แจ้งเตือน

ลงทุนแบบไหนให้นอนหลับสบาย? ไม่ต้องร้อนใจ ในวันตลาดพลุ่งพล่าน

Finnomena Funds

หลายคนมองว่าการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ๆ คือปัจจัยเดียวในการจัดพอร์ตการลงทุน จึงจัดพอร์ตที่สามารถปรับตัวขึ้นได้เร็วจนหลงลืมไปว่าการลงทุนมีขึ้นก็ต้องมีลง ไม่มีสินทรัพย์ไหนที่สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ตลอดทางโดยไม่แวะปรับฐาน

พอร์ตการลงทุนที่ขึ้นเร็วบ่อยครั้งมักมาจากความเสี่ยงที่สูง เช่น อัดการลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังเติบโตในอุตสาหกรรมหรือประเทศเดียวเพื่อหวังผลตอบแทนเต็ม Max แต่พอถึงจังหวะลง พอร์ตแบบนี้ก็จะปรับตัวลงอย่างรุนแรง เพราะไม่มีสินทรัพย์อื่น ๆ มาเฉลี่ยความเสียหายที่เกิดขึ้น

การจัดพอร์ตแบบนี้อาจทำให้นักลงทุนนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ไม่สบายใจในต้นทุนที่ใส่เข้าไปในพอร์ต ดังนั้นแล้ว การจัดพอร์ตที่มองแค่ผลตอบแทนก็อาจจะไม่พอ

นักลงทุนจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยง หรือ Risk Management ให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองด้วย

พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws

2 แนวคิดเบื้องต้น ช่วยประเมินความเสี่ยงพอร์ต

1. Volatility (ความผันผวน)

ความผันผวนคือการวัดว่า ราคาของสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงมากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอาจให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน 

การเลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนในระดับที่ยอมรับได้ สอดรับกับนิสัย ไลฟ์สไตล์ และความจำเป็นด้านการเงิน จะช่วยให้นักลงทุนสามารถนอนหลับได้สบายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้ตื่นมาพอร์ตจะร่วงไปเท่าไหร่

2. Maximum Drawdown (การขาดทุนสูงสุด)

Maximum Drawdown คือการวัดการขาดทุนสูงสุดจากจุดสูงสุดไปจุดต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง การพิจารณา Maximum Drawdown ของสินทรัพย์หรือกลยุทธ์การลงทุนจะช่วยให้เข้าใจว่า ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด เราอาจสูญเสียเงินลงทุนได้มากแค่ไหน ซึ่งถ้าสูงไปก็ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนให้มีความเสี่ยงที่ต่ำลง

ถ้าดูทั้ง Volatility และ Maximum Drawdown แล้วเห็นว่าพอร์ตของเรากำลังเสี่ยงไป รู้สึกว่าผลขาดทุนที่ (อาจ) เจอนั้นเกินกว่าที่เรารับไหว … ตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยให้ความเสี่ยงในการลงทุนของเราลดลงได้คือ การกระจายการลงทุน หรือ Asset Allocation นั่นเอง

จัดการความเสี่ยงด้วย Asset Allocation

ในโลกการลงทุนมีภาษิตอมตะอยู่คำนึงคือ …

อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว

เวลาตะกร้าใบนึงร่วง เราก็ยังมีไข่ที่เหลือเอาไว้กินอยู่

นี่คือคำอธิบายของ Asset Allocation ได้เห็นภาพที่สุด ไม่อยากลงทุนแล้วเห็นพอร์ตติดลบหนัก ๆ ก็อย่าใส่ทุนไว้ในสินทรัพย์เดียว 

  • ในระยะสั้น ถ้าสินทรัพย์นึงลง ก็อาจมีตัวอื่นปรับขึ้นมาเฉลี่ยความเสียหายเอาไว้
  • ในระยะยาว แม้สินทรัพย์จะสลับกันขึ้นบางช่วง แต่พอมองยาว ๆ ถ้าเลือกสินทรัพย์มาดีพอ ทุกตัวก็อาจปรับตัวขึ้นเหมือนกันหมด

 

สิ่งที่สำคัญของ Asset Allocation ต้องเลือกสินทรัพย์ที่ขึ้นลงไม่พร้อมกันมากนัก หรือมี Correlation ต่อกันต่ำ ซึ่งจะช่วยการันตีในระดับนึงว่าเมื่อกระจายการลงทุนแล้วสินทรัพย์แต่ละตัวจะสลับ ๆ กันขึ้นลง ไม่ใช่พากันลงไปพร้อม ๆ กัน

  • เช่น ตลาดเกิดใหม่อาจสัมพันธ์กับสหรัฐฯ สูง เพราะสหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่
  • แต่จีนกับสหรัฐฯ อาจจะขึ้นลงไม่พร้อมกัน เพราะทั้ง 2 พยายามลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของกันและกัน
  • หรือ ทองมักจะขึ้นยามสงคราม ต่างจากหุ้นที่มักจะดิ่ง

 

หลักการหลัก ๆ ของ Asset Allocation คือการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย พื่อรักษาเสถียรภาพของพอร์ตโดยรวม เช่น การลงทุนในหุ้น พันธบัตร ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

สรุป

การลงทุนแบบนอนหลับสบายไม่ได้หมายถึงการลงทุนแบบปลอดความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง เพราะเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่เราสามารถลงทุนภายใต้ความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ โดยไม่ทำให้คุณต้องกังวลจนนอนไม่หลับ 

การจะออกแบบพอร์ตให้สมดุลได้ นักลงทุนต้องใส่ใจกับ Volatility และ Max Drawdown รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ผ่านการทำ Asset Allocation ที่จะช่วยสร้างโอกาสผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมๆ กับการรักษาความสงบในจิตใจ

AWS ทางเลือกการลงทุนแบบ Asset Allocation ชั้นยอด

หากใครอยากมีพอร์ตการลงทุนระดับท็อป กระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล มีผู้เชี่ยวชาญดูแลให้ เราขอแนะนำพอร์ต All Weather Strategy (AWS) โดยพอร์ตมีการวิเคราะห์หลากหลายปัจจัย และกระจายการลงทุนอย่างสมดุล

และที่สำคัญ ยังได้คุณ Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับ 1 ของประเทศไทย เข้ามาดูแลพอร์ต สำหรับใครที่อยากลงทุนแบบนอนหลับสบาย นี่คือพอร์ตการลงทุนที่ตอบโจทย์อย่างยิ่ง!

จุดเด่นพอร์ต All Weather Strategy

  • ใช้ FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วย Fundamental (พื้นฐานของสินทรัพย์), Valuation (มูลค่าของสินทรัพย์), Momentum (โมเมนตัมของสินทรัพย์) และ Risk (ความเสี่ยง)
  • กระจายการลงทุนไปทั่วโลก ไม่จำกัดเพียงแค่ในประเทศไทย
  • มีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยลดความผันผวน พร้อมเฟ้นหาโอกาสลงทุนใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป เพื่อเสริมศักยภาพของพอร์ตในระยะยาว
  • มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากหุ้น พร้อมบริหารความเสี่ยงเพื่อช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในช่วงตลาดพักฐาน
  • ใช้หลักการวิเคราะห์ทั้งเชิงประมาณ (Quantitative) ที่ใช้สูตรและโมเดลทางคณิตศาสตร์ และเชิงคุณภาพ (Qualitative) ที่ใช้ประสบการณ์และความรู้ของทีมงาน เพื่อให้ได้พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด
  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้

ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena

สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/

**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

ปรับพอร์ต Dynamic Contrarian Portfolio: โอกาสลงทุนในหุ้น EV และ Commodities

Jet - The Contrarian Investor
Dynamic Contrarian Portfolio: โอกาสลงทุนในหุ้น EV และ Commodities

พอร์ตการลงทุนย่อ-ซื้อ ขึ้น-ขาย สไตล์ FundTalk The Contrarian แนะนำปรับพอร์ตเข้าซื้อกองทุน SCBEV(A) และกองทุน SCBCOMP รับโอกาสจากนโยบาย Anti-Involution ของจีน

Dynamic Contrarian Portfolio: โอกาสลงทุนในหุ้น EV และ Commodities

สนใจลงทุน Dynamic Contrarian Model Portfolio
คลิกเลย


การค้นหาคำว่า Anti-Involution ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 18/07/2025

ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกในปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้นจีน ซึ่งนโยบายจากรัฐบาลจีนมีผลต่อหุ้นจีนในทุกอุตสาหกรรม โดยล่าสุดรัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายที่มุ่งเน้นการต่อต้านการแข่งขันที่รุนแรงเกินไป (Price Wars), ลดกำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) และส่งเสริมการควบควมกิจการ (Consolidation) ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เป็นคำว่า Anti-Involution และคำดังกล่าวถูกค้นหาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

แคมเปญ Anti-Involution ก่อให้เกิดแรงหนุนเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากเป็นการปรับสมดุลระหว่างอุปทาน-อุปสงค์ ของเศรษฐกิจในประเทศจีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทเอกชนในจีนเน้นการตัดราคาสินค้าแข่งกันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด ส่งผลให้ถึงแม้จะมียอดขายเพิ่มขึ้น แต่กำไรกลับไม่เติบโตตาม นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาการผลิตที่มากเกินไป (Overcapacity) ซึ่งเกิดจากความต้องการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด โดยในการประกาศนโยบายครั้งนี้ รัฐบาลจีนได้มุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรม New Energy Vehicle (NEV) เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการแข่งขันที่รุนแรงเกินไป

ทำให้ FundTalk มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นใน Supply Chain ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเฉพาะหุ้นในประเทศจีน ซึ่งน่าจะได้แรงหนุนเชิงบวกจากนโยบายดังกล่าว

แนะนำเพิ่มสัดส่วนหุ้นกลุ่ม EV

กองทุน KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF (KARS)
Source: Finnomena Funds, KraneShares as of 18/07/2025

FundTalk แนะนำเพิ่มสัดส่วนหุ้นกลุ่ม EV ในพอร์ต Dynamic Contrarian Portfolio (DCM) โดยลงทุนในกองทุน SCBEV(A) ซึ่งมีกองทุนหลักเป็นกองทุน KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF (KARS) ลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน Supply Chain ของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งบริษัทผู้ผลิตแร่ธาตุที่จำเป็น เช่นลิเธียม, บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่, บริษัทผู้ผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้า, บริษัทผู้ทำสถานีชาร์จรถไฟฟ้า และอื่น ๆ โดยมีการลงทุนในหุ้นจีนคิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของพอร์ต FundTalk คาดว่ากองทุนดังกล่าวน่าจะได้รับแรงหนุนเชิงบวกจากปัจจัยที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้

แนะนำลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์

FundTalk ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมสินค้าโภคภัณฑ์ จากความต้องการโลหะในอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งทองแดง อลูมิเนียม ประกอบกับการขึ้นภาษีโลหะกลุ่มนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ช่วยดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มโลหะอุตสาหกรรมขึ้นได้อีก โดยแนะนำลงทุนผ่านกองทุน SCBCOMP ซึ่งมีกองทุนหลักเป็น PIMCO Commodity Real Return Fund กองทุนหลักลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลาย ทั้งน้ำมัน โลหะมีค่า โลหะอุตสาหกรรม โดยมีการบริหารพอร์ตลงทุนแบบ Active และสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี Bloomberg Commodity Index อย่างต่อเนื่อง


สรุปคำแนะนำปรับพอร์ต Dynamic Contrarian Model Portfolio วันที่ 18 กรกฎาคม 2025

  • หุ้นอุตสาหกรรม EV SCBEV(A) สัดส่วน 15%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ SCBCOMP สัดส่วน 10%
  • ตราสารหนี้โลก KT-BOND สัดส่วน 20%
  • หุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A สัดส่วน 15%
  • หุ้นโลกผันผวนต่ำ 20% K-GPINUH-A(A) สัดส่วน 20%
  • RIETs สหรัฐฯ TUSREIT สัดส่วน 20%

 

สนใจลงทุน Dynamic Contrarian Model Portfolio
คลิกเลย

จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน


ปรับพอร์ตอัตโนมัติ Automatic Allocation

อย่าลืมเปิดฟังก์ชันปรับพอร์ตอัตโนมัติ! Automatic Allocation ช่วยบริหารพอร์ตตามสภาวะตลาด สะดวก ใช้งานง่าย ให้คุณปรับสมดุลพอร์ตอยู่ในสถานะที่เหมาะสมอยู่เสมอ

สามารถเปิดใช้ Automatic Allocation ได้แล้ววันนี้ที่พอร์ตการลงทุนของคุณ หรือดูวิธีการได้ที่ Finnomena Funds Automatic Allocation


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Finnomena 2025 Mid-Year Outlook: Harnessing Volatility with Unconventional Assets ปรับกลยุทธ์รับมือกับความผันผวน ด้วยสินทรัพย์นอกกรอบ

Finnomena Funds
Mid-Year Finnomena Investment outlook

สรุปกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลัง 2025 Mid-Year Outlook แนะนำกลยุทธ์สร้างผลตอบแทนในตลาด Sideway ด้วยสินทรัพย์นอกกรอบ (Alternative Assets) กระจายการลงทุนที่หลากหลาย พร้อมใช้กลยุทธ์ Call Option เสริมผลตอบแทนจาก Premium Income และเตรียมสภาพคล่องบางส่วนเพื่อเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเมื่อตลาดปรับฐาน 

Finnomena 2025 Mid-Year Outlook

Executive Summary 

ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

  • ผลกระทบจากนโยบายภาษี (Tariff) จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาชะลอตัว (แต่ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย) ขณะที่เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และตลาดแรงงานอ่อนแรงลงเพื่อเข้าสู่ดุลยภาพ
  • แรงหนุนเศรษฐกิจจากการลดดอกเบี้ยของ Fed ลดลง แต่หากเกิดความไม่แน่นอนอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ Fed ยังพร้อมเข้าช่วยเหลือ
  • ในระยะยาวเรามองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจจากการเติบโตของกำไรที่สูง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการใช้งานด้าน AI มากขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนของธุรกิจ
  • ในระยะสั้นความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ร่างกฏหมาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ความไม่แน่นอนของนโยบายของทรัมป์ และการเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed
  • ด้าน Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างตึงตัว บ่งชี้ถึง Downside Risk ในระยะสั้น
  • เราจึงปรับมุมมองหุ้นสหรัฐฯ สู่ Slightly Negative จาก Slightly Positive โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนสร้างผลตอบแทนในตลาดผันผวน หรือ Sideways อย่าง Multi Asset กองทุน ES-GAINCOME-A ซึ่งเน้นลงทุนการกระจายไปในหลายสินทรัพย์ทั่วโลกที่สร้างกระแสเงินสดสูง และกองทุน K-GPINUH-A(A) ซึ่งลงทุนในหุ้น Defensive ที่มีการจ่ายเงินปันผล พร้อมใช้กลยุทธ์ขาย Call Option เพื่อเสริมผลตอบแทนจาก Premium Income เพิ่มเติม 
  • นอกจากนี้ เราแนะนำเตรียมสภาพคล่องบางส่วนเพื่อเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเมื่อตลาดปรับฐาน 

ตลาดหุ้นยุโรป

  • ปรับมุมมองหุ้นยุโรปสู่ Neutral จาก Slightly Positive ตามทิศทางตลาดหุ้นโลกที่เผชิญกับความไม่แน่นอน แม้แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปจะทยอยฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และ ECB กำลังเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของวัฏจักรการลดดอกเบี้ย
  • อย่างไรก็ดี ตลาดยุโรปยังคงมีจุดเด่นจากระดับ Shareholder Yield ที่สูงกว่าสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านอัตราการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืน
  • ขณะที่ด้าน Valuation ยังมีข้อจำกัดในการ Re-rate ขึ้น เนื่องจากการเติบโตของกำไรในตลาดยุโรปยังอยู่ในระดับต่ำ และมีสัดส่วนหุ้นเติบโต (Growth stocks) ที่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

  • เราคงมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น แม้จะมีปัจจัยบวกหลายด้าน โดยเฉพาะการปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กร (Corporate Governance Reform) ที่ยังคงเป็นจุดเด่นสำคัญ พร้อมแรงกดดันจาก Activist Investors ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทญี่ปุ่นเร่งปรับปรุงธรรมาภิบาลอย่างจริงจัง ภายใต้บทบาทนำของ TSE ซึ่งในครึ่งปีแรกของปี 2025 มีบริษัทถูกถอดออกจากตลาด (Delist) แล้วถึง 59 แห่ง
  • อีกหนึ่งแรงหนุนคือมูลค่าการทำ Share Buyback ในปี 2025 (ณ วันที่ 23 มิ.ย.) ซึ่งสูงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งปี 2024 ไปแล้ว สะท้อนความพยายามสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อ
  • แม้อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นยังเกินกรอบเป้าหมาย แต่ BOJ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งในการขึ้นดอกเบี้ยและการลด QE ขณะที่ความกังวลเรื่อง Unwind Yen Carry Trade ดูจะคลี่คลายลงแล้ว
  • อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะความไม่แน่นอนด้านการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ การรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับจีน และการพึ่งพาด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ

ตลาดหุ้น Emerging Market

  • เรามีมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาดหุ้น EM ex China เนื่องจากยังคงมีความน่าสนใจและได้ประโยชน์จากผลของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงประมาณการกำไรยังถูกปรับขึ้น
  • นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินสกุลเอเชียที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และบางสกุลเงินที่สำคัญอย่างเช่น KRW และ INR ยังไม่ Overvalue และมีโอกาสแข็งค่าต่อ
  • แนะนำทยอยสะสมกองทุน TEMXCH

ตลาดหุ้นจีน

  • เราคงมุมมอง Slightly Positive หุ้นจีน H-shares  และคงมุมมอง Neutral หุ้นจีน A-shares
  • นโยบายของรัฐบาลจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยเน้นสนับสนุนภาคธุรกิจเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่รัฐบาลเน้นรักษาเสถียรภาพด้านราคา มากกว่าการอัดฉีดขนาดใหญ่
  • ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาอสังหาฯ ที่เคยกดดันตลาดหุ้นจีนดูเหมือนจะผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว โดยอ้างอิงจากบทเรียนของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
  • ชอบหุ้นจีน H-shares มากกว่า โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จากการเติบโตของกำไรหุ้นเทคโนโลยีจีนขนาดใหญ่ที่น่าสนใจกว่า จากปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว และได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นบริโภค รวมถึงกฏระเบียบที่ผ่อนคลายลงจะช่วยให้เพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น
  • ขณะที่หุ้นจีน A-Shares ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Old Economy และการเติบโตไม่โดดเด่น
  • ด้าน Valuation หุ้นจีน H-Shares แพงกว่าในอดีต แต่มาจากโครงสร้างตลาดหุ้นที่มีน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น
  • แนะนำทยอยสะสมกองทุน MEGA10CHINA-A

ตลาดหุ้นอินเดีย

  • เราปรับมุมมองตลาดหุ้นอินเดียสู่ Slightly Positive จาก Positive หลังตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทำให้ Valuation สูงขึ้น
  • แนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาวยังเติบโตแกร่งกว่าประเทศ EM อื่น ๆ ขณะที่ภาครัฐบาลและธนาคารกลางใช้นโยบายเศรษฐกิจที่สอดคล้องกันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านการเติบโตของสินเชื่อธนาคารแม้ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมาแต่เริ่มเห็นถึงการฟื้นตัว หลังธนาคารกลางอินเดียลดดอกเบี้ย 0.50%
  • ถึงแม้ว่าด้าน Valuation ของตลาดหุ้นแพง แต่ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นหลัก ๆ หนุนมาจากการเติบโตของกำไร
  • แนะนำทยอยสะสมกองทุน TISCOINA-A และ B-BHARATA

ตลาดหุ้นเกาหลีใต้

  • ปรับมุมมองตลาดหุ้นเกาหลีใต้สู่ Neutral จาก Slightly Positive หลังประธานาธิบดีคนใหม่มีเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันตลาดหุ้นสู่ 5,000 จุด และการปฏิรูป Corporate Governance 2.0 อย่างจริงจัง
  • แต่ตลาดหุ้นเกาหลีได้รับการ Re-Rating หรือปรับ Valuation ขึ้นด้วยสาเหตุข้างต้นไปมากแล้ว ซึ่ง Valuation ปรับตัวเพิ่ม (Re-rating) ขึ้นมาราว 20% จากช่วงต้นปี และปัจจุบัน Forward PE ซื้อขายที่ 10.4x ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะยาว
  • หากเทียบกรณีศึกษาจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่ได้มีการผลักดัน Corporate Governance Reform จะพบว่าตลาดหุ้นมีการ Re-rating ขึ้ันมาประมาณ 15-20% และปัจจุบันซื้อขายที่ Forward PE 14.8x เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะยาวเช่นเดียวกับตลาดหุ้นเกาหลี ณ ปัจจุบัน

ตลาดหุ้นไทย

  • เราคงมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาดหุ้นไทย ทิศทางเศรษฐกิจผสมผสานแต่ละกลุ่ม ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนหลักอ่อนแอลง การบริโภคมีแนวโน้มซบเซาจากโครงการเงินหมื่นถูกเลื่อนออกไป
  • แต่ภาคการส่งออกขยายตัวเร่งขึ้น จากการ Front load นำเข้าสินค้าของประเทศคู่ค้า จากความกังวลเรื่องการขึ้น Tariff
  • ความผันผวนทางการเมืองในประเทศกดดันต่อความเชื่อมั่นตลาดหุุ้น
  • ส่งผลให้ Valuation ตลาดหุ้นอยู่ในระดับถูกมาก และการเติบโตของกำไรตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำ แต่ระดับ Dividend yield อยู่ในระดับที่น่าสนใจมาก
  • แนะนำทยอยสะสมกองทุน TISCOHD-A ซึ่งเน้นลงทุนหุ้นไทยปันผลสูง

ตลาดหุ้นเวียดนาม

  • เราคงมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาดหุ้นเวียดนาม การเติบโตของสินเชื่อยังโตต่อเนื่อง ส่งผลให้การผลิตและการค้าปลีกแข็งแกร่ง FDI ยังไหลเข้าต่อเนื่อง ขณะที่ Fund flow จากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเวียดนาม
  • ตลาดหลักทรัพย์เวียดนามเริ่มใช้ระบบ KRX แล้ว หลังจากพัฒนามานานกว่า 10 ปี ถือเป็นก้าวเปลี่ยนผ่านสำคัญของเวียดนามในการยกระดับตลาด จาก Frontier Market ไปสู่ Emerging Market
  • เราแนะนำทยอยสะสม PRINCIPAL VNEQ-A และ KKP VGF-UI*  (*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน)

ตราสารหนี้โลก

  • เคงมุมมอง Positive ต่อตราสารหนี้โลก โดย Bond Yield สหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกอยู่ในช่วงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวจะช่วยหนุนให้ Bond Yield เริ่มมีเสถียรภาพ เราชอบพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดีเนื่องจาก Credit spread ยังอยู่ในระดับที่แคบ
  • โดยแนะนำกองทุน K-GDBOND-A(A)

น้ำมันดิบ

  • ยังคงมุมมอง Slightly Negative ต่อน้ำมัน เนื่องจากตลาดน้ำมันยังเผชิญกับสภาวะอุปทานส่วนเกินโดยเฉพาะการเพิ่มกำลังการผลิตจากฝั่งสหรัฐฯ ขณะที่ความขัดแย้งในตะวันออกกลางเรามองเป็นปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น

ทองคำ

  • เราปรับมุมมองทองคำขึ้นสู่ Slightly Positive จาก Neutral เนื่องจากทองคำยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางกลุ่มประเทศ BRICS และยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ 
  • แนะนำทยอยสะสมกองทุน KT-GOLDUH-A และกองทุน K-GOLD-A(A)

ดาวน์โหลดฟรี! 

“สไลด์มุมมองการลงทุน ครึ่งปีหลัง 2025”

จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน


คำเตือนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

รีวิวกองทุน MPEQS-UI-G เก็บเกี่ยวโอกาสในหุ้นก่อนเข้าตลาด ผ่านพอร์ตลงทุน Private Equity Secondaries

Finnomena Funds
รีวิวกองทุน MPEQS-UI-G

สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) เปิดโอกาสการลงทุนใน Private Equity Secondaries กับกองทุน MPEQS-UI* เป้าหมายสร้างผลตอบแทนระยะยาว พร้อมกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน โดยการเข้าถึงบริษัทนอกตลาดที่กระจายในหลากหลายอุตสาหกรรมและภูมิภาค ซึ่งทนทานต่อสภาวะขาลงได้ดี

MPEQS-UI-G หรือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ เซคันดารีส์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ชนิดทั่วไป

*กองทุนนี้เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) เท่านั้น | กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน | กองทุนนี้ไม่ถูกจํากัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไปจึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนระดับสูงได้เท่ํานั้น | ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

MPEQS-UI-G หรือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ เซคันดารีส์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ชนิดทั่วไป มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก Franklin Lexington PE Secondaries Fund (FLEX Feeder-I) ชนิดหน่วยลงทุน Class I ACC ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV บริหารโดย Franklin Templeton และ Lexington Partners ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนระดับโลกที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี และเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนตลาดรองใน Private Equity สำหรับนักลงทุนสถาบัน โดยมีขนาดกองทุนติด Top 3 ของโลกในประเภท Private Equity Secondaries

รูปแบบการลงทุนของ MPEQS-UI-G จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึง Private Equity หรือหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลาย และมักเป็นการเข้าไปลงทุนในช่วงตั้งต้นกิจการ (Venture Capital) ลงทุนในช่วงที่บริษัทเติบโต (Growth Capital) หรือแม้แต่การร่วมทุนโดยการเข้าซื้อกิจการในช่วงบริษัทที่มีกระแสเงินสดมั่นคง (Buyout) เป็นต้น

กองทุนจะเน้นเข้าซื้อในตลาด Secondaries คือ การเข้าลงทุนในตลาดรองต่อจากผู้ลงทุนรายอื่น ซึ่งมีความจำเป็นต้องขาย Private Equity ออกมาด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น อาจต้องการสภาพคล่อง หรือต้องการขายเงินลงทุนก่อนสิ้นสุดอายุโครงการ จึงทำให้เข้าถึงพอร์ตที่มีอยู่แล้วและสามารถเห็นพอร์ตโฟลิโอที่แท้จริงได้ก่อนตัดสินใจลงทุน

หากสนใจโอกาสการลงทุนสุดพิเศษนี้ สามารถติดต่อผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติม

หรือเริ่มต้นก้าวแรกด้วยผู้แนะนำการลงทุนที่เข้าใจคุณผ่าน Wealth Together บริการที่ให้คุณมีผู้แนะนำการลงทุนจาก Finnomena Funds คอยดูแลแบบใกล้ชิด ตั้งแต่คำแนะนำการลงทุน จนถึงการปรับกลยุทธ์ และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

ลงทะเบียนรับบริการคลิก


ทำไมต้อง Private Equity Secondaries

ทำไมต้อง Private Equity Secondaries

Source: MFC as of July 2025

Private Equity เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความผันผวนต่ำกว่าตลาดหุ้น แต่ให้ผลตอบแทนที่ดี จึงเหมาะสำหรับการลงทุนในภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูง และยังสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม

ทำไมต้อง Private Equity Secondaries

Source: MFC as of July 2025

และในช่วงที่ผ่านมา Private Equity ประเภท Secondaries ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรับมือกับภาวะตลาดขาลงได้ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น ในช่วงหลังวิกฤตโควิด ซึ่งตลาดมีความผันผวนสูงมาก ดัชนี S&P 500 เคยปรับตัวลงลึกถึง -24% ขณะที่ Private Equity โดยรวมลดลงประมาณ -9% แต่ Private Equity Secondaries กลับปรับตัวลงเพียง -3% เท่านั้น สะท้อนถึงความทนทานของกลยุทธ์การลงทุนในตลาดรอง

พอร์ตการลงทุนของกองทุนหลัก

พอร์ตการลงทุนของกองทุนหลัก MPEQS-UI-G

Source: MFC as of July 2025

สำหรับกลยุทธ์ของกองทุนหลัก มุ่งเน้นการลงทุนในตลาดรอง (Secondaries) โดยมักเข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาส่วนลด และการลงทุนในตลาดรองยังมีข้อได้เปรียบด้านข้อมูล เนื่องจากเป็นการลงทุนในกองทุนที่มีอยู่แล้ว ทำให้สามารถเห็นพอร์ตโฟลิโอที่แท้จริงก่อนตัดสินใจลงทุน 

กองทุนยังมีสัดส่วนของการร่วมลงทุน (Co-Investments) กับบริษัทจัดการลงทุนคุณภาพสูง ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพการสร้างผลตอบแทนผ่านการสร้างมูลค่าธุรกิจระยะยาว พร้อมกระจายการลงทุนผ่าน Private Equity มากกว่า 100 กองทุนทั่วโลก โดยมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐอเมริกา 87% และยุโรป 13% ครอบคลุมหลากหลายกลุ่ม 

ทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูง

ทีมผู้จัดการกองทุน MPEQS-UI-G

Source: MFC as of July 2025

กองทุน Franklin Lexington PE Secondaries บริหารโดยทีมงานมากประสบการณ์ นำโดย Wilson Warren ซึ่งอยู่กับ Lexington Partners มากกว่า 30 ปี ร่วมกับผู้จัดการกองทุนคนอื่น เช่น Clark Peterson และ Taylor Robinson ที่มีประสบการณ์ 18 และ 17 ปีตามลำดับ โดยอายุงานเฉลี่ยของ Partner อยู่ที่ 19 ปี สะท้อนถึงเสถียรภาพของทีมลงทุน ซึ่งมีความต่อเนื่องและความเข้าใจลึกซึ้งในตลาด Private Equity Secondaries  

Source: MFC as of July 2025

ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ Lexington Partners ในการบริหารกองทุน Closed-End Secondaries ของ Lexington Partners สามารถสร้างผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ยในระดับที่ดี โดยมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนสุทธิ (Net IRR) อยู่ที่ 15.9% และอัตราทวีมูลค่าการลงทุนสุทธิ (Net Multiple) อยู่ที่ 1.5 เท่า สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าและการคัดเลือกสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปจุดเด่นกองทุน MPEQS-UI-G

  1. กระจายการลงทุน: มีการกระจายการลงทุนในหลากหลายบริษัท อุตสาหกรรม ภูมิภาค รวมถึงช่วงเวลาการลงทุนที่แตกต่างกัน (Vintage Years) ช่วยให้พอร์ตมีความหลากหลายมากขึ้น สามารถรับมือกับภาวะตลาดขาลงได้ดีกว่ากองทุนที่เน้นลงทุนในช่วงเวลาเดียวกัน เหมาะสมการลงทุนในสภาวะตลาดผันผวน นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดรองยังมีข้อได้เปรียบด้านข้อมูล เนื่องจากเป็นการลงทุนในกองทุนที่มีอยู่แล้ว ทำให้เห็นพอร์ตโฟลิโอที่แท้จริงก่อนตัดสินใจลงทุน อีกทั้งกองทุนยังมีการเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่องสำหรับการไถ่ถอนที่อาจเกิดขึ้น ช่วยเสริมความยืดหยุ่นให้กับนักลงทุน 
  2. การลดความเสี่ยงจากผลกระทบของ J-Curve: การลงทุนใน Private Equity Secondaries ช่วยลดความเสี่ยงจากผลกระทบของ J-Curve ซึ่งมักเกิดขึ้นกับการลงทุนในสินทรัพย์ตลาดแรก (Primary Private Equity) ที่โดยทั่วไปแล้วจะเผชิญความเสี่ยงช่วงเริ่มต้นที่รายได้และผลตอบแทนยังติดลบ แต่การลงทุนในสินทรัพย์ตลาดรองซึ่งอยู่ในช่วงใกล้เริ่มรับรู้ผลตอบแทน ทำให้สามารถลดระยะเวลาการรอคอยและผลกระทบจาก J-Curve ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  3. Lexington Partners ผู้บุกเบิกตลาดรองใน Private Equity: สำหรับกลุ่มนักลงทุนสถาบันมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว จึงมีทีมงานที่มีประสบการณ์ และปัจจุบันยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาด Private Equity Secondaries โดยมีขนาดกองทุนรวมอยู่ในกลุ่ม Top 3 ของโลกในหมวดหมู่นี้ 
  4. กองทุน MPEQS-UI-G เป็นกองทุน Semi-liquid: ซึ่งสามารถซื้อได้รายเดือนและขายได้รายไตรมาส แตกต่างจากกองทุน Private Equity (PE) ทั่วไปที่ส่วนใหญ่จะล็อกเงินลงทุนไว้นานหลายปี ทำให้นักลงทุนมีสภาพคล่องและบริหารจัดการเงินลงทุนได้ดียิ่งขึ้น

 

รายละเอียดอื่น ๆ ของกองทุน MPEQS-UI-G

MPEQS-UI-G หรือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ เซคันดารีส์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ชนิดทั่วไป

สามารถติดต่อผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพื่อขอรับรายละเอียดการลงทุน และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT


แหล่งข้อมูล: MFC Asset Management

กองทุนนี้เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) เท่านั้น | กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน | กองทุนนี้ไม่ถูกจํากัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไปจึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนระดับสูงได้เท่ํานั้น | ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | กองทุน UI จะเสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น โดยกองทุนประเภทนี้เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน และไม่ถูกจำกัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนได้ในระดับสูงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

10 DR หุ้นนอก ผลตอบแทนโดดเด่นในพอร์ต Definit Global Select (DGS)

Definit
10 DR หุ้นนอก ผลตอบแทนโดดเด่น

Definit Global Select (DGS) คือกลยุทธ์ลงทุนหุ้นต่างประเทศคุณภาพดี ด้วยการจัดพอร์ต DR ไม่เกิน 10 ตัวในสัดส่วนที่เท่ากัน คัดเลือกจากปัจจัยพื้นฐานในหุ้นที่ถูกปรับเพิ่มประมาณการกำไร และมีโมเมนตัมราคาเชิงบวก สนใจลงทุนคลิกเลย

สำหรับเดือนมิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา พบว่าหุ้นในพอร์ตส่วนใหญ่สามารถทำผลตอบแทนเป็นบวก นำโดย Xiaomi และ Pop Mart ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.64% และ 10.68% ตามลำดับ

10 DR หุ้นนอก ผลตอบแทนโดดเด่น

สรุปผลตอบแทน DR ในพอร์ต DGS เดือนมิถุนายน 2025

1. XIAOMI80 – Xiaomi

ปรับเพิ่มขึ้น +13.64% ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ IoT สัญชาติจีน ซึ่งมีจุดเด่นด้านผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจร เน้นกลยุทธ์ราคาคุ้มค่า จนขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของโลก

2. POPMART80 – Pop Mart

ปรับเพิ่มขึ้น +10.68% บริษัทจีนผู้ผลิตและจำหน่ายของสะสม Art Toy ด้วยการชูโมเดลธุรกิจแบบ Blind Box หรือกล่องสุ่มที่สามารถจุดกระแสในกลุ่มวัยรุ่นและคนรักของสะสม

3. NFLX80 – Netflix

ปรับเพิ่มขึ้น +8.00% แพลตฟอร์มสตรีมมิงวิดีโออันดับหนึ่งระดับโลก เติบโตจากรายได้หลักของการสมัครสมาชิก (Subscription)

4. MSFT80 – Microsoft

ปรับเพิ่มขึ้น +7.24% บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีรายได้หลักจากซอฟต์แวร์ (Windows, Office) ระบบ Cloud (Azure), AI และ Gaming (Xbox)

5. AVG080 – Broadcom

ปรับเพิ่มขึ้น +6.67% ผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์และโซลูชันสำหรับการสื่อสารแบบไร้สาย, Data Center และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

6. NETEASE80 – NetEase

ปรับเพิ่มขึ้น +5.36% บริษัทผู้พัฒนาเกมออนไลน์และบริการอินเทอร์เน็ตจากจีน โดยมีรายได้หลักจากเกมมือถือและ PC

7. MWG19 – Mobile World

ปรับเพิ่มขึ้น +4.43% ค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่แห่งเวียดนาม

8. BKNG80 – Booking Holdings

ปรับเพิ่มขึ้น +4.05% แพลตฟอร์มจองที่พัก โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน (Booking.com, Agoda) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

9. TENCENT80 – Tencent

ปรับลดลง -2.35% ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากจีน โดยมีรายได้จากเกมออนไลน์, โซเชียลมีเดีย (WeChat) และการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก

10. BYDCOM80 – BYD

ปรับลดลง -10.64% ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ครองตลาดเป็นอันดับหนึ่งในประเทศจีน

หมายเหตุ: ข้อมูลจาก Definit, Bloomberg Period return 4 Jun (actual rebalancing date) – 30 Jun 2025

Definit Global Select (DGS) ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก ช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสในตลาดหุ้นทั่วโลก ด้วยการคัดสรรหุ้นนอกคุณภาพ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ ไม่ต้องจับจังหวะลงทุนเอง
สนใจลงทุน คลิกเลย


คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com

ยา–ชิปไม่รอด ทรัมป์เตรียมเก็บภาษีสูงสุด 200% เริ่มสิ้นเดือนนี้

Finnomena
ภาษี ยา ชิป

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าสหรัฐฯ เตรียมเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มยาและเซมิคอนดักเตอร์ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม โดยจะเริ่มจากอัตราต่ำ และค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปีถัดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนย้ายฐานการผลิตกลับมายังประเทศ ซึ่งในอนาคตอัตราภาษีอาจสูงถึง 200%

พร้อมกันนี้ สหรัฐฯ ยังจะเริ่มใช้ “ภาษีตอบโต้” กับสินค้านำเข้าหลายรายการในวันที่ 1 สิงหาคม ตามแนวทาง “America First” ที่มุ่งส่งเสริมการผลิตภายในและลดการพึ่งพาต่างประเทศ โดยตั้งเป้าให้อัตราภาษีสะท้อนความเป็นธรรมในการค้าระหว่างประเทศ

มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลต่อต้นทุนของบริษัทข้ามชาติที่มีสายการผลิตในต่างแดน เช่น Pfizer, Merck, Apple และ Samsung ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้เริ่มเจรจากับหลายประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษี โดยกรณีของอินโดนีเซียเป็นตัวอย่างที่เห็นผลชัดเจน หลังจากสามารถตกลง ลดอัตราจาก 32% เหลือ 19% โดยแลกกับการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 19,000 ล้านดอลลาร์

แม้จะเปิดรับการเจรจา แต่ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันว่าพร้อมเดินหน้ากำหนดภาษีฝ่ายเดียว หากการพูดคุยไม่คืบหน้า โดยประเทศที่ไม่ได้รับเงื่อนไขพิเศษอาจเผชิญอัตราภาษีทั่วไปที่มากกว่า 10% และยังมีแนวโน้มจะขยายมาตรการไปยังคู่ค้าที่มีความเชื่อมโยงกับรัสเซีย หากสถานการณ์ในยูเครนยังไม่เปลี่ยนแปลง

ท่าทีล่าสุดของทรัมป์สะท้อนแนวทางที่เน้นใช้นโยบายการค้าขับเคลื่อนความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้จะเพิ่มอำนาจต่อรองของสหรัฐฯ แต่ก็อาจสร้างแรงกดดันใหม่ต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และเพิ่มความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในระยะถัดไป


อ้างอิง: Bloomberg

 

หุ้นเวียดนามขึ้นไม่หยุด แต่กองทุนไปสะดุดตรงไหน !?

Finnomena Funds
หุ้นเวียดนามขึ้นไม่หยุด

ตลาดหุ้นเวียดนามกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งดัชนี VN30 และ VN-Index ต่างทำจุดสูงสุดในรอบ 3 ปี โดย VN30 พุ่งขึ้นกว่า 25% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ VN-Index ปรับขึ้น 19% 

อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ซึ่งลงทุนในหุ้นเวียดนามกลับโตเพียง +1.79% เท่านั้น ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่า “ดัชนีขึ้นแรง แต่ทำไมกองทุนไม่ขึ้นตาม?”

เหตุผลหลักที่ทำให้กองทุนสะดุด

ค่าเงินเวียดนามอ่อน

Source: Finnomena Funds,Macrobond, Data as of 14/07/2025

1. ค่าเงินดองอ่อนค่า 

ค่าเงินดอง (VND) ที่อ่อนค่าต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนไป 2.8% และอ่อนค่าหนักถึง 8% เมื่อเทียบกับเงินบาทไทย การอ่อนค่านี้ส่งผลโดยตรงให้มูลค่าการลงทุนเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาทลดลง แม้ในสกุลเงินดองจะบวกก็ตาม

PRINCIPAL VNEQ-A

Source: Finnomena Funds, Bloomberg, Data as of 14/07/2025

ในช่วงที่ค่าเงินดองแข็งค่า กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีและมีแนวโน้มชนะดัชนีหลักของตลาดหุ้นเวียดนามอย่าง VN30, VN-Index และ MSCI Vietnam 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ค่าเงินดองอ่อนค่าลง ผลตอบแทนของกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A กลับฟื้นตัวได้ช้ากว่าเมื่อเทียบกับดัชนี สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบโดยตรงจากค่าเงินที่อ่อนลง

2. การเลือกหุ้น (Stock Selective)

Vingroup (VIC)

Source: Finnomena Funds,Macrobond, Data as of 14/07/2025

การปรับขึ้นของตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงครึ่งปีแรกนั้น เป็นการปรับขึ้นแบบ “กระจุกตัว” โดยกว่า 90% ของการเพิ่มขึ้นราว 100 จุดของดัชนี VN-Index มาจากหุ้นกลุ่ม Vingroup (VIC) เพียงไม่กี่ตัว ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่และมีอิทธิพลต่อตลาดสูง โดยเฉพาะหุ้น Vingroup (VIC) ซึ่งเป็นหุ้นใหญ่อันดับ 1 ในตลาดเวียดนาม ปรับขึ้นไปเกือบ 82%

รายชื่อหุ้นและน้ำหนักในดัชนี VN30

Source: Finnomena Funds, LSEG, MSCI, Dragon Capital, Data as of 14/07/2025

*รายชื่อหุ้นและน้ำหนักในดัชนี VN30 อ้างอิงจาก VN30 ETF ของ Dragon Capital

เมื่อดูองค์ประกอบของดัชนี FTSE Vietnam, MSCI Vietnam และ VN30 จะพบว่าหุ้นของกลุ่ม VinGroup ครองน้ำหนักสูงสุดในทั้งสามดัชนี นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามในครึ่งปีแรกของปี 2025 ปรับขึ้นแรง แต่กระจุกตัวในหุ้นไม่กี่ตัว

การที่กองทุนบางกองไม่ถือหุ้นในกลุ่ม VinGroup จึงอาจทำให้ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ตามดัชนีอย่างที่ควร แต่ในระยะยาว การเลือกหุ้นโดยดูจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง กระจายความเสี่ยง และระมัดระวังต่อความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ยังเป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับหลักการลงทุนที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ Principal Fund ได้ให้เหตุผลที่กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ไม่ได้ลงทุนในหุ้น Vingroup เนื่องจากหุ้นดังกล่าวไม่ผ่านเกณฑ์ด้านฐานะทางการเงิน ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์สำคัญที่ใช้ในการคัดเลือกหลักทรัพย์เข้าพอร์ตการลงทุน (Investment Universe)

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในภาพรวม ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีโมเมนตัมเชิงบวกที่น่าสนใจหลายประการ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวได้

ส่งออกยังแรง แซงทุกประเทศ

เวียดนาม ส่งออก

Source: Finnomena Funds,Macrobond, Data as of 14/07/2025

จากกราฟอัตราการเติบโตของการส่งออกแบบค่าเฉลี่ย 6 เดือน เราจะเห็นได้ชัดว่า เวียดนามมีแนวโน้มการฟื้นตัวของการส่งออกที่โดดเด่นกว่าเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย หรือไทย โดยเฉพาะในช่วงกลางปี 2025 ที่เวียดนามมีการเติบโตสูงถึงกว่า 16% YoY สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ได้ประโยชน์จาก Tariff ที่ต่ำ

Tariff เวียดนาม

Source: Finnomena Funds, npr, Bloomberg Data as of 14/07/2025

ในขณะที่หลายประเทศถูกสหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้า เวียดนามกลับได้รับการปฏิบัติที่ค่อนข้างดี โดยมีอัตราภาษีที่ลดลงจาก 46% เหลือเพียง 20% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามยังไม่ได้ยอมรับข้อตกลงนี้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากก่อนหน้านี้เวียดนามได้เสนออัตราภาษีที่ต่ำกว่านี้ แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับเพิ่มอัตราภาษีในช่วงสุดท้ายของการประชุม จึงมีความเป็นไปได้ที่อัตราภาษีที่เวียดนามจะได้รับนั้นอาจต่ำกว่า 20%

FDI ยังไหลเข้า แม้โลกผันผวน

เวียดนาม FDI

Source: Finnomena Funds,Macrobond, Data as of 14/07/2025

FDI (Foreign Direct Investment) หรือเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาจริงในเวียดนาม ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงโควิดจะมีชะลอบ้าง แต่หลังจากปี 2022 เป็นต้นมาการฟื้นตัวเป็นไปอย่างมั่นคง โดยเฉพาะปี 2023 ที่มีการเติบโตเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง

ดัชนียังไม่แพง เมื่อเทียบกับกำไร

P/E ตลาดหุ้นเวียดนาม

Source: Finnomena Funds, Bloomberg, Data as of 14/07/2025

แม้ว่าดัชนี VN30 จะปรับตัวขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2025 แต่เมื่อดูในมิติของ Valuation แล้ว ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล โดยค่า P/E ของ VN30 ล่าสุดอยู่ที่ราว 10.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 15 เท่า (ปัจจุบัน P/E ของ SET Index อยู่ที่ประมาณ 15.5 เท่า)

นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ EPS ปีถัดไปที่เติบโตต่อเนื่อง หมายความว่าการขึ้นของราคาหุ้นเกิดจากปัจจัยพื้นฐานมากกว่าความคาดหวังเกินจริง

สรุปมุมมองตลาดหุ้นเวียดนาม

เวียดนามเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่าคู่แข่งหลายราย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นเวียดนามตอบรับเชิงบวกอย่างโดดเด่น

ขณะที่ภาคการส่งออกของเวียดนามยังคงเติบโตแข็งแกร่ง เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของประเทศ

ประกอบกับมีพัฒนาการสำคัญคือการเปิดใช้งานระบบ KRX ที่เวียดนามทุ่มเทพัฒนามานานกว่าทศวรรษ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับโครงสร้างตลาดทุน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนผ่านจาก “ตลาดชายขอบ (Frontier Market)” ไปสู่ “ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)”

และถึงแม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามจะปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่ระดับ Valuation โดยรวมยังคงสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต

“Finnomena Funds จึงคงมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาดหุ้นเวียดนาม และแนะนำสะสมกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A

  • PRINCIPAL VNEQ-A เป็นกองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี เหมาะกับการสะสมในระยะยาว เพราะมีโอกาสจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริงจากสงครามการค้า จากการเร่งให้เกิด China+1 ย้ายฐานผลิตออกจากจีน และเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันจากอัตรา Tariff ที่โดนน้อยกว่าคู่แข่ง

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Nvidia จะกลับมาขายชิป H20 ให้จีน จุดพลิกเกม AI เซมิคอนดักเตอร์

Finnomena
Nvidia จะกลับมาขายชิป H20 ให้จีน

Nvidia เปิดเผยผ่านเว็บไซต์บริษัทว่า กำลังจะกลับมาขายชิป H20 ในประเทศจีนอีกครั้ง หลังได้รับการยืนยันจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาว่าจะอนุมัติให้ขายได้

ข่าวนี้ออกมาท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดูเหมือนจะดีขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งมีข้อตกลงภาษีนำเข้าต่อกันในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

หาก Nvidia สามารถขายชิป H20 ให้จีนได้ ถือเป็นข่าวดีทั้งต่อรายได้ของบริษัทเอง และยังส่งผลบวกต่อห่วงโซ่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์สำหรับ AI โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีจีนที่กำลังพัฒนาขีดความสามารถด้าน AI

H20 เป็นชิปที่ Nvidia ออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่องานด้านปัญญาประดิษฐ์ และเป็นรุ่นพิเศษสำหรับตลาดจีน ด้วยการลดทอนประสิทธิภาพบางอย่างลงไป แต่ก็มีบริษัทชั้นนำจำนวนมากที่ซื้อชิป H20 เช่น Tencent, Baidu, Alibaba และ DeepSeek

Finnomrna Funds มีมุมมอง Slightly Positive หุ้นจีน H-Shares ขนาดใหญ่ แนะนำทยอยสะสมกองทุน MEGA10CHINA-A

  • รัฐบาลจีนอยู่ในช่วงประเมินผลกระทบจาก Tariff และเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว มีโอกาสใช้มาตรการกระตุ้นใน 2H25
  • ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ฟื้นตัว แต่ความกังวลปัญหาต่าง ๆ ต่อตลาดหุ้นน่าจะผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้ว
  • เราชอบหุ้นจีน H-Shares มากกว่า A-Shares โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จากการเติบโตของกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว และได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นบริโภค รวมถึงกฏระเบียบที่ผ่อนคลายลงจะช่วยให้เพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากขึ้
  • Valuation หุ้นจีน H-Shares แพงกว่าในอดีต ซึ่งมาจากโครงสร้างตลาดหุ้นที่มีน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น แลกกับโอกาสการเติบโตของประมาณการกำไรในอนาคต

Source: Investing

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

ภาษี e-Payment เงินโอนเข้าบัญชีกี่ครั้ง สรรพากรถึงจะตรวจสอบ?

Finspace
ภาษี e-Payment เงินโอนเข้าบัญชีกี่ครั้ง สรรพากรถึงจะตรวจสอบ?

ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือคนทำธุรกิจ ที่มีเงินโอนเข้าบัญชีอยู่บ่อยครั้ง หากเข้าเกณฑ์ของกฎหมาย e-Payment ธนาคารมีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลรายงานกับกรมสรรพากร โดยเริ่มนับยอดเงินเข้าธนาคาร ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. ของทุกปี ดังนี้

  1. มีการฝากหรือรับโอนเงิน 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปี ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะเท่าไหร่ก็ตาม (นับรวมทุกบัญชีของแต่ละธนาคารนั้นๆ)
  2. มีการฝากหรือรับโอนเงิน 400 ครั้งขึ้นไปต่อปีและมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาท ขึ้นไป

 

ตัวอย่าง

  • เงินเข้า 500 ครั้ง ยอดเงิน 1.5 ล้านบาท = ไม่ถูกส่งข้อมูล
  • เงินเข้า 200 ครั้ง ยอดเงิน 10 ล้านบาท = ไม่ถูกส่งข้อมูล
  • เงินเข้า 4,000 ครั้ง ยอดเงิน 1 แสนบาท = ถูกส่งข้อมูล

 

ภาษี e-Payment เงินโอนเข้าบัญชีกี่ครั้ง สรรพากรถึงจะตรวจสอบ?

ซึ่งกฎหมายนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด และไม่ได้ทำให้เราต้องเสียภาษีเพิ่ม หากว่าเรามีการยื่นภาษีและเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้วครับ

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid0ywpcrVC1Cchs9cjhubqznggE6n7Q2YtRB7LJph6eS8eWQr1AeDGBnmfvN7trqNG4l

สรุปกองทุนแนะนำ: ค้นหาโอกาสครั้งใหม่ สินทรัพย์ดาวเด่นในครึ่งหลัง 2025 [อัปเดต 15 ก.ค. 2025]

Finnomena Funds
สรุปกองทุนแนะนำ อัปเดต 15 ก.ค. 2025

รู้จักกับ 9 กองทุนตัวท็อป รับกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลัง 2025 ในช่วงที่ตลาดยังคงเต็มไปด้วยความผันผวน เมื่อผลกระทบของ Reciprocal Tariffs และนโยบาย Trump เริ่มเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น

Highlight

 

สรุปกองทุนแนะนำ อัปเดต 15 ก.ค. 2025

อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2025 โดย Finnomena Funds

ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena


มุมมองการลงทุน

ภาวะตลาดการลงทุนในขณะนี้อยู่ในจุดที่ค่อนข้างคลุมเครือจากผลกระทบของ Tariffs ที่สหรัฐอเมริกาส่งจดหมายถึงประเทศคู่ค้าถึงอัตราภาษีใหม่ และเตรียมจะบังคับใช้จริง 1 สิงหาคมนี้ สะท้อนท่าทีของ Trump ที่ดูเอาจริงเอาจังเรื่องการเก็บภาษี ซึ่งล่าสุดส่งผลให้ดัชนีความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าเริ่มพุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกันการจัดเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ก็พุ่งสูงขึ้นทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และทําให้งบประมาณเกินดุลถึง 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน 2025 

ดัชนีความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้า

เราจึงเชื่อว่าในระยะสั้นมีโอกาสสูงที่ Tariffs จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกให้ชะลอการเติบโต ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอาจเกิดความผันผวนที่รุนแรง แนะนำปรับกลยุทธ์ลดความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากความผันผวน Sideway

แต่อย่างไรก็ดี ในระยะยาวตลาดหุ้นยังมีความน่าสนใจจากการเติบโตของกำไรที่สูง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการใช้งานด้าน AI มากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากร่างกฎหมายของรัฐบาล Trump ทั้ง One Big Beautiful Bill ที่หนุนธุรกิจในอเมริกัน และ GENIUS Act ที่ส่งเสริมการเติบโตของ Stablecoin


กองทุนแนะนำ Mr.Messenger Call “จับจังหวะขาขึ้น”

คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม

1.) ASP-DIGIBLOC (ความเสี่ยงระดับ 6)

กองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน เกิดสัญญาณซื้อ Buy Signal ราคาปรับตัวเหนือระดับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทุกเส้น พร้อมทำ Pattern Higher High นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนสำคัญจากการที่วุฒิสภาสหรัฐฯ เดินหน้าผ่านร่างกฏหมายหนุน Stablecoin โดยมีแนวโน้มที่เงิน Fiat จะถูกแลกเปลี่ยนเข้า Cryptocurrency มากขึ้น ขณะที่ราคา BTC ทะยานทำ All-Time High ต่อเนื่อง

2.) ABAGS (ความเสี่ยงระดับ 6)

กองทุนหุ้นอเมริกาขนาดเล็กในดัชนี Russell 2000 ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่ Laggard และเหลือ Upside ประมาณ 7-8% อีกทั้งมีสัญญาณทางเทคนิคที่เป็นบวก พร้อมปัจจัยหนุนเรื่อง One Big Beautiful Bill กับ Tariffs ที่ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กในอเมริกาได้รับประโยชน์ 

3.) ABGFIX-A (ความเสี่ยงระดับ 4)

กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ สำหรับเป้าหมายการเก็งกำไรระยะสั้น โดยมองสัญญาณทางเทคนิคของ Dollar Index สามารถกลับมาแข็งค่าได้ในระยะสั้น ยืนเหนือ 97.5 จุดได้สำเร็จ

สนใจลงทุนตาม Mr.Messnger Call คลิกเลย


กองทุนแนะนำ FundTalk Call “ย่อซื้อ ขึ้นขาย”

คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล

1.) K-GPINUH-A(A) (ความเสี่ยงระดับ 6)

กองทุนหุ้นโลกสาย Defensive และมีรายได้ Premium จากการขาย Call Options ในช่วงตลาดขาลง ซึ่งเหมาะกับจังหวะในการสลับจากหุ้นกลุ่ม Growth ไปยังกลุ่มหุ้นตั้งรับ เช่น Health Care, Consumer Staples, Utility ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัว

2.) KT-BOND (ความเสี่ยงระดับ 4)

กองทุนตราสารหนี้โลกอายุยาว ลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Global Bond Fund ที่อ้างอิงดัชนี Bloomberg Global Aggregate (USD Hedged) Index ปัจจุบันมี Yield to Maturity คาดการณ์ที่ 6.46% และเน้นลงทุนในตราสารหนี้อายุยาวประมาณ 7 ปี โดยเป็นช่วงเวลาที่แนะนำให้เพิ่มสัดส่วน Global Bond เสริมความปลอดภัย เน้นสร้างกระแสเงินสด พร้อมรับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย

3.) TUSREIT (ความเสี่ยงระดับ 8)

กองทุนในกลุ่ม REITs สหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Vanguard Real Estate ETF ที่เน้นลงทุนในกลุ่ม Data Center, Healthcare, Retail ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มักวิ่งสวนทางกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้หลังจากนี้ REITs สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นได้ตามแนวโน้ม Bond Yield ที่ลดลง

สนใจลงทุนตาม FundTalk Call คลิกเลย


กองทุนแนะนำ MEVT Call “ซื้อถือยาว”

คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical 

1.) ES-GAINCOME-A (ความเสี่ยงระดับ 5)

กองทุนผสมที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Global Multi-Asset Allocation) อาทิ หุ้น, Equity Linked-note, ตราสารหนี้ และ Catastrophe Bond ตลอดจนมีการป้องกันความเสี่ยงขาลง (Hedging) เหมาะกับการลงทุนเพื่อหาประโยชน์จากความผันผวนจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์ปัจจุบัน

2.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)

กองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี เหมาะกับการสะสมในระยะยาว เพราะมีโอกาสจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริงจากสงครามการค้า จากการเร่งให้เกิด China+1 ย้ายฐานผลิตออกจากจีน และเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันจากอัตรา Tariff ที่โดนน้อยกว่าคู่แข่ง

3.) B-BHARATA (ความเสี่ยงระดับ 6)

กองทุนหุ้นอินเดียเติบโตแกร่ง เป็นตลาดที่สามารถเก็บสะสมได้ในระยะยาว หนุนโดยโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น พร้อมด้วย Sentiment จากธีม China+1

สนใจลงทุนตาม MEVT Call คลิกเลย


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

หุ้นโลก (all time) Hi หุ้นไทย (long time) Lo

Dr.Niwes Hemvachiravarakorn
หุ้นโลก (all time) Hi หุ้นไทย (long time) Lo
หุ้นโลก ซึ่งดัชนีหลัก ๆ ก็คือ S&P500 Nasdaq และดัชนี Dow Jones ต่างก็ปรับตัวขึ้นจน “สูงสุดในประวัติศาสตร์” หรือใกล้จุดสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว และก็เช่นเดียวกับหุ้นในหลาย ๆ ตลาดที่นักลงทุนติดตามกันเช่น ญี่ปุ่นหรือแม้แต่จีนฮ่องกงเอง ที่อดีตเคยซบเซาเงียบเหงามานาน ในระยะเร็ว ๆ นี้ ดัชนีหุ้นก็วิ่งขึ้นเร็วสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สร้างโอกาสที่แตกต่างใน Unconventional Assets สินทรัพย์นอกกรอบ ช่วยลดความผันผวน

Finnomena Funds
รีวิวกองทุน UI

รีวิวกองทุน UI ASP-LEGACY-UI และ MSF-UI เข้าถึงโอกาสการลงทุนสุดพิเศษใน Hedge Fund ระดับโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างท่ามกลางสภาวะตลาดอันผันผวน

รีวิวกองทุน UI

อยากหาโอกาสกับตลาดที่ผันผวน การลงทุนใน Unconventional Assets ซึ่งเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่อยู่นอกเหนือตลาดปกติ ถือเป็นกลยุทธ์ที่สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นตัวช่วยสำหรับจัดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง จากการมีค่า Correlation ที่ต่ำ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาด อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสสู่การลงทุนที่หาไม่ได้กับสินทรัพย์ทั่วไป

สร้างโอกาสที่แตกต่างใน Unconventional Assets

Source: Russell Investment as of 23/05/2022 

จุดเด่นสำคัญของ “สินทรัพย์นอกตลาด” คือ โอกาสสร้างผลตอบแทนสูง แต่ความผันผวนต่ำ ซึ่งเป็น Risk Premium ที่แลกกับสภาพคล่องที่ต่ำ แต่ก็ถือเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่นของ Unconventional Assets ซึ่งเกิดจาก

  1. กลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่นสูง 
  2. เปิดกว้างในโอกาสทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง (Long-Short) 
  3. มีการกระจายความเสี่ยงที่แตกต่างจากสินทรัพย์ทั่วไปในตลาด 

 

ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์รูปแบบนี้ผ่าน กองทุน UI หรือกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra Accredited Investor Mutual Fund) ที่มีนโยบายการลงทุนใน Alternative Asset ประเภทต่าง ๆ เช่น Hedge Fund, Private Equity, Private Credit, Life Settlement, Litigation Finance เป็นต้น

กองทุน UI เป็นกองทุนสำหรับผู้ลงทุนกลุ่ม Ultra High Net Worth ตามนิยามของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่มีสินทรัพย์ตามจำนวนขั้นต่ำและมีความรู้หรือประสบการณ์

– นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ: Ultra High Net Worth คืออะไร? อ่านต่อที่ www.finnomena.com/z-admin/who-are-uhnw

รู้จัก Hedge Fund ระดับโลก

Hedge Fund เป็นหนึ่งของประเภทกองทุน UI ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีอิสระในการบริหารจัดการ ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด เน้นการทำ Absolute Return คือพยายามทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง ผ่านกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย เช่น Short Selling, Leverage, Arbitrage รวมถึงการลงทุน Alternative Assets เป็นต้น 

โดยเราได้รวบรวม Hedge Fund จาก 5 ค่ายที่มีมูลค่า AUM มากที่สุดในโลกมาฝาก ซึ่งจาก 2 ใน 5  Hedge Fund ดังกล่าว พร้อมเปิดให้นักลงทุนกลุ่ม Ultra High Net Worth บนแพลตฟอร์ม Finnomena เข้าถึงโอกาสการลงทุนได้ผ่านกองทุน UI ได้แก่ ASP-LEGACY-UI* และ MSF-UI*

*กองทุนนี้เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) เท่านั้น | กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน | กองทุนนี้ไม่ถูกจํากัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไปจึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนระดับสูงได้เท่ํานั้น | ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน 

Source: Asset Plus Fund Management as of 25/06/2025


รีวิวกองทุน ASP-LEGACY-UI จากตำนาน Quant Hedge Fund

กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เลกาซี่ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ ASP-LEGACY-UI เป็น Feeder Fund ที่มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Wellspring GBL Fund Class B Shares โดยจะเข้าไปลงทุนในกองทุนอ้างอิงอีกทอดหนึ่ง คือ Renaissance Institutional Equities Fund (RIEF) บริหารจัดการโดย Renaissance Technologies ต้นแบบของ Quantitative Hedge Fund ระดับโลกที่ใช้ตราสารอนุพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์

จุดเด่นกองทุน ASP-LEGACY-UI

  1. เข้าถึงโอกาสการลงทุนใน Quant Hedge Fund ระดับตำนานของ James Simons ผู้วางรากฐานแนวคิด Quantitative Investment จนเป็นรู้จักในวงกว้าง
  2. มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ที่ดีทุกสภาวะตลาด โดยลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ใช้กลยุทธ์เปิดสถานะ Long (ขาขึ้น) และ Short (ขาลง)
  3. สามารถหลบความผันผวนในช่วงที่ตลาดขาลง ซึ่งที่ผ่านมากองทุน RIEF มีผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) ที่ดีกว่า S&P500 และ MSCI World เวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 

 

สรุปแล้วกองทุน ASP-LEGACY-UI เหมาะกับผู้ลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนสไตล์ Active ค้นหาหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนชนะตลาด ชื่นชอบกลยุทธ์ Quant ที่เน้น Long/Short Equity และไม่อยากพลาดโอกาสเข้าถึง Hedge Fund ระดับโลกที่เข้าถึงได้ยาก

สามารถติดต่อผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.finnomena.com/fund/ASP-LEGACY-UI


รีวิวกองทุน MSF-UI สาย Market Neutral ลดความผันผวนอย่างเป็นระบบ

รีวิวกองทุน MSF-UI สาย Market Neutral ลดความผันผวนอย่างเป็นระบบ

กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มัลติ สตราทีจี ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ MSF-UI เป็น Feeder Fund ที่มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก AQR Apex UCITS Fund ซึ่งกระจายการลงทุนในตราสารทางการเงินหลากหลายชนิด (Multi-Strategy) เช่น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเน้นกลยุทธ์ที่มีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ (Lowly Correlated) 

จุดเด่นกองทุน MSF-UI 

  1. ลดความผันผวนด้วยเป้าหมาย Market Neutral (Beta=0) คือไม่มีความสัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม
  2. ลงทุนอย่างเป็นระบบ (Systematic Investing) โดยอิงทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี ข้อมูล และการเงินเชิงพฤติกรรม
  3. ขาดทุนเพียง 2 ใน 20 ไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนผลตอบแทนกลยุทธ์หลักเฉลี่ยที่ 19% ต่อปี แต่ความผันผวนต่ำกว่าหุ้นมาก พร้อมมีสภาพคล่องรายวัน

 

สรุปแล้วกองทุน MSF-UI เหมาะกับผู้ลงทุนที่เน้นความผันผวนต่ำ อยากจำกัดโอกาสในการขาดทุน โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูงแบบนี้ 

สามารถติดต่อผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.finnomena.com/fund/MSF-UI

เปรียบเทียบกองทุน UI ระหว่าง ASP-LEGACY-UI กับ MSF-UI

เปรียบเทียบกองทุน UI ระหว่าง ASP-LEGACY-UI กับ MSF-UI

หากสนใจโอกาสการลงทุนสุดพิเศษนี้ สามารถติดต่อผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือเริ่มต้นก้าวแรกด้วยผู้แนะนำการลงทุนที่เข้าใจคุณผ่าน Wealth Together บริการที่ให้คุณมีผู้แนะนำการลงทุนจาก Finnomena Funds คอยดูแลแบบใกล้ชิด ตั้งแต่คำแนะนำพอร์ตกองทุนรวม หุ้น ตราสารหนี้ จนถึงการปรับกลยุทธ์และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

ลงทะเบียนรับบริการคลิก https://finno.me/wtg-ws


แหล่งข้อมูล: Asset Plus Fund Management, MFC Asset Management

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | กองทุน UI จะเสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น โดยกองทุนประเภทนี้เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน และไม่ถูกจำกัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนได้ในระดับสูงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด

Finnomena Funds

Finnomena Insight

Weekly Market Insight

ประจำสัปดาห์ 14 – 18 กรกฎาคม 2025

พิเศษ! สำหรับสมาชิก Finnomena

This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้

Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน

ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”

อเมริกาเก็บภาษีนำเข้าทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

Finnomena
อเมริกาเก็บภาษีนำเข้าทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

มิถุนายน 2025 สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีนำเข้าพุ่งขึ้น 4 เท่าตัว หนุนยอดรวมปีนี้ทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หรือว่า Reciprocal Tariffs คือแหล่งรายได้ใหม่ เพื่อล้างหนี้ก้อนโต !?

อเมริกาเก็บภาษีนำเข้าทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

กระทรวงการคลังสหรัฐ รายงานว่า งบประมาณประจำเดือนมิถุนายนจากการจัดเก็บอากรศุลกากร (Customs Duties) หรือภาษีนำเข้า เพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว และทำให้งบประมาณเกินดุลอย่างเหนือความคาดหมายถึง 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน 2025

โดยรายได้จากภาษีนำเข้าสุทธิ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2025 (ตุลาคม 2024 – มิถุนายน 2025) เท่ากับ 1.08 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ (Reciprocal Tariff) ที่พยายามผลักดันภาษีนำเข้าให้กลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งปัจจุบันภาษีนำเข้าเป็นรายได้ที่ใหญ่อันดับ 4 รองมาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรม หัก ณ ที่จ่าย, ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายื่นชำระเอง และภาษีเงินได้นิติบุคคล

Reciprocal Tariff จะเริ่มแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังวันที่ 1 สิงหาคมนี้ จากการปรับอัตราภาษีระดับสูงจากหลายประเทศ และคาดว่ากระทรวงการคลังสหรัฐอาจเก็บภาษีเพิ่มได้อีกเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์


Source: Reuters

เวียดนามยังไม่พอใจดีลภาษีอเมริกา 20% ต้องการอัตรา 10-15% แต่ Trump ทำเซอร์ไพรส์เพิ่มนาทีสุดท้าย

Finnomena
เวียดนามยังไม่โอเคกับดีลภาษีอเมริกา

แหล่งข่าว Bloomberg เปิดเผยว่าผู้นำเวียดนาม ยังไม่พอใจกับดีลภาษีนำเข้าอเมริกา เพราะตอนแรกตกลงกันไว้ที่ 10-15% เท่านั้น แต่ Donald Trump มาเพิ่มตัวเลขเป็น 20% ในนาทีสุดท้าย !

กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องจับตา เมื่อล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลเวียดนามยังไม่ยอมรับข้อตกลงอัตราภาษีใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งสหรัฐอเมริกาประกาศออกมาที่ 20% ผ่าน Trust Social ของ Trump เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2025

ข้อความดังกล่าวระบุว่าสินค้าส่งออกจากเวียดนามต้องถูกเก็บภาษี 20% ลดลงมากจากอัตราเดิม 46% ที่ประกาศไว้ในเดือนเม.ย. ส่วนสินค้าที่ถูกส่งผ่านมาจากประเทศอื่นจะถูกเก็บภาษี 40% ขณะที่เวียดนามจะเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ โดยลดภาษีนำเข้าเป็น 0%

แหล่งข่าวระบุอีกว่าผู้นำเวียดนามรู้สึกประหลาดใจกับข้อความของ Trump พร้อมได้สั่งให้ทีมเจรจาเดินหน้าต่อรองลดอัตราภาษีลงทันที ซึ่งอัตราที่พวกเขายอมรับได้อยู่ในช่วง 10-15% เท่านั้น

นอกจากนี้ สื่อในเวียดนามก็แทบไม่มีการพูดถึงเรื่องภาษี 20% กับสหรัฐฯ เลยด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามยังไม่ให้ความเห็นจากการสอบถามของ Bloomberg ในประเด็นนี้

เวียดนาม ยังไม่โอเคกับดีลภาษีอเมริกา

เวียดนามถือเป็นประเทศผู้ส่งออกสำคัญที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 3 ของโลก และในเดือนม.ค. – เม.ย. 2025 ได้ส่งสินค้าเข้าไปขายในสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนถึง 4.5% จากการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณการเติบโตทางการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกันเวียดนามก็ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของจีน ทำให้พวกเขาอยู่ระหว่างการพยายามประคับประคองความสัมพันธ์กับทั้งคู่ เนื่องจากฝั่งสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามควบคุมสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนที่เปลี่ยนฉลากเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

อย่างไรก็ดี ตลอดช่วงสัปดาห์นี้ดัชนีหุ้นเวียดนามพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี จากการที่นักลงทุนต่างชาติตีความว่าภาษี 20% ถือเป็นข้อตกลงที่ยอดเยี่ยมแล้วสำหรับเวียดนาม


Source: Bloomberg

รีวิว ASP-DIGIBLOC ไขรหัสอนาคต ปลดล็อกโอกาสลงทุนในนวัตกรรมบล็อกเชน

Finnomena Funds
ASP-DIGIBLOC

Highlight


เคยคิดเล่น ๆ ไหมว่า ถ้าเรามีโอกาสย้อนเวลากลับไปในยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มต้น เราจะลงทุนอะไร? ในยุคนั้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นเคยอย่าง Google, Amazon หรือ Microsoft กำลังเริ่มต้นจากศูนย์ และใครที่จะมองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างง่ายดาย

จำได้ไหมว่าครั้งหนึ่งอินเทอร์เน็ตเคยเป็นเทคโนโลยีที่ดูลึกลับและเข้าถึงยาก? วันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว บล็อกเชนก็กำลังก้าวตามรอยอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น และยังมีศักยภาพที่จะปฏิวัติระบบเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมของเราในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโอกาสในการลงทุนของบล็อกเชน และทำความเข้าใจถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่น่าจับตามองที่สุดในยุคนี้

บล็อกเชน: เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอนาคต

บล็อกเชน คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ โดยข้อมูลแต่ละชิ้นจะถูกบันทึกใน “บล็อก” และบล็อกเหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงกันเป็น “เชน” ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูงและตรวจสอบย้อนกลับได้ยาก เนื่องจากการแก้ไขข้อมูลในบล็อกเชนต้องได้รับการยืนยันจากสมาชิกในเครือข่ายทั้งหมด

ทำไมโลกถึงต้องการบล็อกเชน?

  • ความโปร่งใส: ทุกคนในเครือข่ายสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ ทำให้มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ
  • ความปลอดภัย: ข้อมูลถูกกระจายไปยังหลาย ๆ เครื่อง ทำให้การเจาะระบบและแก้ไขข้อมูลเป็นเรื่องยาก
  • ตรวจสอบย้อนกลับได้: สามารถตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมได้อย่างละเอียด ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ
  • ลดต้นทุน: ลดการพึ่งพาตัวกลาง ทำให้ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม


บล็อกเชนแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

ในอดีต ระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์มักประสบปัญหาเรื่องความซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูง และการขาดความโปร่งใส บล็อกเชนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยเฉพาะในด้านการเงิน ธุรกรรม และการจัดการเอกสาร

ทำไมบล็อกเชนถึงน่าลงทุนตอนนี้?

คาดการณ์ขนาดตลาดบล็อกเชนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2022 – 2032 | ที่มา: market.us | ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2024

นึกถึงตอนที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเป็นที่นิยม ทุกคนต่างตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ แต่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนโลกได้มากขนาดไหน 

บล็อกเชนเองก็เช่นกัน มันไม่ใช่แค่เทคโนโลยีธรรมดา แต่คือโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกดิจิทัล เหมือนกับที่อินเทอร์เน็ตเคยทำมาแล้วในช่วงปี 2000 เรียกได้ว่าบล็อกเชนคือเส้นทางสายไหม (Silk Road) ในโลกไซเบอร์ที่จะเชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกันอย่างปลอดภัยและโปร่งใส

ตอนนี้บล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เหมือนกับอินเทอร์เน็ตในยุค Y2K ที่หลายคนยังสงสัยว่ามันจะไปรอดหรือไม่? จะเป็นแค่ของเล่นสำหรับสาย IT หรือเปล่า? แต่เราก็รู้กันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับอินเทอร์เน็ตหลังจากช่วงปี 2000 เป็นต้นมา

นี่คือโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล เพราะในอนาคตเรามีโอกาสได้เห็นการเติบโตแบบพุ่งทะยานของเทคโนโลยีบล็อกเชน เหมือนกับที่เราเคยเห็นบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

กฎหมายใหม่ GENIUS Act

ร่างกฎหมาย GENIUS Act ในสหรัฐฯ ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยหนุนตลาดคริปโต โดยเฉพาะ Stablecoin ให้ก้าวสู่การยอมรับในวงกว้างยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมาการขาดกฎหมายกำกับดูแลที่ชัดเจน ทำให้หลายบริษัทดำเนินงานแบบกึ่งเทากึ่งขาว นักลงทุนก็ไม่มั่นใจ กลุ่มสถาบันการเงินใหญ่ก็ไม่กล้าเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ GENIUS Act จึงถูกเสนอขึ้น เพื่อสร้าง “กฎพื้นฐาน” สำหรับ Stablecoin ที่จะทำให้ระบบมีเสถียรภาพ ปลอดภัย และน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยไม่ปิดกั้นการเติบโตของเทคโนโลยี

เนื้อหาหลักของกฎหมายนี้ ได้แก่

  • สำรองสินทรัพย์ 1:1 บังคับผู้ออก Stablecoin ต้องสำรองสินทรัพย์เต็มจำนวนด้วยเงินสดหรือสินทรัพย์สภาพคล่องสูง เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุด
  • โปร่งใส ตรวจสอบได้ ต้องเปิดเผยข้อมูลสำรองต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส และให้องค์กรอิสระเข้ามาตรวจสอบบัญชี
  • ปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันการฟอกเงิน และยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน
  • คุ้มครองผู้ถือเหรียญ หากมีปัญหาทางการเงิน ผู้ถือเหรียญจะได้รับการชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น

Digital Asset: มากกว่าแค่คริปโตเคอร์เรนซี

Digital Asset คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่แทนสินทรัพย์ที่มีอยู่จริงในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่ายและรวดเร็ว ผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น ธนาคาร

ทั้งนี้ Digital Asset แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

  1. Cryptocurrency หรือสกุลเงินดิจิทัล ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เช่น Bitcoin, Ethereum
  2. Digital Token แบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภท คือ

2.1) Investment Token หรือโทเคนเพื่อการลงทุน สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการร่วมลงทุน เช่น สิทธิในส่วนแบ่งรายได้ สิทธิในผลกำไรจากการลงทุน

2.2) Utility Token หรือโทเคนเพื่อการใช้ประโยชน์ สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการได้รับสินค้าและบริการที่เฉพาะเจาะจง เช่น บัตรโดยสารรถไฟฟ้า คูปองในศูนย์อาหาร หรือชิปในคาสิโน

บล็อกเชนไม่ได้มีดีแค่คริปโต 

ส่วนแบ่งตลาดของบล็อกเชน แบ่งตามภาคอุตสาหกรรม | ที่มา: Grand View Research | ข้อมูล ณ ปี 2022

แม้จะถือกำเนิดมาเพื่อสร้างสกุลเงินดิจิทัล แต่ปัจจุบันบล็อกเชนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายอุตสาหกรรมนำไปใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การแพทย์ หรือแม้แต่การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทำให้โอกาสในการเติบโตของบล็อกเชนยังมีอีกมาก

เทคโนโลยีบล็อกเชนได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการปฏิวัติรูปแบบการดำเนินงานในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของกระบวนการทางธุรกิจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการนำบล็อกเชนไปประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ ดังนี้

  • ภาครัฐ: บล็อกเชนถูกนำมาใช้ในการเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ เช่น การติดตามโครงการสาธารณะ การจัดการเอกสาร และการจัดการการเลือกตั้ง
  • ภาคอุตสาหกรรม: ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอาหาร
  • ภาคการเงิน: บล็อกเชนเป็นพื้นฐานของสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ๆ ที่ช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกรรมและเพิ่มความปลอดภัย
  • ภาคสุขภาพ: บล็อกเชนยังถูกนำไปใช้ในการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ช่วยให้แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต

อยากก้าวเข้าสู่โลกบล็อกเชน? มีทางเลือกมากกว่าแค่ซื้อคริปโต

การลงทุนในกองทุนดัชนีที่ติดตามสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน (Digital Asset & Blockchain ETF) นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างมีระบบ

โดยการลงทุนลงในบริษัทที่ถือสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนมาก หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนผ่าน Digital Asset & Blockchain ETF มีข้อดีดังนี้

  1. การกระจายความเสี่ยง กองทุน ETF จะลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนในสัดส่วนที่เหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงรายการเดียว
  2. การเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างสะดวกสบายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องมีกระเป๋าเงินดิจิทัล
  3. การบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ กองทุน ETF มีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาคอยคัดเลือกและบริหารพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  4. การกำกับดูแล กองทุน ETF อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในความโปร่งใสและความปลอดภัย

โอกาสลงทุนในบล็อกเชนกับ ASP-DIGIBLOC

ASP-DIGIBLOC

กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ดิจิทัล บล็อกเชน (ASP-DIGIBLOC) เป็นกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active) โดยลงทุนในบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน

โดย ASP-DIGIBLOC มีกลยุทธ์ลงทุนในบริษัทที่อยู่เบื้องหลังโลกคริปโต และเป็นบริษัทชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เหมืองขุดชั้นนำ หรือบริษัทที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกดิจิทัล ลงทุนกับผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้เพื่อร่วมสร้างอนาคตของโลกดิจิทัล

ASP-DIGIBLOC ลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ VanEck Digital Transformation ETF ที่มีวัตถุประสงค์การลงทุนโดยพยายามสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MVIS Global Digital Assets Equity Index มากที่สุด

ทั้งนี้ ดัชนี MVIS Global Digital Assets Equity Index มีวัตถุประสงค์ในการติดตามผลประกอบการของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุดในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล และรวมเฉพาะบริษัทที่มีรายได้อย่างน้อย 50% จากบริการและผลิตภัณฑ์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น ศูนย์แลกเปลี่ยน (Exchange) เกตเวย์การชำระเงิน เหมืองขุด (Miner) บริการซอฟต์แวร์ อุปกรณ์และเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัล และการอำนวยความสะดวกทางการค้าด้วยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล

ASP-DIGIBLOC

Finnomena 3D Diagram | ที่มา: Finnomena Funds | ข้อมูล ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 202ถ

รายละเอียดอื่น ๆ ของ ASP-DIGIBLOC

  • ความเสี่ยงระดับ 6 (กองทุนรวมหุ้น)
  • นโยบายการจ่ายเงินปันผล: ไม่จ่าย
  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ 1.61% ต่อปี
  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) 1.25%
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee) ไม่มี
  • ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า (Switching-in) 1.25%
  • ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออก (Switching-out) ไม่มี
  • ค่าใช้จ่ายรวม 2.94% ต่อปี
  • การลงทุนครั้งแรก ขั้นต่ำ 1,000 บาท
  • การลงทุนครั้งต่อไป ขั้นต่ำ 1,000 บาทเช่นกัน
  • มีการป้องกันความผันผวนด้านค่าเงิน (Fx Hedging) ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

ทำความรู้จักกับกองทุนหลัก VanEck Digital Transformation ETF (DAPP)

กองทุน VanEck Digital Transformation ETF (DAPP) มีนโยบายการลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เกินกว่าร้อยละ 50 หรือมีศักยภาพในอนาคตที่จะสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล สัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 50

ทั้งนี้ กองทุนมีการกระจายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Digital Assets คลอบคลุมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านธุรกิจการขุดเหมืองคริปโต การทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ธนาคารตัวกลางด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจด้านซอฟแวร์อื่น ๆ

7 ธีมหลักที่ DAPP เลือกลงทุน

7 ธีมหลักที่ VanEck Digital Transformation ETF (DAPP) ลงทุน | ที่มา: VanEck | ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2022

  1. Payment Gateways

บริษัทที่ให้บริการดำเนินการชำระเงินบนเว็บไซต์ แพลตฟอร์มการซื้อขาย รวมถึงร้านค้าแบบดั้งเดิม ด้วย

การใช้สินทรัพย์ดิจิทัล ตัวอย่างบริษัท เช่น Block (เดิมชื่อ Square), GreenBox POS

  1. Hardware 

บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับการขุดหรือจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บริษัท Semiconductor อย่าง Canaan และ Ebang

  1. Crypto Miners

บริษัทที่ทำหน้าที่ประมวลผลธุรกรรมระหว่างผู้ใช้บัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ หรือนักขุด เช่น Marathon, Riot Blockchain, Bitfarm

  1. Exchanges

บริษัทที่ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตัวอย่างบริษัท เช่น Coinbase, Voyager Digital

  1. Crypto Holding and Trading

บริษัทที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลใน Balance Sheet หรือมีการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนสูง เช่น Microstrategy, Coinshares

  1. Software and Value Added Services

บริษัทที่สร้างซอฟต์แวร์หรืออำนวยความสะดวกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Northern Data

  1. Banking & Asset Management

บริษัทที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างระบบการให้บริการทางการเงินแบบดั้งเดิม และระบบการให้บริการสำหรับ

สินทรัพย์ดิจิทัลยุคใหม่ อาจอยู่ในรูปแบบของการให้บริการชำระเงิน และการดูแลลูกค้า ตัวอย่างบริษัท เช่น Silvergate, BC Technology Group (Brokerage service)

เจาะข้อมูลบริษัท Top 5 Holdings

*ข้อมูล ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2025 สัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลง

1. Coinbase Global (COIN) 10.56%

Coinbase เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 

Coinbase ไม่ใช่แค่ตลาดแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลธรรมดา แต่เป็นอาณาจักรคริปโตครบวงจร ตั้งแต่ซื้อขายแลกเปลี่ยน ไปจนถึงการเป็นตู้เซฟดิจิทัลให้กับนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบัน 

นอกจากนี้ Coinbase ยังเป็นผู้พัฒนา USDC เหรียญ Stablecoin ยอดนิยม ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ผูกติดกับมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ เรียกได้ว่าเป็น “เงินดอลลาร์ในโลกคริปโต” เลยทีเดียว

2. Circle Internet Group (CRCL) 7.93%

Circle Internet Group

Circle เป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ระดับโลกที่มุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับสกุลเงินดิจิทัล จุดเด่นสำคัญของ Circle คือการเป็น ผู้ออกเหรียญ Stablecoin (คริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าคงที่) ที่สำคัญอย่าง USDC (USD Coin) ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แบบ 1:1 และมีการสำรองสินทรัพย์เต็มจำนวน (ส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น)

Circle ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 โดยเริ่มต้นจากการเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการชำระเงินดิจิทัลและกระเป๋าเงิน Bitcoin ก่อนจะขยับมาเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรม Stablecoin และให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยเชื่อมโยกโลกการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้การโอนเงินข้ามประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ

3. MicroStrategy (MSTR) 7.43%

เดิมที MicroStrategy เป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ ซึ่งอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในวงกว้าง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา MicroStrategy ได้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในฐานะ “บริษัทที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลก”

ถ้าถามว่ามากแค่ไหน? จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 MicroStrategy เป็นเจ้าของ Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 597,325 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.1 ล้านล้านบาท (เมื่อคิดจากราคา 1 BTC = 108,000 ดอลลาร์สหรัฐ) 

4. Block (SQ) 6.82%

Block Inc

Block (เดิมชื่อว่า Square) เป็นผู้ให้บริการด้านการเงิน ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ และผู้ประมวลผลการชำระเงินที่ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มรายได้ผ่านการใช้โซลูชันที่เข้าถึงได้ง่าย 

สิ่งที่น่าสนใจคือ Block เป็นการร่วมมือกันของบริษัทต่าง ๆ อย่าง Cash App, Spiral, TIDAL และ TBD โดยเป้าหมายหลักของบริษัทคือทำให้คนทั่วไปเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือลูกค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin 

Block เป็นบริษัทใหญ่ที่สนับสนุน Bitcoin อย่างจริงจัง พวกเขารับชำระเงินด้วย Bitcoin มาตั้งแต่ปี 2014  ผ่านแอปพลิเคชัน Cash ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ส่งและรับการชำระเงินด้วย Bitcoin

5. Metaplanet Inc (MTPLF) 6.14%%

Metaplanet Inc

Metaplanet Inc. เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในฐานะ “MicroStrategy แห่งเอเชีย” เนื่องจากมีกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันในการถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์หลักในคลังของบริษัท

เดิมที Metaplanet (หรือเคยรู้จักกันในชื่อ Red Planet Japan) ทำธุรกิจหลักเกี่ยวกับการ พัฒนาและบริหารจัดการโรงแรม แต่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้บริษัทต้องหันมาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่การถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อป้องกันเงินเฟ้อและสร้างผลตอบแทน

นอกจากนี้ ยังลงทุนและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี Web3, Blockchain และ NFT ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ยังคงดำเนินงานอยู่บ้าง

สรุปจุดเด่นที่น่าสนใจของ ASP-DIGIBLOC

  • ลงทุนในบริษัทชั้นนำของโลกบล็อกเชน

ไม่ได้ลงทุนในเหรียญคริปโตโดยตรง แต่ลงทุนในบริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน หรือบริษัทที่ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ

  • เติบโตไปกับสินทรัพย์ดิจิทัล

กองทุนนี้จะเติบโตไปพร้อม ๆ กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับ Bitcoin อีกด้วย

  • ความผันผวนน้อยกว่า 

แม้จะเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ความผันผวนของกองทุนนี้จะน้อยกว่าการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีโดยตรง

ASP-DIGIBLOC เหมาะสำหรับใคร?

  • ผู้ที่เชื่อมั่นในอนาคตของเทคโนโลยีบล็อกเชน และมองหาโอกาสเติบโตในระยะยาว
  • ผู้ที่สนใจลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี แต่กังวลเรื่องความผันผวนของราคา
  • ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ 

 

แม้ว่าโลกของบล็อกเชนจะเต็มไปด้วยโอกาสที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องตระหนักเสมอ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง และตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ และทำความเข้าใจถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างถ่องแท้


ที่มา: Financial Times, MicroStrategy, VanEck, VanEck, VanEck

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

‘กรณ์ จาติกวณิช’ ชี้ทางออก ไทยโดนภาษีทรัมป์ 36% จัดทีมอาเซียนตั้งโต๊ะเจรจาสหรัฐฯ พร้อมชูแนวคิด “Better Together” ร่วมมือผ่านพ้นวิกฤต

Finnomena
‘กรณ์ จาติกวณิช’ ชี้ทางออก ไทยโดนภาษีทรัมป์ 36%

9 กรกฎาคม 2025 – Finnomena Funds (ฟินโนมีนา ฟันด์) จัดงานแถลงข่าว Looking Ahead Together The Trump Effect on 2025 Market เปิดกลยุทธ์การลงทุนเมื่อโลกการเงินอยู่ใต้เงานโยบายของทรัมป์ เตรียมรับมือความผันผวน หลังไทยโดนสหรัฐฯ จ่อเก็บภาษีนำเข้า 36% พร้อมชูแนวคิด “Better Together” เป็นเพื่อนร่วมทางที่พร้อมพานักลงทุนสู้ทุกวิกฤตไปด้วยกัน

นายกรณ์ จาติกวณิช ในฐานะประธานกรรมการและกรรมการอิสระ Finnomena เปิดเผยว่า จากกรณีที่สหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศไทยที่อัตรา 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ถือเป็น Worst Case Scenario จากผลการเจรจาทางการค้า เพราะเป็นระดับที่ไม่ได้ลดหย่อนหลังจากที่ Donald Trump ประกาศ Reciprocal Tariff ครั้งแรก ซึ่งได้สร้างความท้าทายอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจไทย ความผันผวนของตลาดทุน รวมถึงกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ

“ถ้าผมอยู่ในทีมเจรจาเศรษฐกิจ จะตัดสินใจเจรจาแบบเชิงรุก ร่วมมือกับกลุ่มประเทศในอาเซียน เปิดโต๊ะเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ผ่านเวทีการประชุมองค์การค้าโลก WTO เพื่อเพิ่มพลังการต่อรอง ขยายความร่วมมือทางการค้า และหาทางออกในรูปแบบที่ยั่งยืน พร้อมแสดงความจริงใจด้วยการสื่อสารข้อมูลที่ครบถ้วนกับคนไทย เพราะสุดท้ายแล้วผลของการเจรจาต้องมีผู้ที่เสียผลประโยชน์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ Win-Win ทุกฝ่าย” นายกรณ์ จาติกวณิช กล่าว

นายวศิน ปริธัญ Managing Director บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในเครือของ Finnomena Group กล่าวถึงผลกระทบของ Trump Tariff ว่าในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยเชิงลบต่อประเทศที่โดนภาษีในอัตราที่สูง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอการเติบโต และคาดว่าจะเห็นความผันผวนของตลาดหุ้นแบบ Sideway อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดคงไม่ถึงขั้นปรับฐานแบบลงลึก แต่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะยาว

ดังนั้น จึงแนะนำเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากความผันผวนอย่างกองทุนที่มีนโยบายกระจายความเสี่ยงแบบ Multi Asset เช่น ES-GAINCOME หรือกองทุนหุ้นโลกสาย Defensive ที่หาประโยชน์จากความผันผวน และมี Option Strategy เช่น K-GPINUH โดยเตรียมสภาพคล่องบางส่วนเพื่อเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเมื่อตลาดปรับฐาน นอกจากนี้ สินทรัพย์ทางเลือกประเภท Alternative Assets เช่น Hedge Fund ถือว่าตอบโจทย์ในการกระจายความเสี่ยง ด้วยความผันผวนที่ต่ำ และมีโอกาสทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและลง (Long-Short) 

นายกสิณ สุธรรมนัส Chief Strategy Officer, Finnomena Group ระบุว่า วิกฤตและความผันผวนเป็นเรื่องที่พบเจอได้ตลอดในโลกการลงทุน ในทุก ๆ ปี เราจะเจอเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาด ซึ่งสถิติในอดีตก็ชี้ว่าเราผ่านมาได้ทุกครั้ง และแน่นอนว่าการมีเพื่อนร่วมทางที่เดินไปพร้อมกับคุณ คือหนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนก้าวผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้ พร้อมเดินหน้าสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ Finnomena Group มีเป้าหมายสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนมีความมั่นคงทางการเงินตลอดชีวิต ด้วยผู้แนะนำการลงทุนและแพลตฟอร์มการลงทุนชั้นนำระดับสากล ช่วยให้นักลงทุนไทยกว่า 1 ล้านคน ได้พบกับผู้แนะนำการลงทุนที่เข้าใจยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่เดินไปพร้อมกับคุณในทุกจังหวะสำคัญของชีวิต ภายใต้แคมเปญ Better Together – Wealth Together by Finnomena

Better Together คือความตั้งใจที่อยากให้ทุกก้าวของการลงทุน เริ่มต้นจากความเข้าใจและเดินไปพร้อมกัน เพราะการลงทุนไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขหรือกลยุทธ์ แต่คือการจัดการอารมณ์ ความไม่แน่ใจ และช่วงเวลาที่ต้องเลือก ซึ่งการมีผู้แนะนำการลงทุนจะช่วยให้ทุกคนเดินหน้าสู่ความสำเร็จ ผ่านระบบ Wealth Together บริการที่ให้คุณมี “ผู้แนะนำการลงทุน” จาก Finnomena Funds คอยดูแลแบบใกล้ชิด ตั้งแต่การแนะนำพอร์ตลงทุนในกองทุนรวม หุ้น ตราสารหนี้ ไปจนถึงการปรับกลยุทธ์และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินมากขึ้น 

ลงทะเบียนรับบริการ Wealth Together by Finnomena ได้ฟรีที่ www.finnomena.com/wtg-wealth-together เริ่มก้าวแรกกับผู้แนะนำการลงทุนที่เข้าใจคุณ เพียงเริ่มต้นลงทุนผ่าน Finnomena แล้วคุณจะได้รับประสบการณ์การแนะนำการลงทุนครบวงจร ที่ผสานข้อมูล คำแนะนำ และเครื่องมือเพื่อช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างมีเป้าหมาย 


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort

รีวิวผลงาน All Weather Strategy ผลตอบแทนสะสม 54.8% นับตั้งแต่จัดตั้ง พร้อมรับมือแม้ตลาดเปลี่ยนฤดู

Finnomena Funds

ในวันที่ตลาดเต็มไปด้วยความผันผวนพอร์ต All Weather Strategy (AWS) สร้างผลตอบแทนสะสมได้กว่า 54.8% นับตั้งแต่จัดตั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2025, ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) สะท้อนแนวทางการออกแบบเพื่อช่วยรับมือกับความผันผวนในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws

พอร์ต All Weather Strategy (AWS) คือพอร์ตกองทุนที่พร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด ใช้โมเดล FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน มีการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลงทุนอย่างมั่นคง พร้อมแนวทางบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ เพราะมีนักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำอย่างคุณ Andrew Stotz เป็นผู้ออกแบบกลยุทธ์การจัดพอร์ตในเชิงวิเคราะห์ข้อมูลและความเสี่ยง

นโยบายการลงทุนของพอร์ต All Weather Strategy

พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ Dr. Andrew Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยพอร์ต AWS นี้ มุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยให้พอร์ตพร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด (All Weather) โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง

จุดเด่นพอร์ต All Weather Strategy

  • ใช้ FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วย Fundamental (พื้นฐานของสินทรัพย์), Valuation (มูลค่าของสินทรัพย์), Momentum (โมเมนตัมของสินทรัพย์) และ Risk (ความเสี่ยง)
  • กระจายการลงทุนไปทั่วโลก ไม่จำกัดเพียงแค่ในประเทศไทย
  • มีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยลดความผันผวน พร้อมเฟ้นหาโอกาสลงทุนใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป เพื่อเสริมศักยภาพของพอร์ตในระยะยาว
  • มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากหุ้น พร้อมบริหารความเสี่ยงเพื่อช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในช่วงตลาดพักฐาน
  • ใช้หลักการวิเคราะห์ทั้งเชิงประมาณ (Quantitative) ที่ใช้สูตรและโมเดลทางคณิตศาสตร์ และเชิงคุณภาพ (Qualitative) ที่ใช้ประสบการณ์และความรู้ของทีมงาน เพื่อให้ได้พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด
  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

รีวิวผลตอบแทนพอร์ต All Weather Strategy

ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ผลตอบแทนของพอร์ต AWS ตั้งแต่จัดตั้ง เทียบกับพอร์ต 60/40
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2025

จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนสะสม (Total Return) นับตั้งแต่จัดตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ถึงเดือนพฤษภาคม 2025 ของพอร์ต All Weather Strategy (AWS) กับพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีสัดส่วนหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% (60/40 Portfolio) จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ 54.8% ขณะที่พอร์ต 60/40 ทำผลตอบแทนได้ 35.2% หรือสูงกว่า 19.6% โดยหลังช่วงกลางปี 2023 เป็นต้นมา ผลตอบแทนของพอร์ต AWS เริ่มแซงหน้าพอร์ต 60/40 อย่างชัดเจน และยังคงมีผลตอบแทนที่มากกว่าพอร์ต 60/40 ในช่วงที่ผ่านมา

รีวิวผลงาน All Weather Strategy ผลตอบแทนสะสม 54.8% นับตั้งแต่จัดตั้ง พร้อมรับมือแม้ตลาดเปลี่ยนฤดู

ความผันผวนของสินทรัพย์ต่าง ๆ
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568

นอกจาก All Weather Strategy (AWS) จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าพอร์ตดั้งเดิม 60/40 ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นคือระดับความผันผวนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า เมื่อเทียบกับพอร์ตการลงทุนหรือสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ในตลาด

จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบความผันผวนรายปี (Annualized Volatility) ของพอร์ต AWS กับพอร์ต 60/40 และสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่พันธบัตรทั่วโลก ไปจนถึงหุ้นยุโรปที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS มีความผันผวนต่ำกว่าพอร์ต 60/40 ประมาณ 1.4% และเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทองคำ ความผันผวนของพอร์ต AWS อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบกลยุทธ์ที่ให้ความสมดุลระหว่างเป้าหมายผลตอบแทนและการบริหารความเสี่ยง

All Weather Strategy เหมาะกับใคร?

  • คนที่ต้องการให้เงินเติบโตไม่เน้นปันผล
  • คนที่ต้องการการลงทุนที่ยืดหยุ่น ปรับพอร์ตตามสถานการณ์เสมอ
  • คนที่มีเงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 500,000 บาท
  • คนที่พร้อมลงทุนระยะกลาง 3 ปีขึ้นไป

สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้

ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena

สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/

**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

รู้จักดัชนีหุ้นไทย โอกาสลงทุนง่าย ๆ ผ่าน Passive Fund

Finnomena Funds
รู้จักดัชนีหุ้นไทย โอกาสลงทุนง่าย ๆ ผ่าน Passive Fund

การลงทุนผ่าน Passive Fund ซึ่งล้อตามความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นการลงทุนที่เหมาะกับมือใหม่ เพราะเข้าใจง่าย ค่าธรรมเนียมต่ำ และยังเป็นตัวช่วยในการจัดพอร์ตระยะยาว

รู้จักดัชนีหุ้นไทย โอกาสลงทุนง่าย ๆ ผ่าน Passive Fund

ปัจจุบันมีดัชนีหุ้นไทยให้เลือกลงทุนอยู่หลากหลายดัชนี โดยวันนี้เราขอหยิบยกดัชนีสำคัญ ๆ มาฝาก ดังนี้

SET: หุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนภาพรวมหุ้นทั้งตลาด

SET50: หุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวในตลาด ซึ่งมีมูลค่า Market Cap. สูง และมีสภาพคล่องที่สูง 

SET100: หุ้นขนาดใหญ่-กลาง 100 ตัวในตลาด ซึ่งมีมูลค่า Market Cap. สูง มีสภาพคล่องที่สูง 

SETHD: หุ้น 30 ตัวในตลาดที่มีอัตราผลตอบแทนจากปันผลที่สูง และมีนโยบายจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง

mai: หุ้นบริษัทขนาดเล็ก SME และสตาร์ทอัพ ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ 

FTSE SET: สะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นไทยในระดับสากล ซึ่งมีสูตรคำนวนตามมาตรฐานสากล สอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุนต่างประเทศ

SET ESG Rating: หุ้นยั่งยืนที่ผ่านเกณฑ์การประเมินด้าน ESG ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล 

Sector Index: สะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน (ENERG) และ ธนาคาร (BANK) เป็นต้น

สำหรับใครที่สนใจลงทุนให้เงินเติบโตตามหุ้นในดัชนีดังกล่าว สามารถลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่านกองทุนรวมประเภท Passive Fund ทั้งที่อ้างอิงตามความเคลื่อนไหวดัชนี (Index) และกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) ซึ่งมีให้เลือกมากมายจากหลากหลาย บลจ. ชั้นนำในประเทศไทย


คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort

เงินบาทแข็ง VS เงินบาทอ่อน ใครดี ใครได้ ใครเสียเปรียบ?

Finspace
เงินบาทแข็ง VS เงินบาทอ่อน ใครดี ใครได้ ใครเสียเปรียบ?

เวลามีข่าวว่า ค่าเงินบาท “แข็งขึ้น” หรือ “อ่อนลง” หลายคนอาจสงสัยว่ามันส่งผลยังไงกับชีวิตเรา แล้วแบบไหนดีกว่ากัน? วันนี้ FinSpace สรุปมาให้เห็นภาพแบบเข้าใจง่าย พร้อมเทียบให้เห็นชัด ๆ ใครได้ ใครเสีย!

เงินบาทแข็ง VS เงินบาทอ่อน ใครดี ใครได้ ใครเสียเปรียบ?

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid02fjLvmD76aiNUAUjWpZppxvuBqu6d1HeaE4VHyMjdrzxSuQ69kNYpB4XCZJ7qrjfBl