กองทุนหุ้นเกาหลีใต้แบบ Active Fund เป็นตลาดเอเชียที่มีโอกาสให้เข้าทยอยสะสม ด้วยมูลค่าที่ยังไม่แพง ช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวลงแรงกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง และเติบโตตามเทรนด์ของชิปเซมิคอนดักเตอร์
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี ซึ่งเน้นการคัดเลือกหุ้น Value Play ตามปรัชญาของผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญในการเข้าซื้อหุ้นเติบโตในราคาไม่แพง พร้อมรับอานิสงส์จากงบหุ้นบิ๊กเทคที่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่ง
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อ Nvidia (NVDA) ผู้นำด้านชิป AI จะเข้ามาแทนที่ Intel (INTC) อดีตผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก ในดัชนี Dow Jones Industrial Average โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนนี้
Dow Jones ดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ดัชนี Dow Jones มีชื่อเต็มว่า Dow Jones Industrial Average (DJIA) เป็นดัชนีทางการเงินเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงมีการเผยแพร่อยู่ในปัจจุบัน โดยถือกำเนิดขึ้นในปี 1896 จาก Charles Dow และ Edward Jones สองนักหนังสือพิมพ์ด้านการเงิน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือวัด “สุขภาพ” ของเศรษฐกิจอเมริกา
ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตารอผลประกอบการไตรมาส 3/2024 ของ Nvidia ที่จะประกาศในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งกระแส AI Boom ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของ Nvidia โดยบริษัทได้เร่งกำลังการผลิตชิป AI รุ่นใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันตลาดยังคงผันผวนจากปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ โดย Apple บริษัท Big Tech ที่มี Market Cap สูงสุดในโลก เผชิญกับแรงเทขายจนราคาร่วง 2% แม้รายได้จะดีกว่าคาด แต่กำไรไตรมาส 4/2024 กลับดิ่งลงถึง 36% เทียบปีก่อน จากเหตุถูกปรับภาษีในยุโรปกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 338,000 ล้านดอลลาร์)
กองทุนหุ้นอเมริกา ลงทุนตามดัชนี Dow Jones
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนล้อไปตามดัชนี Dow Jones ปัจจุบันมีกองทุนให้เลือกคือ SCBDJI(A) และ SCBDJI(SSF) ซึ่งเป็น Passive Fund ที่ลงทุนผ่าน SPDR Dow Jones Industrial Average ETF Trust
Gen Z ยังเหมาะกับกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นมาเพราะยังมีเวลาในการปรับพอร์ตอีกมาก นอกจากนี้ คนวัยนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นสู่การทำงาน (First Jobber) โดยเน้นการสร้างความมั่งคั่งเป็นหลัก
แนะนำให้พักเงินในกองทุน KKP PLUS เพื่อรอโอกาสในการจับจังหวะการลงทุนในอนาคต
มุมมองสำหรับพอร์ต All Series
สำหรับภาพรวมพอร์ตประเภท All Series ทั้ง 3 พอร์ต ได้แก่ All Star, All Balance และ All Defense ทาง Finnomena Funds แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุน Satellite หรือกองทุนที่ทำหน้าที่สร้าง Alpha ระยะสั้น โดยหลังการปรับลดดังกล่าว พอร์ตทั้ง 3 จะยังคงรักษาสัดส่วนการลงทุนตามกรอบ SAA ระยะยาวที่ได้วางไว้
แนะนำให้ทำกำไรในกองทุนหุ้น 2 กอง ได้แก่ AFMOAT-HA และ B-INNOTECH สำหรับพอร์ต All Star และ All Balance จากระดับ Valuation ที่สูง โดยการลดสัดส่วนดังกล่าวจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ และฤดูกาลประกาศงบที่กำลังเกิดขึ้น
สำหรับพอร์ต All Star และ All Balance แนะนำให้พักเงินในกองทุน KKP PLUS เพื่อรอโอกาสในการลงทุนในอนาคต
ลงทุนในกองทุน LO Funds – Asia Value Bond Fund (USD), NA (กองทุนหลัก) ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยและการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุน โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (รวมถึงประเทศญี่ปุ่น) ที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) เป็นหลัก กองทุนหลักอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) และตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated) ได้
แม้ว่ารายได้ของ Meta จะเพิ่มขึ้น แต่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกลับโตช้าลง เพราะผู้โฆษณาจากจีนลดการใช้บริการ ทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่าร้านค้าออนไลน์จากจีน เช่น Temu และ Shein จะลดการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มของ Meta ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้โดยรวมของบริษัท
นอกจากนี้ การที่ Meta ส่งสัญญาณว่าจะเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างมีนัยสำคัญในปี 2024 ก็เป็นอีกปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน เนื่องจากการลงทุนจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรในระยะสั้น
หุ้น Super Micro Computer (SMCI) ดิ่งแรงถึง -32.7% หลังผู้สอบบัญชี Ernst & Young (EY) ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อคณะกรรมการตรวจสอบอย่างกะทันหัน โดยอ้างความไม่มั่นใจในงบการเงินและการกำกับดูแลกิจการ
EY ระบุในจดหมายลาออกว่า “ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับงบการเงินที่จัดทำโดยฝ่ายบริหาร” พร้อมแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของคณะกรรมการจาก CEO Charles Liang และผู้บริหารคนอื่น ๆ
ทั้งนี้ Super Micro ได้ออกมาแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยโดยระบุว่า
“แม้บริษัทจะรับทราบว่าการตัดสินใจของ EY ถือเป็นที่สิ้นสุด แต่ไม่เห็นด้วยกับการลาออก เนื่องจากคณะกรรมการพิเศษยังไม่ได้รับข้อมูลทั้งหมดและยังไม่สรุปผลการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม บริษัทให้ความสำคัญกับข้อกังวลของ EY รวมถึงจะพิจารณาผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการพิเศษอย่างรอบคอบ”
โดยความกังวลเกี่ยวกับงบการเงินของ SMCI เริ่มเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อบริษัท Hindenburg Research ได้เผยแพร่รายงานการ Short Sell หุ้น SMCI
และวันต่อมา Super Micro ก็ประกาศเลื่อนยื่นรายงานประจำปี 10-K โดยอ้างว่า “คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญต่องบการเงินปี 2024”
ขณะที่ CEO Charles Liang ได้เขียนจดหมายถึงลูกค้าและพาร์ทเนอร์ว่ารายงาน Short Sell ของ Hindenburg Research และการเลื่อนยื่นงบจะไม่กระทบกับการดำเนินงาน
Sundar Pichai CEO ของ Alphabet เผยว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ AI แบบครบวงจรของบริษัทกำลังดำเนินการในวงกว้าง และถูกใช้งานโดยผู้ใช้ Google หลายพันล้านคน ซึ่ง Pichai ระบุว่าเป็น “การสร้างวงจรแห่งคุณค่า”
Philipp Schindler ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ เสริมว่า โมเดลภาษา AI ของบริษัทอย่าง Gemini ได้ช่วยให้ YouTube สามารถแนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง สดใหม่ และตรงใจผู้ชมได้แม่นยำมากขึ้น ขณะที่ในส่วนของ Google Search ฟีเจอร์ AI ก็กำลังช่วยขยายขอบเขตและวิธีการค้นหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในส่วนของ Google Cloud ความสำเร็จนั้นมาจากผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐาน AI และโซลูชัน Generative AI ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าเดิม ดึงดูดลูกค้ารายใหม่ และทำให้สามารถเพิ่มค่าบริการได้ โดย Google Workspace ชุดเครื่องมือการทำงานและประมวลผลบนคลาวด์ของบริษัท และ Google Cloud Platform ชุดเครื่องมือด้านการจัดการข้อมูลและ AI ก็มียอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังจับตาการประกาศผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 4 ราย ได้แก่ Alphabet (GOOGL) , Microsoft (MSFT), Meta (META) และ Apple (AAPL) ท่ามกลางการแข่งขันด้าน AI ที่ทวีความเข้มข้น และความท้าทายที่แตกต่างกันในแต่ละบริษัท
ตารางคาดการณ์วันประกาศงบ | Source: Earnings Whispers as of 25/10/2024
ส่วน Google Cloud กลับกลายเป็น “เดอะแบก” ของบริษัท โดยสร้างรายได้ 9.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.23 แสนล้านบาท) เติบโต 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงความสำเร็จจากการลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อไล่ตาม Amazon Web Services และ Microsoft Azure ที่นำตลาดอยู่ในขณะนี้
ที่น่าจับตามองคือ Alphabet ยังคงทุ่มงบประมาณมหาศาลในการพัฒนา AI โดยใช้เงินถึง 2.38 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8 แสนล้านบาท) ในไตรมาส 2 สำหรับการวิจัยและพัฒนา โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI ล่าสุดบริษัทได้ควบรวมทีม Google Research และ DeepMind เข้าด้วยกันเพื่อจัดตั้งแผนก AI Plus มุ่งเร่งพัฒนาโมเดล AI และผสานเทคโนโลยีเข้ากับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
Meta ยังคงเดินหน้าพัฒนาด้าน AI อย่างต่อเนื่อง โดย CEO ของบริษัทอย่าง Mark Zuckerberg เชื่อมั่นว่า Meta AI จะก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วย AI ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกภายในสิ้นปีนี้ หลังจากเปิดตัว Llama 3.2 AI รุ่นใหม่ที่ทรงพลังที่สุดไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด
ขณะที่ทางด้านของ Bank of America ถึงกับจัดให้ Meta เป็น “หุ้น AI ที่น่าลงทุน” โดยชี้ถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจโฆษณา การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งานรุ่นใหม่ และศักยภาพของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจบริการของ Apple ยังคงแสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจ โดยคาดว่าจะเติบโตในระดับ Double-Digit ซึ่งจะช่วยรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้แข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังคงพัฒนาความสามารถด้าน AI อย่างต่อเนื่องผ่านฟีเจอร์ Apple Intelligence ที่ผสานรวมอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