจุบันก็คือรายได้ต่อหัวของคนในประเทศจะอยู่ที่ 20,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 710,000 บาทต่อปี หรือ 59,200 บาทต่อเดือน ในขณะที่ ปัจจุบันรายได้ของเราอยู่ที่ 7,233 เหรียญต่อปีหรือเดือนละ 21,400 บาท นั่นก็หมายความว่าเราต้องใช้เวลาอีก 30 ปีกว่าที่เราจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วถ้าเรายังโตไปเรื่อย ๆ ในอัตราปีละ 3.5%
ผมเองคิดว่าโอกาสที่เราจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วอาจจะน้อย เราคงติดกับ “ประเทศรายได้คนชั้นกลาง” ถ้าไม่เลวร้ายจนกลายเป็น “ประเทศล้มเหลว” เหมือนกับบางประเทศที่เคยรวยมาก่อน เพราะผมดูแล้ว การจะเติบโตปีละ 3.5% ติดต่อไปอีก 30 ปีนั้นคงจะยากเมื่อคำนึงถึงว่าจำนวนคนไทยจะเริ่มลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาทางด้านประสิทธิภาพที่จะยากขึ้นมากเมื่อเราแก่ตัวลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราอยากจะโตต่อไปเรื่อย ๆ สิ่งที่จะทำได้คงต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ “สิ้นเชิง” และโดยคนรุ่นหนุ่มสาวในปัจจุบันที่ยังมีอายุเหลืออยู่เพียงพอที่จะนำประเทศไปสู่การเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและพัฒนาแล้ว
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2022/08/15/2700
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Dow Jones ปิดที่ 33,912.44 +151.39 จุด (+0.45%) S&P500 ปิดที่ 4,297.14 +16.99 จุด (+0.40%) Nasdaq 13,128.05 ปิดที่ +80.87 จุด (+0.62%) Small Cap 2000 ปิดที่ 2,020.40 +3.78 จุด (+0.19%) VIX index อยู่ที่ 19.95 (+2.15%)
ตลาดหุ้นยุโรป (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) EURO STOXX 50 ปิดที่ 3,789.62 +12.81 จุด (+0.34%) Dax เยอรมนี ปิดที่ 13,816.61 +20.76 จุด (+0.15%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 6,569.95 +16.09 จุด (+0.25%) FTSE 100 อังกฤษ ปิดที่ 7,509.15 จุด +8.26 จุด (+0.11%)
ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Nikkei 225 ญี่ปุ่น ปิดที่ 28,871.78 จุด +324.80 จุด (+1.14%) CSI 300 จีน ปิดที่ 4,185.68 จุด -5.47 จุด (-0.13%) Hang Seng ฮ่องกง ปิดที่ 20,040.86 จุด -134.76 จุด (-0.67%) SET Index ไทย ปิดที่ 1,625.25 จุด +2.99 จุด (+0.18%) VN30 เวียดนาม ปิดที่ 1,293.79 จุด +12.83 จุด (+1.00%)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 16 ส.ค. 2565) ราคาทองคำ 1,796.95 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Silver ราคา 20.215 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 88.88 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Brent 94.25 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 16 ส.ค. 2565) Bitcoin 24,117.8 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 1,887.50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และ Binance Coin 318.20 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
สรุปข่าวประจำวัน
จีนเพิ่มการซ้อมรบรอบไต้หวัน ตอบโต้ผู้แทนสหรัฐฯ เยือนไทเป
เมื่อวานนี้ จีนประกาศตัวเลขยอดค้าปลีก 2.7% ต่ำกว่าที่คาด 5% และต่ำกว่าเดือนมิ.ย. อีกตัวเลข คือ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เติบโต 3.8% ต่ำกว่าคาด ทำให้จีนทำการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การว่างงานของประชาชนจีนช่วงอายุ 16 – 24 ปี ทำจุดสูงสุดใหม่ อยู่ที่ระดับ 20%
นักเศรษฐศาสตร์ Goldman Sachs เตือนสหรัฐฯ ยากที่จะคุมเงินเฟ้อโดยเศรษฐกิจไม่ถดถอย
ตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้รับเหมาก่อสร้างสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงติดต่อกัน 8 เดือน เป็นแนวโน้มที่แย่ที่สุดย้อนกลับไปถึงปี 2007
อินเดียฉลองวันชาติ 75 ปี หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรี คุณโมดี ตั้งเป้าพาอินเดียเป็นประเทศพัฒนาแล้วในเวลา 25 ปี ปัจจุบันอินเดียมีเศรษฐกิจเป็นอันดับ 6 ของโลก แต่มีการเติบโตของ GDP ค่อนข้างสูง ธนาคารโลกยังจัดให้อินเดียเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ค่อนข้างต่ำ
Apple เตรียมเพิ่มโฆษณาบนแอปฯ ใน iPhone เป็นอีกช่องทางการเพิ่มรายได้ ชดเชยผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อและซัพพลายเชน
GDP ไทย ไตรมาส 2 ประกาศออกมาที่ 2.5% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 3.1% ด้านสภาพัฒน์คาดว่าทั้งปี ขยายตัวในช่วง 2.7 – 3.2% และเพิ่มกรอบเงินเฟ้อสู่ระดับ 6.3 – 6.8% การท่องเที่ยวเห็นการฟื้นตัวชัดเจน ภาคการเกษตรเห็นการขยายตัวทั้งผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ปรับขึ้น ความเสี่ยงมาจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงจีน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ หนี้สินของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
ถือเหรียญ FINT แล้วได้อะไร? มีประโยชน์อย่างไร? บทความนี้สรุปมาให้ทุกคนแล้ว!!
Utility token หากอธิบายง่าย ๆ ก็คือ เหรียญที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ในด้านของ FINT ก็จะเป็น ส่วนลดค่าธรรมเนียม รับบริการพิเศษ ฯลฯ โดยเหรียญ FINT ของเราถูกออกบนเทคโนโลยีบล็อกเชนของ Ethereum เหรียญที่มี Market cap สูงที่สุดเป็นอันดับ 2*
*ข้อมูลการจัดอันดับตาม Market capitalization ที่มา: coinmarketcap.com วันที่: 28 มิถุนายน 2022
ประโยชน์เน้น ๆ ข้อแรกที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือการนำเหรียญ FINT มาแลกคืนค่าธรรมเนียมเวลาเราซื้อกองทุนผ่านแพลตฟอร์มของ FINNOMENA ซึ่งเราสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมได้ถึง 20% เลยทีเดียว!
