Finnomena แพลตฟอร์มบริหารจัดการเงินลงทุนดิจิทัล จับมือกับ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เปิดตัวบัญชีเงินฝากเพื่อการลงทุน “FIN SAVE by KKP” บัญชีเงินฝากรูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักลงทุน Finnomena ให้สามารถจัดการธุรกรรมทางการเงินและการลงทุนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม เพื่อมอบประสบการณ์การลงทุนที่ไร้รอยต่อให้กับนักลงทุนไทย
บัญชีเงินฝากเพื่อการลงทุน FIN SAVE by KKP ออกแบบมาเพื่อรองรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในกองทุนรวมกับ Finnomena โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการตัดเงินเพื่อซื้อหน่วยลงทุน หรือการรับเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุน ทำให้การบริหารจัดการเงินลงทุนเป็นเรื่องง่าย มีประสิทธิภาพ และเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
นายเจษฎา สุขทิศ, CFA, CEO ของ Finnomena Group กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประสบการณ์การลงทุนให้กับผู้ใช้งาน Finnomena บัญชีเงินฝากเพื่อการลงทุน FIN SAVE by KKP จะเข้ามาเติมเต็ม Ecosystem ของ Finnomena ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการเงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ด้าน นางเกษรา เลียงชเยศ ประธานสายธนบดีธนกิจ และหัวหน้าฝ่ายตลาดผลิตภัณฑ์การเงิน ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวเสริมว่า “การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสององค์กรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สอดคล้องกับความต้องการของ นักลงทุนยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต้องการประสบการณ์ การลงทุนที่ไร้รอยต่อและมีประสิทธิภาพ โดย FIN SAVE by KKP ช่วยยกระดับประสบการณ์การลงทุนของลูกค้า Finnomena ให้สะดวก คล่องตัว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมกับเป็นอีกก้าวของ KKP ในการสร้างบริการทางการเงินที่ทั่วถึงครอบคลุม ผ่านเทคโนโลยีและความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ”
Finnomena และ KKP มอบโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ที่ตั้งบัญชีเงินฝาก FIN SAVE by KKP เป็นบัญชีหลักสำหรับ Settlement และลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมผ่าน Finnomena แอปพลิเคชัน ตั้งแต่ 50,000 – 99,000 บาท รับเงินฝากเข้าบัญชี 100 บาท และลงทุน 100,000 บาทขึ้นไป รับเงินฝากเข้าบัญชี 200 บาท
เปิดบัญชีเงินฝากเพื่อการลงทุน “FIN SAVE by KKP” และทำตามเงื่อนไขที่กำหนด โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. – 15 ก.ค. 2568
นักลงทุนที่สนใจสามารถเปิดบัญชี “FIN SAVE by KKP” พร้อมสัมผัสประสบการณ์การลงทุนที่สะดวกสบายและคุ้มค่ากว่าเดิมได้แล้ววันนี้ ผ่านแอปพลิเคชัน Finnomena https://partner.finnomena.com/kkp/landing
* อ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ทั่วไปที่อัตราดอกเบี้ย 0.25 % ต่อปี
** อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกำหนด (อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท)
เกี่ยวกับ Finnomena
Finnomena เป็นบริษัทฟินเทคสัญชาติไทยที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดยผสานศักยภาพของ AI และความเชี่ยวชาญของมนุษย์เข้าด้วยกันเพื่อให้บริการบริหารความมั่งคั่งในวงกว้าง ปัจจุบัน บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้ใช้งานมากกว่า 700,000 ราย อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินชั้นนำ เช่น Openspace Ventures, Krungsri Finnovate และธนาคารออมสิน Finnomena มุ่งมั่นที่จะทำให้การลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายผ่านคำแนะนำที่เป็นกลางครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท พร้อมตั้งเป้าช่วยให้คนไทยกว่าหนึ่งล้านคนประสบความสำเร็จทางการเงิน ผ่านการพัฒนาเครื่องมือที่ล้ำสมัยและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com
ข้อมูลติดต่อ: ฝ่ายสื่อสารการตลาด Finnomena
มะลิลา ใจพันธ์
โทร. 089-874-8982 Email: nim.malila@finbroadcasting.com
เกี่ยวกับธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ที่ประกอบด้วยธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด โดยธนาคารมีวิสัยทัศน์ในการนำทรัพยากรสู่ลูกค้าอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเปี่ยมประสิทธิภาพด้วยบริการที่เหนือความคาดหมาย ทั้งนี้ ธุรกิจของธนาคารครอบคลุมสินเชื่อบรรษัท สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อย เช่น สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล ตลอดจนเชื่อมโยงกับธุรกิจด้านตลาดทุน ที่ประกอบด้วยธุรกิจวานิชธนกิจ (Investment Banking) ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์สำหรับผู้ลงทุนสถาบัน ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) ธุรกิจการลงทุน (Direct Investment) และธุรกิจจัดการกองทุน ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kkpfg.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ
ปราริน จงไพจิตร (เตเต้)
โทร. 0644656351
อีเมล prarin.jong@kkpfg.com
Definit Global Select (DGS) ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เกิดจากความร่วมมือของ บลป. เดฟินิท (ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มบริษัทฟินโนมีนา) และ บล. หยวนต้า เป็นกลยุทธ์การลงทุนใน Depository Receipt (DR) ซึ่งอ้างอิงราคาหุ้นสามัญต่างประเทศ โดยปัจจุบัน DGS ครอบคลุมการลงทุน DR หุ้นรายตัวใน 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลี จีน (ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง) ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเวียดนาม
DGS ใช้กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นแบบ Earnings-and-Momentum (EMO) Framework พิจารณาสองปัจจัยในการคัดเลือกหุ้น ปัจจัยแรก ได้แก่ Earnings หรือการปรับประมาณการกำไรในอนาคตของบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการเติบโตของหุ้นแต่ละตัว และอีกปัจจัยคือ Momentum หรือผลตอบแทนของหุ้นแต่ละตัวในอดีต ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดต่อหุ้นแต่ละตัว
DGS ใช้กลยุทธ์ดังกล่าว คัดเลือกหุ้นต่างประเทศที่สามารถลงทุนผ่าน DR จำนวนไม่เกิน 10 หุ้นต่อเดือน จากนั้นคัดเลือก DR ที่อ้างอิงราคาหุ้น 10 ตัวดังกล่าว จัดออกมาเป็นพอร์ตลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน DR แต่ละตัวที่เท่ากัน (กำหนดน้ำหนักสูงสุดไม่เกิน 20% ต่อ DR 1 ตัว)
ผลตอบแทนย้อนหลัง (backtest) ของ DGS ช่วงปี 2015-2024
เราทำการทดสอบย้อนหลัง (backtest) โดยใช้ขอบเขตการลงทุน (universe) เป็นหุ้นต่างประเทศที่สามารถลงทุนผ่าน DR ได้ โดยปรับผลตอบแทนเป็นสกุลเงินบาท เพื่อให้สะท้อนผลการดำเนินงานจริงจากการลงทุนผ่านสกุลเงินบาท พบว่า DGS ให้ผลตอบแทนย้อนหลังโดยเฉลี่ยที่ 31% ต่อปี ซึ่งเหนือกว่าดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) Total Return ซึ่งทำผลตอบแทนต่อปีได้ที่ 9.7% ต่อปี
ผลตอบแทนจริงจากนักลงทุนที่ลงทุนกับ DGS ตั้งแต่วันแรก
DGS เปิดให้ลงทุนครั้งแรก ในวันที่ 9 เมษายน 2025 เมื่อดูตัวเลขผลตอบแทนล่าสุด (อ้างอิงจากพอร์ตลงทุนจริงของนักลงทุนที่เริ่มลงทุนกับ DGS ในวันดังกล่าว) DGS สามารถทำผลตอบแทนได้ 16.96% นับตั้งแต่เปิดตัว ทำผลตอบแทนเหนือกว่าภาพรวมหุ้นโลก (วัดจากผลตอบแทนของกองทุน iShares MSCI ACWI ETF ในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับเป็นสกุลเงินบาท) ซึ่งอยู่ที่ 8.75%
อ่านบทความรีวิว Popmart จาก Definit
เป็น DR ที่อ้างอิงราคาหุ้น Pop Mart (9992 HK) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง Pop Mart ทำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าของเล่นกลุ่ม Art Toys โดยมีกลยุทธ์การขายสินค้าแบบกล่องสุ่ม ลูกค้าของ Pop Mart สามารถเลือก collection สินค้า แต่ไม่สามารถเลือกสินค้าแบบเจาะจงได้ กลยุทธ์ดังกล่าวช่วยเพิ่มความสนุกในการเลือกซื้อสินค้า นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์จับมือเป็นพันธมิตรกับศิลปินต่าง ๆ เช่น Crybaby ซึ่ง Pop Mart จับมือกับคุณมด นิสา ศรีคำดี ศิลปินชาวไทย ออก collection ดังกล่าว ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก
Labubu Fall in Wild
Source: Pop Mart Australia
ถึงแม้ Pop Mart จะเป็นบริษัทสัญชาติจีน แต่ก็มีฐานลูกค้าอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่แอปพลิเคชัน Pop Mart ภายใน AppStore มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในบรรดาแอปพลิเคชันฟรีในหมวดหมู่ช็อปปิ้ง และมียอดดาวน์โหลดสูงเป็นอันดับ 4 ในบรรดาแอปพลิเคชันฟรีทั้งหมด และ Pop Mart เพิ่งเปิดตัวร้านค้าอีก 3 แห่งในทวีปอเมริกาเหนือ
นอกจากนี้ Pop Mart ยังขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ โดยคอลเลกชั่น Labubu The Monsters ถูกปรับราคาขึ้น 27% และคอลเลกชั่น Hirono le Petit Prince ถูกปรับราคาขึ้น 12-19% สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ประมาณการกำไรของ Pop Mart ถูกปรับขึ้นและราคาหุ้นทำ All Time High โดย DR POPMART80 นับตั้งแต่วันเปิดตัว DGS จนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2025 ทำผลตอบแทนได้ 45%
อ่านบทความรีวิว Xiaomi จาก Definit
เป็น DR ที่อ้างอิงราคาหุ้น Xiaomi (1810 HK) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง Xiaomi ทำธุรกิจผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์หลากหลาย ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ Smartphone, คอมพิวเตอร์ Laptop, ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่นเครื่องฟอกอากาศ โทรทัศน์ หุ่นยนต์ทำความสะอาด และอื่น ๆ อีกมากมาย สินค้าของ Xiaomi ขึ้นชื่อว่าเป็นสินค้าที่มีการฝังเทคโนโลยี Smart Home ซึ่งทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถทำงานได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นสินค้าที่มีราคาไม่แพง เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคที่เน้นความคุ้มค่าในการใช้จ่าย
รถยนต์ไฟฟ้า Xiaomi
Source: Xiaomi
หุ้น Xiaomi ได้รับแรงหนุนจากกระแสการใช้งาน Internet of Things (IoT) ซึ่ง Xiaomi มีความเชี่ยวชาญในการเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในบ้านเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถทำงานประสานกันได้อย่างเรียบเนียน นอกจากนี้ในปี 2025 Xiaomi ยังเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันมียอดสั่งจองเข้ามาจำนวนมาก ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ประมาณการกำไรของ Xiaomi ถูกปรับขึ้นและราคาหุ้นมีโมเมนตัมที่ดี โดย DR XIAOMI80 นับตั้งแต่วันเปิดตัว DGS จนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2025 ทำผลตอบแทนได้ 20%
ผลตอบแทนในอดีตปี 2015-2024 เป็นการ Backtest ไม่สามารถการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต | ผลตอบแทนในปี 2015-2024 คำนวนโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover จริงจากหน้าพอร์ตที่เปลี่ยนไปในแต่ละเดือน, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี
สรุปแล้ว Definit Global Select เป็นอีกตัวเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตไปยังหุ้นต่างประเทศ โดยใช้กลยุทธ์ที่มีการคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบ เพิ่มความสะดวกสบายด้วยการบริหารพอร์ตอัตโนมัติ ลดภาระในการติดตามการลงทุน และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน
นักลงทุนที่สนใจ สามารถเปิดบัญชีลงทุน Definit Global Select กับ บล. หยวนต้า คลิกที่นี่ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้
คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
ดีลใหญ่ประวัติศาสตร์ !! กองทุนความมั่งคั่งกาตาร์ (QIA) เตรียมเพิ่มการลงทุนในสหรัฐอเมริกา เป็น 2 เท่า พร้อมทุ่มเงิน 16 ล้านล้านบาท มุ่งเน้นลงทุนใน AI, Data Center และ HealthCare ใน 10 ปีนี้
Qatar Investment Authority (QIA) หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของกาตาร์ ประกาศแผนเพิ่มการลงทุนประจำปีในสหรัฐฯ เป็น “สองเท่า” ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า จากระดับเฉลี่ยในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา
โดยจะเน้นการลงทุนในธีมใหม่อย่าง AI, Data Centers และ Health Care และธุรกิจที่สนับสนุนการผลิตภายในประเทศสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ QIA ได้ให้คำมั่นดีลยักษ์ประวัติศาสตร์ว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ (16 ล้านล้านบาท) ภายในทศวรรษนี้ ซึ่งเงินลงทุนมูลค่า 16 ล้านล้านบาท คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของคำมั่นทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่กาตาร์ให้ไว้กับ Trump ที่มูลค่ารวม 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 39 ล้านล้านบาท
QIA ถือเป็นหนึ่งในกองทุนความมั่งคั่งที่ทรงอิทธิพลระดับโลก และเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ครองสินทรัพย์ระดับโลกจำนวนมาก ซึ่งการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในสหรัฐฯ สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม กองทุน QIA ไม่ใช่กองทุนจากตะวันออกกลางเพียงรายเดียวที่เดินหน้ากลยุทธ์การลงทุนในสหรัฐฯ อย่างเชิงรุก กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย หน่วยงานของรัฐในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกองทุนความมั่งคั่งแห่งคูเวต ต่างก็มองหาช่องทางอัดฉีดเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การแข่งขัน เพื่อแย่งดีลการลงทุน
บทความนี้ จะขอประเมินความเสี่ยงด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความถูกแพงตลาดหุ้นของภูมิภาคหลักของโลก ว่าในปี 2025 ประเทศใดเป็นอย่างไรกันบ้าง
เริ่มจากความเสี่ยงด้านการเมือง ขอประเมินในมิติดังกล่าว ดังนี้
ภูมิภาคที่มีความเสี่ยงการเมืองน้อยที่สุด ผมมองว่า ได้แก่ ยุโรป โดยหลังจากเฟดเดอริก เมอร์ซ เข้ารับตำแหน่งผู้นำเยอรมันเมื่อสัปดาห์ก่อน จะเห็นได้ชัดถึงภาพภายนอกว่าด้วยความเป็นเอกภาพของยุโรปนั้น ถือว่ามีความชัดเจนมากขึ้นเยอะ จากการประชุมพร้อมกันของเมอร์ซ ร่วมกับเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และ เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำอังกฤษ พร้อมกับวลาดิเมียร์ โซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน
นอกจากนี้ ประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มต่างพร้อมใจให้สหภาพยุโรปหรืออียูลงทุนในภาคกลาโหม (ได้ตั้งสินเชื่อเพื่อการนี้ขนาด $1.5 แสนยูโร) และโครงสร้างสาธารณูปโภค รวมถึงรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคกลาโหมเพื่อชดเชยและแทนที่การถอยห่างความช่วยเหลือด้านความมั่นคงต่อภูมิภาคยุโรป ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ได้แก่ เยอรมัน ได้ทลายกฎเกณฑ์ที่เป็นข้อจำกัดต่อการลงทุนด้านการทหารและกลาโหมในภาครัฐบาล
ตรงนี้ ส่งผลให้ประเทศที่เป็นเสียงส่วนน้อยที่มักจะคัดค้านนโยบายหลัก ๆ ของอียู อาทิ ฮังการี มีความลำบากที่จะตีรวนมติในการลงคะแนนเสียงวีโต้สำหรับการโหวตนโยบายหลักต่าง ๆ ในอนาคต
นอกจากนี้ กระแสขวาจัดที่ถือว่าลดความเป็นเอกภาพของสหภาพยุโรปนั้น เริ่มจะได้รับความนิยมลดลงเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น มารีน เลอแปง หัวหน้าฝ่ายค้านแนวขวาจัดได้ถูกห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองจากศาล และการเลือกตั้งผู้นำโรมาเนียที่ผู้ชนะมีนโยบายหนุนสหภาพยุโรป รวมถึง อีลอน มัสก์ และ เจ ดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ถูกตำหนิอย่างรุนแรงหลังจากพยายามที่จะหนุนกลุ่มขวาจัดในยุโรป
สำหรับภูมิภาคอื่น ๆ ปรากฏว่าล้วนมีความเสี่ยงด้านการเมืองอยู่พอสมควร โดยขอเรียงจากเสี่ยงน้อยไปมาก ดังนี้
อินเดีย: ถือว่ายังมีสงครามที่ค่อนข้างดุเดือดกับปากีสถาน ในเขตชายแดนแคชเมียร์ ซึ่งถือว่ามีความรุนแรงมากที่สุดในรอบหลายปี โดยแม้ว่าจะสามารถเจรจาสงบศึกไปได้แล้ว ทว่าอาจจะกลับมาปะทุในอนาคตอันใกล้ได้เช่นกัน
จีน: ถือว่าเป็นคู่ปรปักษ์หลักในสงครามการค้ากับสหรัฐ ซึ่งทำให้จัดเป็นความเสี่ยงหลักในทางการเมืองของจีน
สหรัฐ: นอกจากสหรัฐเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้า ที่ทำให้มีความเสี่ยงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังมีความเสี่ยงที่โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จะไล่เจย์ พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ
ญี่ปุ่น: นอกจากญี่ปุ่นต้องรับบทหนักจากสงครามการค้ากับทรัมป์แล้ว กระแสความนิยมของพรรค LDP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในประเทศญี่ปุ่น ถือว่าตกต่ำอย่างรุนแรง โดยชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีความจำเป็นในทางการเมืองที่ต้องเจรจากับสหรัฐให้ได้ tariff rate ต่ำที่สุด (ชาวญี่ปุ่นหวังให้ภาษีนำเข้ารถยนต์ให้เป็นศูนย์) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการส่งออกรถยนต์ เพื่อให้คะแนนเสียงของพรรคกระเตื้องขึ้นมาจากในตอนนี้
ไทย: ทั้งเสถียรภาพของรัฐบาลที่ถือว่าอ่อนแอ และผลลัพธ์จากการเจรจาการค้ากับทรัมป์ที่อาจจะไม่ได้อยู่ในประเทศที่จะประกาศลด tariff rate จากสหรัฐ สำหรับในกลุ่มประเทศที่สหรัฐเตรียมจะประกาศออกมาในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
หันมาพิจารณาความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและความถูกแพงของตลาดหุ้นกันบ้าง ผมมองลำดับประเทศจากเสี่ยงน้อยไปมาก ดังนี้
อินเดีย: มีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ โดยถือว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของจีดีพีสูงที่สุดในกลุ่มประเทศหลัก สำหรับในช่วงนี้ อีกทั้งธนาคารกลางอินเดียก็เตรียมจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ออีกในปีนี้ อย่างไรก็ดี ค่า P/E ของตลาดถือว่าสูงที่สุดในบรรดาประเทศหลัก อยู่ที่ 23 เท่ากว่าๆ
ยุโรป: มีความโดดเด่นด้านความถูกแพงของตลาดหุ้น โดยตลาดหุ้นมีค่า P/E ถือว่าต่ำแห่งหนึ่งในบรรดาประเทศหลักที่ 15 เท่ากว่า ๆ สำหรับในมุมเศรษฐกิจ ก็ถือว่าพอใช้ได้ โดยอัตราเงินเฟ้อใกล้จะเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถือว่าโอกาส recession ต่ำมากแล้ว แม้ทางการจะมีการปรับประมาณการจีดีพีลงจาก 1.3% เหลือ 0.9% สำหรับในปีนี้ส่วนปีหน้า จาก 1.6% เหลือ 1.4% ก็ตาม ที่สำคัญ ธนาคารกลางยุโรปยังน่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ออีก หลังจากลดไปทั้งสิ้นราว 2% แล้วในช่วงกว่าปีที่ผ่านมา
สหรัฐ: หากพิจารณาจากข้อมูลดิบด้านเศรษฐกิจที่ประกาศออกมา ณ จนถึงตอนนี้ จะพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไปได้ด้วยดีทั้งการเติบโตและเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี คาดหมายว่าผลกระทบของภาษีด้านการค้า น่าจะส่งผลในเชิงลบต่อทั้งการเติบโตเศรษฐกิจและเงินเฟ้อใน 2-3 เดือนถัดไปจากนี้ ทว่าด้วยการเพลามือของทรัมป์ ณ ตรงนี้ น่าจะมีโอกาสสูงพอควรที่เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เกิด recession ด้านความถูกแพงของตลาดหุ้น ถือว่าไม่ถูก โดยมีค่า P/E ของตลาดอยู่ที่ราว 22 เท่า
ญี่ปุ่นและจีน: ในภาพรวม ภาวะเศรษฐกิจของทั้งคู่ ถือว่าพอใช้ได้ ณ ตอนนี้ อาจจะมีจุดที่ต้องจับตาอยู่บ้าง ในส่วนของการเติบโตเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ชะลอตัวลงมาเล็กน้อย นอกจากนี้ แบงก์ชาติญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้ ในขณะที่ในปีนี้ เศรษฐกิจจีนยังน่าจะเติบโตได้เกือบ 5% ทว่าต้องจับตาความซบเซาด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองรองอยู่บ้าง
ไทย: ในระยะสั้น น่าจะต้องทำการกระตุ้นเศรษฐกิจให้คึกคักท่ามกลางความกดดันจากสงครามการค้าของโลก สำหรับในระยะยาว จำเป็นต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศสูงขึ้น
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
Finnomena Funds แนะนำธีมการลงทุน China+1 เน้นหุ้นเอเชียตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ราคายังไม่แพง และจะได้ประโยชน์จาก Trade Deal โลกย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีน
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นแทบทั้งโลกรีบาวด์กลับมาแดนบวก หลัง Donald Trump ชะลอขึ้นภาษีไป 90 วัน พร้อมหันมาเจรจา Make Deal กับประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศจีนด้วยที่ประกาศลดกำแพงภาษีซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น และดูเหมือนว่าเรื่องที่แย่ที่สุดของ Trade War รอบนี้ผ่านไปแล้ว
เรามองว่าข้อตกลงทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ และไทย กำลังคืบหน้าเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะไม่เข้าสู่ Recession แม้จะมีการชะลอตัวบางส่วน
กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ ยังคงแนะนำ Reiterate Buy เข้าสะสมในสินทรัพย์ที่มีโอกาสฟื้นตัวจากท่าทีผ่อนคลายสู่ Trade Deal โดยธีมหลักที่จะได้ประโยชน์คือ China+1 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเอเชียตลาดเกิดใหม่ เช่น อินเดีย ไต้หวัน เกาหลีใต้
นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ต และหาประโยชน์จากความผันผวน อาจจะใช้โอกาสนี้กระจายการลงทุนไปยังกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Global Multi-Asset Allocation) และมีการป้องกันความเสี่ยงขาลง (Hedging) ได้เช่นกัน
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) TEMXCH (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเอเชียตลาดเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน) ที่เน้นลงทุนในเกาหลีใต้ ไต้หวัน และอินเดีย ซึ่งจะได้รับประโยชน์โดยตรงหากเกิดการย้ายฐานผลิตออกจากจีน (China+1) หลังประเทศต่าง ๆ เจรจา Trade Deal สำเร็จ และมีแรงหนุนทางอ้อมจากสกุลเงินเอเชียที่แข็งค่า
2.) DAOL-KOREAEQ (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ ถือว่าเป็นตลาดที่ปรับตัวขึ้นมาไม่เยอะมาก ราคายังไม่แพง และมีอัพไซด์ที่สูง แถมยังเป็นประเทศพันธมิตรที่ดีต่ออเมริกา นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนในดัชนี KOSPI ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้นในรอบ 1 เดือน สะท้อนมุมมองเชิงบวกในอนาคต
3.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง ยังคงเป็นตลาดที่ถูกและดี พร้อมได้รับประโยชน์ชัดเจนจากการย้ายฐานผลิตออกจากจีน เนื่องจากเวียดนามถูกมองว่าจะขึ้นมาเป็นโรงงานของโลกแห่งใหม่
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามเติบโตสูง เป็นประเทศเป้าหมายที่น่าจะได้ดีลจากอเมริกา ประกอบกับสัญญาณทางเทคนิควิ่งทะลุเหนือ Downtrend Line สะท้อนโมเมนตัมเชิงบวก
2.) B-BHARATA และ TISCOINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นอินเดียเติบโตแกร่ง ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้นเอเชียในธีม Trade Deal ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดหากการเจรจาทางการค้าราบรื่น เตรียมรับกับ Fund Flow ไหลเข้าจำนวนมาก
3.) ABGFIX-A และ SCBFST (ความเสี่ยงระดับ 4)
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ สำหรับเป้าหมายการเก็งกำไรระยะสั้น โดยมองว่าค่าเงิน USD/THB มีแนวโน้มยืนแข็งค่าเหนือระดับ 34 บาท ได้ในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical
1.) ES-GAINCOME-A และ ES-GAINCOME-RP (ความเสี่ยงระดับ 5)
กองทุนผสมที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Global Multi-Asset Allocation) อาทิ หุ้นโลก, Equity Linked-note, ตราสารหนี้ และ Catastrophe Bond ตลอดจนมีการป้องกันความเสี่ยงขาลง (Hedging) เหมาะกับการลงทุนเพื่อหาประโยชน์จากความผันผวนจากแนวทางการบริหารของ Donald Trump
2.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี พร้อมด้วย Sentiment จากธีม China+1 และมีแรงหนุนระยะยาวทั้งเรื่องการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ และการเตรียมตัวเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปีนี้
3.) B-BHARATA และ TISCOINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นอินเดียเติบโตแกร่ง เป็นตลาดที่สามารถเก็บสะสมได้ในระยะยาว หนุนโดยโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น พร้อมด้วย Sentiment จากธีม China+1
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Powell ประธาน Fed เตือนระวัง Supply Shock เงินเฟ้อพุ่งควบคุมยาก อาจต้องอดทนอยู่กับภาวะดอกเบี้ยสูงยาวนาน! Trump สวนแรง ‘Too Late Powell’ ทุกคนอยากลดดอกเบี้ยให้เร็ว ถ้าคิดช้า ทำช้า อาจพลาดอีกครั้ง
เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) กล่าวในที่ประชุม Thomas Laubach Research Conference ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจกำลังเข้าสู่ช่วงที่เกิด ‘Supply Shocks’ ที่ยืดเยื้อมากขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายที่ยากลำบากทั้งต่อเศรษฐกิจและการกำหนดนโยบายทางการเงิน
การปรับลดดอกเบี้ยต่ำใกล้ศูนย์ที่เคยเห็นหลังวิกฤตปี 2008 อาจไม่ได้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะโลกเผชิญความปั่นป่วนต่อเนื่อง และ Fed กำลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย เพื่อให้กรอบนโยบายมีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ พร้อมให้ความสำคัญกับการรักษาความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะยาวให้อยู่ที่ระดับ 2%
Supply Shocks คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการแบบไม่คาดคิด โดยมีสาเหตุ เช่น ภัยธรรมชาติ สงคราม โรคระบาด และความตึงเครียดทางการค้า เป็นต้น ซึ่งได้กลายเป็นตัวแปรใหม่ที่ทำให้นโยบายการเงินมีความท้าทายมากขึ้น
โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ก็ได้ออกมาวิจารณ์ Powell อย่างตรงไปตรงมาอีกครั้งว่า ตัดสินใจช้าเกินไปจนเป็นที่รู้กันในฉายา “Too Late Powell” ทุกคนแทบจะเห็นตรงกันว่า Fed ควรลดดอกเบี้ยให้เร็วกว่านี้ ไม่เช่นนั้นอาจจะพลาดอีกครั้งก็ได้
Source: Associated Press, Truth Social
“หุ้นคือการเป็นเจ้าของธุรกิจ” เป็นวรรคทองที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI ทุกคนต้องเคยได้ยิน และหลายคนก็ซึมซับแนวคิดนี้ผ่านงานเขียนระดับตำนานของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร อย่างหนังสือ ตีแตก ที่ได้วางรากฐานของการลงทุนอย่างมีเหตุผล และมองการณ์ไกล ด้วยหลักการที่ฟังดูเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก นั่นคือการ “เลือกหุ้นดี ราคาถูก และลงทุนระยะยาว”
เกือบ 30 ปีที่ผ่านมา แนวทาง VI ได้พิสูจน์ตัวเองผ่านการเติบโตของเศรษฐกิจไทย การเพิ่มขึ้นของนักลงทุนสถาบัน และการหล่อหลอมนักลงทุนรายย่อยให้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจตัวจริงในตลาดทุน แต่เมื่อเราก้าวเข้าสู่โลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว พฤติกรรมผู้บริโภคไม่แน่นอน และหลายบริษัทที่เคย “มั่นคง” กลับถูก Disrupt อย่างไม่ทันตั้งตัว คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า VI ยุคใหม่ ควรยังยึดหลักเดิม หรือควร “ตีต่าง” เพื่ออยู่รอดในโลกที่ไม่เหมือนเดิม?
“ตีแตก” ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อหนังสือ แต่คือกรอบความคิดที่สร้างวินัยให้กับนักลงทุน แนวทางของ ดร.นิเวศน์ เน้นการเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง มองหาบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Moat) มีธรรมาภิบาลดี ราคาหุ้นไม่จำเป็นต้องต่ำที่สุด แต่ต้อง “คุ้ม” กับศักยภาพในอนาคต และสำคัญที่สุดคือการถือยาวแบบ “หุ้นซุปเปอร์สต็อก” ที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทนทบต้นอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องซื้อขายบ่อย
หลักการนี้เคยช่วยให้ใครหลายคนเจอ “หุ้น10 เด้ง” แต่นั่นคือบริบทของโลกในช่วงเวลาหนึ่ง โลกที่เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โลกที่นักลงทุนรายย่อยยังไม่ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมหาศาลแบบปัจจุบัน และโลกที่ P/E ต่ำมักแปลว่า “ราคาถูก”
วันนี้เราอยู่ในยุคที่หุ้นอย่าง Nvidia, Microsoft หรือ Tesla เทรดกันที่ P/E หลัก 40–60 เท่า แต่ยังมีคนแห่ซื้อไม่หยุด เพราะ “ความคาดหวัง” สำคัญกว่าราคาในวันนี้
ดอกเบี้ยขาลงทำให้ Valuation ขยับเพดาน พฤติกรรมนักลงทุนเปลี่ยนไวจากกระแส FOMO และ Meme Stock ขณะที่โมเดลธุรกิจใหม่ ๆ อย่างผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม หรือ AI Software as a Service ก็แทบไม่มีสินทรัพย์ถาวรให้วิเคราะห์เหมือนแต่ก่อน
ในยุคนี้หากนักลงทุนยังใช้เครื่องมือแบบเดิม เช่น การมองหาหุ้นที่มี P/E ต่ำ อาจทำให้มองข้าม “ของดี” ที่กำลังเติบโต เพราะไม่เข้าใจบริบทใหม่ของการประเมินมูลค่า
ในยุคที่ระบบเทรดอัตโนมัติทั้ง Robot Trading และ Algorithmic Trading ครองปริมาณการซื้อขายส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นทั่วโลก การวิเคราะห์เชิงคุณค่าแบบ VI ดูเหมือนจะ “ช้าไป” หรือ “ตกยุค” ในสายตานักลงทุนบางกลุ่มตลาดทุกวันนี้ตอบสนองต่อข่าว การเงิน และแม้แต่โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ภายในเสี้ยววินาที — โดยที่ไม่มีใครแม้แต่ได้อ่านงบการเงินก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของราคา
แต่ถึงอย่างนั้น…แนวคิดแบบ VI ก็ยังไม่สูญพันธุ์ กลับกัน มันยิ่งต้อง “ตีต่าง” กว่าเดิม เพราะในโลกที่ความเร็วคือ “เกมของ AI” ความเข้าใจในแก่นแท้ของธุรกิจคือ “เกมของมนุษย์”
ในขณะที่ Robotrade ทำหน้าที่ “เก็งกำไรระยะสั้น” ได้ดีเยี่ยม แต่การเข้าใจว่าบริษัทไหนมีโครงสร้างที่แข็งแรง พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนอย่างไร โมเดลธุรกิจไหนจะยั่งยืนในอีก 5–10 ปี ยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณเชิงมนุษย์ ความเข้าใจในพฤติกรรม และมุมมองระยะยาวแบบที่ AI ยังเรียนรู้ได้ไม่ครบ
VI ยุคใหม่จึงอาจไม่ต้องสู้ความเร็วของ Robotrade แต่ต้อง “รู้ให้ลึกกว่า” และ “คิดให้ไกลกว่า”
VI รุ่นใหม่จึงไม่ได้หมายถึงการ “ทิ้งแนวคิดเดิม” แต่คือการ “ยืดหยุ่น” และ “ขยายกรอบ” ให้เหมาะสมกับความซับซ้อนของโลกปัจจุบัน
แนวทาง “ตีแตก” ของ ดร.นิเวศน์ ยังคงทรงพลัง เพราะเป็นหลักการที่ฝังอยู่ในโครงสร้างความคิดของนักลงทุนแบบมีเหตุผล แต่การยึดหลักโดยไม่ปรับตัวอาจกลายเป็น “สูตรสำเร็จที่ไม่สำเร็จอีกต่อไป”
“ตีต่าง” จึงไม่ใช่การปฏิเสธอดีต แต่คือการตีความใหม่ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการมองหาโอกาสจากธุรกิจพื้นฐานแข็งแกร่งในตลาดเกิดใหม่ หรือพิจารณาศักยภาพของนวัตกรรมในตลาดพัฒนาแล้ว รวมถึงการเปิดรับโมเดลธุรกิจใหม่จากสตาร์ตอัพที่กำลังเติบโต นักลงทุนยุคใหม่อาจต้องขยายกรอบความคิดให้กว้างขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนเร็วและซับซ้อนกว่าเดิม
การเป็น Value Investor ไม่ได้แปลว่าต้องยึดติดกับ P/E ต่ำ งบดุลแข็ง หรืออุตสาหกรรมแบบเดิม ๆ เสมอไป แต่คือการมี “วิธีคิดแบบเจ้าของกิจการ” ที่กล้าลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ แม้จะไม่ใช่หุ้นยอดนิยมในสายตาคนส่วนใหญ่ก็ตาม
“ตีแตก” คือการวิเคราะห์ให้ทะลุ
“ตีต่าง” คือการเข้าใจโลกที่เปลี่ยน
และ VI รุ่นใหม่ ควรใช้ทั้ง 2 อย่างควบคู่กัน เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนท่ามกลางโลกที่ไม่หยุดหมุน
ถ้าการเลือกหุ้นคุณภาพ ดูงบ วิเคราะห์โมเดลธุรกิจ หรืออ่านเทรนด์โลก เป็นเรื่องที่ใช้เวลามากเกินไป
เรามีตัวช่วยที่ออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงโอกาสได้ง่ายขึ้น ผ่านการคัดสรรหุ้นด้วยกลยุทธ์ที่มีการทดสอบและวางแผนอย่างเป็นระบบ พร้อมบริหารพอร์ตแบบอัตโนมัติ
เรามีบริการ Definit SET Select พลิกกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย ช่วยคัดเลือกหุ้นไทยเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว พิจารณา 3 ปัจจัย
Earnings หุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
Valuation หุ้นที่มูลค่าถูกกว่าอุตสาหกรรม
Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกของราคาในระยะสั้นสนใจรับบริการ https://finno.me/dss-moment
เรามีบริการ Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก
ช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสในตลาดหุ้นทั่วโลก ด้วยการคัดสรรหุ้นนอกคุณภาพ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ ไม่ต้องจับจังหวะลงทุนเอง
คลิกเลย https://finno.me/dgs
คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เห็น “ผลตอบแทนย้อนหลัง” ของกองทุนรวมแล้วรู้สึกตื่นเต้น รีบลงทุนทันที เพราะคิดว่า “ให้ผลตอบแทนสูง = ดี”
แต่รู้ไหม… การดูแค่ตัวเลข อาจทำให้มองข้ามเรื่องสำคัญที่ซ่อนอยู่!
มันก็เหมือนกับสิ่งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
แต่ใต้น้ำนั้นยังมีองค์ประกอบอีกมากที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็น…
1. เป้าหมายการลงทุน
ลงทุนเพื่ออะไร? เพื่อเกษียณในอีก 30 ปี หรือเพื่อเป้าหมายสั้น ๆ ใน 3 ปี เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดระยะเวลาและความเสี่ยงที่รับได้
2. ประเภทกองทุน
กองทุนมีหลายประเภท เช่น กองทุนตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้น หรือกองทุนต่างประเทศ ซึ่งแต่ละประเภทมีความเสี่ยงและเป้าหมายต่างกัน ควรเลือกให้เหมาะกับเป้าหมายของตนเอง
3. ระดับความเสี่ยง
เช็กก่อนว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน แล้วเลือกกองทุนให้เหมาะกับสไตล์เรา
4. นโยบายของกองทุน
อ่านหนังสือชี้ชวนให้ครบ ไม่ใช่แค่ดูผลตอบแทนย้อนหลัง ควรเข้าใจนโยบายการลงทุน ข้อจำกัด และแนวทางการจัดการความเสี่ยงของกองทุนนั้นๆ
5. ทรัพย์สินที่ลงทุน
กองทุนลงทุนในอะไรบ้าง? หุ้นขนาดใหญ่ หุ้นเทคโนโลยี ตราสารหนี้ หรืออสังหาฯ
เราควรแน่ใจก่อนว่าเราสนใจและเข้าใจในสิ่งที่กองทุนถืออยู่
6. ผู้จัดการกองทุน
ความสามารถและประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุนมีผลต่อผลการดำเนินงานในระยะยาว ควรดูว่าผู้จัดการกองทุนเป็นใครก่อนตัดสินใจ
7. ค่าธรรมเนียม
ดูผลตอบแทนแล้ว อย่าลืมดูค่าธรรมเนียมด้วย
บางกองผลตอบแทนสูง แต่ค่าบริหารจัดการก็สูงเหมือนกัน… กำไรจริงอาจน้อยกว่าที่คิด!
FinSpace
โลกยังไว้ใจพันธบัตรสหรัฐ มองเป็นแหล่งพักเงินปลอดภัย ยอดถือจากต่างชาติทะลุ $9 ล้านล้าน สูงเป็นประวัติการณ์! ยกเว้น ‘จีน’ ที่เทขายต่อเนื่อง หลุดอันดับ 2 เจ้าหนี้อเมริกา!!
วันที่ 16 พฤษภาคม 2025 กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยนักลงทุนต่างชาติพุ่งแตะระดับ 9.05 ล้านล้านดอลลาร์ ในเดือนมีนาคม 2025 ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
และยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากกว่า 233,000 ล้านดอลลาร์ จากเดือนกุมภาพันธ์ และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 12%
แม้ภาพรวมการลงทุนจากต่างชาติยังคงแข็งแกร่ง แต่นักวิเคราะห์เตือนว่าแนวโน้มนี้อาจมีโอกาสเปลี่ยนแปลงในเดือนเมษายน เนื่องจากเป็นช่วงหลังที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศมาตรการขึ้นภาษีครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 2 เมษายน ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรเกิดแรงเทขาย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นกว่า 70 จุด ไปแตะ 4.6% ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนดังกล่าว
Source: Treasury Department, Bloomberg as of 16/05/2025
ข้อมูลยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในอันดับผู้ถือครองพันธบัตรรายใหญ่ พบว่าจีนลดการถือครองลงเหลือ 765,400 ล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม จาก 784,300 ล้านดอลลาร์ในเดือนก่อนหน้า และต่ำสุดในรอบหลายปี ถือเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2018
ทำให้จีนหล่นจากอันดับ 2 ไปอยู่อันดับ 3 ของผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดนสหราชอาณาจักรแซงขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดถือครอง 779,000 ล้านดอลลาร์
ญี่ปุ่นยังคงครองตำแหน่งผู้ถือครองรายใหญ่ที่สุด ด้วยยอดถือครอง 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นจาก 1.126 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ ถือเป็นการเพิ่มขึ้น 2 เดือนติดต่อกัน
นักวิเคราะห์มองว่าการลดถือครองของจีนอาจเป็นการตอบโต้ทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ต้องรอข้อมูลในช่วงเดือนเมษายน 2025 ว่าจีนได้ขายพันธบัตรในปริมาณมากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าจีนอาจถือครองพันธบัตรผ่านบัญชีดูแลทรัพย์สินในประเทศอื่น เช่น เบลเยียมและลักเซมเบิร์ก ซึ่งอาจทำให้ยอดถือครองที่แท้จริงของจีนสูงกว่าที่ปรากฏในข้อมูลทางการ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนตะวันออกกลาง 4 วัน ในซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ด้วยการต้อนรับสุดยิ่งใหญ่ สะท้อนความมั่งคั่งจากน้ำมันและความพร้อมในการสานสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
Cybertruck สีแดงสด
ที่ริยาดห์ เมืองหลวงของประเทศซาอุดีอาระเบีย เจ้าชายมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ถึงกับผิดมารยาททางราชสำนัก ด้วยการออกมาต้อนรับทรัมป์ถึงรันเวย์สนามบิน ขณะที่ขบวนรถของทรัมป์ถูกล้อมรอบด้วย Tesla Cybertruck สีแดงสด และนักขี่ม้าในชุดประจำชาติ
ขณะที่ทางด้านของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ก็ไม่น้อยหน้า เพราะ ประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด ได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “Order of Zayed” ให้ทรัมป์อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุด
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ Order of Zayed
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ “Order of Zayed” ถูกตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งประเทศ “ชีค ซาเยด บิน สุลต่าน อัล นาห์ยาน” ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเคารพและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง UAE กับบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือความมั่นคง
ส่วนกาตาร์จัดขบวนอูฐหลวงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ทันทีที่ขบวนรถของประธานาธิบดีทรัมป์แล่นเข้าสู่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ขบวนอูฐหลวงหลายสิบตัวซึ่งถูกตกแต่งอย่างหรูหรา พร้อมนักขี่อูฐในชุดประจำชาติ เดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ถือธงชาติกาตาร์และสหรัฐฯ อย่างสง่างาม เพื่อรอรับขบวนรถประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสนามบินไปยังพระราชวัง Amiri Diwan ศูนย์กลางอำนาจการเมืองของประเทศ
ขบวนอูฐหลวงของกาตาร์
ขบวนอูฐนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติสูงสุดในพิธีต้อนรับระดับผู้นำประเทศ และมักสงวนไว้เฉพาะโอกาสพิเศษของราชวงศ์หรือพันธมิตรที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
การแสดงออกนี้ไม่เพียงเป็นการให้เกียรติ แต่ยังแสดงถึงความตั้งใจของกาตาร์ในการตอกย้ำสถานะพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่ภูมิรัฐศาสตร์ของตะวันออกกลางกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทรัมป์ซึ่งเป็นนักธุรกิจในสายก่อสร้าง ก็ไม่พลาดชื่นชมความหรูหราของวังและอูฐด้วยคำพูดติดตลกว่า
“ในฐานะที่ผมทำธุกิจก่อสร้างมาก่อน บอกเลยว่าหินอ่อนที่นี่สวยสุดยอด แบบที่เขาเรียกว่า เพอร์เฟคโต้ (Perfecto) เลย…แล้วพวกอูฐที่เอามาต้อนรับน่ะ ผมประทับใจมากจริง ๆ ไม่ได้เห็นอูฐแบบนี้มานานแล้ว”
ด้านเศรษฐกิจ การเดินทางครั้งนี้มีการประกาศดีลระดับประวัติศาสตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น
แม้ตัวเลขจะดูมหาศาล แต่คำถามสำคัญคือ “ดีลเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงแค่ไหน?” โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันยังผันผวน และรายได้ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันลดลง ข้อตกลงบางอย่างอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเห็นผลชัดเจน เช่น การสั่งซื้อ เครื่องบินโบอิ้ง 210 ลำ และดีลอาวุธมูลค่า 142,000 ล้านดอลลาร์
ทาริก โซโลมอน ประธานหอการค้าอเมริกันในซาอุดีอาระเบียชี้ว่า ประเทศในกลุ่มอ่าวอาหรับชื่นชอบผู้นำที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจ ซึ่งทรัมป์ก็ตรงกับคุณลักษณะนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ โดยโซโลมอนได้ระบุเพิ่มเติมว่า ทรัมป์เป็นสัญลักษณ์ของ “เม็ดเงินก้อนโต อุตสาหกรรมอาวุธ และเทคโนโลยีขั้นสูง”
อาห์เหม็ด ราชัด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า ข้อตกลงเหล่านี้ไม่ใช่การแข่งขันภายในภูมิภาค แต่เป็นการแย่งชิงตำแหน่ง “พันธมิตรคนสำคัญของสหรัฐฯ” จากภูมิภาคอื่น
บรรยากาศการประชุมสุดที่ริยาดห์เต็มไปด้วยความอบอุ่น เมื่อทรัมป์กับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ชมกันและกันอย่างเปิดเผย โดยมีผู้บริหารระดับสูงจาก Tesla, Nvidia และ BlackRock ร่วมด้วย
ส่วนที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทรัมป์และผู้นำโมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด เน้นย้ำถึงมิตรภาพส่วนตัวและพันธมิตรที่ยาวนานกว่า 50 ปี โดยครั้งนี้ถือเป็นการเยือน UAE ครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นับตั้งแต่จอร์จ ดับเบิลยู บุช ในปี 2008
ขณะเดียวกัน รายงานล่าสุดระบุว่า สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับ UAE ให้สามารถนำเข้า ชิป Nvidia รุ่น H100 ซึ่งเป็นชิปที่ทันสมัยที่สุด จำนวน 500,000 ชิ้นต่อปี เป็นครั้งแรก ช่วยเร่งพัฒนา Data Center ขนาดใหญ่เพื่อรองรับโมเดล AI ของประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทาริก โซโลมอน ย้ำว่า
“แม้หลายดีลอาจยังเป็นเพียงแค่คำพูด แต่การแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของภูมิภาคนี้ และหากแม้เพียงครึ่งหนึ่งของดีลเกิดขึ้นจริง ก็ถือเป็นชัยชนะที่น่าประทับใจแล้ว”
อ้างอิง: CNBC, The Economic Times
ช่วงเวลากลางปีแบบนี้ ใครที่กำลังเริ่มต้นวางแผนภาษี และกำลังมองหาทางเลือกลดหย่อนภาษีใหม่ ๆ “กองทุน Thai ESGX” อาจเป็นคำตอบ เพราะ Thai ESGX คัดเลือกหุ้นไทยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาผสมผสานไว้ในพอร์ตอย่างลงตัว แถมยังเปิดขายแค่ 2 เดือน ตั้งแต่ 2 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568 เท่านั้น
บทความนี้จะพามาหาคำตอบว่า ถ้าซื้อ Thai ESGX เท่านี้ จะช่วยประหยัดภาษีได้เท่าไร?
Thai ESGX เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทยโดยคัดเลือกจากหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ในปี 2568 ภาครัฐเปิดโอกาสให้ลงทุนในกองทุนประเภทนี้ภายใต้เงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับเงินลงทุนใหม่ โดยมีเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปกองทุน Thai ESGX เงื่อนไขพิเศษ โยก LTF เดิม ลดหย่อนภาษี 5 แสนบาท
หมายเหตุ: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมในคู่มือการลงทุนของกองทุนให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนใน Thai ESGX อาจช่วยลดภาระภาษีได้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
ลองมาดูตัวอย่าง เช่น หากคุณมีรายได้ต่อปี 660,000 บาท คุณสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุดที่ 660,000 × 30% = 198,000 บาท
จำนวนเงินที่ประหยัดภาษีได้ จะขึ้นอยู่กับฐานภาษีของคุณ ในกรณีนี้ ฐานภาษีคือ 10% จึงสามารถประหยัดภาษีได้ 198,000 × 10% = 19,800 บาท
ยิ่งคุณอยู่ในฐานภาษีสูง ยิ่งควรวางแผนให้เหมาะสมกับช่วงเวลาการลงทุนของ Thai ESGX
การวางแผนภาษีล่วงหน้า จะช่วยให้คุณใช้สิทธิได้เต็มที่โดยไม่ต้องรีบร้อนในช่วงปลายปี
Finnomena Funds คัดกองทุน Thai ESGX ที่เดียวครบจาก 19 บลจ. ชั้นนำ โอกาสการลงทุนครั้งสำคัญ พร้อมลดหย่อนภาษีเฉพาะปี 2568 ลงทุนภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้เท่านั้น
สนใจซื้อกองทุน 👉 https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESGX กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อกำหนดก่อนตัดสินใจ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลายคนคงซื้อกองทุน Thai ESG ประเภทตราสารหนี้ มาช่วยลดหย่อนภาษีกันไปบ้างแล้ว ผ่านมาครึ่งปี คงเกิดคำถามว่า “ผลตอบแทนเป็นอย่างไรบ้าง?”
บทความนี้เราจะพาไปดูว่ากองทุน Thai ESG สายตราสารหนี้ กองไหนที่ผลตอบแทนย้อนหลังน่าสนใจในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน K-ESGSI-THAIESG จาก บลจ. กสิกรไทย ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 7.13% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability – linked bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน KFGBTHAIESG-A จาก บลจ. กรุงศรี ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 7.03% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยแต่ไม่รวมถึงหุ้นกู้แปลงสภาพ หรือลงทุนในตราสารภาครัฐอื่นใด ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้หรือตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้หรือตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – linked Bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน SCBTB(THAIESGA) จาก บลจ. กรุงศรี ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 7.03% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability – linked bond) ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability – linked bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน KTESGSI-THAIESG จาก บลจ. กรุงไทย ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 6.05% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยแต่ไม่รวมถึงหุ้นกู้แปลงสภาพ ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือ หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – linked bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน KKP GB THAI ESG จาก บลจ. เกียรตินาคินภัทร ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 5.68% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ในตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน ตามที่สํานักงาน ก.ล.ต. กําหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) สามารถลงทุนหรือมีไว้ได้เช่น ตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability bond) ตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked bond)
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน B-SI-THAIESG จาก บลจ. บัวหลวง ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 5.51% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย แต่ไม่รวมถึงหุ้นกูแปลงสภาพ ซึ่งเป็นพันธบัตร หรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability-linked bond) โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน: 5.51% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุน TSITHAIESG จาก บลจ. ทิสโก้ ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนได้ 5.19% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) หรือเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – linked Bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน: 5.19% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2568)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Thai ESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Thai ESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิกเลย 👉https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ในปีภาษี 2568 นี้ ถือเป็นปีที่ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการวางแผนภาษีผ่านกองทุนส่งเสริมความยั่งยืน อย่าง “กองทุน Thai ESGX” ที่เปิดตัวใหม่พร้อมเงื่อนไขเฉพาะในปีนี้ ควบคู่กับกองทุน Thai ESG และ RMF
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าแต่ละกองทุนมีรายละเอียดและเงื่อนไขอย่างไร เพื่อช่วยให้คุณใช้สิทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดการใช้สิทธิซ้ำซ้อน และไม่พลาดโอกาสลดหย่อนภาษีที่เหมาะสมกับแต่ละคน
รวมแล้ว ผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ครบทุกประเภทและมีฐานภาษีสูง อาจได้วงเงินลดหย่อนภาษีได้รวมสูงสุดถึง 1,400,000 บาท ในปีภาษี 2568
เพื่อให้ใช้สิทธิได้ “เต็มวงเงิน” แบบไม่ทับซ้อน ต้องเข้าใจลำดับและเงื่อนไขการลดหย่อน ดังนี้
หากคุณมีฐานเงินเดือนสูงและต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนในกองทุน RMF, Thai ESG และ Thai ESGX แยกกันอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าคุณใช้สิทธิในแต่ละวงเงินได้อย่างเต็มที่
แต่หากคุณมีงบประมาณจำกัด อาจต้องพิจารณาเลือกใช้สิทธิระหว่าง Thai ESG (วงเงินปกติ) กับ Thai ESGX (วงเงิน 1 จากเงินลงทุนใหม่) เนื่องจากทั้งสองกองทุนนี้มีเกณฑ์การลดหย่อนภาษีที่เหมือนกันคือ ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท โดยการลงทุนใน Thai ESGX (วงเงิน 1) จะเป็นเงื่อนไขเฉพาะปี 2568 นี้เท่านั้น
สำหรับผู้ที่ยังคงถือหน่วยลงทุน LTF เดิมอยู่ โดยไม่มีการขาย/สับเปลี่ยน LTF ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป สามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิมที่มีทั้งหมดทุกกองทุน ทุก บลจ. เข้ากองทุน Thai ESGX ได้ เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้
หากท่านประสงค์จะใช้สิทธิในการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX กรุณาติดต่อบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่ท่านถือหน่วยลงทุนอยู่
แม้จะไม่มีข้อกำหนดแน่นอน แต่ผู้ลงทุนสามารถพิจารณาแนวทางการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีประจำปี 2568 ได้ตามลำดับความเหมาะสม ดังนี้
สมมติคุณมีรายได้ 3,000,000 บาท ต่อปี และมี LTF เดิม มูลค่า 400,000 บาท
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปกองทุน Thai ESGX เงื่อนไขพิเศษ โยก LTF เดิม ลดหย่อนภาษี 5 แสนบาท
Finnomena Funds คัดกองทุน Thai ESGX ที่เดียวครบจาก 19 บลจ. ชั้นนำ โอกาสการลงทุนครั้งสำคัญ พร้อมลดหย่อนภาษีเฉพาะปี 2568 ลงทุนภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้เท่านั้น
สนใจซื้อกองทุน 👉 https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF, Thai ESG และ Thai ESGX กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อกำหนดก่อนตัดสินใจ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
“อายุ 50 แล้ว สายไปหรือเปล่าที่จะลงทุนหุ้นต่างประเทศ?” คำถามนี้คงผุดขึ้นในใจใครหลายคนที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ บอกเลยว่า ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้น หากเรามีแผนที่ชัดเจนและเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำ
หลายคนอาจมองว่าการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นเรื่องไกลตัว ซับซ้อนเกินไป หรือเหมาะกับคนหนุ่มสาวที่มีเวลาให้เงินทำงานอีกยาวนาน แต่ความจริงแล้วหุ้นต่างประเทศอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต สำหรับผู้ที่วางแผนการเงินระยะยาวหลังเกษียณ
ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ เลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม และมีวินัยในการลงทุน การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงให้พอร์ตในระยะยาวหลังเกษียณ
ในช่วงวัยใกล้เกษียณ หลายคนเริ่มมองหาการลงทุนที่มีแนวโน้มมั่นคงและหลากหลายมากขึ้น การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจเป็นหนึ่งทางเลือก เพราะ…
ดังนั้น หากวางแผนอย่างรอบคอบ หุ้นต่างประเทศอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตในช่วงวัยเกษียณ
ก่อนจะลงมือเลือกหุ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ “เข้าใจว่าลงทุนไปเพื่ออะไร?”
ถ้าตอบคำถามพวกนี้ได้ พอร์ตของเราก็จะ “ตรงเป้า” และ เหมาะกับตัวเราจริง ๆ มากกว่าการลงทุนตามกระแส
การลงทุนต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องของการเสี่ยงโชค แต่เป็นเรื่องของการเลือกประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแรง และยังมีศักยภาพเติบโตในอนาคต
ไม่ต้องเลือกทุกประเทศ แค่เลือกให้ “สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้” ก็เพียงพอ
นักลงทุนในวัย 50 ควรหลีกเลี่ยงหุ้นเล็ก หุ้นซิ่ง หรือหุ้นที่ผันผวนสูง ให้เน้นบริษัทที่ “ธุรกิจแข็งแรง มีรายได้มั่นคง และผ่านวิกฤตใหญ่ ๆ มาได้”
หุ้นเหล่านี้อาจไม่หวือหวา แต่มั่นคงและเหมาะกับคนที่ต้องการปกป้องเงินต้นมากกว่าเร่งทำกำไร
สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มกระแสเงินสดจากพอร์ตในระยะยาว หุ้นที่มีนโยบายจ่ายปันผลอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
ปันผลอาจช่วยสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ต โดยไม่ต้องขายหุ้นออกมา
คำว่า “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” ยังคงใช้ได้ดีเสมอ โดยเฉพาะสำหรับวัยเกษียณที่มีข้อจำกัดในการสร้างรายได้ใหม่
การกระจายช่วยให้พอร์ต “ไม่เจ็บหนัก” หากมีประเทศหรืออุตสาหกรรมใดได้รับผลกระทบ
แม้หุ้นต่างประเทศจะมีโอกาสเติบโต แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าความผันผวนของค่าเงินบาทอาจกระทบผลตอบแทนได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่ามาก สำหรับใครที่กังวลเรื่องนี้ ยังมีทางเลือกคือการลงทุนผ่านกองทุนที่มีการ “Hedging” หรือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้พอร์ตของเราไม่ผันผวนไปตามค่าเงิน
การป้องกันความเสี่ยงไม่ได้แปลว่า “จะได้กำไรมากสุด” แต่ช่วยให้เรา “นอนหลับสบายขึ้น”
หลายคนลงทุนโดยไม่ทันได้ดูค่าธรรมเนียมแฝงในกองทุนหรือ ETF ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อสะสมไปหลายปีอาจส่งผลต่อผลตอบแทนรวมได้ไม่น้อย
ควรเลือกกองทุนที่มีข้อมูลชัดเจน มีประวัติการบริหารที่น่าเชื่อถือ และอย่าลืมอ่านหนังสือชี้ชวนก่อนลงทุนทุกครั้ง
ในช่วงวัย 50+ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การ “โตเร็ว” แต่คือ “โตอย่างปลอดภัย” สัดส่วนพอร์ตหุ้นของคนวัยนี้จึงควรอยู่ที่ประมาณ 40–60% ที่เหลือควรแบ่งไปยังสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น
ทุก 1–2 ปี ควร “ทบทวนพอร์ต” ว่ายังตอบโจทย์หรือตรงตามเป้าหมายอยู่หรือไม่ และปรับตามสถานการณ์ของชีวิต
การลงทุนไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และวินัยที่มั่นคง โดยเฉพาะในวัย 50+ ที่การลงทุนไม่ใช่เพื่อเสี่ยงโชค แต่เพื่อวางรากฐานให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว การมีพอร์ตที่ออกแบบให้เหมาะกับจังหวะชีวิตหลังเกษียณ อาจช่วยสร้างกระแสเงินสด และลดการพึ่งพาแหล่งรายได้อื่นในอนาคต
หุ้นต่างประเทศอาจดูไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุน และเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจระดับโลก บางบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจช่วยเสริมกระแสเงินสดให้พอร์ตในระยะยาว
ไม่ต้องรีบรู้ทุกอย่างในวันเดียว แค่เริ่มจากสิ่งที่เข้าใจ ลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคอยปรับให้เข้ากับชีวิตเรา แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พอร์ตลงทุนของเรากลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่เชื่อใจได้ในทุกช่วงของชีวิต
ถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะเลือกหุ้นยังไง ลองใช้ตัวช่วยอย่าง Definit Global Select กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศผ่าน DR ที่คัดหุ้นนอกคุณภาพมาให้ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ* ช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสจากทั่วโลกโดยไม่ต้องจับจังหวะเอง
Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก
ดูรายละเอียดคลิกเลย 👉 https://finno.me/dgs-fb-po
*บริการ Definit Global Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (“Finnomena”) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
Thai ESGX หรือ กองทุน Thai ESG Extra คือทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดหย่อนภาษี พร้อมลงทุนในหุ้นไทยที่เน้นความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือธรรมาภิบาล (ESG)
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับ Thai ESGX
ก่อนตัดสินใจลงทุนกองทุน Thai ESGX ลองมาเช็กตัวเองง่าย ๆ ด้วย Checklist 8 ข้อนี้กันก่อน ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที แต่จะช่วยคุณให้ตัดสินใจได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
1. มีรายได้ที่ต้องเสียภาษี และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนในปี 2568
การลงทุนใน Thai ESGX มีประโยชน์กับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด โดยเป็นผู้ที่มีรายได้สุทธิที่หักลบค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว มากกว่า 150,000 บาท
2. สามารถถือกองทุนไว้ได้อย่างน้อย 5 ปีเต็ม โดยไม่รีบใช้เงิน
Thai ESGX ต้องถือครองขั้นต่ำ 5 ปีเต็ม (วันชนวัน นับตั้งแต่วันที่ลงทุน) จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่สามารถถือครบตามเงื่อนไข จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ และจะต้องคืนเงินภาษีพร้อมค่าปรับ
3. สนใจลงทุนและเชื่อมั่นในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทย
Thai ESGX ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศ ผู้ลงทุนควรมีความสนใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจไทย รวมถึงยอมรับความเสี่ยงของตลาดทุนได้
4. สนใจลงทุนธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) และผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
Thai ESGX เน้นลงทุนในบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG ซึ่งสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
5. เคยลงทุน LTF หรือมี LTF ที่ต้องการสับเปลี่ยนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
สำหรับผู้ที่เคยลงทุนใน LTF และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต่อเนื่อง Thai ESGX เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ หลังสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ LTF เดิมสิ้นสุดลง ภาครัฐได้เปิดโอกาสให้ “สับเปลี่ยน” LTF ที่ถืออยู่ ไปยัง Thai ESGX เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด 500,000 บาท ในรอบใหม่ พร้อมทั้งต่อยอดการลงทุนในหุ้นกลุ่มยั่งยืนที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
6. ฐานภาษีสูง ต้องการวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม
คนที่มีรายได้มาก ต้องเสียภาษีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน การใช้ Thai ESGX มาเป็นตัวเสริม จะช่วยให้ใช้สิทธิลดหย่อนได้คุ้มค่ามากขึ้น
7. มองหาทางเลือกลงทุนต่อยอดให้เงินเติบโต พร้อมลดหย่อนภาษีไปด้วย
Thai ESGX ไม่ใช่แค่ช่วยลดหย่อนภาษี แต่ยังเปิดโอกาสให้เงินเติบโตในระยะยาวผ่านการลงทุนในบริษัทคุณภาพดี
8. วางแผนลงทุนระยะยาว และไม่มอง Thai ESGX เป็นแค่เครื่องมือลดหย่อนภาษี
การลงทุนใน Thai ESGX ควรมองเป็นการสร้างพอร์ตระยะยาวแบบยั่งยืน ไม่ใช่เพียงลดภาษีปีต่อปี เพราะยังมีความผันผวนของตลาดที่ผู้ลงทุนต้องรับมือให้ได้
อ่านเพิ่มเติม สรุปกองทุน Thai ESGX โอกาสใหม่ลดหย่อนภาษีปี 2568 ทางเลือกสับเปลี่ยนกองทุน LTF
Finnomena Funds คัดกองทุน Thai ESGX ที่เดียวครบจาก 19 บลจ. ชั้นนำ โอกาสการลงทุนครั้งสำคัญ พร้อมลดหย่อนภาษีพิเศษปี 2568 เฉพาะเดือนพฤษภาคม–มิถุนายนนี้เท่านั้น
สนใจซื้อกองทุน 👉 https://finno.me/thaiesg-hub-ws
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESGX กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299