ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนตะวันออกกลาง 4 วัน ในซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ด้วยการต้อนรับสุดยิ่งใหญ่ สะท้อนความมั่งคั่งจากน้ำมันและความพร้อมในการสานสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
Cybertruck สีแดงสด
ที่ริยาดห์ เมืองหลวงของประเทศซาอุดีอาระเบีย เจ้าชายมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ถึงกับผิดมารยาททางราชสำนัก ด้วยการออกมาต้อนรับทรัมป์ถึงรันเวย์สนามบิน ขณะที่ขบวนรถของทรัมป์ถูกล้อมรอบด้วย Tesla Cybertruck สีแดงสด และนักขี่ม้าในชุดประจำชาติ
ขณะที่ทางด้านของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ก็ไม่น้อยหน้า เพราะ ประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด ได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “Order of Zayed” ให้ทรัมป์อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุด
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ Order of Zayed
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ “Order of Zayed” ถูกตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งประเทศ “ชีค ซาเยด บิน สุลต่าน อัล นาห์ยาน” ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเคารพและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง UAE กับบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือความมั่นคง
ส่วนกาตาร์จัดขบวนอูฐหลวงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ทันทีที่ขบวนรถของประธานาธิบดีทรัมป์แล่นเข้าสู่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ขบวนอูฐหลวงหลายสิบตัวซึ่งถูกตกแต่งอย่างหรูหรา พร้อมนักขี่อูฐในชุดประจำชาติ เดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ถือธงชาติกาตาร์และสหรัฐฯ อย่างสง่างาม เพื่อรอรับขบวนรถประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสนามบินไปยังพระราชวัง Amiri Diwan ศูนย์กลางอำนาจการเมืองของประเทศ
ขบวนอูฐหลวงของกาตาร์
ขบวนอูฐนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติสูงสุดในพิธีต้อนรับระดับผู้นำประเทศ และมักสงวนไว้เฉพาะโอกาสพิเศษของราชวงศ์หรือพันธมิตรที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
การแสดงออกนี้ไม่เพียงเป็นการให้เกียรติ แต่ยังแสดงถึงความตั้งใจของกาตาร์ในการตอกย้ำสถานะพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่ภูมิรัฐศาสตร์ของตะวันออกกลางกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทรัมป์ซึ่งเป็นนักธุรกิจในสายก่อสร้าง ก็ไม่พลาดชื่นชมความหรูหราของวังและอูฐด้วยคำพูดติดตลกว่า
“ในฐานะที่ผมทำธุกิจก่อสร้างมาก่อน บอกเลยว่าหินอ่อนที่นี่สวยสุดยอด แบบที่เขาเรียกว่า เพอร์เฟคโต้ (Perfecto) เลย…แล้วพวกอูฐที่เอามาต้อนรับน่ะ ผมประทับใจมากจริง ๆ ไม่ได้เห็นอูฐแบบนี้มานานแล้ว”
ด้านเศรษฐกิจ การเดินทางครั้งนี้มีการประกาศดีลระดับประวัติศาสตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น
แม้ตัวเลขจะดูมหาศาล แต่คำถามสำคัญคือ “ดีลเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงแค่ไหน?” โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันยังผันผวน และรายได้ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันลดลง ข้อตกลงบางอย่างอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเห็นผลชัดเจน เช่น การสั่งซื้อ เครื่องบินโบอิ้ง 210 ลำ และดีลอาวุธมูลค่า 142,000 ล้านดอลลาร์
ทาริก โซโลมอน ประธานหอการค้าอเมริกันในซาอุดีอาระเบียชี้ว่า ประเทศในกลุ่มอ่าวอาหรับชื่นชอบผู้นำที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจ ซึ่งทรัมป์ก็ตรงกับคุณลักษณะนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ โดยโซโลมอนได้ระบุเพิ่มเติมว่า ทรัมป์เป็นสัญลักษณ์ของ “เม็ดเงินก้อนโต อุตสาหกรรมอาวุธ และเทคโนโลยีขั้นสูง”
อาห์เหม็ด ราชัด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า ข้อตกลงเหล่านี้ไม่ใช่การแข่งขันภายในภูมิภาค แต่เป็นการแย่งชิงตำแหน่ง “พันธมิตรคนสำคัญของสหรัฐฯ” จากภูมิภาคอื่น
บรรยากาศการประชุมสุดที่ริยาดห์เต็มไปด้วยความอบอุ่น เมื่อทรัมป์กับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ชมกันและกันอย่างเปิดเผย โดยมีผู้บริหารระดับสูงจาก Tesla, Nvidia และ BlackRock ร่วมด้วย
ส่วนที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทรัมป์และผู้นำโมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด เน้นย้ำถึงมิตรภาพส่วนตัวและพันธมิตรที่ยาวนานกว่า 50 ปี โดยครั้งนี้ถือเป็นการเยือน UAE ครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นับตั้งแต่จอร์จ ดับเบิลยู บุช ในปี 2008
ขณะเดียวกัน รายงานล่าสุดระบุว่า สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับ UAE ให้สามารถนำเข้า ชิป Nvidia รุ่น H100 ซึ่งเป็นชิปที่ทันสมัยที่สุด จำนวน 500,000 ชิ้นต่อปี เป็นครั้งแรก ช่วยเร่งพัฒนา Data Center ขนาดใหญ่เพื่อรองรับโมเดล AI ของประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทาริก โซโลมอน ย้ำว่า
“แม้หลายดีลอาจยังเป็นเพียงแค่คำพูด แต่การแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของภูมิภาคนี้ และหากแม้เพียงครึ่งหนึ่งของดีลเกิดขึ้นจริง ก็ถือเป็นชัยชนะที่น่าประทับใจแล้ว”
อ้างอิง: CNBC, The Economic Times
ช่วงเวลากลางปีแบบนี้ ใครที่กำลังเริ่มต้นวางแผนภาษี และกำลังมองหาทางเลือกลดหย่อนภาษีใหม่ ๆ “กองทุน Thai ESGX” อาจเป็นคำตอบ เพราะ Thai ESGX คัดเลือกหุ้นไทยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาผสมผสานไว้ในพอร์ตอย่างลงตัว แถมยังเปิดขายแค่ 2 เดือน ตั้งแต่ 2 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568 เท่านั้น
บทความนี้จะพามาหาคำตอบว่า ถ้าซื้อ Thai ESGX เท่านี้ จะช่วยประหยัดภาษีได้เท่าไร?
Thai ESGX เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทยโดยคัดเลือกจากหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ในปี 2568 ภาครัฐเปิดโอกาสให้ลงทุนในกองทุนประเภทนี้ภายใต้เงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับเงินลงทุนใหม่ โดยมีเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปกองทุน Thai ESGX เงื่อนไขพิเศษ โยก LTF เดิม ลดหย่อนภาษี 5 แสนบาท
หมายเหตุ: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมในคู่มือการลงทุนของกองทุนให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนใน Thai ESGX อาจช่วยลดภาระภาษีได้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
ลองมาดูตัวอย่าง เช่น หากคุณมีรายได้ต่อปี 660,000 บาท คุณสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุดที่ 660,000 × 30% = 198,000 บาท
จำนวนเงินที่ประหยัดภาษีได้ จะขึ้นอยู่กับฐานภาษีของคุณ ในกรณีนี้ ฐานภาษีคือ 10% จึงสามารถประหยัดภาษีได้ 198,000 × 10% = 19,800 บาท
ยิ่งคุณอยู่ในฐานภาษีสูง ยิ่งควรวางแผนให้เหมาะสมกับช่วงเวลาการลงทุนของ Thai ESGX
การวางแผนภาษีล่วงหน้า จะช่วยให้คุณใช้สิทธิได้เต็มที่โดยไม่ต้องรีบร้อนในช่วงปลายปี
Finnomena Funds คัดกองทุน Thai ESGX ที่เดียวครบจาก 19 บลจ. ชั้นนำ โอกาสการลงทุนครั้งสำคัญ พร้อมลดหย่อนภาษีเฉพาะปี 2568 ลงทุนภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้เท่านั้น
สนใจซื้อกองทุน 👉 https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESGX กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อกำหนดก่อนตัดสินใจ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลายคนคงซื้อกองทุน Thai ESG ประเภทตราสารหนี้ มาช่วยลดหย่อนภาษีกันไปบ้างแล้ว ผ่านมาครึ่งปี คงเกิดคำถามว่า “ผลตอบแทนเป็นอย่างไรบ้าง?”
บทความนี้เราจะพาไปดูว่ากองทุน Thai ESG สายตราสารหนี้ กองไหนที่ผลตอบแทนย้อนหลังน่าสนใจในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน K-ESGSI-THAIESG จาก บลจ. กสิกรไทย ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 7.13% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability – linked bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน KFGBTHAIESG-A จาก บลจ. กรุงศรี ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 7.03% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยแต่ไม่รวมถึงหุ้นกู้แปลงสภาพ หรือลงทุนในตราสารภาครัฐอื่นใด ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้หรือตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้หรือตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – linked Bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน SCBTB(THAIESGA) จาก บลจ. กรุงศรี ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 7.03% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability – linked bond) ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability – linked bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน KTESGSI-THAIESG จาก บลจ. กรุงไทย ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 6.05% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยแต่ไม่รวมถึงหุ้นกู้แปลงสภาพ ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือ หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – linked bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน KKP GB THAI ESG จาก บลจ. เกียรตินาคินภัทร ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 5.68% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ในตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน ตามที่สํานักงาน ก.ล.ต. กําหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) สามารถลงทุนหรือมีไว้ได้เช่น ตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability bond) ตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked bond)
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน B-SI-THAIESG จาก บลจ. บัวหลวง ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 5.51% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย แต่ไม่รวมถึงหุ้นกูแปลงสภาพ ซึ่งเป็นพันธบัตร หรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability-linked bond) โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน: 5.51% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน TSITHAIESG จาก บลจ. ทิสโก้ ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 5.19% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) หรือเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – linked Bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน: 5.19% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Thai ESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Thai ESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิกเลย 👉https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ในปีภาษี 2568 นี้ ถือเป็นปีที่ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการวางแผนภาษีผ่านกองทุนส่งเสริมความยั่งยืน อย่าง “กองทุน Thai ESGX” ที่เปิดตัวใหม่พร้อมเงื่อนไขเฉพาะในปีนี้ ควบคู่กับกองทุน Thai ESG และ RMF
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าแต่ละกองทุนมีรายละเอียดและเงื่อนไขอย่างไร เพื่อช่วยให้คุณใช้สิทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดการใช้สิทธิซ้ำซ้อน และไม่พลาดโอกาสลดหย่อนภาษีที่เหมาะสมกับแต่ละคน
รวมแล้ว ผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ครบทุกประเภทและมีฐานภาษีสูง อาจได้วงเงินลดหย่อนภาษีได้รวมสูงสุดถึง 1,400,000 บาท ในปีภาษี 2568
เพื่อให้ใช้สิทธิได้ “เต็มวงเงิน” แบบไม่ทับซ้อน ต้องเข้าใจลำดับและเงื่อนไขการลดหย่อน ดังนี้
หากคุณมีฐานเงินเดือนสูงและต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนในกองทุน RMF, Thai ESG และ Thai ESGX แยกกันอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าคุณใช้สิทธิในแต่ละวงเงินได้อย่างเต็มที่
แต่หากคุณมีงบประมาณจำกัด อาจต้องพิจารณาเลือกใช้สิทธิระหว่าง Thai ESG (วงเงินปกติ) กับ Thai ESGX (วงเงิน 1 จากเงินลงทุนใหม่) เนื่องจากทั้งสองกองทุนนี้มีเกณฑ์การลดหย่อนภาษีที่เหมือนกันคือ ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท โดยการลงทุนใน Thai ESGX (วงเงิน 1) จะเป็นเงื่อนไขเฉพาะปี 2568 นี้เท่านั้น
สำหรับผู้ที่ยังคงถือหน่วยลงทุน LTF เดิมอยู่ โดยไม่มีการขาย/สับเปลี่ยน LTF ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป สามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิมที่มีทั้งหมดทุกกองทุน ทุก บลจ. เข้ากองทุน Thai ESGX ได้ เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้
หากท่านประสงค์จะใช้สิทธิในการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX กรุณาติดต่อบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่ท่านถือหน่วยลงทุนอยู่
แม้จะไม่มีข้อกำหนดแน่นอน แต่ผู้ลงทุนสามารถพิจารณาแนวทางการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีประจำปี 2568 ได้ตามลำดับความเหมาะสม ดังนี้
สมมติคุณมีรายได้ 3,000,000 บาท ต่อปี และมี LTF เดิม มูลค่า 400,000 บาท
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปกองทุน Thai ESGX เงื่อนไขพิเศษ โยก LTF เดิม ลดหย่อนภาษี 5 แสนบาท
Finnomena Funds คัดกองทุน Thai ESGX ที่เดียวครบจาก 19 บลจ. ชั้นนำ โอกาสการลงทุนครั้งสำคัญ พร้อมลดหย่อนภาษีเฉพาะปี 2568 ลงทุนภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้เท่านั้น
สนใจซื้อกองทุน 👉 https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF, Thai ESG และ Thai ESGX กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อกำหนดก่อนตัดสินใจ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
“อายุ 50 แล้ว สายไปหรือเปล่าที่จะลงทุนหุ้นต่างประเทศ?” คำถามนี้คงผุดขึ้นในใจใครหลายคนที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ บอกเลยว่า ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้น หากเรามีแผนที่ชัดเจนและเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำ
หลายคนอาจมองว่าการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นเรื่องไกลตัว ซับซ้อนเกินไป หรือเหมาะกับคนหนุ่มสาวที่มีเวลาให้เงินทำงานอีกยาวนาน แต่ความจริงแล้วหุ้นต่างประเทศอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต สำหรับผู้ที่วางแผนการเงินระยะยาวหลังเกษียณ
ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ เลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม และมีวินัยในการลงทุน การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงให้พอร์ตในระยะยาวหลังเกษียณ
ในช่วงวัยใกล้เกษียณ หลายคนเริ่มมองหาการลงทุนที่มีแนวโน้มมั่นคงและหลากหลายมากขึ้น การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจเป็นหนึ่งทางเลือก เพราะ…
ดังนั้น หากวางแผนอย่างรอบคอบ หุ้นต่างประเทศอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตในช่วงวัยเกษียณ
ก่อนจะลงมือเลือกหุ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ “เข้าใจว่าลงทุนไปเพื่ออะไร?”
ถ้าตอบคำถามพวกนี้ได้ พอร์ตของเราก็จะ “ตรงเป้า” และ เหมาะกับตัวเราจริง ๆ มากกว่าการลงทุนตามกระแส
การลงทุนต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องของการเสี่ยงโชค แต่เป็นเรื่องของการเลือกประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแรง และยังมีศักยภาพเติบโตในอนาคต
ไม่ต้องเลือกทุกประเทศ แค่เลือกให้ “สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้” ก็เพียงพอ
นักลงทุนในวัย 50 ควรหลีกเลี่ยงหุ้นเล็ก หุ้นซิ่ง หรือหุ้นที่ผันผวนสูง ให้เน้นบริษัทที่ “ธุรกิจแข็งแรง มีรายได้มั่นคง และผ่านวิกฤตใหญ่ ๆ มาได้”
หุ้นเหล่านี้อาจไม่หวือหวา แต่มั่นคงและเหมาะกับคนที่ต้องการปกป้องเงินต้นมากกว่าเร่งทำกำไร
สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มกระแสเงินสดจากพอร์ตในระยะยาว หุ้นที่มีนโยบายจ่ายปันผลอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
ปันผลอาจช่วยสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ต โดยไม่ต้องขายหุ้นออกมา
คำว่า “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” ยังคงใช้ได้ดีเสมอ โดยเฉพาะสำหรับวัยเกษียณที่มีข้อจำกัดในการสร้างรายได้ใหม่
การกระจายช่วยให้พอร์ต “ไม่เจ็บหนัก” หากมีประเทศหรืออุตสาหกรรมใดได้รับผลกระทบ
แม้หุ้นต่างประเทศจะมีโอกาสเติบโต แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าความผันผวนของค่าเงินบาทอาจกระทบผลตอบแทนได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่ามาก สำหรับใครที่กังวลเรื่องนี้ ยังมีทางเลือกคือการลงทุนผ่านกองทุนที่มีการ “Hedging” หรือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้พอร์ตของเราไม่ผันผวนไปตามค่าเงิน
การป้องกันความเสี่ยงไม่ได้แปลว่า “จะได้กำไรมากสุด” แต่ช่วยให้เรา “นอนหลับสบายขึ้น”
หลายคนลงทุนโดยไม่ทันได้ดูค่าธรรมเนียมแฝงในกองทุนหรือ ETF ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อสะสมไปหลายปีอาจส่งผลต่อผลตอบแทนรวมได้ไม่น้อย
ควรเลือกกองทุนที่มีข้อมูลชัดเจน มีประวัติการบริหารที่น่าเชื่อถือ และอย่าลืมอ่านหนังสือชี้ชวนก่อนลงทุนทุกครั้ง
ในช่วงวัย 50+ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การ “โตเร็ว” แต่คือ “โตอย่างปลอดภัย” สัดส่วนพอร์ตหุ้นของคนวัยนี้จึงควรอยู่ที่ประมาณ 40–60% ที่เหลือควรแบ่งไปยังสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น
ทุก 1–2 ปี ควร “ทบทวนพอร์ต” ว่ายังตอบโจทย์หรือตรงตามเป้าหมายอยู่หรือไม่ และปรับตามสถานการณ์ของชีวิต
การลงทุนไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และวินัยที่มั่นคง โดยเฉพาะในวัย 50+ ที่การลงทุนไม่ใช่เพื่อเสี่ยงโชค แต่เพื่อวางรากฐานให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว การมีพอร์ตที่ออกแบบให้เหมาะกับจังหวะชีวิตหลังเกษียณ อาจช่วยสร้างกระแสเงินสด และลดการพึ่งพาแหล่งรายได้อื่นในอนาคต
หุ้นต่างประเทศอาจดูไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุน และเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจระดับโลก บางบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจช่วยเสริมกระแสเงินสดให้พอร์ตในระยะยาว
ไม่ต้องรีบรู้ทุกอย่างในวันเดียว แค่เริ่มจากสิ่งที่เข้าใจ ลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคอยปรับให้เข้ากับชีวิตเรา แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พอร์ตลงทุนของเรากลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่เชื่อใจได้ในทุกช่วงของชีวิต
ถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะเลือกหุ้นยังไง ลองใช้ตัวช่วยอย่าง Definit Global Select กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศผ่าน DR ที่คัดหุ้นนอกคุณภาพมาให้ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ* ช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสจากทั่วโลกโดยไม่ต้องจับจังหวะเอง
Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก
ดูรายละเอียดคลิกเลย 👉 https://finno.me/dgs-fb-po
*บริการ Definit Global Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (“Finnomena”) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
Thai ESGX หรือ กองทุน Thai ESG Extra คือทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดหย่อนภาษี พร้อมลงทุนในหุ้นไทยที่เน้นความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือธรรมาภิบาล (ESG)
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับ Thai ESGX
ก่อนตัดสินใจลงทุนกองทุน Thai ESGX ลองมาเช็กตัวเองง่าย ๆ ด้วย Checklist 8 ข้อนี้กันก่อน ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที แต่จะช่วยคุณให้ตัดสินใจได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
1. มีรายได้ที่ต้องเสียภาษี และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนในปี 2568
การลงทุนใน Thai ESGX มีประโยชน์กับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด โดยเป็นผู้ที่มีรายได้สุทธิที่หักลบค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว มากกว่า 150,000 บาท
2. สามารถถือกองทุนไว้ได้อย่างน้อย 5 ปีเต็ม โดยไม่รีบใช้เงิน
Thai ESGX ต้องถือครองขั้นต่ำ 5 ปีเต็ม (วันชนวัน นับตั้งแต่วันที่ลงทุน) จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่สามารถถือครบตามเงื่อนไข จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ และจะต้องคืนเงินภาษีพร้อมค่าปรับ
3. สนใจลงทุนและเชื่อมั่นในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทย
Thai ESGX ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศ ผู้ลงทุนควรมีความสนใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจไทย รวมถึงยอมรับความเสี่ยงของตลาดทุนได้
4. สนใจลงทุนธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) และผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
Thai ESGX เน้นลงทุนในบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG ซึ่งสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
5. เคยลงทุน LTF หรือมี LTF ที่ต้องการสับเปลี่ยนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
สำหรับผู้ที่เคยลงทุนใน LTF และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต่อเนื่อง Thai ESGX เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ หลังสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ LTF เดิมสิ้นสุดลง ภาครัฐได้เปิดโอกาสให้ “สับเปลี่ยน” LTF ที่ถืออยู่ ไปยัง Thai ESGX เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด 500,000 บาท ในรอบใหม่ พร้อมทั้งต่อยอดการลงทุนในหุ้นกลุ่มยั่งยืนที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
6. ฐานภาษีสูง ต้องการวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม
คนที่มีรายได้มาก ต้องเสียภาษีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน การใช้ Thai ESGX มาเป็นตัวเสริม จะช่วยให้ใช้สิทธิลดหย่อนได้คุ้มค่ามากขึ้น
7. มองหาทางเลือกลงทุนต่อยอดให้เงินเติบโต พร้อมลดหย่อนภาษีไปด้วย
Thai ESGX ไม่ใช่แค่ช่วยลดหย่อนภาษี แต่ยังเปิดโอกาสให้เงินเติบโตในระยะยาวผ่านการลงทุนในบริษัทคุณภาพดี
8. วางแผนลงทุนระยะยาว และไม่มอง Thai ESGX เป็นแค่เครื่องมือลดหย่อนภาษี
การลงทุนใน Thai ESGX ควรมองเป็นการสร้างพอร์ตระยะยาวแบบยั่งยืน ไม่ใช่เพียงลดภาษีปีต่อปี เพราะยังมีความผันผวนของตลาดที่ผู้ลงทุนต้องรับมือให้ได้
อ่านเพิ่มเติม สรุปกองทุน Thai ESGX โอกาสใหม่ลดหย่อนภาษีปี 2568 ทางเลือกสับเปลี่ยนกองทุน LTF
Finnomena Funds คัดกองทุน Thai ESGX ที่เดียวครบจาก 19 บลจ. ชั้นนำ โอกาสการลงทุนครั้งสำคัญ พร้อมลดหย่อนภาษีพิเศษปี 2568 เฉพาะเดือนพฤษภาคม–มิถุนายนนี้เท่านั้น
สนใจซื้อกองทุน 👉 https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESGX กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
มุมมองการลงทุน
ที่มา: บลจ. กสิกรไทย วันที่ได้รับเอกสาร: วันที่ 15 พฤษภาคม 2025
ที่มา: บลจ. กสิกรไทย วันที่ได้รับเอกสาร: วันที่ 15 พฤษภาคม 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน KAsset Global Perspective Portfolio สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน KAsset Global Perspective Portfolio คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด มหาชน หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สรุปกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน Finnomena Funds แนะนำ Reiterate Buy เข้าสะสมในสินทรัพย์ที่มีโอกาสฟื้นตัวจากสัญญาณ Trade War ที่มีท่าทีผ่อนคลายสู่ Trade Deal โดยให้น้ำหนัก Positive ต่อหุ้นอินเดีย พร้อมอัปเกรดหุ้นเกาหลีใต้เป็น Slightly Positive
*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2025) ดัชนี HSCEI (หุ้นจีน H-Share) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่ BYD (+4.57%), Baidu (+4.01%), Xiaomi (+3.60%), Alibaba (+3.41%), JD.com (+3.36%) และ Tencent Holdings (+2.96%) หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2025 ที่ออกมาดีกว่าคาด โดย JD.com รายงานรายได้เติบโต 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 43% ขณะที่ Tencent ก็เปิดเผยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยรายได้ขยายตัว 13% YoY และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14% ความแข็งแกร่งของผลประกอบการจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และผลักดันให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นในวันนี้
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 สหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงการลดภาษีชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันหลังการเจรจาที่สวิตเซฮร์แลนด์ โดยล่าสุดสหรัฐฯได้ลดภาษีจาก 145% เหลือ 30% และ จีนได้ลดภาษีสหรัฐฯจาก 125% เหลือ 10% โดยจะมีผลเริ่มต้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2025 ขณะที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังได้ระบุว่า การเจรจากับจีนเป็นไปในทิศทางที่ดี พร้อมทั้งทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งกดลไกเพื่อดำเนินการหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าต่อไป โดยสก็อตต์ เบสเซนต์เป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ขณะที่เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนจากรัฐบาลจีน
Finnomena Funds มองว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในวันนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อผลประกอบการหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนขนาดใหญ่ที่ยังแข็งแกร่ง และสะท้อนถึงความกังวลที่ลดลงของนักลงทุนต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ หลังจากสหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงภาษีได้ ซึ่งส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการเปิดเจรจาการค้ากับหลายประเทศ และเป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้
เราคงมุมมอง Slightly Positive ต่อหุ้นจีน H-shares โดยแนะนำทยอยสะสมกองทุน MEGA10CHINA-A ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นจีน H-shares ขนาดใหญ่ 10 บริษัท
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
รู้จักหุ้นญี่ปุ่นในพอร์ต Warren Buffett ขุมทรัพย์ Value Stock สำหรับเก็บสะสมระยะยาว พร้อมวิเคราะห์โอกาสการลงทุน และแนะนำกองทุน F-Pick หุ้นญี่ปุ่น ASP-NGF
มีหุ้นญี่ปุ่นอยู่ 5 ตัวที่ Warren Buffett เข้าลงทุนมาตั้งแต่ปี 2020 และทยอยเก็บสะสมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ถึงตัวละ 10% ซึ่งคาดว่าปัจจุบัน Berkshire Hathaway มีมูลค่าการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นสูงถึง 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมยืนยันชัดเจนว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ประกอบด้วย
บริษัทการค้าระหว่างประเทศที่มีธุรกิจครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านพลังงาน เครื่องจักร สินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงด้านอสังหาริมทรัพย์ด้วย ถือเป็นองค์กรเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่มีอายุมากกว่า 167 ปี ซึ่งสามารถยืนหยัดเติบโตมาได้อย่างต่อเนื่อง
บริษัทพาณิชย์รายใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า พลังงาน และโลจิสติกส์ โดยเป็นผู้นำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีรายได้จากหลายช่องทาง ครอบคลุมแทบทุกภาคส่วนของญี่ปุ่น และดำเนินธุรกิจมากว่า 167 ปี
หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งมีอายุเกิน 100 ปี ดำเนินกิจการในด้านโลหะ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีการสื่อสาร และทำธุรกิจเทรดดิ้งทั่วโลก รวมถึงเป็นยักษ์ใหญ่ขยายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น
บริษัทพาณิชย์ที่มีการลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี เหมืองแร่ และบริการก่อสร้าง ซึ่งบริษัทได้ขยายธุรกิจมากมาย จนมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและได้รับความเชื่อมั่นจากหุ้นส่วนธุรกิจทั่วโลก
หนึ่งในบริษัทพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ พลังงาน อาหาร การเงิน ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน
ทั้ง 5 บริษัทเป็นที่รู้จักในชื่อ Sogo Shosha หรือบริษัทการค้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น และมีบทบาทสำคัญที่คอยเชื่อมโยงตลาดโลกกับธุรกิจในประเทศ ซึ่งยังมีอีก 2 บริษัทในกลุ่มนี้ คือ Toyota Tsusho และ Sojitz
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ภาพของตลาดหุ้นโลกเป็นช่วงเวลาที่หุ้น Growth กลุ่มเทคโนโลยี AI เติบโตได้ดีมาก แต่ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นไว้หนึ่งแห่ง
Source: Finnomena Funds as of 25/04/2025
ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของผลตอบแทนระหว่างหุ้น Value และหุ้น Growth ใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่ หุ้นญี่ปุ่น หุ้นโลก และหุ้นสหรัฐฯ โดยใช้ดัชนี MSCI เปรียบเทียบกันในช่วง 2 ปี (มกราคม 2023 – เมษายน 2025) ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญ ดังนี้
อัตราส่วนของ MSCI Japan Value Index / MSCI Japan Growth Index สะท้อนว่าหุ้น Value ของญี่ปุ่นมีผลตอบแทนดีกว่าหุ้น Growth ชัดเจน โดยค่า Index ล่าสุดอยู่ที่ 117.55 เพิ่มขึ้นประมาณ 17.55%
แต่ตัวแทนหุ้นโลกอย่าง MSCI World Value Index / MSCI World Growth Index และตัวแทนหุ้นสหรัฐฯ MSCI USA Value Index / MSCI USA Growth Index พบว่าค่า Index อยู่ต่ำกว่า 100 แปลว่าหุ้น Value ให้ผลตอบแทนแพ้หุ้น Growth
เพราะตลาดญี่ปุ่นมีปัจจัยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม การปรับโครงสร้างบริษัท การจ่ายปันผล และแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติ เช่น Warren Buffett
Finnomena Funds คงคำแนะนำ Neutral ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เน้นการลงทุนแบบ Selective ผ่านกองทุน ASP-NGF หรือพอร์ต DR หุ้นนอกด้วยกลยุทธ์ Definit Global Select (DGS)
ASP-NGF หรือ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสนิปปอนโกรท (ความเสี่ยงระดับ 6) มีนโยบายการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น ผ่านกองทุนหลัก Nippon Growth (UCITS) Fund บริหารและจัดการโดย E.I. Sturdza Strategic Management Limited โดยมีเป้าหมายคว้าโอกาสการลงทุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่น
Investment Process ของกองทุนมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มของพอร์ตด้วยความสามารถในการ วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคและอุตสาหกรรมที่ตลาดยังไม่ได้รับรู้ คัดเลือกหุ้นขนาดใหญ่ Large Cap มูลเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ พิจารณาทั้งหุ้น Growth และ Value ประกอบด้วยหุ้นทั้งหมดประมาณ 30 ตัว เน้น Selective สูง ไม่อ้างอิงดัชนี
ตัวอย่าง Top Holdings as of 14/05/2025 ได้แก่ Mitsubishi UFJ Financial Group, Sumitomo Mitsui Financial, Mizuho Financial Group, Itochu Corp และ Isetan Mitsukoshi Holdings เป็นต้น
Source: Finnomena Funds, Morningstar data 17/05/2023 – 23/04/2025
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept Help Center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
การมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะในชีวิตเราอาจพบกับเหตุการณ์ไม่ทันตั้งตัว ที่ทำให้ต้องใช้เงินตั้งรับกับปัญหาต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้น การเตรียมตัวให้พร้อม “เก็บเงินสักก้อน” เพื่อใช้ยามฉุกเฉิน จะช่วยให้เราผ่อนหนักเป็นเบา แม้จะสะดุดก็ยังลุกขึ้นเดินหน้าต่อไปได้
FinSpace
สัปดาห์นี้ ข่าวดีจากการชะลอ Tariff War ระหว่างจีนกับสหรัฐ ออกไป 90 วัน น่าจะทำให้ Sentiment ของตลาดหุ้นโลกโดยรวมดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ดี ผลโพลจากผู้จัดการด้านการลงทุนสหรัฐในเดือนเมษายน 2025 ที่จัดทำโดยสำนักข่าวดาวน์โจนส์ ที่มีผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นผู้จัดการด้านการลงทุน 119 ราย ปรากฎว่า โทนออกมาแบบ Bearish ที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 32% จากทั้งหมด มีความเห็นในเชิงลบหรือ Bearish ต่อตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 12 เดือนถัดไป ซึ่งถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997
หากพิจารณาถึง วิกฤตต่าง ๆ ที่เราได้เผชิญผ่านมานับจากวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง เหตุการณ์ 9/11 วิกฤตซับไพร์ม และวิกฤตโควิด จะเห็นได้ว่าผู้คนในวงการการลงทุนดูจะกังวลต่อวิกฤต Tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์มากกว่า
ในทางกลับกัน สัดส่วนของผู้ที่มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะสดใส หรือ Bullish ก็ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบเกือบ 30 ปีเช่นเดียวกัน อยู่ที่เพียง 26% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ซึ่งสวนทางกับช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อน ที่ผลออกมา 50% Bullish และมีเพียง 18% Bearish โดยความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดจากผลกระทบของมาตรการ Tariff ของทรัมป์ที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนและต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าโทนในช่วงหลังของทรัมป์จะดูไม่ดุดันอย่างในช่วงต้น ๆ ก็ตาม
โดยผลโพลด้าน Valuation ของตลาด ท่ามกลางการรีบาวนด์ของตลาดหุ้นสหรัฐหลังจากลงไปเกือบ 20% ในช่วงวัน Liberation Day ของทรัมป์ ปรากฎว่า 58% ของโพลมองว่าตลาดยัง overvalued ในขณะที่ 38% มองว่าอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม โดยมีเพียง 4% ที่มองว่ายัง undervalued
สำหรับด้านเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปีนี้ ปรากฎว่ากลุ่ม Bullish มองดัชนีจะสูงขึ้น 4-7% จากระดับปัจจุบัน ส่วนกลุ่ม Bearish มองจะลดลง 7% สำหรับดัชนีดาวน์โจนส์ และลดลงราว 11-12% สำหรับดัชนี S&P500 ในขณะที่ 42% ของทั้งหมดมองว่าจะอยู่ในระดับปัจจุบัน
หันมาพิจารณาความนิยมต่อมาตรการ Tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์กันบ้าง ปรากฎว่า 80% ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ 20% เห็นด้วย ด้านโอกาสการเกิด Recession นั้น ปรากฎว่าราว 80% ของทั้งหมดมองว่ามีโอกาสเกิด Recession อยู่ 40% หรือมากกว่านั้น อย่างไรก็ดี ราว 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มองว่าการลดลงของตลาดถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนควรเข้าซื้อ
เมื่อพิจารณานโยบายต่าง ๆ โดยรวม ปรากฎว่าหลายท่านมองว่าทรัมป์ไม่ได้โฟกัสนโยบายที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตในช่วงต้น ๆ โดย 38% ของทั้งหมด ต้องการให้ Deregulation เป็นนโยบายอันดับหนึ่งที่ทรัมป์ควรให้ความสำคัญ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ความคาดหวังเชิงบวกต่อทรัมป์ขึ้นสูงสุดหลังจากตอนที่ชนะการเลือกตั้งใหญ่ ๆ หมาด ๆ จากนั้น ความคาดหวังดังกล่าวก็ค่อยๆลดลงมาเป็นลำดับ โดยเน้นนโยบาย Tariff มากจนเกินไป
สำหรับในมุมความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 6 เดือนถัดจากนี้ ปรากฎว่า 24% เห็นว่าคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ, 19% ชี้ไปที่ Recession และ 14% มองว่าเป็นความวุ่นวายทางการเมือง โดยผลสำรวจส่วนใหญ่ประเมินว่า Tariff จะทำให้เกิดการหยุดนิ่งของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงกลางปีนี้ แม้ว่าจะมีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงเพียงหนึ่งรายเท่านั้นที่มองในแง่ดีว่า Recession จะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากพลังของการบริโภคของชาวสหรัฐที่ถึงตรงนี้ก็ปรากฎว่าแรงยังไม่ตก
ด้วยเหตุนี้ ทองคำ จึงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมถึง 58% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดในครั้งนี้ โดยเชื่อว่าอุปสงค์ที่สูงขึ้นจากการเข้ามาซื้อทองคำของบรรดาธนาคารกลางของโลก ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย หรือประเทศในตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์ จะส่งผลดีต่อราคาทองคำ รวมถึงราคาทองคำมักสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์
ด้านการกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ปรากฎว่า ผลโพลในครั้งนี้ มีถึง 70% ที่มีความเห็นเชิง Bullish ต่อตลาดหุ้นนอกสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตลาดของประเทศพัฒนาแล้วหรือตลาดเกิดใหม่ โดยมีหลายท่านชื่นชอบ iShares MSCI EAFE Value ETF และ Vanguard FTSE Emerging Markets ETF โดยมองว่าค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนและค่าเงินยูโรที่แข็ง จะเป็นปัจจัยช่วยตลาดหุ้นนอกสหรัฐ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหุ้นจีนซึ่งมีบางท่านในผลโพลชื่นชอบ รวมถึงหุ้น Alibaba ที่ราคาขึ้นไปกว่า 40% ในปีนี้ แม้ว่าจะเทรดที่ค่า P/E เพียง 13 เท่าของกำไรสุทธิที่คาดการณ์ใน 12 เดือนข้างหน้า และหุ้นที่เน้นปันผลในกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มยารักษาโรค
ท้ายสุด กว่า 70% ของทั้งหมดในรอบนี้ ชื่นชอบการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากมองว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ คาดว่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ต่ำกว่า 4% ในอีก 1 ปีนับจากนี้
โดยสรุป ปี 2025 คาดว่าจะเป็นปีที่การลงทุนมีความผันผวนสูงมากๆ ซึ่งทุกคนต้องเตรียมตัวรับมือแบบระมัดระวังให้ดีกว่าทุกปี
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
Microsoft บริษัทผู้พัฒนาซอฟแวร์รายใหญ่ของโลก ประกาศปลดพนักงานอีกกว่า 6,000 ตำแหน่งทั่วโลก หรือคิดเป็นราว 3% ของพนักงานทั้งหมด ถือเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในรอบกว่า 2 ปี
นับตั้งแต่ปี 2023 บริษัทเคยปลดพนักงานไปแล้วกว่า 10,000 คน ซึ่งครอบคลุมทุกระดับองค์กรทั้งสำนักงานใหญ่ สาขาในต่างประเทศ และส่วนของ LinkedIn ด้วย
โดยให้เหตุผลว่าบริษัทจำเป็นต้องปรับโครงสร้างองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยการมุ่งลดชั้นการบริหารจัดการให้ทีมทำงานได้คล่องตัวขึ้น รวมถึงลดพนักงานที่ทำผลงานที่ไม่เข้าเกณฑ์
Microsoft มีจำนวนพนักงานราว 228,000 คน และมักจะมีการปลดพนักงานเป็นระยะ เพื่อปรับจำนวนบุคลากรให้ตรงกับลำดับความสำคัญของธุรกิจในแต่ละช่วงเวลา
ทั้งนี้ ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 1/2025 (ม.ค. – มี.ค.) Microsoft มีรายได้ 2,338,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% กำไร 861,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 36.9% ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เพราะการเติบโตของธุรกิจ AI Cloud
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม AI Cloud ของ Microsoft มีตั้งแต่ Azure, SQL Server, Windows Server, Nuance, GitHub ซึ่งในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 559,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI
Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft กล่าวว่า มีแผนที่จะใช้เงินกว่า 2.7 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 2025 เพื่อลงทุนด้าน Data Center รองรับการเติบโตของ AI ที่ยังคงแข็งแกร่ง พร้อมคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ระหว่าง 2.44 – 2.48 ล้านล้านบาท ในไตรมาสหน้า สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.41 ล้านล้านบาท
Source: Bloomberg
คืนวานนี้ (13/05/2025) ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า +5.6% หลังมีรายงานว่าดีลชิป AI ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กำลังจะเกิดขึ้น และทรัมป์จ่อเปิดทางให้ UAE สั่งชิป AI ขั้นสูงจาก Nvidia กว่า 1 ล้านชิ้น!
ตัวเลขนี้สูงกว่าข้อจำกัดเดิมในยุคไบเดนถึง 4 เท่า และจะเปลี่ยนทิศทางนโยบายสหรัฐอเมริกา ต่อพันธมิตรตะวันออกกลางอย่างมาก ถือเป็นการยกเลิกกฎ “AI diffusion rule” ที่เคยจำกัดการขายชิปยุคไบเดน
นอกจากนี้ ยังมีไฮไลท์สำคัญอื่น ๆ คือ UAE อาจได้รับอนุญาตให้นำเข้าชิป AI ปีละ 500,000 ชิ้น จนถึงปี 2027 โดย 100,000 ชิ้น จะถูกจัดสรรให้กับบริษัท G42 (พันธมิตรของ UAE ที่มีความสัมพันธ์กับ Huawei)
ส่วนที่เหลือจะกระจายให้บริษัทสหรัฐฯ ที่สร้าง Data Center ในอาบูดาบี และอาจรวมถึง OpenAI
นับเป็นเปลี่ยนโฉมนโยบายควบคุมการส่งออกชิปของสหรัฐฯ เป็นดีลเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับตะวันออกกลาง ในการแข่งขัน AI กับจีน “AI Sovereign Infrastructure” กำลังถูกปักหมุดทั่วตะวันออกกลาง และ Nvidia คือผู้เล่นตัวจริงของเกมนี้
เมื่อคืนวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) และ ดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 3.26% และ 4.02% ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) +1.24% ตลาดหุ้นไทย (SET Index) +1.09% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) +0.38% และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) +0.1% ขณะที่ดัชนี HSCEI หรือ หุ้นจีน H-Shares ปรับตัวลง -1.76%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงการลดภาษีชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันหลังการเจรจาที่สวิตเซฮร์แลนด์ โดยล่าสุดสหรัฐฯได้ลดภาษีจาก 145% เหลือ 30% และ จีนได้ลดภาษีสหรัฐฯจาก 125% เหลือ 10% โดยจะมีผลเริ่มต้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2025 ขณะที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังได้ระบุว่า การเจรจากับจีนเป็นไปในทิศทางที่ดี พร้อมทั้งทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งกลไกเพื่อดำเนินการหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าต่อไป โดยสก็อตต์ เบสเซนต์เป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ขณะที่เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนจากรัฐบาลจีน นอกจากนี้มีรายงานว่าสัปดาห์นี้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มีกำหนดหารือกับคู่ค้าราว 20 ราย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม
Finnomena Funds มองว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในวันนี้ สะท้อนถึงความคลายกังวลของนักลงทุนต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงภาษีได้ ซึ่งส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการเปิดเจรจาการค้ากับหลายประเทศ และเป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้ว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์มีเป้าหมายเพื่อการ “เจรจา (make deal)” มากกว่าการจะต้องการเก็บภาษีในระดับสูงสุดตามที่เคยประกาศไว้ในวันที่ 2 เมษายน เราเริ่มเห็นแรงต้านจากสังคมในสาธารณะต่อนโยบายการค้าของทรัมป์ ทั้งจากคะแนนนิยมของทรัมป์ที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง จนไปถึงความขัดแย้งที่เริ่มเกิดขึ้นภายในระหว่างผู้สนับสนุนและทีมงานของทรัมป์เอง
เราจึงแนะนำเป็น “เข้าลงทุน” ในสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากที่เราแนะนำ Wait and See เพื่อเตรียมลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2025
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
ข้อตกลงลดภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน (Temporary Tariff Rollback) เป็นเวลา 90 วัน จากแถลงการณ์ร่วมที่จัดขึ้นใน เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ถ้อยแถลงจาก Scott Bessent รมว. คลังสหรัฐฯ บอกว่า “เราได้บรรลุข้อตกลงในการหยุดพักภาษี 90 วัน และลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพกันในการเจรจา ถือเป็นการหารือที่แข็งแกร่งและสร้างสรรค์ ยืนยันว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องการตัดความสัมพันธ์จากจีน”
ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทันที ทำให้ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงกลับตัวพุ่งขึ้นรุนแรง ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบกับเยนและยูโร โดยที่ US Dollar Index วิ่งเหนือระดับ 100 จุดแล้ว ปรับเพิ่มขึ้น 1.05% ส่วนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี Yield ขึ้นสูงสุดในรอบ 1 เดือน
การเจรจาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อลดความตึงเครียดทางการค้า และเปิดทางให้เจรจาโครงสร้างในรอบต่อไป โดยมีการจัดตั้ง “กลไกการปรึกษาหารือ” (Consultation Mechanism) เพื่อพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จีนเน้นย้ำการต้องการ “ความเคารพซึ่งกันและกัน” และไม่เห็นด้วยกับการข่มขู่
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายเตือนว่านี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว และอาจยังไม่ใช่สัญญาณการยุติสงครามการค้าโดยถาวร ควรจับตาผลกระทบระยะรอง (secondary effects) ที่อาจตามมา ทั้งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
Source: Bloomberg