แจ้งเตือน

เงินบาทแข็ง VS เงินบาทอ่อน ใครดี ใครได้ ใครเสียเปรียบ?

Finspace
เงินบาทแข็ง VS เงินบาทอ่อน ใครดี ใครได้ ใครเสียเปรียบ?

เวลามีข่าวว่า ค่าเงินบาท “แข็งขึ้น” หรือ “อ่อนลง” หลายคนอาจสงสัยว่ามันส่งผลยังไงกับชีวิตเรา แล้วแบบไหนดีกว่ากัน? วันนี้ FinSpace สรุปมาให้เห็นภาพแบบเข้าใจง่าย พร้อมเทียบให้เห็นชัด ๆ ใครได้ ใครเสีย!

เงินบาทแข็ง VS เงินบาทอ่อน ใครดี ใครได้ ใครเสียเปรียบ?

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid02fjLvmD76aiNUAUjWpZppxvuBqu6d1HeaE4VHyMjdrzxSuQ69kNYpB4XCZJ7qrjfBl

ศึก Tariff War ของไทย.. จะไปอย่างไรต่อ?

MacroView
ศึก Tariff War ของไทย.. จะไปอย่างไรต่อ?

ประเด็นฮ็อตของสัปดาห์นี้ คงจะหนีไม่พ้นสงครามภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ประจวบเหมาะกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนาว่าด้วยวิกฤตภาษีทรัมป์ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงขอนำเนื้อหาบางส่วนมาถ่ายทอดในคอลัมน์นี้

บทความนี้ จะขอพูดถึงความเป็นไปได้ของหน้าตาการเจรจา Tariff Rate ดังกล่าว รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนตลาดหุ้นในบ้านเรา

โดยที่สหรัฐได้ประกาศออกไปเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศส่วนใหญ่ Tariff rate ยังคงเดิม โดยมีที่ลดลงได้แก่ กัมพูชา จาก 49% เหลือ 36% ส่วนที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ญี่ปุ่นและมาเลเซียที่เพิ่มจาก 24% เป็น 25% ทว่ายังมีอีกกลุ่มหนึ่งอันประกอบด้วย ยุโรป อินเดีย และ ไต้หวัน ที่มีโอกาสจะประกาศดีลการค้าในช่วงระหว่างวันนี้ถึง 1 สิงหาคม

ผมขอประเมินภาพรวมของสถานการณ์บ้านเรา ท่ามกลางบรรยากาศการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ ดังนี้

หนึ่ง ผมมองในแง่ที่ดีว่าไทยไม่ได้ตามหลังชาติอื่นในอาเซียน สำหรับการเจรจารอบนี้ ยกเว้นเวียดนาม ซึ่งถูกบีบด้วยสถานการณ์บังคับเนื่องจากส่งออกไปสหรัฐถึงราว 47% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ทำให้ต้องรีบเจรจาลดภาษีการค้าโดยด่วนแล้วมาจบที่ 20% โดยที่ต้องยกเว้นภาษีการนำเข้าทั้งหมดให้สหรัฐ นอกจากนี้ มาเลเซียก็ถูกเพิ่มอัตราภาษีการค้าจาก 24% เป็น 25% อีกต่างหาก ทำให้มองว่าบ้านเราน่าจะยัง On Par กับชาติอื่นในอาเซียนสำหรับการประกาศ Tariff Rate ใหม่ ภายใน 1 สิงหาคมนี้ โดยหากมีการประกาศสำหรับชาติอาเซียน เราก็น่าจะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

สอง โอกาสที่ไทยจะได้รับอัตราภาษีใหม่ น่าจะอยู่ที่ 20-25% โดยโอกาสที่จะได้ 20-22% น่าจะราวร้อยละ 90  อย่างไรก็ดี เราอาจจะได้รับอัตรา 25% ทว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นน่าจะราวร้อยละ 10 โดยหัวใจสำคัญของการจะได้มาซึ่งอัตราภาษีใหม่ที่ 20% คือการเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้กับสหรัฐ ซึ่งในประเด็นนี้ อินเดียก็มีปัญหาคล้ายคลึงกับบ้านเราที่ต้องพยายามปกป้องผลประโยชน์ต่อเกษตรกรของตนเอง ทำให้เราต้องรอผลลัพธ์การเจรจาระหว่างสหรัฐกับอินเดียที่คาดว่าน่าจะออกมาภายในสัปดาห์หน้า เพื่อที่จะใช้แนวทางการเปิดตลาดภาคเกษตรกรรมของอินเดีย เป็นต้นแบบต่อการเจรจาสินค้าเกษตรของบ้านเรากับสหรัฐ โดยอย่างน้อยเราควรต้องได้เงื่อนไขที่ไม่ด้อยกว่าของอินเดียที่ได้รับมา

สาม ความเสี่ยงที่การเจรจาจะไม่ลงตัวในการซื้อผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานจากสหรัฐสำหรับการเจรจาของไทยกับสหรัฐ น่าจะถือว่าอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณพิชัย ชุณหวชิร มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานเป็นลำดับต้น ๆ ของเมืองไทย รวมถึงด้านหมวดสินค้าภาคอุตสาหกรรมด้วย

นอกจากนี้ เจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และ สก็อตต์ เบสเสนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ น่าจะถือได้ว่าเป็นทีมที่แม้จะดูเขี้ยวลากดินด้านการเจรจา ทว่าก็พอจะมีความสมเหตุสมผลและค่อนข้างมีวินัยในการเจรจาในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี ผมมองว่าตัวตัดสินว่าเราจะได้อัตราภาษีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐจะเข้มกับอินเดีย สำหรับผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรมากน้อยแค่ไหน

สี่ ผมประเมินว่าผลกระทบต่อภาคการส่งออกต่อเศรษฐกิจของบ้านเรา เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐต่อมูลค่าการส่งออกทั้งหมดที่ 18%โดยประเมินว่าหากเราได้ Tariff Rate จากทางการสหรัฐที่ 20% ในท้ายที่สุด น่าจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทยอยู่ประมาณ 1.1% โดยอาจจะสูงหรือต่ำจากระดับนี้ ขึ้นอยู่กับว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมืองของบ้านเราจะดีหรือไม่ดีมากแค่ไหน

ด้านตลาดหุ้นไทย ผมประเมินโดยใช้วิธีการ Simulation จากข้อมูลที่ได้จาก Market Reaction เมื่อวันที่ 2 และ 9 เมษายน หรือ Liberation Day ที่ผ่านมา ปรากฏว่า หากเราได้รับ Tariff Rate 20% ในวันที่ 1 สิงหาคม ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะทรง ๆ หากได้รับ 21-25% ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะลดลง -1.74% และ หากได้รับ 36% ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะลดลง -2.12%

นอกจากนี้ หากทรัมป์ตัดสินใจลด Tariff Rate ให้กับทุกประเทศ ในวันที่ 1 สิงหาคมมาอยู่ในระดับ 10-20% ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะเพิ่มขึ้น +2.80% ในทางกลับกัน หากทรัมป์ไม่ยอมลด Tariff Rate ให้กับประเทศใด ๆ เลยหนำซ้ำยังประกาศเงื่อนไขที่แย่ลงอีกในวันที่ 1 สิงหาคม ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะลดลง -4.54%

ท้ายสุด Tariff War น่าจะอยู่กับเราไปตลอดที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสหรัฐ โดยจะกลับมาให้เจรจากันเป็นระยะๆ จึงถือเป็นความเสี่ยงและโอกาสสำหรับการลงทุน รวมถึงตลาดหุ้นในบ้านเราด้วย

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com

Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) อัปเดตมุมมองเดือกรกฎาคม 2025: เส้นตายภาษี ชี้ชะตาตลาดโลก

Eastspring Thailand
Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) อัปเดตมุมมองเดือกรกฎาคม 2025: เส้นตายภาษี ชี้ชะตาตลาดโลก

ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวเป็นส่วนใหญ่ในเดือนมิถุนายน หลังจากที่ ปธน.ทรัมป์ของสหรัฐฯ เริ่มการเจรจาการค้ากับประเทศพันธมิตรหลักๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน แม้ทรัมป์จะพยายามข่มขู่คู่ค้าตามสื่อต่างๆ อยู่เป็นระยะ แต่แหล่งข่าวส่วนใหญ่ให้ข้อมูลตรงกันว่าทีมงานที่เจรจาการค้าจริงระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ มีพัฒนาการในเชิงบวก นอกจากนั้นสหรัฐฯ ยังชะลอการตั้งภาษีศุลกากรจำนวนมหาศาลกับจีนออกไป และเริ่มนับหนึ่งในการเจรจาการค้ากับจีนอีกด้วย ด้วยพัฒนาการเชิงบวกของการเจรจาการค้า ทำให้เรายังแนะนำเน้นการลงทุนในหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุน อย่างไรก็ดี มีเพียงตลาดหุ้นไทยและอินโดนีเซียที่ปรับตัวลงสวนทิศทางตลาดหุ้นโลกและยังคงต้องระมัดระวังการลงทุน จากแรงกดดันด้านการเมืองเฉพาะตัว ฝั่งของไทยถูกกดดันจากประเด็นความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชาซึ่งกดดันความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ขณะที่อินโดฯ ถูกกดดันจากประเด็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติซึ่งมีการถอนตัวของผู้บริหารกองทุนระดับชาติจากคณะกรรมการ เป็นแรงกดดันเชิงความเชื่อมั่นเช่นกัน

 

ในระหว่างเดือน เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างการเปิดฉากสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างรุนแรง ตามมาด้วยการเข้าร่วมสงครามของสหรัฐฯ พร้อมกันกับที่สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ไม่บรรเทาอย่างที่นักลงทุนคาดคิด ในมุมมองของเราเชื่อว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง แม้สหรัฐฯ หรือชาติตะวันตกจะมีส่วนร่วม จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในระยะสั้น ขณะที่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นจากสถิติในอดีตไม่ได้มีนัยยะสำคัญ มากไปกว่านั้นอิหร่านยังแสดงท่าทีโอนอ่อนลงให้หลังจากการเข้าร่วมสงครามของสหรัฐฯ อีกด้วย ทำให้ในภาพรวมเราไม่ได้กังวลกับประเด็นสงครามมากนัก นักลงทุนสามารถผสมสินทรัพย์กลุ่ม Defensive อย่างตราสารหนี้โลกและหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น

 

การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ประจำเดือนมิถุนายนที่ตลาดจับตา จบลงไปโดยไม่ได้มีข้อมูลใหม่ให้กับนักลงทุนมากนัก Dot Plot ของธนาคารกลาง (Fed) ยังคงคาดหวังการลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี 2025 ขณะที่ถ้อยแถลงของ Fed เองยังคงย้ำถึงการไม่เร่งรีบปรับนโยบายการเงินเพื่อรอดูผลกระทบจากนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ ในมุมมองของเรา เราเริ่มมั่นใจว่า Fed ไม่ได้กังวลเงินเฟ้อ ภาคแรงงาน หรือเศรษฐกิจที่อาจมีทิศทางเชิงลบจากนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ แต่ Fed เพียงสับสนการเปลี่ยนแปลงไปมาของนโยบาย ปธน. ทรัมป์ เรามีสมมุติฐานว่า Fed พร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจหากสหรัฐฯ เจรจาการค้ากับนานาชาติสิ้นสุดลง และยังต้องการปรับลดดอกเบี้ยต่อไป ขณะที่เราคาดว่าสหรัฐฯ จะไม่ปล่อยให้การเจรจาการค้ายืดเยื้อและกระทบเศรษฐกิจเช่นกัน

 

ภาพรวมการลงทุนประจำเดือนกรกฎาคม 2025 คาดว่าตลาดหุ้นโลกจะเผชิญกับทางแยกสำคัญ จากเส้นตายระยะผ่อนผันภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 9 ก.ค. พร้อมกับกฎหมายลดภาษีและลดค่าใช้จ่ายชุดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่รู้จักกันในชื่อ One Big Beautiful Act ที่ล่าสุดได้ผ่านการอนุมัติจากสภาแล้ว หากทั้งสองเหตุการณ์มีพัฒนาการในทางที่ดี อาจเป็นจุดที่ทำให้หุ้นโลกโดยเฉพาะภูมิภาคอื่นๆ นอกจากสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัว เรายังคงแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตแบบบาร์เบล ผสมระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นโลก หุ้นสหรัฐฯ กับสินทรัพย์กลุ่ม Defensive อย่างตราสารหนี้โลกและหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และหาโอกาสสะสมประเทศที่เศรษฐกิจภายในแข็งแกร่งหรือฟื้นตัวได้ดี เช่น เอเชีย อินเดีย เวียดนาม และยุโรป หากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯมีทิศทางในเชิงบวก

ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 7 ก.ค. 2025

สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน

โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก

1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น

2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ

หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Morningstar ชี้ “หุ้นเกาหลีใต้” น่าลงทุนที่สุดในตลาดเกิดใหม่ แม้ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี

Finnomena
หุ้นเกาหลีใต้ น่าลงทุน

ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ Morningstar กลับมอง “หุ้นเกาหลีใต้” เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดในบรรดาตลาดเกิดใหม่ 

โดย มาร์ค เพรสเก็ตต์ (Mark Preskett) ผู้จัดการกองทุนอาวุโสของ Morningstar Wealth จากลอนดอน เผยว่าเขากำลังลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนและญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มพอร์ตในหุ้นเกาหลีใต้ ซึ่งเขาคาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11–12% ต่อปี (คิดเป็นดอลลาร์) ตลอด 10 ปีข้างหน้า

เขามองว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้โดดเด่นคือ 

1. หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับกระแส AI 

บริษัทเกาหลีใต้เป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำ High-Bandwidth Memory (HBM) ที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SK Hynix Inc. และ Samsung Electronics Co. ซึ่งเพรสเก็ตต์มองว่ายังคงมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง

2. ความมุ่งมั่นทางการเมืองในการปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กร 

การที่ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ได้รับเลือกตั้งและเร่งผลักดันการปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กร รวมถึงโครงการ “Value-Up” ของรัฐบาล และการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อแก้ไขข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิผู้ถือหุ้นส่วนน้อยและการครอบงำของบริษัทในเครือตระกูล (Chaebols) สิ่งเหล่านี้กำลังทำให้ตลาดน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับจีน

ไม่หวั่นภาษีจากสหรัฐฯ

แม้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศเก็บภาษีนำเข้า 25% ต่อเกาหลีใต้ แต่เพรสเก็ตต์มองว่าเป็น “เหตุการณ์ชั่วคราว” และคาดว่าจะมีการเจรจาบรรลุข้อตกลงภายใน 2 สัปดาห์ อีกทั้งอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง “อิเล็กทรอนิกส์และยา” ก็ไม่อยู่ในรายการภาษี ทำให้ผลกระทบจำกัด

ผลงานของตลาดหุ้นเกาหลีใต้เองก็สะท้อนมุมมองเชิงบวกนี้ ดัชนี Kospi ได้พุ่งขึ้นถึง 30% ในปีนี้ ทำให้เป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีผลงานดีที่สุดในโลกของปี 2025 

นอกจากนี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างเทเม็ดเงินกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่หุ้นเกาหลีใต้ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีอี แจ-มยอง 

เพรสเก็ตต์ยังมองว่าหุ้นเกาหลีใต้ตอนนี้ “น่าซื้อ” เพราะราคายังไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพของบริษัทที่ดี และที่สำคัญคือ ตลาดเกาหลีใต้ไม่มีความกังวลเรื่องปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเป็นปัญหาในบางตลาด รวมถึงเรื่องธรรมาภิบาลผู้ถือหุ้นที่ชัดเจนกว่าประเทศอื่น

ถึงแม้จะมีแนวโน้มเชิงบวก แต่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง นอกจากเรื่องภาษีแล้ว ความเสี่ยงหลัก ๆ คือการที่บริษัทใหญ่ ๆ หรือผู้บริหารเก่าแก่ อาจยังไม่ยอมร่วมมือกับการปฏิรูปของรัฐบาลง่าย ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้เงินทุนของบริษัท หรือการปันผลกำไรให้ผู้ถือหุ้น

อย่างไรก็ตาม เพรสเก็ตต์ยังคงเชื่อมั่นว่าเกาหลีใต้เป็นการลงทุนที่ดีในระยะยาว รัฐบาลใหม่ได้ให้คำมั่นที่จะปฏิรูปการคลัง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคผู้บริโภคและภาคธนาคารให้แข็งแกร่งขึ้น เขาเชื่อว่าตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หุ้นเกาหลีใต้ยังมีโอกาสเติบโตและดึงดูดเงินลงทุนได้อีกมากในอนาคต ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของตลาดนี้


อ้างอิง: Bloomberg

หุ้นเล็กสหรัฐฯ เจอภาษีกดดัน แต่เห็นสัญญาณฟื้นตัว เปิดโอกาสลงทุนหุ้น Small-Cap

Finnomena Funds
หุ้นเล็กสหรัฐ

แม้ภาษีจะยังเป็นแรงกดดันสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ แต่รายงานล่าสุดจาก NFIB (National Federation of Independent Business)  กลับสะท้อนภาพที่น่าสนใจว่าหุ้นกลุ่มนี้อาจเริ่มขยับฟื้นตัว 

แม้ยังโดนภาษีกดดัน แต่ภาพรวมเริ่มนิ่ง

รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism Index) ประจำเดือนมิถุนายน 2025 อยู่ที่ระดับ 98.6 จุด ลดลงเล็กน้อย 0.2 จุดจากเดือนก่อนหน้า โดย “ภาษี” ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในสายตาของผู้ประกอบการ โดย 19% ระบุว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021

แม้ภาษีจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ตัวเลขอื่น ๆ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว เช่น

    • ดัชนีความไม่แน่นอน (Uncertainty Index) ลดลง ถึง 5 จุด มาอยู่ที่ 89 สะท้อนว่าบรรยากาศของความไม่แน่นอนกำลังคลี่คลายลง ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาคธุรกิจขนาดเล็ก
    • ภาวะเงินเฟ้อผ่อนคลายลง โดยผู้ประกอบการเพียง 11% เท่านั้นที่รายงานว่าเงินเฟ้อเป็นปัญหาสำคัญที่สุด ลดลง 3 จุดจากเดือนพฤษภาคม และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 นี่เป็นสัญญาณสำคัญที่ชี้ว่าแรงกดดันด้านต้นทุนสำหรับธุรกิจขนาดเล็กกำลังลดลง
    • ยอดขายเริ่มฟื้น แม้ภาพรวมยังติดลบ 5% แต่ยอดขายของหุ้นขนาดเล็กกระเตื้องขึ้นถึง 8 จุดในเดือนเดียว ซึ่งถือว่าดีที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023
    • ปัญหาแรงงานยังอยู่ แต่ไม่แย่เท่าเดิม แม้คุณภาพแรงงานยังเป็นปัญหาสำหรับ 16% ของผู้ประกอบการ และต้นทุนแรงงานยังสูงขึ้น แต่จำนวนผู้ที่รายงานปัญหาด้านแรงงานเริ่มลดลง สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดแรงงานที่คลี่คลายมากขึ้น
    • ธุรกิจเริ่มฟื้น กำไรเริ่มกลับมา แม้สัดส่วนผู้ประกอบการที่มองว่าธุรกิจอยู่ในสภาพ “ดี” หรือ “ดีเยี่ยม” จะลดลง แต่แนวโน้มกำไรโดยรวมกลับปรับตัวดีขึ้น 4 จุดจากเดือนก่อน ซึ่งสะท้อนจากยอดขายที่เริ่มขยับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ทำไมตอนนี้หุ้นเล็กอาจเป็นโอกาส?

นักลงทุนที่ติดตามหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ อาจคุ้นเคยกับความผันผวนในรอบ 1–2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ หรือความไม่แน่นอนด้านนโยบาย แต่จากรายงานล่าสุด สัญญาณหลายอย่างเริ่มพลิกทางบวก โดยเฉพาะปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งหุ้น Small-Cap มักจะอ่อนไหวและตอบสนองได้รวดเร็วกว่า

  1. ต้นทุนลด กำไรเพิ่ม แรงกดดันด้านต้นทุนเริ่มลดลง โดยเฉพาะจากราคาสินค้าและค่าจ้างที่เริ่มนิ่ง ธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสเห็นกำไรกลับมาเร็วกว่า
  2. ความไม่แน่นอนลดลง การลดลงของดัชนีความไม่แน่นอนสะท้อนว่าเจ้าของธุรกิจเริ่มมั่นใจมากขึ้น กล้าขยายกิจการหรือจ้างงานเพิ่ม ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการเติบโต
  3. ความคล่องตัวของธุรกิจเล็ก ด้วยความยืดหยุ่นในการปรับตัว ธุรกิจขนาดเล็กสามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจได้เร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
  4. เน้นตลาดภายในประเทศ ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ต้องรับมือกับความเสี่ยงจากสงครามการค้า ธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เน้นการขายสินค้าและบริการภายในประเทศ โดยเฉลี่ยแล้วกว่า 77% ของรายได้มาจากตลาดสหรัฐฯ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อยกว่า

หุ้นเล็กเริ่มตั้งหลักท่ามกลางคลื่นลม

นโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่รายงานของ NFIB  สะท้อนให้เห็นก็คือ “หุ้นขนาดเล็กกำลังเริ่มตั้งหลักได้ท่ามกลางแรงกดดัน”

แม้ภาษีจะยังเป็นปัญหาใหญ่ แต่ดัชนีความไม่แน่นอนที่ลดลง เงินเฟ้อที่ผ่อนคลาย กำไรที่เริ่มฟื้น และยอดขายที่ค่อย ๆ กลับมา ล้วนเป็นสัญญาณบวกที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม Small-Cap ที่มีจุดแข็งคือการปรับตัวไว มุ่งเน้นตลาดในประเทศ และพร้อมเติบโตไปกับการฟื้นตัวของผู้บริโภคอเมริกัน

โอกาสลงทุน กองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาขนาดเล็ก

Mr.Messenger Call แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้นสหรัฐอเมริกาขนาดเล็ก ผ่านกองทุน ABAGS (Active) และ SCBRS2000(A) (Passive) โดยแนะนำเข้าซื้อที่ดัชนี Russell 2000 ไม่เกินระดับ 2,241 จุด สำหรับเป้าหมายเก็งกำไรระยะสั้นแบบ The Trend Follower

  • กองทุน ABAGS เป็นกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก (Small-Cap) ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active ลงทุนผ่าน Aberdeen SICAV I – North American Smaller Companies Fund โดยเน้นบริษัทที่มูลค่าตลาดไม่เกิน 5,000 ล้านดอลลาร์ 
  • กองทุน SCBRS2000(A) เป็นกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก (Small-Cap) ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive ลงทุนผ่าน iShares Russell 2000 ETF ซึ่งติดตามดัชนีหุ้นกลุ่ม Small-Cap ของสหรัฐฯ ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นขนาดเล็กอย่างแท้จริง

อ้างอิง: NFIB, Reuters

คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | กองทุนนี้เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

นักเศรษฐศาสตร์เตือน “ภาษี 36% คือ Worst Case Scenario” ถ้าไม่รีบเจรจาอาจเจ็บยาว

Finnomena
ไทยโดนภาษี 36%

กอบศักดิ์ ภูตระกูล นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีที่ประเทศไทยถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% โดยมีใจความสำคัญ ดังนี้

จดหมายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงรัฐบาลไทย คือสัญญาณเตือนอย่างเป็นทางการว่า “ข้อเสนอที่ไทยเคยยื่นมา ยังไม่ดีพอ” เพราะสหรัฐฯ ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% มีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคมนี้ และนั่นคืออัตราสูงสุดในบรรดา 14 ประเทศที่โดนพร้อมกัน

ในสายตานักเศรษฐศาสตร์ หลายคนมองว่านี่คือ “Worst Case Scenario” ที่เคยกลัวว่าจะมา และตอนนี้มันมาถึงแล้วจริง ๆ

ยังเจรจาได้ ถ้าไทยยอมเปิดตลาด

แม้ทรัมป์จะประกาศตัวเลขภาษีแล้ว แต่ก็ยังเปิดช่องทางให้เจรจาต่อ โดยส่งสัญญาณชัดว่า หากไทย “เปิดตลาดให้สหรัฐฯ มากกว่านี้” หรือยกเลิกกำแพงทางการค้า ทั้งภาษีและมาตรการกีดกันอื่น สหรัฐฯ อาจ “พิจารณาลดภาษี” ให้ได้ในภายหลัง

แต่ในทางกลับกัน ถ้าไทยตอบโต้หรือยังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบาย สหรัฐฯ เตรียม “ฟาดกลับ” ด้วยภาษีเพิ่มอีก 25%

ส่งออก-ลงทุน-จ้างงาน เสี่ยงกระเทือน

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย คิดเป็น 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด หากภาษี 36% มีผลจริง ผู้ซื้ออาจหันไปหาคู่แข่งอย่าง เวียดนาม (20%) หรือมาเลเซีย (25%) แทนทันที

การตัดสินใจลงทุน (FDI) จะได้รับผลกระทบโดยอาจถูกตั้งคำถามว่า “จะสร้างโรงงานในไทยทำไม ถ้าส่งออกไปแล้วต้นทุนภาษีแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน?” อุตสาหกรรมหลักของไทย อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า ยางพารา อิเล็กทรอนิกส์ อาจถูกซ้ำเติมจากต้นทุนภาษีที่พุ่งสูง

โจทย์ใหญ่ของไทย

ปัญหาคือ หากไทยยอมเปิดตลาดตามที่สหรัฐต้องการ เช่น เปิดให้สินค้าการเกษตรของอเมริกาเข้ามาได้ง่ายขึ้น ก็จะกระทบกับเกษตรกรและธุรกิจในประเทศ ที่แม้จะไม่ได้มีสัดส่วนเศรษฐกิจมาก แต่ มีเสียงและจำนวนมาก

ขณะเดียวกัน ยังมีประเด็นเรื่อง การสวมสิทธิ์สินค้าจีน ที่ผ่านไทยเพื่อส่งต่อไปสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นการ “เลี่ยงภาษี” และเรียกร้องให้ไทยจัดการให้เด็ดขาด

ถึงเวลาเร่งเจรจา

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เร่งด่วนแบบนี้ คำถามสำคัญคือ ไทยจะตอบโต้หรือร่วมโต๊ะเจรจาอย่างไร? โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงพาณิชย์ คลัง และเกษตร อยู่คนละพรรค ยังไม่มี “เสียงเดียว” ในการตัดสินใจ

นี่อาจเป็นเวลาที่ไทยต้องเร่งตั้ง “War Room” เพื่อวางแผนเจรจาแบบรวดเร็วเด็ดขาด และมีเอกภาพในการส่งสัญญาณไปยังสหรัฐฯ และนักลงทุน

โอกาสซ่อนอยู่ในวิกฤต

แม้จะดูเหมือนถูกบีบบังคับ แต่อีกด้านหนึ่งนี่คือโอกาสที่ไทยจะ “เร่งปรับตัว” ให้แข่งขันในเวทีโลกได้จริง

ถ้าเรากล้าจัดการกับปัญหาโครงสร้าง เช่น ยกระดับอุตสาหกรรม เพิ่มขีดความสามารถแรงงาน และกระจายตลาดส่งออก ผ่าน FTA กับกลุ่มประเทศอื่น เราอาจไม่ใช่แค่ “รอด” ภาษี 36% แต่ยังเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่มั่นคงกว่าเดิม


Source: Infoquest

จีนเร่งตุนทองคำ 8 เดือนติด หวังสร้างอำนาจใหม่ ท้าทายดอลลาร์ หลังอ่อนค่าหนักสุดในรอบ 50 ปี

Finnomena
จีนเร่งตุนทองคำ 8 เดือนติด

ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังคงเดินหน้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน โดยใช้ทองคำเป็นหมากสำคัญในเกมเศรษฐกิจโลก เพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน

จีนขึ้นแท่นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ข้อมูลจาก World Gold Council ระบุว่า ในปี 2023 จีนซื้อทองคำเพิ่มขึ้นกว่า 225 ตัน และ 44 ตัน ในปี 2024 โดยคาดว่าธนาคารกลางจีนอาจยังมีการสะสมทองคำแบบ “เงียบ ๆ” ผ่านการนำเข้าทองคำแท่งขนาดใหญ่จากต่างประเทศ โดยไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ

กลยุทธ์ลับลดพึ่งดอลลาร์

เบื้องหลังกลยุทธ์นี้คือความพยายามลดความเสี่ยงจากดอลลาร์ หลังเหตุการณ์สหรัฐฯ อายัดทรัพย์สินของรัสเซียในปี 2022 ทำให้จีนหันมาพึ่ง “ทองคำ” ซึ่งไม่สามารถถูกควบคุมหรืออายัดได้ง่าย ขณะเดียวกัน ทองคำยังเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ และเสริมความมั่นใจต่อค่าเงินหยวนในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง

การที่จีนสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เป็นแค่การเพิ่มทุนสำรองเท่านั้น แต่คือการสร้างอำนาจใหม่ในตลาดทองคำโลก จีนกำลังจะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคา และใช้ทองคำเป็นหลักยึดโยงนโยบายการเงินในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้น ยังสอดรับกับเป้าหมายใหญ่ของจีนในการลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในระบบการเงินโลก และ ผลักดันให้เงินหยวนกลายเป็น “สกุลเงินทางเลือก” ที่น่าเชื่อถือและมีบทบาทมากขึ้นในเวทีสากล

ผลกระทบต่อทองคำและเศรษฐกิจโลก

การที่ธนาคารกลางจีนเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ ส่งผลให้ราคาทองคำโลกมีแรงหนุนต่อเนื่อง พร้อมช่วยพยุงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงเศรษฐกิจผันผวน หลายฝ่ายมองว่าธนาคารกลางอื่น ๆ อาจเดินตามรอยจีนมากขึ้น โดยใช้ทองคำเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงจากตลาดทุนโลกและดอลลาร์ที่อาจไม่แน่นอนเท่าเดิม

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ดัชนี Dollar Index ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักของโลก ร่วงลงไปแล้วกว่า 11% ถือเป็นการลดลงที่หนักที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก นับตั้งแต่ปี 1973 และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 เกิดเป็นคำถามว่าหรือดอลลาร์กำลังจะเสียภาพลักษณ์ของการเป็น Safe Haven ไปแล้ว 


อ้างอิง: Bloomberg, Mr.Messenger Talk Podcast

สรุปกองทุนแนะนำ: ค้นหาโอกาสครั้งใหม่ สินทรัพย์ดาวเด่นในครึ่งหลัง 2025 [อัปเดต 8 ก.ค. 2025]

Finnomena Funds
สรุปกองทุนแนะนำ: ค้นหาโอกาสครั้งใหม่ สินทรัพย์ดาวเด่น ครึ่งหลัง 2025

เจาะรายละเอียด 3 กองทุนแนะนำ รับกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลัง 2025 ในช่วงที่ภาวะตลาดยังคงเต็มไปด้วยความผันผวน พร้อมจับตาเส้นตาย Reciprocal Tariffs ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้

สรุปกองทุนแนะนำ: ค้นหาโอกาสครั้งใหม่ สินทรัพย์ดาวเด่น ครึ่งหลัง 2025

อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2025 โดย Finnomena Funds

ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena


สรุปมุมมองการลงทุน

ภาวะตลาดการลงทุนในขณะนี้อยู่ในจุดที่ค่อนข้างคลุมเครือจากผลของ Tariffs ที่สหรัฐอเมริกาอยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสุดท้ายกับหลายประเทศ ล่าสุด Donald Trump เตรียมส่งจดหมายถึงประเทศคู่ค้าที่ยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจากว่า 100 ประเทศ ภายในวันที่ 9 กรกฎาคม พร้อมเตือนว่าจะนำอัตราภาษีที่เคยประกาศไว้เมื่อวัน Liberation day (2 เม.ย. 2025)กลับมาบังคับใช้จริงในวันที่ 1 สิงหาคมนี้

แน่นอนว่าในระยะสั้น มีโอกาสสูงที่ Tariffs จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกาและเศรษฐกิจโลกให้ชะลอการเติบโต ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอาจเกิดความผันผวนที่รุนแรง แนะนำปรับกลยุทธ์ลดความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากความผันผวน Sideway

แต่อย่างไรก็ดี ในระยะยาวตลาดหุ้นยังมีความน่าสนใจจากการเติบโตของกำไรที่สูง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการใช้งานด้าน AI มากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากร่างกฎหมายของรัฐบาล Trump ทั้ง One Big Beautiful Bill ที่หนุนธุรกิจในอเมริกัน และ GENIUS Act ที่ส่งเสริมการเติบโตของ Stablecoin


กองทุนแนะนำ Mr.Messenger Call “จับจังหวะขาขึ้น”

คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม

ASP-DIGIBLOC (ความเสี่ยงระดับ 6)

กองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน ล่าสุดเกิดสัญญาณซื้อ Buy Signal ราคาปรับตัวเหนือระดับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทุกเส้น พร้อมทำ Pattern Higher High นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนสำคัญจากการที่วุฒิสภาสหรัฐฯ เดินหน้าผ่านร่างกฏหมายหนุน Stablecoin โดยมีแนวโน้มที่เงิน Fiat จะถูกแลกเปลี่ยนเข้า Cryptocurrency มากขึ้น

สนใจลงทุนตาม Mr.Messnger Call คลิกเลย

กองทุนแนะนำ FundTalk Call “ย่อซื้อ ขึ้นขาย”

คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล

K-GPINUH-A(A) (ความเสี่ยงระดับ 6)

กองทุนหุ้นโลกสาย Defensive และมีรายได้ Premium จากการขาย Call Options ในช่วงตลาดขาลง ซึ่งเหมาะกับจังหวะในการสลับจากหุ้นกลุ่ม Growth ไปยังกลุ่มหุ้นตั้งรับ เช่น Health Care, Consumer Staples, Utility ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัว

สนใจลงทุนตาม FundTalk Call คลิกเลย

กองทุนแนะนำ MEVT Call “ซื้อถือยาว”

คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical 

ES-GAINCOME-A (ความเสี่ยงระดับ 5)

กองทุนผสมที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Global Multi-Asset Allocation) อาทิ หุ้น, Equity Linked-note, ตราสารหนี้ และ Catastrophe Bond ตลอดจนมีการป้องกันความเสี่ยงขาลง (Hedging) เหมาะกับการลงทุนเพื่อหาประโยชน์จากความผันผวนจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์ปัจจุบัน

สนใจลงทุนตาม MEVT Call คลิกเลย


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Elon Musk เตรียมตั้งพรรค “America Party” ลุยการเมือง

Finnomena
Elon Musk เตรียมตั้งพรรค America Party

Elon Musk มหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพล ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ในสหรัฐฯ ในชื่อ “America Party” ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่เขาเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับประธานาธิบดี Donald Trump

เปิดศึกกับระบบ 2 พรรค

Musk โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X ของเขา โดยระบุว่าพรรค America Party จะเป็นทางเลือกใหม่เพื่อท้าทายระบบการเมืองแบบ 2 พรรค (พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน) ที่เขามองว่านำไปสู่การใช้จ่ายอย่างไร้ประสิทธิภาพและทุจริต จนทำให้ประเทศล้มละลาย

ชนวนสำคัญที่จุดความขัดแย้งระหว่าง Musk กับ Trump  และนำไปสู่การก่อตั้งพรรคนี้ คือการที่ Trump ลงนามในร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่ Musk ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ร่างกฎหมายนี้รวมถึงการยุติมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า $7,500 สำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจเทสลา (Tesla) ของ Musk  

นอกจากนี้ Musk ยังวิจารณ์การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นมหาศาลภายใต้กฎหมายดังกล่าว โดยมองว่าเป็นการอุดหนุนอุตสาหกรรมเก่า และทำลายอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

เส้นทางที่ท้าทายและเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน

แม้ว่า Musk จะประกาศจัดตั้งพรรคแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าพรรค America Party ได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการกับหน่วยงานการเลือกตั้งของสหรัฐฯ หรือไม่ อีกทั้ง Musk ซึ่งเกิดนอกสหรัฐฯ ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และยังไม่ได้ประกาศว่าใครจะเป็นผู้นำพรรค

อย่างไรก็ตาม Musk ได้เปิดเผยผลโพลบน X ที่ระบุว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ต้องการพรรคการเมืองใหม่ เขากล่าวว่า “พวกคุณต้องการพรรคการเมืองใหม่ และพวกคุณจะได้มัน!” โดยตั้งเป้าที่จะกวาดที่นั่งในวุฒิสภา 2-3 ที่นั่ง และในสภาผู้แทนราษฎร 8-10 เขต ซึ่งอาจจะมากพอที่จะมีบทบาทในการควบคุมรัฐสภา หากที่นั่งของสองพรรคใหญ่ไม่ต่างกันมากนัก

เกมการเมืองหรือกลยุทธ์กดดัน?

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าการประกาศของ Musk ในครั้งนี้ อาจเป็นกลยุทธ์ขั้นสูงเพื่อสร้างแรงกดดันต่อผู้กำหนดนโยบายมากกว่าการตั้งพรรคการเมืองที่สามที่ยั่งยืน การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องเผชิญอุปสรรคทางกฎหมายและข้อกำหนดในการลงทะเบียนสมาชิกจำนวนมาก เช่น ในแคลิฟอร์เนีย ผู้ก่อตั้งพรรคต้องมีสมาชิกถึง 75,000 คน หรือรวบรวมรายชื่อ 1.1 ล้านรายชื่อเพื่อให้มีสิทธิ์ปรากฏบนบัตรลงคะแนน

การเคลื่อนไหวของ Musk เกิดขึ้นหลังจากที่ Trump ได้ตอบโต้คำวิจารณ์ของ Musk  โดยระบุว่า Musk อาจได้รับเงินอุดหนุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และขู่ว่าจะตรวจสอบเงินอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของ Musk  ซึ่งรวมถึง SpaceX ที่รับงานปล่อยจรวดให้รัฐบาลสหรัฐฯ และ Starlink ที่ให้บริการดาวเทียมแก่กองทัพ


อ้างอิง: BBC, Bloomberg

 

10 หุ้นอเมริกาตัวท็อป ผลตอบแทนโดดเด่นในรอบ 10 ปี

Definit
10 หุ้นอเมริกา

สรุป 10 หุ้นอเมริกาชั้นนำ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เติบโตมหาศาลแค่ไหน ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนไทยสามารถลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่าน DR ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือจัดพอร์ตลงทุนด้วยกลยุทธ์ Definit Global Select (DGS) คัดเลือก DR หุ้นต่างประเทศคุณภาพดี สนใจลงทุนคลิกเลย

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกาได้กลายเป็นเวทีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมายผงาดขึ้นมาเป็น “ดาวรุ่งพุ่งแรง” ที่ไม่เพียงพลิกโฉมโลกธุรกิจ แต่ยังสร้างโอกาสการลงทุนมหาศาลให้กับนักลงทุนทั่วโลก

บทความนี้จะพาไปเจาะลึก 10 หุ้นอเมริกาที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมวิเคราะห์เบื้องหลังความสำเร็จ ที่ทำให้หุ้นเหล่านี้เป็นที่สนใจและสร้างผลตอบแทนในอดีตอย่างน่าทึ่งให้กับนักลงทุน

10 หุ้นอเมริกา

1. Alphabet (GOOGL)

หุ้นบริษัทแม่ของ Google เติบโตจากราคาประมาณ 36 ดอลลาร์ ปัจจุบันราคาพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ราว 176 ดอลลาร์ โตเกือบ 5 เท่า ความแข็งแกร่งของ Alphabet มาจากการครองตลาด Search Engine การโฆษณาออนไลน์ และการพัฒนา AI ที่เพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

2. Amazon (AMZN)

ราคาหุ้น Amazon เมื่อ 10 ปีก่อน อยู่ที่ประมาณ 22 ดอลลาร์ และปัจจุบันประมาณ 220 ดอลลาร์ เติบโตกว่า 10 เท่า แม้การเติบโตอาจจะไม่หวือหวาเท่าบริษัทเทคฯ อื่น ๆ แต่ความแข็งแกร่งของธุรกิจ E-commerce และระบบ Cloud อย่าง AWS ที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้ Amazon ยังคงเป็นตัวเลือกที่นักลงทุนเชื่อมั่น

3. Apple (AAPL)

จากราคาเกือบ 33 ดอลลาร์ในอดีต สู่ราคาปัจจุบัน 205 ดอลลาร์ เติบโตประมาณ 6 เท่า แม้ไม่หวือหวาเท่าหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ แต่ Apple ยังคงครองใจผู้บริโภคและนักลงทุน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง และการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนสายเก็บระยะยาว

4. Berkshire Hathaway Class B (BRK.B)

หุ้นของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เติบโตจากราคา 44 ดอลลาร์ในอดีต เป็นประมาณ 144 ดอลลาร์ เติบโตมากกว่า 2 เท่า BRK.B ถือเป็นหุ้นที่เน้นกลยุทธ์ลงทุนแบบคุณค่า เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาว เน้นพื้นฐานแข็งแรง และเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป

5. Broadcom (AVGO)

หุ้น Broadcom มีราคาประมาณ 13 ดอลลาร์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปัจจุบันพุ่งไปราว 275 ดอลลาร์ เติบโตมากกว่า 20 เท่า ความสำเร็จของ Broadcom มาจากการเป็นผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งในสมาร์ทโฟน เน็ตเวิร์ก และศูนย์ข้อมูล รวมถึงการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

6. Coca-Cola (KO)

หุ้นน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ เติบโตจากราคาประมาณ 40 ดอลลาร์ในอดีต มาอยู่ที่ 70.75 ดอลลาร์ในปัจจุบัน หรือโตประมาณ 1.7 เท่า เป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสายรับปันผล ด้วยฐานลูกค้าที่แข็งแรงทั่วโลกและแบรนด์ธุรกิจที่มั่นคง

7. Microsoft (MSFT)

ราคาหุ้นในอดีตอยู่ที่ประมาณ 46 ดอลลาร์ และปัจจุบันพุ่งขึ้นไปถึง 497.41 ดอลลาร์ หรือโตเกือบ 10 เท่า ความสำเร็จของ Microsoft มาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง และการลงทุนใน AI โดยเฉพาะการร่วมมือกับ OpenAI และเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่าง Copilot

8. Netflix (NFLX)

หุ้นสตรีมมิ่งที่เติบโตจากราคาประมาณ 110 ดอลลาร์ในอดีต ไปถึง 1,339.13 ดอลลาร์ในปัจจุบัน โดยเติบโตมากกว่า 10 เท่า ความสำเร็จของ Netflix มาจากการเป็นผู้นำตลาดคอนเทนต์ออนไลน์ระดับโลก ที่มีซีรีส์และภาพยนตร์ที่ดึงดูดผู้ชมทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

9. NVIDIA (NVDA)

ราคาหุ้น NVIDIA เคยอยู่ที่ประมาณ 0.5 ดอลลาร์ และปัจจุบันพุ่งสูงถึง 157.99 ดอลลาร์ หรือโตเกือบ 300 เท่า ความสำเร็จของ NVIDIA มาจากการเป็นหัวหอกในวงการ AI และชิปกราฟิก (GPU) ที่ได้รับความนิยมสูง ทำให้กลายเป็น “ราชาแห่ง AI” ที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม

10. Tesla (TSLA)

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว Tesla มีราคาหุ้นเพียง 18 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ปัจจุบันราคาพุ่งทะยานไปแตะ 317.66 ดอลลาร์ เติบโตกว่า 17 เท่า การเติบโตครั้งนี้สะท้อนความสำเร็จของ Tesla ในฐานะผู้นำตลาดรถไฟฟ้าและเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะโอกาสโตจากธุรกิจ Robotaxi และพลังงานสะอาดที่ได้รับความสนใจทั่วโลก

เรียนรู้อดีตเพื่ออนาคตการลงทุน

หุ้นทั้ง 10 ตัวนี้ ไม่ได้แค่สร้างผลตอบแทนที่น่าทึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่บอกเราว่า “โอกาส” มักจะมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมเสมอ

จาก Alphabet ที่ครองโลก Search Engine ไปจนถึง NVIDIA ที่ผงาดขึ้นเป็น “ราชาแห่ง AI” สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่า การลงทุนในบริษัทที่มองเห็นอนาคต และกล้าที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือกุญแจสำคัญสู่การเติบโต

Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก ช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสในตลาดหุ้นทั่วโลก ด้วยการคัดสรรหุ้นนอกคุณภาพ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ ไม่ต้องจับจังหวะลงทุนเอง
สนใจลงทุน คลิกเลย


คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com

หุ้นใครไร้กังวล

Dr.Niwes Hemvachiravarakorn
หุ้นใครไร้กังวล

ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ผมคิดว่าเต็มไปด้วยความ “กังวล” เหตุเพราะว่ามีเรื่องที่ “เลวร้าย” กับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเกิดขึ้นแทบไม่เว้นวัน

ล่าสุดก็คงต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อ 2-3 วันก่อนที่ดูเหมือนว่าการเจรจาของผู้แทนไทยกับสหรัฐเรื่องภาษีศุลกากรจะไม่สามารถสรุปได้ก่อนเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 หรืออีกแค่ 2-3 วันที่จะถึงนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ไทยอาจจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอเมริกาถึง 36% ซึ่งก็จะเป็นอัตราที่น่าจะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐลดลงมาก และก็จะทำให้การส่งออกโดยรวมของไทยลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการเติบโต GDP ของไทยในปีนี้และปีต่อ ๆ ไปที่มีการคาดมาก่อนหน้านี้ว่าจะโตช้ามากอยู่แล้ว

ว่าที่จริงหน่วยงานระดับธนาคารโลกได้ลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยเหลือเพียง 1.8% ในปีนี้และ 1.7% ในปีหน้าจากที่เคยคาดว่าจะเกิน 2% ในทั้ง 2 ปี และนั่นก็อาจจะยังไม่ได้รวมถึงผลกระทบจากการปรับภาษีของทรัมป์อย่างเต็มที่ด้วย

เรื่องนี้ก็คงจะทำให้นักลงทุนหลายคนกังวลใจและอาจจะนอนไม่ค่อยหลับถ้าถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากโดยเฉพาะที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐเป็นจำนวนมาก

แต่คนที่กังวลใจยิ่งกว่านั้น น่าจะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นหลักหรือเป็นจำนวนมากที่กังวลว่าสินค้าของตนเองจะ “ขายไม่ได้” หรือขายได้น้อยลงมาก เพราะราคาของสินค้าสู้กับคู่แข่งที่ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยกว่าสินค้าจากไทยซึ่งก็รวมถึงสินค้าจากเวียดนามที่ได้ตกลงกับสหรัฐเรียบร้อยแล้วว่าจะเสียภาษีนำเข้าที่ 20% สำหรับหลาย ๆ บริษัทแล้ว นี่อาจจะเป็น “หายนะ”

ผมไม่คิดว่าคนงานที่ทำงานในกิจการส่งออกจะรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา การผลิตและส่งออกดีขึ้นมาก แต่เหตุผลน่าจะมาจากการที่โรงงาน “เร่งผลิต” และส่งออกก่อนที่ “ภาษีทรัมป์” จะถูกบังคับใช้ แต่หลังจากวันที่ 9 ก.ค. ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปเพราะภาษีนำเข้าสหรัฐอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และวันนั้นคนงานจำนวนมากอาจจะต้องกังวลว่าจะตกงานและไม่รู้ว่าจะไปหางานที่ไหน เพราะโรงงานหลายแห่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็อาจจะกำลังปิดตัวลงเพราะไม่สามารถแข่งขันได้และไม่สามารถหาตลาดอื่นมาทดแทนได้

เรื่องที่น่ากังวลที่เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือปัญหาทางการเมืองที่นายกรัฐมนตรีต้องถูก “พักงาน” และไม่รู้ว่าสุดท้ายจะต้องหลุดจากตำแหน่งหรือไม่โดยศาลรัฐธรรมนูญกรณี “คลิปปล่อยของฮุนเซน” ผู้นำของกัมพูชา

ที่น่ากังวลก็เพราะว่ากรณีนี้ทำให้รัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรเกินครึ่งเพียงไม่กี่เสียงเกิดความไม่มั่นคงและอาจจะล้มได้ทุกเมื่อ เพราะนอกจากการแพ้โหวตในสภาแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามลงถนนประท้วงและใช้ “นิติสงคราม” เพื่อล้มรัฐบาลอย่างที่เคยใช้ได้ผลมานานในการเมืองของไทย

การที่รัฐบาลอาจจะล้มนั้น ผลกระทบสำคัญในระยะสั้นก็คือ งบประมาณประจำปีหน้าก็จะออกช้าลงไปอย่างน้อย 6-9 เดือน โครงการที่จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือการแก้ปัญหาสังคมการเมืองก็จะช้าตามกันไป ส่วนในระยะยาวเองนั้น ความสามารถทางการแข่งขันของไทยก็จะยิ่งด้อยลงไป เพราะการลงทุนของไทยที่ช้าลงนั้น ทำให้คู่แข่งพัฒนาไปจนเราตามไม่ทัน และเราจะค่อย ๆ ลดบทบาทลงในเศรษฐกิจและการเมืองของโลก

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด

Finnomena Funds

Finnomena Insight

Weekly Market Insight

ประจำสัปดาห์ 7 – 11 กรกฎาคม 2025

พิเศษ! สำหรับสมาชิก Finnomena

This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้

Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน

ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”

อัปเดตพอร์ต All Weather Strategy กรกฎาคม 2025: หุ้นตลาดเกิดใหม่ รีบาวด์อย่างแข็งแกร่ง

Andrew Stotz
อัปเดตพอร์ต All Weather Strategy กรกฎาคม 2025

All Weather Strategy by A. Stotz Investment Research ประจำเดือนกรกฎาคม 2025

พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws

สรุปมุมมองการลงทุน

  • กลยุทธ์ AWS สามารถทำผลตอบแทนได้ 1.3% ในเดือนมิถุนายน 2025
  • ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ เอเชีย และสหรัฐอเมริกา ฟื้นตัวแรง
  • หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดหุ้นทั่วโลก
  • ปริมาณเงิน M2 ของสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 22 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • สัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 30 ปีที่ระดับ 23%

 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเอกสารด้านล่างนี้ ซึ่งเป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษ หากมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อผู้แนะนำการลงทุนของท่าน

กดที่นี่เพื่อดาวน์โหลด

Andrew Stotz

สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้

ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena

**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลยครับ


ฃ

อย่าลืมเปิดฟังก์ชันปรับพอร์ตอัตโนมัติ! Automatic Allocation ช่วยบริหารพอร์ตตามสภาวะตลาด สะดวก ใช้งานง่าย ให้คุณปรับสมดุลพอร์ตอยู่ในสถานะที่เหมาะสมอยู่เสมอ

สามารถเปิดใช้งานได้แล้ววันนี้ที่พอร์ตการลงทุนของคุณ หรือดูวิธีการได้ที่ Finnomena Funds Automatic Allocation


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ |สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

“ทีมไทย” เร่งเจรจา !!! ขอลดภาษีตอบโต้ให้ต่ำสุดที่ 10% อเมริกากำหนดเส้นตายเจรจา 9 ก.ค. พร้อมเตรียมเก็บภาษีจริงวันที่ 1 ส.ค. นี้

Finnomena
ไทยเจรจาลดภาษีตอบโต้

อเมริกาเตรียมร่อนจดหมายขึ้นภาษี 100 ประเทศ ยึดเส้นตาย 9 กรกฎาคมนี้ แต่ใจดีขยับวันเก็บภาษีจริงเป็น 1 สิงหาคม 2025 จับตา “ทีมไทย” เร่งเจรจาขอลดภาษีให้ต่ำสุดที่ 10% แลกกับลดเกินดุลการค้าลง 70% และเพิ่มการนำเข้าพลังงานและเครื่องบิน Boeing

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับ Bloomberg ว่า ไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ต่อสหรัฐอเมริกา เพื่อลดผลกระทบจากการโดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% โดยตั้งเป้าให้เหลือภาษีในอัตราต่ำที่สุดราว 10-20%

สำหรับข้อเสนอชุดใหม่ คือไทยจะลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลงถึง 70% ภายในเวลา 5 ปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 46,000 ล้านดอลลาร์ และเสนอที่จะเพิ่มการซื้อพลังงาน และเครื่องบิน Boeing จากสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่าเตรียมจะส่งจดหมายขึ้นอัตราภาษีใหม่กับประเทศคู่ค้ากว่า 100 ประเทศทั่วโลก ภายในวันที่ 9 ก.ค. นี้ แต่จะเลื่อนการบังคับใช้ภาษีไปวันที่ 1 ส.ค. 2025


Source: Bloomberg (1), Bloomberg (2)

จีนแก้วิกฤตประชากรลด แจกเงินหมื่น ช่วยเลี้ยงลูก 3 ปีเต็ม

Finnomena
จีนแก้ปัญหาประชากรลด

รัฐบาลจีนเตรียมออกนโยบายแก้ปัญหาวิกฤตประชากรลด แจกเงิน 16,000 บาทต่อปี ช่วยเลี้ยงลูก 3 ปีเต็ม หลังพบว่าแบบจำลอง UN คาดชาวจีนอาจเหลือน้อยกว่า 800 ล้านคน ในอีก 85 ปีข้างหน้า

Bloomberg รายงานว่า ในปี 2024 ประชากรโดยรวมของจีนยังคงลดลงต่อเนื่อง 3 ติด โดยในปีล่าสุดลดลงกว่า 1.39 ล้านคน เหลือเพียง 1,408 ล้านคน และมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 9.54 ล้านคน ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาทางเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ล่าสุดสื่อจีนรายงานว่า ทางการจีนกำลังวางแผนแจกเงินอุดหนุนให้กับครอบครัวต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้คู่รักมีบุตร แก้ปัญหาจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวไปนานถึง 10 ปีแล้วก็ตาม

โดยทางการจีนเตรียมมอบเงิน 3,600 หยวน หรือ 16,000 บาทต่อปี แก่เด็กแต่ละคนที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีอายุ 3 ปี

แบบจำลองประชากรของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า จีนอาจมีจำนวนประชากรลดลงสู่ระดับ 1,300 ล้านคนภายในปี 2593 และต่ำกว่าระดับ 800 ล้านคนภายในปี 2100 เนื่องจากอัตราการแต่งงานที่ลดลงอย่างน่าตกใจ ซึ่งแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี


Source: Infoquest, กรุงเทพธุรกิจ

หุ้นอินเดีย จุดสูงสุด หยุดชั่วคราว หรือพร้อมพุ่งทะยาน?

Finnomena Funds
หุ้นอินเดีย แพงแต่น่าลงทุน

ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2025 ตลาดหุ้นอินเดียเผชิญกับความผันผวนรุนแรง Dowturn และการฟื้นตัวสลับกัน โดยดัชนี MSCI India เพิ่มขึ้นเพียง 5.7% เทียบกับ MSCI Asia-Pacific ที่เพิ่มขึ้นกว่า 12%

ทำให้หลายคนไม่ค่อยเชื่อมั่นในอินเดียนัก และมองว่าหุ้นหลายตัวมีมูลค่าสูงเกินจริง กำไรก็อาจโตไม่แรงเท่าเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตลาดหุ้นอินเดียกลับแกว่งตัวแรงจากความไม่แน่นอน ทั้งข่าวดีจากสงครามการค้า การเทขายกะทันหัน ไปจนถึงการฟื้นตัวเป็นระยะ

เสียงจากนักวิเคราะห์ อินเดียยังน่าลงทุนไหม? 

Pramod Gubbi จาก Marcellus Investment Managers มองว่า “ตลาดอินเดียเคยขึ้นจุดสูงสุดเมื่อกันยายนปีที่แล้ว แล้วปรับฐานช่วงต้นปี ก่อนจะเด้งกลับมาอีกครั้ง แต่ถ้ามองกำไรบริษัทแบบไตรมาสต่อไตรมาส จะยังเห็นการชะลอตัวอยู่” แปลว่าภาพรวมตลาดอาจจะยังไม่แน่นอนเท่าไร

ด้าน Vivek Subramanyam จาก TH Global Capital มองว่าหุ้นอินเดียเริ่มแพงเกินไป โดยดัชนี Nifty 50 ซื้อขายที่ระดับพรีเมียมกว่า 60% เมื่อเทียบกับ Hang Seng และสูงกว่าตลาดเกิดใหม่ในเอเชียถึง 70% เลยทีเดียว เขาแนะว่าตลาดอื่นอย่างไต้หวัน หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่ไม่นับจีน อาจมีศักยภาพเติบโตได้ดีกว่าในระยะสั้น

แต่ก็ใช่ว่าจะหมดหวังกับอินเดียเสียทีเดียว เพราะ Subramanyam เองก็ยังเชื่อว่าอินเดียจะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องปีหน้า แถมยังมองว่าครึ่งปีหลังตลาดอินเดียน่าจะขยับขึ้นได้อีกราว 9–10% โดยเฉพาะถ้าข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ สำเร็จจริง

เลือกหุ้นแบบไหนในตลาดอินเดีย?

กลยุทธ์ของเหล่ากูรูดูจะตรงกันคือ “ไม่ต้องรีบ แต่ต้องเลือกให้แม่น” โดย Subramanyam จาก TH Global แนะนำหุ้นที่มีรายได้ประจำ เช่น กลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพราะยังไงคนก็ยังต้องการบ้านอยู่เสมอ

ด้าน Gubbi จาก Marcellus เสริมว่า ให้เน้นบริษัทที่มีงบดุลแข็งแรง เงินสดเยอะ และพร้อมลงทุนเพื่อการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา (R&D) หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร และเขายังมองว่า ณ ตอนนี้ หุ้นขนาดใหญ่ดูมีมูลค่าที่น่าสนใจกว่าหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งร้อนแรงจากเม็ดเงินกองทุนภายในประเทศ

อินเดียยังน่าสนใจในระยะยาว

แม้วันนี้ราคาหุ้นอินเดียจะดูสูง แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อว่า อินเดียคือเป้าหมายระยะยาวของนักลงทุน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ 

Kevin Carter จาก EMQQ Global มองว่า “อินเดียมีประชากรมากที่สุด โตเร็วที่สุด และยังมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแข็งแรงพอจะต่อยอดเศรษฐกิจสมัยใหม่”

เขาแนะนำให้โฟกัสที่บริษัทเทคโนโลยี เช่น Zomato, Ixigo หรือ Info Edge ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโต และมีแนวโน้มจะได้อานิสงส์จากการที่คนอินเดียมีรายได้เพิ่มขึ้นในอีก 10–20 ปีข้างหน้า

มุมมองตลาดหุ้นอินเดียโดย Finnomena Funds

ภาพรวมระยะยาวของอินเดียยังคงแข็งแกร่งกว่าตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ด้วยแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังคงขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางอินเดีย ทั้งภาคการผลิตและบริการยังขยายตัวได้ดีและสูงกว่าหลายประเทศ 

นอกจากนี้ การเติบโตของสินเชื่อธนาคาร แม้จะชะลอตัวไปบ้าง แต่ก็เริ่มฟื้นตัวแล้ว หลังธนาคารกลางอินเดียปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50%

แม้ Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียในตอนนี้จะดูแพงขึ้น แต่ปัจจัยขับเคลื่อนหลักยังคงหนุนด้วย แนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัท

ด้วยเหตุนี้ Finnomena Funds จึงปรับมุมมองตลาดหุ้นอินเดียจาก Positive เป็น Slightly Positive เพื่อสะท้อนถึงราคาตลาดที่ปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจในระยะยาว 

เราแนะนำทยอยสะสมกองทุน B-BHARATA และ TISCOINA-A สำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว จากปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจ ประมาณการกำไรของตลาดหุ้นที่แข็งแกร่ง และมีสัญญาณเชิงบวกทางเทคนิค

  • B-BHARATA เป็นกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย และมีน้ำหนักการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ
  • TISCOINA-Aเป็นกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ซึ่งเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management และคัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up โดยลงทุนผ่าน 3 กองทุนหลักในสัดส่วนใกล้เคียงกัน

 


อ้างอิง: CNBC, Finnomena Live

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Krungsri The Masterpiece ปรับพอร์ตประจำเดือนกรกฎาคม 2025 : เพิ่มสัดส่วนหุ้นโลก-อินเดีย

บลจ.กรุงศรี

มุมมองการลงทุน

ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังสหรัฐประกาศระงับการเก็บภาษีตอบโต้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน เพื่อให้มีการเจรจาการค้า หลังจากประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ได้เพียงไม่กี่วันในช่วงต้นเดือนเมษายน ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับนานาประเทศยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดสหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้แล้ว ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อปัญหาสงครามการค้า นอกจากนี้ คณะทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งสัญญาณว่าจะขยายเวลาในการระงับการเก็บภาษีตอบโต้ออกไปอีก เพื่อการเจรจาการค้าดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลกจากปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวความอ่อนแอของเศรษฐกิจภายในประเทศ ปัญหาการเมืองภายในประเทศ ความขัดแย้งกับกัมพูชา ฯลฯ

ทางด้านการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศต่างให้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนมองว่าทิศทางดอกเบี้ยยังคงเป็นขาลง โดย ธปท. ระบุว่าพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม แต่อาจไม่ลดดอกเบี้ยเร็วและมากเท่ากับที่ตลาดคาด

สำหรับการลงทุนในระยะถัดไป ขอเสนอให้เพิ่มการสัดส่วนการลงทุนในกองทุนตราสารทุน เนื่องจากประเมินว่าตลาดได้ตอบรับข่าวเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐไปแล้ว และการดำเนินมาตรการของสหรัฐในระยะถัดไปอาจไม่ได้รุนแรงมากกว่าที่ตลาดคาด โดยเสนอให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้นโลก KF-WORLD-INDX-A เพื่อกระจายความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจที่อาจส่งผลเฉพาะบางประเทศให้มากขึ้น และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย KFINDIA-A หลังตัวเลขเศรษฐกิจอินเดียกลับมาเติบโตแข็งแกร่ง และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตในอัตราที่เร็วขึ้น  สำหรับกองทุนหุ้นสหรัฐ KFUSINDX เสนอให้ลดสัดส่วนการลงทุนลงเล็กน้อย เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงมาก หลังตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวเริ่มส่งสัญญาณชะลอลง อาทิ การจ้างงาน รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคล ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เป็นต้น  อย่างไรก็ดี ทางเรายังคงมองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มเติบโตดี หลังผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสแรกออกมาแข็งแกร่ง และบริษัทส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางผลประกอบการในอนาคต

ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในกองทุนหุ้น ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ลดลง โดยเสนอให้แบ่งสัดส่วนการลงทุนจากกองทุนตราสารหนี้ไทย KFAFIX-A เนื่องจากประเมินว่ากองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ KF-CSINCOME ได้ปรับตัวตอบรับแนวโน้มที่จะเฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ยไปแล้ว และอัตราผลตอบแทนที่คำนวณจากดอกเบี้ยที่จะได้รับเมื่อถือตราสารจนครบอายุ (yield to maturity – YTM) อยู่ในระดับสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ไทยอยู่มาก

ดู Fund Fact Sheet กองทุนที่เพิ่มน้ำหนัก/ปรับเข้า

 


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้  (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร  0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

TISCO Omakase Extra Fund ปรับพอร์ตเดือนกรกฎาคม 2025: เพิ่มน้ำหนัก “หุ้นฟื้นตัวดี” รับโอกาสระยะกลาง-ยาว

บลจ.ทิสโก้
TISCO Omakase Extra Fund ปรับพอร์ตเดือนกรกฎาคม 2025: เพิ่มน้ำหนัก "หุ้นฟื้นตัวดี" รับโอกาสระยะกลาง-ยาว

มุมมองการลงทุน

TISCO Omakase Extra Fund ปรับพอร์ตเดือนกรกฎาคม 2025: เพิ่มน้ำหนัก "หุ้นฟื้นตัวดี" รับโอกาสระยะกลาง-ยาว

Outlook

  • เศรษฐกิจสหรัฐฯ – ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เดือนพ.ค.เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว โดยยอดค้าปลีกและดัชนีภาคบริการออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งจากการจ้างงานที่ขยายตัวต่อเนื่อง
  • Fed ส่งสัญญาณรอดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อนปรับลดดอกเบี้ย โดยยังมีความกังวลต่อผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากร ล่าสุด Fed ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ 1.4% และประเมินว่าเงินเฟ้ออาจทรงตัวสูงกว่าคาด ซึ่งทำให้ตลาดมองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้งในปีนี้
  • เศรษฐกิจจีน –มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนเริ่มส่งผลเชิงบวกในบางภาคส่วน โดยภาคการผลิตและการส่งออกในเดือนพ.ค.ที่ยังขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้เร่งผลักดันเงินหยวนให้มีบทบาทในระบบการเงินมากขึ้น โดยจะขยายช่องทางตลาดการเงินและตั้งศูนย์ส่งเสริมหยวนดิจิทัลในเซี่ยงไฮ้
  • เศรษฐกิจไทย –การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามีความเสี่ยงเผชิญกับแรงกดดันจากการส่งออกที่ชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด แม้ภาครัฐเร่งเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและโครงการลงทุนเพิ่มเติม แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองเริ่มส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ขณะที่กองทุน Thai ESGX ที่เปิดตัวในเดือนพ.ค.ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนไม่สูงกว่าที่ภาครัฐประเมินไว้

Strategy

  • ตลาดหุ้นโลกมีความผันผวนสูงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน รวมถึงการโจมตีของสหรัฐฯ ที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแรง และสร้างความกังวลให้กับตลาดว่าสงครามความขัดแย้งอาจบานปลาย
  • อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นโลกสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่มาตรการตอบโต้ของอิหร่านที่มีต่อสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด อีกทั้ง อิสราเอลและอิหร่านได้มีการเจรจากันเบื้องต้น นักลงทุนจึงกลับไปให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะแนวโน้มเศรษฐกิจและการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

Portfolio Action

  • ลดสัดส่วนการลงทุนใน TBOND1Y บางส่วนและกระจายน้ำหนักการลงทุนไปยัง TGQUALITY ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นที่ฟื้นตัวได้แข็งแกร่งกว่าตลาดและยังคงได้รับแรงหนุนจากกำไรของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีเสถียรภาพ
  • ขณะเดียวกัน ทยอยเพิ่มน้ำหนักใน TISCOCH เนื่องจากนักวิเคราะห์หลายสถาบันได้มีการปรับเพิ่มการคาดการณ์กำไรหลายบริษัทจดทะเบียนในจีน ขณะที่ระดับราคาปัจจุบันยังไม่สะท้อนศักยภาพการเติบโตในระยะข้างหน้าได้อย่างเต็มที่
  • ดู Fund Fact Sheet กองทุนที่เพิ่มน้ำหนัก/ปรับเข้า : TGQUALITY TISCOCH

Performance Review

ผลตอบแทนพอร์ตกองทุนนับจากวันที่ 27 พ.ค. จนถึง 24 มิ.ย.2025 ปรับขึ้น +0.39% โดยหากนับจากต้นปี พอร์ตปรับขึ้น +0.01%

  • Contributor:
        • ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา กองทุนหุ้นจีน (TISCO China H-Shares Equity Fund) เป็นกองทุนที่หนุนพอร์ตกองทุนมากที่สุด โดยอันดับที่ 2 คือ กองทุนตราสารหนี้โลก (TISCO Global Bond) และอันดับที่ 3 คือ กองทุนทองคำ (TISCO Gold Fund)
  • Detractor:
        • สำหรับช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา กองทุนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น TISCO Global Consumer Fund ปรับตัวลงมากที่สุด จากแรงเทขายของนักลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive เนื่องจากตลาดมีหมุนกลุ่มลงทุน (Sector Rotation) ไปในหุ้นกลุ่ม Growth ในช่วงที่ผ่านมา แต่เรายังถือ TISCO Global Consumer Fund ไปก่อนเพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตกองทุนจากปัจจัยเสี่ยงระยะข้างหน้า

 

ที่มา: บลจ. ทิสโก้ วันที่ 23 พฤษภาคม 2025


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

10 หุ้นไทยพื้นฐานดี ถูกกว่าที่เคยในรอบ 10 ปี

Definit

หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน หลายบริษัทจดทะเบียนไทยเคยเป็นดาวเด่นของตลาด ไม่ว่าจะเป็น CPALL ที่เร่งขยายสาขาทั่วประเทศ, HMPRO ที่เติบโตตามกระแสรีโนเวทบ้าน หรือ DELTA ที่ได้แรงส่งจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ผลักดีนให้ดัชนี SET ไปแตะจุดสูงสุดบริเวณ 1,850 จุดในปี 2018

แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมือง ความผันผวนจากสงครามการค้า รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ดัชนี SET ค่อย ๆ ย่อตัวลงมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 1,050 จุด 

หุ้นพื้นฐานดี นานทีราคาต่ำ

10 หุ้นไทยพื้นฐานดี

สิ่งที่น่าสนใจในวันนี้คือ หุ้นไทยจำนวนมากที่เคยอยู่ในระดับราคาสูง กลับมีมูลค่าซื้อขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนผ่านตัวชี้วัดสำคัญอย่าง P/E และ P/BV ที่หลายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว เช่น

  • SCB เทรดที่ P/BV เพียง 0.78 เท่า
  • KBANK อยู่ที่ 0.61 เท่า ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอย่างชัดเจน
  • PTT อยู่ที่ P/E 10.08 เท่า และ P/BV 0.73 เท่า
  • แม้แต่หุ้นแข็งแกร่งอย่าง CPALL ก็มี P/E เพียง 15.13 เท่า ต่ำกว่าช่วงพีกในอดีต
  • MINT, CENTEL, และ M ต่างอยู่ในระดับ P/BV ราว 1 เท่าต้น ๆ เท่านั้น

 

ในสายตาของนักลงทุนสาย Value การได้เห็นหุ้นคุณภาพในระดับมูลค่าต่ำเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมักจะเป็นช่วงเวลาที่สร้างโอกาสในระยะยาวได้อย่างน่าประทับใจ

แม้ตลาดโดยรวมยังไม่ฟื้นเต็มตัว แต่พื้นฐานของหลายบริษัทไม่ได้เปลี่ยนไป ความมั่นคงของรายได้และการจ่ายปันผลยังอยู่ครบ สำหรับคนที่มีเงินเย็นและมองระยะ 3 – 5 ปีข้างหน้า วันนี้คือจุดเริ่มต้นของการทยอยสะสมอย่างเป็นระบบ

Definit SET Select พลิกกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย ช่วยคัดเลือกหุ้นไทยเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว พิจารณา 3 ปัจจัย

Earnings หุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
Valuation หุ้นที่มูลค่าถูกกว่าอุตสาหกรรม
Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกของราคาในระยะสั้น

สนใจรับบริการคลิกเลย


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (บริษัท) ไม่สามารถยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ | บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใด ๆ | การตัดสินใจซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ใดใดของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลมาจากวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใด ๆ กับ บริษัท

รีวิวผลงาน All Weather Strategy ผลตอบแทนสะสม 52.8% นับตั้งแต่จัดตั้ง พร้อมรับมือแม้ตลาดเปลี่ยนฤดู

Finnomena Funds

ในวันที่ตลาดเต็มไปด้วยความผันผวนพอร์ต All Weather Strategy (AWS) สร้างผลตอบแทนสะสมได้กว่า 52.8% นับตั้งแต่จัดตั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ค. 2025, ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) สะท้อนแนวทางการออกแบบเพื่อช่วยรับมือกับความผันผวนในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws

พอร์ต All Weather Strategy (AWS) คือพอร์ตกองทุนที่พร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด ใช้โมเดล FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน มีการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลงทุนอย่างมั่นคง พร้อมแนวทางบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ เพราะมีนักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำอย่างคุณ Andrew Stotz เป็นผู้ออกแบบกลยุทธ์การจัดพอร์ตในเชิงวิเคราะห์ข้อมูลและความเสี่ยง

นโยบายการลงทุนของพอร์ต All Weather Strategy

พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ Dr. Andrew Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยพอร์ต AWS นี้ มุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยให้พอร์ตพร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด (All Weather) โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง

จุดเด่นพอร์ต All Weather Strategy

  • ใช้ FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วย Fundamental (พื้นฐานของสินทรัพย์), Valuation (มูลค่าของสินทรัพย์), Momentum (โมเมนตัมของสินทรัพย์) และ Risk (ความเสี่ยง)
  • กระจายการลงทุนไปทั่วโลก ไม่จำกัดเพียงแค่ในประเทศไทย
  • มีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยลดความผันผวน พร้อมเฟ้นหาโอกาสลงทุนใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป เพื่อเสริมศักยภาพของพอร์ตในระยะยาว
  • มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากหุ้น พร้อมบริหารความเสี่ยงเพื่อช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในช่วงตลาดพักฐาน
  • ใช้หลักการวิเคราะห์ทั้งเชิงประมาณ (Quantitative) ที่ใช้สูตรและโมเดลทางคณิตศาสตร์ และเชิงคุณภาพ (Qualitative) ที่ใช้ประสบการณ์และความรู้ของทีมงาน เพื่อให้ได้พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด
  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

รีวิวผลตอบแทนพอร์ต All Weather Strategy

รีวิวผลงาน All Weather Strategy โต 52.8% นับตั้งแต่จัดตั้ง พอร์ตแกร่ง ไม่หวั่นแม้ตลาดเปลี่ยนฤดู

ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ผลตอบแทนของพอร์ต AWS ตั้งแต่จัดตั้ง เทียบกับพอร์ต 60/40
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 30 พ.ค. 2025

จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนสะสม (Total Return) นับตั้งแต่จัดตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ถึงเดือนพฤษภาคม 2025 ของพอร์ต All Weather Strategy (AWS) กับพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีสัดส่วนหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% (60/40 Portfolio) จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ 52.8% ขณะที่พอร์ต 60/40 ทำผลตอบแทนได้ 31.6% หรือสูงกว่า 21.2% โดยหลังช่วงกลางปี 2023 เป็นต้นมา ผลตอบแทนของพอร์ต AWS เริ่มแซงหน้าพอร์ต 60/40 อย่างชัดเจน และยังคงมีผลตอบแทนที่มากกว่าพอร์ต 60/40 ในช่วงที่ผ่านมา

รีวิวผลงาน All Weather Strategy โต 52.8% นับตั้งแต่จัดตั้ง พอร์ตแกร่ง ไม่หวั่นแม้ตลาดเปลี่ยนฤดู

ความผันผวนของสินทรัพย์ต่าง ๆ
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 30 พ.ค. 2568

นอกจาก All Weather Strategy (AWS) จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าพอร์ตดั้งเดิม 60/40 ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นคือระดับความผันผวนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า เมื่อเทียบกับพอร์ตการลงทุนหรือสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ในตลาด

จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบความผันผวนรายปี (Annualized Volatility) ของพอร์ต AWS กับพอร์ต 60/40 และสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่พันธบัตรทั่วโลก ไปจนถึงหุ้นยุโรปที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS มีความผันผวนต่ำกว่าพอร์ต 60/40 ประมาณ 1.9% และเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทองคำ ความผันผวนของพอร์ต AWS อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบกลยุทธ์ที่ให้ความสมดุลระหว่างเป้าหมายผลตอบแทนและการบริหารความเสี่ยง

All Weather Strategy เหมาะกับใคร?

  • คนที่ต้องการให้เงินเติบโตไม่เน้นปันผล
  • คนที่ต้องการการลงทุนที่ยืดหยุ่น ปรับพอร์ตตามสถานการณ์เสมอ
  • คนที่มีเงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 500,000 บาท
  • คนที่พร้อมลงทุนระยะกลาง 3 ปีขึ้นไป

สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้

ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena

สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/

**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”