พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี กลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง หลังจากที่ถูกเทขายอย่างหนักในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความคาดหวังว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า เพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืดที่ยังยืดเยื้อ
รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า บอนด์ไทยระยะยาวเริ่มทรงตัว หลังจากราคาปรับลงแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี สาเหตุหลักมาจากการที่แบงก์ชาติ “คงดอกเบี้ย” สวนทางกับที่ตลาดคาด ขณะที่ความกังวลเรื่องการออกพันธบัตรของรัฐบาลจำนวนมากและดีมานด์การประมูลที่อ่อนแอ ยิ่งซ้ำเติมแรงขายในตลาดช่วงก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม กระแสคาดการณ์เรื่อง “การลดดอกเบี้ย” กลับมาสร้างแรงหนุนให้บอนด์ไทยอีกครั้ง โดย M&G Investments มองว่าพันธบัตรระยะยาวของไทยเริ่มมี “มูลค่า” จากระดับราคาที่ปรับลงมา
นายพีรัมภา จันทร์จำรัสแสง ผู้จัดการกองทุนจาก M&G Investments กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรไทยต่ำกว่ามาตรฐาน และมีแนวโน้มจะเข้าซื้อเพิ่มในช่วงที่ราคาอ่อนตัว โดยคาดว่าแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี | Source: Bloomberg
ข้อมูลของ Bloomberg ชี้ว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ไทยมีเงินทุนไหลเข้าพันธบัตรสุทธิเพียง 1,700 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีถึงสามเท่า ซึ่งหมายความว่ายังมี “ช่องว่าง” สำหรับการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดบอนด์ไทย โดยเฉพาะในรุ่นอายุ 10 ปี
ผลการประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม สะท้อนแรงซื้อนี้อย่างชัดเจน แม้ระดับการประมูลโดยรวมจะต่ำสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ความต้องการหลักกลับมาจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรจากโอกาสที่แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลงอีก
ด้าน นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนจาก Krungthai Global Markets ให้ความเห็นว่า หากแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% จริง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ระดับ 1.7% ในปัจจุบัน ถือเป็นจุดที่ “คุ้มค่า” สำหรับการเข้าซื้อเพื่อล็อกผลตอบแทน ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับตัวลงตาม
แม้กระทรวงการคลังเพิ่งปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2568 เป็น 2.4% จาก 2.2% แต่ Bloomberg Consensus มองต่าง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 2.1% ในปีนี้ และลดลงเหลือ 1.8% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มฟื้นตัวของเศรษฐกิจจริง
จากแบบสำรวจนักกลยุทธ์ Bloomberg คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยจะลดลงแตะ 1.4% ภายในไตรมาสนี้ ลดลงราว 30 bps จากระดับปัจจุบัน ซึ่งตอกย้ำมุมมองของตลาดว่า แบงก์ชาติอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย เพื่อสกัดแรงเสี่ยงจากภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
บอนด์ไทยจึงกลับมาน่าสนใจในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งจากความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยขาลงและเงินเฟ้อต่ำ ที่ช่วยหนุนให้พันธบัตรไทยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างคงที่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอ
อ้างอิง: Bloomberg, กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี VN-Index ร่วงแรง -2.65% ปิดที่ระดับ 1,599.10 จุด ลดลงกว่า 43.5 จุด “หลุด” แนวรับทางจิตวิทยาที่ 1,600 จุด เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 เดือน ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดที่ปรับตัวลงแรงที่สุดในเอเชียวันเดียวกัน มูลค่าการซื้อขายบน HoSE อยู่เพียง 23.6 ล้านล้านด่อง ต่ำสุดในรอบกว่า 5 เดือน สะท้อนภาวะสภาพคล่องที่ซบเซาและความระมัดระวังของนักลงทุน ขณะที่ดัชนี VN30 ปรับตัวลง -2.40% เหลือ 1,824.7 จุด โดยมีถึง 28 จาก 30 หุ้นในกลุ่มปรับลดลง
แรงขายหลักกระจุกอยู่ในหุ้นกลุ่มการเงินและอสังหาริมทรัพย์ โดย Vinhomes (VHM) ร่วง -6.98%, Vingroup (VIC) -3.9%, Masan Group (MSN) -2.54%, Mobile World (MWG) -4.73% และ MBBank (MBB) -1.69% สะท้อนแรงขายจากภาวะ Margin Call หลังนักลงทุนรายย่อยใช้ Leverage สูงในช่วงตลาดขาขึ้นตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ FPT เป็นหนึ่งในไม่กี่หุ้นที่ยังคงบวกได้ +0.8% จากแรงซื้อสะสมของนักลงทุนสถาบัน
นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ตลาดเวียดนามถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ร้อนแรงที่สุดในโลก โดย VN-Index ปรับขึ้นกว่า +27% YTD แต่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตลาดเริ่มเข้าสู่ “ระยะพักฐานและสะสม” ตามแรงขายทำกำไรและความผันผวนจากกลุ่มนักลงทุนภายในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มหลักของตลาด ทั้งนี้ข้อมูลจาก Trung tâm Lưu ký Chứng khoán Việt Nam (VSD) ระบุว่า ในเดือนตุลาคม 2025 เพียงเดือนเดียว มีการเปิดบัญชีใหม่กว่า 310,000 บัญชี เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน สะท้อนความสนใจในตลาดที่ยังคงแข็งแกร่งแม้ภาวะสภาพคล่องจะชะลอตัว
Finnomena Funds ประเมินว่าการปรับตัวลงในวันนี้เป็นเพียงการปรับตัวลงระยะสั้นหลังจากตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นมาได้อย่างร้อนแรงในปีนี้ อย่างไรก็ดีภาพรวมพื้นฐานของตลาดเวียดนามยังคงแข็งแกร่งโดยมีแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจและแนวโน้มการปรับขึ้นของประมาณการกำไร (EPS Revision) ยังคงต่อเนื่อง
เราคงมุมมอง “Positive” ต่อหุ้นเวียดนาม และแนะนำทยอยสะสมผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
เคยไหม? ถึงช่วงปลายปีทีไร ความรู้สึกรีบ ๆ ลน ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง เพราะต้องรีบหากองทุนลดหย่อน ซื้อประกัน หรือหาวิธีไหนก็ได้ให้ภาษีลดลงให้ทันสิ้นปี แต่รู้ไหมว่าการวางแผนภาษีแบบไม่วางแผน คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แผนภาษีของคุณ “ป่วยหนัก” แบบไม่รู้ตัว
ก่อนจะถึงเดดไลน์ยื่นภาษี มาลองเช็กกันหน่อยว่าแผนภาษีของคุณมีสัญญาณเตือนเหล่านี้หรือเปล่า?
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESGพิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มคิดเรื่องภาษีตอนปลายเดือนธันวาคม บอกเลยว่านี่คือสัญญาณเตือนแรกที่อาจทำให้แผนภาษีพลาดหลายจุด เช่น ลงทุนแบบรีบ ๆ โดยไม่คำนวณวงเงินให้พอดี พลาดจังหวะลงทุนดี ๆ ไปทั้งปี หรือไม่รู้เลยว่ากองที่ซื้อปีที่แล้วครบเงื่อนไขหรือยัง
การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้มีเวลาศึกษาและเลือกเครื่องมือลดหย่อนที่เหมาะกับเป้าหมายการเงินของตนเอง ไม่ใช่ซื้อเพราะใคร ๆ ก็ซื้อ หรือเห็นลดหย่อนเยอะก็ว่าดี แต่อาการนี้รักษาได้ด้วยการเริ่มต้นคำนวณภาษีตั้งแต่ต้นปี และทยอยลงทุนหรือวางแผนอย่างมีระบบ จะได้ทั้งลดหย่อนภาษี และสร้างพอร์ตลงทุนที่เติบโตไปพร้อมกัน
หลายคนรีบซื้อกองทุน RMF หรือ Thai ESG เพราะอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษี แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากองทุนนั้น ลงทุนในอะไร เหมาะกับระดับความเสี่ยงของตัวเองไหม หรือแม้แต่เงื่อนไขการถือครอง ว่าต้องถือกี่ปี ถึงอายุเท่าไรจึงจะไม่ผิดเงื่อนไข
อาการแบบนี้อันตรายกว่าที่คิด เพราะกองทุนลดหย่อนภาษีอาจช่วยให้คุณได้คืนภาษี แต่ในระยะยาวอาจ พลาดโอกาสเติบโตของพอร์ต หรือแย่กว่านั้น ผิดเงื่อนไขจนโดนภาษีย้อนหลัง พร้อมดอกเบี้ยและค่าปรับ ก่อนซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีทุกครั้ง ให้เริ่มจากคำถามที่ว่า “เป้าหมายของคุณคืออะไร?” จากนั้นค่อยเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและระยะเวลาการลงทุนของคุณ
เคยไหม? ซื้อทั้งกองทุน RMF และประกันบำนาญ เพราะคิดว่าวงเงินลดหย่อนแยกกัน ความจริงคือ สิทธิลดหย่อนของทั้งสองอย่างนี้นับรวมกัน และลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อปีเท่านั้น
หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าซื้อเยอะ = ได้ลดหย่อนเยอะ แต่พอถึงเวลายื่นภาษีจริง กลับพบว่าลดได้ไม่ครบตามที่คิดไว้ กลายเป็นลงทุนเกินสิทธิ เสียเงินไปโดยไม่ได้ประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น ก่อนลงทุนควรเช็กวงเงินลดหย่อนที่เหลือทุกครั้ง โดยเฉพาะถ้ามีทั้งกองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) หรือประกันบำนาญ เพื่อไม่ให้สิทธิลดหย่อนซ้ำซ้อนกันเอง
หลายคนอาจรู้สึกดีที่สามารถลดหย่อนภาษีได้เต็มเพดาน แต่พอมาดูผลตอบแทนจริง ๆ กลับพบว่าเงินในพอร์ตไม่ขยับไปไหนเลย ปัญหานี้มักเกิดจากการเลือกกองทุนโดยดูแค่สิทธิลดหย่อน โดยไม่ได้พิจารณาคุณภาพหรือแนวทางการบริหารกองทุน
บางคนถือกองทุน RMF มาหลายปี แต่ผลตอบแทนแทบไม่ต่างจากเงินฝาก หรือบางทีก็สะสมขาดทุนจนท้อ ทั้งที่จุดประสงค์ของกองภาษีคือส่งเสริมการออมระยะยาว ไม่ใช่แค่ลดภาษีระยะสั้น ดังนั้นควรเลือกกองทุนที่มีสไตล์สอดคล้องกับพอร์ตระยะยาว เพื่อให้เงินเติบโตไปพร้อมกับสิทธิลดหย่อน
ภาษีไม่ใช่เรื่องตายตัว อาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและเงื่อนไขทุกปี ทั้งสิทธิลดหย่อนใหม่ ๆ อย่าง Thai ESGX หรือการยกเลิกกองทุน SSF ใครที่ใช้ข้อมูลเก่าตลอด อาจพลาดสิทธิที่ควรได้หรือใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะกับปีภาษีนั้น วิธีป้องกันง่าย ๆ คือติดตามแหล่งข้อมูลที่อัปเดต หรือใช้เครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์
แผนภาษีที่แข็งแรง ต้องเริ่มจาก “การวางแผนล่วงหน้า” และ “เข้าใจตัวเอง” เพราะเป้าหมายของการลดหย่อนภาษี ไม่ใช่แค่ “จ่ายน้อยลง” แต่คือ “ต่อยอดเงินให้เติบโต” เพื่ออนาคต ถ้าไม่อยากให้แผนภาษีของคุณป่วยหนัก ลองเริ่มเช็กสุขภาพภาษีของตัวเองวันนี้
“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที
ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน และอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ในวันที่ตลาดเต็มไปด้วยความผันผวนพอร์ต All Weather Strategy (AWS) สร้างผลตอบแทนสะสมได้กว่า 74.6% นับตั้งแต่จัดตั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2025, ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) สะท้อนแนวทางการออกแบบเพื่อช่วยรับมือกับความผันผวนในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) คือพอร์ตกองทุนที่พร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด ใช้โมเดล FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน มีการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลงทุนอย่างมั่นคง พร้อมแนวทางบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ เพราะมีนักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำอย่างคุณ Andrew Stotz เป็นผู้ออกแบบกลยุทธ์การจัดพอร์ตในเชิงวิเคราะห์ข้อมูลและความเสี่ยง
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ Dr. Andrew Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยพอร์ต AWS นี้ มุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยให้พอร์ตพร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด (All Weather) โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผลตอบแทนของพอร์ต AWS ตั้งแต่จัดตั้ง เทียบกับพอร์ต 60/40
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 31 ต.ค. 2025
จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนสะสม (Total Return) นับตั้งแต่จัดตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ถึงเดือนตุลาคม 2025 ของพอร์ต All Weather Strategy (AWS) กับพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีสัดส่วนหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% (60/40 Portfolio) จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ 74.6% ขณะที่พอร์ต 60/40 ทำผลตอบแทนได้ 43.2% หรือสูงกว่า 31.4% โดยหลังช่วงกลางปี 2023 เป็นต้นมา ผลตอบแทนของพอร์ต AWS เริ่มแซงหน้าพอร์ต 60/40 อย่างชัดเจน และยังคงมีผลตอบแทนที่มากกว่าพอร์ต 60/40 ในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี KOSPI ปรับตัวลงแรง -3.05% มาปิดที่ระดับ 3,903.62 จุด หลังจากระหว่างวันร่วงลงกว่า -1.36% แตะระดับ 3,971.75 จุด จากแรงขายของนักลงทุนรายย่อยและต่างชาติรวมมูลค่ากว่า 120,000 ล้านวอน โดยมีเพียงสถาบันเท่านั้นที่เป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 130,000 ล้านวอน แรงขายกระจายตัวในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่นำตลาดในช่วงก่อนหน้า เช่น Hanwha Aerospace (-4%), HD Hyundai Heavy Industries (-3%), Hyundai Motor (-1.67%), SK hynix (-1.52%), Doosan Enerbility (-1.39%), และ Samsung Electronics (-0.71%) ส่วนหุ้นการเงินอย่าง KB Financial ปรับขึ้นเล็กน้อย +0.16%
ตลาด KOSDAQ ซึ่งสะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กก็ปรับตัวลงแรง -1.87% ปิดที่ 881.40 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 41,900 ล้านวอน หุ้นเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานสะอาดส่วนใหญ่ปิดลบ เช่น HLB และ EcoPro BM ที่ร่วงกว่า -3% สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มกำไรในกลุ่มเติบโตสูง ขณะที่ Peptron (+3.17%) และ PharmaResearch (+1.01%) เป็นเพียงไม่กี่ตัวที่ยังปรับขึ้นได้เล็กน้อย ด้านค่าเงินวอนอ่อนค่ามาที่ 1,454.4 วอนต่อดอลลาร์สหรัฐ (+5.1 วอนจากวันก่อนหน้า) ตามแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในตลาดโลก
ในฝั่งญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลงแรง -2.24% มาปิดที่ 37,805 จุด จากแรงขายในหุ้นเทคโนโลยีและยานยนต์ เช่น Sony, Advantest, และ Toyota หลังตลาดปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วงต้นเดือน ขณะที่ค่าเงินเยนกลับมาอ่อนค่าทะลุระดับ 153 เยนต่อดอลลาร์ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไปอาจเกิดขึ้น “อย่างค่อยเป็นค่อยไป” เพื่อไม่ให้กระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงลดสถานะในสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น
แม้ตลาดหุ้นเกาหลีและญี่ปุ่นจะปรับตัวลงพร้อมกันในวันศุกร์ แต่พื้นฐานระยะกลางยังคงแข็งแกร่ง โดยในเกาหลีใต้ ความต้องการชิปหน่วยความจำขั้นสูง (HBM, DRAM) จาก AI demand ทั่วโลกยังเป็นปัจจัยหนุนต่อกลุ่ม Semiconductor ขณะที่รัฐบาลเดินหน้า “Korea Value-Up Program” และการปฏิรูปธรรมาภิบาล ซึ่งช่วยลด “Korea Discount” และดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติในระยะยาว ด้านญี่ปุ่น BoJ ยังคงใช้นโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกันการผลักดัน Corporate Governance โดย FSA และ TSE ช่วยหนุนมูลค่าบริษัทในเชิงโครงสร้าง
Finnomena Funds ประเมินว่าการปรับตัวลงของตลาดทั้งสองประเทศในวันนี้เป็นเพียงการพักฐานระยะสั้นหลังการปรับขึ้นแรงในเดือนตุลาคม โดยภาพรวมของเศรษฐกิจและแนวโน้มกำไรในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง
เราคงมุมมอง “Slightly Positive” ต่อทั้งตลาดหุ้นเกาหลีใต้และญี่ปุ่น แนะนำทยอยสะสมผ่านกองทุน SCBKEQTG สำหรับเกาหลีใต้ และ ASP-NGF สำหรับญี่ปุ่น เพื่อรับโอกาสจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการปฏิรูปธรรมาภิบาลที่ต่อเนื่องในระยะกลางถึงยาว
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
โอกาสการลงทุนใน KKP CorePath Series กองทุนรวม Multi-Asset จัดพอร์ตลงทุนทั่วโลกที่มีให้เลือกหลากหลายระดับความเสี่ยง ได้แก่ 1.) KKP CorePath Ultra Light 2.) KKP CorePath Light 3.) KKP CorePath Balanced และ 4.) KKP CorePath Extra ตอบโจทย์เป้าหมายของนักลงทุนไทยแบบครบวงจร
หัวใจสำคัญของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว มักมาพร้อมกับ 3 ส่วนผสมสำคัญ หนึ่งคือ กระจายการลงทุนได้ดี (Diversification) สองคือ มุ่งสร้างผลตอบแทนบนความเสี่ยงที่เหมาะสม (Risk-adjusted Returns) และสามก็คือ การติดตามและบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาพตลาด (Rebalance & Monitoring)
สำหรับใครที่กำลังหากลยุทธ์ที่จะพาไปถึงเป้าหมายทางการเงิน โดยไม่ต้องจัดพอร์ตเอง ไม่มีเวลาตามติดตลาด ต้องรู้จักกับ KKP CorePath Series ที่มาพร้อมกับคอนเซปต์ “One-stop Solution for Thai Investors”
Source: KKPAMas of 29/08/2025
KKP CorePath Series เป็นกลุ่มกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Multi-Asset (ความเสี่ยงระดับ 5) ผสมผสานโอกาสการลงทุนจากหลากหลายสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งเป็นฝั่ง Global Investment เน้นหุ้นโลกและตราสารหนี้โลกเพื่อการเติบโตระยะยาว โดยการสร้างพอร์ตระดับโลกภายใต้คำแนะนำของที่ปรึกษาการลงทุน บล. เกียรตินาคินภัทร (KKPS) ร่วมมือกับ Goldman Sachs Asset Management พร้อมเสริมความทนทานของพอร์ตด้วย Local Investment ผ่านตราสารหนี้ไทย บริหารการลงทุนโดย บลจ. เกียรตินาคินภัทร (KKPAM)
Source: KKPAM as of 29/08/2025
ความน่าสนใจของ KKP CorePath Series คือเลือกได้หลากหลายระดับความเสี่ยง ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายที่แตกต่างกันของนักลงทุน โดยแต่ละ Series มีจุดเด่นดังนี้
Source: KKPAM as of 29/08/2025
ผสานความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศด้านการลงทุน ด้วยทีมผู้จัดการกองทุนจาก KKPAM และทีมที่ปรึกษาการลงทุนจาก KKPS ร่วมมือกับ Goldman Sachs Asset Management* ที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างและวิเคราะห์พอร์ตการลงทุน รวมถึงเชี่ยวชาญการคัดเลือกกองทุนที่หลากหลายทั่วโลก ด้วยหลักการ Open Architecture
Source: KKPAM as of 29/08/2025
มีโอกาสการลงทุนที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการกระจายการลงทุนในหลาย Asset Class ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโลก ตราสารหนี้โลก และตราสารหนี้ไทย เพื่อสร้างผลตอบแทนและควบคุมความเสี่ยง
Source: KKPAM as of 29/08/2025
ช่วยติดตามและปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับมุมมองและสภาพตลาดในระยะสั้นและระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ ตอบโจทย์ผู้ลงทุนจำนวนมากที่ไม่ได้มีเวลาติดตามตลาดใกล้ชิด
สรุปแล้ว KKP CorePath Series เหมาะกับการใช้เป็น Core-Portfolio ของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการทำ Asset Allocation และสามารถหยิบจับแต่ละกองทุนใน Series ไปใช้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิตได้เลย
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
ข้อมูลเพิ่มเติมกองทุน
*กองทุน KKP CorePath Series นี้ได้รับคำแนะนำเชิงกลยุทธ์โดย KKPS ซึ่งได้รับประโยชน์ จากความเชี่ยวชาญด้านการจัดสรรการลงทุนของ Goldman Sachs Asset Management (GSAM)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน KKP CorePath Balanced RMF ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้รับประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินต้นคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศข้อตกลงร่วมกับสองบริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลก Eli Lilly และ Novo Nordisk เพื่อลดราคายาลดน้ำหนักยอดนิยมในกลุ่ม GLP1 อย่าง Zepbound และ Wegovy ลงอย่างมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการเข้าถึงยารักษาโรคอ้วนให้กับประชาชนอเมริกันในวงกว้าง
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ราคายาแบบเม็ดเริ่มต้นจะอยู่ที่ 149 ดอลลาร์ต่อเดือน และยาฉีดจะลดลงเหลือ 245 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับผู้ใช้ในโครงการ Medicare และ Medicaid รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ซื้อผ่านเว็บไซต์ใหม่ของรัฐบาล “TrumpRx” ซึ่งจะเปิดให้บริการโดยตรงจากทำเนียบขาว
ทรัมป์กล่าวระหว่างแถลงข่าวในทำเนียบขาวว่า “นี่คือการทำให้โลกกลับมาเท่าเทียมกัน” พร้อมระบุว่า บริษัทผู้ผลิตยาจะจำหน่ายยาให้กับโครงการ Medicaid ในราคาพิเศษระดับ “ประเทศที่ได้รับสิทธิสูงสุด” หรือ Most-Favored-Nation Price
ข้อตกลงนี้จะช่วยขยายความคุ้มครองของยากลุ่ม GLP-1 ให้กับผู้ป่วยโรคอ้วน ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน และผู้ป่วยโรคหัวใจในโครงการ Medicare ซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกันกว่า 65 ปีขึ้นไป รวมถึง Medicaid ซึ่งดูแลผู้มีรายได้น้อย
ภายใต้เงื่อนไขใหม่ ผู้ป่วย Medicare จะจ่ายเพียง 50 ดอลลาร์ต่อเดือนเป็นค่า co-pay ขณะที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถซื้อยาในราคาเริ่มต้นไม่เกิน 350 ดอลลาร์ และคาดว่าจะลดลงถึง 245 ดอลลาร์ภายในสองปี
David Ricks ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Eli Lilly กล่าวว่า บริษัทยาคาดว่าจะได้รับการอนุมัติยาเม็ดลดน้ำหนักรุ่นใหม่ Orforglipron จากองค์การอาหารและยา (FDA) ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งจะเข้าสู่โครงการราคาพิเศษของรัฐบาลทันที
ด้าน Mike Doustdar ซีอีโอของ Novo Nordisk กล่าวว่า “การเข้าถึงยาที่เปลี่ยนชีวิตไม่ควรเป็นสิทธิของคนบางกลุ่ม แต่เป็นพันธะทางสังคมที่ทุกคนควรได้รับ”
ในอีกมุมหนึ่ง ดีลครั้งนี้ยังมาพร้อมแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ รัฐบาลสหรัฐฯ จะยกเว้นภาษีนำเข้ายาให้กับ Lilly และ Novo เป็นเวลา 3 ปี ขณะที่ Novo Nordisk ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 10,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อขยายฐานการผลิตและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank ประเมินว่า การจำกัดราคายาลดน้ำหนักไว้ที่ 150 ดอลลาร์ต่อเดือนอาจเปิดโอกาสให้ชาวอเมริกันกว่า 15 ล้านคนสามารถเข้าถึงยาเหล่านี้ได้
ข้อตกลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็นทั้งชัยชนะทางการเมือง และก้าวสำคัญด้านสาธารณสุข สำหรับรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งต้องการลดค่าครองชีพและเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงยารักษาโรคเรื้อรังของชาวอเมริกัน ขณะที่ฝ่ายสาธารณสุขมองว่า นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อสู้กับโรคอ้วนที่ครอบงำประชากรกว่า 40% ของประเทศในปัจจุบัน
“นี่ไม่ใช่แค่การลดราคายา แต่คือการเปลี่ยนอนาคตของสุขภาพอเมริกันให้กลับมาอยู่ในมือของประชาชน” ทรัมป์กล่าวปิดท้าย
อ้างอิง: Reuters
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงฟื้นตัวแข็งแกร่งจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI) ปรับตัวขึ้น +2.10% มาปิดที่ 9,355.97 จุด ขณะที่ดัชนี Shanghai Composite Index ขยับกลับมายืนเหนือระดับจิตวิทยา 4,000 จุด ที่ 4,004.25 จุด (+0.97%) และ CSI300 Index ปรับขึ้น +1.43% ได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเชิงนโยบายและกระแสการพึ่งพาชิปผลิตในประเทศ (Domestic Semiconductor Policy)
ตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานของ Reuters ที่ระบุว่า รัฐบาลจีนออกแนวทางใหม่กำหนดให้ศูนย์ข้อมูล (Data Centre) ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐต้องใช้เฉพาะชิป AI ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการเชิงรุกที่สุดของจีนในการผลักดัน “Tech Self-Sufficiency” และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ หุ้นกลุ่ม Semiconductor พุ่งแรง นำโดย SMIC (+3.9%) และ Cambricon Technologies (+9.8%) ส่งผลให้ดัชนี CSI Semiconductor Industry Index ปรับขึ้นกว่า +4% ขณะที่ Hang Seng Tech Index และ CSI AI Sector Index เพิ่มขึ้นกว่า +2% จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบัน
บรรยากาศเชิงบวกยังได้รับแรงสนับสนุนจากความคืบหน้าด้านการเมืองระหว่างประเทศ หลังการพบปะระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง นำไปสู่ข้อตกลงด้าน rare earths ที่ลดความตึงเครียดทางการค้า และส่งสัญญาณความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งช่วยหนุน sentiment ของตลาดเทคโนโลยีจีน ขณะเดียวกัน Credit Impulse ของจีนเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง บ่งชี้การเร่งตัวของสภาพคล่องภาคเอกชน และตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบหลายปี
ด้าน Valuation ของตลาด H-share แม้ยังอยู่ในระดับตึงตัวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่กลุ่ม “Terrific 10 China” ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทดิจิทัลคุณภาพสูง เช่น Tencent, Alibaba, Meituan และ BYD ยังคงมีความน่าสนใจ โดยมี Forward P/E เพียง 18.9 เท่า และคาดการณ์ EPS Growth เฉลี่ยปี 2025–2028 ราว 20% ต่อปี สะท้อนศักยภาพการเติบโตที่เหนือกว่าตลาดโดยรวม ขณะที่นโยบาย “Anti-involution” ของรัฐบาลเริ่มเห็นผลเชิงโครงสร้างในภาคเทคโนโลยี การศึกษา และสื่อออนไลน์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของบริษัทขนาดใหญ่ในระยะยาว
Finnomena Funds ประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังอยู่ในทิศทางเชิงบวก โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายเทคโนโลยีในประเทศและการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า มุมมองโดยรวม “Slightly Positive” ต่อหุ้น H-shares และ “Neutral” ต่อ A-shares
พร้อมแนะนำ ทยอยสะสมกองทุน MEGA10CHINA-A เพื่อรับโอกาสจากการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีคุณภาพสูงใน “Terrific 10 China” และนโยบายสนับสนุนภาค AI และ Semiconductor ของรัฐบาลจีน
นอกจากนี้สำหรับนักลงทุนที่ติดตาม FundTalk Call ได้มีการแนะนำ เข้าซื้อกองทุน KFCHINA-T10PLUS ที่เน้นลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีน 11 อันดับแรกใน Hang Seng Tech Index ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง คาดแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังผลการเจรจากับสหรัฐฯ ออกมาในทางที่ดี
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วางแผนลงทุนลดหย่อนภาษี ไม่ต้องรอให้ถึงปลายปี เริ่มทยอยจัดพอร์ตคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพโอกาสสร้างการเติบโตได้เลยตั้งแต่วันนี้ ซึ่งปี 2025 บลจ. ยูโอบี ทำการคัดเลือก 6 กองทุนเด่นทั้งกองทุน RMF และ Thai ESG ที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายทางเลือกมาฝากกัน
UGISRMF (ระดับความเสี่ยง 5) ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกในหลากหลายประเภทตราสาร เพื่อสร้างกระแสรายได้ในระดับสูงผ่านการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ ผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund (Class I)
UOBGARMF (ระดับความเสี่ยง 5) กระจายการลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุนทั่วโลกไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV ผ่านกองทุนหลัก BGF Global Allocation Fund (Class A)
UNIRMF (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นสร้างการเติบโตในตราสารทุนกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั่วโลก ซึ่งมีศักยภาพในการคิดค้นนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรองรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ผ่านกองทุนหลัก United Global Innovation Fund Class A USD Acc
UOBGRMF-H (ระดับความเสี่ยง 8 ) กองทุนทรัพย์สินทางเลือกที่เน้นลงทุนในทองคำแท่ง ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust
UTSB-THAIESG (ระดับความเสี่ยง 3) กองทุน Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยเพื่อความยั่งยืน เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวของผู้ลงทุน
UTSEQ-THAIESG (ระดับความเสี่ยง 6) กองทุน Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนเพื่อความยั่งยืน โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
สำหรับใครที่มีข้อสงสัย ยังไม่จุใจกับเรื่องการวางแผนภาษี มาหาคำตอบได้ที่งาน TAX Source Solution 2025 มัดรวมทุกทางออกลดหย่อนภาษี
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคาร B ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
คำเตือน:
“China is going to win the AI race” (จีนกำลังจะชนะการแข่งขันด้าน AI) Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia กล่าวระหว่างงานสัมมนา Future of AI Summit ของ Financial Times
และก่อนหน้านั้นก็เพิ่งโพสบน X ว่า “As I have long said, China is nanoseconds behind America in AI” (อย่างที่ผมเคยพูดมานานแล้ว จีนตามหลังอเมริกาในด้าน AI แค่ไม่กี่นาโนวินาทีเท่านั้น)
โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการที่รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนด้านพลังงาน คือจุดสำคัญที่ผลักดันการพัฒนาด้าน AI ของจีน ทำให้บริษัทเทคโนโลยีในประเทศสามารถผลิตและใช้งานชิปที่พัฒนาได้เองในราคาถูกกว่า
หนำซ้ำกลับมีกระแสการออกกฎระเบียบด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นในหลายรัฐของอเมริกา ซึ่งกฎเกณฑ์ที่มากเกินไปอาจ ขัดขวางนวัตกรรมได้ด้วย
อย่างไรก็ดี Jensen Huang ย้ำว่าต้องการให้ิอเมริกาชนะการแข่งขันด้าน AI อยู่แล้ว และมุ่งหวังให้โลกทั้งใบถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยีของอเมริกา แต่เราก็ต้องอยู่ในจีนด้วยเพื่อชนะใจนักพัฒนาของพวกเขาเช่นกัน ซึ่งนโยบายที่ทำให้อเมริกาสูญเสียของนักพัฒนา AI กว่าครึ่งโลกไป นั้นไม่เป็นผลดีในระยะยาว และจะทำร้ายเรามากกว่า
ทั้งนี้ การเข้าถึงชิป AI ขั้นสูง โดยเฉพาะชิปจาก Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน ยังคงเป็น ประเด็นร้อนในความขัดแย้งทางเทคโนโลยีระหว่างจีนกับอเมริกา เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคต
สนใจลงทุนเทคโนโลยีจีน แนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A เน้นลงทุนบริษัท 11 อันดับแรกใน Hang Seng Tech Index ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่ม Consumer Tech, EV, Gaming และ AI
อ้างอิง: Business Insider, Reuters
RMF กับ Thai ESG กองทุนไหน ๆ ก็ให้สิทธิ์ลดภาษีเหมือนกัน แต่ถ้าเลือกกองทุนที่ลงทุนสินทรัพย์ได้ถูก รับสถานการณ์และแนวโน้มเติบโตได้ดี ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนดี ๆ คุ้มค่าในอนาคต
ปีนี้ บลจ. กรุงศรี ได้คัดเลือกกองทุน RMF และ Thai ESG มาให้ตอบโจทย์แบบครบ ๆ ทุกเป้าหมาย ทั้งเน้นความมั่นคง เล็งโอกาสโตตามดัชนีหุ้น เสริมพอร์ตฝ่าความผันผวน หรือมุ่งเอาชนะตลาด ซึ่งสรุปมาให้ตามนี้
*ที่มา Morningstar และ บลจ.กรุงศรี ณ 30 ก.ย. 68 | การจัดอันดับดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของ AIMC แต่อย่างใด | ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
สำหรับใครที่มีข้อสงสัย ยังไม่จุใจกับเรื่องการวางแผนภาษี มาหาคำตอบได้ที่งาน TAX Source Solution 2025 มัดรวมทุกทางออกลดหย่อนภาษี
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคาร B ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
คำเตือน: KFGOLDRMF เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน | KFGOLDRMF, KF-WORLD-INDXRMF มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG มีเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะตามที่กรมสรรพากรกำหนด | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที
ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/taxcal
เข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี หลายคนเริ่มหันมาจัดการภาษี และพอร์ตลงทุนไปพร้อมกัน เพราะหากใช้กลยุทธ์อย่างถูกทาง เงินที่จ่ายภาษีอาจสามารถต่อยอดเป็นเงินลงทุนที่เติบโตในอนาคตได้
เพื่อให้นักลงทุนวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ Finnomena Funds จึงจัดงาน “Finnomena Tax Tactic 2025 เปิดกลยุทธ์สร้างพอร์ตให้เติบโตด้วยกองภาษี” เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านภาษีและการลงทุน มาแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางสร้างพอร์ตให้เติบโตผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี
บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยนักลงทุนและผู้สนใจวางแผนการเงิน ที่มาร่วมรับฟังแนวคิดจากกูรูหลายสาย ทั้งนักวางแผนการเงินส่วนบุคคล ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การลงทุน ไปจนถึงนักวิเคราะห์ตัวจริงเสียงจริง ที่มาร่วมแบ่งปันมุมมองอย่างเข้มข้นตลอดงาน
ช่วงแรกของงานเปิดเวทีด้วยหัวข้อ “วางแผนภาษีส่งท้ายปี 2025” โดย คุณสมเกียรติ สุขเสรีกุล จากเพจ iSalaryman Trader และ คุณชัชฎา สิงห์ชูวงศ์, CFP® จากเพจ MeeMoney ทั้งสองท่านได้มาร่วมแบ่งปันหลักการวางแผนภาษีแบบเข้าใจง่าย สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยากเริ่มต้นอย่างถูกทาง รวมถึงเทคนิคการใช้สิทธิลดหย่อนด้วยกองทุน RMF และ Thai ESG พร้อมแนะแนวทางวางแผนให้เข้ากับเป้าหมายชีวิต โดยเน้นว่าการวางแผนภาษีควรเริ่มจากการเข้าใจรายได้ รายจ่าย และเป้าหมายทางการเงินของตนเอง เพื่อคำนวณสิทธิลดหย่อนและจัดสมดุลความเสี่ยงของพอร์ตให้เหมาะสม เพราะการเงินไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกคนควรวางแผนในแบบที่เหมาะกับตนเอง
เข้าสู่ Session ต่อมากับหัวข้อ “กลยุทธ์สร้างพอร์ตหลักล้านด้วยกองภาษี และทางเลือกใหม่สำหรับ LTF ติดดอย” โดยคุณวศิน ปริธัญ, CFA, Managing Director, Definit Investment Advisory คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO & Co-Founder, Finnomena Funds และคุณกสิณ สุธรรมนัส Chief Strategy Officer, Finnomena ทั้งสามท่านได้มาแบ่งปันแนวทางสร้างพอร์ตลงทุนด้วยกองทุนลดหย่อนภาษีอย่างมีกลยุทธ์ตามสไตล์นักลงทุนแต่ละแบบ ไม่ว่าจะเป็นสาย Trend Follower, The Contrarian หรือ Long-term Growth ว่าควรเลือกกองทุน RMF แบบไหนให้เหมาะกับเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงปัญหาสุดคลาสสิกของนักลงทุนไทยอย่าง “LTF ติดดอย” พร้อมแนะแนวทางให้เงินลงทุนเก่ากลับมาทำงานได้อีกครั้ง เพราะกองภาษีหากเลือกให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง ก็สามารถเป็นเครื่องมือสร้างพอร์ตหลักล้านได้
มาถึง Session สุดพิเศษอย่าง “Exclusive Expert Tax Talk” ที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจาก บลจ. ชั้นนำ ได้แก่ คุณบดินทร์ พุทธอินทร์, AISA, CFP®, Head of Investment Strategy จาก บลจ. Eastspring คุณภูตินันท์ สัจยากร, AFPT, Principal Product Development Department จาก บลจ. ไทยพาณิชย์ และคุณพูนสิน เพ่งสมบูรณ์ Foreign Investment Portfolio Manager จาก กองทุนบัวหลวง แต่ละท่านได้ขึ้นเวทีมาเปิดมุมมองเกี่ยวกับกองทุนลดหย่อนภาษีเด่นประจำปี 2025 เผยให้เห็นถึงแนวคิดและกลยุทธ์การลงทุนเบื้องหลังของแต่ละกองทุนอย่างละเอียด ทั้งการเลือกธีมลงทุนที่สอดรับกับเทรนด์โลก และการจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยง เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว
ปิดท้ายด้วย Session สุดเข้มข้นกับหัวข้อ “2025 หุ้นไทยไปต่อได้ไหม?” โดย คุณซัน กระทรวง จารุศิระ CEO and Co-founder, Super Trader Republic ที่มาเปิดมุมมองภาพรวมตลาดหุ้นไทยอย่างตรงไปตรงมา วิเคราะห์สัญญาณสำคัญที่นักลงทุนควรจับตาในปีหน้า พร้อมค้นหากลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงน่าจับตา โดยคุณซันย้ำว่า Asset Allocation คือหัวใจของการลงทุน นักลงทุนควรรู้ก่อนว่าตนเองมีเงินเท่าไร อายุเท่าไร ภาระค่าใช้จ่ายและเป้าหมายคืออะไร เพราะพอร์ตที่ดีควรถูกออกแบบให้สอดคล้องกับชีวิตและความเสี่ยงของแต่ละคน
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีช่วง “Exclusive Mini Workshop” ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้ลงมือคำนวณภาษีและวางแผนพอร์ตเกษียณกับนักวางแผนการเงินมืออาชีพ (CFP®) ที่คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เรียกได้ว่างาน Finnomena Tax Tactic 2025 ครั้งนี้ ครบทั้งความรู้ กลยุทธ์ และการลงมือทำจริง เป็นอีกหนึ่งเวทีที่พิสูจน์ว่าการวางแผนภาษีไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อ หากรู้จักใช้ภาษีเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพอร์ตที่เติบโตอย่างยั่งยืน
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESGพิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ฉลองโอกาสพิเศษ! ฟินโนมีนาได้รับรางวัล “Startup of the Year – Prime Minister Award 2025” แจกคูปองส่วนลดเมื่อซื้อกองทุนที่ร่วมรายการกับฟินโนมีนา รับ Cashback เป็นหน่วยลงทุน K-CASH* (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
สามารถกดคูปองได้ที่ : https://www.finnomena.com/promotions
และตรวจสอบกองทุนที่เข้าร่วมได้ที่ : http://finnomena.com/promotions/e-coupon/fund-list
พิเศษสำหรับผู้ที่เห็นโพสนี้ เราขอแจกโค้ดพิเศษสำหรับผู้ที่มีมูลค่าเงินลงทุนกับฟินโนมีนาอยู่ในระดับ Private (2 ล้านบาทขึ้นไป) และ Ultra (10 ล้านบาทขึ้นไป) เมื่อซื้อกองทุนที่ร่วมรายการ โดยสามารถกรอกโค้ดเพื่อรับคูปองในหน้านี้ได้เลย https://www.finnomena.com/promotions
*E-coupon สามารถใช้ได้ผ่าน Application Finnomena เท่านั้น โดยจะใช้ได้หลังจากทำรายการลงทุนสำเร็จ ที่หน้า Order result จะมีปุ่มให้ใช้งานคูปองแสดงขึ้นมา
ระยะเวลาโปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2568
ช่องทางการกรอกโค้ด ในหน้าโปรโมชั่น ผ่านแอปฯ Finnomena
ช่องทางการกรอกโค้ดในหน้าโปรโมชั่น ผ่านเว็บไซต์ Finnomena
คำเตือน:
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
สิทธิพิเศษนี้เป็นกิจกรรมส่งเสริมการขาย ไม่ถือเป็นการเสนอขายหรือชักชวนให้ลงทุนในหน่วยลงทุนใด ๆ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด โทร. 02-026-5100 หรือ LINE @FinnomenaPort ในวันทำการ 09:00-17:00 น.
อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย … ตลาดก็เช่นกัน
ปี 2025 น่าจะเป็นปีที่แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของโลกการลงทุนไม่น้อย เพราะถ้าย้อนไปตั้งแต่ต้นปี เราจะเห็นถึงความไม่แน่นอนที่ปกคลุมตลาดอย่างชัดเจน
ถ้ามองในมุมของการลงทุน ก็ถือว่าตลาดเปลี่ยนแปลงบ่อยจริง ๆ และสิ่งที่นักลงทุนทำได้คือการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจคือการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอที่มีการจัดพอร์ตเพื่อเอาชนะตลาดทุกสภาวะ อย่างพอร์ต A.Stotz All Weather Strategy
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทย ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework หรือการวิเคราะห์รอบด้านทั้ง Fundamental, Valuation, Momentum และ Risk ในการวิเคราะห์การลงทุน โดยมุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง
หัวใจการลงทุนของพอร์ต คือ G-L-D
Andrew Stotz เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง A.Stotz Investment Research ทำงานด้านการลงทุนในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 1992 ในฐานะนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และอาจารย์มหาวิทยาลัย
โดยในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง Head of Research ที่ CLSA ได้รับการโหวตจากผลสำรวจของ Asiamoney Brokers ให้เป็นนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยประจำปี 2008 และ 2009 รวมถึงได้รับการโหวตให้เป็นนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของเมืองไทยจากรายงานของ All-Asia Research Team ซึ่งจัดทำโดยนิตยสาร Institutional Investor เช่นกัน
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz อาจเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามแต่ละภาวะตลาด ดังนี้
นอกจากนี้ A.Stotz All Weather Strategy ยังพิจารณาลงทุนใน 6 ภูมิภาค ตามสภาวะตลาด คือ สหรัฐอเมริกา, ตลาดเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน), ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป, ญี่ปุ่น, เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง) และจีน
ปกติแล้วในการจัดพอร์ตการลงทุน จะมีสัดส่วนที่คนนิยมคือแบบ 60/40 หรือการลงทุนในหุ้น 60% ตราสารหนี้ 40% ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว ที่ผ่านมา A.Stotz All Weather Strategy สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า การกระจายการลงทุนแบบดังกล่าวภายใต้ความผันผวนที่ต่ำกว่า*
ถ้านับตั้งแต่จัดตั้งพอร์ต A.Stotz All Weather Strategy ปรับขึ้นกว่า 74.6% โดดเด่นกว่าพอร์ต 60/40 ที่ปรับตัวขึ้น 43.2%
*ผลงานของพอร์ต 60/40 คำนวนจาก NAV 60% ของ MSCI AC World & KKP PGE-H และ NAV 40% ของ KT-BOND, SCBGLOB โดยจัดเป็นดัชนีชี้วัดของพอร์ตการลงทุนนี้
ผลตอบแทนของ A.Stotz All Weather Strategy เทียบกับพอร์ตการลงทุน 60/40 | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 31/10/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
นอกจากนี้ หากมองย้อนกลับไป A.Stotz All Weather Strategy ยังมีความผันผวนต่ำกว่า ปรับตัวลงน้อยกว่าในวันที่ตลาดแย่กว่า และทำผลงานในแต่ละเดือนได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับพอร์ตแบบ 60/40
A.Stotz All Weather Strategy มีความผันผวนต่ำกว่า เมื่อเทียบกับพอร์ตแบบ 60/40 | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 31/10/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
A.Stotz All Weather Strategy ปรับตัวลงน้อยกว่า พอร์ตการลงทุน 60/40 ในวันที่ตลาดแย่กว่า | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 31/10/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
A.Stotz All Weather Strategy ทำผลงานในแต่ละเดือนได้ดีกว่าถึง 61% เทียบกับพอร์ตแบบ 60/40 | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 31/10/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
ผลตอบแทนของ A.Stotz All Weather Strategy เทียบกับพอร์ตการลงทุน 60/40 ในทุกช่วงเวลา | Source: A. Stotz All Weather Strategy Presentation as of 31/10/2025
ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต
มุมมองการลงทุนล่าสุด (05/11/2025) A.Stotz All Weather Strategy กระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก โดยเน้นลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วน 70% แบ่งเป็นหุ้นยุโรป 5% หุ้นตลาดเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน) 5% หุ้นสหรัฐฯ 5% หุ้นญี่ปุ่น 5% หุ้นจีน 25% และหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นและจีน 25%
สำหรับตราสารหนี้ พอร์ต AWS ลงทุนด้วยสัดส่วน 5% และสัดส่วนที่เหลืออีก 25% กระจายการลงทุนในทองคำ
ติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี หลายคนเริ่มนึกถึงเรื่อง “ภาษี” แต่พอจะเริ่มคำนวณจริง กลับพบว่าการวางแผนภาษีนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ควรลดหย่อนเท่าไร? ควรซื้อ RMF หรือ Thai ESG แบบไหนถึงจะคุ้มค่าที่สุด?
คำตอบทั้งหมดนี้ Finnomena มีให้ครบในที่เดียว กับเครื่องมือใหม่ล่าสุด “Tax Cal” ผู้ช่วยคำนวณภาษีอัจฉริยะ ที่จะช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที
Tax Cal (Tax Calculator) คือเครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์จาก Finnomena ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณ…
ไม่ต้องเปิด Excel ไม่ต้องคำนวณเองให้ยุ่งยาก เพียงกรอกข้อมูลรายได้และค่าลดหย่อนเบื้องต้น ระบบจะคำนวณให้ครบจบภายใน 3 นาที
เพราะการวางแผนภาษี ไม่ใช่แค่เพื่อการจ่ายภาษีที่น้อยลง แต่คือการจัดพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพในระยะยาวไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง RMF และ Thai ESG ที่ช่วยให้คุณ…
ปีนี้อย่ารอจนถึงโค้งสุดท้ายแล้วค่อยเริ่มวางแผนภาษี เพราะทุกบาทที่คุณคำนวณได้ในวันนี้ อาจกลายเป็นพอร์ตการลงทุนที่เติบโตในวันหน้า เริ่มต้นวางแผนภาษีอย่างมีกลยุทธ์กับ Finnomena ได้แล้ววันนี้
ลองใช้เครื่องมือ Tax Cal ฟรี ได้เลยที่ 👉 www.finnomena.com/taxcal
ภาษีไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอีกต่อไปแค่มี Tax Cal ของ Finnomena คุณจะสามารถวางแผนภาษี และสร้างพอร์ตลดหย่อนภาษีได้อย่างมืออาชีพ
หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านการวางแผนภาษีและการลงทุนเท่านั้น ไม่ถือเป็นการเสนอขายหรือชักชวนให้ลงทุนในหน่วยลงทุนใด ๆ
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน RMF และ Thai ESG ตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร
การวางแผนเกษียณไม่ใช่เรื่องที่ควรรอ ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งมีเวลาสะสมเงินทุนให้เติบโตมากขึ้น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จึงเป็นอีกหนึ่งคำตอบของการสร้างวินัยทางการเงินระยะยาว พร้อมทั้งยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งวันนี้เราจะมารู้จักกับ RMF ที่เหมาะกับการซื้อแล้วถือไปยาว ๆ กองทุนเด่นจาก บลจ. กสิกรไทย
K-GDBONDRMF (ระดับความเสี่ยง 5) กระจายการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีหลากหลายประเภททั่วโลกผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund เหมาะกับผู้ที่ต้องการวางแผนเกษียณแบบมั่นคง
K-GSELECTRMF (ระดับความเสี่ยง 6) ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลกผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF เน้นรักษาสมดุลด้วยการผสมผสานทั้งหุ้น Megatrend ที่เติบโตดี กับหุ้น Defensive เพื่อลดความผันผวน จึงเหมาะที่จะใช้เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตหุ้น (Core Equity) สำหรับผู้ที่ต้องการกระจายลงทุนหุ้นทั่วโลก และไม่ต้องคอยจับจังหวะตลาดเอง
K-GTECHRMF (ระดับความเสี่ยง 7) ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก เน้นเฟ้นหาหุ้นเติบโตสูง สำหรับผู้ที่มองเห็นโอกาสเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและรับความเสี่ยงได้สูง โดยมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Threadneedle (Lux) Global Technology Fund
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
สำหรับใครที่มีข้อสงสัย ยังไม่จุใจกับเรื่องการวางแผนภาษี มาหาคำตอบได้ที่งาน TAX Source Solution 2025 มัดรวมทุกทางออกลดหย่อนภาษี
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคาร B ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG มีเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะตามที่กรมสรรพากรกำหนด | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงพร้อมกันอย่างรุนแรง นำโดย KOSPI ของเกาหลีใต้ ที่ร่วง -5.90% ลงมาที่ระดับ 3,878.64 จุด และ Nikkei 225 ของญี่ปุ่น ที่ปรับตัวลง -2.0% มาที่ 50,441.67 จุด ขณะที่ดัชนี TOPIX ลดลง -2.30% และ Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI) ร่วง -1.41% สะท้อนแรงเทขายต่อเนื่องจากนักลงทุนทั่วภูมิภาคหลังตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงจากความกังวลต่อฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีและการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริงของหุ้นกลุ่ม AI
เกาหลีใต้: ดัชนี KOSPI หลุดแนวรับสำคัญที่ 4,000 จุด และต้องใช้มาตรการ Sell-side Circuit Breaker ชั่วคราวในช่วงเช้า หลังแรงขายถาโถมในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดย Samsung Electronics ร่วง -4.8% และ SK Hynix ดิ่ง -3.6% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 596.8 พันล้านวอนต่อเนื่องเป็นวันที่สอง สาเหตุหลักมาจากความกังวลต่อการควบคุมการส่งออกชิปรุ่นใหม่ของ Nvidia และแรงกดดันจากค่าเงินวอนที่อ่อนค่ามาที่ 1,445 วอนต่อดอลลาร์ ด้านรัฐบาลยังคงเดินหน้านโยบาย “Korea’s First Budget to Open the AI Era” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ แต่ตลาดมองว่าปัจจัยดังกล่าวยังไม่เพียงพอจะสกัดแรงขายในระยะสั้น
ญี่ปุ่น: ตลาดโตเกียวเปิดร่วงแรงตามวอลสตรีท โดย SoftBank Group ดิ่ง -9.4% จากแรงขายในหุ้นกลุ่มลงทุนเทคโนโลยี ขณะที่ Advantest และ Fujikura ร่วง -7.0% และ -5.65% ตามลำดับ ส่วน Fast Retailing เจ้าของแบรนด์ Uniqlo ปรับขึ้นสวนตลาด +2.2% จากแรงซื้อหุ้น Defensive หลังรายงานยอดขายเดือนตุลาคมเติบโตเหนือคาด ภาคส่วนที่อ่อนตัวมากที่สุดคือโลหะนอกกลุ่มเหล็ก เทคโนโลยีสารสนเทศ และเครื่องจักร ขณะที่ค่าเงินเยนทรงตัวในกรอบแคบ 153.5 เยนต่อดอลลาร์ โดยนักลงทุนยังคงคาดว่า BoJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในรอบประชุมถัดไป
จีนและฮ่องกง: ดัชนี HSCEI ร่วง -1.41% ปิดที่ 9,043.71 จุด ตามแรงกดดันจากตลาดโลก ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่จากรัฐบาลปักกิ่ง หลังดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจจีนในช่วงปลายปี
โดยรวมแล้ว การร่วงของตลาดหุ้นเอเชียในวันนี้สะท้อนการหมุนเวียนเงินทุนกลับไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียส่วนใหญ่ เช่น เยน วอน และหยวน อ่อนค่าลงพร้อมกัน
Finnomena Funds ประเมินว่า ภาวะการขายในรอบนี้เป็นเพียง “Technical Correction” หลังตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะเกาหลีใต้และญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นแรงในเดือนที่ผ่านมา โดยปัจจัยพื้นฐานของทั้งสองประเทศยังคงแข็งแกร่ง
มุมมองโดยรวมยังคง “Slightly Positive” ต่อเอเชียทั้งในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีนพร้อมแนะนำทยอยสะสมกองทุน SCBKEQTG สำหรับหุ้นเกาหลี, ASP-NGF สำหรับหุ้นญี่ปุ่น และ MEGA10CHINA-A สำหรับหุ้นจีน
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี RMF และ Thai ESG กับ Finnomena ด้วยบัตรเครดิตได้แล้ว ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม สรุปกองทุนรวมจากบลจ. ชั้นนำ และรายชื่อบัตรเครดิตที่ร่วมรายการมาให้แบบครบ ๆ
สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น เพราะว่าปี 2025 นี้ Finnomena เพิ่มทางเลือกใหม่เปิดโอกาสให้คุณสามารถลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีทั้ง RMF และ Thai ESG โดยใช้บัตรเครดิตที่ร่วมรายการได้ ตอบโจทย์ใครที่อยากซื้อกองทุนโดยไม่ต้องรอเงินก้อน
การเพิ่มบัตรเครดิต
1. เริ่มต้นที่หน้าเพิ่มคำสั่งซื้อกองทุนรวม เลือก Tab “เพิ่มบัตรเครดิต” และทำการลงทะเบียนบัตร กดยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งาน
2. กรอกข้อมูลบัตรเครดิตของคุณ และยืนยันรหัส OTP
ทำรายการซื้อด้วยบัตรเครดิต
3. บัตรเครดิตจะถูกเพิ่มในวิธีการชำระเงินสำหรับการซื้อกองทุนรวมบนแอป Finnomena เลือก “ซื้อทันที” แล้วกด “ยืนยันทำรายการ”
4. กรอกรหัส OTP และ PIN บนแอป Finnomena จากนั้นกดปุ่ม “เข้าใจแล้ว” และกรอกรหัส OTP บน Webview ของธนาคาร
5. กด “ยืนยันรหัส OTP” ระบบแสดงผลการชำระเงิน แสดงผลลัพธ์ส่งคำสั่งซื้อสำเร็จ
ผู้ลงทุนบนแพลตฟอร์ม Finnomena สามารถซื้อกองทุนลดหย่อยภาษี ด้วยบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ดังนี้
สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายทั้งกองทุน RMF และ Thai ESG จาก บลจ. ชั้นนำ ได้แก่
เป็นไปตามเงื่อนไขที่ บลจ. กำหนด
คลิกดูรายชื่อกองทุน RMF และ Thai ESG ที่ซื้อได้ด้วยบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์
เงื่อนไขการซื้อและกองทุนที่เข้าร่วม:
หมายเหตุ: ระยะเวลาการถือครองตามที่บลจกำหนดนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาถือครองเพื่อสิทธิภาษีของกรมสรรพากร
ระยะเวลาร่วมโปรโมชันเปิดบัญชีและลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีประจำปี พ.ศ. 2568:
เงื่อนไขการเปิดบัญชีกองทุนรวมและกองทุนภาษี:
คำเตือน: