สำนักข่าว Bloomberg ได้หยิบยกแพทเทิร์นการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใน 2 ช่วงเวลามาเปรียบเทียบกัน นั่นคือ
1.) เส้นสีดำ: ช่วงฟองสบู่ Dot-Com (สิงหาคม 1995 – มีนาคม 2000)
2.) เส้นสีเหลือง: ตั้งแต่ที่หุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นมาร้อนแรงในยุค AI จนถึงปัจจุบัน (ธันวาคม 2022 – มีนาคม 2025)
ภาพดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าเมื่อนำการเคลื่อนไหวของระยะดังกล่าวมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งผ่านมาครึ่งทางของ Dot Com Crisis พบว่ามีความคล้ายคลึงกันมากทีเดียว
และการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในตอนนี้ อาจจะสัญญาญที่ทำให้หลายคนนึกถึง Dot-Com เมื่อ 25 ปีก่อนได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงสุดกว่า 700% ก่อนร่วงลงอย่างรุนแรง
ในเวลาเพียง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีขึ้นต่อเนื่องกว่า 70% จากจุดต่ำสุดในปี 2022 และทะยานทำ All-Time High ก่อนที่ล่าสุดจะเริ่มเข้าสู่การปรับฐาน และเริ่มมีสัญญาณร้อนแรงเกินไป
จุดที่เหมือนกันระหว่างยุค AI กับ Dot Com คือ กระแสความหวังในเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างความคาดหวังเกินจริง ราคาหุ้นพุ่งแรงจากความฝันมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงนักลงทุนมองข้าม Valuation และความเสี่ยง
แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ยุค Dot Com ธุรกิจส่วนใหญ่เป็น Startup ที่ไม่มีกำไร และพึ่งพาการเผาเงิน แต่ปัจจุบันดัชนีถูกขับเคลื่อนโดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Microsoft, Nvidia, Alphabet, Amazon, Meta ที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและมีกระแสเงินสดสูง
Source: Bloomberg
ในขณะที่วลาดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กำลังสาละวนกับการต่อรองว่าจะให้โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในยูเครน จำนวน 1 หรือ 2 โรงเพื่อแลกกับความช่วยเหลือด้านการทหารจากสหรัฐของโดนัลด์ ทร้มป์ ผู้นำสหรัฐ ส่วนทางด้านวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้กับทรัมป์ว่าจะหยุดยิงชั่วคราวต่อยูเครนหรือไม่ ทั้งหมดเป็นเพียงการต่อรองเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ของตนเองในระยะสั้น ซึ่งดูน่าจะเป็นเพียงละครช่วงสั้นๆ โดยเนื้อแท้แล้ว สงครามยูเครนกับรัสเซีย จะจบลงไหมแบบเบ็ดเสร็จ น่าจะอยู่ที่ว่ารัสเซียจะมีเม็ดเงินเหลือเพียงพอที่จะทำสงครามต่อได้ยาวนานแค่ไหน
โดยปัจจัยหลักที่จะตอบคำถามนี้ อยู่ที่ยุโรปจะตัดสินใจดำเนินมาตรการหลัก 2 เรื่องที่มีความสำคัญมากว่าจะออกมาในทิศทางไหน ในช่วงกลางปีนี้
เริ่มจากมาตรการแช่แข็งเงินสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางรัสเซียในยุโรปไม่ให้รัฐบาลรัสเซียนำไปใช้ได้ มูลค่าราว 1.80 แสนล้านยูโร
โดยผลโหวตว่าด้วยการตัดสินใจของสหภาพยุโรปในรอบถัดไป ซึ่งคือเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ต้องออกมาแบบเอกฉันท์เท่านั้น จึงจะทำให้การแช่แข็งเงินสำรองของรัสเซียทำได้ต่อ ซึ่งในรอบนี้ ฮังการีถือเป็นก้างขวางคอชิ้นโตที่ทางผู้นำได้ประกาศว่าจะออกเสียงคัดค้าน ในขณะเดียวกัน ทางยุโรปก็เตรียมออกเกณฑ์ใหม่ที่จะตัดหางฮังการีออกจากการโหวตในครั้งถัดไปเช่นกัน ว่ากันว่าหากรัสเซียไม่สามารถนำเงินสำรองดังกล่าวออกมาใช้ได้ การรบต่อไปในยูเครนในระยะถัดจากนี้จะทำต่อไปได้ลำบากมาก โดยตัวเลขมูลหนี้จากสงครามในครั้งนี้ของรัสเซียอยู่ที่ 5.23 แสนล้านยูโร ทั้งนี้ การตัดสินใจของยุโรปในขั้นต่อไป คือ การใช้ทุนสำรองดังกล่าวนำไปชำระความเสียหายจากผลของสงครามต่อยูเครนจากน้ำมือของรัสเซีย ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของยุโรปเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ มีจุดที่น่าสนใจอยู่ 3 ประการ ได้แก่
หนึ่ง การใช้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศไปจ่ายให้ยูเครนเพื่อชดใช้ค่าเสียหายจากสงครามถือเป็นการยึดทรัพย์แบบไม่เป็นธรรมต่อรัสเซียหรือไม่? โดยในประเด็นนี้ เจเน็ต เยลเลน อดีต รมว.คลังสหรัฐ เคยให้ความเห็นว่าสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ในขณะที่อดีต รมว.คลัง ฝรั่งเศสเคยกล่าวว่าจะขอศึกษาให้ละเอียดก่อน
ล่าสุด มีแนวคิดที่หลายฝ่ายมองว่าจะทำให้การใช้เงินสำรองดังกล่าวไปจ่ายให้กับยูเครนน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ด้วยการให้ยุโรป (เงินสำรองของรัสเซียในตอนนี้อยู่ในการครอบครองของยุโรป) ปล่อยเงินกู้ให้กับยูเครน โดยมีเงินสำรองนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยที่รัสเซียถือเป็นลูกหนี้ของยูเครนจากความเสียหายของสงครามที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นที่แน่นอนว่ารัสเซียไม่มีเงินที่จะชำระหนี้ต่อยูเครน ทำให้ยูเครนสามารถนำหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งก็คือเงินสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียมาใช้ได้ตามกฎหมาย
สอง การยึดเงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศถือเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติที่เหมาะสมหรือไม่? ในเรื่องนี้ อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF ประเมินว่าหากมีประเทศไหนที่ใช้กำลังทหารเพื่อยึดครองพื้นที่ของอีกประเทศหนึ่ง การยึดเอาเงินสำรองระหว่างประเทศของประเทศที่รุกรานเพื่อไปจ่ายเป็นค่าความเสียหายต่อประเทศที่ถูกรุกราน น่าจะมีความชอบธรรมว่าไม่ได้เป็นการสร้างตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมให้กับคนรุ่นต่อไป
โดยจะยึดแล้วไปจ่ายให้ยูเครนในทันที หรือ จะเปิดทางเลือกให้เปิดกว้างไว้ก่อน ขึ้นอยู่กับว่าสถานะทางการเงินของยูเครนเลวร้ายขนาดไหนในตอนนี้ และต้องการใช้การเปิดกว้างของทางเลือกนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองกับรัสเซียมากน้อยแค่ไหน
สาม การยึดเงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศของยุโรป จะทำให้เงินยูโร ลดความน่าเชื่อถือลงหรือไม่? คำตอบ คือ น่าจะไม่ เนื่องมาจาก 3 สาเหตุ ได้แก่
สาเหตุแรก ธนาคารกลางของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ในทางปฏิบัติ แทบจะไม่มีทางเลือกในการหาตลาดใหม่ที่จะนำเงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศของตนเองไปลงทุนในที่อื่นๆ หากนำเงินออกจากเงินสกุลยูโร
สาเหตุสอง เงินยูโรไม่มีระดับเป้าหมาย สามารถขึ้นลงอย่างเสรีตามกลไกตลาด ซึ่งราคาตลาดสะท้อนทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ท้ายสุด สหภาพยุโรปถือเป็นผู้ส่งออกเงินตราระหว่างประเทศ ไม่ใช่ผู้ส่งออกสินค้า ทำให้เงินยูโรเป็นที่หมายปองของนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแต่
มาตรการหลักที่สองที่จะทำให้รัสเซียมีสายป่านยาวต่อไปหรือไม่ในสงครามยูเครน คือ การเปิดท่อก๊าซ Nordstream 2 ของรัฐบาลเยอรมัน เพื่อที่จะสามารถนำก๊าซธรรมชาติของรัสเซียส่งไปในประเทศต่างๆทั่วยุโรป โดยจะทำให้เยอรมันมีพลังงานราคาถูกใช้ในประเทศ ทว่าจะทำให้รัสเซียมีกำลังทรัพย์มาใช้จ่ายในสงครามยูเครน และเป้าหมายทางการเมืองระหว่างประเทศอื่นๆที่ปูตินต้องการในอนาคต
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
ในสัปดาห์นี้ดัชนีส่วนใหญ่แสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม Core PCE ไม่ได้มีการคาดการณ์ว่าจะลดลง แต่มีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น ทำให้ตอนนี้หนึ่งในเรื่องที่ไม่แน่นอนในสหรัฐฯ คืออัตราเงินเฟ้อ นักลงทุนควรจับตามองอัตราเงินเฟ้อและการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด
Durable Goods Orders คือยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เป็นดัชนีชี้วัดถึงกิจกรรมการผลิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้าโดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิตซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Durable Goods Orders มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 3.1% เป็น -1.2%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/durable-goods-orders
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์การลดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญของ Durable Goods Orders แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวในระยะสั้น ในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง นักลงทุนอาจปิดความเสี่ยงและไปหาลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า
รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าทั้งหมดของสินค้าและบริการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจใน Quarter ก่อน เป็นการวัดค่ากิจกรรมแบบกว้างๆ และเป็นตัวชี้วัดพื้นฐานที่จะทราบถึงภาวะเศรษฐกิจ
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: GDP Growth Rate QoQ Final มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 3.1% เป็น 2.3%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/gdp-growth
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์การลดตัวลงของ GDP Growth Rate QoQ Final แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน อีกทั้งนักลงทุนยัง Risk Off เพื่อรักษาเงินทุนไว้เพื่อรอจังหวะเพื่อกลับมาลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์การลดตัวลงของ GDP Growth Rate QoQ Final เป็นการกดดันให้ FED ได้มีการลดอัตราดอกเบี้ย
United States Core PCE Price Index (Personal Consumption Expenditures Price Index) คือดัชนีราคาที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในระดับราคาของสินค้าและบริการที่บรรจุในการบริโภคของประชากรในสหรัฐอเมริกา โดยไม่รวมราคาของอสังหาริมทรัพย์ และค่าประกันสุขภาพ และราคาของสินค้า และบริการที่เป็นผลมาจากราคาของพลังงาน และอาหารที่มีความผันผวนมาก
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core PCE มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 0.3% เป็น 0.4%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/core-pce-price-index-mom
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของ Core PCE Price Index แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในอัตราเงินเฟ้อ แต่อย่างไรก็ตามนี้เป็นเพียงแค่การคาดการณ์เท่านั้น การติดตามดัชนีนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญในสัปดาห์นี้
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
25 มีนาคม
27 มีนาคม
28 มีนาคม
Source : https://www.coinglass.com/FundingRateHeatMap
ในส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้ปรับตัวลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีความร้อนแรงมากจนเกินไป แสดงถึงช่องว่างของ Upside ที่ยังคงมีอยู่ หลายเหรียญยังคงมี Funding rate ติดลบ และนักลงทุนยังคงต้อง monitor และควรเฝ้าระวังสัญญาณเงินเฟ้อในเดือนถัดไป
Source : https://www.coinglass.com/BitcoinOpenInterest
ในฝั่งของ Bitcoin Open Interest มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกถึงการเปิดความเสี่ยงของนักลงทุนที่ทยอยเพิ่มขึ้นมา แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่น้อย โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประชุม FOMC และ FED ยังคงดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนกลับมาเปิดสถานะมากขึ้น
Source : https://farside.co.uk/?p=997
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิที่ 744.3 ล้านเหรียญ นับเป็นสัปดาห์แรกในรอบเดือน หลังการประชุม FOMC เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ FED ยังคงการปรับลงอัตราดอกเบี้ย และให้ความสำคัญกับอัตราเงินเฟ้อในการตัดสินใจครั้งถัดไป ส่งผลให้สินทรัพย์ต่าง ๆ ปรับตัวขึ้นในระยะสั้น
Source : https://farside.co.uk/?p=1518
ในส่วนของ Ethereum ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสเงินไหลออกสุทธิที่ 102.9 ล้าน เหรียญซึ่งยังคงเป็นอีกหนึ่งอาทิตย์ที่ ไม่มีการไหลเข้าของเงินทุน และยังคงมีเผชิญแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง โดยแทบไม่มีเม็ดเงินไหลเข้า เนื่องจากนักลงทุนหันไปให้ความสนใจกับเหรียญใหญ่ เช่น BTC ส่งผลให้ส่วนแบ่งของ ETH ลดลง
ปริมาณการซื้อขายรายวันในตลาดได้ลดลงจากจุดสูงสุดหลังการเลือกตั้ง โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 35 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงก่อนที่ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยหลังการเลือกตั้ง ปริมาณการซื้อขายพุ่งขึ้นถึง 126 พันล้านดอลลาร์ ท่ามกลางการเก็งกำไรของตลาด โดยการลดลงครั้งนี้คิดเป็นประมาณ 70% จากจุดสูงสุด นำตลาดกลับสู่ภาวะปกติก่อนการเลือกตั้งในระยะเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตาม การลดปริมาณการซื้อขายอาจเป็นสัญญาณของพัฒนาการบางอย่างในตลาด ในอดีต ช่วงเวลาที่ปริมาณการซื้อขายลดลงต่อเนื่อง มักนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาครั้งใหญ่ เนื่องจากสภาพคล่องที่ลดลงทำให้การเคลื่อนย้ายของนักลงทุนรายใหญ่ส่งผลต่อราคามากขึ้นโดย นักลงทุนในตลาดอาจกำลังรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ต่อการกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซีก่อนจะกลับมาทำการซื้อขายอย่างจริงจังอีกครั้ง และยังคงจับตามอง อัตราเงินเฟ้อที่ FED ต้องการเงินเฟ้อที่ 2%
เมื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของ Long-Term Holders พบว่าแรงขายจากกลุ่มนี้เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยพิจารณาจาก Binary Spending Indicator ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการใช้จ่ายหรือการขายเหรียญของนักลงทุนระยะยาว ขณะนี้ดัชนีดังกล่าวกำลังชะลอตัวและปรับลดลง
ในขณะเดียวกัน ปริมาณเหรียญที่ถือโดยนักลงทุนระยะยาวเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากลดลงอย่างต่อเนื่องมาหลายเดือน สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนกลุ่มนี้เริ่มมีแนวโน้ม HODL มากกว่าการขาย ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในมุมมองของพวกเขาที่ให้ความเชื่อมั่นและถือครองสินทรัพย์มากขึ้น
by Cryptomind Advisory
$BTC เริ่มขยับตัวออกจากกรอบขาลงแล้วโดยในระยะสั้นอยู่ใน Parallel Channel ขาขึ้น ในระยะสั้นนี้มุมมองต่อ BTC นั้นมีความ Bullish มากขึ้นโดยต้องดูว่าแท่งเทียน 1D นั้นจะปิดเหนือ $87,000 ได้หรือไม่ ถ้าทำได้จะเป็นมุมมองการ Retrace ที่ดีกับ BTC อย่างไรก็ตามหากยังไม่สามารถขึ้นไปยืนได้ ราคาก็อาจจะย่อตัวออกไปก่อนแต่มีสิทธิจะเป็นการ Sideway แทนในช่วงสัปดาห์ข้างหน้านี้
แนวต้าน : $87,000 | $92,000 | $100,000
แนวรับ : $83,000 | $78,500 | $73,000
$ETH มีการทำ Bullish Divergence แล้วและระยะสั้นมีการเคลื่อนตัวแบบ Sideway Up โดยแนวต้านในระยะสั้นตอนนี้อยู่ที่ $2,100 หาก Breakout ขึ้นไปได้จะเป็น Momentum การขึ้นที่ดีของ $ETH อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมราคายังคงอยู่ในกรอบขาลงระยะยาวที่อาจจะทำให้เกิดการย่อได้หากขึ้นไปถึงแนวต้านของกรอบดังกล่าวที่บริเวณ $2,150
แนวต้าน : $2,150 | $2,400 | $2,870
แนวรับ : $2,000 | $1,870 | $1,550
Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้และสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังไม่สู้ดีนัก จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดี และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 60%
SELECTIVE LARGE MARKET CAP 10%
STABLECOINS 30%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-24-28-March-2025
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
DR คืออะไร? การลงทุนใน “หุ้นต่างประเทศ” กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนแล้ว ยังขยายโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ แต่การลงทุนในหุ้นนอกโดยตรงอาจจะมีความยุ่งยากและซับซ้อน แถมถูกเรียกเก็บภาษีเงินได้จากกำไรอีกด้วย
ดังนั้น DR จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์นักลงทุนไทยมากกว่า บทความนี้จึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จัก “DR” ประตูบานใหม่แห่งโอกาสการลงทุนหุ้นต่างประเทศ
Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก
ครั้งแรกของการจัดพอร์ต DR ในไทย คัดหุ้นคุณภาพ จัดพอร์ตอัตโนมัติ ไม่ต้องจับจังหวะการลงทุน ไม่เสียภาษี ซื้อ-ขายง่ายในตลาดหลักทรัพย์ไทย
เตรียมพบโอกาสครั้งใหม่ เร็ว ๆ นี้ สนใจรับบริการคลิก
Depositary Receipt (DR) หรือตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนให้ซื้อขายได้เหมือนหุ้น ออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นหรือหน่วยลงทุน ทั้ง ETF, REIT, Infra Fund, Infra Trust โดยผู้ออก DR ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. จะเป็นผู้ซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศมาทำการเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในสกุลเงินบาทผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
DR แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ผลตอบแทนจากการลงทุนใน DR แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
สัญลักษณ์ย่อของ DR ประกอบด้วยตัวอักษรความยาวสูงสุดไม่เกิน 10 ตัว โดย 8 ตัวแรกเป็นชื่อย่อหลักทรัพย์ต่างประเทศ และ 2 ตัวท้ายเป็นหมายเลขบริษัทสมาชิกผู้ออก DR
ตัวอย่างเช่น TENCENT80 หมายความว่าหลักทรัพย์นี้เป็น DR ของหุ้น TENCENT ที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์หมายเลข 80
อายุตราสารของ DR จะเหมือนกับหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือไม่มีวันหมดอายุ ไม่เหมือนกับ DW ที่แต่ละตราสารจะมีวันหมดอายุกำหนดไว้ ดังนั้นหากลงทุน DR แล้วก็สามารถถือยาว ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอายุของตราสาร
แน่นอนว่าการลงทุนในหลักทรัพย์ใดก็ต้องคอยติดตามราคาของหลักทรัพย์อยู่เสมอ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการทำกำไร แต่นอกจากความเสี่ยงด้านราคาหลักทรัพย์แล้ว DR ยังมี “ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน” ด้วย เพราะเวลาที่เราซื้อขาย DR จะต้องอ้างอิงกับราคาหุ้นต่างประเทศ ซึ่งอ้างอิงกับสกุลเงินของประเทศที่หุ้นแม่จดทะเบียนอยู่
ค่าธรรมเนียม DR แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
นักลงทุนสามารถซื้อขาย DR บนกระดาน SET ได้ตามเวลาซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยไม่มีพักกลางวัน
ในการซื้อขาย DR นักลงทุนจะต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกันกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้จากส่วนต่างราคา
DR เป็นอีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ สำหรับนักลงทุนที่อยากกระจายพอร์ตการลงทุนเพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนในต่างประเทศ
ตรวจสอบรายชื่อ DR ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ที่นี่
อ้างอิง
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
Finnomena Funds แนะนำเข้าสู่โหมด Wait and See อีกครั้ง หลังบรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน (Uncertainty) จากการที่ Donald Trump ประกาศแผน Reciprocal Tariffs เก็บภาษีตอบโต้สงครามการค้า ดีเดย์ 2 เมษายน 2025 นี้
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
เกิดเป็นประเด็นร้อนสั่นคลอนโลกการลงทุนอีกครั้ง เมื่อประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา Donald Trump ออกมาพูดถึงการประกาศแผน Reciprocal Tariffs หรือภาษีตอบโต้ ซึ่งจะเป็นการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแบบเท่าเทียมจากประเทศที่ตั้งกำแพงภาษีกับอเมริกา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจีนเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากอเมริกา 25% แปลว่าอเมริกาก็จะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีน 25% เช่นกัน
พร้อมประกาศให้วันที่ 2 เมษายน 2025 เป็นวันปลดแอกอเมริกา หรือ Liberation Day เพราะมองว่าอเมริกาถูกประเทศอื่น ๆ เอาเปรียบทางการค้ามานานกว่าทศวรรษ
มาตรการภาษีตอบโต้ครั้งนี้ จะพุ่งเป้าไปยังกลุ่มประเทศที่เรียกว่า Dirty 15 ประเทศที่มีการกีดกันทางการค้า หรือที่อเมริกามีการขาดดุลการค้าสูง ๆ ซึ่งคิดเป็น 15% ของจำนวนประเทศทั้งหมด เช่น จีน อินเดีย สหภาพยุโรป เม็กซิโก แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นต้น
แปลว่ามาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจกระทบกับบางประเทศอย่างเฉียบขาด มากกว่ากระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยขึ้นอยู่กับกำแพงภาษีที่ตั้งไว้กับอเมริกา รวมถึงสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออกไปยังอเมริกา
Source: Reuters as of 20/03/2025
Yale Budget Lab ประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายใต้นโยบาย Reciprocal Tariffs ที่อเมริกาจะปรับเพิ่มขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับแต่ละประเทศที่ระดับประมาณ 5-17% ซึ่งหนักสุด คือ อินเดีย เม็กซิโก เวียดนาม และจีน
อย่างไรก็ดี Trump ก็ยังไม่ปิดประตูไปซะทั้งหมด เพราะยังเปิดช่องว่าเขานั้น Flexibility พร้อมที่จะเจรจาอย่างยืดหยุ่น อาจพิจารณายกเลิกหรือปรับลดภาษีบางส่วนกับประเทศที่เข้ามาพูดคุย ซึ่งมีรายงานว่าบางประเทศเริ่มเข้าไปเจรจากับอเมริกา เช่น เวียดนาม และจีน เป็นต้น
ด้วยความกังวลที่เกิดขึ้น แม้ว่าตลาดหุ้นอเมริกา S&P 500 จะปรับฐานลงไปแล้วประมาณ 10% แต่รายละเอียดของนโยบาย Reciprocal Tariffs ยังมีความไม่แน่นอนสูง และมีโอกาสเช่นกันที่ Trump จะประกาศมาตรการเข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ประกอบกับดัชนี S&P 500 หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันไปแล้ว และยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน จึงอาจทำให้ตลาดยังคงผันผวนต่อไปในช่วงนี้
ดังนั้น กลยุทธ์การเก็งกำไรในระยะสั้น แนะนำให้ชะลอการลงทุน Wait and See เพื่อรอความชัดเจนในวันที่ 2 เมษายน 2025 หากผลลัพธ์ออกมาไม่รุนแรงเท่าที่ตลาดกังวล จึงค่อยประเมินทิศทาง แล้วจึงทยอยเข้าซื้ออีกครั้ง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวในรูปแบบ The Long-Term Growth ตามคำแนะนำ MEVT Call มองว่าท้ายที่สุดแล้วตลาดจะค่อย ๆ ผ่อนคลายความกังวลลง จึงยังสามารถเข้าสะสมกองทุนที่เน้นคัดหุ้น Valuation ไม่แพง รวมถึงกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นเอเชียที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต และตราสารหนี้โลกที่มีกลยุทธ์การลงทุนยืดหยุ่นตามสภาวะตลาด ดังนี้
1.) B-INNOTECH (ความเสี่ยงระดับ 7)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี เน้นคัดเลือกหุ้น Value Play โดยเข้าซื้อหุ้นเติบโตในราคาไม่แพง ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมากองทุนหลักได้มีการปรับพอร์ต ลดสัดส่วน Magnificent-7 และเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม AI
2.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี พร้อมด้วย Sentiment จากการปรับโครงสร้างระบบราชการ ลดจำนวนบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ เวียดนามยังมีปัจจัยหนุนในการเตรียมเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปีนี้
3.) UGIS-N และ KF-CSINCOME (ความเสี่ยงระดับ 5)
กองทุนตราสารหนี้โลก ถือเป็นโอกาสเก็บสะสมในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน และ Bond Yield อยู่ในระดับสูง โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายการคัดเลือกตราสารหนี้แบบ Active ยืดหยุ่น สอดรับกับสถานการณ์ตลาด
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
การปรับฐานที่เกิดขึ้นในตลาดคริปโตถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหลายครั้งตลาดมักให้รางวัลกับนักลงทุนที่มีความอดทนและรักษามุมมองการลงทุนที่แข็งแกร่งเพื่อก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทาย
แม้ว่า Bitcoin จะเผชิญกับ การปรับฐาน -28% จากจุดสูงสุดล่าสุด (ATH) แต่เมื่อมองในบริบทของรอบขาขึ้น 2023-2025 จะพบว่าเป็นเพียง การปรับฐานระดับปกติ เมื่อเทียบกับรอบก่อนหน้า สะท้อนถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและโครงสร้างตลาดที่มีเสถียรภาพมากขึ้น (ข้อมูลจาก Glassnode ณ วันที่ 14 มี.ค. 68)
จากข้อมูลข้างต้นนี้ การปรับฐานลึกเป็นเรื่องปกติของตลาดขาขึ้นในอดีต แต่ Bitcoin ยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้รอบนี้มีความแตกต่าง เพราะตลาดมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้น และนักลงทุนสถาบันเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นต่อเนื่อง จะเห็นว่าการปรับฐานของตลาดของตลาดคริปโตเป็นปกติ มุมมองที่กว้างขึ้นคือกุญแจสำคัญ
ทำความเข้าใจธรรมชาติของตลาด
ความผันผวนสูงเป็น “ธรรมชาติ” ของตลาดคริปโต การที่ราคาลดลง 30-50% หรือมากกว่านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้หลายครั้งในแต่ละวัฏจักร ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ บิทคอยน์เคยปรับฐานมากกว่า 80% หลายครั้ง แต่ในระยะยาวก็สามารถฟื้นตัวและสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้
มองเป็นโอกาสในการสะสม
หากคุณเชื่อมั่นในเทคโนโลยี ศักยภาพ และการเติบโตระยะยาวของสินทรัพย์ดิจิทัล ช่วงปรับฐานคือโอกาสในการเข้าซื้อที่ราคาถูกลง นักลงทุนระยะยาวหลายคนรอคอยช่วงเวลานี้เพื่อเป็นโอกาสในการสะสม
ลงทุนในสัดส่วนที่พร้อมจะเสียได้
หลักการพื้นฐานที่สำคัญคือการลงทุนเฉพาะเงินที่คุณพร้อมจะสูญเสียได้ หลีกเลี่ยงการนำเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันหรือเงินก้อนสำคัญมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
พักการติดตามราคาเอาเวลาไปใช้ชีวิต
บางครั้งการพักการติดตามราคาตลาดในช่วงปรับฐานหนักจะช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น และหลายครั้งการตัดสินใจด้วยอารมณ์มักนำไปสู่การขาดทุนมากกว่ากำไร
เก็บเกี่ยวจากประสบการณ์
แต่ละครั้งที่ตลาดปรับฐาน ถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้และปรับกลยุทธ์การลงทุน ทบทวนว่าพอร์ตการลงทุนของคุณในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน
ให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหารจัดการ
ในช่วงตลาดผันผวน การมีผู้เชี่ยวชาญอย่างผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการลงทุน อาจช่วยบริหารความเสี่ยงและเลือกจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมได้ดีกว่าการจัดการด้วยตัวเอง
มุ่งเน้นที่คุณค่าระยะยาว
พยายามแยกแยะระหว่างความผันผวนของราคาระยะสั้นกับคุณค่าพื้นฐานในระยะยาว หากคุณเชื่อในเทคโนโลยีและศักยภาพระยะยาว การปรับฐานชั่วคราวไม่ควรส่งผลต่อมุมมองการลงทุนของคุณ
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
สัปดาห์ก่อนผมเขียนบทความเรื่อง “ตลาดหุ้นสหรัฐกำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?” ก็ได้รับคำถามจากนักลงทุนที่น่าจะลงทุนในตลาดเวียดนามว่า “แล้วตลาดหุ้นเวียดนามจะเป็นอย่างไร” เพราะเวียดนามอาจจะอยู่ในรายชื่อของประเทศที่จะถูกสหรัฐขี้นภาษีสินค้านำเข้า เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมาก ตลาดหุ้นเวียดนามจะมีปัญหามากไหมหลังจากการประกาศรายชื่อรอบต่อมาของประเทศที่จะถูกขึ้น “บัญชีดำ” ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้?
คำตอบเบื้องต้นของผมก็คือ ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าเมื่อจีนถูกปรับขึ้นภาษีรอบแรกที่ประมาณ 10% ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไร เพราะเรื่องนี้ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกเล่นงาน ตลาดหุ้นรับรู้ข่าวนี้มาหลายเดือนแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถูกปรับขึ้นขนาดไหน ถ้าปรับขี้นไม่ได้มากกว่าที่คาด ตลาดหุ้นก็จะไม่ตกลงมา ดังนั้น กรณีของเวียดนาม เราก็คงจะต้องดูกันต่อไปว่าตลาดจะขึ้นหรือลงในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังการประกาศ
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือ ในระยะยาว การค้าขายระหว่างเวียดนามกับสหรัฐ และประเทศอื่นจะดีขึ้นหรือแย่ลง เหตุผลก็เพราะว่าเวียดนามนั้นอาศัยการส่งออกสินค้าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของตนเองมาก และที่ GDP ของเวียดนามโตเอา ๆ ในช่วงอย่างน้อย 10 ปีที่ผ่านมานั้นก็เพราะเวียดนามมีความสามารถในการผลิตสินค้า หรือบริการที่แข่งขันได้ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งในขณะที่คุณภาพไม่แพ้คนอื่น และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะศักยภาพของคนเวียดนามที่สูง และมีกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้น และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีกอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า
ความเห็นของผมก็คือ ถ้าไม่นับเรื่องของสงครามการค้าและ “ระเบียบโลกใหม่” ที่หลายคนพูดว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น Globalized คือ เปิดกว้างและไม่มีกำแพงขวางกั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลายเป็นโลกที่ปิดตัวลงไปมากด้วยการตั้งกำแพงภาษีที่ทรัมป์กำลังทำ เวียดนามก็จะต้องเจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็วแบบ “ไม่มีอะไรมาขวางได้” อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศอุตสาหกรรมใหม่คือ ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และสิงคโปร์ เมื่อซัก 5-60 ปีก่อน และเกิดขึ้นกับ มาเลเซีย ไทย และอีกหลายประเทศในอาเซียน เมื่อประมาณซัก 40 ปีก่อน
คำถามที่ต้องการคำตอบก็คือ สงครามการค้ารอบนี้สุดท้ายจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของสินค้าในโลกนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญแค่ไหน? ถ้าสินค้าก็ยังเคลื่อนไหวเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนประเทศไป เช่น จากเดิมสินค้า ก. ผลิตจากจีนและส่งไปสหรัฐ ต่อไปกลายเป็นผลิตจากเวียดนาม และส่งไปสหรัฐแทน ในกรณีแบบนี้ เศรษฐกิจของเวียดนามไม่ได้แย่ลงแต่อาจจะดีขึ้นด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่ว่าสินค้านั้นแทนที่จะผลิตในจีนและส่งไปขายให้สหรัฐ กลายเป็นว่าสหรัฐผลิตเอง และขายให้คนในประเทศ แบบนี้การค้าระหว่างประเทศก็จะลดลง เวียดนามเองก็จะส่งออกสินค้าได้น้อยลง การเติบโตของเศรษฐกิจก็จะลดลง แบบนี้เวียดนามเสียหายแน่
ผมเองคิดว่าฉากทัศน์น่าจะเป็นแบบแรก เพราะสหรัฐคงไม่สามารถสร้างโรงงานเพื่อที่จะผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลเพื่อป้อนให้กับคนสหรัฐได้ทัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นักธุรกิจและนักลงทุนเองก็ไม่อยากสร้าง เพราะผลตอบแทนของการผลิตและขายสินค้าที่ไม่ได้เป็นไฮเทคนั้นค่อนข้างต่ำ ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเองก็สูงเนื่องจากค่าแรงของคนสหรัฐสูงมาก ต่อให้ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ ต้นทุนก็สู้ประเทศอย่างจีนหรือเวียดนามไม่ได้ ว่าที่จริงปัจจุบันนี้โรงงานในประเทศอย่างเวียดนามก็น่าจะใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติแพร่หลายอยู่แล้ว
หน้าที่ของเวียดนามตอนนี้ก็คือ การพยายามทำตัวให้เป็นคนที่ “ไม่เอาเปรียบสหรัฐ” เพื่อที่ว่าสหรัฐจะนำเข้าสินค้าจากเวียดนามแทนจีนและ/หรือประเทศอื่นที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษีศุลกากรอย่างหนัก
เวียดนามไม่รอให้สหรัฐประกาศขึ้นภาษีตนเอง แต่ประกาศจะซื้อเครื่องบินพาณิชย์จากโบอิงหลายร้อยลำ ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานอื่น ๆ รวมถึงการซื้ออาวุธบางส่วน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะลดการได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐโดยไม่ต้องให้สหรัฐมาเจรจา เป็นการ “เอาใจสุด ๆ” ที่ไม่มีประเทศไหนทำ
เวียดนามยังพยายามเชิญชวนนักธุรกิจสหรัฐให้มาลงทุนและทำธุรกิจกับเวียดนามซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาก เมื่อไม่กี่วันมานี้ นักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐจำนวนหลายสิบคนมาเยี่ยมเยือนเวียดนาม พวกเขาเห็นศักยภาพของเวียดนาม และเห็นโอกาสที่จะทำธุรกิจหลากหลายซึ่งรวมถึงธุรกิจที่สามารถส่งกลับไปที่สหรัฐได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ทรัมป์เองก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในเวียดนาม นี่ก็เป็นภาพที่ไม่เห็นในประเทศอื่นเช่นกัน
เวียดนามยังพยายามทำให้เป็นตัวเลือกของสหรัฐในด้านของการเป็นผู้ผลิต หรือให้บริการสนับสนุนหรือเป็น Supplier ของสินค้า ไฮเทคให้สหรัฐแทนจีน เห็นได้จากการที่เจนเซ่น หวง CEO ของ NVIDIA ได้ไปเยี่ยมเยืยน และทำธุรกิจกับเวียดนามโดยการขายชิพ AI ที่หาได้ยากในท้องตลาดให้กับ FPT บริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่ของเวียดนาม ภาพของเจนเซ่นหวงนั่งกินอาหารสตรีทฟู้ดกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามนั้นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวียดนามนั้น น่าจะเป็นคนที่ได้รับมากกว่าที่จะเสียประโยชน์จากสงครามการค้า
เวียดนามยังทำมากกว่านั้น จริงอยู่ว่านี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของสงครามการค้าที่จะกระทบกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศ พวกเขากำลังพยายามปฏิรูปประเทศในทุกด้านตั้งแต่เรื่องคอร์รัปชันที่มีการปราบปรามอย่างเต็มที่จนคะแนนสูงกว่าไทยไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการศึกษาที่พยายามเน้นการเรียนทางด้าน STEM หรือสาย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่จำเป็นสำหรับการผลิตและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
และที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ “น่าทึ่ง” ก็คือการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินแนวเดียวกับที่ทรัมป์และอีลอนมัสก์ทำนั่นก็คือ ลดความซ้ำซ้อนและความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานโดยการลดจำนวนกระทรวงต่าง ๆ ลง ลดจำนวนจังหวัดลงประมาณครึ่งหนึ่ง ลดหน่วยงานระดับท้องถิ่น 60-70% ลดหน่วยงานในภาครัฐลง 1 ใน 3 และตำแหน่งงานในภาครัฐ 1 ใน 5 จะถูกปลดออกภายใน 5 ปี เป็นต้น ทั้งหมดนี้ผมเองไม่เคยเห็นเลยในประเทศคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยมที่มีแต่จะเพิ่มจำนวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อควบคุมหรือสอดส่องประชาชนเป็นหลัก
มาถึงเรื่องตลาดหุ้นก็มีพัฒนาการที่น่าจะกำลังเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้นั่นก็คือ การมาของระบบซื้อ-ขายหุ้นที่ทันสมัยสามารถรองรับการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และการที่ตลาดหุ้นจะถูกยกระดับขึ้นเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับการรับรองจากฟุตซี่และ MSCI ที่จะทำให้กองทุนขนาดใหญ่ของโลกสามารถเข้ามาลงทุนได้ นอกจากนั้น นักลงทุนส่วนบุคคลในประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและถึงนาทีนี้ก็น่าจะสูงกว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว
รัฐบาลเองนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงโดยการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศโดยการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนโดยเฉพาะแนวไฮเทคเต็มที่ เป้าหมายการส่งออกและการเจริญเติบโตของ GDP สำหรับปีนี้และปีต่อไปสูงลิ่วที่ประมาณ 6-7% ขึ้นไปและนับถึงวันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้แม้ว่าโลกของการค้ากำลังปั่นป่วนด้วยสงครามการค้า
และที่แปลกไปกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นหลาย ๆ แห่งก็คือ เวียดนามไม่พูดถึงเรื่องการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยการแจกเงินหรือทำโครงการเร่งด่วนที่จะช่วยให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้นหรือป้องกันไม่ให้ถดถอยลงไปมาก พวกเขามีโครงการใหญ่มหึมาที่จะช่วยยกระดับสาธารณูปโภค เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบินและอื่น ๆ ที่ต้องใช้เวลาหลายปี และพวกเขาก็จะทำได้เพราะหนี้ของประชาชนและหนี้ของประเทศยังต่ำมาก
ข้อสรุปของผมก็คือ เวียดนามวันนี้มีความแข็งแรงและแข็งแกร่งมาก และอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ที่ดีมากเพราะไม่ได้เป็นฝ่ายไหนเลยแต่สนิทกับทั้งสหรัฐและจีนที่ต่างก็ต้องการเวียดนามเป็นพวก
ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามนั้น เติบโตดีอย่างมั่นคงมา 2 ปีแล้ว โดยปี 2023 ปรับตัวขึ้นประมาณ 13% และปี 2024 ขึ้นอีก 12% ไม่รวมปันผล จากต้นปี 2025 ถึงวันที่ 21 มี.ค. ดัชนีขึ้นมาแล้วประมาณ 4% และอยู่ที่ 1,322 จุด และสูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2518 หรือ 50 ปีแล้ว ในขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามเปิดมาแค่ 25 ปี
ถ้าถามผมว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะเป็นอย่างไรในระยะยาว เช่น 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำตอบของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้น น่าจะกำลังมุ่งเข้าสู่ “ทศวรรษทอง” คือ เติบโตต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 8 ปี โดยที่สงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นนั้นอาจจะทำให้ดัชนีตกลงไปบ้าง แต่หลังจากนั้นมันก็จะขึ้นต่อไปตามศักยภาพของประเทศ และบริษัทจดทะเบียนที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม นี่คือการคาดการณ์ที่มีโอกาสผิดพลาดสูงพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงที่โลกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจและการลงทุนระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศในอาเซียน ได้พากลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 60 แห่ง เดินทางเยือนเวียดนาม นำโดย Apple, Amazon, Intel, Coca-Cola, Nike และ Boeing เป็นต้น ถือเป็นการมาเยือนเวียดนามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 41 ปีของ USABC
Ted Osius ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) และอดีตทูตสหรัฐฯ ประจำเวียดนาม กล่าวว่า เวียดนามถูกยกให้เป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยมีการลงนามข้อตกลงด้านพลังงานมูลค่ากว่า 4.15 พันล้านดอลลาร์ อีกทั้งบริษัทสหรัฐฯ ยังแสดงความสนใจลงทุนในหลายภาคส่วน ทั้งเทคโนโลยีสีเขียว, AI, เซมิคอนดักเตอร์, พลังงาน, โลจิสติกส์, การเงิน และการท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เน้นย้ำว่า เศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ไม่ได้แข่งขันกัน พร้อมผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัล
ทั้งนี้ เวียดนามกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมีปัจจัยหนุนจากการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเปิดตลาด การลดอุปสรรคทางการค้า และอาจจะเป็นโอกาสทองของนักลงทุนที่มองหาตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง
Source: theinvestor.vn
ลดหย่อนภาษีปีนี้ ซื้อกองทุนอะไรดี? สรุปมาให้แล้วแบบครบ ๆ ทั้งกองทุน RMF และกองทุน Thai ESG จากหลากหลาย บลจ. ด้วยคำแนะนำการลงทุนที่เป็นกลาง (อัปเดตล่าสุด มีนาคม 2025)
สำหรับสายจัดพอร์ตห้ามพลาด!! ดูโพยกองทุนจัดชุด RMF ประจำปี 2025 คัดให้ครบทั้งความเสี่ยงสูง กลาง ต่ำ ได้ที่ https://www.finnomena.com/finnomenafunds/ssf-rmf-series-package
มุมมองการลงทุนโดย Finnomena Funds ณ เดือนมีนาคม 2025
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
มุมมองการลงทุนโดย Finnomena Funds ณ เดือนมีนาคม 2025
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม คลิกเลย
การคัดเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2025 ทั้ง RMF และ Thai ESG เราได้พิจารณาจากกองทุน F-Pick ในปัจจุบัน และทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Screening) และวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Qualitative Screening) เพื่อให้ได้กองทุนลดหย่อนภาษีที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในระยะยาวจากกองทุนที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เราพิจารณาผลการดำเนินงานย้อนหลังระยะยาว (Long-Term Past Performance) ของกองทุนหลักในต่างประเทศเพื่อให้เห็นถึงผลการดำเนินงานในระยะยาวอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของผลตอบแทนและความเสี่ยงที่สอดคล้องกับระยะเวลาลงทุนในกลุ่มกองทุนลดหย่อนภาษี
แม้ว่าผลตอบแทนในอดีตจะไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต แต่ผลการดำเนินงานย้อนหลังในระยะยาวได้พิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุนผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่ากองทุนดังกล่าวเหมาะสมสำหรับการลงทุนในระยะยาวอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากผลการดำเนินงานในอดีตที่เป็นหลักฐานของความสำเร็จในอดีตของกองทุนแล้ว เราได้พิจารณาปัจจัยเชิงคุณภาพของกองทุนเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าความสามารถในอดีตจะสามารถส่งต่อไปยังผลการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง
โดยพิจารณาในเรื่องของปรัชญาการลงทุน (Investment Philosophy) และกระบวนการการลงทุน (Investment Process) เพื่อดูว่าภาพรวมการบริหารของกองทุนจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้ดีต่อเนื่องไปในระยะยาวได้หรือไม่
อีกทั้งได้เพิ่มการพิจารณาในส่วนของนโยบายการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (FX Hedging Policy) เนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินที่ผันผวนและต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินในปัจจุบันเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงก่อนการลงทุนในกองทุนรวม และส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เชิงคุณภาพในหลายมิติ เพื่อที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนสามารถสะท้อนออกมาสู่นักลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เลือกลงทุนกองทุนประหยัดภาษีทั้ง RMF และ Thai ESG จากหลากหลาย บลจ. บนแพลตฟอร์มการลงทุนที่เป็นกลาง ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/tax-saving-fund-ws
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
อยากซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีแบบจัดพอร์ต กระจายความเสี่ยงให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน Finnomena Funds คัดมาให้แล้ว โพยจัดชุด RMF ที่มีให้เลือกครบทั้งแบบความเสี่ยงสูง ปานกลาง และต่ำ (อัปเดตล่าสุด มีนาคม 2025)
นักรบ DIY ห้ามพลาด!! ดูโพยกองทุนประหยัดภาษี แนะนำรายกองทั้ง RMF และ Thai ESG ได้ที่ https://www.finnomena.com/finnomenafunds/ssf-rmf-for-diy
เลือกลงทุนกองทุนประหยัดภาษีทั้ง RMF และ Thai ESG จากหลากหลาย บลจ. บนแพลตฟอร์มการลงทุนที่เป็นกลาง ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/tax-saving-fund-ws
KKP GNP RMF-UH สัดส่วน 40%: กองทุนหุ้นโลก คัดลือกหุ้นแบบ Bottom-Up เพื่อสร้าง Alpha ในระยะยาว พร้อมกับรักษาความผันผวนของพอร์ตให้ไม่สูงเกินไป
B-INNOTECHRMF สัดส่วน 30%: กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-Up เน้นหุ้นเติบโต มูลค่าไม่แพง และมีความผันผวนน้อยกว่ากองทุนหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ
PRINCIPAL VNEQRMF สัดส่วน 30%: กองทุนหุ้นเวียดนามกองทุนแรกของประเทศไทยที่ทำการลงทุนในเวียดนามโดยตรง ซึ่งเชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น และหา Sector ที่มีโอกาสเติบโตระยะยาว
RMF Series 7 เป็นพอร์ตกองทุนลดหย่อนภาษีที่เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง คาดหวังผลตอบที่ดีในระยะยาวจากตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโต
UGISRMF สัดส่วน 40%: กองทุนตราสารหนี้โลก มีจุดเด่นที่การลงทุนแบบเชิงรุก ปรับสัดส่วนตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ ภายใต้ความผันผวนที่ต่ำ
KKP GNP RMF-UH สัดส่วน 30%: กองทุนหุ้นโลก คัดลือกหุ้นแบบ Bottom-Up เพื่อสร้าง Alpha ในระยะยาว พร้อมกับรักษาความผันผวนของพอร์ตให้ไม่สูงเกินไป
B-INNOTECHRMF สัดส่วน 30%: กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-Up เน้นหุ้นเติบโต มูลค่าไม่แพง และมีความผันผวนน้อยกว่ากองทุนหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ
RMF Series 5 เป็นพอร์ตกองทุนลดหย่อนภาษีที่เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงระดับปานกลางขึ้นไป ต้องการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก
UGBFRMF สัดส่วน 40%: กองทุนผสมหุ้นทั่วโลก 50% และตราสารหนี้ทั่วโลก 50% บริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ สามารถเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว
UGISRMF สัดส่วน 30%: กองทุนตราสารหนี้โลก มีจุดเด่นที่การลงทุนแบบเชิงรุก ปรับสัดส่วนตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ ภายใต้ความผันผวนที่ต่ำ
KKP INRMF สัดส่วน 30%: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนทั้งในประเทศไทย ทั้งเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ภาคเอกชน
RMF Series 3 เป็นพอร์ตกองทุนลดหย่อนภาษีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก เพื่อสร้างผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ
UGISRMF สัดส่วน 50%: กองทุนตราสารหนี้โลก มีจุดเด่นที่การลงทุนแบบเชิงรุก ปรับสัดส่วนตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ ภายใต้ความผันผวนที่ต่ำ
KKP INRMF สัดส่วน 50%: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนทั้งในประเทศไทย ทั้งเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ภาคเอกชน
RMF Series 1 เป็นพอร์ตกองทุนลดหย่อนภาษีที่เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ไม่ชอบความผันผวน เน้นผลตอบแทนชนะเงินฝาก
การคัดเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2024 ทั้ง RMF SSF และ Thai ESG เราได้พิจารณาจากกองทุน F-Pick ในปัจจุบัน และทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Screening) และวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Qualitative Screening) เพื่อให้ได้กองทุนลดหย่อนภาษีที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในระยะยาวจากกองทุนที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เราพิจารณาผลการดำเนินงานย้อนหลังระยะยาว (Long-Term Past Performance) ของกองทุนหลักในต่างประเทศเพื่อให้เห็นถึงผลการดำเนินงานในระยะยาวอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของผลตอบแทนและความเสี่ยงที่สอดคล้องกับระยะเวลาลงทุนในกลุ่มกองทุนลดหย่อนภาษี
แม้ว่าผลตอบแทนในอดีตจะไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต แต่ผลการดำเนินงานย้อนหลังในระยะยาวได้พิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุนผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่ากองทุนดังกล่าวเหมาะสมสำหรับการลงทุนในระยะยาวอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากผลการดำเนินงานในอดีตที่เป็นหลักฐานของความสำเร็จในอดีตของกองทุนแล้ว เราได้พิจารณาปัจจัยเชิงคุณภาพของกองทุนเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าความสามารถในอดีตจะสามารถส่งต่อไปยังผลการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง
โดยพิจารณาในเรื่องของปรัชญาการลงทุน (Investment Philosophy) และกระบวนการการลงทุน (Investment Process) เพื่อดูว่าภาพรวมการบริหารของกองทุนจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้ดีต่อเนื่องไปในระยะยาวได้หรือไม่
อีกทั้งได้เพิ่มการพิจารณาในส่วนของนโยบายการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (FX Hedging Policy) เนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินที่ผันผวนและต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินในปัจจุบันเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงก่อนการลงทุนในกองทุนรวม และส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เชิงคุณภาพในหลายมิติ เพื่อที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนสามารถสะท้อนออกมาสู่นักลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เลือกลงทุนกองทุนประหยัดภาษีทั้ง RMF และ Thai ESG จากหลากหลาย บลจ. บนแพลตฟอร์มการลงทุนที่เป็นกลาง ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/tax-saving-fund-ws
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”| สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Cathie Wood ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง ARK Invest ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแนวคิดการลงทุนที่มุ่งเน้นในหุ้นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก ไม่ว่าจะเป็น AI, EV, Bitcoin, Blockchain, Fintech, Space และ Genomic เป็นต้น
ชื่อเสียงของเธอโด่งดังขึ้นมาจากการทำนายอนาคตของ Tesla ตั้งแต่ช่วงที่หุ้นยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการมองเห็นศักยภาพของ Bitcoin และ AI ก่อนที่กระแสหลักจะให้ความสนใจ
และล่าสุด Cathie Wood เพิ่งออกมายืนยันว่ายังคงเชื่อมั่นในอนาคตของ Tesla โดยมองราคาเป้าหมายที่ $2,600 ภายในปี 2029 แม้ว่าหุ้นจะร่วงลงกว่า 41% ตั้งแต่ต้นปี เพราะคาดว่า Tesla จะครองตลาดรถไร้คนขับ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 8-10 ล้านล้านเหรียญ และอาจผลักดันกำไรขั้นต้นของบริษัทจาก 16% เป็น 90%
ในขณะเดียวกัน Cathie Wood ยังคงมั่นใจในอนาคตของ Bitcoin โดยคาดว่าราคาจะพุ่งแตะ $1.5 ล้าน ภายในปี 2030 จากรอบวัฏจักรของ Bitcoin ที่ยังคงเป็นขาขึ้น และการปรับกฎระเบียบในสหรัฐฯ จะช่วยดึงดูดนักลงทุนสถาบันให้เข้ามาลงทุนมากขึ้น
Source: finance.yahoo, tradingview
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
นอกจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก็ปัญหาฝุ่นการเงินนี่แหละ ที่ทำให้การเงินไม่เดินหน้าไปไหนสักที… ดังนั้นเรามาปัดฝุ่นการเงินกันเถอะ!
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid04g2WV9KvGd9vWkVPWnFxK2a2dci6NbwqChu6Ga17Yo5AHvHgjvBCzE1HDZKiuNekl
Promotion RMF ปี 2568
ระหว่างวันที่ 2 มกราคม – 30 ธันวาคม 2568
กองทุน DAOL-GLOBALEQRMF และ DAOL-GOLDRMF
โปรโมชั่นสำหรับผู้ลงทุน ยอดเงินลงทุนสะสมทุกๆ 50,000 บาท รับหน่วยลงทุนกองทุน DAOL-MONEY-R มูลค่า 100 บาท
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ในสนามการแข่งขันของตลาดหุ้นทั่วโลก มีทีมหนึ่งที่กำลังถูกจับตามอง พวกเขาไม่ได้เล่นแค่เพื่อชัยชนะในระยะสั้น แต่มีความแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดในเกมระยะยาว ทีมนี้มีชื่อว่า “GRANOLAS 11” ที่รวมสุดยอดบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ยารักษาโรค เทคโนโลยี ไปจนถึงสินค้าแบรนด์หรู ซึ่งจัดทัพมาในระบบ “4-3-3” เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเกมรับและเกมรุกอย่างลงตัว
“GRANOLAS 11” มีที่มาจากการนำอักษรตัวหน้าของ 11 บริษัทในตลาดหุ้นยุโรป ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง กำไรเติบโตดี และมีอัตรากำไรสูงอย่างสม่ำเสมอ มาเรียงต่อกันดังนี้
G = GSK
R = Roche
A = ASML
NO = Novartis, Novo Nordisk และ Nestlé
L = L’Oréal และ LVMH
A = AstraZeneca
S = SAP และ Sanofi
3 กองหน้าของ GRANOLAS 11 คือสุดยอดบริษัทที่มีศักยภาพในการทำเกมรุกให้ทีมคว้าชัยชนะ
เริ่มกันที่ LVMH จากฝรั่งเศส – ศูนย์หน้าตัวเป้า (Striker)
กลุ่มบริษัทแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เฉียบคมและหรูหรา ด้วยอาณาจักรแบรนด์หรูที่ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า LVMH มีความสามารถในการจบสกอร์อย่างสมบูรณ์แบบ สร้างรายได้มหาศาลให้กับทีม และเป็นหนึ่งในกองหน้าที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด
ASML จากเนเธอร์แลนด์ – กองหน้าตัวริมเส้นฝั่งซ้าย (Left Wing Forward)
บริษัทผู้นำด้านเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ตัวจี๊ดที่มีเทคโนโลยีเป็นอาวุธเด็ด ด้วยความสามารถในการผลิตเครื่องจักรที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เปรียบเสมือนผู้เล่นที่สามารถทะลุทะลวงแนวรับของคู่แข่งได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
L’Oréal จากฝรั่งเศส – กองหน้าตัวริมเส้นฝั่งขวา (Right Wing Forward)
บริษัทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลความงามที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำหน้าที่เป็นปีกอีกฝั่ง นำความคิดสร้างสรรค์และความมีสไตล์มาสู่ทีม เปรียบได้กับนักเตะที่มีเทคนิคแพรวพราวและสามารถสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง
SAP จากเยอรมนี – กองกลางตัวรับ (Deep-Lying Playmaker)
บริษัทซอฟต์แวร์ ERP ชั้นนำของโลก รับบทเป็นตัวคุมจังหวะเกมหรือ Deep-Lying Playmaker ด้วยความสามารถด้านซอฟต์แวร์ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจทั่วโลก SAP ทำให้ทีม GRANOLAS 11 มีความแม่นยำและเป็นระบบระเบียบในการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็นการกระจายบอลไปยังแนวรุกหรือการสนับสนุนแนวรับให้มีความมั่นคง
Nestlé จากสวิตเซอร์แลนด์ – กองกลางตัวกลาง (Central Midfielder)
บริษัทอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นกองกลางที่ช่วยเพิ่มสมดุลให้กับทีม ด้วยความสามารถในการดำเนินธุรกิจอาหารที่มีเสถียรภาพและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนกองกลางที่สามารถปรับเปลี่ยนเกมได้ตามสถานการณ์
Novo Nordisk จากเดนมาร์ก – กองกลางตัวกลาง (Central Midfielder)
บริษัทยาชั้นนำด้านโรคเบาหวานจากเดนมาร์ก เป็นตัวควบคุมจังหวะเกมอีกคนที่ช่วยให้ทีมเล่นได้อย่างเป็นระบบ ด้วยธุรกิจที่เน้นรักษาโรคเบาหวานและสุขภาพ ทำให้ Novo Nordisk มีความแข็งแกร่งในระยะยาวและช่วยให้ทีมเดินเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Roche และ Novartis จากสวิตเซอร์แลนด์ – กองหลังตัวกลาง (Center Back)
แผงกองหลังของทีมนี้จับคู่โดย 2 บริษัทยาระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความต้องการสินค้าที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งสองสามารถปกป้องทีมจากความผันผวนของตลาดได้
AstraZeneca จากสหราชอาณาจักร – แบ็คซ้าย (Left Back)
บริษัทยาชั้นนำที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเภสัชกรรมระดับโลก เปรียบเสมือนฟูลแบ็คฝั่งซ้ายที่มีทั้งพลังเกมรับที่แข็งแกร่งและความสามารถในการเติมเกมรุก ด้วยนวัตกรรมด้านชีวเภสัชภัณฑ์ AstraZeneca ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับทีม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เกิดการเติบโตในระยะยาว
Sanofi จากฝรั่งเศส – แบ็คขวา (Right Back)
อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชกรรมที่รับบทเป็นฟูลแบ็คฝั่งขวา ทำหน้าที่เป็นแนวรับที่เหนียวแน่นและสามารถดันขึ้นไปมีบทบาทในเกมรุกได้ Sanofi มีจุดเด่นในด้านวัคซีนและยารักษาโรคเรื้อรัง ทำให้บริษัทมีความมั่นคงและสามารถช่วยทีมรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
GlaxoSmithKline (GSK) จากสหราชอาณาจักร – ผู้รักษาประตู (Goalkeeper)
ด้วยประสบการณ์และความมั่นคงในอุตสาหกรรมยา ทำให้ GSK มีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงและช่วยให้ทีมไม่เสียประตูง่าย ๆ ความแข็งแกร่งในเชิงการเงินและการเติบโตของธุรกิจทำให้มั่นใจได้ว่า ทีม GRANOLAS 11 จะมีแนวรับที่เหนียวแน่นเสมอ
ทีม GRANOLAS 11 ไม่ใช่ทีมที่เน้นเกมรุกหรือเกมรับเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นทีมที่เล่นอย่างสมดุล พวกเขามีแนวรับที่แข็งแกร่งจากอุตสาหกรรมยา มีแดนกลางที่คอยควบคุมจังหวะเกมอย่างเป็นระบบ และมีแนวรุกที่พร้อมทำประตูจากพลังของเทคโนโลยีและแบรนด์หรู
สิ่งที่ทำให้ GRANOLAS 11 เป็นทีมที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนคือ ความสามารถในการกระจายความเสี่ยง ทีมนี้ไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่กระจายการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ทำให้สามารถรับมือกับภาวะตลาดที่ผันผวนได้ดีกว่าทีมที่มีโครงสร้างกระจุกตัว
GRANOLAS 11 ไม่ใช่ทีมที่หวือหวาแบบทีมเทคโนโลยีล้วน ๆ แต่เป็นทีมที่สร้างขึ้นเพื่อให้เล่นได้อย่างมั่นคง มีแทคติคที่ยืดหยุ่น และสามารถยืนระยะได้ในระยะยาว การมีทั้งหุ้นกลุ่มสุขภาพ อาหาร แบรนด์หรู และเทคโนโลยี ทำให้ GRANOLAS 11 เป็นทีมที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ตลาดที่หลากหลาย
📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mr-messenger/europe-mar-2025
อ้างอิง: The Irish Times, Cboe Global Markets, Money Lab
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของ AI ดูเหมือนจะถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น OpenAI, Google หรือ Meta แต่ในวันนี้ภาพนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อจีนไม่ได้เลือกที่จะเล่นตามหลังอย่างเงียบ ๆ อีกต่อไป แต่กลับเปิดเกมรุกเต็มสูบด้วยทรัพยากรและความมุ่งมั่น กลายเป็นผู้ท้าชิงที่ไม่อาจมองข้ามในเวทีเทคโนโลยีโลก แล้วเราในฐานะนักลงทุนจะมองเห็นโอกาสอะไรจากปรากฏการณ์นี้บ้าง?
จีนกำลังแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการพัฒนา AI ผ่านการเคลื่อนไหวของบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ที่พร้อมทุ่มทุนและนวัตกรรมเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการนี้
เริ่มจาก Baidu กับแชตบอทอย่าง Ernie Bot โดยมีโมเดลเรือธงคือ Ernie X1 ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ DeepSeek-R1 และ GPT-4 โดย Baidu ยังคงปรับปรุงพัฒนา Ernie X1 อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความสามารถและความแม่นยำในการทำงาน
Baidu ยังเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ ผ่าน Apollo แพลตฟอร์มที่ใช้ AI ในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ
ขณะเดียวกัน Alibaba ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซและคลาวด์คอมพิวติ้ง ก็ไม่ยอมน้อยหน้าด้วยการประกาศทุ่มเงินลงทุนในเทคโนโลยี AIถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.68 ล้านล้านบาท) โดยเฉพาะโมเดล Qwen ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลกอย่าง ChatGPT และ DeepSeek
นอกจากนี้ ยังมี Alibaba Cloud ที่ใช้ AI เพื่อให้บริการโซลูชั่น AI ให้กับธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงการใช้ AI ในการวิเคราะห์ Big Data
ในฝั่งของ Tencent บริษัทที่ครองใจผู้ใช้ผ่าน WeChat และเกมออนไลน์ยอดฮิตเช่น League of Legends และ PUBG Mobile ก็เร่งเครื่องพัฒนา Cloud AI โดยเตรียมใช้งบลงทุนกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 370,000 ล้านบาท)
โดยเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Tencent ได้เปิดตัว Yuanbao แชตบอทที่ผสานเทคโนโลยี Hunyuan ซึ่งพัฒนาโดย Baidu เข้ากับโมเดลการให้เหตุผลจาก DeepSeek เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การแชตไปจนถึงการช่วยเหลือในงานที่ซับซ้อน
ด้านผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง DeepSeek ก็ได้สร้างความฮือฮาไปก่อนหน้านี้ ด้วยการปล่อยโมเดล AI ใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพสูงในราคาที่ต่ำกว่าอย่าง DeepSeek-R1 ที่ถูกยกย่องว่าสามารถเทียบชั้นกับโมเดลชั้นนำอย่าง GPT-4 ได้ในต้นทุนเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่าถึง 95% เมื่อเทียบกับคู่แข่งจากสหรัฐฯ ที่ใช้เงินในการพัฒนาถึง 100 ล้านดอลลาร์
สิ่งที่ทำให้ AI สไตล์จีนแตกต่างคือแนวทางการพัฒนาที่เน้นประสิทธิภาพภายใต้ข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการถูกคว่ำบาตรชิปจากสหรัฐฯ หรือการต้องพึ่งพาทรัพยากรภายในประเทศ ความท้าทายเหล่านี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ
เช่น การใช้สถาปัตยกรรม MoE (Mixture of Experts) ในโมเดลของ DeepSeek ที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ หรือการพัฒนาเฟรมเวิร์กอย่าง Chitu ที่เพิ่มความเร็ว AI ได้ถึง 315% พร้อมลดการพึ่งพา GPU ลงครึ่งหนึ่ง
ทิศทางของ AI จีนอาจไม่ได้หยุดแค่การแข่งขันในระดับเทคโนโลยี แต่ยังมีโอกาสขยายอิทธิพลไปสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งต้องการโซลูชันราคาถูกแต่ทรงพลัง
อ้างอิง: Business Today, Reuters, South China Morning Post
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ทำความรู้จักกับกองทุนในกลุ่ม MEGA10 Series ได้แก่ MEGA10 หุ้นอเมริกา, MEGA10AI หุ้นเอไอ, MEGA10CHINA หุ้นจีน และ MEGA10EURO หุ้นยุโรป เปรียบเทียบชัด ๆ ลงทุนหุ้นอะไรบ้าง กลยุทธ์แตกต่างกันอย่างไร?
MEGA10 Series คือกลุ่มกองทุนรวมจาก บลจ. ทาลิส ที่มีคอนเซปต์ชัดเจน จำง่าย และน่าสนใจ ด้วยการคัดสรรหุ้นเพียง 10 ตัว เน้นไปที่บริษัทขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จัก สามารถตามข่าวสารได้สม่ำเสมอ สบายใจที่จะลงทุน พร้อมกับการเลือกธีมที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลก
กลยุทธ์การลงทุนของ MEGA10 Series จะเป็นแบบ Rule-based คือ กำหนดกฏการลงทุนที่ชัดเจน และอาศัยข้อมูลทางการเงิน ตัวชี้วัดทางสถิติต่าง ๆ มาเป็นปัจจัยช่วยคัดเลือกหุ้น โดยลดอารมณ์จากการลงทุนออกไปให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะมีการปรับพอร์ตทุก ๆ ครึ่งปี
ทำให้กองทุนมีความเป็น Semi-Active เป็นลูกผสมระหว่าง Passive ที่ล้อไปกับดัชนีอ้างอิงบางอย่าง และ Active ที่ต้องการเอาชนะตลาดจากความสามารถของผู้จัดการกองทุน
แต่ MEGA10 Series จะตัด Bias เรื่องการคัดหุ้นออกไป จากการออกแบบเกณฑ์เพื่อหาหุ้นเฉพาะกลุ่ม และไม่ได้มีการปรับพอร์ตที่บ่อยเหมือนกับ Active Fund ทั่วไป ในขณะเดียวกันนักลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นทั้งหมดในดัชนีแบบ Passive Fund แต่เลือกเอาเฉพาะหุ้นคุณภาพดีที่สุดเพียง 10 ตัวเท่านั้น แล้วลงทุนแบบน้ำหนัก เท่า ๆ กัน ตัวละ 10% (Equal Weight)
Source: Talis Asset Management as of Mar 2025
ลงทุนใน 10 หุ้นที่เป็น Global Brands ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Nvidia, Oracle, Visa, Mastercard และ J.P. Morgan
ลงทุนใน 10 หุ้นชั้นนำด้านเทคโนโลยี AI และได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Nvidia, Oracle, TSMC, Broadcom, Salesforce
ลงทุนใน 10 หุ้นยุโรปที่มีความสามารถในการทำกำไรที่สูง ซึ่งอยู่ในดัชนี EuroStoxx50 ได้แก่ LVMH, ASML, L’Oreal, Hermès, Inditex, EssilorLuxottica, Sanofi, SAP, Schneider Electric, ABInBev
ลงทุนใน 10 หุ้นจีนที่มี Brand อันทรงอิทธิพลในประเทศจีน และไม่ถูกครอบเงาโดยทางการจีน ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ Tencent, Alibaba, Ping An Insurance, BYD, Xiaomi, Baidu, Maituan, NetEase, Nongfu Spring, JD.com
หมายเหตุ: ข้อมูลบริษัทอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และการลงทุนของกองทุนมิได้ลงทุนใน 10 บริษัทข้างต้นนี้เสมอไป บริษัทดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเกณฑ์การลงทุนและสภาวการณ์การลงทุน ณ ขณะนั้น
Source: Talis Asset Management as of Mar 2025
สุดท้ายนี้ การลงทุนใน MEGA10 Series เราสามารถออกแบบการลงทุนในลักษณะผสมกองทุนด้วยตัวเองได้ เช่น การนำ MEGA10-A มาจัดพอร์ตร่วมกับ MEGA10CHINA-A เพื่อแบ่งครึ่งการลงทุนใน 2 มหาอำนาจของโลก หรือกระจายการลงทุนในภูมิภาคขนาดใหญ่ที่สำคัญของโลก ผ่าน MEGA10-A หรือ MEGA10AI-A ร่วมกับ MEGA10CHINA-A และ MEGA10EURO-A เป็นต้น
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
แนวคิดเกษียณแบบ (Financial Independence, Retire Early) หรือการเกษียณเร็วไฟลุก! ก่อนอายุ 40 หรือ 50 ปี เพื่อมีอิสรภาพทางการเงิน ด้วยการทุ่มเททำงาน ออมอย่างบ้าคลั่ง และเลือกลงทุนขั้นสูง จนมี Passive Income ใช้หลังเกษียณทุกเดือน
แต่การจะรวยก่อนแก่แบบนี้ได้ ต้องวางแผนและลงมือทำอย่างจริงจังตามขั้นตอนเหล่านี้
1.ตั้งเป้าหมายเงินที่ต้องมี ด้วยกฎ 25 เท่า
คำนวณรายจ่ายต่อปีแล้วคูณด้วย 25 เท่า เช่น ถ้าต้องการใช้เงินปีละ 500,000 บาท ต้องมีเงินสะสม 12.5 ล้านบาท เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณอย่างมั่นคง
2. ออมเงินให้ได้ในสัดส่วน 50-70% ของรายได้
ออมเงินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อเร่งความเร็วในการเก็บเงินและสร้างความมั่นคงในอนาคต
3. คุมค่าใช้จ่ายอย่างหนัก ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป
โดยเริ่มจากการทำบันทึกรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าเงินไหลเข้าหรือไหลออกทางไหน
4.หนักแน่นและมีสติทุกครั้งในการใช้เงิน
ไม่หวั่นไหวกับสิ่งล่อตาล่อใจ และต้องถามตัวเองทุกครั้งก่อนใช้จ่ายว่า “สิ่งที่ซื้อนั้นจำเป็นจริงหรือไม่?”
5.เพิ่มแหล่งรายได้ด้วยอาชีพเสริม
สร้างแหล่งรายได้อื่นนอกจากงานประจำโดยอาจจะเป็นงานพาร์ทไทม์หรืองานฟรีแลนซ์ตามที่เราถนัด
6.ลงทุนเพื่อให้เงินเติบโตระยะยาว
เงินเฟ้อพุ่งแรงแบบนี้ แค่การออมเงินอาจไม่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายเกษียณเร็วได้ตามที่ตั้งใจ เราจึงต้องต่อยอดเงินให้เติบโตด้วย “การลงทุน” เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
7.กล้าลงทุนในความเสี่ยงสูงโดยใช้กฎ 100-อายุ
หมายความคือ หากอายุ 30 ปี 100-30 =70 คือสัดส่วนของทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงในพอร์ต และ 30 ที่เหลือคือทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่ำ
8. บริหารเงินเกษียณด้วยกฎ 4%
เมื่อเกษียณให้นำเงินออกมาใช้ได้ไม่เกินปีละ 4% ของเงินเก็บทั้งหมด เพื่อไม่ให้กระทบเงินต้นหรือกระทบให้น้อยที่สุด โดยเงินที่เหลือสามารถต่อไปต่อได้เรื่อยๆ
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
Highlight
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อ นโยบายการเงินที่ตึงเครียด และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
“อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ตลาดหุ้นยุโรปกำลังแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่น่าสนใจ”
ตลาดหุ้นยุโรปในช่วงต้นปี 2025 แสดงถึงการฟื้นตัว โดยเฉพาะหลังจากที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2025 ซึ่งนับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 6 ในรอบ 9 เดือน การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของทั้งสองฝั่ง
เศรษฐกิจยุโรป (เส้นสีเหลือง) มีแนวโน้มฟื้นตัวเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ | Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 03/03/2025
ปัจจุบันยุโรปไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางของอุตสาหกรรมดั้งเดิมหรือเศรษฐกิจยุคเก่าอีกต่อไป แต่กำลังปรับตัวสู่อนาคตด้วยการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น เทคโนโลยีสีเขียว พลังงานสะอาด และนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงการนำ AI มาปรับใช้ในภาคการผลิต ซึ่งทำให้หลายบริษัทในภูมิภาคนี้มีโอกาสเติบโตท่ามกลางโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
สำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากตลาดใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐฯ หรือจีน หุ้นยุโรปอาจเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าจับตามอง ด้วยแนวโน้มการฟื้นตัวและโอกาสเติบโตในระยะยาว
กองทุน ONE-EUROEQ หรือกองทุนเปิด วรรณ ยูโรเปี้ยน อิควิตี้ เป็นกองทุนหุ้นยุโรปที่มีกองทุนหลักคือ Eleva European Selection Fund ซึ่งบริหารโดย ELEVA Capital บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกลงทุนในหุ้นยุโรปผ่านการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management)
นอกจากนี้ ยังใช้กลยุทธ์มุ่งเน้นการคัดเลือกบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตสูง แต่ยังไม่สะท้อนในราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน โดยมองหาบริษัทที่มีโอกาสสร้าง Upside ในระยะยาว และเน้นลงทุนในหุ้นที่อยู่นอกเรดาร์ของตลาด รวมถึงมีศักยภาพเติบโตในระยะ 3 – 5 ปี
เช่น Novo Nordisk ที่เป็นผู้นำในการผลิตอินซูลินรักษาเบาหวาน หรือ ASML Holding ที่ครองตลาดเครื่องฉายแสง EUV ซึ่งสำคัญมากต่อการพัฒนาเทคโนโลยี AI
ทั้งนี้ แม้ตลาดยุโรปอาจไม่มีหุ้นที่มีขนาดใหญ่เท่ากับ Big Tech ในสหรัฐฯ แต่ยุโรปยังคงเป็นแหล่งรวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั่วโลก
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ ELEVA Capital น่าสนใจคือ การลงทุนที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESG) ซึ่งไม่ได้แค่เป็นคำโฆษณา แต่เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดการลงทุนของบริษัท ทุกการตัดสินใจลงทุนจะคำนึงถึงความยั่งยืน และเชื่อว่าบริษัทที่ทำได้ดีในด้านนี้มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและสามารถรับมือกับความเสี่ยงในอนาคตได้ดีกว่า
โดยกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนหลักแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
สัดส่วนการลงทุนของกองทุนหลัก แยกตามประเทศและอุตสาหกรรม | Source: ELEVA European Selection’s Factsheet as of 28/02/2025
จากบริษัทเกือบ 13,000 แห่งในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA), สวิตเซอร์แลนด์, และสหราชอาณาจักร ELEVA จะคัดเลือกบริษัทที่ตรงตาม 3 เกณฑ์หลัก ได้แก่
หลังจากนั้น จะเลือกบริษัทที่มีคะแนน ESG สูงและคัดบริษัทที่มีคะแนนต่ำออก 20% ก่อนจะทำการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ เพื่อตัดสินใจเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
4 ธีมบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุน | Source: ELEVA European Selection
As of 06/03/2025
บริษัทที่กองทุนหลักของ ONE-EUROEQ ลงทุนสามารถแบ่งออกเป็น 4 ธีมหลัก ได้แก่
การลงทุนในทั้ง 4 ธีมนี้ทำให้กองทุนสามารถเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้บางบริษัทอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดหรือต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว
*หมายเหตุ: ข้อมูล ณ วันที่ 7 มีนาคม 2025 สัดส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ELEVA European Selection Top 10 Holdings | Source: Financial Times
As of 07/03/2025
พอร์ตโฟลิโอนี้มีการกระจายตัวในหลายอุตสาหกรรมและประเทศในยุโรป โดยมีสัดส่วนการลงทุนใน Top 10 รวมกันคิดเป็น 28.72% ของพอร์ตทั้งหมด
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนหลักตั้งแต่ ตั้งแต่วันที่ 26/01/2015 ถึง 08/03/2025
Source: ELEVA European Selection’s Factsheet as of 10/03/2025
*คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
กราฟนี้แสดงผลตอบแทนการลงทุนของกองทุน ELEVA European Selection (กองทุนหลัก) เปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด Stoxx Europe 600 NR ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2015 ถึง 8 มีนาคม 2025 โดยแสดงผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
จากข้อมูลที่ปรากฏในกราฟ กองทุน ELEVA European Selection (เส้นสีฟ้า) มีแนวโน้มผลตอบแทนดีกว่าดัชนี Stoxx Europe 600 NR (เส้นสีเทา) ตลอดช่วงระยะเวลาที่นำเสนอ (26 มกราคม 2015 ถึง 8 มีนาคม 2025)
ในช่วงระหว่างปี 2015 – 2018 ทั้ง 2 เส้นมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่หลังจากนั้น ELEVA European Selection เริ่มแสดงผลตอบแทนที่สูงกว่าอย่างชัดเจน
ในช่วงต้นปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการปรับฐานลงอย่างรุนแรงแต่หลังจากจุดต่ำสุดนั้น ทั้งกองทุน ELEVA European Selection และดัชนี Stoxx Europe 600 NR ก็ได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ELEVA European Selection มีการฟื้นตัวที่เร็วและแข็งแกร่งกว่า
เมื่อมาถึงปี 2022 เริ่มเห็นความแตกต่างของผลตอบแทนที่ชัดเจนมากขึ้น และความแตกต่างนี้ยังคงเพิ่มขึ้นจนถึงช่วงสิ้นสุดของกราฟในเดือนมีนาคม 2025
ณ จุดสิ้นสุดของกราฟ กองทุน ELEVA European Selection มีผลตอบแทนสะสมประมาณ 130 – 140% ในขณะที่ดัชนี Stoxx Europe 600 NR มีผลตอบแทนสะสมประมาณ 80 – 90%
แสดงให้เห็นว่ากองทุน ELEVA European Selection มีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าดัชนีชี้วัด Stoxx Europe 600 NR อย่างโดดเด่นในช่วงระยะเวลาที่แสดงในกราฟ แม้ว่าจะมีช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างรุนแรงในปี 2020 ก็ตาม
ทางด้านผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน ONE-EUROEQ ก็ไม่น้อยหน้า โดยมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม (Peer Avg) สูงถึง 4 ปีจาก 5 ปีย้อนหลัง
ผลการดำเนินงานในอดีต ONE-EUROEQ | Source: ONE-EUROEQ’s Factsheet
As of 31/01/2025
*คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
จากข้อมูลผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปีของกองทุน ONE-EUROEQ เมื่อเปรียบเทียบกับ ดัชนีชี้วัด (Benchmark) และ ค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกัน (Peer Avg) สามารถสรุปได้ดังนี้
สรุปภาพรวม ONE-EUROEQ มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม (Peer Avg) สูงถึง 4 ปีจาก 5 ปีที่ผ่านมา (ยกเว้นปี 2563) และทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีชี้วัด (Benchmark) ถึง 3 ปี (2563, 2564 และ 2567)
โดยเฉพาะในปี 2564 ที่ทำผลตอบแทนสูงถึง 27.53% และปี 2565 ที่ตลาดปรับตัวลง กองทุนยังสามารถจำกัดความเสียหายได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารความเสี่ยง
กองทุน ONE-EUROEQ เหมาะกับผู้ที่มองเห็นโอกาสในธุรกิจที่ยังไม่ถูกค้นพบเต็มที่หรือถูกมองข้ามในตลาด โดยกองทุนนี้เลือกลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว (3 – 5 ปี) แต่ยังไม่สะท้อนในราคาหุ้นปัจจุบัน ทำให้สามารถสร้าง Upside ได้ในอนาคต
กองทุน ONE-EUROEQ เน้นลงทุนในบริษัทที่มีความพิเศษ เช่น เป็นมรดกตกทอดของตระกูล มีโมเดลธุรกิจใหม่ทันสมัย พื้นฐานดีแต่ยังไม่เป็นที่รู้จัก หรือบริษัทอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ การลงทุนใน 4 ธีมนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้บางบริษัทอาจยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาด
กองทุนนี้ไม่ได้สนใจเพียงแค่โอกาสสร้างผลตอบแทน แต่ยังใส่ใจถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคัดเลือกบริษัทที่มีคะแนน ESG สูง และมุ่งมั่นเลือกลงทุนในบริษัทที่มีความยั่งยืน
กองทุน ONE-EUROEQ กระจายการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในวงการนวัตกรรม เช่น เทคโนโลยีการผลิตชิป, เทคโนโลยี AI หรือพลังงานสะอาด โดยเน้นไปที่ผู้นำนวัตกรรมในยุโรป เช่น ASML และ Novo Nordisk
กองทุนนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการทางเลือกหลบภัยจากความผันผวน โดยเฉพาะจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในยุโรปหนุนโอกาสเติบโต
ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ Finnomena Funds
อ้างอิง: ONE-EUROEQ’s Factsheet, ELEVA European Selection’s Factsheet, Financial Times, Finnomena
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
WEEKLY TONE: MONITOR WEEK
ในสัปดาห์นี้มีตัวชี้วัดที่สำคัญอย่างการตัดสินใจในการลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่มีการคาดการณ์ว่าจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยแต่จะคงอัตราดอกเบี้ย และอีกทั้งนโยบายการเงินในหลายประเทศมีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนทำให้สัปดาห์นี้ควรเฝ้าดูตลาด และเฝ้าดู FED Dot Plot เพื่อดูโอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในการประชุมครั้งถัดไป
Core Retail Sales หรือ ดัชนียอดค้าปลีก เป็นการวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายอดขายทั้งหมดในระดับการค้าปลีก ซึ่งเป็นดัชนีที่สำคัญมากที่สุดที่บ่งชี้ถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นส่วนสำคัญมากที่สุดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม สำหรับ Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core Retail Sales มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก -0.4% เป็น 0.2%
การคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของ Core Retail Sales แสดงให้เห็นถึงการ Rebound ของ Core Retail Sales ในระยะสั้น หรือการที่มียอดการค้าปลีกบยกเว้นรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยการที่ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นเยอะ ทำให้ยังมีความผันผวนในระยะสั้นบนตลาดสินทรัพย์เสี่ยง
FED Interest Rate Decision หรือ สมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินแห่งสหรัฐฯ หรือ FOMC ได้มีการลงคะแนนเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย นักเก็งกำไรต่างเฝ้าติดตามคำพูดของเขาอย่างใกล้ชิดเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดค่าเงินตราและความผันผวนของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: FED Interest Rate Decision มีแนวโน้มที่จะคงที่เท่าเดิมที่ 4.25% – 4.50%
การคาดการณ์การคงที่เท่าเดิมของ FED Interest Rate แสดงให้เห็นถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่เข้าเป้าในการลดอัตราดอกเบี้ยของ FED อาจทำให้ตลาดมีความผันผวนในระยะสั้น โดยที่สินทรัพย์เสี่ยงจะได้รับผลกระทบโดยตรง
Initial Jobless Claims หรือ Unemployment Claims คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนค่าใช้จ่ายของรัฐได้ชัดกว่าอัตราการว่างงาน เพราะยิ่งตัวเลขนี้สูงขึ้นนั่นหมายความว่าค่าใช้จ่ายของภาครัฐ หรือ Government Expenditure ถูกใช้ไปในการช่วยเหลือกลุ่มคนว่างงานมากขึ้น เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะหดตัว และยังแสดงให้เห็นถึงช่องว่างความเหลื่อมล้ำในประเทศอีกด้วย โดยตัวเลขนี้จะมีประกาศทุก ๆ วันพฤหัสบดี
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Unemployment Claims มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 220K เป็น 225K
การคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของ Unemployment Claims แสดงให้เห็นถึงพลเมืองของสหรัฐฯ ที่ยื่นขอสวัสดิการการว่างงานเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ดัชนีนี้ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงโดยตรง
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
18 มีนาคม
19 มีนาคม
จำนวนกระเป๋าเงินที่ซื้อขายบน DEXs ของ Ethereum แบบรายวันลดลงเหลือเพียง 39,900 กระเป๋าซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่พฤศจิกายน 2023 และลดลง 45% จากช่วงต้นปีที่เคยเฉลี่ย 78,000 กระเป๋าต่อวัน แนวโน้มขาลงนี้ดำเนินมา 3 เดือน โดยลดลงเฉลี่ย 0.58% ต่อวันขณะเดียวกัน Uniswap ซึ่งเป็น DEX ที่ใหญ่ที่สุดบน Ethereum มีปริมาณการซื้อขายลดลง 19% เดือนต่อเดือน จากมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2025 และจากแนวโน้มปัจจุบัน มีโอกาสสูงที่ปริมาณการซื้อขายในเดือนมีนาคมจะลดลงอีก
แนวต้าน : $87,000 | $92,000 | $100,000
แนวรับ : $78,000 | $72,000 | $67,000
แนวต้าน : $2,100 | $2,800 | $3,400
แนวรับ : $1,500 | $1,200 | $870
BITCOIN 60%
SELECTIVE LARGE MARKET CAP 10%
STABLECOINS 30%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-17-21-March-2025
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล