“Hello! IPO รายการที่จะพาทุกคนพบกับกองทุนเปิดใหม่แกะกล่องประจำสัปดาห์ พร้อมแนะนำกองทุน IPO ที่น่าสนใจ”
App Spotify
https://finno.me/spotify
App Google podcasts
https://finno.me/googlepodcast
Apple podcast
https://finno.me/applepodcast
App Soundcloud
https://finno.me/soundcloud
Podbean
https://finno.me/podbean
Youtube
https://finno.me/youtubepodcast
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนประกาศในวันนี้ว่า จีนได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ในการต่อสู้กับความยากจน
“OR” เข้าซื้อหุ้น 20% ใน “โอ้กะจู๋” มูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท ต่อยอดธุรกิจค้าปลีกในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B)
ก.ล.ต. จะมีการออกมาประกาศเพื่อทำการ hearing ในวันนี้เกี่ยวกับกับ “ยกระดับการกำกับดูแลการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน”
เนื่องจากคริปโทเคอร์เรนซี มีความผันผวนสูง การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีจึงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจและความสามารถรับความเสี่ยงจากการได้รับผลขาดทุนจากการลงทุนได้ จึงมีแนวคิดกำหนดคุณสมบัติผู้ลงทุนด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่..
1. มีรายได้ต่อปีไม่นับรวมคู่สมรส ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีสินทรัพย์สุทธิตั้งแต่ 10 ล้านบาท โดยไม่นับอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นที่พักอาศัยประจำ หรือ มีมูลค่าลงทุนในหลักทรัพย์สัญญาซื้อขายล่วงวหน้า 5 ล้านบาทขึ้นไป
และ 2. เป็นผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเป็น Professional ตามที่สำนักงานกำหนด
ที่มา : https://siamblockchain.com/2021/02/25/sec-new-rules/
หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือที่มีชื่อเล่นว่า “ใบ 50 ทวิ” เอกสารสำคัญที่ทุกคนใช้เป็นหลักฐานการยื่นภาษี แต่น้อยคนที่เข้าใจรายละเอียดอย่างถูกต้อง วันนี้มาพูดคุยกันสบาย ๆ กับทุกประเด็นที่น่าสนใจของใบ 50 ทวิกัน
พาวเวล เผย อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปีกว่าที่อัตราเงินเฟ้อจะแตะระดับเป้าหมายของเฟด
รูปที่ 1 อัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ 23 มีนาคม 2020 | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศทำ Unlimited QE ในวันที่ 23 มีนาคม 2020 ที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารกลางหลัก ๆ อีกหลายประเทศก็เดินหน้าใช้มาตรการกระตุ้นในปริมาณมหาศาลเพื่อรับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
เมื่อประกอบกับการอนุมัติใช้วัคซีนไวรัส COVID-19 และการชนะการเลือกตั้งของนายโจ ไบเดน ในช่วงปลายปี 2020 ซึ่งประกาศใช้มาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ช่วยหนุนมุมมองการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ชัดเจน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลา 11 เดือนที่ผ่านมา
รูปที่ 2 US10Y Breakeven และ US Government Bond 2-10 Spread | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
มุมมองดังกล่าวนอกจากจะหนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นแล้ว ยังสร้างความคาดหวังต่ออัตราเงินเฟ้อที่สะท้อนออกมาผ่านดัชนี US Breakeven ในช่วงที่ผ่านมาใด้ปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 2014 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรระยะยาว ซึ่งสะท้อนผ่านทาง 2-10 Spread ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่งผลให้ Earnings Yield Gap ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณา Valuation ของดัชนี S&P 500 ด้วยมุมมองของส่วนชดเชยความเสี่ยง ลดลงจนแตะระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 จาก Valuation ที่สูงขึ้นในฝั่งของตลาดหุ้น และการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร
รูปที่ 3 S&P 500 Index & Earning Yield Gap | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นจีน (All China) โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็ปรับตัวขึ้นมาเช่นเดียวกัน ด้วยอานิสงส์จากทั้งการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่มีประสิทธิภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่เมื่อพิจารณาระดับ Valuation ด้วย Relative P/E Ratio เปรียบเทียบกับดัชนี S&P 500 พบว่าสูงกว่าระดับ 2SD และสูงกว่าช่วงการระบาดของ COVID-19 สะท้อนระดับ Valuation ที่ตึงตัวอย่างมาก
รูปที่ 4 Relative P/E & Price MSCI China to S&P 500 | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
ดังนั้นในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจมีการปรับฐานหรือพักฐาน อย่างไรก็ตามในระยะยาว FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีน ด้วยความได้เปรียบในการใช้นโยบายการเงิน การควบคุมการแพร่ระบาดและการใช้วัคซีน อีกทั้งยังมีมาตรการการคลังที่เตรียมจะใช้ในปีนี้
นอกจากนั้นแล้วทั้งสหรัฐฯ และจีนยังมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรของตลาดหุ้นด้วย ด้านมุมมองอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในตลาด ณ ปัจจุบัน หากพิจารณาในมุมกลับกันแล้ว การเกิดเงินเฟ้ออ่อน ๆ ในช่วง early-stage กลับส่งผลให้อัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตอีกด้วย อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลังวิกฤติปี 2008
รูปที่ 5 US10Y Breakeven และ S&P 500 Bloomberg Earning Estimate | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นของแต่ละ Private Wealth Port เพื่อทำกำไรและหาโอกาสการลงทุนต่อไปในอนาคต ดังนี้
แนะนำลดสัดส่วน KFGBRAND-D 10% (ทั้งหมด) , ลดสัดส่วน TMBCOF 10% (ทั้งหมด)
เพิ่มสัดส่วนการลงทุน KFSMART 20%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผ่านทางระดับ Valuation และ ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ตึงตัวส่งผลให้อาจมีโอกาสปรับฐานได้ในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบางส่วน ประกอบไปด้วย TMBCOF 10% (ทั้งหมด) และ KFGBRAND-D 10% (ทั้งหมด) เพื่อรักษากำไรที่เกิดขึ้น และ จำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานดังกล่าว และ แสวงหาโอกาสในการลงทุนต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้หุ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว จึงยังคงแนะนำถือครองกองทุนหุ้น K-USA-A (D) ไว้ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนในรูปแบบของกระแสเงินสด และ Capital Gain ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
แนะนำลดสัดส่วน KFGBRAND-A 10% (ทั้งหมด) , ลดสัดส่วน TMBCOF 5% (ทั้งหมด)
เพิ่มสัดส่วนการลงทุน KFSMART 10%, เพิ่มสัดส่วนการลงทุน TMBTM 5%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผ่านทางระดับ Valuation และ ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ตึงตัวส่งผลให้อาจมีโอกาสปรับฐานได้ในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบางส่วน ประกอบไปด้วย TMBCOF 5% (ทั้งหมด) และ KFGBRAND-A 10% (ทั้งหมด) เพื่อรักษากำไรที่เกิดขึ้น และ จำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานดังกล่าว และ แสวงหาโอกาสในการลงทุนต่อไปในอนาคต
แนะนำลดสัดส่วน KFGBRAND-A 10% (ทั้งหมด) ,ลดสัดส่วน TMBCOF 10% (ทั้งหมด) , ลดสัดส่วน K-USA-A(A) 10% (ทั้งหมด)
เพิ่มสัดส่วนการลงทุน KFSMART 20%, เพิ่มสัดส่วนการลงทุน K-CASH 10%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผ่านทางระดับ Valuation และ ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ตึงตัวส่งผลให้อาจมีโอกาสปรับฐานได้ในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบางส่วน ประกอบไปด้วย TMBCOF 10% (ทั้งหมด), K-USA-A(A) 10% (ทั้งหมด) และ KFGBRAND-A 10% (ทั้งหมด) เพื่อรักษากำไรที่เกิดขึ้น และ จำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานดังกล่าว และ แสวงหาโอกาสในการลงทุนต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้หุ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว จึงยังคงแนะนำถือครองกองทุนหุ้น ONE-UGG-RA, KT-FINANCE และ KT-Ashares-A ไว้ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
แนะนำลดสัดส่วน KFGBRAND-A 20% (ทั้งหมด), ลดสัดส่วน K-USA-A(A) 20% (ทั้งหมด)
เพิ่มสัดส่วนการลงทุน KFSMART 20%, เพิ่มสัดส่วนการลงทุน K-CASH 20%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผ่านทางระดับ Valuation และ ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ตึงตัวส่งผลให้อาจมีโอกาสปรับฐานได้ในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบางส่วน ประกอบไปด้วย K-USA-A(A) 20% (ทั้งหมด) และ KFGBRAND-A 20% (ทั้งหมด) เพื่อรักษากำไรที่เกิดขึ้น และ จำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานดังกล่าว และ แสวงหาโอกาสในการลงทุนต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้หุ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว จึงยังคงแนะนำถือครองกองทุนหุ้น ONE-UGG-RA และ WE-CHIG ไว้ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
FINNOMENA Investment Team
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน FINNOMENA PORT และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notification ในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก 1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัว ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
รูปที่ 1 อัตราผลตอบแทน ARK ETF | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
ARK Invest บริษัทจัดการที่บริหาร Active ETF กลุ่ม ARK ชื่อดังที่สร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่นจนเป็นที่จับตามองของนักลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก จนมีการนำมาเป็นกองทุนหลักของหลากหลายกองทุนรวมซึ่งเริ่ม IPO อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเป็นผลมาจากความนิยมที่หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ภายใต้การบริหารของ ARK Invest ที่สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้มากกว่า 100% ใช้กระบวนการวิเคราะห์เพื่อเลือกหุ้นทั้งแบบ Top-Down และ Bottom-Up ผ่านข้อมูลการเงินแบบดั้งเดิม ข้อมูลจากโลกออนไลน์ และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
รูปที่ 2 Analyst Recommendation | Source : Bloomberg As of 21/02/2021
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับฐานเช่นเดียวกับ Active ETF กลุ่ม ARK ลดระดับ Valuation ที่ตึงตัวลง สร้างความน่าสนใจสำหรับการสะสมเพื่อลงทุน โดยพิจารณาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพบว่าทั้งการลดลงของต้นทุนและการเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันเป็นปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตในระดับก้าวกระโดด สอดคล้องกับคำแนะนำของนักวิเคราะห์ที่คงมีคำแนะนำเข้าลงทุนในหุ้นเติบโต โดยมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้สะท้อนผ่าน Fund flows ที่ยังเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 3 Max Drawdown ARK ETF ย้อนหลัง 6 ปี | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
อย่างไรก็ตาม ปรัชญาการลงทุนซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูงของ ARK Invest ส่งผลให้มักมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก โดยโมเดลธุรกิจของหุ้นเหล่านี้จะเน้นการขยายฐานลูกค้าเป็นหลัก ทำให้รายได้จะเติบโตต่อเนื่องแต่การทำกำไรยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น Active ETF กลุ่ม ARK หรือกองทุนรวมที่มี Active ETF กลุ่ม ARK เป็นกองทุนหลักจะมีความผันผวนที่สูงกว่าตลาดหุ้น ที่ผ่านมาเมื่อ Active ETF กลุ่ม ARK ปรับตัวลงจะมี Drawdown ถึง -17 ถึง -23%
รูปที่ 4 Backtest กลยุทธ์การลงทุนแบบ Contrarian บน ARKW ETF | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
จากสถิติในอดีต FINNOMENA Investment Team จึงนำ Drawdown มาทดสอบ (Backtest) บน Active ETF ARKK เป็นหลัก ซึ่งเป็นกองทุนที่มีกรอบการลงทุนครอบคลุม Active ETF ARK อื่นๆ ซึ่งมีค่า Correlation กับ Active ETF ARK อื่นๆ ในระดับ 0.91 ขึ้นไป และมีอายุการดำเนินงานที่มากพอ เป็นตัวแทนการทดสอบแบบ Contrarian หรือคำแนะนำซื้อเมื่อกองทุนปรับตัวลงถึงจุด Drawdown เฉลี่ย (-17%) และแนะนำขายเมื่อ Acitve ETF กลุ่ม ARK กลับมาสู่จุดสูงสุดเดิม พบว่าปี 2016 จนถึงปี 2020 มีสัญญาณคำแนะนำให้ซื้อ 7 ครั้ง ทำผลตอบแทนได้ระหว่าง 10.71% ถึง 22.65% และมี 4 ครั้งที่มี Maximum Drawdown ระหว่าง -10.82% ถึง -34.53%
รูปที่ 5 Profit / Drawdown บนกลยุทธ์การลงทุนแบบ Contarian บน ARKW ETF | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
ซึ่งในปัจจุบันกองทุน ARK Next Generation Internet (ARKW) ได้ปรับตัวลงมาถึง -10.61% ฉะนั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำทยอยสะสมกองทุน WE-CYBER ด้วยธีม Next Generation Internet ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนแบบ Long Term Call หรือ Tactical Call ซึ่งสามารถทำกำไรได้เมื่อ Active ETF กลับมาสู่จุดสูงสุดเดิม
รูปที่ 6 ARKW ETF Chart time frame Day | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
กองทุนรวม WE-CYBER มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักคือ ARK Next Generation Internet
ETF (ARKW) ไม่น้อยกว่า 80% โดย ARKW มีนโยบายการลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ Next Generation Internet ไม่ว่าจะเป็น
รูปที่ 7 สัดส่วนการลงทุนรายประเทศของ ARKW ETF | Source : ARK-Funds As of 23/02/2021 (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ฉบับ 01/01/2564 ข้อมูลลงทุน 31/12/2563)
รูปที่ 8 สัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรมของ ARKW ETF | Source : ARK-Funds As of 23/02/2021 (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ฉบับ 01/01/2564 ข้อมูลลงทุน 31/12/2563)
รูปที่ 9 สัดส่วนการลงทุนรายตีมเทคโนโลยีของ ARKW ETF | Source : ARK-Funds As of 23/02/2021 (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ฉบับ 01/01/2564 ข้อมูลลงทุน 31/12/2563)
รูปที่ 10 TOP 10 Holding ของ ARKW ETF | Source : ARK-Funds As of 23/02/2021 (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ฉบับ 01/01/2564 ข้อมูลลงทุน 31/12/2563)
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน WE-CYBER และ ARKW: ลงทุนใน Next Generation Internet ที่จะเติบโตในโลกยุคใหม่
FINNOMENA Investment Team
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัว ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หลังจากหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีน แสงสว่างของมนุษยชาติชัดเจนมากขึ้น ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้ชัดเจนขึ้น อัตราค่าขนส่ง ราคาน้ำมัน และราคาอาหารปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ผมจึงจำเป็นปรับพอร์ต เชิง tactical รองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ก่อนอื่นเรามาดูผลดำเนินการของพอร์ต Global Aggressive Hybrid กันก่อน (วันที่ 19-Feb-2021 ที่มา: FINNOMENA)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ธนาคารกลางยังคงพยายามรักษาสภาพคล่องและยังคงดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง เราได้เห็นการเพิ่มของราคากลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ด้วยเหตุนี้จึงขอปรับพอร์ตเชิง Tactical ระยะสั้น
WealthGuru
*สนใจลงทุนในพอร์ต Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้เงินสร้างความมั่งคั่งในอนาคต สามารถสร้างแผนได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-wealthguru-hybrid-create/
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน FINNOMENA PORT และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notification ในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก 1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
สภาวการณ์ที่ตลาดหุ้นเวียตนามวิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงเร็ว ๆ นี้จนกลับมาเกือบถึงจุด “All time high” ที่ประมาณ 1,170 จุดทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่านมรสุมโควิด-19 “รอบสอง” ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา คำถามที่เกิดขึ้นในใจของผมก็คือ หุ้นเวียตนามต่อจากนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องไปมากน้อยแค่ไหน? ได้เวลาที่จะ “ลุย” ตลาดหุ้นเวียตนามอย่างจริงจังหรือยัง? และคำตอบของผมก็คือ เวลาที่หุ้นเวียตนามจะ “ออกบิน” หรือ “Takeoff” น่าจะใกล้มาถึงแล้ว เหตุผลนั้นมีมากมาย ลองมาดูกัน
ในการที่จะดูว่าตลาดหุ้นจะดีอย่างโดดเด่นในอนาคตระยะยาวนั้น ผมจะดูถึงปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศว่าเป็นอย่างไรในอนาคตระยะยาวเป็นสิบ ๆ ปีหรืออย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป โดยตัวแรกที่จะดูก็คือ การเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศ ซึ่งในกรณีของเวียตนามนั้น นักวิจัยแทบจะทุกสำนักต่างก็มองว่าจะเติบโตสูงมากใน “ระดับโลก” ประสบการณ์ที่ผมเห็นก็คือ เวียตนามน่าจะโตต่อไปในระดับอย่างน้อย 5-6% ต่อปี ไปอีกไม่น้อยกว่า 10-20 ปี อย่างที่ไทยเคยทำได้ในช่วง “ทศวรรษทอง” ของไทยประมาณระหว่างปี 1987-2007 เป็นเวลา 20 ปี ว่าที่จริง แม้แต่ปีที่แล้วที่เกิดวิกฤตโควิด-19 เวียตนามก็ยังโตเกือบ 3% และถือเป็นประเทศที่โตสูงที่สุดในโลกในขณะที่ประเทศอื่นต่างก็ติดลบมากจนแทบจะเป็นประวัติการณ์ นอกจากนั้น ในปี 2564 ก็ยังได้รับการคาดการณ์ว่าจะโตไม่น้อยกว่า 6-7% ขึ้นไป อานิสงส์จากการ “ไหลบ่า” ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่พยายามหลีกเลี่ยงหรือย้ายฐานการลงทุนในจีนที่กำลังมีปัญหาสงครามการค้ากับอเมริกา
ปัจจัยตัวที่สองก็คือเรื่องของ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งในความคิดของผมก็คือ เป็นตัวที่จะ “จุดชนวน” ให้ตลาดหุ้นเวียตนาม “Takeoff” ในรอบนี้ ประเด็นก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรหรือ Bond Yield อายุ 10 ปี ของเวียตนามลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแค่ 1 ปีที่ผ่านมาจากประมาณ 5% ต่อปีเหลือเพียง 2% ต้น ๆ อานิสงส์จากสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นโลกรวมถึงเวียตนาม ว่าที่จริงอัตราพันธบัตรอายุ 10 ปีของเวียตนามนั้นลดลงมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 10 ปีมาแล้วจากอัตราที่เคยสูงถึงปีละ 10% ซึ่งก็น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ และกลายเป็นตลาดระดับ “ซุปเปอร์สตาร์” ของตลาดในกลุ่ม “ชายขอบ” หรือ Frontier Market ผลกระทบของการลดลงของดอกเบี้ยและสภาพคล่องทางการเงินทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลของเวียตนามหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน จำนวนนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราสองเท่าตัวจากปีที่แล้ว และนี่ก็น่าจะช่วยขับเคลื่อนหุ้นให้วิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเร็ว ๆ
ปัจจัยตัวที่สามที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปได้ดีก็คือ การเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งในตลาดหุ้นเวียตนามนั้น บริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 30 บริษัทสามารถทำกำไรเติบโตได้สูง แม้แต่ปี 2563 ที่เป็นปีวิกฤติโควิด-19 ก็ยังสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณ 7% ดังนั้น ในปี 2564 และปีต่อ ๆ ไปที่เศรษฐกิจเวียตนามจะดีขึ้นมาก กำไรของบริษัทก็น่าจะยังโตขึ้นไปได้เร็วและมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเติบโตของผู้บริโภคหรือความร่ำรวยของคนเวียตนามนั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อานิสงส์จากการมีงานทำและการเพิ่มขึ้นของค่าแรงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในอุตสาหกรรมโดยเฉพาะของนักลงทุนต่างชาติ อีกส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็คือ การขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของการปล่อยกู้แก่บุคคลธรรมดาที่มี “สลิปเงินเดือน” หรือมีรายได้แน่นอนจากการเป็นพนักงานประจำของบริษัทใหญ่ ๆ ซึ่งจะทำให้การบริโภคซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายในสินค้าราคาสูง เช่น การซื้อบ้านและรถยนต์เติบโตเร็วขึ้นมาก
สุดท้ายที่จะกำหนดว่าการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นจะมากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ายังอยู่ที่ความถูกความแพงของหุ้นซึ่งวัดจากค่า PE ของตลาด แม้ว่าค่า PE ของเวียตนามจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้เป็นประมาณ 17-18 เท่า แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนแล้วก็พบว่าเป็นค่า PE ที่ต่ำที่สุด ประเทศอื่นทุกประเทศต่างก็มีค่า PE เกิน 20 เท่า บางประเทศเช่นอินโดนีเซียมากถึงกว่า 30 เท่า ทั้ง ๆ ที่เวียตนามเป็นประเทศที่โตเร็วที่สุด ค่า PE ที่ต่ำกว่า 20 เท่าในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลดลงมาเหลือเพียง 2-3% ต่อปีและดูเหมือนว่าจะไม่เพิ่มขึ้นอีกนานนั้นก็ต้องถือว่าเป็นราคาหุ้นที่ไม่แพง นอกเหนือจากนั้น ผลตอบแทนปันผลของตลาดหุ้นเวียตนามก็ค่อนข้างดีมาก น่าจะไม่น้อยกว่าปีละ 3% โดยเฉลี่ย
นอกจากปัจจัยด้านพื้นฐานดังที่กล่าวมาแล้ว ผลตอบแทนการลงทุนบ่อยครั้งยังขึ้นอยู่กับ “เหตุการณ์ไม่คาดคิด” ที่เกิดขึ้นในประเทศซึ่งมีทั้งดีและร้าย ตัวอย่างเช่นในตลาดหุ้นไทยเองนั้น เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นก็เช่น การรัฐประหาร ความวุ่นวายทางการเมืองหรือการเกิดน้ำท่วมใหญ่ ที่ทำให้หุ้นตก เป็นต้น ส่วนเหตุการณ์ดีก็เช่น มีการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 20% ภายในเวลา 2 ปี ซึ่งทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นและทำให้หุ้นวิ่งขึ้น เป็นต้น สำหรับตลาดหุ้นเวียตนามนั้น ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่เราจะคาดไม่ได้ว่าใน 10 ปีข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น แต่หลายสิ่งที่ “ดีต่อตลาดหุ้น” น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก และเมื่อเกิดขึ้นหุ้นก็น่าจะวิ่งขึ้นแรงได้
อย่างแรกเลยที่ผม “รอ” ว่าน่าจะเกิดขึ้นภายใน 3-4 ปีก็คือการที่ตลาดหุ้นเวียตนามจะได้รับการยกระดับจากตลาดหุ้นชายขอบเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่หรือ “Emerging Market” และถ้าเกิดขึ้นก็จะทำให้กองทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศสามารถเข้าไปลงทุนได้ ซึ่งนั่นมักจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นแรงมาก บางแห่งที่เคยถูกปรับแบบนั้นดัชนีตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ตลาดหุ้นเวียตนามนั้น จริง ๆ แทบทุกอย่างพร้อมแล้วโดยเฉพาะด้านขนาดของตลาดและปริมาณการซื้อขายซึ่งช่วงเร็ว ๆ นี้มีปริมาณการซื้อขายบางวันสูงถึงวันละกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่สิ่งที่ยังขาดก็คือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น เรื่องของข้อจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติ เป็นต้น ทำให้ยังไม่ได้รับการพิจารณา ซึ่งนี่ก็มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมที่ “เจ้าหน้าที่เป็นใหญ่” มาช้านาน ซึ่งทำให้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มีมากและเปลี่ยนแปลงได้ช้า
เรื่องที่สองก็คือ การเกิดขึ้นของ “นักลงทุนสถาบัน” เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐ กองทุนของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต รวมถึงกองทุนรวมต่าง ๆ ในประเทศ สิ่งเหล่านี้น่าจะยังมีน้อยมากหรือไม่มี แต่ในไม่ช้าก็จะต้องเกิดขึ้น เพราะสังคมของเวียตนามก็น่าจะเริ่มแก่ตัวลงในไม่ช้าเมื่อคนเกิดน้อยลงตามกระแสของโลก การเก็บเงินเพื่อการเกษียณโดยเฉพาะเมื่อคนร่ำรวยและมีฐานะดีขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะกลายเป็นความจำเป็น และเมื่อ “กระแส” นี้เกิดขึ้น ความต้องการที่จะลงทุนในตลาดหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล ดังนั้น หุ้นก็จะเติบโตขึ้นต่อเนื่องยาวนาน และนี่ก็คือสิ่งที่ “ไม่คาดคิด” แต่เป็นสิ่งที่ดีเมื่อเกิด คนที่ลงทุนในหุ้นอยู่ก็จะได้รับ “โบนัส” หรือกำไรจากการที่หุ้นปรับตัวขึ้นไป “ก้อนใหญ่”
นอกจากเรื่องของพื้นฐานของตลาดหุ้นและหุ้นในตลาดที่พร้อมแล้วเกือบทุกด้านสำหรับตลาดหุ้นเวียตนาม สิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ “เครื่องมือ” ในการลงทุน เมื่อ 4-5 ปีก่อนผมเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามและก็พบว่าในช่วง 3-4 ปีแรกไม่ประสบความสำเร็จนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ ผมไม่รู้จักตัวหุ้นดีพอและไม่มีเครื่องมือการลงทุนที่มีประสิทธิภาพเช่น กองทุนรวมหรือ ETF ที่จะหลีกเลี่ยงการเลือกหุ้นเอง ผลก็คือ ผมเลือกลงทุนในหุ้นแบบกระจายมากและคล้าย ๆ กับ “กองทุนหุ้น VI ตัวเล็ก” ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำมากเมื่อเทียบกับดัชนี แต่ในปัจจุบัน มีกองทุนหลายแบบที่เราจะสามารถเลือกลงทุนได้เช่น ETF ของหุ้น 30 ตัวที่น่าจะอิงกับดัชนีตลาดของเวียตนาม ETF Daimond ที่อิงกับหุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกที่มี Foreign Premium หรือหุ้นที่ต่างชาติต้องจ่ายแพงกว่าคนเวียตนาม เป็นต้น ซึ่งกองทุนหรือ ETF เหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้อย่างสะดวกและน่าจะได้ผลตอบแทนตามทิศทางของหุ้นใหญ่ ๆ หรือหุ้นดี ๆ ในตลาดโดยไม่ต้องเลือก ผมเองในช่วงเร็ว ๆ นี้ เวลามีเงินสดจากปันผลหรือการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในตลาดเวียตนาม ผมก็จะลงทุนใน ETF หรือกองทุนเป็นหลักแทนการเลือกหุ้นเองแล้ว
ก่อนที่จะจบ ก็คงต้องเตือนว่า การลงทุนในเวียตนามนั้น ไม่ใช่ว่าจะทำให้ “รวยเร็วมาก” แต่น่าจะรวยเร็วพอใช้ในระยะยาวและผมคิดว่ามีความเสี่ยงต่ำถ้าอยู่นานพอ สิ่งที่พอคาดหวังได้น่าจะเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% และถ้าโชคดีอาจจะถึง 15% ในระยะเวลา 10 ปีนับจากนี้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/02/22/2468
การเกิด Short squeeze เกิดจากการที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้คนที่ทำการ Short sell ไว้ขาดทุนมหาศาลจนต้องยอม Cut loss ไป ซึ่งการ Cut loss ของกลุ่ม Short sell ก็คือการเข้าซื้อหุ้นนั่นเอง จึงเกิดปรากฏการณ์ไล่ซื้อหุ้นทุกราคา ทำให้ราคาหุ้นพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างรุนแรง ยิ่งจำนวน Short sell ในระบบมีมากแค่ไหน หุ้นก็จะยิ่งพุ่งทะยานได้ไกล ซึ่งในกรณีของหุ้น GameStop ที่ราคาพุ่งขึ้นไปกว่า 1,000% ในเวลา 1 สัปดาห์ เป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์ Short squeeze หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ Gamestop มันก็เหมือนจะเริ่มลุกลามไปที่หุ้นตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวรวมถึง Silver ด้วย หลายคนจึงสงสัยว่ามันจะลุกลามมาถึงทองคำได้หรือไม่
ผมมองว่าโอกาสเกิด Short Squeeze ในตลาดทองคำ ถือว่ายากมากแต่ก็พอมีโอกาส ถึงโอกาสจะน้อยก็ตาม มาลองวิเคราะห์กัน ณ ปัจจุบันมูลค่าตลาดทองคำอยู่ที่ 11.7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่หากมองให้ลึกลงไปอีกหน่อย ตัวเลข 11.7 ล้านล้านดอลลาร์นี้ มีประมาณ 47% ที่ใช้ทำเครื่องประดับ หากเรามองว่าตลาดเครื่องประดับไม่เน้นเก็งกำไร ไม่เน้นเทรดกัน และเราสมมติว่าตลาดที่เทรดกันจริง ๆ คือ 53% ของทั้งหมด
ดังนั้นมูลค่าตลาดที่ใช้เก็งกำไรกันจะอยู่ที่ประมาณ 6.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าของคนที่กำลังเล่น Short ทั้งหมด อยู่ที่ 8.7 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 140% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมดเลยทีเดียว ในจุดนี้บอกได้ว่าหากมีการปั่นราคาขึ้นไปได้รุนแรงพอ โอกาสเกิด Short squeeze ที่รุนแรงก็จะเกิดขึ้นได้
และหากมองจากการกระจายตัวของทองคำทั่วโลกแล้ว แน่นอนว่าหากจะมีเจ้ามือในการปั่นราคาก็ต้องเป็นระดับรัฐบาลรัสเซีย จีน และสหรัฐอเมริการ่วมมือกัน แบบนี้ถึงจะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครมาทุบราคาแข่งได้ ในขณะที่กำลังปั่นราคาขึ้นไป Short squeeze ก็จะเกิดได้นั้นเอง แต่การที่จีนกับสหรัฐจะมาร่วมมือกันเห็นจะเป็นเรื่องยาก เหมือนเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ จึงมองว่าโอกาสจะทำ Short squeeze ในทองคำถือว่ายากมาก
ในทางกลับกันการที่จะทุบราคาทองคำก็จะเป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน จากปัจจัยเรื่องเจ้ามือนั่นเอง ตราบใดที่รายใหญ่ระดับ สหรัฐฯ จีน รัฐเซีย ไม่เคลื่อนไหว ใครก็ไม่สามารถปั่นราคาทองคำได้ดั่งใจ นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทองคำมีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ธนาคารกลางทั่วโลกยอมรับมาหลายร้อยปี การลงทุนในทองคำที่ดีคือต้องมองที่พื้นฐานจริง ๆ ระยะยาว หลายคนไปสนใจการเคลื่อนที่ระยะสั้นมากเกินไป ทำให้ทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว กลายเป็นสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นได้
ดั่งคำพูดที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจก่อนจะลงทุน” หากเราไม่เข้าใจ ไม่ว่าอะไรก็เสี่ยงทั้งนั้น คุณว่าจริงไหมครับ….
เครดิต : เทรดเดอร์ อินเตอร์โกลด์
ที่มาบทความ: https://www.intergold.co.th/investor_core/ทองคำมีโอกาสเกิด-short-squeeze-ได้ห/
“รายการที่จะพาทุกคนไปเจาะลึก กับปรัชญา แนวคิดของนักลงทุนระดับ World Class”
หัวข้อ
0:00 Start
0:50 ประวัติของ Warren Buffett
2:35 Warren Buffett กับ Benjamin Graham แตกต่างกันอย่างไร?
3:10 หุ้นจาก Benjamin Graham
5:50 แนวทางการลงทุนและกลยุทธ์การลงทุนของ Warren Buffett
App Spotify
https://finno.me/spotify
App Google podcasts
https://finno.me/googlepodcast
Apple podcast
https://finno.me/applepodcast
App Soundcloud
https://finno.me/soundcloud
Podbean
https://finno.me/podbean
Youtube
https://finno.me/youtubepodcast
ใคร ๆ ก็เปิดบัญชีออนไลน์ ที่ทั้งสะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องสมุดบัญชีหาย แล้วยังได้รับผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปอีกด้วย ในวันนี้เราจะมาตามดูกันว่าบัญชีออนไลน์ของธนาคารไหนให้ผลตอบแทนสูงที่สุด
ให้ดอกเบี้ยที่อัตรา 1.5% สำหรับเงินฝากไม่เกิน 1 ล้าน และส่วนที่เกินจากนั้นจะได้รับดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% โดยจะคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน แต่จะจ่ายออกมาปีละ 2 ครั้ง ในเดือน มิ.ย. และ ธ.ค.
ให้ดอกเบี้ย 1.5% สำหรับเงินฝากไม่เกิน 100,000 และ 0.5% สำหรับส่วนที่เกิน 100,000 โดยจะคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน จ่ายปีละ 2 ครั้งเช่นกัน
ให้ดอกเบี้ย 1.5% สำหรับเงินฝากไม่เกิน 2 ล้าน ส่วนเกินได้ 0.5% โดยจะคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน จ่ายปีละ 2 ครั้งเช่นกัน
Kept จะมีฟังก์ชั่นการเก็บเงินที่แตกต่างจากธนาคารอื่น ๆ ตรงที่จะแบ่งเงินในบัญชีออกเป็นอีก 3 กระปุก คือ Kept Grow Fun ซึ่งส่วนที่ให้ดอกเบี้ยสูงคือที่อยู่ในกระปุก Grow นั่นเอง โดยจะให้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี คงที่ 2 ปี โดยจะคำนวณดอกเบี้ยทุกวัน และจ่ายให้ทุกเดือน เงื่อนไขคือต้องออมขั้นต่ำคราวละ 5,000 นอกจากนี้หากในอนาคตธนาคารมีการปรับลดดอกเบี้ย ยอดเงินที่ฝากมาแล้วยังไม่ได้ถอน ก็จะยังได้ดอกเบี้ยสูงต่อไป
ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 2% แต่ต้องใจเย็น ๆ ก่อน เพราะเงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ยจะจ่ายให้ตามขั้นบันได โดยช่วงที่ได้ดอกเบี้ย 2% คือ 10,001-50,000 เท่านั้น ส่วนในช่วง 50,001 – 100,000 จะได้รับดอกเบี้ย 1%, เกิน 100,000 ขึ้นไปจะได้ 0.2% และช่วงที่ยังไม่ถึง 10,000 จะได้รับดอกเบี้ย 0.2% เช่นกัน เฉลี่ยแล้วดอกเบี้ยที่ได้รับสูงสุดก็จะอยู่ที่ 1.64% นั่นเอง นอกจากนี้ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณเป็นรายวัน และจ่ายทุก ๆ สิ้นเดือน
สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงเรื่อง Reflation Acceleration หรือการเร่งตัวของเงินเฟ้อ กำลังกลายเป็นกระแสร้อนที่บรรดากองทุนขนาดใหญ่ของโลกต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน
ล่าสุดกระแสนี้ได้รับการตอกย้ำจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสหรัฐ 10Y Bond Yield พุ่งขึ้นมาถึง 1.31% โดยเป็นการพุ่งขึ้นมา 4 วันติดกว่า 17 bps เรียกได้ว่าร้อนแรงสุด ๆ
การคาดการณ์เงินเฟ้อ ภาพการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ได้ก่อให้เกิดกระแสอีกกระแสหนึ่งคือ “long-bond sell-offs” หรือเทขายพันธบัตรระยะยาว จนทำให้ดัชนีวัดผลตอบแทนการลงทุนนพันธบัตรระยะยาวของ Bloomberg (Bloomberg Barclays US Treasury Total Return Index) ปรับร่วงกว่า 2% นับตั้งแต่ต้นปี
สภาวะข้างต้นสะท้อนถึงกระแสเงินที่กำลังไหลออกจากตลาดพันธบัตรหรือ Money Market ซึ่งมีขนาดใหญ่ราว ๆ 5.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันได้ปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 5 ล้านล้านเหรียญ
คำถามคือเงินที่ออกจากตลาดพักเงินที่ใหญ่มาก ๆ อย่าง Money Market มันกำลังจะมุ่งไปที่แห่งหนไหน คงไม่ยากที่จะหาคำตอบ เพราะภาพของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกมันฟ้องให้เห็นกันอยู่ทนโท่ ว่ากำลังทะยานปรับเพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน
สินทรัพย์เสี่ยงได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ทั้งการใช้มาตรการการคลังขนาดใหญ่ การใช้งบประมาณขาดดุลรุนแรง การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง การอ่อนค่าของดอลลาร์ การแข็งค่าของเงินหยวน การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Emerging Market และ การกลับมาของเงินเฟ้อ
เรียกได้ว่าสารพัดปัจจัยบวกกำลังถากโถมใส่โลกแห่งการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
ล่าสุดมีปัจจัยบวกใหม่จากการที่เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐ พยายามที่จะลดเงินสดของกระทรวงการคลังที่ฝากอยู่กับธนาคารกลางสหรัฐ (Treasury’s general account) เพื่อระบายสภาพคล่องลงสู่มือประชาชน ซึ่งสถานการณ์นี้จะส่งผลให้ Fed จะต้องกดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำลงไปอีก รวมไปถึงดอลลาร์ที่จะต้องอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นยังมีปัจจัยบวกอื่น ๆ อีก JP Morgan ได้ออกบทวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ Covid-19 มีแนวโน้มจะซาลงในอีก 2 เดือนข้างหน้า หรือภายในเดือนเมษายน ด้วยเหตุผลเรื่องของสภาพอากาศที่กำลังจะพ้นหน้าหนาวและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน รวมไปถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับการประเมินของ Goldman Sachs ว่าประชากรครึ่งหนึ่งของสหรัฐจะได้รับวัคซีนโดสแรกภายในเมษายนนี้
JP Morgan ประเมินว่าแรงกดดัน Covid-19 ที่ลดลง ขณะที่สภาพคล่องในระบบล้มจากการใช้นโยบายการคลังและการเงินผ่อนคลาย จะเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้เปรียบที่สุดคือพลังงานและการเงิน ซึ่งตรงนี้ก็สอดคล้องกับ Goldman Sachs ที่มองเรื่องเงินเฟ้อ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการลงทุนใน Emerging market เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs ได้ออกมาเตือนว่าการลงทุนในสินทรัพย์จะให้ผลตอบแทนที่ดีเฉพาะในครึ่งแรกของปีนี้เท่านั้น ในครึ่งหลังของปีอาจจะเริ่มมีปัจจัยกดดัน อย่างแรกคือ การที่ โจ ไบเดน จะเดินหน้าการขึ้นภาษีนิติบุคคล ในช่วงกลางปี และแรงกดดันที่ 2 คือปลายปี Fed จะเริ่มส่งสัญญาณการลดขนาด QE
ปัจจัยบวกล้นหลามใช่ว่าจะมีแต่คนมองในแง่ดี Bank of America (BofA) ซึ่งเป็นสายสวน (contrarian) ได้ออกมาพยายามเตือนโดยตลอดว่าฟองสบู่กำลังเกิดขึ้นและมันใกล้จะแตกแล้ว
แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่นัก เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัจจัยบวก และเชื่อกันโดยสนิทใจว่าปัจจัยบวกที่อยู่ตรงหน้า มันจะนำพาให้สินทรัพย์เสี่ยงขึ้นสุกสกาววาวแสง
มาถึงบรรทัดนี้ผมอดนึกถึงคำคมของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งไม่ได้ เค้าคือ โจโฉ วาทะอันคำคมคายของเค้าผมได้มาจากซีรีย์เรื่อง สามก๊ก (1994) ตอนที่ 57 โจโฉ ได้พูดเอาไว้ว่า ไม่มีคือมี มีคือไม่มี นี่แลหลักพิชัยยุทธ์
หันมามองที่โลกการลงทุนในปัจจุบัน มันก็ไม่ต่างกัน “ปัจจัยลบที่น่ากลัวที่สุด มันก็คือ การไม่มีปัจจัยลบ” นั่นแล
ประกิต สิริวัฒนเกตุ
ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”
“Hello! IPO รายการที่จะพาทุกคนพบกับกองทุนเปิดใหม่แกะกล่องประจำสัปดาห์ พร้อมแนะนำกองทุน IPO ที่น่าสนใจ”
App Spotify
https://finno.me/spotify
App Google podcasts
https://finno.me/googlepodcast
Apple podcast
https://finno.me/applepodcast
App Soundcloud
https://finno.me/soundcloud
Podbean
https://finno.me/podbean
Youtube
https://finno.me/youtubepodcast
สัปดาห์ที่แล้ว เหมือนมีข่าวดีจากทางการยุโรป ที่ประกาศคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจครั้งใหม่ โดยมองภาพอนาคตในแง่ที่ดีขึ้น
คาดว่ามูลค่าจีดีพีรวมของประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปจะกลับมาเท่ากับช่วงก่อนโควิดราวกลางปีหน้า ในขณะที่ประเทศอิตาลีและสเปน จะเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปีหน้า แม้จะถือว่าเป็นข่าวดี ทว่าหากพิจารณาให้ดีจะพบว่ายุโรปนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีเต็มหลังจากที่ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว หรือในกรณีอิตาลีและสเปนนั้น ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่งเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการด้านการคลังที่มีความเข้มข้นขึ้นกว่าที่วางแผนไว้ในตอนนี้ โดยหากพิจารณาจากสัดส่วนความช่วยเหลือด้านการคลังต่อจีดีพี จะพบว่ายุโรปยังมีน้อยกว่าสหรัฐหลายเท่าตัว
โดยจุดเปราะบางของมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจยุโรป ณ ตอนนี้ คือ ช่วงรอยต่อระหว่างการกระจายวัคซีนล็อตใหญ่ของโควิดกับการถอนเม็ดเงินจากมาตรการด้านการคลังภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า อุปสงค์ของสินค้าและบริการในภาคเอกชนซึ่งจะเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นผ่านการกระจายของวัคซีน ยังจะไม่เพียงพอกับการลดลงของเม็ดเงินผ่านมาตรการด้านการคลังจากรัฐบาลที่จะหายไปตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งจากการเปิดเผยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ พบว่าเยอรมัน สเปน และเนเธอร์แลนด์จะกลับไปมีนโยบายการคลังที่ตึงตัวในปีนี้เสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเอกชนอีกเยอะมากในยุโรปที่ได้รับการอุ้มผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผนวกกับเงินให้เปล่าจากรัฐบาลเพื่อหลีกเลี่ยงการปลดคนงานในช่วงโควิด จะกลับกลายมาเป็นระลอกคลื่นแห่งการล้มละลายของบริษัทเอกชนในยุโรป หลังจากถอดสายน้ำเกลือของรัฐบาลออกไปในช่วงกลางปีนี้ อีกทั้งยังอาจจะมีความเสี่ยงว่าด้วยประชาชนขาดความมั่นใจ โดยการมองโลกในแง่ดีทั่วยุโรปหลังจากโควิดดีขึ้นอาจจะไม่เกิดขึ้นจริง ด้วยความกังวลต่อโควิดได้เปลี่ยนพฤติกรรมของเขาเหล่านั้นไปอย่างถาวร
ท้ายสุด การที่อุปทานที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่ได้หยุดการทำงานในช่วงโควิด ไม่ว่าจะเป็นด้านการบิน โรงแรม สถานบันเทิงและร้านอาหารยามค่ำคืน ได้ปิดตัวลงเป็นเวลานาน เมื่อจะกลับมาค่อย ๆ เปิดทำการตามปกติ ก็จำเป็นต้องใช้มาตรการด้านการคลังหรือเม็ดเงินที่จะสนับสนุนด้านรายได้เพิ่มเติมเพื่อจะให้สามารถกลับมาดำเนินงานได้แบบปกติอีกครั้ง
ด้านสถานการณ์ฝั่งสหรัฐ แม้ว่าจะมีนักเศรษฐศาสตร์ระดับบิ๊กเนมบางท่านออกมาแสดงความกังวลต่องบประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐที่กำลังต่อรองกันในสภาคองเกรส ว่าถือเป็นการใช้งบที่มากกว่าความเสียหายจากโควิดที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาจจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้นแบบคาดไม่ถึง ทว่าสำหรับยุโรปนั้น แตกต่างจากของสหรัฐทั้งในมิติของปริมาณเงินช่วยเหลือและอัตราเงินเฟ้อโดยสิ้นเชิง นั่นคือแม้จะกระตุ้นมากอย่างไร ณ ตอนนี้ ก็คงจะไม่สามารถกระตุ้นให้เงินเฟ้อขึ้นมาสู่อัตราเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในช่วงนี้ รวมถึงความเสียหายจากโควิดก็บอบช้ำกว่าสหรัฐเสียอีก
คราวนี้ มาถึงนายกรัฐมนตรีอิตาลีท่านใหม่แบบถอดด้ามที่พวกเราคุ้นเคยเป็นอย่างดีอย่างมาริโอ ดรากิ อดีตประธานธนาคารกลางยุโรปที่จังหวะนี้ที่มารับไม้ต่อ ถือว่ามาตอบโจทย์ของสถานการณ์ในอิตาลี รวมถึงยุโรปที่กล่าวไว้ข้างต้นแบบลงตัวด้วยประสบการณ์ที่เคยพายุโรปออกจากวิกฤตครั้งก่อนเมื่อราว 10 ปีก่อน โดยมี 2 ขุนพล อย่าง รมต. คลัง อิตาลี นามว่า ดาเนียล ฟรังโก้ ที่คลุกคลีในวงการกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอิตาลีมาตลอดชีวิตการทำงาน ซึ่งน่าจะสามารถใช้ความสามารถของเขาในการบริหารงบลงทุน 2 แสนล้านยูโร จาก EU Recovery Fund ให้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอิตาลี ภายใต้อัตราส่วนหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีของอิตาลีกว่าร้อยละ 120 โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการคลังให้มากกว่าในปัจจุบัน
อีกทั้ง ยังมี รมต. ที่จะจัดการกระตุ้นผ่านการลงทุนภาคธุรกิจ อย่าง วิโทริโอ โคลาโอ อดีตซีอีโอ ของโวดาโฟน ที่ว่ากันว่าเป็นนักธุรกิจที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในวงการโทรคมนาคมของยุโรป ซึ่งจะเป็นผู้นำงบ 2 แสนล้านยูโร จาก EU Recovery Fund มาลงทุนในโครงการต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอิตาลีให้มากที่สุด ท้ายสุด ดรากิยังต้องมีงานหนักที่ต้องทำระบบกฎหมายของอิตาลีให้สามารถเอื้อให้ต่างชาติสามารถมาลงทุนทำธุรกิจในอิตาลีได้ง่ายขึ้น โดยที่เกือบปราศจากปัญหาระบบราชการและคอร์รัปชั่นที่มีมาอย่างยาวนาน
MacroView
ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/652025
ดูผ่าน Facebook:
https://www.facebook.com/finnomena/posts/1465174917161474
ดูผ่าน Youtube:
https://youtu.be/E-EFUjpVoO0
ดาวน์โหลดฟรี! Presentation – FINNOMENA LIVE ตอนล่าสุด (ลิ้งค์หมดอายุใน 7 วัน)
โดย FundTalk และ Mr. Messenger
ข่าวเด่นรอบสัปดาห์
ติดตาม FINNOMENA LIVE ตอนอื่นๆ ได้ที่ : https://www.youtube.com/playlist?list=PLhZeb_wAvs-uop
ผลตอบแทน 10-year treasury note ปรับตัวสูงขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ เดือน กุมภาพันธ์ ปี 2020 ในช่วงวันอังคารของสัปดาห์นี้
ที่มา : https://www.cnbc.com/2021/02/16/us-bonds-treasury-yields-rise-following-presidents-day.html