ภาพแสดงสัดส่วนเหรียญ FINT ที่ต้องแลกตามจำนวนเงินเพื่อรับส่วนลดค่าธรรมเนียม ที่มา: FINNOMENA
โดยเราจะมอบเป็นกองทุนรวมตลาดเงินให้กับนักลงทุนเมื่อทำรายการเสร็จสิ้น
เหรียญ FINT สามารถนำมาแลกซื้อผลิตภัณฑ์และบริการจาก FINNOMENA บริษัทในเครือรวมถึงบริษัทพันธมิตร ส่วนสินค้าและบริการที่ว่าจะเป็นอะไรรอติดตามได้ ที่นี่ เลย
ผู้ถือเหรียญ FINT ครบตามจำนวนที่กำหนดจะได้รับฟังก์ชันสุดพิเศษก่อนใคร ดังนี้
ส่วนรายละเอียดและบริการพิเศษอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรรอติดตามกันได้เลย
ผู้ถือเหรียญ FINT จะได้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของระบบเหรียญทันที โดย 1 เหรียญของท่านมีค่าเท่ากับ 1 เสียง ในการโหวตนโยบายต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อระบบนิเวศน์ของเหรียญ
เหรียญ FINT คืออะไร?
https://www.finnomena.com/fint/what-is-fint/
HOW-TO ล่าเหรียญ FINT มาไว้ในครอบครองแบบเร็วจี๋
https://docs.fint.finance/fint-token/overview
ข้อสงวนสิทธิ
นายกฯ อินเดีย ‘นเรนทรา โมดี’ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันชาติครบ 75 ปี ที่ป้อมเรดฟอร์ตว่า อินเดียตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 25 ปี ด้วยนโยบายสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ ทั้งด้านพลังงาน กลาโหม และเทคโนโลยีดิจิทัล
นายกฯ โมดี ในวัย 71 ปี ยังชักชวนคนหนุ่มสาวให้ตั้งเป้าหมายใหญ่ และมอบปีที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติ
“เราต้องเปลี่ยนอินเดียให้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอีก 25 ปีข้างหน้า ในช่วงชีวิตของเรา มันเป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่เราควรทำมันอย่างเต็มที่” นายกฯ โมดี สวมผ้าโพกศีรษะสีธงชาติอินเดีย กล่าวสุนทรพจน์ภาษาฮินดียาว 75 นาที
ปัจจุบันธนาคารโลกจัดประเภทอินเดียเป็นเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ ซึ่งหมายถึงประเทศที่มรายได้สุทธิต่อหัวประชากรอยู่ระหว่าง 1,086 – 4,255 ดอลลาร์ ขณะที่ประเทศรายได้สูง เช่น สหรัฐฯ นั้นมีรายได้ต่อหัวประชากรไม่น้อยกว่า 13,205 ดอลลาร์
อินเดียเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 6 ของโลก และคาดว่าในปีงบประมาณปัจจุบันที่สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2023 เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตว่า 7% ซึ่งเร็วที่สุดในบรรดาเขตเศรษฐกิจใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตจนใหญ่อันดับ 3 ของโลกภายในปี 2050 รองจากสหรัฐและจีน แม้รายได้ต่อหัวขณะนี้จะยังต่ำกว่าหลายประเทศอยู่ที่ราว 2,100 ดอลลาร์ก็ตาม
ตอนนี้อินเดียมีประชากรราว 1.4 พันล้านคน และคาดว่าจะกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีนได้ในปีหน้า
หลายประเทศอย่างสหรัฐฯ มองอินเดียเป็นคู่แข่งในอนาคตต่ออิทธิพลที่ครอบงำของจีนในเอเชียและที่อื่นๆ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ส.ค.) ปธน.ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้ แสดงความยินดีกับอินเดียเนื่องในวันชาติ และกล่าวว่า สหรัฐกับอินเดียเป็นพันธมิตรที่ขาดกันไม่ได้ ซึ่งจะร่วมงานกันต่อไปเพื่อแก้ไขความท้าทายของโลกในไม่กี่ปีข้างหน้า
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
สำนักข่าวประชาชาติรายงานว่า ค่ายรถยนต์ปั่นป่วนจากปัญหาชิปขาดแคลนและราคาแพง หวั่นวิกฤติไต้หวันทำปัญหายืดเยื้อขึ้นอีก เนื่องจากไต้หวันเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลกที่ครองส่วนแบ่งในตลาดถึง 63% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตชิปขั้นสูง
สำหรับระยะสั้น บริษัทผู้ผลิตสินค้าที่มีชิปเป็นส่วนประกอบสำคัญ ตั้งแต่รถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และโทรศัพท์ ต่างพากันสั่งซื้อชิปล่วงหน้า เพราะกังวลกันว่าสถานการณ์ชิปขาดแคลนและมีราคาแพงกำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ระยะยาว สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมาย CHIPS+ จัดตั้งกองทุนอุดหนุนผู้พัฒนาชิป มูลค่า 52,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อดึงดูดให้ผู้ผลิตชิปเข้ามาลงทุนพัฒนาและตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ซึ่งนี่อาจส่งผลต่อประเด็นระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในการครอบครองผูกขาดการพัฒนาและผลิตชิปขั้นสูง
จากปัญหาขาดแคลนชิปดังกล่าว ส่งผลให้ “เอ็มจี” ประกาศปรับลดยอดขาย 20% เหลือ 40,000 คัน ด้าน “เกรท วอลล์ฯ” ยังไม่เปิดรับจอง ORA Good Cat ขณะที่ “โตโยต้า” ออกโรงขออภัยส่งมอบรถให้ลูกค้าช้า
🚗“เอ็มจี” หั่นเป้าส่งมอบเหลือ 40,000 คัน
เอ็มจีได้ปรับเป้าหมายยอดขายรถยนต์ จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 50,000 คันในปีนี้ เหลือเพียง 40,000 คัน หรือลดลง 20% โดยหลักๆ จะเป็นรถยนต์ในกลุ่ม EV อย่าง MG ZS ev ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มียอดจองกว่า 3,000 คัน แต่ขณะนี้บริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ไปได้แค่ 80 คันเท่านั้น
บริษัทตัดสินใจปรับเป้าหมายยอดขายทั้งปีให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด โดยตอนนี้ไม่ใช่แค่ประเภทรถยนต์ไฟฟ้าที่เผชิญปัญหา เพราะรถยนต์ทุกคันต่างมีการใช้ชิปในการผลิต โดยเฉพาะรถที่มีระบบพวกอัตโนมัติเยอะ อย่าง MG EP และ MG ZS ev เราเองก็ต้องประกาศหยุดรับจองไปก่อน
🚗“เกรท วอลล์ฯ” ยังไม่เปิดรับจอง ORA Good Cat
