ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่งการเมือง เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกาดูเหมือนว่าจะปั่นป่วนไม่น้อย ทิศทางของอเมริกานั้น ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นอเมริกาในระยะยาวจะไปทางไหน หุ้นจะขึ้นหรือลง น่าลงทุนหรือไม่ ผมลองศึกษาข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์โดยอิงกับเหตุการณ์สำคัญและดัชนี S&P 500 ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีที่สุด โดยการมองย้อนหลังไปประมาณ 75 ปี ซึ่งเป็นยุคที่อเมริกา “เปิดประเทศ” และกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นของโลกในทุกด้าน ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ การค้าและการเงินของโลก
เริ่มในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยที่อเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายผู้ชนะสงครามได้กลายเป็นผู้นำของประเทศ “โลกเสรี” อย่างเด็ดขาดและมีพละกำลังทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง อเมริกาได้เข้าไปช่วยประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกให้ฟื้นตัวจากสงครามโดยโครงการ “Marshall Plan” ที่ใช้เงินมหาศาล
ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าไม่ช่วย ประเทศเหล่านั้นก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนและโกรธแค้นและในที่สุดอาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามอย่างโซเวียต สรุปก็คือ อเมริกาที่เคย “อยู่เฉย ๆ และไม่ยุ่งกับใคร” ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นอเมริกาที่เข้าไป “ยุ่ง” หรือช่วยประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในฝ่ายของโลกเสรี เหตุผลก็เพื่อที่จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ โลกเข้าสู่ช่วง “สงครามเย็น” ที่ไม่รบกันด้วยอาวุธ แต่รบกันด้วยเศรษฐกิจ การค้าและอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย
“โลกเสรี” เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก เยอรมันตะวันตกเติบโตมากในยุโรป ญี่ปุ่นเติบโตมหาศาลในเอเชีย กลายเป็นเศรษฐกิจอันดับ 3 และ 2 ของโลกอย่างรวดเร็ว การค้าและเศรษฐกิจในกลุ่มโลกเสรีซึ่งรวมถึงประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในฝ่ายโลกเสรีเพิ่มขึ้นมหาศาลอานิสงส์สำคัญจากการช่วยเหลือของอเมริกา และนั่นก็ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตตามไปด้วยอย่างยาวนาน ซึ่งสะท้อนออกมาจากดัชนี S&P 500
ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 1949 ที่ดัชนีอยู่ในช่วง “ต่ำสุด” ที่ประมาณ 190 จุด มันปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ และมีช่วงปรับตัวลงน้อยมากจนถึงเดือนพฤศจิกายน 1968 เป็นเวลาถึง 19.5 ปี ดัชนีขึ้นไปถึง 977 จุดหรือเป็นการเพิ่มขึ้นปีละ 8.8% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น และนี่ก็คือยุคของความมั่งคั่งหลังสงครามโลกของอเมริกา ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องยาวนานที่สุด
หลังจากปี 1968 สงครามเย็นก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เฉพาะอย่างยิ่งเกิดสงครามเวียดนามที่อเมริกาเข้าไปร่วมรบ “เต็มสตรีม” ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ในตะวันออกกลางก็มีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งทำให้เกิดวิกฤติน้ำมันเพราะโอเปก องค์กรผู้ผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกของฝ่ายอาหรับงดส่งน้ำมันให้อเมริกาเพื่อเป็นการประท้วง
ผลก็คือน้ำมันแพงขึ้นมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และสิ่งที่ตามมาก็คือ เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมากเป็นประวัติการณ์เป็นตัวเลขสองหลักในปี 1974-75 และกลายเป็น “Stagflation” คือเงินเฟ้อแต่คนตกงานเศรษฐกิจตกต่ำซึ่งทำให้คนเดือดร้อนกันมาก เกิดการประท้วงใหญ่ในอเมริกา คนต่อต้านสงครามและเกิดปรากฏการณ์ของคนที่ต่อต้านสังคมที่เรียกว่าพวก “ฮิปปี้” ที่ไว้ผมยาว ไม่ทำงาน ทำตัวสกปรกและเสพกัญชาและยาเสพติดอื่น ๆ
ดัชนี S&P 500 ตกจาก 977 จุดในปี 1968 เป็นประมาณ 350 จุดในเดือนกรกฎาคม 1982 หรือตกลงมา 7.24% แบบทบต้น ในช่วงเวลา 13.7 ปี กลายเป็นช่วง “ทศวรรษที่หายไป” และในช่วงปี 1973-1974 ตลาดหุ้นก็เกิด “วิกฤติ” ด้วย คือตกจาก 886 เหลือเพียง 400 จุด หรือเป็นการตกลงมา 55% ในเวลา 2 ปี
นับจากปี 1982 “ยุคใหม่” ก็เริ่มขึ้น สหรัฐได้ประธานาธิบดีคือโรนัลด์ เรแกน ที่ใช้
นโยบายเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “เรแกนโนมิคส์” ที่เน้นลดภาษี ส่งเสริมการค้าเสรี ลดบทบาทของรัฐในด้านเศรษฐกิจ เพิ่มงบประมาณทหารเพื่อต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ และก็เริ่มชนะ จีนเริ่มปรับตัวเป็น “ทุนนิยม” หลังจากที่เศรษฐกิจไปไม่ไหวภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิงที่เริ่มเข้ามามีอำนาจแทนเหมาเจ๋อต๋งที่เสียชีวิตไป เติ้งประกาศว่า “แมวขาวหรือแมวดำก็ไม่สำคัญถ้ามันจับหนูได้”
ที่สำคัญก็คือ คอมมิวนิสต์โซเวียตเองก็ล่มสลายลงในปี 1991 โลกกำลังเป็น “Globalized” หรือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลกโดยมีอเมริกาเป็น “ผู้นำหนึ่งเดียว” ทุกประเทศเลิกทำสงครามแต่ทำการค้ากับทุกประเทศ และทำผ่านการสื่อสารและการจัดการยุคใหม่ที่มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นตัวนำ
ดัชนี S&P พุ่งขึ้นแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จาก 350 จุดในปี 1982 กลายเป็นจุดสูงสุด 2,803 จุด ในเดือนสิงหาคมปี 2000 คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มปีละ 12.2% แบบทบต้น เป็นเวลายาวนานถึง 18.1 ปี โดยที่แทบไม่มีช่วงเวลาสะดุด ถือว่าเป็นยุคทองของตลาดหุ้นอเมริกา
แต่เวลาดีสุดยอดก็ดับลงในชั่ว “ข้ามคืน” อาจจะเพราะมันร้อนแรงเกินไปโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม “ไฮเทค” หรือเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกลุ่ม “Dot-com” ที่ “กำลังเปลี่ยนโลก” ที่ราคาหุ้น “ร้อนแรงเป็นไฟ” ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้น 800% ในเวลาเพียง 5 ปี ซึ่งในที่สุดฟองสบู่ก็แตก และนั่นทำให้ดัชนี S&P หลังเดือนสิงหาคม ปี 2000 ตกลงมาแบบวิกฤติเหลือ 1,437 จุด หรือลดลงมาประมาณ 49% ในเวลา 2 ปี และก็เกิดวิกฤติอีกครั้งในปี 2007 ที่ดัชนีตกลงมาจาก 2,366 จุดเหลือเพียง 1,107 จุดในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 53% จากวิกฤติซับไพร์ม
โดยรวมแล้ว ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2000 ถึงกุมภาพันธ์ 2009 เป็นเวลา 8.5 ปี ดัชนี S&P 500 ตกจาก 2,803 เหลือ 1,107 จุด หรือลดลงปีละ 10.37% ต่อปีแบบทบต้น โดยที่ในระหว่างนั้น เกิดวิกฤติที่ทำให้ดัชนีตกลงมาประมาณ 50% ถึง 2 ครั้ง และนับเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายสำหรับนักลงทุนมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเหตุผลส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะดัชนีหุ้นอยู่ในระดับที่สูงเกินไปหลังจากที่ดัชนีดีต่อเนื่องมานานมาก
จากปี 2009 เป็นต้นมาจนถึงเดือนพฤศจิกายนปี 2024 เป็นเวลาถึง 15.8 ปี เศรษฐกิจของสหรัฐเติบโตได้ดีและมั่นคงมาก การเติบโตนั้นนำโดยหุ้นไฮเทคและดิจิทัลที่ปฎิวัติการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้คนทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เริ่มปรากฏตัวขึ้นมานั้น พัฒนาขึ้นถึงจุดที่ถูกนำมาใช้งานได้จริง เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองก็เริ่มออกสู่ท้องถนน ไม่ต้องพูดถึงพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้นแพร่หลายและจะเปลี่ยนโลกในอนาคตไปสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน ในขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่ต่ำเป็นประวัติการณ์อย่างยาวนาน
ทั้งหมดนั้นทำให้ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาตลอดจาก 1,107 จุด เป็น 6,093 จุดที่เป็นจุดสูงสุดและให้ผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 11.44% ต่อปีติดต่อกันถึง 15.8 ปี โดยที่มีช่วงหุ้นตกน้อยมาก ยกเว้นก็เฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ดัชนีตกลงมาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนและช่วงหลังโควิดจบที่มีการปรับตัวลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วช่วงเวลาถึงเกือบ 16 ปีหลังนี้ต้องถือว่าเป็นยุคทองของหุ้นจริง ๆ
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ ดัชนี S&P ตกลงมาแล้วประมาณ 7-8% ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ลดลงมาประมาณ 11-12% ในเวลาแค่ 2-3 เดือน หลายคนอาจจะบอกว่ามันน่าจะเป็นการปรับตัวปกติหรือ “Correction” แต่ผมเองมองว่านี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับ “ภาพใหญ่” ที่ดัชนีจะเปลี่ยนทิศเป็นการตกลงมาระยะยาวอาจจะเป็น 10 ปี
เพราะประเด็นก็คือ อเมริกาต่อจากนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่งในวาระที่สองที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญที่ดูเหมือนว่าจะคำนึงถึงอเมริกาก่อน โดยการประกาศ “สงครามการค้า” กับแทบจะทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งนั่นก็จะทำให้อเมริกาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจและการเมืองของอเมริกามาก
การเจริญเติบโตจะช้าลง เช่นเดียวกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจจะพ่ายแพ้แก่จีน การเป็นผู้นำที่สร้างผลดีและอำนาจให้แก่อเมริกามายาวนานอาจจะถดถอยลง แทนที่จะยิ่งใหญ่อย่างที่คิดก็กลายเป็นการด้อยลงเพราะไม่มีประเทศอื่นเป็น “ผู้ตาม” อย่างที่เคย
นั่นก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยาวนานและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติเริ่มปรับตัวลดลงและจะลดลงเรื่อย ๆ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และอาจจะยาวเป็น 10 ปีจนกลายเป็น “Lost Decade” หรือเป็นทศวรรษที่หายไปของการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา
แน่นอนว่าผมมีโอกาสผิดสูง โดยเฉพาะในเรื่องของเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น แต่ถ้ามองจากสถิติที่ผมกล่าว โอกาสที่จะเกิดก็มีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เราคงไม่รู้จนกว่าจะถึงปี 2034 ว่าดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ไหน ในระหว่างนี้ก็ควรจะต้องระวังบ้างเหมือนกัน เพราะสตอรี่ที่จะเกิด Lost Decade นั้นมีน้ำหนักพอสมควร
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
“เราต้องไม่ปล่อยให้หน่วยงานรัฐกลายเป็นที่หลบภัยของคนขี้เกียจ รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงการรักษาเจ้าหน้าที่ที่ไร้ความสามารถไว้”
Nguyen Hoa Binh รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม กล่าวอย่างเด็ดขาดหลังจากการประกาศแผนปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เพื่อนำเวียดนามก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้ว
อาจจะเป็นการปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเวียดนามก็ว่าได้ เมื่อรัฐบาลเวียดนามกำลังทำในสิ่งทีท้าทายชาวโลก ด้วยการการยกเครื่องระบบราชการ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่าย ๆ โดยเฉพาะกับประเทศกำลังพัฒนา
รายละเอียดของแผนปรับโครงสร้างครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. การลดจำนวนกระทรวงและหน่วยงานของรัฐบาลจาก 30 แห่ง เหลือ 22 แห่ง
2. จะลดตำแหน่งงาน 100,000 ตำแหน่งของข้าราชการและพนักงานรัฐ ผ่านโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดและเลิกจ้าง ซึ่งเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับเงินชดเชยรวมกันกว่า 5 พันล้านดอลลาร์
3. คาดว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะช่วยประหยัดงบประมาณได้ 4.5 พันล้านดอลลาร์ ภายใน 5 ปี
เป้าหมายของการปฏิรูประบบราชการ คือการนำประเทศเวียดนามก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2045
แม้ว่า GDP เวียดนาม จะเติบโตอย่างรวดเร็วที่ 7.09% ในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการคอร์รัปชัน และปัญหาความสามารถของบุคลากรในระบบราชการ
ที่มา
เพราะการไปไหนมาไหน ทำให้เสียเงินเสียเวลา ผู้บริโภคจึงยอมจ่ายเพื่อซื้อเวลา ส่งผลให้บริการต่าง ๆ ยุคนี้ ช่วยลดการเดินทาง สามารถตอบโจทย์และเติบโตอย่างรวดเร็ว
เช่น Delivery ส่งอาหาร ส่งของ หรือบริการส่งตรงถึงบ้าน เช่น ทำสปา อาบน้ำตัดขนสัตว์เลี้ยง
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างรวดเร็ว ทันใจไปหมด ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมาก ชอบอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ และไม่อยากรอ ทำให้เกิดธุรกิจที่เน้นความรวดเร็ว สะดวกสบาย
เช่น ธุรกิจรับจ้างต่อคิวซื้อของ ต่อคิวร้านอาหาร
ผู้บริโภคยุคนี้ชอบหาวิธีหรือทางลัดต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ออกแรงน้อยที่สุด จึงมักเลือกใช้สินค้าหรือบริการที่ช่วยทุ่นแรงหรือให้คนมาทำแทนได้
เช่น บริการทำความสะอาดบ้าน ย้ายบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง
เพราะลำพังชีวิตประจำวันก็มีเรื่องให้คิดให้ตัดสินใจเต็มไปหมด ผู้บริโภคจึงชอบที่จะอยู่ในสภาวะทิ้งตัว และมองหาสินค้าและบริการที่ช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น
เช่น บริการจัดงานแต่งงาน บริการจัดส่งสินค้าไปให้ทดลองใส่ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือสินค้าที่จัดเป็น Set สินค้าสำเร็จรูปพร้อมใช้ เช่น ชุดอาหารพร้อมปรุง (Meal Kit)
ซึ่งถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 ความขี้เกียจนี้ไม่ได้เพียงแต่ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย แต่ยังช่วยให้เราเสียเวลาน้อยลง และมีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญในชีวิตได้มากขึ้น ดังนั้นธุรกิจเหล่านี้จึงกลายเป็นความคุ้มค่าที่เรายอมจ่ายเพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/lazy-economic/
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเข้าถึงได้ง่าย ช่องทางในการออมเงินก็มีให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะบัญชีเงินฝากที่มีหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ “บัญชีเงินฝากประจำ” และ “บัญชีเงินฝากออนไลน์” ซึ่งทั้งสองแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ ว่าแบบไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายทางการเงินของคุณมากที่สุด!
*อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกำหนด (อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี สำหรับยอดฝากส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท)
หากคุณกำลังมองหาบัญชีเงินฝากที่จะทำให้ชีวิตการเงินของคุณสะดวกขึ้น จัดการทั้งเงินฝากและเงินลงทุนได้ครบจบในที่เดียว บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คือคำตอบ! ดาวน์โหลดแอปฯ Finnomena และเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP ได้เลย
หากพบปัญหาเกี่ยวกับการเปิดบัญชีไม่สำเร็จหรือบริการทางบัญชีเพิ่มเติม โปรดติดต่อ KKP Contact Center โทร 02-165-5555 กด 5 ต่อจากนั้น กด 1 เวลา 07.00-20.00 ของทุกวัน
หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Finnomena Application โปรดติดต่อ 02-026-5100 เวลา 09.00 – 17:00 ทุกวันทำการ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
คำเตือน:
วงเงินฝาก | อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี) |
ไม่เกิน 500,000 บาท (A) | 0.40% |
ส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท (B) | 1.60% |
ส่วนที่เกิน 2,000,000 (C) | 0.40% |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย (A) = 0.40%, (B) = 0.40%-1.30%, (C) 0.40%-1.30%
กรณีที่ 1: ฝากเงิน 1,500,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
กรณีที่ 2: ฝากเงิน 3,000,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
วันนี้ (14 มีนาคม 2025) ตลาดหุ้นจีน (CSI 300) ปรับตัวขึ้น 2.4% และดัชนี HSCEI (หุ้นจีน H-Share) ปรับตัวขึ้นกว่า 3% หลังมีรายงานว่าทางการจีนนำโดย กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารกลางจีน เตรียมแถลงข่าวในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2025 เพื่อประกาศมาตรการกระตุ้นการบริโภค
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในวันนี้สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อหุ้นจีนอีกครั้ง หลังรัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% สำหรับปี 2025 ในที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ที่ผ่านมา ทั้งนี้ยังคงจับตาการแถลงข่าวในวันจันทร์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นต่อไป
Finnomena Funds มองว่า ต้องจับตามองการแถลงข่าวที่จะเกิดขึ้นว่าจะมีมาตรการกระตุ้นใดออกมาเพื่อทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนบรรลุเป้าหมายตามที่รัฐบาลได้ตั้งเอาไว้ โดยเรามองว่าการปรับตัวขึ้นในวันนี้เป็นโอกาสลงทุนในระยะสั้น ตามคำแนะนำ FundTalk Contrarian ซึ่งแนะนำการลงทุนระยะสั้นในกองทุน MEGA10CHINA-A ที่เน้นลงทุนใน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ H-Share
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมที่ฟื้นตัวบ้าง แต่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจีนในระยะยาว ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นจีน (Valuation) ในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วิกฤตแห่งศรัทธาของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla จากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมและความทันสมัยที่ครองใจคนทั่วทั้งโลก
แต่ในวันนี้ Tesla ภายใต้การนำของ Elon Musk กำลังตกอยู่ค่ำคืนอันมืดมิด จากกระแสการคว่ำบาตรในสหรัฐอเมริกา
กระแสไม่เอา Tesla ที่ดังกระหึ่มทั่วสหรัฐ มีต้นตอเกิดขึ้นมาจากการที่ Elon Musk เข้ามาเล่นการเมืองแบบเต็มตัวด้วยการชักชวนของ Donald Trump ทว่าการ Musk เข้ามาขลุกตัวอยู่ในทำเนียบขาวมากเกินไป กลับกลายเป็นดาบสองคมที่หันกลับมาทิ่มแทงธุรกิจที่เขาปั้นมากับมือ
บทบาทของ Elon Musk คือเข้ามาในฐานะหัวหน้ากระทรวง DOGE ที่มีหน้าที่หลัก ๆ คือการลดต้นทุนของรัฐบาล
สิ่งแรกที่เขาลงมือทำก็คือการไล่ปลดพนักงานของรัฐบาลกลางจำนวนหลายหมื่นชีวิตแบบไม่ทันได้ตั้งตัว พีคสุดก็คือใช้วิธีการส่งอีเมลให้พนักงานรัฐเขียนระบุผลงานตนเองในสัปดาห์นั้น หากใครไม่ตอบกลับ ถือเข้าใจกันว่า “สมัครใจลาออก”
มีรายงานว่าชาวอเมริกันจำนวนมาก ไม่พอใจไปจนถึงโกรธแค้นต่อการกระทำของซีอีโอ Tesla เกิดการประท้วงและคว่ำบาตรการใช้รถยนต์ Tesla
ซึ่งไม่ใช่แค่สาเหตุของจากการที่เขามีบทบาทในการปลดพนักงานของรัฐบาลกลางเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการที่ Musk เริ่มเข้ามาแทรกแซงกิจการต่างประเทศ และมีการแสดงท่าทีที่ถูกมองว่าคล้ายสัญลักษณ์นาซี ด้วยการชูมือขวาขึ้นฟ้า 2 ครั้ง หลังพิธีสาบานตนของทรัมป์
มีผู้เข้าประท้วงให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันรู้สึกอายที่จะให้ใครเห็นว่าขับรถ Tesla คันนั้น” พร้อมแปะสติ๊กเกอร์ที่ท้ายรถว่าฉันซื้อมันก่อนที่มัสก์จะเป็นบ้า (I bought this before Elon went crazy)
Source: Visual Capitalist as of 10/03/2025
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ Tesla มากทีเดียว JPMorgan Chase มองว่า Tesla ได้รับความเสียหายด้านภาพลักษณ์ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยพยายามนึกหาตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ไม่พบกรณีใดที่แบรนด์สูญเสียมูลค่ามหาศาลได้รวดเร็วเช่นนี้
กระแสต่อต้าน Tesla เป็นระดับนานาชาติ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง เรียกได่ว่าเป็นช่วงเวลาของการดำดิ่งสู่ความมืดมิดของ Elon Musk และ Tesla ก็ว่าได้
สถานการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มีรายงานออกมา ลดลงอย่างหนักในหลาย ๆ ตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรปและออสเตรเลีย
ตลาดในยุโรป ยอดขายลดลงไปถึง 50% เทียบกับช่วงปีก่อน หนักสุดคือเยอรมนีที่ยอดขายลดลงไปถึง 76% เหลือจำนวนยอดขายเพียง 1,429 คัน จากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ที่มียอดขาย 6,000 คัน
ยอดขายในสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มตกต่ำ สมาคมตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานว่า ปีที่ผ่านมา ยอดจดทะเบียนรถ Tesla ลดลงไป 12%
แม้แต่ตลาดในเมืองจีนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ยอดขาย Tesla ก็เหือดแห้งไม่ต่างกัน โดยมียอดขายต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง สวนทางกับคู่แข่งอย่าง BYD อย่างสิ้นเชิง ที่ยอดขายเติบโตถึง 161%
Source: Bloomberg as of 12/03/2025
จริงอยู่ว่าปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากของหุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐ แต่ Tesla ดูจะหนักหนากว่าใครเพื่อน แถมเป็นที่โหล่ของ 7 นางฟ้า นับตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นร่วงลงกว่า 35% มูลค่าตลาดของบริษัทยังตกชั้น Trillion Dollar Club ไปแล้ว
หันมามองราคาปัจจุบันตกลงจาก 500 มาแถวบริเวณ 200 ต้น ๆ แน่นอนแหละว่าถ้ามองแค่ราคาหุ้นดูเหมือนจะถูกทิ้งดิ่งตกเหวลึก แต่ราคาหุ้นยังเทรดที่ PE ระดับ 120 เท่า ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าถูก และยังดูน่ากลัวพอสมควร
แต่ถ้าใครเห็นว่าจังหวะปรับฐานครั้งนี้ เป็นโอกาสในหุ้น Tesla และมองไปถึง Growth Story ข้างหน้าที่ Tesla คงไม่ใช่แค่ผู้ผลิต EV แต่จะขยายไปสู่ AI & Robotics ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง และอาจยังไม่ถูกสะท้อนในมูลค่าหุ้นปัจจุบัน
ซึ่งถ้าว่ากันจริง ๆ Tesla ก็เริ่มแสดงให้เห็นว่าจากการเปิดตัว Robotaxi ที่ประกาศให้ชาวโลกรู้ว่ากำลังลุยเต็มกำลังสู่ยุครถไร้คนขับ
สุดท้ายนี้… คิดยังไงกันบ้าง จะเท Tesla หรือหาโอกาสในค่ำคืนในมืดมิดนี้
โครงการสลากออมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือ “หวยเกษียณ” คืออะไร ใครซื้อได้บ้าง รางวัลใหญ่เท่าไหร่ จะมีเงินออมตอนเกษียณจริงไหม
1. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จะออกสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท เพื่อขายให้กับประชาชนทุกคนที่มีสัญชาติไทย และมีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
2. ซื้อได้คนละไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน และสามารถซื้อสลากได้ทุกวัน
3. ออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17:00 น.
4. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันทีผ่านพร้อมเพย์ (PromptPay) ส่วนเงินค่าซื้อสลากจะถูกนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. และเมื่อผู้ออมอายุครบ 60 ปี จะคืนเงินทั้งหมดทุกบาท ทุกสตางค์ที่ซื้อสลากมาทั้งชีวิต บวกกับผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย
5. เงินออมจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน โดยการบริหารจัดการของกอช. ในอัตราความเสี่ยงที่ต่ำ ในกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market)
6. เงินออมทรัพย์ดังกล่าว สามารถถอนได้เมื่อผู้ซื้อสลากอายุครบ 60 ปี โดยถอนเงินได้ทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์
7. ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ก็สามารถซื้อหวยเกษียณได้เช่นกัน แต่ต้องออมไว้ 5 ปีนับจากวันที่ซื้อวันแรก จึงจะสามารถถอนเงินออกมาได้ เช่น ซื้อตอนอายุ 63 ปี เงินที่ซื้อทั้งหมดจะได้รับคืนตอนอายุ 68 ปี และซื้อต่อตอนอายุ 70 ปี ก็จะได้เงินที่ซื้อทั้งหมดคืนเมื่ออายุ 75 ปี
8. นโยบายหวยเกษียณ เป็นกลไกสร้างแรงจูงใจในการออม โดยรัฐช่วยใส่เงินสมทบในการออกรางวัล ถือเป็นนวัตกรรมเชิงนโยบาย ซึ่งรวมเอาความชอบลุ้นโชคของคนไทย มาเป็นแรงจูงใจในการเก็บออมตอนเกษียณ
9. ความคืบหน้าโครงการหวยเกษียณ ผ่านการแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ (หวยเกษียณ)และได้เห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจร่างเสร็จแล้ว และจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ภายในเดือนมีนาคมนี้
10. แนวคิด “หวยเกษียณ” ตั้งใจทำให้เงินซื้อหวยทุกบาทกลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ซื้อมาก ได้ลุ้นมาก มีเงินออมมาก และมีเงินล้านยามแก่
ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์จากแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯและยุโรปที่แข็งแกร่ง ร่วมกับตัวเลขเศรษฐกิจประจำไตรมาส 4Q/24 ที่สดใส ก่อนจะปรับตัวลงรุนแรงในช่วงที่เหลือของเดือนหลัง ปธน. ทรั้มป์เริ่มก่อสงครามการค้ากับทั่วโลกรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าหลายประเทศจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายระหว่างเดือนเพื่อช่วยชดเชยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กับสหรัฐฯ ตลาดหุ้นโลกยังคงปิดเดือนในแดนลบที่ -0.57% ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปและจีนกลุ่ม H-share สามารถปรับตัวขึ้นสวนทางหุ้นโลกจากปัจจัยเฉพาะตัวอย่างการเมืองในฝรั่งเศสและเยอรมนีที่มีพัฒนาการในเชิงบวก ผลประกอบการที่ดีกว่าคาด และแนวโน้มธุรกิจที่สดใสจากผู้บริหารกลุ่มเทคโนโลยีจีน
หุ้นจีนในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังจากกระแสที่ร้อนแรงของ AI จากบริษัท Start-up DeepSeek ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยประเด็นที่สนับสนุนตลาดไม่ได้มีเพียงปัจจัยเชิง sentiment จาก DeepSeek เพียงอย่างเดียว แต่ได้ปัจจัยบวกจากทั้งการประกาศแนวโน้มธุรกิจของหุ้นเทคโนโลยีและ e-commerce ขนาดใหญ่ที่ให้ความเชื่อมั่นถึงการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในจีนเอง ร่วมกับท่าทีของภาครัฐจีนที่เรียกประชุมกับผู้นำธุรกิจภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพื่อหารือแนวทางสร้างการเติบโตร่วมกัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐบาลจีนไม่ได้ขอหารือมากนักตั้งแต่เริ่มการเข้มงวดกฎระเบียบช่วงปลายปี 2020 นอกจากนั้นแหล่งข่าวภายในยังมีรายงานว่าการประชุมใหญ่ NPC ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนั้น ภาครัฐจีนจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 5% เท่ากับปีก่อนหน้าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและสงครามการค้า โดยจะยอมขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วยเหตุนี้เราจึงมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นจีนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม H-share ที่มีน้ำหนักของเทคโนโลยีและมีน้ำหนักในดัชนี EM ซึ่งจะเป็นที่ต้องการของผู้จัดการกองทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามเรายังแนะนำให้นักลงทุนเริ่มทยอยสะสมจากกลุ่มหุ้นเอเชียเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่สงครามการค้ากับทรั้มป์ที่อาจรุนแรงกว่าที่คาด โดยนักลงทุนที่กังวลความเสี่ยงสามารถกระจายการลงทุนไปยังหุ้นเอเชียแบบ Low Volatility ควบคู่ไปด้วย
สงครามการค้าบวกด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังคงก่อกวนตลาดการลงทุน โดยในเดือนที่ผ่านมา ปธน. ทรั้มป์ยังเล่นบทดุดันในสงครามทั้งสองรูปแบบ ด้านสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทรั้มป์ได้เริ่มเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพโดยยื่นเงื่อนไขการปลดคว่ำบาตรให้กับรัสเซีย และยื่นข้อตกลงซื้อแร่กับยูเครน อย่างไรก็ตามข้อตกลงยังคงไม่สามารถหาข้อยุติได้ ในมุมมองของเรายังเชื่อว่าการยุติสงครามคือเป้าหมายหาเสียงสำคัญของทรั้มป์ที่จะเร่งให้สิ้นสุดในระยะสั้น ขณะที่ด้านสงครามการค้าทรั้มป์เปิดฉากตั้งกำแพงภาษีสินค้ากับเม็กซิโก แคนาดา และจีน รวมไปถึงขู่จะตั้งกำแพงภาษีชุดใหญ่ในเดือนเมษายน ประกอบไปด้วยกำแพงภาษียานยนต์ semi-conductor ยา ทองแดง และภาษีศุลกากรตอบโต้เป็นรายประเทศ ในมุมมองของเรายังเชื่อว่าการเดินหมากของทรั้มป์ในสงคามการค้า 2.0 จะพุ่งไปที่การตั้งกำแพงภาษีให้มาก ให้เร็ว และเจรจาให้จบไว เนื่องจากทรั้มป์รู้ดีว่าการตั้งกำแพงภาษีในประเทศคู่ค้าทั่วโลกไม่เพียงแต่จีนอย่างเดียวอีกต่อไป จะส่งผลกระทบเชิงลบกับเงินเฟ้อในสหรัฐฯที่ยังเปราะบาง สุดท้ายเราเชื่อว่าสหรัฐฯจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ ขณะที่ประเทศอื่นอาจต้องติดตามท่าทีของทรั้มป์เป็นรายประเทศ เราเชื่อว่าสงครามทั้งสองจะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนในระยะสั้น จึงยังแนะนำเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่นักลงทุนกังวลให้กับพอร์ตการลงทุน ประกอบไปด้วยทองคำ หุ้นกลุ่มการแพทย์ และตราสารหนี้ Credit Rating สูง
แนวโน้มนโยบายดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากที่หลายประเทศตัดสินใจชะลอการลดดอกเบี้ยตามสหรัฐฯในช่วงปลายปี 24 แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อของทั่วโลกนอกเหนือจากสหรัฐฯปรับตัวลงอย่างรุนแรงจากแรงกดดันของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ร่วมกับความกังวลผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศใหญ่ตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยยอมให้ค่าเงินอ่อนค่า ทั้งธนาคารกลางยุโรป อินเดีย อินโดฯ รวมไปถึงไทยต่างปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจหลังจากนี้ เมื่อรวมกับสมมุติฐานของเราที่ว่าสงครามการค้าของทรั้มป์รอบนี้จะกินเวลาไม่นาน ทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นกับหุ้นในภูมิภาคอื่นๆและแนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะการย่อตัวในช่วงนี้ กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆนอกเหนือจากหุ้นสหรัฐฯเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของตราสารหนี้โลกซึ่งมีน้ำหนักมากในสหรัฐฯยังอาจเผชิญกับการปรับตัวขึ้นของ Yield จากความกังวลเงินเฟ้อ เราจึงแนะนำกองทุนที่มีกลยุทธ์ Absolute Return เพื่อลดความผันผวนลง
ภาพรวมการลงทุนประจำเดือนมีนาคม 2025 คาดว่าตลาดหุ้นโลกจะเผชิญกับความผันผวนในวงกว้าง หลังจากทั้งสงครามการค้าและสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงร้อนแรงภายใต้การนำของ ปธน. ทรั้มป์ เรายังชอบหุ้นสหรัฐฯจากสมมุติฐานที่ว่าสุดท้าย ทรั้มป์จะมุ่งเน้นประโยชน์กับสหรัฐฯโดยไม่ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอย่างที่นักลงทุนกังวล เรามีมุมมองเชิงบวกกับยุโรปและภูมิภาคเอเชีย เรายังแนะนำลดความผันผวนด้วยสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและกลุ่มการแพทย์
ตารางแสดงสัดส่วนการลงทุนพอร์ต Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 13 มีนาคม 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก
1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น 2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Trump 2.0 กลับมาพร้อมนโยบายที่จริงจังและเข้มข้นกว่าเดิม โดยหนึ่งในจุดสนใจที่ทำให้ทั่วโลกจับตาคือการกลับมาของนโยบายที่มุ่งมั่นพยุงตลาดการเงินให้มั่นคง ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
คำว่า “Trump Put” จึงถูกพูดถึงอีกครั้งในฐานะสัญญาณแห่งความหวัง ว่าการแทรกแซงจากรัฐบาลจะช่วยหนุนให้ตลาดไม่ตกต่ำเกินไป
แต่ครั้งนี้ “Trump Put” จะยังคงมีพลังเหมือนเดิมหรือไม่? หรือจะเป็นแค่ภาพลวงตา? มาทำความเข้าใจกันเลย
“Trump Put” เป็นศัพท์แสลงในวงการการเงินที่หมายถึงความเชื่อของนักลงทุนว่ารัฐบาลของ Donald Trump จะออกนโยบายเพื่อพยุงตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจในยามวิกฤต
คำนี้มาจาก “Put Option” ซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในตลาดการเงิน โดยให้สิทธิ์ในการขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดล่วงหน้า แม้ว่าราคาตลาดจะลดลง ผสมกับชื่อของ Trump ซึ่งสื่อถึงการแทรกแซงของรัฐบาลเพื่อป้องกันความเสี่ยงเมื่อเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นเริ่มสั่นคลอน
ก่อนหน้านี้เคยเกิดคำว่า “Fed Put” ซึ่งหมายถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ใช้เครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ เพื่อพยุงตลาดการเงินเมื่อเกิดวิกฤต ซึ่งเป็นการแทรกแซงเพื่อให้ความมั่นคงกลับคืนสู่ตลาด คล้ายกับ “Trump Put” ที่มุ่งหวังให้การแทรกแซงจากรัฐบาลช่วยลดความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดกำลังตกต่ำ
ตั้งแต่ทรัมป์กลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 เขาได้ออกนโยบายมากมายที่ส่งผลต่อตลาดการเงินและถูกมองว่าเป็น “Trump Put” เพราะช่วยหนุนความเชื่อมั่น ป้องกันความเสียหายรุนแรง และกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวน โดยต่อไปนี้คือนโยบายที่ถูกมองว่าเป็น “Trump Put”
นโยบายเหล่านี้สะท้อนถึงแนวคิด “Trump Put” ที่มุ่งมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและป้องกันวิกฤต เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในตลาด การปรับท่าทีให้เหมาะสมในช่วงเวลาที่ตลาดสั่นคลอน แม้บางครั้งอาจทำให้เกิดความสับสน แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับคือการรักษาความมั่นคงในระบบเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและตลาดโดยรวม
อ้างอิง: Purpose Investments
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
ในสัปดาห์นี้ตัวชี้วัดส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นถึงอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ FED การลดอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสได้เห็นเร็วขึ้น ถือว่าเป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะยาว แต่ในระยะสั้นก็ยังคงมีความผันผวนอยู่เช่นเดิม ในสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนควรเลือกลงทุนในกลยุทธ์ที่มี Bitcoin เป็นหลัก และควรเลือกเวลาการทำธุรกรรมเพื่อไม่ให้ต้นทุนนั้นสูงเกินไปและเพื่อไม่ต้องแบกรับ Drawdown ที่มาก
ตัวเลขการสำรวจการจ้างงานทุกตำแหน่ง (ที่ยังว่างอยู่) ในทุกวันสุดท้ายของเดือน เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจ “Job Openings and Labor Turnover Survey (JOLTS)” การสำรวจนี้จะรวบรวมข้อมูลจาก 16,400 หน่วยงานนอกภาคเกษตรกรรม ซึ่งรวมถึงร้านค้า และ โรงงาน รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลระดับกลาง ภาครัฐ และท้องถิ่นใน 50 รัฐ และ ดิสทริคต์ออฟคอลัมเบีย
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: JOLTs Job Opening มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 7.6M เป็น 7.5M
https://tradingeconomics.com/united-states/inflation-rate-mom
ส่งผลอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์การลดตัวลงของ JOLTs Job Opening แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม การลดตัวลงของดัชนีอาจแสดงให้เห็นถึง FED ที่สามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง
Core CPI หรือ Core Consumer Price Index จะสามารถใช้ชื่อเรียกอีกอย่างได้คือ Core Inflation Rate หรือแปลว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ที่หักสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานออก เนื่องจากเป็นหมวดที่มีความเคลื่อนไหวขึ้นลงตามฤดูกาล และอยู่นอกเหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน เหลือแต่รายการสินค้าที่ราคาเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core CPI MoM มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 0.4 เป็น 0.3
Core PPI หรือ Core Producer Price Index คือ จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาขายสำหรับสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตได้ขายโดยที่ไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน ดัชนีราคาผู้ผลิตจะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาจากมุมองของผู้ขาย เมื่อผู้ผลิตมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับการผลิตสินค้าและบริการนั้นก็น่าจะเป็นไปได้มากว่าผู้ผลิตจะให้ผู้บริโภคแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นแทน ดังนั้นดัชนีราคาผู้ผลิตนี้จึงเชื่อว่าเป็นดัชนีสำคัญที่จะชี้วัดภาวะเงินเฟ้อของผู้บริโภค
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core PPI MoM มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 0.3 เป็น 0.2
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์การลดลงของ Core PPI MoM แสดงให้เห็นถึงการที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง และอีกทั้งยังบ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ FED แต่ในระยะสั้นการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวนอยู่
Credit from LayerGG
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
12 มีนาคม
13 มีนาคม
14 มีนาคม
ส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้ยังค่อนข้างต่ำ หลายเหรียญมี Funding rate ติดลบ แสดงถึงตลาดที่นักลงทุนต่างพากันลดความเสี่ยง นักลงทุนมีมุมมองเชิงลบต่อตลาด และทำการเปิดสถานะชอร์ตมากกว่าสถานะลอง
ในฝั่งของ Bitcoin Open Interest อยู่ในแนวโน้มขาลง บ่งบอกถึงการลดความเสี่ยงของนักลงทุนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ อาจจะมาจากเหตุผลเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและกำลังรอปัจจัยบวก
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสเงินไหลออกสุทธิที่ 739.2 ล้านเหรียญ นับว่าเป็นสัปดาห์ที่สามที่มี outflow ไหลค่อนข้างมากหลังจากเกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นมากกว่าสองครั้ง
https://insights.glassnode.com/the-week-onchain-week-23-2024/
จากข้อมูล Realized Cap HODL Waves ที่มีการแบ่ง bitcoin ที่มีระยะเวลาการถือน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 เดือน ซึ่งจะแสดงถึงจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ ส่วนใหญ่ตลาดจะถึงจุดพีคเมื่อตัวเลขนี้มากกว่า 70% แต่ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 41% ทำให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของตลาดในอนาคต
by Cryptomind Advisory
$BTC ยังมีภาพรวมเป็นขาลง อย่างไรก็ตามในระยะสั้นอาจเด้งตัวจากแนวรับในกรอบขาลงได้ แต่อาจเป็นเพียงการเด้งเพื่อลงต่อในช่วงนี้ เพราะยังไม่มีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน โดยแนวรับสำคัญของราคาจะอยู่ที่บริเวณ $73,000
แนวต้าน : $83,500 | $92,000 | $100,000
แนวรับ : $78,000 | $73,000 | $67,000
$ETH ยังคงเป็นขาลงชัดเจนและยังไม่มีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน ระยะสั้นอาจมีการปรับตัวขึ้นมาได้โดยมีแนวต้านอยู่บริเวณ $2,150 ที่ถ้าราคาไปยืนอยู่ได้ อาจจะมีโอกาสกลับตัวขึ้นไปได้แต่หากไม่ผ่านก็อาจจะเป็นการปรับตัวลงต่อไปได้เช่นกันโดยแนวรับถัดไปจะอยู่บริเวณ $1,950
แนวต้าน : $$2,150 | $2,400 | $2,880
แนวรับ: $1,950 | $1,500 | $1,200
by Cryptomind Advisory
Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้และสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังไม่สู้ดีนัก จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดี และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 60%
SELECTIVE LARGE MARKET CAP 10%
STABLECOIN 30%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-10-14%20March-2025
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
Finnomena จับมือ Google Cloud เปิดตัว Agentic AI รองรับการเติบโตของนักลงทุน พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต
โซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย Vertex AI ยกระดับศักยภาพและความรวดเร็วในการอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับตลาดการเงินแบบเรียลไทม์ พร้อมมอบข้อมูลเชิงลึก ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
12 มีนาคม 2568 กรุงเทพฯ ประเทศไทย – Finnomena แพลตฟอร์มบริหารเงินลงทุนดิจิทัลแบบครบวงจรชั้นนำของไทย และ Google Cloud ประกาศเปิดตัวโซลูชัน AI สำหรับบริหารข้อมูลตลาดทุน ซึ่งช่วยให้ Finnomena สามารถขยายขอบเขตบริการด้านการลงทุนและรองรับความต้องการของผู้ใช้งานที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ดียิ่งขึ้น
Finnomena เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงกองทุนรวมจากบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่เป็นพันธมิตร พร้อมสื่อสารข้อมูลสำคัญที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจและผลลัพธ์ในการลงทุน ซึ่งเดิมเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน
เพื่อเพิ่มศักยภาพและความเร็วในการอัปเดตข้อมูลของตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Finnomena ขยายการให้บริการกองทุนรวมและสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ จากพันธมิตรรายใหม่และปัจจุบัน บริษัทจึงเปิดตัวโซลูชัน AI ที่พัฒนาขึ้นเอง โดยใช้แพลตฟอร์ม Vertex AI, BigQuery และ Cloud Run ของ Google Cloud โซลูชันนี้ผสานการทำงานกับ Google Workspace อย่างไร้รอยต่อ ผ่านกระบวนการการทำงานของ agentic AI ในการวิเคราะห์อีเมลจากพันธมิตรและคัดกรองข้อมูลสำคัญแบบเรียลไทม์ ก่อนส่งสรุปและคำแนะนำไปยังทีมภายในผ่าน Gmail และ Google Chat จากนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของ Finnomena จะตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูลก่อนแจ้งอัปเดตสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียม ประเภทกองทุน หรือหนังสือชี้ชวนการลงทุน ไปยังนักลงทุนผ่านช่องทางที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที
นายกสิณ สุธรรมมนัส Chief Strategy Officer และ Co-Founder, Finnomena กล่าวว่า “เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ Finnomena เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และมุ่งมั่นช่วยให้ทุกคนบรรลุเป้าหมายทางการเงินผ่านการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ และโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด การร่วมมือกับ Google Cloud ในครั้งนี้ช่วยพลิกโฉมการส่งมอบข้อมูลของตลาดการเงินและข้อมูลเชิงลึก ให้เราสามารถรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของนักลงทุนบนแพลตฟอร์ม และตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย ด้วยศักยภาพของ AI จาก Google Cloud ที่ช่วยให้เราสังเคราะห์และสื่อสารข้อมูลสำคัญจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงพร้อมขยายการให้บริการให้ครอบคลุมมากกว่ากองทุนรวม 1,800 กองทุนที่มีอยู่ เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และรองรับนักลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคต พร้อมมุ่งเน้นในการมอบตัวเลือกการลงทุนที่มากขึ้น โดยไม่ลดทอนคุณภาพการให้บริการของเรา”
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โซลูชัน AI ที่ขับเคลื่อนโดยโมเดล Gemini 2.0 Flash ของ Google นี้ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดการข้อมูลปริมาณมากและงานที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในระดับขนาดใหญ่ นอกจากนี้เพื่อให้มั่นใจถึงความน่าเชื่อถือและความแม่นยำในระดับสูง ผลลัพธ์ของโมเดลจึงมีการ grounding ข้อมูลกับฐานความรู้ภายในของ Finnomena ซึ่งมีข้อมูลเฉพาะทางในอุตสาหกรรม รวมถึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายนอกอย่าง Morningstar ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่เริ่มใช้งานโซลูชันนี้ก็สามารถระบุอีเมลจากพันธมิตรที่มีข้อมูลสำคัญได้อย่างถูกต้องครบถ้วน อีกทั้งยังสามารถดึงและสรุปข้อมูลจากอีเมลเหล่านี้เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้อย่างแม่นยำถึง 90% ซึ่งนับเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากกระบวนการการทำงานแบบเดิมที่ต้องอาศัยแรงงานมนุษย์ทั้งหมด ก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจในขั้นสุดท้าย
นางสาวสุพัตรา ศิริพงษ์มงคล Chief Operating Officer, Finnomena Funds กล่าวว่า “ในอดีต ทีมงานของเราต้องคัดกรองอีเมลมากกว่า 500 ฉบับต่อวันจากพันธมิตร 21 รายด้วยตนเอง โดยสมาชิกแต่ละคนต้องใช้เวลาสูงสุดถึง 6 ชั่วโมงในการดึงข้อมูลสำคัญ แต่ด้วยศักยภาพของ Vertex AI ที่รองรับการปรับแต่งโมเดลได้อย่างครอบคลุม เราจึงสามารถพัฒนาโซลูชันกึ่งอัตโนมัติที่รองรับหลายภาษา มีความแม่นยำสูง และมีประสิทธิภาพเหนือกว่าทางเลือกจากผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่น หลังจากนำ Google Cloud AI มาใช้งานร่วมกับการกำกับดูแลโดยมนุษย์ (Human-in-the-Loop) ทำให้เราสามารถส่งมอบข้อมูลอัปเดตตลาดการเงินและข้อมูลเชิงลึกได้รวดเร็วขึ้นถึง 75% ก้าวต่อไปของเราคือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการที่หลากหลายขึ้น ทำให้ทีมวางแผนการลงทุนและศึกษาทางการเงินสามารถมอบบริการที่เป็นส่วนตัวและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
นอกจากการคัดกรองอัปเดตสำคัญจากพันธมิตรแล้ว กระบวนการทำงานของโซลูชัน agentic AI ยังถูกออกแบบให้สามารถจัดเก็บผลลัพธ์ของระบบรวมถึงเวอร์ชันสุดท้ายของการสื่อสารกับนักลงทุนของ Finnomena ลงใน BigQuery โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดและการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลที่จัดเก็บยังถูกนำไปใช้ในการฝึก AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถนำมาวิเคราะห์ร่วมกับชุดข้อมูลอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น ผลการดำเนินงานของกองทุน ความผันผวนของตลาด และแนวโน้มการลงทุน ซึ่งช่วยให้ Finnomena สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และเนื้อหาให้ตอบโจทย์นักลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
นายอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “จากกรณีของ Finnomena แสดงให้เห็นว่า AI agents ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนที่ช่วยในการขยายขีดความสามารถและส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ Finnomena เป็นตัวอย่างที่สำคัญว่าองค์กรในอุตสาหกรรมที่มีข้อกำกับดูแลนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนา AI ระดับองค์กร เพื่อสร้างและนำโซลูชันที่เชื่อถือได้มาใช้งานจริง พร้อมสร้างมูลค่าทางธุรกิจที่จับต้องได้ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน Finnomena ไปสู่การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยศักยภาพระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรมของเรา และช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินและการลงทุนให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยมากยิ่งขึ้น”
เกี่ยวกับ Finnomena
Finnomena เป็นบริษัทฟินเทคสัญชาติไทยที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดยผสานศักยภาพของ AI และความเชี่ยวชาญของมนุษย์เข้าด้วยกันเพื่อให้บริการบริหารความมั่งคั่งในวงกว้าง ปัจจุบัน บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้ใช้งานมากกว่า 700,000 ราย อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินชั้นนำ เช่น Openspace Ventures, Krungsri Finnovate และธนาคารออมสิน Finnomena มุ่งมั่นที่จะทำให้การลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายผ่านคำแนะนำที่เป็นกลางครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท พร้อมตั้งเป้าช่วยให้คนไทยกว่าหนึ่งล้านคนประสบความสำเร็จทางการเงิน ผ่านการพัฒนาเครื่องมือที่ล้ำสมัยและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com
เกี่ยวกับ Google Cloud
Google Cloud เป็นวิธีใหม่ในระบบคลาวด์ที่ให้บริการ AI โครงสร้างพื้นฐาน นักพัฒนา ข้อมูล ความปลอดภัย และเครื่องมือในการทำงานร่วมกันที่สร้างขึ้นสำหรับวันนี้และอนาคต Google Cloud นำเสนอ stack AI ที่ทรงพลัง บูรณาการอย่างสมบูรณ์ และได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ซึ่งรวมถึงชิปที่สร้างขึ้นเอง โมเดล Generative AI และแพลตฟอร์มการพัฒนา รวมถึงแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ลูกค้าจากกว่า 200 ประเทศและเขตแดนต่าง ๆ หันมาใช้ Google Cloud ในฐานะพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้เพื่อกระตุ้นการเติบโตและแก้ปัญหาทางธุรกิจที่สำคัญที่สุด
Thai ESGX หรือ Thai ESG Extra กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ มาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีใหม่ของปี 2568 สามารถสับเปลี่ยนกองทุน LTF มาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท พร้อมเปิดโอกาสให้ลงทุนใหม่ได้อีก 300,000 บาท กำหนดให้ซื้อ 2 เดือน ในระหว่างเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนนี้
รายงานข่าวล่าสุด (วันที่ 11 มีนาคม 2568) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) หรือเรียกว่ากองทุน “Thai ESG Extra” สำหรับรองรับเงินลงทุนของผู้ที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ปัจจุบันคงค้างอยู่ประมาณ 180,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนโยกเงินจาก LTF มาอยู่ใน Thai ESGX โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นใช้สิทธิในปี 2568 จำนวน 300,000 บาท และทยอยลดหย่อนอีก 200,000 บาทที่เหลือในปีที่ 2-5 จำนวนปีละไม่เกิน 50,000 บาท
นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาทในปี 2568 และถือเป็นวงเงินใหม่ ไม่ต้องนำไปนับรวมกับกองทุน Thai ESG ปกติ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะสามารถเปิดให้ บลจ. ยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ได้ภายในเดือนเมษายน 2568 เพื่อเปิดให้ลงทุนได้ในระยะเวลา 2 เดือนที่กำหนด คือช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2568
Thai ESGX คือ กองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งออกมาพิเศษเฉพาะปี 2568 นี้เท่านั้น เพื่อรองรับการสับเปลี่ยนจาก LTF และเงินลงทุนใหม่ ภายในช่วงระยะเวลา 2 เดือน พร้อมสนับสนุนมาตรการทางภาษีของภาครัฐให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ายิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริม responsible investment และสนับสนุนความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทยในระยะยาว
เงื่อนไขสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ของ Thai ESGX จะใช้ตามหลักเกณฑ์เดียวกับ Thai ESG ซึ่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV แต่ Thai ESGX จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องลงทุนในหุ้นยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV ด้วย ส่วนเงินลงทุนอื่น ๆ เช่น เงินสด หรือหลักทรัพย์ต่างประเทศ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ไม่เกิน 20% ของ NAV
สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกองทุน Thai ESGX แบ่งวงเงินลดหย่อนออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. วงเงินสำหรับการลงทุนใหม่ที่ซื้อ Thai ESGX ในปี 2568 ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
2. วงเงินสำหรับผู้ลงทุนที่โยก LTF มาเข้า Thai ESGX ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็น
ทั้งนี้ วงเงินลดหย่อนภาษีทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวของ Thai ESGX จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุน Thai ESG ปกติ
สรุปแล้วปี 2568 จะมีกองทุนกลุ่ม Thai ESG ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 3 วงเงิน รวมสูงสุดไม่เกิน 900,000 บาท
1.) เงินลงทุนใหม่ของผู้ลงทุนทุกรายที่ซื้อ Thai ESG ลดหย่อนไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุด 300,000 บาท
2.) เงินลงทุนใหม่ของผู้ลงทุนทุกรายที่ซื้อ Thai ESGX ในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่เปิดขายในปี 2568 ลดหย่อนไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุด 300,000 บาท
3.) สำหรับผู้ที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ทุกกองทุนไป Thai ESGX มีวงเงินลดหย่อนปีแรก (2568) สูงสุด 300,000 บาท และปีที่ 2-5 (2569-2572) สูงสุดปีละ 50,000 บาท
กำหนดระยะเวลาถือครอง ≥ 5 ปี นับแบบวันชนวัน ตั้งแต่วันเริ่มต้นลงทุน หรือตั้งแต่วันที่แจ้งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
Q: มาตรการนี้เป็นการบังคับผู้ถือหน่วยลงทุน LTF หรือไม่?
A: ไม่ได้บังคับ เปิดโอกาสให้สับเปลี่ยนได้ตามสมัครใจ
Q: หากเลือกที่จะสับเปลี่ยน LTF มา Thai ESGX จะต้องย้ายมาทั้งหมด หรือโยกเพียงบางส่วนได้?
A: ผู้ลงทุนจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมด ทุกกองทุน ทุก บลจ. ที่ถือครอง ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 หากสับเปลี่ยนไม่ครบ จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
Q: เงินลงทุนของ LTF ส่วนที่เกินจาก 500,000 บาท หากสับเปลี่ยนมา Thai ESGX จะต้องถือครองตามเงื่อนไขหรือไม่?
A: เงินลงทุนทั้งหมดต้องถือตามเงื่อนไข Thai ESGX คือ ≥ 5 ปี ตั้งแต่วันที่แจ้งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
Q: ถ้าไม่สับเปลี่ยน ทนถือ LTF ไว้เหมือนเดิม อนาคตจะเป็นอย่างไร?
A: หลังจากหมดช่วงสับเปลี่ยน LTF จะถูกเปลี่ยนเป็นกองทุนผสม โดยมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทย ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV และจะเปิดขายให้เหมือนกองทุนรวมทั่วไปแทน
ที่มา: สำนักงาน ก.ล.ต.
ชมรมหุ้นกู้ – รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลินิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
ติดตามรายการชมรมหุ้นกู้ได้ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Youtube & Facebook Finnomena
รับชมตัวอย่างรายการ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงระนาว เมื่อคืนวานนี้ (10 มีนาคม 2025) โดยดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 2.7% ขณะที่ Nasdaq ลบไปถึง 3.8% จากความกลัวเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession Fear) ที่กลับมาหลอกหลอนนักลงทุนอีกครั้ง ปัจจัยกดดันหลายด้านทำให้ตลาดเริ่มไม่มั่นใจในแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนโยบายภาษีของทรัมป์ GDP มีแนวโน้มชะลอตัว และตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ
ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาโพสต์บน Truth Social ว่าเขาจะผลักดันนโยบาย “America First” ด้วยการเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากแคนาดาและเม็กซิโก ยกเว้นน้ำมันและพลังงานจากแคนาดาที่ถูกเก็บภาษี 10%
ส่วนสินค้าจากจีนถูกปรับขึ้นภาษีอีก 10% จากเดิมที่เคยประกาศไว้ ทำให้รวมแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 20%
ด้าน Goldman Sachs คาดว่า หากนโยบายนี้บังคับใช้เต็มรูปแบบ GDP สหรัฐฯ อาจลดลง 0.8% ขณะที่ Morgan Stanley ประเมินว่าอาจลดลงถึง 1.1%
นอกจากนี้ ข้อมูล GDPNow จาก Atlanta Fed บอกว่าไตรมาสแรกของปี 2025 เศรษฐกิจอาจติดลบถึง 2.4% ถ้าตัวเลขนี้เป็นจริง 2 ไตรมาสติดกัน ก็จะเข้าข่าย Recession แบบเต็มตัว
ด้านตลาดแรงงานก็ส่งสัญญาณที่น่ากังวล รายงานจาก Trading Economics ระบุว่า การจ้างงานใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์มีเพียง 151,000 ตำแหน่ง ต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี และการขอสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเป็น 1.897 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
อย่างไรก็ตาม รายงานจาก Trading Economics ยังระบุอีกว่า อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.1% ซึ่งถือว่ายังไม่ถึงจุดอันตราย
Claudia Sahm นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เคยบอกว่า “ถ้าตัวเลขอัตราการว่างงานพุ่งเกิน 4.5% ในเวลาสั้น ๆ ค่อยเริ่มกังวล” แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น
ทั้งนี้ การใช้จ่ายของผู้บริโภค ยังคงมีโมเมนตัมที่ดีในช่วงต้นปี 2025 โดยได้แรงหนุนจาก ค่าจ้างหลังหักภาษี ที่เติบโต 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
ด้าน ค่าจ้างที่แท้จริง (Real Wage Growth) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดย U.S. Bureau of Labor Statistics รายงานว่า ค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงที่แท้จริงเพิ่มขึ้น 1.0% จากธันวาคม 2023 ถึงธันวาคม 2024
Federal Reserve Bank of Atlanta ระบุการเติบโตเฉลี่ย 1.8% ในช่วงมกราคม 2024 – 2025 ส่วน Economic Policy Institute คาดการณ์การเติบโต 1 – 2% ในปี 2024 – 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ต่ำที่เติบโตสะสม 13.2% ตั้งแต่ 2019 – 2023
และ Bank of America Institute ชี้ว่า ค่าจ้างหลังหักภาษีที่แท้จริงเพิ่มขึ้น 3% ในธันวาคม 2024 เทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าอัตราการเติบโตจะชะลอลงจากช่วงสูงสุดในยุคโควิด แต่แนวโน้มยังคงเป็นบวกจากการที่เงินเฟ้อลดลงเหลือ 3 – 4% ในต้นปี 2025 แปลว่าชาวอเมริกันยังมีเงินในกระเป๋า และหนี้ครัวเรือนก็ยังไม่พุ่งถึงขั้นวิกฤต
ด้าน Jerome Powell ประธาน Fed ระบุว่า เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง และพร้อมลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตหากจำเป็น ซึ่งหมายความว่าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้เข้าสู่ Recession จริง ๆ Fed ก็ยังมีเครื่องมือที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุดังกล่าว
ย้อนกลับไปปี 2023 สมัยที่ทุกคนกลัว Recession เหมือนกัน Goldman Sachs เคยให้โอกาสถึง 30% แต่สุดท้ายเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับเติบโตต่อเนื่องถึง 7 ไตรมาสที่อัตรา 1.5% ขึ้นไป
ทั้งนี้ แม้จะมีความเสี่ยงในการเกิด Recession แต่โอกาสในการเกิดขึ้นยังคงอยู่ในระดับปานกลาง โดย J.P. Morgan ปรับโอกาสเกิด Recession จาก 17% เป็น 31% ในวันที่ 7 มีนาคม ขณะที่ Goldman Sachs ประเมินไว้ที่ 20%
แม้ว่าความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยจะมีอยู่ แต่ข้อมูลหลายอย่างยังบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง นโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์อาจสร้างความสั่นสะเทือน แต่ Fed และการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจ
อ้างอิง: Bank of America Institute, Bureau of Labor Statistics, CNN
ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นในช่วง 10 วันแรกของเดือนมีนาคม จากอุปสงค์เรือและรถยนต์ที่แข็งแกร่ง
กรมศุลกากรเกาหลีใต้รายงานว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้มีมูลค่า 13.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงวันที่ 1-10 มีนาคม เพิ่มขึ้น 2.9% จาก 13.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่ปริมาณการส่งออกเฉลี่ยต่อวันในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น 12.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ยอดส่งออกเรือเพิ่มขึ้น 55.2% สู่ระดับ 1.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น 6.2% สู่ระดับ 1.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในด้านการส่งออกตามประเทศ จุดหมายปลายทางหลักอย่างจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ พบว่ามีการส่งออกลดลง 6.6% มาอยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.5% มาอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา: https://www.koreaherald.com/article/10438380
📌 อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/korea-jan-2025
📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mr-messenger/korea-feb-2025
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
Definit SET Select (DSS) กลยุทธ์คัดเลือกหุ้นเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว โดยเกิดจากความร่วมมือระหว่าง บลป.เดฟินิท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (Finnomena) และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ทำผลตอบแทน 1.9% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 สวนทาง SETTRI ที่ปรับตัวลง 7.9% หรือคิดเป็นผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (alpha) +9.8% เพียงเดือนเดียว ขณะที่ผลตอบแทนสะสมของ DSS ตั้งแต่ต้นปี 2025 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ -1.3% เทียบกับ SETTRI ที่ปรับตัวลงถึง -13.5%
ผลตอบแทน DSS รายเดือนของปี 2025
Source: Definit, Bloomberg as of 28/02/2025
หมายเหตุ:ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผลตอบแทน Detfinit SET Select ใช้ตัวเลขผลตอบแทนสุทธิจากบัญชีตัวแทนของนักลงทุนท่านหนึ่ง ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนแต่ละคนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
สนใจรับบริการ Stock Health Check ตรวจสุขภาพหุ้นไทย ดูแล ปรับพอร์ต และถอดสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ สัมผัสบริการผู้แนะนำการลงทุนสุดพิเศษ คลิกเลย
Definit SET Select ได้มีการถือเงินสดสัดส่วน ~30% ในช่วงครึ่งแรกของเดือนก.พ. 2025 และลดสัดส่วนเงินสดเหลือ ~10% ในช่วงครึ่งหลังของเดือนก.พ. 2025 โดยการถือเงินสดบางส่วนในพอร์ตเป็นผลมาจากภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาจึงทำให้แนวโน้มราคาหุ้นส่วนใหญ่เป็นเชิงลบ (Negative momentum) รวมถึงหุ้นไทยส่วนใหญ่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลงทำให้มีหุ้นผ่านเกณฑ์คัดเลือกมีจำนวนน้อย
สัดส่วนการลงทุนในหุ้นและเงินสดของ Definit SET Select ย้อนหลัง
Source: Definit as of 28/02/2025
หมายเหตุ:ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ
โดยหุ้นที่ Definit SET Select คัดเลือกมาและมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มอาหาร อาทิ TFG CPF และ BTG ซึ่งได้อานิสงส์จากราคาถั่วเหลืองที่เป็นต้นทุนอาหารสัตว์เลี้ยงปรับตัวลดลงทำให้อัตรากำไรของธุรกิจอาหารดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหุ้น MINT ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากยอดจองที่พักในไทยและยุโรปที่ดีขึ้น รวมถึงโรงแรมในไทยได้อานิสงส์จากการเป็นที่รู้จักจาก “ซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3” ที่มาถ่ายทำโรงแรมในเครือถึง 4 แห่ง อาทิ 1) Four Seasons Resort Koh Samui, 2) Anantara Mai Khao Phuket Villas, 3) Anantara Lawana Koh Samui Resort และ 4) Anantara Bophut Koh Samui Resort ซึ่งอาจช่วยให้ค่าที่พักของโรงแรมปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันมีหุ้นที่ปรับตัวลดลงหลัก ๆ คือ SFLEX และ INTUCH แต่โดยภาพรวมของพอร์ตยังสามารถบวกสวน SETTRI ได้ในเดือนกุมภาพันธ์
ที่มาของผลตอบแทนขั้นต้น (Attribution of gross return) ของ Definit SET Select ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
Source: Definit, Bloomberg as of 28/02/2025
หมายเหตุ:ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ
สำหรับปี 2024 ที่ผ่านมา Definit by Finnomena ได้เริ่มให้คำแนะนำหุ้นรายตัว “Definit SET Select หรือ DSS” ซึ่งทำผลตอบแทนย้อนหลังบวก 13% (หักทุกค่าธรรมเนียม) ชนะ SET TRI ที่บวกเพียง 1% ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากกระบวนการคัดเลือกหุ้นอย่างเข้มข้นที่ผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค พร้อมทั้งมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติ* เพื่อให้เหมาะสมกับภาวะตลาดควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง
*Definit SET Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (เลขใบอนุญาต 0105565129248) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (Finnomena) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
กราฟผลตอบแทนสุทธิรายเดือนประจำปี 2024 1
Source: Definit, Bloomberg as of 31 Dec 2024
1 ผลการดำเนินงานในอดีตและผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ |ผลตอบแทนรายเดือนหัก commission fee | ผลตอบแทนสะสม (cumulative return) หัก commission fee, management fee คิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี และ performance fee ที่ 15% โดยคิด high water mark ต่อเนื่องจากผลตอบแทนช่วง backtest | ผลตอบแทน SET คิดจากจากราคาปิดวันที่ 2 มกราคม 2024 ซึ่งเป็นวันแรกที่ DSS ให้คำแนะนำ หากนับตามจำนวนวันเต็มปีปฏิทิน 2024 ผลตอบแทน SET TRI +2%
กราฟผลตอบแทนรายปีสุทธินับแต่ Backtest, Live Test และเริ่มแนะนำจริง 2
Source: Definit, Bloomberg as of 31 Dec 2024
2 ผลการดำเนินงานในอดีตและผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนหัก commission fee, management fee คิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี และ performance fee ที่ 15% โดยคิด high water mark ต่อเนื่องจากผลตอบแทนช่วง backtest | ผลตอบแทน SET คิดจากจากราคาปิดวันที่ 2 มกราคม 2024 ซึ่งเป็นวันแรกที่ DSS ให้คำแนะนำ หากนับตามจำนวนวันเต็มปีวันที่ตามปฏิทิน 2024 ผลตอบแทน SET TRI +2%
Definit SET Select พลิกกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย ช่วยคัดเลือกหุ้นไทยเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว พิจารณา 3 ปัจจัย
Earnings หุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
Valuation หุ้นที่มูลค่าถูกกว่าอุตสาหกรรม
Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกของราคาในระยะสั้น
หมายเหตุ: ผลตอบแทนในอดีตปี 2013-2022 เป็นการ Back test ไม่สามารถเป็นการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต | ผลตอบแทนในปี 2013-2023 คำนวนโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | Live test เริ่มตั้งแต่ปี 2023 | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค.-ก.ย. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป (หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป) | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2024 จะคำนวนผลตอบแทนตามเดือนนั้นๆ โดยใช้ราคาปิดของสิ้นเดือนนั้น | ผลตอบแทนรวมเงินปันผล | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปีโดยคิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี | เดือน พ.ย. 2024 Definit Quant Portfolio ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Definit SET Select
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (บริษัท) ไม่สามารถยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ใดใดของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลมาจากวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใด ๆ กับ บริษัท
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา HSBC ได้ปรับลดคำแนะนำลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มาเป็นระดับ “Neutral” (คงน้ำหนักการลงทุน) จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของทรัมป์ และปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนในหุ้นยุโรป (ไม่รวมหุ้นสหราชอาณาจักร) จาก “Underweight” (ลดน้ำหนักการลงทุน) เป็น “Overweight” (เพิ่มน้ำหนักการลงทุน) หลังเยอรมนีผ่อนปรนกฎเกณฑ์ทางการคลัง
HSBC ระบุว่ามาตรการของรัฐบาลทรัมป์เกี่ยวกับนโยบายการค้าและนโยบายอื่น ๆ สร้างความไม่แน่นอนหลายด้าน ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปที่มีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ รวมทั้งและการที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เงินทุนไหลออกจากสหรัฐฯ
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงประมาณ 6.1% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 19 ก.พ. เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจะกระทบกำไรของบริษัทและทำให้การเติบโตชะลอตัว
“สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือเราไม่ได้มีมุมมองที่เป็นลบต่อหุ้นสหรัฐฯ แต่ในเชิงกลยุทธ์ เราเห็นโอกาสที่ดีกว่าในตลาดอื่น” อลาสแตร์ พินเดอร์ นักกลยุทธ์หุ้นโลกจาก HSBC กล่าว
ไมเคิล วิลสัน นักกลยุทธ์หุ้นจาก Morgan Stanley มองว่าดัชนี S&P 500 อาจลดลงอีก 5% มาอยู่ที่ 5,500 จุดภายในกลางปีนี้ ก่อนที่จะสิ้นสุดปีที่ประมาณ 6,500 จุด ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 12.7% จากราคาปิดล่าสุดของดัชนี Benchmark
📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mr-messenger/europe-mar-2025
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
การเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทต่าง ๆ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการลงทุน โดยเฉพาะ “ตลาดตราสารหนี้” เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งถูกปรับลดอันดับเครดิตสูงสุดในรอบหลายปี คำถามที่ตามมาคือ นี่เป็นสัญญาณของ “ความเสี่ยง” ที่เพิ่มขึ้น หรือเป็น “โอกาส” ในการลงทุนหุ้นกู้กันแน่?
เพื่อตอบคำถามนี้กับนักลงทุน Definit by Finnomena จึงจัดงานสัมมนาพิเศษ “บริษัทยักษ์ใหญ่ถูกดาวน์เกรดสูงสุดในรอบหลายปี โอกาสหรือความเสี่ยง? ของการลงทุนหุ้นกู้” เมื่อวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยบทความนี้จะสรุปประเด็นสำคัญในงานสัมมนาที่นักลงทุนหุ้นกู้ควรทราบ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้ต่อไป
ปี 2024 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นกู้ไทยเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ด้วยมูลค่าหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้และเลื่อนกำหนดชำระรวมกันสูงถึงกว่า 40,000 ล้านบาท จากผู้ออกถึง 22 ราย โดยแบ่งเป็นหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ 3,172 ล้านบาท จาก 5 ราย และหุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระ 37,963 ล้านบาท จาก 17 ราย
ไม่เพียงเท่านั้น สถานการณ์การปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทต่าง ๆ ก็อยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยมีจำนวนบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับเครดิตมากที่สุดในรอบ 6 ปี หรือตั้งแต่ปี 2018 รวมทั้งสิ้น 46 ราย และที่น่าตกใจคือไม่ใช่แค่บริษัทขนาดเล็กเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่บริษัทขนาดใหญ่ก็ถูกปรับลดอันดับเครดิตมากขึ้นเช่นกัน โดยมีบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับเครดิตถึง 26 ราย และมีบริษัทที่ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตเพียง 8 รายเท่านั้น (ข้อมูลจาก ThaiBMA)
ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนเหล่านี้ Definit เข้าใจถึงความกังวลของนักลงทุน จึงได้พัฒนา “Bond Health Check” บริการตรวจสุขภาพหุ้นกู้ วิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นกู้ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ดังนี้
ความน่าจะเป็น % ที่บริษัทจะมีการผิดนัดชำระหนี้ (default) ภายในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า วิเคราะห์จากสถิติข้อมูลในอดีตกว่า 65,000 บริษัทจดทะเบียนใน 10 อุตสาหกรรมทั่วโลก ตั้งแต่ 1998-2018 โดยปัจจัยที่ใช้กำหนดค่า Default Probability ได้แก่
คำแนะนำจาก Definit: ค่า Bloomberg default probability ควรต่ำกว่า 1.5% (ยิ่งต่ำ ยิ่งดี)
แบบจำลองทำนายบริษัทล้มละลาย สร้างโดย deward Altman ศาสตราจารย์ด้านการเงินที่ NYU ในปี 1968 ใช้ข้อมูลทางบัญชีของบริษัทในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1970-1999
Altman Z-Score สามารถคาดการณ์การล้มละลายภายในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ได้ถึง 80-90% โดยปัจจัยที่ใช้กำหนดค่า Z-Score มาจากอัตราส่วนทางการเงินที่สามารถสะท้อนผลประกอบการ โดยมีสูตรดังนี้
Z = 1.2A + 1.4B + 3.3C + 0.6D + 0.99E
A = Working capital / Total assets
B = Retained Earnings / Total assets
C = EBITDA / Total assets
D= Market Cap / Total liabilities
E = Revenue / Total assets
ความหมายของอัตราส่วนทางการเงินในสูตร Altman Z-Score
คำแนะนำจาก Definit: หุ้นกู้คุณภาพควรมี Altman Z-Score ไม่ต่ำกว่า 0.50 (ยิ่งสูง ยิ่งดี)
เนื่องจากค่า Altman Z-Score คำนวณจากข้อมูลในอดีตที่ปรากฏในงบการเงิน ซึ่งเป็นการมองภาพระยะยาว จึงจำเป็นต้องใช้ค่า Bloomberg default probability เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงในระยะสั้นควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากราคาหุ้นมีความผันผวนผิดปกติค่า Bloomberg default probability จะสามารถบ่งชี้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
Definit สร้าง indicator ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของ default probability หากเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ Definit กำหนดภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถือว่าบริษัทมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
คำแนะนำจาก Definit: หุ้นกู้คุณภาพดีต้องไม่มีการเพิ่มขึ้นของ Default Probability อย่างรวดเร็วเกินไป
บริการแนะนำจัดพอร์ตตราสารหนี้ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่จำเป็นต้องรอการออกตราสารหนี้ออกใหม่ บริการนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของคุณได้อย่างอิสระ ไม่ว่าคุณจะต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง หรือต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น บริการ Bond on Demand จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งพอร์ตการลงทุนหุ้นกู้ให้สอดคล้องกับความต้องการของคุณได้อย่างลงตัว
📌 สนใจรับคำแนะนำหุ้นกู้ พร้อมรับบริการ Bond Health Check และ Bond on Demand สามารถติดต่อที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้ หรือ สามารถกรอกแบบฟอร์มรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่ https://www.finnomena.com/bond/
คำเตือน: ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในหุ้นกู้ไม่ใช่การฝากเงิน | การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้เป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น มิใช่สิ่งชี้นำการซื้อขายตราสารหนี้ที่เสนอขาย และไม่ได้เป็นการรับประกันความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้
ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ บลป.เดฟินิท 02-109-9933
เมื่อคืนวันที่ 10 มีนาคม 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) และ ดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวลงแรงกว่า -2.7% และ -3.81% ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงยกแผง นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) -1.6% ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) -1.17% ดัชนี HSCEI หรือ หุ้นจีน H-Shares -0.76% ตลาดหุ้นไทย (SET Index) -0.6% และตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) -0.45%
การปรับตัวลงครั้งนี้ได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้น Tesla -15.43, Nvidia -5.07%, Apple -4.85%, Google -4.6%, Meta -4.42% และ Microsoft -3.34% โดยเกิดขึ้นเนื่องจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยได้ประกาศเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า 25% สำหรับเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2025 โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่าทั้งสองประเทศยังไม่สามารถควบคุมการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนได้เพียงพอ นอกจากนี้ เขายังส่งสัญญาณว่าอาจเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอีก 10% และขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากยุโรป 25% ซึ่งยังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว อย่างไรก็ตามทรัมป์ได้มีคำสั่งยกเว้นผู้ผลิตรถยนต์จากการขึ้นภาษี 25% ในแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน
Finnomena Funds มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังคงเผชิญกับความผันผวน เนื่องจากสงครามการค้าและนโยบายที่ยังไม่แน่นอนของโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากนี้จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด ทั้งนี้เงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับตัวลงในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า จึงทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2025 อีก 2 รอบ ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแม้ประกาศออกมาดีกว่าคาด แต่นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรลดลงต่อเนื่อง ถึงแม้ราคาปรับตัวย่อลงมา แต่ Valuation ของตลาดหุ้นยังตึงตัว
เราแนะนำ Selective หุ้นเล็ก คุณภาพ และ Laggard ในกองทุน ASP-USSMALL-A และแนะนำ “ซื้อ” กองทุน MEGA10-A ตามมุมมองของ Fundtalk Call
ด้านตลาดหุ้นเอเชีย Finnomena Funds มองว่าตลาดมีโอกาสฟื้นตัว โดยการปรับตัวลงของตลาดจึงเป็นจังหวะในการเข้าทยอยสะสมการลงทุนในหุ้นเอเชียอย่าง UOBSA ที่ใช้ AI ร่วมกับผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น สร้างผลตอบแทนระยะยาวโดดเด่นกว่ากองเอเชียอื่น ๆ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการ hedge ความเสี่ยงพอร์ตจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์ตามคำแนะนำของ Mr.Messenger Call อย่างกองทุน AGBFIX-A และกองทุน SCBFST ซึ่งได้อานิสงส์จากค่าเงินดอลลาร์ที่มีโอกาสแข็งค่าในระยะสั้น รวมถึงยังรับโอกาสจาก Bond Yield สหรัฐฯ ตัวสั้นที่อยู่ในระดับสูง
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299