ด้านเกรท วอลล์ ยอมรับว่า หลังจากปิดรับจอง ORA Good Cat ไปตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา กระแสของรถยนต์รุ่นนี้ยังคงได้รับความนิยมอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนจะเปิดให้จองได้อีกครั้งจะเป็นเมื่อไรนั้น บริษัทต้องวิเคราะห์ว่าจะสามารถส่งมอบรถยนต์ที่มีคำสั่งซื้ออยู่ในมือในปัจจุบันกว่า 2,200 คัน ได้เสร็จสิ้นเมื่อไร
โดยบริษัทกำลังทำงานกับบริษัทแม่อย่างใกล้ชิด เพื่อขอโควตารถแก่ชาวไทยให้ได้มากที่สุด หากประเมินได้แล้วจึงจะสามารถบอกได้ว่าจะสามารถเปิดจองอีกทีได้เมื่อไหร่ แต่คิดว่าจะไม่ให้เกินภายในปีนี้อย่างแน่นอน
🚗 “โตโยต้า” ออกโรงขออภัยส่งมอบรถล่าช้า แต่เพิ่มเป้าส่งมอบ 28.3%
ขณะที่โตโยต้ากล่าวว่า บริษัทอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาชิปและทำให้ลูกค้าต้องรับรถยนต์ล่าช้ากว่าที่กำหนด ซึ่งต้องขออภัยไว้ก่อน แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ของโลกได้ ดังนั้นจึงพูดได้ไม่เต็มปากว่าจะไม่เกิดปัญหา แต่โตโยต้าจะพยายามส่งมอบรถให้กับลูกค้าเร็วที่สุด
ทั้งนี้โตโยต้าถือเป็นค่ายรถยนต์ที่ได้ผลกระทบน้อยที่สุดจากปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่มีเครือข่าย การบริหารจัดการทั่วโลก ก่อนหน้านี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ได้ประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยขึ้นอีก 28.3% จาก 647,000 คันในปี 2564 ที่ผ่านมา เป็น 659,000 คันในปีนี้
อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1013137
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
เอริค เทน ฮาก กุนซือไซตามะ สุดเท่ห์ สไตล์การเล่นเข้มข้น กำลังเผชิญศึกหนักและความท้าทายอันใหญ่ยิ่งในการเปลี่ยนทีม ประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ยาวนานอย่าง Manchester United ให้กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง
หากเราเชื่อว่า เอริค เทน ฮาก จะมาเป็นผู้เปลี่ยนเกม กอบกู้ความสำเร็จของ Manchester United ดังเช่นยุคของ Sir Alex Ferguson อีกครั้ง เราลงกองทุนไหนได้บ้างมาติดตามไปพร้อม ๆ กันเลย!
ไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะเป็นอย่างไรประวัติศาสตร์อันยาวนาน คุณภาพของแฟนบอลและ “แบรนด์” จากการที่แมนฯ ยู เป็นหนึ่งในสโมสรแรก ๆ ที่มีชื่อแวบเข้ามาในหัว (ไม่ว่าจะคุณผู้ชายหรือคุณผู้หญิง) อาจช่วยผลักดันให้ Manchester United ไม่หายตายจากไปในเร็ววัน และมุ่งหาความสำเร็จอยู่เสมอ
#ข่าว #แมนยู #ManchesterUnited #กองทุน
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity
เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
Youtube: https://finno.me/youtube-channel
ลงทุนกองทุนที่มีหุ้นแมนฯยู อยู่ได้เลยไหม!? ลองกรอกรายละเอียดเพื่อรับคำแนะนำที่ลิ้งก์ด้านล่างได้เลยครับ
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองภาษี 200,000 บาทขึ้นไป
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/taxplanner-services
https://connect.rightprospectus.com/Invesco/TADF/46137V720/SAR
https://money.cnn.com/quote/shareholders/shareholders.html?symb=MANU&subView=institutional
https://web.facebook.com/pisecurities/photos/pcb.5283483271729664/5283477448396913
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
‘ราเกช จุนจุนวาลา’ มหาเศรษฐีเจ้าของฉายา “วอร์เรน บัฟเฟตต์แห่งอินเดีย” เสียชีวิตแล้วในวัย 62 ปี ด้วยความมั่งคั่ง 5,800 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 203,000 ล้านบาท มาดูกันว่าเขาเริ่มต้นเส้นทางและมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร
จุนจุนวาลาเริ่มหลงใหลในหุ้นตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากเฝ้าดูพ่อของเขาผู้ทำอาชีพเจ้าหน้าที่ภาษี ที่พยายามลงทุนในตลาดหุ้น
แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงคือปี 1985 เมื่อจุนจุนวาลาวัย 25 ปี หลังเรียนจบจากวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์และเศรษฐศาสตร์แห่ง Sydenham ด้วยเกียรตินิยม เขาเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเพียง $100 ที่ยืมมาจากพี่เขย
การเดิมพันในหุ้น Titan ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 คือการลงทุนที่ทำกำไรได้มากสุดของเขา ในตอนนั้น Titan บริษัทในเครือ Tata Group ยังเป็นเพียงบริษัทที่ผลิตนาฬิกาเป็นหลักและประสบปัญหาด้านแรงงาน
แต่ปัจจุบัน Titan กลายมาเป็นบริษัทเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 26,000% นับตั้งแต่ปี 2005 โดยในเดือน มิ.ย. จุนจุนวาลาและภรรยาของเขาถือหุ้น Titan อยู่ประมาณ 4%
จุนจุนวาลาถือว่าเป็นนักลงทุนที่สร้างตัวเองขึ้นมาเองจนกลายมาเป็นนักลงทุนรุ่นเก๋าและทรงอิทธิพลในตลาดหุ้นอินเดีย ชื่อเสียงของเขามาจากการเลือกหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว และปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจของอินเดียในปี 1991
เขาได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Rare Enterprises ซึ่งมาจากตัวอักษรสองตัวแรกของชื่อเขาและภรรยา Rekha นอกจากนี้ยังได้ลงทุนในธุรกิจและสตาร์ทอัพหลายแห่ง ทั้ง Star Health and Allied Insurance, บริษัทเกม Nazara Technologies Ltd และล่าสุด Akasa Air สายการบินใหม่ของอินเดีย
ในปี 2005 จุนจุนวาลาให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า เขามีมหาเศรษฐีผู้ใจบุญอย่าง ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เป็นบุคคลต้นแบบส่วนกลยุทธ์การเลือกหุ้นก่อนที่หุ้นนั้นจะเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตนั้นได้รับแรงบันดาลใจมากจากมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ‘จอร์จ โซรอส’ และนักลงทุนชาวฮ่องกง ‘มาร์ค เฟเบอร์’
ถึงแม้จะได้รับฉายาว่าเป็นบัฟเฟตต์แห่งอินเดียและมีบัฟเฟตต์เป็นต้นแบบ แต่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วว่า เขาไม่ชอบถูกเรียกแบบนั้น เพราะเขายังตามหลังซีอีโอของ Berkshire Hathaway อยู่มาก และที่สำคัญเขาไม่ใช่ร่างโคลนของใคร แต่เขาคือ ‘ราเกช จุนจุนวาลา’
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Dow Jones ปิดที่ 33,761.05 +424.38 จุด (+1.27%) S&P500 ปิดที่ 4,280.15 +72.88 จุด (+1.73%) Nasdaq 13,047.19 ปิดที่ +267.27 จุด (+2.09%) Small Cap 2000 ปิดที่ 2,013.09 +37.84 จุด (+1.92%) VIX index อยู่ที่ 19.53 (-3.32%)
ตลาดหุ้นยุโรป (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) EURO STOXX 50 ปิดที่ 3,776.81 +19.76 จุด (+0.53%) Dax เยอรมนี ปิดที่ 13,795.85 +101.34 จุด (+0.74%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 6,553.86 +9.19 จุด (+0.14%) FTSE 100 อังกฤษ ปิดที่ 7,500.89 จุด +34.98 จุด (+0.47%)
ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Nikkei 225 ญี่ปุ่น ปิดที่ 28,546.98 จุด +727.65 จุด (+2.62%) CSI 300 จีน ปิดที่ 4,191.15 จุด -2.39 จุด (-0.06%) Hang Seng ฮ่องกง ปิดที่ 20,175.62 จุด +93.19 จุด (+0.46%) SET Index ไทย ปิดที่ 1,622.26 จุด +5.05 จุด (+0.31%) VN30 เวียดนาม ปิดที่ 1,280.96 จุด +8.63 จุด (+0.68%)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 15 ส.ค. 2565) ราคาทองคำ 1,812.00 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Silver ราคา 20.677 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 91.20 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Brent 97.25 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 15 ส.ค. 2565) Bitcoin 24,968.7 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 2,001.25 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และ Binance Coin 326.30 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ภาพรวมสินทรัพย์ทั่วโลกที่ปรับตัวบวกและลบสูงที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ 3 อันดับแรก กลุ่มที่ปรับตัวในทิศทางบวก – ดัชนี S&P500 และ Global REIT (+3.4%), หุ้นตลาดพัฒนาแล้ว (+2.8%) และหุ้นโลก (+2.7%) ปรับตัวในทิศทางลบ – ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (-0.7%), พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (-0.5%) และหุ้นกู้สหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับน่าลงทุน (-0.4%)
ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวบวกที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ 3 อันดับแรก – ดัชนี PCOMP ฟิลิปปินส์ (+4.3%), ดัชนี S&P500 (+3.4%) และดัชนี Nasdaq (+3.2%)
ภาพรวม sector ใน S&P500 ที่ปรับตัวบวกสูงที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ 3 อันดับแรก – Energy (+7.0%), Financials (+5.7%) และ Materials (+4.6%)
ผลตอบแทนของดัชนี MSCI แบ่งตามสไตล์การลงทุนในรอบ 1 สัปดาห์ –MSCI World Small Cap (+3.0%), MSCI World Value Index (+2.9%), MSCI World Large Cap (+2.7%), MSCI World Growth Index (+2.7%), MSCI World Momentum Index (+2.4%) และ MSCI World Quality Index (+2.1%)
ผลตอบแทนตามธีมต่างๆ ในรอบ 1 สัปดาห์ – Blockchain (+11.3%), Cybersecurity (+3.8%), Clean Energy (+3.6%), Semiconductor (+2.2%), Global Luxury (+1.6%), Esport (+1.4%), Sustainable Energy (+1.1%) และ Health Care (+0.6%)
สรุปข่าวประจำวัน
ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ให้ผลตอบแทน 13.1% และ 17.9% ตามลำดับนับจากต้นไตรมาสที่ 3 ถ้าดูจากช่วงต้นปียังติดลบ -20.1% และ -29.7% ตามลำดับ
คณะส.ว. และส.ส. สหรัฐฯ ชุดใหม่ เดินทางถึงไต้หวันอีกครั้ง หลังจากการมาเยือนของแนนซี เพโลซี ก่อนหน้านี้งง ตลาดหุ้นไต้หวันเช้านี้ ยังเปิดในแดนบวก
ญี่ปุ่นรานงาน GDP ไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.2% ได้รับผลบวกจากการบริโภคในประเทศ แต่เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าคาด ประมาณการ GDP ญี่ปุ่นรวบรวมโดย Bloomberg ปี 2022 ขยายตัว 1.6% และปี 2023 ขยายตัว 1.7%
จับตาผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนที่คาดว่าจะประกาศออกมาหดตัว สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจโลกถดถอย ประมาณการ GDP จีนรวบรวมโดย Bloomberg ปี 2022 ขยายตัว 3.8% และปี 2023 ขยายตัว 5.24%
แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนใน CSI300 ยังไม่ได้ดีกว่าหุ้นโลก
Saudi Aramco ประกาศกำไรเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ เติบโต 90% สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่เดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น
มีรายงานว่า จอร์จ โซรอส เดินหน้าเก็บหุ้นเทคโนโลยี อาทิ Amazon, Google และ Tesla เข้าพอร์ต
ราเกช จุนจุนวาลา มหาเศรษฐีฉายา วอร์เรน บัฟเฟตแห่งอินเดีย เสียชีวิตในวัย 62 ปี มีความมั่งคั่ง 5,800 ล้านดอลลาร์ หรือ 203,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2021
จับตาการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ดีเดย์ 1 ต.ค. นี้ คาดว่ามีสูตรการปรับขึ้น 5% และ 8% แต่ยังต้องรอดูผลการเจรจา ข้อมูลจากหลักทรัพย์เอเซีย พลัส พบว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ได้มีนัยยะต่อการปรับตัวของ SET Index อย่างมีนัยยะ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ คือ รับเหมาก่อสร้าง การเกษตร อสังหาริมทรัพย์ และชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สอง ของปี 2565 ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี 2565 ร้อยละ 0.7 (QoQ_SA) รวมครึ่งแรกของปี 2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.4
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสอง ที่ขยายตัวร้อยละ 2.5 ถือว่าต่ำกว่าประมาณการของผลสำรวจความคิดเห็นจาก Bloomberg ที่ให้ค่ากลางการเติบโตไว้ที่ ร้อยละ 3.1
ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการขยายตัวเร่งขึ้น ร้อยละ 6.9 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ขยายตัวร้อยละ 2.4 การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 2.3 ขณะที่การลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่องร้อยละ 6.8 รวมครึ่งแรกของปี 2565 การลงทุนรวมลดลงร้อยละ 0.1
ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 44.9 สาขาการขายส่ง ขายปลีก และการซ่อมฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ร้อยละ 3.1 และสาขาขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 5.3 สาขาเกษตรกรรมและสาขาการไฟฟ้าและก๊าซฯ ชะลอตัว ในขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสาขาการก่อสร้างปรับตัวลดลง
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.37 ต่ำกว่าร้อยละ 1.53 ในไตรมาสก่อนหน้าและต่ำกว่าร้อยละ 1.89 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.5 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.3
สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 8.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (29.75 หมื่นล้านบาท) คิดเป็นการขาดดุลร้อยละ 7.0 ของ GDP
ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 2.2 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 มีมูลค่าทั้งสิ้น 10,204,305.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61.1 ของ GDP
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.7 – 3.2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.4 และ ร้อยละ 3.1 ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 6.3 – 6.8 และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ 1.6 ของ GDP
ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
AKN Blog
พอร์ตกองทุนคุณชัชชาติ สุดแกร่ง สุดปังแค่ไหน? (ใบ้ให้ว่าตลาดผันผวนยังเอาอยู่ ถ้าอิงจากสัดส่วนหลัก!!)
ถ้าพร้อมแล้วมาดูไปพร้อมกันได้เลย มีข้อมูลอัปเดตสถานการณ์แถมให้ด้วยนะ!!
News Update: เปิดพอร์ตกองทุนของ ‘ชัชชาติ’ พบซื้อทุนกองทุนรวม 4.34 ล้านบาท มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 42.85 ล้านบาท
วันที่ 11 สิงหาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565
พบว่า นายชัชชาติมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 42,852,349 บาท ไม่มีหนี้สิน แบ่งเป็นรายการดังต่อไปนี้
ในส่วนของเงินลงทุน กองทุนที่นายชัชชาติถือครอง ตามรายการแสดงทรัพย์สิน มีรายการดังต่อไปนี้
1.กองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ ชนิดเพื่อการออก ASP-SME-SSF มูลค่า 198,191.46 บาท
2.กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเทคโนโลยีอิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ 10,426.6588 มูลค่า 101,756.89 บาท
3.กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน-สะสมมูลค่า 29.9331 มูลค่า 400.08 บาท
4.SCBLT1 หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 จำนวน 141,267.4150 มูลค่า 2,480,345.02 บาท
5.RGHC โกลบอลเฮลธ์แคร์ เพื่อการเลี้ยงชีพ 113,233.8312 มูลค่า 1,550,680.70 บาท
6.SCBSFF ตราสารหนี้ระยะสั้น 296.7747 มูลค่า 6,173.92 บาท
7.GOLDH โกลด์ THB เฮดจ์ 109.6539 มูลค่า 1,075.80 บาท
นอกจากนี้ นายชัชชาติยังเปิดเผยรายได้ต่อปี รวม 1,362,720 บาท ประกอบด้วย รายได้ประจำ เงินเดือนผู้ว่าฯ กทม. 864,720 บาท เงินเพิ่มตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. 498,000 บาท
รายจ่ายต่อปี รวม 1,072,595 บาท ประกอบด้วย ค่าอุปโภคบริโภค 960,000 บาท ค่าเบี้ยประกันชีวิต 112,595 บาท และข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา 1,805,000 บาท
ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
#ข่าว #เศรษฐกิจ #ชัชชาติ #กองทุน
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity
เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
Youtube: https://finno.me/youtube-channel
หากใครอยากได้คำแนะนำจัดพอร์ตโดยผู้แนะนำการลงทุนที่มีหรือวางแผนลงทุนกองภาษีทั้งแบบกองภาษีและไม่ภาษีกับเค้าบ้าง ลองกรอกรายละเอียดที่ลิ้งก์ด้านล่างได้เลยครับ
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองภาษี 200,000 บาทขึ้นไป
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/taxplanner-services
https://www.prachachat.net/politics/news-1011263
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ทั่วโลกเริ่มกังวลมากขึ้นถึงความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ที่มีโอกาสเกิดขึ้นทั้งในยุโรป และ สหรัฐฯ แรงกดดันนี้ส่งผลให้หลายกองทุนราคาปรับตัวลดลงจนน่าเข้าซื้อ แต่กองทุนแบบไหนกันแน่ ที่น่าลงทุนในรอบนี้? กองทุนไหนที่จะเป็นความหวังช่วยให้ฝ่าด่านเศรษฐกิจถดถอย และเติบโตระยะยาวได้?!?
หลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐฯส่งสัญญานเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (US Technical Recession) ไปเรียบร้อยแล้ว จากการที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยไตรมาส 1/2565 ติดลบ 1.6% และไตรมาส2/2565 ติดลบ 0.9%1
จนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นสหรัฐฯให้ปรับตัวลดลงไปอย่างมาก เห็นได้จากค่า Forward P/E ของ S&P500 นับตั้งแต่ต้นปี ได้ปรับลดลงมาแล้วถึง -28%แต่ในขณะเดียวกัน การปรับตัวลดลงดังกล่าวก็ถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างมากแล้ว และอาจมีโอกาสร่วงลงอีกอย่างจำกัด2
ดังนั้นภาวะแบบนี้ ธนาคารทิสโก้ จึงมองว่า เป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเลือกซื้อกองทุนที่ราคาปรับตัวลดลง และมีแนวโน้มโตสูงในระยะยาว จึงจะสามารถสู้กับเศรษฐกิจถดถอยได้เวิร์ค ซึ่งสำหรับเดือน ส.ค. มีหลายธีมกองทุนที่น่าสนใจ
ธนาคารทิสโก้ ได้แนะนำให้ลงทุนในธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพราะมองว่า ธีมการลงทุนนี้ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่าสามารถผ่านวิกฤตต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นได้จากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2012 –2022) หุ้นกลุ่ม Technology สามารถให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นสูงถึง 18.56% ต่อปี (วัดจากดัชนี MSCI World Information Technology Index) ซึ่งด้วยผลตอบแทนในระดับนี้จะทำให้เงินลงทุนมีโอกาสเติบโตเป็น 2 เท่าในราว 4 ปี เลยทีเดียว3
ดังนั้นนักลงทุนจึงสามารถเลือกลงทุน โดยเน้นกองทุนที่กระจายการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ราคาปรับตัวลดลงมามากแล้ว หรือจะเลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เป็นดาวรุ่งไปเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ธุรกิจความปลอดภัยด้านไซเบอร์ (Cyber Security) กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นธุรกิจเบื้องหลังความสำเร็จของ Metaverse ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service เป็นต้น
โดยข้อดีของการลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เป็นดาวรุ่งไปประเภทใดประเภทหนึ่งไปเลย จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกแบบตรงจุดในธุรกิจเทคโนโลยีที่ชอบและมั่นใจว่ามีศักยภาพการเติบโตได้ดียิ่งขึ้น เพราะธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยีเอง ก็มีหลากหลายรูปแบบ และบางธุรกิจก็มีแนวโน้มเติบโตที่โดดเด่นกว่าธุรกิจอื่น ๆ ในกลุ่มอย่างชัดเจน
สังคมสูงวัย ที่เกิดขึ้นจากการที่ประชากรโลกมีอายุยืนขึ้น ได้ส่งผลให้ความต้องการด้านนวัตกรรมทางการแพทย์สูงขึ้น ธุรกิจนี้จึงมีแนวโน้มเติบโตสูง
ในอดีตค่าเฉลี่ยด้านอายุของคนไทยโดยภาพรวมไม่ได้มีอายุยืนนัก เห็นได้จากเมื่อปี 2493 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่เพียง 48 ปีเท่านั้น แต่ในปี 2565 คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 78 ปี ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเราอาจมีอายุยืนกว่าคนรุ่นทวดถึง 30 ปี แถมในอนาคตเด็กรุ่นใหม่ก็อาจมีอายุขัยถึง 100 ปี4
และไม่ใช่แค่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น หลายประเทศทั่วโลกก็กำลังมีจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากนวัตกรรมทางการแพทย์ที่พัฒนา ดังนั้นธุรกิจด้าน Healthcare ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555-2565) จึงเป็นที่ต้องการของประชากรโลก และทำให้ธุรกิจเติบโตจนสามารถให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นกว่า 13% ต่อปี5
ไม่ใช่แค่เพียงให้ผลตอบแทนที่สูงในอดีตเท่านั้น ธุรกิจด้านนวัตกรรมการแพทย์ มีโอกาสจะสร้างการเติบโตที่ดีในระยะยาวอีก 5-10 ปีข้างหน้าด้วย เพราะเมื่อโลกเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัยความต้องการทางนวัตกรรมการแพทย์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น นอกจากนี้นวัตกรรมการแพทย์ยังมีเสน่ห์จากโอกาสเกิดขึ้นระหว่างดำเนินธุรกิจด้วย ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจในกลุ่มไบโอเทค ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดการควบรวมกิจการ (M&A) โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กลุ่มธุรกิจไบโอเทคฯ มีโอกาสจะเกิด M&A เพราะราคาหุ้นทั้งกลุ่มเล็กและใหญ่ ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ประกอบกับเป็นช่วงที่เพิ่งผ่าน COVID-19 มา หลายบริษัทไม่ได้มีการลงทุนมากทำให้ยังมีกระแสเงินสดดี จึงมีโอกาสที่จะซื้อหุ้นที่ราคาปรับลดลง ทำให้การเกิด M&A ระหว่างบริษัทมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้น6
ดังนั้นธนาคารทิสโก้ จึงแนะนำให้เลือกกองทุนภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่
ขณะที่ในฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ มีความน่ากังวลจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในฟากของประเทศแถบเอเชีย กลับมีหลายประเทศเติบโตดี โดยที่ผ่านมา ธนาคารทิสโก้ ได้แนะนำให้นักลงทุนเลือกซื้อกองทุน โดยโฟกัสไปที่ประเทศจีน และเวียดนาม ซึ่งทั้งสองประเทศนี้มีความน่าสนใจทั้งในเชิงของเศรษฐกิจ ราคาหุ้น นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และการได้แรงหนุนจากนโยบายรัฐฯ
และนอกจากนี้ ในรอบเดือน ส.ค. ธนาคารทิสโก้ ได้เพิ่มคำแนะนำการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียด้วย เพราะมองว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ของจำนวนประชากรที่มีสูงถึง 272.2 ล้านคน และจากการที่ประชากรวัยแรงงานเติบโตต่อเนื่องนี่เอง ก็ยิ่งช่วยผลักดันรายได้ต่อหัวของประชากรในประเทศสูงขึ้น ไม่เพียงเท่านี้อินโดนีเซียยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของประเทศ จากการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การถือหุ้นในธุรกิจสำคัญ ซึ่งส่งผลให้การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีความสามารถในการสร้างรายได้การส่งออกที่ดีจากทรัพยากรธรรมชาติทั้ง น้ำมันปาล์ม ถ่านหิน ทองคำ ฯลฯ7 อีกด้วย
ถึงเวลาสู้กับเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ธีมกองทุนที่เราแนะนำ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณผ่านวิกฤตนี้ไปได้
==================
ที่มา
TISCO Advisory
ที่มาบทความ: https://www.tiscowealth.com/article/investment-advisory/which-growth-stocks-can-fight-recession.html
ช่วงที่ตลาดการเงินเปลี่ยนทิศ มักเป็นช่วงที่นักลงทุนมีความลังเลที่จะปรับกลยุทธ์การลงทุนที่สุด
เพราะทุกการกลับตัว มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย เช่นแนวโน้มเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน หรือความเสี่ยงการเมือง และต่อให้เรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผลกระทบกับตลาดก็ผสมไปด้วยอารมณ์และ Market Position ที่คาดเดาได้ยาก
สำหรับนักลงทุนระยะยาว ทางเลือกที่ตรงที่สุดคือ “อยู่กับตลาด” หรือ Stay Invested ให้ได้ก่อน ด้วยการลงทุนเท่ากับดัชนี อย่างน้อยก็จะทำให้เราได้ผลตอบแทนเท่ากับค่าเฉลี่ย
แต่ถ้าอยาก “ชนะตลาด” ก็ต้องไม่ลังเลที่จะปรับกลยุทธ์ในช่วงที่ตลาดการเงินกำลังเปลี่ยนทิศ
สำหรับผมมี 3 แนวทางที่นักลงทุนต้องคิดถึงและตัดสินใจ ถ้าต้องการสร้างผลตอบแทนที่ฉีกออกจากค่าเฉลี่ย
หนึ่งคือ Asset Allocation เลือก Overweight หรือ Underweight สินทรัพย์ลงทุนให้ถูกต้อง
ไม่ต้องมองไกลถึงสินทรัพย์ทุกชนิดในโลก เราสามารถเริ่มได้เลยแค่ออกจากเงินสดไปที่หุ้น 60% บอนด์ 40% เพื่อเกาะผลตอบแทนเท่าเฉลี่ยให้ได้ก่อน
หลังจากนั้น เลือก “ปรับเพิ่ม” สัดส่วนสินทรัพย์ที่คิดว่าจะให้ผลตอบแทนดี พร้อมกับ “ปรับลด” สัดส่วนสินทรัพย์ที่คิดว่าจะให้ผลตอบแทนแย่ ในกรอบ 10-30% ของพอร์ต
ต่อด้วยการสร้างความแตกต่างจาก Thematic Investing ที่ถูกต้อง
เพราะคำถามที่สำคัญไม่แพ้สัดส่วนการลงทุนคือ Diversify or Concentrate หรือควร “กระจาย” หรือ “กระจุก” ที่จุดไหน
ถ้าเรายังไม่มีมุมมองเฉพาะเจาะจง ง่ายที่สุดคือกระจายการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้ดัชนีที่สุด
หลังจากนั้นค่อย ๆ ศึกษา เลือก 3-5 ธีมลงทุนที่คาดว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดได้ และแบ่งสินทรัพย์หลักมาลงทุนในแต่ละธีม 5-15% ของพอร์ต
กลยุทธ์สุดท้ายคือ Optimization เลือกที่จะ “ถือต่อ” หรือ “ขอเปลี่ยน” การลงทุนให้ถูก
คำตอบว่าจะ Holding หรือ Switching เกิดจากการเปรียบเทียบ Expected Returns และ Risks ของแต่ละการลงทุนในพอร์ตกับทางเลือกกับตลาด ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ขั้นตอนนี้มักเป็นการปรับเปลี่ยนส่วนที่มีความเสี่ยงต่ำเช่นบอนด์ไปเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ให้พอร์ตโดยรวมสมดุล หรือลดความเสี่ยงบน Risk Scenario บางอย่างเช่นเศรษฐกิจถดถอย หรือตลาดปรับฐานระยะสั้น
อ่านมาถึงตรงนี้ นักลงทุนหลายท่านมักมีคำถามขึ้นในใจว่า
ถ้ากลยุทธ์มีแค่นี้ ทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงเอาชนะตลาดไม่ได้
สำหรับผม กลยุทธ์ที่จะทำให้เรามีโอกาสชนะไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องถูกต้อง และมีวินัย
เช่น ช่วงก่อนหน้านี้ที่ตลาดปรับฐาน หลายท่านเลือกถือเงินสดซึ่งถือว่าถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่กลับถือเงินสดนานเกินไป ไม่มีวินัยที่จะกลับมาลงทุน จึงมักแพ้ตลาดในระยะยาว
นั่นคือเหตุผลว่าเราควร Stay Invest, Diversify และ Holding ด้วยสัดส่วนปรกติให้ได้ เพื่อให้เราไม่หลุดจนเสียวินัย หลังจากนั้นจึงค่อยหาจังหวะเอาชนะในเวลาที่เหมาะสม
กลยุทธ์ไหนควรใช้เมื่อไร
คำตอบสำหรับผม แต่ละกลยุทธ์มีเวลาในการตัดสินใจ และจุดเปลี่ยนที่ต่างกัน
Asset Allocation เป็นมุมมองระยะยาว จะเปลี่ยนเมื่อผลตอบแทนคาดหวังหรือ Expected Returns ของสินทรัพย์เปลี่ยนไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โครงสร้างตลาดการเงิน หรือนโยบายเศรษฐกิจ
Thematic Investing สะท้อนมุมมองระยะกลาง การเปลี่ยนธีมจะเกิดจากการเปรียบเทียบ ว่ามีธีมลงทุนอื่นที่น่าสนใจกว่าหรือไม่ในแต่ละช่วงเวลาลงทุน
ขณะที่ Optimization คือการรับมือกับความเสี่ยงระยะสั้นที่มักมี Noise มากกว่า Signal ใช้ควบคู่ไปกับ Scenario Analysis
แต่ละกลยุทธ์ในปัจจุบันมีจุดอ่อนอย่างไร และตอนนี้ควรปรับกลยุทธ์แบบไหน
สำหรับ Asset Allocator สิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือ Regime Shift หรือการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและมุมมองของตลาด
ปัจจุบันการที่ตลาดมองว่าเงินเฟ้อจะอยู่สูงไปนาน อาจทำให้ Expected Returns ของทั้งหุ้นและบอนด์ไม่นิ่ง คาดการณ์ได้ยาก ถ้าไม่แน่ใจ อาจคงสัดส่วนการส่งทุนเท่าตลาดไว้ก่อน
ส่วน Thematic Investing สำหรับผม จุดอ่อนหลักคือ Over-Diversify เนื่องจากทุกธีมมักมีจุดเด่นแตกต่าง เปรียบเทียบลำบาก แต่ยิ่งกระจายมาก ค่าใช้จ่ายและค่าเสียโอกาสจะยิ่งสูง จุดอ่อนนี้แก้ไขด้วยการเปรียบเทียบ Probability of Positive Returns แทนที่ Expected Returns
ในกรณี Optimization ความยากในปัจจุบันคือมักมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสงคราม หรือความขัดแย้งทางการเมือง ผลกระทบกับตลาดการเงินยิ่งคาดเดายาก
จุดอ่อนนี้ควรเน้นไปที่การเตรียมพร้อม ด้วยการมองหาการลงทุนที่เคลื่อนไหวสวนทางพอร์ตหลักของเราไว้เสมอ เมื่อภัยมาอย่างน้อยจะรู้ทันทีว่าควรหลบไปลงทุนที่ไหน
สุดท้ายนักลงทุนมักถามว่า กลยุทธ์ไหนดีที่สุด และอะไรจะทำให้เราชนะตลาดได้สม่ำเสมอ
สำหรับผมจะใช้ Multi-Strategy หรือใช้ทั้งหมดไปพร้อมกัน เพราะแต่ละกลยุทธ์สร้างมาด้วยเหตุผลและเป้าหมายที่แตกต่าง ทุกกลยุทธ์จึงใช้ได้หรือไม่ได้ในจังหวะของตลาดที่แตกต่างกันไป ไม่มีกลยุทธ์ลงทุนแบบไหนจะทำกำไรเหนือตลาดได้ตลอดเวลา
และท้ายที่สุด การจะชนะตลาดได้สม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ “มีกลยุทธ์ที่ดี” แต่เราต้อง “เป็นนักลงทุนที่ดี” ด้วย เมื่อกำหนดกลยุทธ์ลงทุนของเราเองแล้ว ต้องลงมือทำอย่างมีวินัย และไม่หยุดที่จะเรียนรู้ครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
รับชมบน YouTube: https://youtu.be/CttbbIRT0GY
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาเราเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ถึงจะต้องมีป๊อบอัปขอจัดเก็บ Cookies หรือข้อมูลส่วนบุคคลของเรา ถ้าเราไม่อนุญาตก็อาจเข้าเว็บไซต์นั้นไม่ได้ หรืออาจใช้งานเว็บไซต์ได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร นี่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในโลกอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบันที่ยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจอินเทอร์เน็ตแห่งโลกอนาคตอย่าง Web 3.0 กันมากขึ้น ในคลิปนี้จะชวนมาทำความรู้จัก Web 3.0 กัน
พบความสุดพิเศษสำหรับคุณได้ในทุกวัน ทั้งบทความให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม หุ้น คริปโตฯ และการบริการ โปรโมชั่น ของรางวัลต่างๆ ที่คัดสรรมาเพื่อมอบให้กับสมาชิก FINNOMENA เท่านั้น
👉 สมัครสมาชิกเว็บไซต์ FINNOMENA https://finno.me/register-website
Disney เตรียมขึ้นราคาทั้ง Disney+, Hulu และ ESPN+ พร้อมเพิ่มแพ็กเกจแบบมีโฆษณา หวังทำกำไรในธุรกิจสตรีมมิ่งที่ยังขาดทุนมาโดยตลอด
Disney+ ในสหรัฐฯ จะปรับราคาแพ็กเกจใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. ดังนี้
➢ แพ็กเกจพร้อมโฆษณา อยู่ที่ $7.99 ต่อเดือน (ราคาปัจจุบันของแพ็กเกจแบบไม่มีโฆษณา)
➢ แพ็กเกจเดิมแบบไม่มีโฆษณา อยู่ที่ $10.99 ต่อเดือน (เพิ่มขึ้น 38%)
ด้าน Hulu จะขึ้นราคาตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. เป็นต้นไป โดยแพ็กเกจแบบไม่มีโฆษณาเพิ่มขึ้นจาก $12.99 เป็น $14.99 และแพ็กเกจแบบมีโฆษณาจะเพิ่มขึ้นจาก $6.99 เป็น $7.99 ขณะที่ ESPN+ พร้อมโฆษณาจะเพิ่มขึ้น 43% เป็น $9.99 ต่อเดือน
กลยุทธ์การขึ้นราคาเกิดขึ้นหลังบริการสตรีมมิ่งของ Disney ทั้ง Disney+, Hulu และ ESPN+ ขาดทุนรวมกัน 1,100 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าคาดการณ์ว่าจะขาดทุนเพียง 300 ล้านดอลลาร์ แม้ยอดผู้สมัครสมาชิกใหม่ของ Disney+ จะเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 15 ล้านราย มากกว่าคาดการณ์ที่ 5 ล้านรายก็ตาม
เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) Walt Disney รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของปีงบประมาณดีเกินคาด โดยได้รับแรงหนุนหลักจากรายได้ของสวนสนุกในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ดันราคาหุ้นพุ่งขึ้น 6.85% หลังปิดตลาด
➢ กำไรต่อหุ้น: $1.09 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $0.96
➢ รายได้: 21,500 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 20,960 ล้านดอลลาร์
➢ ยอดรวมสมาชิก Disney+ ทั้งหมด: 152.1 ล้านราย สูงกว่าคาดการณ์ที่ 147.76 ล้านราย
➢ รายได้จากธุรกิจสวนสนุก: 7,400 ล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 72% จากปีที่แล้ว)
Disney ปรับลดคาดการณ์ยอดสมาชิก Disney+ ลงเหลือ 215 – 245 ล้านรายในปี 2024 ลดลงคาดการณ์เดิมของบริษัทที่ 230 – 260 ล้านราย แต่บริษัทยังคงแสดงความเชื่อมั่นว่าธุรกิจ Disney+ จะทำกำไรได้ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2024
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน