แจ้งเตือน

ซื้อกองทุน Thai ESG เท่าไหร่ดี? ให้ประหยัดภาษีคุ้มสุด

FINNOMENA FUNDS
ซื้อกองทุน Thai ESG เท่าไหร่ดี

ลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน Thai ESG ซื้อเท่าไหร่ให้คุ้มค่าที่สุด? รายได้เท่านี้ ลงทุน Thai ESG ได้เท่าไหร่ ประหยัดภาษีได้กี่บาท? ใครที่ปีนี้ลงทุนกับ SSF RMF ไปเยอะแล้ว ยังควรซื้อ Thai ESG เพิ่มอีกไหม? บทความนี้จะสรุปให้เห็นภาพแบบชัด ๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปวางแผนภาษีปีนี้ได้อย่างเหมาะสม

ทบทวนเงื่อนไข Thai ESG – SSF – RMF ซื้อได้เท่าไหร่

  • Thai ESG ลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี และไม่เกิน 100,000 บาท
  • SSF ลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี และไม่เกิน 200,000 บาท
  • RMF ลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท

ทั้งนี้ กองทุน SSF กับ RMF เมื่อนำมาคำนวณรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และประกันชีวิตแบบบำนาญ จะลงทุนรวมกันได้ไม่เกิน 500,000 บาท

รายได้เท่านี้ ซื้อ Thai ESG ได้สูงสุดเท่าไหร่ 

หากคำนวณตามเงื่อนไขรายได้ เราจะสามารถซื้อกองทุน Thai ESG หรือ ‘กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน’ ในแต่ละช่วงรายได้ ดังนี้

  • เงินเดือน 15,000 บาท รายได้รวมทั้งปี 180,000 บาท ซื้อ Thai ESG ได้สูงสุด 54,000 บาท
  • เงินเดือน 20,000 บาท รายได้รวมทั้งปี 240,000 บาท ซื้อ Thai ESG ได้สูงสุด 72,000 บาท
  • เงินเดือน 25,000 บาท รายได้รวมทั้งปี 300,000 บาท ซื้อ Thai ESG ได้สูงสุด 90,000 บาท
  • เงินเดือน 35,000 บาท รายได้รวมทั้งปี 420,000 บาท ซื้อ Thai ESG ได้สูงสุด 100,000 บาท
  • เงินเดือน 50,000 บาท รายได้รวมทั้งปี 600,000 บาท ซื้อ Thai ESG ได้สูงสุด 100,000 บาท
  • เงินเดือน 100,000 บาท รายได้รวมทั้งปี 1,200,000 บาท ซื้อ Thai ESG ได้สูงสุด 100,000 บาท
  • เงินเดือน 500,000 บาท รายได้รวมทั้งปี 6,000,000 บาท ซื้อ Thai ESG ได้สูงสุด 100,000 บาท

(หมายเหตุ: วงเงินลดหย่อนของ Thai ESG จะไม่นับรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ)

วิธีวางแผนลงทุน Thai ESG ให้ประหยัดภาษีแบบคุ้มค่า

ตัวเลขข้างต้นนั้นเป็นจำนวนเงินสูงสุดที่เราสามารถลงทุนได้ แต่ถ้าอยากรู้ว่าควรซื้อกี่บาทถึงจะเหมาะสมและพอดีกับการวางแผนภาษี สิ่งที่ต้องทำก็คือการคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อหาฐานภาษีตามขั้นบันได

โดยใช้สูตร เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

ตัวอย่างเช่น: เราเป็นพนักงานออฟฟิศ รายได้ต่อเดือน 50,000 บาท รวมเป็นรายได้ต่อปี 600,000 บาท 

จากนั้นให้นำไปหักค่าใช้จ่ายส่วนตัว 100,000 บาท (รายได้ประจำสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท) และหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ที่มี ซึ่งพื้นฐานเลยก็อย่างเช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ประกันสังคม 9,000 บาท เป็นต้น

คิดตามนี้ แปลว่าเงินได้สุทธิ เท่ากับ 600,000 – 100,000 – 60,000 – 9,000 = 431,000 บาท

แล้วค่อยนำเงินได้สุทธิจำนวนนี้ไปคำนวณตามเงื่อนไขของ ThaiESG ที่ลงทุนได้สูงสุด 30% และไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งในกรณีนี้เราจะลงทุนได้เต็มแม็กที่จำนวน 100,000 บาท

อย่างไรก็ดี แม้การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะช่วยเปลี่ยนภาษีที่ต้องจ่ายเป็นเงินออมได้มากเท่านั้น และยังตอบโจทย์เป้าหมายการเงินในระยะยาว แต่อย่าลืมพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ในชีวิตควบคู่กันไปด้วย อาทิ

1. สภาพคล่องทางการเงิน: ถ้าลงทุนแล้วจะทำให้เงินขาดมือ หรืออาจเกิดปัญหาทางการเงินตามมาหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า Thai ESG รวมทั้ง SSF RMF เป็นการลงทุนระยะยาวในการรอคอย

2. ผลตอบแทนและความเสี่ยงที่รับได้: ควรเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง ถ้ารู้ตัวว่ารับความเสี่ยงจาก Thai ESG ไม่ได้ การมองหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีอื่น ๆ น่าจะเหมาะกว่า

3. ฐานภาษีของตัวเอง: ยิ่งฐานภาษีสูง การลดหย่อนยิ่งจำเป็นและคุ้มค่า แต่ถ้าไม่ได้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอขนาดนั้น แนะนำให้ซื้อเพื่อลดฐานภาษีตัวเองลงก็ได้ เช่น ตอนนี้เสียภาษีที่ฐาน 15% เราก็ซื้อ Thai ESG เพื่อให้ฐานภาษีเหลือ 10% เพื่อจะได้จ่ายภาษีเบาลง

สุดท้ายนี้ FINNOMENA FUNDS สรุปออกมาเป็นตารางให้เห็นภาพชัด ๆ ว่าเราสามารถซื้อ  SSF-RMF ควบคู่กับ Thai ESG ได้เท่าไหร่ แบบเต็มแม็ก โดยคิดจากเงินได้สุทธิ พร้อมเปรียบเทียบกับฐานภาษีในแต่ละช่วง เพื่อให้ทุกคนนำไปวางแผนต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น

ซื้อกองทุน Thai ESG เท่าไหร่ดี

คำอธิบายตารางเพิ่มเติม

  • เงินได้สุทธิ คือรายได้รวมทั้งปี หักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ 
  • เงินลงทุนสูงสุด คำนวณจากเงื่อนไข SSF ที่ลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ สูงสุด 200,000 บาท, RMF ไม่เกิน 30% ของรายได้ สูงสุด 500,000 บาท และเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
  • ThaiESG ลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ สูงสุด 100,000 บาท ไม่ต้องนับรวมกับกองทุนอื่น ๆ 

คำเตือน: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน

บลจ. เกียรตินาคินภัทร ออก 2 กองทุนใหม่ KKP EQ THAI ESG และ KKP GB THAI ESG หนุนการออมระยะยาว พร้อมลดหย่อนภาษี

FINNOMENA Editor
Thaiesg เกียรตินาคินภัทร

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) ตอบรับนโยบายของภาครัฐ ส่งเสริมการลงทุนระยะยาวเพื่อความยั่งยืน เสนอขาย 2 กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (THAI ESG) ได้แก่ กองทุนเปิดเคเคพี หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน (KKP EQ THAI ESG)

เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประเมิน ESG Score Rating ที่ดีเป็นหลัก และ กองทุนเปิดเคเคพี พันธบัตรรัฐบาลไทยเพื่อความยั่งยืน (KKP GB THAI ESG) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน (ESG) เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวและต้องการลดหย่อนภาษี โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม

นอกเหนือไปจากการลงทุนในกองทุน SSF RMF หรือกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเพิ่มได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน หรือสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้จะมีการเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 8 – 14 ธันวาคม 2566 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

กองทุน KKP EQ THAI ESG ระดับความเสี่ยง 6 เป็นกองทุนตราสารทุนที่บริหารการลงทุนแบบ Active และมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและได้รับการประเมิน SET ESG Rating ไม่ต่ำกว่า BBB Rating โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนจะมีค่าเฉลี่ย SET ESG Rating ในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่า A ตามวิธีการคำนวณของบริษัทจัดการ

สำหรับกองทุน KKP GB THAI ESG ระดับความเสี่ยง 3 เป็นกองทุนตราสารหนี้ที่บริหารการลงทุนแบบ Active โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทย และกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน เช่น ตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศด้านการบริหารการลงทุนที่เน้นความยั่งยืนของ บลจ.เกียรตินาคินภัทร ได้รับการยืนยันโดยรางวัลบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดีเด่นด้าน ESG จากเวที SET AWARDS 2023 ซึ่งแสดงถึงการให้ความสำคัญกับการนำหลัก ESG มาปรับใช้ในกระบวนการลงทุนและนำหลัก ESG มาใช้ประกอบในการพิจารณาการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนในระยะยาว

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 305 9559 หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือ https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

ข้อมูลกองทุน KKP EQ THAI ESG และ KKP GB THAI ESG :
เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 8 – 14 ธันวาคม 2566
มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

บลจ. กสิกรไทย ชวนคนรักษ์โลกลงทุน K-TNZ-ThaiESG กองทุนแรกในไทยที่มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

FINNOMENA Editor
Thaiesg กสิกรไทย

บลจ. กสิกรไทย รุกตลาดหุ้นไทยกลุ่ม ESG พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี SET100 ผ่านกองทุน K-TNZ-ThaiESG กองทุนแรกของไทยที่กลยุทธ์การลงทุนมีเป้าหมายช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ได้เร็วขึ้น เสริมทัพด้วยพันธมิตรที่ปรึกษาและใช้โมเดลคัดสรรหุ้นจาก Lombard Odier เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารพอร์ตลงทุน เสนอขายครั้งแรก 8-21 ธ.ค.นี้ พบโปรโมชั่นพิเศษเมื่อลงทุน ThaiESG/SSF/RMF กสิกรไทย รับ Fund Back สูงสุด 1,200 บาท

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA, Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและร่วมกันหาทางแก้ไข  รวมถึงประเทศไทยที่ทั้งภาครัฐและเอกชนมุ่งสร้างความร่วมมือในการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Target Net Zero) เพื่อสร้างความสมดุลให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตควบคู่ไปกับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยพร้อมสนับสนุน ผลักดัน และเติบโตไปกับธุรกิจเหล่านี้เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จึงได้จัดตั้งกองทุน K-TNZ-ThaiESG หรือ กองทุนเปิดเค Target Net Zero หุ้นไทย ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน โดยเปิดเสนอขายครั้งแรกในระหว่างวันที่ 8 – 21 ธันวาคม 2566

นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-TNZ-ThaiESG เป็นกองทุนแรกของไทยที่มีกลยุทธ์บริหารพอร์ตลงทุนโดยมีเป้าหมายให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของพอร์ตลงทุนเฉลี่ยต่ำกว่าดัชนีชี้วัด (SET100) ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แผนการจัดการ และตั้งเป้าหมายเพื่อบรรลุการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างชัดเจน ส่งผลให้กองทุน K-TNZ-ThaiESG มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission) และ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ย (Implied Temperature Rise) ที่น้อยลงเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด

อีกหนึ่งความน่าสนใจของกองทุน K-TNZ-ThaiESG อยู่ที่การมีปรึกษาด้านการลงทุนที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง Lombard Odier ซึ่งเป็นบริษัทจัดการลงทุนชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนมาอย่างยาวนาน โดยกองทุน K-TNZ-ThaiESG ได้ใช้โมเดลที่พัฒนาโดย Lombard Odier ซึ่งได้รับการตรวจสอบและยอมรับในระดับสากล มาใช้ในกระบวนการวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้น

“บลจ. กสิกรไทย เป็นบริษัทจัดการลงทุนในไทยที่ให้ความสำคัญต่อประเด็นด้าน ESG อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 โดยได้เริ่มนำหลักการมาปรับใช้ในทุกขั้นตอนของการบริหารจัดการกองทุน รวมถึงมีการจัดตั้งกองทุนธีมหุ้น ESG ที่หลากหลายทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นบลจ. แรกในไทยที่ได้รับอนุมัติจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) และปัจจุบันเป็นบลจ.เดียวในไทยที่เข้าร่วมลงนาม Principles for Responsible Investment (PRI Signatory) ซึ่งเป็นหลักการลงทุนที่รับผิดชอบในระดับสากลที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations) รวมถึงมีการจัดทำรายงานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามหลักการลงทุนอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุนและสังคมไทยในระยะยาว” นางสาวธิดาศิริกล่าว

นางสาวธิดาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมอีก 100,000 บาทจากการลงทุนในกองทุน ThaiESG โดยกองทุนมีระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษเมื่อลงทุนในกองทุน K-TNZ-ThaiESG และ SSF/RMF นับรวมทุกช่องทางการซื้อ ครบทุก 50,000 บาท รับ Fund Back หน่วยลงทุน K-FIXEDPLUS-A 100 บาท (สูงสุด 1,200 บาท) สิ้นสุดวันที่ 28 ธันวาคมนี้

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกในอนาคตจะส่งผลกระทบที่รุนแรงเป็นวงกว้างต่อทั้งธรรมชาติและมนุษย์ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่มากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส จะเป็นจุดหายนะอันนำมาซึ่งความเสียหายที่ไม่อาจประเมินค่าได้ และเกินกว่าจะแก้ไขให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมดังเดิมได้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย

ขอเชิญชวนให้ผู้ลงทุนได้ตระหนักและสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เพื่อลูกหลานของเราจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างปลอดภัยในวันข้างหน้า วันนี้เราจึงควรต้องหันมาใส่ใจโลกควบคู่ไปกับการลงทุนผ่านกองทุน K-TNZ-ThaiESG เริ่มต้นเพียง 500 บาท ซื้อง่ายปลอดภัยผ่านทุกช่องทางของธนาคารกสิกรไทยและผู้แทนสนับสนุนการขาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

มีเป้าหมายแบบนี้ ควรลงทุนในอะไรดี?

Finspace
มีเป้าหมายแบบนี้ ควรลงทุนในอะไรดี?
เคยเป็นกันมั้ยครับ? อยากจะเก็บเงินเพื่อเป้าหมายนี้ แต่ไม่รู้ว่าควรจะลงทุนในสินทรัพย์อะไรดี เพื่อให้เหมาะสมมากที่สุด? วันนี้ Finspace ยกตัวอย่างการจับคู่เป้าหมายกับสินทรัพย์ทางการเงินมาให้ ตามนี้เลย

มีเป้าหมายแบบนี้ ควรลงทุนในอะไรดี?

1. เงินสำรองฉุกเฉิน

มีเป้าหมายเพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ดังนั้นต้องมีสภาพคล่องสูง ถอนใช้ง่าย และความเสี่ยงต่ำ ซึ่งสินทรัพย์ที่เหมาะสม คือ บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง (บัญชีดิจิทัล) หรือกองทุนรวมตลาดเงิน

2. ดาวน์รถ ดาวน์บ้าน

เป็นเป้าหมายระยะกลาง (3-5 ปี) ดังนั้นควรลงทุนความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง เพื่อรักษาเงินต้นและให้ชนะเงินเฟ้อในระยะกลาง ซึ่งสินทรัพย์ที่เหมาะสม คือ บัญชีฝากประจำปลอดภาษี กองทุนรวมตราสารหนี้ สลากออมทรัพย

3. แต่งงาน เตรียมมีลูก

สำหรับคู่รักที่วางแผนเตรียมสร้างครอบครัวที่อบอุ่น อย่างการเก็บเงินแต่งงาน หรือเตรียมพร้อมสำหรับการมีลูก จะเป็นเป้าหมายระยะกลางเช่นเดียวกับดาวน์บ้าน ดาวน์รถ ควรลงทุนความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางเพื่อรักษาเงินต้น ซึ่งสินทรัพย์ที่เหมาะสม คือ บัญชีคู่ฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมผสม

4. เก็บเงินให้ลูก

ครอบครัวที่อยากมีเงินก้อนไว้ให้ลูกในวันที่ลูกเรียนจบ เพื่อเป็นก้าวแรกสำหรับเข้าสู่วัยทำงาน หรือไว้เป็นต้นทุนสร้างธุรกิจของตัวเอง ซึ่งกว่าลูกจะเรียนจบมหาวิทยาลัยก็คงมีเวลาประมาณ 22 ปี ดังนั้นจึงสามารถนำเงินไปลงทุนความเสี่ยงสูง เพื่อให้เงินต้นงอกเงยได้เร็ว ซึ่งสินทรัพย์ที่เหมาะสม คือ ทองคำแท่ง หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนรวมหุ้น ประกันสะสมทรัพย์

5. อยากเป็นเสือนอนกิน (Passive Income)

เป็นความฝันของใครหลายคนเลยที่อยากมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องใช้แรงทำเงิน แต่เงินทำงาน หรือที่รู้จักกันว่า Passive income นั่นเอง ซึ่งสินทรัพย์ที่เหมาะสม คือ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หุ้นปันผล กองทุนรวมปันผล อสังหาริมทรัพย์

6. เกษียณอายุ

บั้นปลายชีวิตของเราทุกคนคือการเกษียณอายุ จะช้า จะเร็วก็อยู่ที่การวางแผนล้วน ๆ ส่วนใหญ่จะมีระยะเวลานาน อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป จึงสามารถนำไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในระยะยาวได้ ซึ่งสินทรัพย์ที่เหมาะสม คือ หุ้น กองทุนรวม SSF RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ ประกันบำนาญ ประกันออมทรัพย์

อย่าลืมประเมินความเสี่ยงของตัวเอง และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมกันด้วยนะค้าบ

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/photo/?fbid=656002300030011&set=a.539585708338338

บลจ. อีสท์สปริง เปิดตัวกองทุน ES-SETESG เน้นสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมลดหย่อนภาษี

FINNOMENA Editor
Thaiesg อีสท์สปริง

นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ. อีสท์สปริง เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี สอดรับกับนโยบายภาครัฐในการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund หรือ ThaiESG) โดยมีให้เลือก 2 รูปแบบการลงทุน คือ กองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนสะสมมูลค่า (ES-SETESG-THAIESG-A) และกองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนปันผล (ES-SETESG-THAIESG-D) รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 8-18 ธันวาคม 2566

กองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนสะสมมูลค่า (ES-SETESG-THAIESG-A) และกองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนปันผล (ES-SETESG-THAIESG-D) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุนที่เน้นลงทุนหุ้นของบริษัทที่มีความโดดเด่นในการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยทีมผู้จัดการกองทุนจะลงทุนเชิงรับ (Passive Management) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงตามดัชนี SETESG Index ซึ่งดัชนีดังกล่าวมีแนวทางคัดเลือกบริษัทคือ 1. เป็นบริษัทที่มีผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ที่ระดับ BBB ขึ้นไป ล่าสุดซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 2. เป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท 3. มีสัดส่วนผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อย (Free-float) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุนชำระแล้ว 4. มีปริมาณการซื้อขายไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนของบริษัท เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 9 ใน 12 เดือน 5. ไม่จำกัดจำนวนหลักทรัพย์ในดัชนี ปัจจุบันอยู่ราว 114 บริษัท และ 6. มีการปรับองค์ประกอบในช่วงเดือนมกราคม และกรกฎาคม ของทุกปี

“จุดเด่นของกองทุนอีสท์สปริง SETESG ทั้ง ES-SETESG-THAIESG-A และ ES-SETESG-THAIESG-D คือ การเติบโตของเงินลงทุนอย่างยั่งยืนจากการบริหารจัดการ ESG ที่ดี โดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ยาวนาน มีต้นทุนการบริหารจัดการที่ต่ำ มีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการเพียง 0.5% อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาที่ถือครองเป็นระยะเวลา 8 ปีขึ้นไป สามารถหักลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 30% ของรายได้ หรือไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี โดยไม่รวมกองทุนอื่นๆ หรือการประกันชีวิตที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี กองทุนดังกล่าวจึงเหมาะกับผู้ลงทุนระยะยาว” นางสาวดารบุษป์ กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุนทั้งชนิด ES-SETESG-THAIESG-A และ ES-SETESG-THAIESG-D ยอดเงินลงทุนทุกๆ 50,000 บาท รับสิทธิพิเศษเป็นหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดธนชาตบริหารเงิน (T-CASH) มูลค่า 100 บาท จนถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2566

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

บลจ. กรุงศรี เสนอขายกองทุน KFTHAIESG โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน เติบโตไปกับหุ้น ESG

FINNOMENA Editor
Thai ESG กรุงศรี

KFTHAIESG โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน เติบโตไปกับหุ้น ESG เสนอขายครั้งแรก 8 -18 ธันวาคม 2566 ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท

นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ. กรุงศรี) เปิดเผยว่า “บลจ. กรุงศรี เตรียมเสนอขายกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ “Thai ESG Fund” หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ในชื่อกองทุนเปิดกรุงศรีเอ็นแฮนซ์เซ็ทไทยเพื่อความยั่งยืน (KFTHAIESG) มีนโยบายเน้นลงทุนหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ผสมผสานระหว่างการลงทุนแบบ passive และ active management โดยสัดส่วนของพอร์ตการลงทุนประมาณ 90% จะลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนของพอร์ตรวมออกมาใกล้เคียงกับผลตอบแทนดัชนี SET ESG ที่สุด และอีก 10% จะใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกเพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม มีให้เลือกลงทุนได้ 2 แบบคือกองทุน KFTHAIESGA ไม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลและ KFTHAIESGD มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล”

ทั้งนี้ กองทุน KFTHAIESG จะแยกวงเงินลดหย่อนต่างหาก ไม่รวมกับเงินลงทุนใน SSF / RMF และการลงทุนเพื่อเกษียณอายุอื่นๆ นักลงทุนที่ลงทุนเต็มสิทธิ์ในกองทุน SSF / RMF แล้ว สามารถลงทุนเพิ่มในกองทุน KFTHAIESG เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี โดยมีระยะเวลาถือครอง 8 ปี นับจากวันที่ลงทุน

บลจ. กรุงศรี มองว่าปัจจุบันเป็นช่วงที่ดีในการทยอยสะสมหุ้นไทย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย การทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักทั่วโลก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ESG ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

สำหรับประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับ ESG เพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่มีการจัดสรรเงินลงทุนในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ESG และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านภาครัฐและภาคธุรกิจก็ให้ความสำคัญกับการลงทุนตามกรอบ ESG มากขึ้นเช่นกัน รวมทั้งบริษัทจัดอันดับระดับโลกก็มีการให้คะแนนด้าน ESG แก่กองทุนต่างๆด้วย เช่น Morningstar Sustainability rating และ MSCI ESG fund เป็นต้น

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 พบว่ามีบริษัทที่ถูกจัดอยู่ใน SETTHSI Index (ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น SETESG Index ในวันที่ 6 พ.ย. 66) มีจำนวน 115 บริษัท และมี Market Cap รวมกันประมาณ 12.38 ล้านล้านบาท เทียบกับ Market Cap รวมของ SET Index ซึ่งอยู่ที่ 19.21 ล้านล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่ของไทยให้ความสำคัญกับ ESG และมีสภาพคล่องในการลงทุนที่สูงมาก

ในมุมของผลตอบแทน ดัชนีผลตอบแทนรวมของ SETESG (SETESG TRI) ก็ให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET TRI) ถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลังระยะยาวสัก 3 ปี จะเห็นว่า SETESG TRI มีผลตอบแทนอยู่ที่ 10.87% ต่อปี ดัชนี SET TRI อยู่ที่ 7.99% ถ้าดูย้อนหลัง 5 ปี SETESG TRI มีผลตอบแทน อยู่ที่ -0.32% ต่อปี ดัชนี SET TRI อยู่ที่ -0.78%” (ที่มา :ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 /ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต)

การนำปัจจัยด้าน ESG มาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนมีส่วนช่วยในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และลดความเสี่ยงของการลงทุนได้ เช่น บริษัทที่มีการปล่อยมลภาวะน้อย จะประสบปัญหาด้านกฏระเบียบน้อยกว่า และมีความเสี่ยงที่จะถูกต่อต้านจากชุมชนน้อยกว่า ดังนั้น โอกาสที่ราคาหุ้นจะผันผวนก็จะน้อยกว่าบริษัทที่ปล่อยมลภาวะสูง เพราะอาจถูกทางการใช้กฏเกณฑ์ต่างๆเข้ามาควบคุม ทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างเต็มที่ รวมถึงอาจจำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเพื่อให้สามารถลดการปล่อยมลภาวะลงให้เป็นไปตามเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดซึ่งเกิดขึ้นในต่างประเทศ ได้แก่ การที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอน ในขณะที่บริษัทผลิตไฟฟ้าในจีนหลายแห่งยังคงผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้บริษัทผลิตไฟฟ้าจำเป็นต้องหยุดการผลิตเป็นช่วงๆเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน เป็นผลให้ภาคการผลิตของจีนหยุดชะงัก เป็นต้น

“บลจ. กรุงศรี ให้ความสำคัญกับ ESG เป็นอย่างมาก โดยการพิจารณาลงทุนได้ให้ความสำคัญกับ ESG และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ สะท้อนให้เห็นได้จากการได้รับรางวัล Outstanding Asset Management Company Awards – ESG ประจำปี 2565 จากงาน SET Awards 2022 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้บริษัทที่มีความโดดเด่นในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำหนดนโยบายการลงทุนด้าน ESG ของบริษัท” นางสุภาพร กล่าว

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

จัดพอร์ตหลังเกษียณแบบสมดุลตามอายุด้วย กฎ 100-อายุ

WealthGuru
จัดพอร์ตหลังเกษียณแบบสมดุลตามอายุ

โดยทั่วไป การจัดพอร์ตหลังเกษียณ มักถูกสอนว่า จะต้องความเสี่ยงต่ำ

แต่ในปัจจุบันนี้ คนเราอายุยืนขึ้นลงทุนพอร์ตความเสี่ยงต่ำ อาจจะไม่เพียงพอ

ดังนั้นจึงมีหลากหลายวิธีในการจัดพอร์ตลงทุนหลังเกษียณ ผมขอยกตัวอย่าง 3 แบบ

ข้อ 3 นี่เอง นักลงทุนก็อาจจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ โดย สัดส่วนของหุ้น = กฎ 100-อายุ

เช่น เกษียณอายุ 60 หุ้นจะมีสัดส่วน 100 – 60 = 40% เป็นต้น

แต่ก็ปรับนำมาใช้ชีวิตจริง ก็อาจจะมีการปรับดังนี้

– เพิ่มทองคำ 5%

– ปรับสัดส่วนใหม่ทุก 3 ปี ไม่จำเป็นต้องปรับทุกปี

ผมใช้กองทุนดังต่อไปนี้ในการจัดพอร์ตแบบง่าย ๆ

TMBWDEQ ตัวแทนของหุ้นโลก

K-FIXED-A ตัวแทนของตราสารหนี้

SCBGOLD เป็นตัวแทนทองคำ

โดยผลตอบแทนย้อนหลังเป็นดังนี้

กองทุน ผลตอบแทนต่อปีย้อนหลัง 10 ปี
TMBWDEQ 8.08%
K-FIXED-A 2.18%
SCBGOLD 4.91%

ดังนั้นก็จะได้การจัดพอร์ตใหม่ โดยจะมีผลตอบแทนเปรียบเทียบกันระหว่าง ถ้าจัดพอร์ตในชีวิตจริง กับ ถ้าจัดพอร์ตแบบเสี่ยงต่ำจัดพอร์ตหลังเกษียณแบบสมดุลตามอายุ

จะเห็นได้ว่า การจัดพอร์ตแบบ สมดุลตามอายุ ผลตอบแทนจะค่อย ๆ ลดลง ไม่เหมือนกรณีถ้าจัดพอร์ตแบบความเสี่ยงต่ำเลย

แม้การจัดพอร์ตแบบสมดุลตามอายุจะมีประโยชน์ แต่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

ดังนั้นผู้ใช้แบบนี้ก็จะได้เข้าใจและรับความเสี่ยงนี้เช่นเดียวกัน

WealthGuru

บลจ. บัวหลวง พร้อมเสนอขายกองทุน B-TOP-THAIESG สานเป้าหมายของการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อ ESG

FINNOMENA Editor
Thaiesg บัวหลวง

BBLAM พร้อมเสนอขายกองทุน B-TOP-THAIESG 8-15 ธันวาคมนี้ สนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน สานเป้าหมายของการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อ ESG

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BBLAM กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21พฤศจิกายน 2566 ที่เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund “Thai ESG”) เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว และส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ดำเนินงานตามหลัก ESG โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลที่ดีนั้นBBLAM ตระหนักและเห็นความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน จึงกำหนดทิศทางและเป้าหมายของการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า ตลอดจนเกิดประโยชน์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) เพราะเชื่อว่าการลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึง ESG และให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

“ขณะนี้ เราเตรียมความพร้อมในการเสนอขายกองทุน Thai ESG ในช่วงเดือน ธ.ค. 2566 ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสม เพราะดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวลงมามากแล้ว อยู่ระดับ 1,400 จุด เป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ลงทุนในหุ้นในราคาที่น่าสนใจ และหากมองไประยะข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตได้ดีกว่าในปีนี้ จากภาคส่งออกและงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลที่มีผลบังคับใช้ ทั้งยังมีความหวังจากรัฐบาลที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุน เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวและเสริมว่า กองทุน B-TOP-THAIESG นี้ จะเน้นลงทุนหุ้น ESG 10 ตัวที่ผู้จัดการกองทุนคาดหมายให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานและการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแข็งแกรงกับบริษัทจดทะเบียนนั้น มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์กรและการดำเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อกองทุน ลดความเสี่ยงด้านความไม่ยั่งยืน และส่งผลต่อผลการดำเนินงานที่สร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน

สำหรับนโยบายการลงทุนและวัตถุประสงค์การลงทุนที่เกี่ยวกับความยั่งยืน กองทุนจะลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และหรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET หรือองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงาน ก.ล.ต.ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) หรือด้านความยั่งยืน (Environmental Social and Governance: ESG) โดยผ่านกระบวนการวิเคราะห์การลงทุนแบบ ESG Integration ซึ่งผู้จัดการกองทุนคาดหมายว่าจะให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด 10 อันดับแรก โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ ในระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงการลงทุนในหุ้นของบริษัท 10 อันดับแรก จํานวนหลักทรัพย์ดังกล่าวจะไม่เกิน 12 บริษัท

นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Business Distribution กล่าวว่า BBLAM ยังคงเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ลงทุน ทั้งสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนโดยรวมในระยะยาว ล่าสุด เตรียมเปิดเสนอขาย กองทุนรวมบัวหลวงทศพลไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ B-TOP-THAIESG ครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 8-15 ธันวาคม 2566 นี้ โดยเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ที่จะทำให้คนไทยมีความสุขมากขึ้น และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นสูงสุด 100,000 บาท ตามเงื่อนไขภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด

สำหรับ กองทุน ThaiESG กำหนดให้มีระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท อย่างไรก็ดี การตั้งกองทุน ThaiESG เป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพิ่มเติม ทำให้ปีนี้ผู้ลงทุนได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมอีก 100,000 บาท จากเดิมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) และกองทุน SSF (กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว) ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (นับรวมกองทุนกลุ่มเพื่อการเกษียณทั้งหมด เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ)

ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน B-TOP-THAIESG สามารถสอบถามข้อมูลกองทุน ได้ที่ BBLAM โทร. 02-674-6488 กด 8 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง และสำหรับการลงทุนผ่านช่องทางธนาคารกรุงเทพ กองทุนนี้สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพได้ตั้งแต่วันที่ 8 ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2566 ได้อีกด้วย

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

บลจ. กรุงไทย เปิดโพยกองทุน ThaiESG ส่งเสริมการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี

FINNOMENA Editor
Thaiesg กรุงไทย

KTAM เปิดโพยกองทุน “ThaiESG” เสนอขายครั้งแรก 8-18 ธันวาคมนี้ ส่งเสริมการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี พร้อมมุ่งมั่นใส่ใจเพื่อผลตอบแทนที่ยั่งยืนมุ่งมั่นใส่ใจ

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG ได้มีความสำคัญมากขึ้น รวมทั้งปัญหาความเพียงพอของการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพหลังเกษียณอายุ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาอย่างเร่งด่วนของประเทศไทย ดังนั้น กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ Thai ESG จึงเป็นทางเลือกในการออมและลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีควบคู่ไปกับการมีส่วนสร้างความยั่งยืน ครอบคลุมทุกมิติของ ESG บริษัทฯ จึงได้เปิดเสนอขายกลุ่มกองทุน KRUNGTHAI Thailand ESG Fund โดยเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 8 – 18 ธันวาคม 2566 นี้ และเปิดให้ลงทุนต่อได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป

กลุ่มกองทุน KRUNGTHAI Thailand ESG Fund เป็นกองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ลงทุนในหุ้นไทย และ/หรือตราสารหนี้ไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG ตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด อีกทั้งยังมีการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของกองทุนรวมตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ SRI Fund ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแต่ประเภทของทรัพย์สินในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยกองทุนประเภทนี้กำหนดให้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทในปีภาษีนั้น ๆ ไม่กำหนดจำนวนเงินซื้อขั้นต่ำ ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกปี และจะต้องลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 8 ปีแบบวันชนวัน

สำหรับกลุ่มกองทุน KRUNGTHAI Thailand ESG Fund มีให้เลือกลงทุนถึง 3 กองทุนตามเป้าหมายการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่รับได้ ประกอบด้วย 1) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade 70/30 (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTAG70/30-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5) เน้นการลงทุนในหุ้นที่มี SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% และตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 30% ของ NAV เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนผสม และยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง

2) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG50 (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTESG50-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ประมาณ 50 ตัวแรกที่อยู่ในดัชนี SET ESG Index และอยู่ใน Universe ของ KTAM ซึ่งผ่านการวิเคราะห์ด้าน ESG ของ KTAM ควบคู่กัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีการติตตามทั้งด้านผลการดำเนินงาน และ ESG ของบริษัทจดทะเบียนที่ได้เข้าไปลงทุนอยู่สม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนหุ้น และยอมรับความเสี่ยงได้สูง

และ 3) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTAG-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ที่มี SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป หรือได้รับการจัดอันดับในระดับที่สามารถเทียบเคียงได้กับระดับ A ขึ้นไป จากองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงาน ก.ล.ต. ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือด้านความยั่งยืน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนจะเน้นการบริหารแบบเชิงรุก โดยใช้กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite ด้วยการวางสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาดตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจในส่วนหลัก พร้อมกับจับจังหวะการลงทุนตามมุมมองระยะสั้นถึงกลางเป็นส่วนเสริม เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการเลือกหุ้นรายตัวโดยผู้จัดการกองทุน เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนหุ้น และยอมรับความเสี่ยงได้สูง จากการลงทุนในหุ้นไทยกลุ่ม ESG และผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุนที่บริหารแบบ Active Management เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง

“สำหรับหุ้นกลุ่ม ESG มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ต่อเนื่องจาก Fund Flow ที่มีแนวโน้มจะไหลเข้าสู่หุ้น ESG มากขึ้น และจากความได้เปรียบในการทำธุรกิจที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือกันในระดับโลก รวมถึงมีแนวโน้มที่จะตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้ดี อีกทั้งตลาดยังมีแนวโน้มให้ premium มากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านผลตอบแทนที่ดีขึ้น และที่สำคัญกว่านั้น การเน้นหุ้นกลุ่ม ESG ยังช่วยบริหารความเสี่ยงได้มีประสิทธิภาพอีกด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา หุ้นบางกลุ่มที่มีปัญหาด้าน ESG อย่างเช่นเหตุการณ์ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือการทุจริตภายในองค์กร ทำให้ราคาหุ้นเหล่านั้นปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอัตราการกู้ยืมเงินของบริษัทเหล่านั้นสูงขึ้นตาม นอกจากนี้ กองทุน Thai ESG ยังเป็นการสร้างเสถียรภาพของตลาดทุนไทย และเป็นช่องทางการออมพร้อมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ด้วยความร่วมมือของหลายภาคส่วนทำให้มั่นใจได้ว่า การลงทุนจะมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้อย่างแท้จริง” นางชวินดา กล่าว

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือธนาคารกรุงไทยและผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (ถ้ามี) หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

บลจ. พรินซิเพิล เปิดตัวกองทุน “พรินซิเพิล อิควิตี้ ESG” รับสิทธิ 2 ต่อ ลดหย่อนภาษีปี 66 และโปรโมชันลูกค้า

FINNOMENA Editor
thaiesg principal

บลจ. พรินซิเพิล เปิดตัวกองทุนเปิด “พรินซิเพิล อิควิตี้ ESG” ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน กองทุนลดหย่อนภาษีทางเลือกใหม่ มุ่งเน้นลงทุนในตราสารทุนที่ได้รับคัดเลือก ESG ในประเทศไทย ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ตั้งแต่ปี 2566 ชูจุดเด่น 3 ด้าน ทั้งนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนีความยั่งยืนจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ มีกระบวนการคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบ และบริหารจัดการโดยทีมผู้จัดการกองทุนประสบการณ์สูง การันตีด้วยรางวัล Best Asset Management Awards จากงาน SET Awards ปีล่าสุด เสนอขายครั้งแรกวันที่ 8-20 ธันวาคมนี้ พร้อมโปรโมชั่นเมื่อมียอดซื้อสะสมทุก 5 หมื่นบาท รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด PRINCIPAL DPLUS มูลค่า 100 บาท

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังมีนโยบายสนับสนุนการออกกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ Thailand ESG (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน) นอกจากการลงทุนในกองทุน SSF และ RMF และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ได้ตั้งแต่ปีภาษี 2566 เพื่อสนับสนุนการลงทุนระยะยาวเพื่อการออมของคนไทย โดยมุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ ESG ในประเทศไทย เช่น ลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ จดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจด้วยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมภิบาล เป็นต้น ผู้ลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลได้สูงสุด ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้ในปีนั้นๆ หรือไม่เกิน 100,000 บาท และจะต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 8 ปีนับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน และได้รับมติอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย

บลจ. พรินซิเพิล เปิดตัวกองทุนเปิด “พรินซิเพิล อิควิตี้ ESG” ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (PRINCIPAL EQESG-ThaiESG) กำหนดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 8 – 20 ธันวาคม 2566 และจะเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2566 เป็นต้น

กองทุนเปิด “พรินซิเพิล อิควิตี้ ESG” (PRINCIPAL EQESG-ThaiESG) มีจุดเด่น 3 ด้าน ได้แก่

1) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนีความยั่งยืนจากสถาบันที่น่าเชื่อถือที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET หรือองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงาน ก.ล.ต. ยอมรับ และ/ หรือได้คะแนน ESG สูงจากการประเมินภายใน ที่มีแนวการลงทุนแบบ Active และเป้าหมายสร้างผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง SET ESG TRI ในระยะยาว

2) กระบวนการการลงทุนที่แข็งแกร่งภายใต้ FMV Model ซึ่งเป็นกระบวนการคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบจาก “Fundamental” หรือพื้นฐานธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน “Momentum” หรือแนวโน้มของราคาและกำไรที่ดีขึ้นต่อเนื่อง และ “Valuation” หรือมูลค่าหลักทรัพย์อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ผนวกกับปัจจัยด้าน ESG (ESG Integration Framework) โดยจะต้องได้รับการประเมินคะแนน ESG ภายใน (Internal ESG Scoring) เน้น 5 ปัจจัย ได้แก่ ธรรมาภิบาล, สิ่งแวดล้อม, สังคม, หลักการด้านการบริหารจัดการด้าน ESG ของบริษัท และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal) โดยบริษัทที่เลือกลงทุนจะต้องมีคะแนนทั้ง 2 ส่วนอยู่ในระดับสูง และจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ESG ในระดับสูง

3) บริหารจัดการโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง พิสูจน์จากความสำเร็จของ บลจ. พรินซิเพิล ที่ได้รับรางวัล Best Asset Management Awards ภายในงานมอบรางวัล SET Awards 2023 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร

ทั้งนี้ จากสถิติย้อนหลังพบว่า การลงทุนในดัชนี SET ESG Total Return สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนใน SET Index Total Return ในทุกช่วงเวลา โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า และเมื่อตลาดหุ้นเป็นขาลง ก็ปรับตัวลดลงในอัตราที่น้อยกว่า สะท้อนว่าการลงทุนในหุ้น ESG นอกจากช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และทำให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย

ผู้สนใจติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. พรินซิเพิล และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หรือ โทร. 02-686-9500

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

Krungsri The Masterpiece อัปเดตมุมมองประจำเดือนธันวาคม 2023: กองทุนตราสารหนี้ไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง

บลจ.กรุงศรี
Krungsri The Masterpiece

มุมมองตลาดปัจจุบัน

ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่กลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่ง หลังจากปรับตัวลดลง 3 เดือนติดต่อกันในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม หลังตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอลงมากกว่าที่คาด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณอ่อนแอลง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสผ่อนคลายลง หลังทั้ง 2 ฝ่ายตกลงหยุดยิงชั่วคราว พร้อมทั้งมีการแลกเปลี่ยนตัวประกัน และหลายฝ่ายพยายามจำกัดไม่ให้ความขัดแย้งนี้ขยายเป็นวงกว้าง

สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลง สวนทางกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาด และความกังวลเกี่ยวกับการทำ short sell

ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ปรับตัวลดลงตามการปรับลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยกองทุนตราสารหนี้ของไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากการขึ้นดอกเบี้ยมีอยู่จำกัด และตลาดเริ่มมองไปถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงในปีหน้า ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯที่ไม่ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล  รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมยังคงแข็งแกร่ง และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นในปีหน้าจากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ดังนั้น ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จึงมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี  สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ ท่าทีเกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และสถานการณ์การสู้รบในตะวันออกกลาง

พอร์ตการลงทุน

Krungsri The Masterpiece

ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 29 พฤศจิกายน 2023

  Krungsri The Masterpiece

ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 29 พฤศจิกายน 2023

กองทุนแนะนำสำหรับการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์/ภูมิภาค

กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ

KFAFIX-A:

  • กองทุนกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทว่ายังคงต้องเผชิญกับความผันผวนในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่งในช่วงที่เหลือของปี 2566 ทั้งจากปัจจัย ภายนอกและภายในประเทศ โดยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯในช่วงที่ เหลือของปี 2566 เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 50 – 5.75% อีกต่อไป ซึ่งในปีถัดไปมีแนวโน้มที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 0.50% ขณะที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูง สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของไทย คาดการว่าอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นมาถึงจุดสมดุลแล้ว ขณะที่นโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจจาก Digital wallet ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นในช่วงที่ ผ่านมาผู้จัดการกองทุนจึงทยอยเพิ่มการลงทุนในตราสารอายุยาวขึ้นอย่างระมัดระวัง โดยกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนในระดับสูงยังคงสามารถช่วยลด ความผันผวนของตลาดลงได้ โดยคาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนของ กองทุนกลุ่มนี้มีความน่าสนใจสำหรับเงินลงทุนระยะยาวที่ไม่ต้องการสภาพคล่อง ในระยะสั้น อาทิเช่น กองทุน กองทุน KFAFIX (ขั้นต่ำ 1 ปี ขึ้นไป) โดยปัจจุบัน กรอบ Duration เฉลี่ยของ KFAFIX = 1.6 – 2.2 ปี

กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ

KF-CSINCOM:

  • กองทุนเพิ่มอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในพอร์ต โดยเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางของสหรัฐฯ และเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ภาคการเงิน ขณะที่ลดสัดส่วนในตราสารหนี้ High Yield ลง นอกจากนี้กองทุนยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลางของสหรัฐฯ รวมถึงพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ และยังคงสถานะชอร์ตบนตราสารหนี้ของญี่ปุ่น และ อังกฤษ

กองทุนตราสารทุนในประเทศ

KFDYNAMIC:

  • กองทุนที่เน้นการเฟ้นหาหุ้นที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละภาวะตลาด (KFDNM-D หรือ KFDYNAMIC) มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดีในระยะกลางถึงยาว ตามผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่กองทุนคัดเลือกลงทุน

กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ Developed Market Equity

KFUSINDX :

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังเผชิญกับแรงเทขายมาเป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน โดย Fed ส่งสัญญาณว่าอาจไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในปีนี้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปีปรับตัวขึ้นไปอย่ในระดับสูงแล้ว อีกทั้งตัวเลขเงินเฟ้อก็เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว ส่งผลให้ตลาดกลับมาอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยง ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มการเติบโตสูง เช่น หุ้นเทคโนโลยี เป็นต้น

 

KFJPINDX :

  • ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย โดยส่งสัญญาณว่าจะยังไม่รีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังแสดงถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงสนับสนุนมาจากภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเร่งตัวขึ้น

กองทุนที่ลงทุนทั่วโลก

KFGBRAND-A :

  • กองทุนมีการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง รวมถึงรายได้และกำไรเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ มีลักษณะเป็นหุ้นที่มีความทนทานและมีคุณภาพ (Defensive Quality) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ยังคงเหมาะกับช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศตลาดกำลังพัฒนา

KF-INDIA:

  • ตลาดหุ้นอินเดียยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมาตลาดอินเดียได้รับแรงส่งจากเงินลงทุนของต่างชาติ และ เศรษฐกิจของอินเดียที่เริ่มทยอยฟื้นตัว ประกอบกับแรงกดดันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่น้อยกว่าจีน ทำให้ตลาดอินเดียปรับตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยังต้องระวังเรื่องการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ที่อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากอัตราเงินเฟ้อ เร่งตัวขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

KFACHINA-A:

  • ในภาพรวมตลาดหุ้นจีนยังคงมีความผันผวน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนเริ่มส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นผลการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัดเจนในไตรมาส 4 เช่น นโยบายการลดดอกเบี้ย และลดเงินดาวน์ให้กับผู้ซื้อบ้าน อย่างไรก็ตามความกังวลในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศยังคงเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งนี้ ระดับราคาของตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19

 

Krungsri The Masterpiece

Krungsri The Masterpiece

 

ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 29 พฤศจิกายน 2023

คำเตือน  ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้   กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น   กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้  (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย  เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร  0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ถึงเวลาปรับพอร์ต: Best-in-Class Portfolio

FINNOMENA FUNDS Investment Team
ปรับพอร์ต Best in Class

พอร์ตการลงทุน Best-in-Class เป็นพอร์ตการลงทุนที่มี Machine Learning เป็นหัวใจของการลงทุน บนเป้าหมายการเลือก 3 กองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนจำเป็นที่จะต้องรีวิวทุก ๆ 6 เดือน โดยจะรีวิวทั้งโมเดลการคำนวณ และน้ำหนักการลงทุน ว่ายังคงเหมาะสมที่จะถือครองหรือไม่ 

ซึ่งรอบการรีวิวในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่าโมเดล Machine Learning ที่ใช้ในการพิจารณานั้นยังเหมาะสมแก่การใช้คัดเลือกกองทุน แต่กองทุนที่ถือครองนั้น มีกองทุนที่อาจสร้างผลการดำเนินงานได้ดีกว่า โดยนักลงทุนสามารถทำความรู้จัก BIC ได้อย่างละเอียดได้ที่  👉  FINNOMENA Best-In-Class: รู้จักโมเดลเบื้องหลัง คัดที่สุดของกองทุนในแต่ละหมวด

FINNOMENA FUNDS Investment Team จึงแนะนำปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะยังคงมีน้ำหนักการลงทุนบนกองทุนที่มีโอกาสเอาชนะกลุ่ม และสร้างผลตอบแทนที่ดีอยู่เสมอ ดังนี้

Best-in-Class: Global Technology

ปรับพอร์ต Best in Class

  • แนะนำลดสัดส่วนการลงทุน KFGTECH-A, DAOL-EVOSEMI และ MATECH-A ทั้งหมด
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน KT-WTAI-A 40%
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน B-INNOTECH 30%
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน SCBDIGI 30%

Best-in-Class: Thai Equity Large Cap

ปรับพอร์ต Best in Class

  • แนะนำลดสัดส่วนการลงทุน ONE-EQ, ABG และ TISESG-A ทั้งหมด
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน LHGROWTH-A 40%
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน SCBDA 30%
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน TISCOWB-A 30%

Best-in-Class: Property Fund & REITs

ปรับพอร์ต Best in Class

  • แนะนำลดสัดส่วนการลงทุน ONE-APACPROP-RD, M-PROPERTY และ ONE-PROP ทั้งหมด
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน T-PropInfraflex 40%
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน MPDIVMF 30%
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน K-PROPI-A(D) 30%

Best-in-Class: Global Healthcare

ปรับพอร์ต Best in Class

  • แนะนำลดสัดส่วนการลงทุน TGHDIGI, KFHEALTH-A และ SCBGHCA ทั้งหมด
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน ASP-IHEALTH 40%
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน KWI HCARE-A 30%
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน KFHHCARE-A 30%

Best-in-Class: Asia Ex. Japan

ปรับพอร์ต Best in Class

  • แนะนำลดสัดส่วนการลงทุน ASP-ASIAN ทั้งหมด
  • แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน KF-ORTFLEX 30%

คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะสั้นเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

เทียบฟอร์มกองทุนหุ้นไทย: ASP-SME-A และ TSF-A หุ้นโตไว หุ้นโตแกร่ง เลือกอะไรดี?

Park Kathawut
รีวิวกองทุน ASP-SME-A และ TSF-A

อยากลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่เลือกหุ้นไม่เก่ง คัดหุ้นรายตัวไม่เป็น หรือไม่ค่อยมีเวลาศึกษาข้อมูลบริษัทต่าง ๆ เราขอแนะนำให้รู้จักกองทุนหุ้นไทย Active Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนเชิงรุก เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ชนะตลาด โดยใช้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการเฟ้นหาสินทรัพย์ที่ดีและกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม

วันนี้เลยอยากพาไปรู้จัก 2 กองทุนหุ้นไทยแบบ Active Fund ที่น่าสนใจ คือ ASP-SME-A จาก บลจ. แอสเซท พลัส และ TSF-A จาก บลจ. ทิสโก้ พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเรา 

รีวิวกองทุน ASP-SME-A และ TSF-A

Highlight


รู้จักกองทุน ASP-SME-A คัดหุ้นไทยโตไว 

กองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า หรือ ASP-SME-A เป็นกองทุนหุ้นไทยที่เน้นลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมถึงการจองซื้อตั้งแต่ช่วง IPO 

กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นจะเน้นที่การวิเคราะห์ตัวบริษัทแบบ Bottom-Up เพื่อเลือกหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มเติบโตระยะยาว ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องมีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Cap.) ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท

ปรัชญาการลงทุนของ ASP-SME-A เชื่อว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพ จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนแบบก้าวกระโดดได้มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ จากการขยายตัวของธุรกิจและการควบรวมกิจการ ประกอบกับการที่นักลงทุนสนใจน้อย จึงมี Valuation น่าสนใจ 

รายละเอียดอื่น ๆ ของ ASP-SME-A

  • ความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนรวมตราสารทุน
  • นโยบายปันผล ไม่จ่าย
  • ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกและครั้งถัดไป 1 บาท
  • ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee) 1.25%
  • ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back-end Fee) ไม่มี
  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) 1.61% ต่อปี
  • รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2.68% ต่อปี

ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 08/11/2023

ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/

รู้จักกองทุน TSF-A เฟ้นหุ้นไทยโตแกร่ง

กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A หรือ TSF-A เป็นกองทุนหุ้นไทยที่มีนโยบายเน้นการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตสูง ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

จุดเด่นของ TSF-A คือกลยุทธ์การลงทุนแบบ High Conviction ซึ่งเฟ้นหาหุ้นที่ดีที่สุดเข้าพอร์ตเพียง 10-15 ตัวเท่านั้นในแต่ละช่วงเวลา โดยจะคัดเลือกผู้ชนะในแต่ละอุตสาหกรรม จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ วิเคราะห์เชิงปริมาณ รวมทั้งเข้าทำความรู้จักบริษัทแบบเชิงลึก 

อีกกุญแจสำคัญก็คือการมีทีมวิเคราะห์ที่คอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับสัดส่วนการลงทุนให้เท่าทันกับการเปลี่ยนไปของแนวโน้มธุรกิจ และเหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

รายละเอียดอื่น ๆ ของ TSF-A

  • ความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนรวมตราสารทุน
  • นโยบายปันผล ไม่จ่าย
  • ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกและครั้งถัดไป ไม่กำหนด
  • ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee) 1.05%
  • ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back-end Fee) ไม่มี
  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) 1.77% ต่อปี
  • รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 1.89% ต่อปี

ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 30/09/2023

ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/

เจาะหุ้นในพอร์ต ASP-SME-A และ TSF-A

บอกเลยว่าจุดตัดของกองทุนหุ้นไทย Active Fund ก็คือการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตนี่แหละ ซึ่งเราจะเห็นว่ารายชื่อหลักทรัพย์ที่ ASP-SME-A และ TSF-A ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ค่อนข้างแตกต่างกันทีเดียว

รีวิวกองทุน ASP-SME-A และ TSF-A

Source: ASP-SME-A Fund Fact Sheet as of 08/11/2023 | TSF-A Fund Fact Sheet as of 30/09/2023

จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า TSF-A เน้นหนักไปที่หุ้นบิ๊กแคปพิมพ์นิยม โดยให้น้ำหนักบริษัทที่ครองตลาดเบอร์ 1-2 ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เช่น โรงพยาบาลเอกชนอย่าง BCH หุ้นพลังงานขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้นน้ำอย่าง PTTEP หุ้นโรงกลั่น TOP และหุ้นโรงไฟฟ้า GULF รวมไปถึงการลงทุนใน COM7 ที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที

ส่วนไอเดียการเลือกหุ้นของ ASP-SME-A จะต่างออกไป คือพยายามมองหาหุ้นที่กำลังอยู่ในช่วงขยายการเติบโต เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม ได้แก่ SAPPE กับ ICHI ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตอย่าง WHA และยังมีหุ้น TCAP โฮลดิ้งในธุรกิจการเงิน ตลอดจนเข้าไปลงทุนในหุ้น MOSHI ที่เพิ่ง IPO เมื่อปลายปี 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์

เทียบผลตอบแทนย้อนหลัง ASP-SME-A และ TSF-A

รีวิวกองทุน ASP-SME-A และ TSF-Aกราฟแสดงผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี ข้อมูล ณ 14/11/2023
Source: www.finnomena.com/fund/compare/
** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต **

เมื่อเปรียบเทียบภาพรวมผลตอบแทนระหว่าง ASP-SME-A กับ TSF-A ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2019-2023) ถือว่าเคลื่อนไหวในทิศทางใกล้เคียงกันมาก แต่จะมีช่วงระยะหลังตั้งแต่ปี 2022 ที่ ASP-SME-A เริ่มทำผลงานได้โดดเด่นกว่า TSF-A ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอการเติบโตของหุ้นขนาดใหญ่ในประเทศไทย

รีวิวกองทุน ASP-SME-A และ TSF-A

กราฟแสดงผลการดำเนินงานตามปีปฏิทิน ข้อมูล ณ 14/11/2023
Source: www.finnomena.com/fund/compare/
** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต **

หากลองดูผลตอบแทนแยกตามปีปฏิทิน พบว่ามีปีที่แพ้ชนะสลับกันไป อย่างไรก็ตาม ปีที่ตลาดแย่ TSF-A ค่อนข้างจะมีความมั่นคงมากกว่า ASP-SME-A ในทางกลับกันปีที่ตลาดพลิกฟื้นกลับมาสดใส ASP-SME-A ก็สามารถทำผลตอบแทนได้ก้าวกระโดดกว่า TSF-A

ทั้งนี้ เมื่อเทียบผลตอบแทนกับดัชนีชี้วัด SET TRI จะเห็นว่าผลการดำเนินงานของทั้งคู่สามารถเอาชนะดัชนีได้อย่างต่อเนื่อง

เลือกกองทุนไหนดีระหว่าง ASP-SME-A และ TSF-A

มาถึงคำถามสำคัญว่าควรเลือกลงทุนในกองไหนดีที่จะตอบโจทย์และเหมาะสมกับเรามากที่สุด คำตอบของบทความนี้ขอสรุปสั้น ๆ ดังนี้

หากคุณสนใจลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลาง-ขนาดเล็ก โดยเชื่อว่าบริษัทกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตได้ไวกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และตัวเองสามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคาที่ค่อนข้างสูงได้ แนะนำให้จิ้ม ASP-SME-A 

แต่ถ้าคุณเชื่อมั่นในหุ้นไทยขนาดใหญ่ที่พื้นฐานมั่นคง เพื่อสร้างโอกาสเติบโตในระยะยาวอย่างแข็งแกร่ง และสามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นได้บ้างในระหว่างทาง แนะนำว่า TSF-A ก็เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ได้ดี

สามารถเปรียบเทียบกองทุน ASP-SME-A และ TSF-A แบบครบทุกมิติ
ทั้งผลตอบแทน ความผันผวน พอร์ตการลงทุน และค่าธรรมเนียม คลิกเลย

รีวิวกองทุน ASP-SME-A และ TSF-A

Source: FINNOMENA FUNDS as of 14/11/2023

ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund

นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี บลจ. แอสเซท พลัส ก็มีกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนดังกล่าวในชนิดหน่วยลงทุนอื่นให้เลือก ได้แก่ ASP-SMERMF และ ASP-SME-SSF เช่นเดียวกับ บลจ. ทิสโก้ ที่มีชนิดหน่อยลงทุน TSFRMF-A และ TSF-SSF


แหล่งข้อมูล

คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

บลจ. เอ็มเอฟซี เปิดตัว 2 กองทุน ThaiESG ลงทุนเพื่อความยั่งยืน ดีเดย์ 8 ธ.ค.นี้ ขาย IPO ตัวช่วยลดหย่อนภาษีปี 66-75

FINNOMENA Editor
Thaiesg เอ็มเอฟซี

บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) เตรียมเปิดขาย 2 กองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ “ThaiESG” หนุนคนไทยออมระยะยาว ลงทุนหุ้น-ตราสารหนี้ไทยที่โดดเด่นด้านความยั่งยืน พร้อมเสิร์ฟ “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีท็อป 25 หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน (MT25-ThaiESG)” ลงทุนหุ้นไทย 25 บริษัท ที่โดดเด่นด้าน ESG และ “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเฟล็กซิเบิลไทยเพื่อความยั่งยืน (MFLEX-ThaiESG)” กองทุนผสม ลงทุนหุ้นและตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องด้านความยั่งยืน ดีเดย์ขาย IPO ตั้งแต่วันที่ 8-19 ธ.ค. 66

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการจัดตั้ง “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” Thailand ESG Fund หรือ ThaiESG ซึ่งเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ โดยเน้นลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในประเทศ ที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG)  เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้นและส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนของกิจการในประเทศที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ขณะนี้ MFC พร้อมนำเสนอ 2 กองทุนใหม่ โดยกำหนดเปิดขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 8-19 ธันวาคม 2566 ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท

Thaiesg เอ็มเอฟซี

“กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีท็อป 25 หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน” (MT25-ThaiESG) เน้นลงทุนในหุ้นสามัญและ/หรือหุ้นบุริมสิทธิของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี SET ESG Index จำนวน 25 บริษัทแรกที่ผ่านหลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ โดยพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) , การเปิดเผยข้อมูลด้านการบริหารจัดการ ESG  และการได้รับการจัดอันดับ ESG Ratings หรือ ESG Scores จากสถาบันการจัดอันดับ ที่เป็นอิสระ นอกจากนี้ จะมีการควบคุมการกระจุกตัวของหลักทรัพย์ ในแต่ละอุตสาหกรรม (Sector) ไม่ให้เกิน 5 หลักทรัพย์ โดยบริษัทจัดการจะทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ปีละ 2 ครั้งในวันทำการแรกของเดือนมีนาคม และกันยายน ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่เน้นผลตอบแทนในระยะยาว สามารถรับความเสี่ยงและความผันผวนจากราคาหุ้นได้ กองทุนมีระดับความเสี่ยง 6 นอกจากนี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 1 ครั้ง

นายธนโชติ กล่าวอีกว่า MFC ยังได้ออก “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเฟล็กซิเบิลไทยเพื่อความยั่งยืน” (MFLEX-ThaiESG) ซึ่งเป็นกองทุนผสม กระจายการลงทุนในตราสารทุน และ/หรือตราสารหนี้ และ/หรือเงินฝาก และอื่นๆ โดยกองทุนจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่ผู้ออกเป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีส่วนในการส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability) ให้ประเทศไทย โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เหมาะกับผู้ลงทุนที่เน้นผลตอบแทนในระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป และสามารถรับความเสี่ยงและความผันผวนจากราคาหุ้นได้ กองทุนมีระดับความเสี่ยง 5 และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 1 ครั้ง กองทุน MFLEX-ThaiESG เน้นลงทุนหุ้นบริษัทจดทะเบียนใน SET และ/หรือ mai ที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือ ESG รวมทั้งจะลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – Linked Bond) และพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – Linked Bond) ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออกตํ่ากว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated securities)  และตราสารทุนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (unlisted securities) เว้นแต่เป็นหุ้นที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สั่งรับเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งผู้ออกหุ้นดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการกระจายการถือหุ้นรายย่อยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)

นายธนโชติ กล่าวว่า การคัดเลือกหลักทรัพย์เพื่อลงทุนจะผ่านกระบวนการวิเคราะห์ที่นำปัจจัยด้าน ESG มาพิจารณา   เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ปัจจุบันมีหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์ SET ESG Rating ประจำปี 2566 จำนวน 193 บริษัท ซึ่งมี Rating ตั้งแต่ AAA – BBB อย่างไรก็ตาม กรณีที่หลักทรัพย์มีข่าวเกี่ยวข้องกับ ESG ซึ่งอาจส่งผลต่อ ESG ของบริษัทอย่างมาก เช่น ผู้บริหารมีการทุจริต, มีการปล่อยสารพิษสู่ธรรมชาติ, หรือการค้ามนุษย์ เป็นต้น  ทาง MFC จะไม่ลงทุนเพิ่มหรือขายหลักทรัพย์นั้นออกไป

สำหรับเงื่อนไขของกองทุน “ThaiESG” กำหนดให้ผู้ลงทุนต้องถือหน่วยลงทุน 8 ปีขึ้นไป (นับแบบวันชนวัน) จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทำให้ในปี 2566 นี้ ผู้ลงทุนได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ที่รวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (นับรวมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ,กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ)

กองทุน ThaiESG ถือเป็นตัวช่วยลดหย่อนภาษีในปีนี้ได้เพิ่ม ทำให้ผู้ลงทุนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ถึง 600,000 บาท ขณะเดียวกันราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากเป็นโอกาสลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนจากหุ้นที่มีความโดดเด่นทางด้าน ESG นายธนโชติ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมก่อนการตัดสินใจลงทุน ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.เอ็มเอฟซี โทร. 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร. 0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร. 043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324–25 หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mfcfund.com

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

บลจ. ยูโอบี เตรียมเสนอขาย กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) ให้กับนักลงทุนไทยเร็ว ๆ นี้

FINNOMENA Editor
Thaiesg ยูโอบี

บลจ. ยูโอบี เตรียมเสนอขาย กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) ให้กับนักลงทุนไทยเร็ว ๆ นี้ พร้อมตอกย้ำความมั่นใจด้วย 3 รางวัลความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน (ESG)

ตามที่กระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการจัดตั้งกองทุน THAIESG เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) มีความพร้อมที่จะยื่นขออนุมัติสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อจัดตั้ง กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) ทันที โดยคาดว่าจะเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยได้ในช่วงต้นเดือน ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป

กองทุน THAIESG มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย โดยมีจุดเด่นดังนี้

– เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่พิจารณาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG)
– ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เมื่อผู้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรและหรือกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้องกำหนด ทั้งในปัจจุบันและที่แก้ไขเพิ่มเติมในอนาคต
– ลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เป็นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาต่างหาก ไม่ต้องไปรวมกับยอดเงินลงทุน 500,000 บาทที่เป็นเพดานของกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกบข. + ประกันชีวิตแบบบำนาญ + กองทุนเพื่อการออม (SSF)
– ต้องถือไว้ 8 ปีเต็มจริง ๆ นับแบบวันชนวัน ให้สิทธิซื้อตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2575 (รวมซื้อได้ 10 ปี)
– ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ลงทุนปีไหนลดหย่อนปีนั้น
– รองรับกลุ่มลูกค้า LTF ที่ครบกำหนด และตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการเพิ่มเงินลงทุนเพื่อการเกษียณ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บลจ.ยูโอบี ได้มีส่วนร่วมในการผลักดันการนำเอาปัจจัย ESG เข้ามาผนวกเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารการลงทุน ในปี 2023 นี้ เราได้รับ 3 รางวัลด้าน ESG ทั้งจากสถาบันทั้งในและต่างประเทศ รางวัลดังกล่าวเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นความเป็นผู้นำด้าน ESG ของเรา บลจ. ยูโอบี จึงมีความยินดีที่จะเข้าร่วมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว เพื่อสนับสนุนภาพรวมการลงทุนในหลาย ๆ มิติ ทั้งในด้านนักลงทุนได้มีโอกาสออมเงินไว้ใช้จ่ายในอนาคต ตลาดหุ้นไทยให้มีความแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัย ESG

จึงได้จัดเตรียมเสนอขาย กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ที่มีการประกาศล่าสุด มีกลยุทธ์การบริหาร เพื่อมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) และมีการนำเอาปัจจัย ESG เข้ามาผนวกในกระบวนการลงทุน นอกจากนี้กองทุน UTSEQ ยังเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีการเปิดเผยข้อมูลในโครงการและหนังสือชี้ชวนว่ามีการจัดการกองทุนรวมโดยมุ่งความยั่งยืน (Sustainability) ตามหลักสากลอีกด้วย

Thaiesg ยูโอบี

กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) อยู่ระหว่างการขออนุมัติจัดตั้งจาก ก.ล.ต.

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ยูโอบี โทร.02-786-2222 หรือ www.uobam.co.th

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/

FINNOMENA FUNDS เปิดตัว ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน ลงทุนได้ครบจบที่เดียว

FINNOMENA FUNDS
ThaiESG Hub

FINNOMENA FUNDS (ฟินโนมีนา ฟันด์) ตอกย้ำการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายกองทุนรวมของประเทศไทย เดินหน้าสนับสนุนกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: ThaiESG) เปิดตัว ThaiESG Hub เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลความรู้การลงทุนที่ถูกต้อง อัปเดตข้อมูลข่าวสารล่าสุดจากทุก บลจ. พร้อมคัดสรรกองทุนลดหย่อนภาษีด้วยคำแนะนำที่เป็นกลาง อีกทั้งยังสามารถลงทุนในกองทุน ThaiESG ได้ผ่าน FINNOMENA FUNDS ผ่านระบบ online 100% ได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2566

นายกสิณ สุธรรมมนัส Co-founders – FINNOMENA Group เปิดเผยว่า “นับเป็นข่าวดีของคนไทยในช่วงปลายปีนี้ เมื่อรัฐบาลได้อนุมัติให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เดินหน้าจัดตั้งกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ ThaiESG สำหรับเป็นโบนัสให้คนไทยได้ลงทุนพร้อมนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นถึง 100,000 บาท และไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี โดยแยกวงเงินดังกล่าวออกมาให้ลดหย่อนภาษีได้เลยแบบเต็ม ๆ ไม่ต้องนับวงเงินรวมกับกองทุน SSF หรือ RMF”

“FINNOMENA FUNDS จึงตั้งใจพัฒนา ThaiESG Hub สำหรับเป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกองทุน ThaiESG แบบครบวงจร ด้วยการรวบรวมกองทุน ThaiESG ทั้งหมดทั่วประเทศให้มาอยู่บน Hub นี้ อัปเดตทุกข้อมูลการลงทุน ทุกเทคนิคการลดหย่อนภาษี ตลอดจนกองทุนแนะนำที่ FINNOMENA FUNDS Investment Team คัดสรรมาให้แล้ว พร้อมทั้งจะสามารถซื้อ ThaiESG ได้เลย ครบจบในที่เดียว ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมนี้”

ThaiESG Hub

ความพิเศษของ ThaiESG Hub โดย FINNOMENA FUNDS มุ่งหวังให้เป็นพื้นที่สำหรับส่งเสริมการลงทุนในกองทุน ThaiESG แก่คนไทย ทั้งการให้ความรู้และการลงทุนที่ถูกต้อง นำไปสู่การลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว รวมทั้งสามารถลงทุนลดหย่อนภาษีได้อย่างเหมาะสมตามเป้าหมาย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • สรุปทุกข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน ThaiESG ว่าคืออะไร เงื่อนไขเป็นอย่างไร เหมาะกับใคร
  • เจาะลึกรายละเอียดกองทุน ThaiESG ทุกกองทุกในตลาด ทั้งแนวคิด นโยบายการลงทุน และจุดเด่นที่แตกต่าง
  • ข่าวสาร ThaiESG ที่อัปเดตล่าสุดจากทุก บลจ. ในประเทศไทย
  • โพยกองทุน ThaiESG คัดสรรกองทุนน่าซื้อด้วยคำแนะนำที่เป็นกลางจาก FINNOMENA FUNDS Investment Team ในเร็ว ๆ นี้
  • เตรียมเปิดให้เลือกซื้อกองทุน ThaiESG จากทุก บลจ. ทั่วประเทศ ในเร็ว ๆ นี้

ที่ผ่านมาคนไทยคุ้นเคยกับการลงทุนใน SSF, RMF หรือแม้กระทั่ง LTF กันดีอยู่แล้ว เราซื้อกองทุนเหล่านี้เพื่อลดหย่อนภาษีทุกปี แต่เชื่อว่าปีนี้จะคึกคักที่สุดในรอบหลายปี เพราะการมาของ ThaiESG นั้นมีข้อดีมากมาย ทั้งวงเงินเพื่อนำไปหักลดหย่อน 100,000 บาท ซึ่งไม่ต้องนับวงเงินรวมกับกองทุนอื่น ๆ ตอบโจทย์คนที่ฐานภาษีสูง ๆ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น ส่วนระยะเวลาถือครองก็เพียง 8 ปีจากวันที่ซื้อ จึงเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเริ่มซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเป็นครั้งแรก และที่สำคัญคือนโยบาย ThaiESG มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืน ESG และตราสารหนี้ ESG ในไทย จึงเป็นโอกาสดีในการออมระยะยาวกับสินทรัพย์คุณภาพที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเติบโตอย่างยั่งยืน

นายกสิณ สุธรรมมนัส Co-founders – FINNOMENA Group กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และติดตามข้อมูลข่าวสารบน ThaiESG Hub โดย FINNOMENA FUNDS ได้ที่ https://www.finnomena.com/thaiesg-hub

Tactical Call: Stop Loss CSI 300 หลังหลุดแนวรับสำคัญระยะยาว

FINNOMENA FUNDS Investment Team

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2023 ที่ผ่านมา FINNOMENA FUNDS Investment Team ได้แนะนำเข้าลงทุนในรูปแบบการเก็งกำไรระยะสั้นในดัชนี CSI 300 ผ่านกองทุน SCBCHAA และ KT-ASHARES-A โดยตั้งจุด Stop loss เมื่อดัชนี CSI 300 ปิดตลาดต่ำกว่า 3,450 – 3,500 จุด

ซึ่งในวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ดัชนี CSI 300 ได้ลงมาปิดที่ระดับ 3,394 จุด ต่ำกว่าจุด Stop Loss ที่กำหนดไว้ หลังจาก Moody’s ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มภาพรวมความน่าเชื่อถือของจีนสู่ระดับ ติดลบ (Negative) จากคงที่ (Stable) โดย Moody’s ระบุว่ารัฐบาลจีนต้องใช้มาตรการสนับสนุนด้านการเงินแก่รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อความแข็งแกร่งทางด้านการคลังและเศรษฐกิจของจีน รวมถึงยังเป็นการสะท้อนความเสี่ยงแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลางที่อาจชะลอลงและการหดตัวของภาคอสังหาฯ ในปัจจุบัน ทำให้ความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้น

stop loss csi300

รูปที่ 1: CSI 300 TF Week
Source: Tradingview as of 6/12/2023

FINNOMENA FUNDS Investment Team จึงแนะนำให้ Stop Loss การลงทุนในกองทุน SCBCHAA และ KT-ASHARES-A สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนตามคำแนะนำ Tactical Call เพื่อรักษาวินัยและรักษาเงินต้นไว้เพื่อโอกาสในการเก็งกำไรครั้งถัดไป

สำหรับการลงทุนในรูปแบบ MEVT Call และ การลงทุนใน FINNOMENA FUNDS Port Global Absolute Return (GAR) ทาง FINNOMENA FUNDS Investment Team ยังติดตามสถานการณ์ความผันผวนของตลาดหุ้นจีนอย่างใกล้ชิด โดยมีความพยายามจากทางรัฐบาลจีนที่กอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน โดยใช้การออกนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง และเรายังคาดว่ามาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจในขนาดที่เหมาะสมจะค่อย ๆ ทยอยออกมาเพิ่มเติมอีกในอนาคต เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจจีน

ตลาดหุ้นจีน All China มี Valuation อยู่ในระดับที่มี downside จำกัด โดยมี PE เมื่อเทียบกับตัวเองในอดีตที่ระดับ -1 S.D. เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาลงมาในจุดที่ Valuation น่าสนใจ 

สามารถศึกษาข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund/ 


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในกรอบระยะเวลาตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกันตามคำแนะนำ บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

บลจ. ทิสโก้ ตัวจริงกองทุนหุ้นไทย เปิดกอง T-ThaiESG ออมอย่างยั่งยืน

FINNOMENA Editor
Thaiesg ทิสโก้

บลจ. ทิสโก้ นำทีมเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน (T-ThaiESG) หวังหนุนคนไทยออมระยะยาวในหุ้นที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล พร้อมช่วยบริหารจัดการภาษีปลายปี เปิด IPO 8-18 ธ.ค. 66 มั่นใจเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะมีความชำนาญในด้านการบริหารจัดการกองทุนหุ้นไทย หลังคว้ารางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม ประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ 2 ปีซ้อนจาก Morningstar* และมีประสบการณ์บริหารกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) 2 กองทุน   

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan Deputy Managing Director of TISCOASSET) เปิดเผยว่า บลจ. ทิสโก้ ในฐานะผู้นำด้านการบริหารจัดการกองทุนหุ้นไทยและเป็นเจ้าของรางวัลรางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม ประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ 2 ปีซ้อน คือปี 2565 และปี 2566 จาก Morningstar Awards* พร้อมทั้งมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) ถึง 2 กองทุน จึงมีความชำนาญในการคัดกรองหุ้นที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จากประเด็นข้างต้น บลจ.ทิสโก้พร้อมขานรับนโยบายภาครัฐในการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว และเพิ่มสินทรัพย์การลงทุนที่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการบริหารจัดการภาษีในช่วงปลายปี

และเพื่อให้คนไทยไม่พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว พร้อมลงทุนในหุ้นไทยในช่วงราคาที่น่าสนใจ บลจ.ทิสโก้จึงประกาศเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนสะสมผลตอบแทน (T-ThaiESG-A) และกองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนปันผล (T-ThaiESG-D) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ซึ่งผ่านกระบวนการวิเคราะห์การลงทุนแบบ ESG Integration  เปิดเสนอขายครั้งแรก 8-18 ธันวาคม 2566

พิเศษ สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ลงทุนกองทุน T-ThaiESG-A และ/หรือ กองทุน T-ThaiESG-D ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 ยอดเงินลงทุนทุก ๆ 50,000 บาท รับหน่วยลงทุน กองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรระยะสั้น (TISCOSTF) มูลค่า 100 บาท

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds  ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/


*ที่มา: บลจ.ทิสโก้ได้รับรางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยมประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ จาก Morningstar Awards 2022 และ 2023 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.morningstarthailand.com

ที่มา: ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป

บลจ. กสิกรไทย พร้อมจัดตั้ง ThaiESG Fund หวังกระตุ้นหุ้นไทยให้โตยั่งยืน

FINNOMENA Editor
Thaiesg กสิกรไทย

บลจ. กสิกรไทย เร่งเครื่องจัดตั้งกองทุน ThaiESG คาดเปิดขายธันวาคมนี้ มองหุ้น ESG แนวโน้มดีมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากผู้ลงทุนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ดำเนินงานตามหลัก ESG โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม การกำกับดูแลที่ดีประกอบไปด้วยกันกับผลกำไร เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนในระยะยาวอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA, Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังเตรียมออกกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ ภายใต้ชื่อ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว และส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีการดำเนินงานตามหลัก ESG โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดีนั้น บลจ.กสิกรไทย มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการจัดตั้งกองทุน ThaiESG เพื่อมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ลงทุน และสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนโดยรวมในระยะยาว โดยคาดว่าจะพร้อมเสนอขายภายในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้

“ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลมาอย่างต่อเนื่อง และมีการจัดทำนโยบายสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG Policy) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 โดยได้นำนโยบายและหลักการไปปรับใช้ในทุกขั้นตอนของการบริหารจัดการกองทุน ตั้งแต่การวิเคราะห์ คัดเลือก และประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ รวมถึงได้จัดตั้งกองทุนหุ้น ESG ทั้งที่ลงทุนสินทรัพย์ในไทยและต่างประเทศจำนวนหลายกองทุนด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น กองทุน K-SUSTAIN-UI, K-PLANET และ KTHAICGRMF ซึ่งเป็นกองทุนแรกในอุตสาหกรรมที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ให้เป็นกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ ESG Integration รวมถึงล่าสุด กองทุน K-CHANGE ซึ่งมีกลยุทธ์มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านบวกต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับความเห็นชอบให้เป็น SRI Fund เพิ่มเติมไปเมื่อเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังเป็นบลจ.แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมลงนาม Principles for Responsible Investment หรือ PRI Signatory ตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 ซึ่งเป็นหลักการลงทุนที่รับผิดชอบในระดับสากลที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations) รวมถึงมีการจัดทำรายงาน Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) หรือรายงานการเปิดเผยข้อมูลการกำกับดูแลขององค์กรเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ” นางสาวธิดาศิริ กล่าว

นางสาวธิดาศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกองทุน ThaiESG กำหนดให้มีระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท อย่างไรก็ดี การตั้งกองทุน ThaiESG เป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพิ่มเติม ทำให้ปีนี้ผู้ลงทุนได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมอีก 1 แสนบาท จากเดิมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) และกองทุน SSF (กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว) ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (นับรวมกองทุนกลุ่มเพื่อการเกษียณทั้งหมด เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ) จึงคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้อีกกว่าหมื่นล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้

“โลกไม่ได้มีความต้องการเรามากเท่ากับที่เราต้องการโลก” ดังนั้นถ้าเรารักตัวเอง อยากเห็นโลกใบนี้เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ สังคมแห่งการแบ่งปันโอกาส และการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม เพื่อส่งต่อให้กับลูกหลานของเราในวันข้างหน้า วันนี้เราจึงควรต้องหันมารักษ์โลก ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ขอชวนผู้ลงทุนร่วมส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับรับโอกาสทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นของธุรกิจเหล่านี้ โดยคาดว่ากองทุน ThaiESG จากกสิกรไทย จะขายผ่านทุกช่องทางของธนาคารกสิกรไทยและผู้แทนสนับสนุนการขาย เริ่มต้นเพียง 500 บาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/


ที่มา: บลจ.กสิกรไทย

สร้างพอร์ตลงทุนชนะตลาดด้วยการลงทุนแบบ Passive

WealthGuru
สร้างพอร์ตลงทุนชนะตลาดด้วยการลงทุนแบบ Passive

มีรุ่นน้องถามผมว่า ถ้าต้องการลงทุนส่วนใหญ่เป็น Passive เลย Active บ้างตาม Cycle ของ เศรษฐกิจ

แต่ให้สามารถมีผลตอบแทนมากกว่าตลาด แต่ความเสี่ยงใกล้ตลาด

โดยลงทุนเองได้ ไม่ต้องมีเครื่องมือที่ complex แบบพวกสถานบันการเงินมี

ส่วนตัวชอบลงทุนแนว Sector อยู่แล้ว ดังนั้นจึงลองทำ portfolio optimization โดยใช้ USA Sector ดู

โดยใช้ portfoliovisualizer เป็นเครื่องมือช่วย โดยเลือก optimize แบบ maximize Sharpe Ratio

ผลการทำ portfolio optimization โดยใช้วิธีการ Mean Variance- Maximize Sharpe Ratio

โดยให้ถือแต่ละ Sector ETF ที่เป็นการลงทุนแบบ Passive Fund

โดยสัดส่วนแต่ละ ETF ต้องไม่เกิน 20% ผมแบ่งเป็น  5 ช่วง

  • 2007- 2010 ผ่านช่วง Criss  Fed ต้องลดดอกเบี้ยเหลือ 0 พร้อมอัด QE เข้าไป
  • 2010 – 2015 Economic เพิ่มฟื้นตัว
  • 2015 – 2018  โดยเฉพาะปี 2018 มีปัญหากับจีน ตลาดหุ้นตกทั่วโลก
  • 2019 – 2023  ผ่านช่วง COVID-19 ทั่วโลกดอกเบี้ยเหลือ 0 พร้อมอีดสภาพคล่องทำให้เกิด เงินเฟ้อทั่วโลก จึงจำเป็นต้องเพิ่มดอกเบี้ย

ผลได้ดังรูปนี้

สร้างพอร์ตลงทุนชนะตลาดด้วยการลงทุนแบบ Passive

Figure 1 ผลจาก portfoliovisualizer วันที่ 3-Dec-2023

ในช่วงเวลาที่เกิด Criss แบบปี 2008 Sector ที่เป็น defensive แบบ Healthcare , Consumer Staple และ Gold ก็จะ outperform กว่าตลาด

ในขณะเดียวกัน ถ้า cycle ของ เศรษฐกิจดี ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนพวก Growth Sector เช่น technology หรือ Semiconductor และลด Defensive Sector ลงได้

แต่ถ้า cycle ดอกเบี้ยสูง ก็ลดพวก growth sector ลงเพิ่ม defensive sector พร้อมเพิ่มพวก commodity

อย่างไรก็ดี ผลจากการทดสอบ ผมสังเกตแบบง่าย ๆ จะเห็น Sector ที่จะอยุ่ส่วนใหญ่ในทุกช่วงเวลา

โดยเป็น Strategic Sector ETF  คือ

  • XLV – Healthcare
  • XLP – Consumer Staple
  • GLD – Gold
  • XLK – Technology

ส่วน Tactical Sector ETF คือ

  • XLY – Consumer Discretionary
  • SOXX – Semiconductor
  • DBC – Commodity

ผมจึงแนะนำรุ่นน้องให้ซื้อพวกนั้นเป็นส่วนใหญ่แบบ Strategic Sector ETF  และ อีกส่วนที่เหลือที่เป็น Tactical ก็ค่อยปรับตัว Cycle ของ เศรษฐกิจ

ถ้าคนไม่ได้มีความรู้มาก จับจังหวะของ Market Cycle ไม่ได้ ก็อาจจะใช้การแบ่งสัดส่วนง่ายๆ แบบ Equal Weight ดังนี้

Model ที่ 1 – ใช้ Sector ทั้งหมด

โดยเป็น Strategic Sector ETF  80% ใช้ equal weight เลยก็ได้

  • XLV – Healthcare 20%
  • XLP – Consumer Staple 20%
  • GLD – Gold 20%
  • XLK – Technology 20%

ที่เหลือเป็น 20%

ส่วน Tactical Sector ETF คือ

  • XLY – Consumer Discretionary 7%
  • SOXX – Semiconductor 7%
  • DBC – Commodity 6%

Model ที่ 2 เป็น core satellite

โดยให้ S&P500 เป็นหลักสัก 20%

โดยเป็น Strategic Sector ETF  60%

ใช้ equal weight เลยก็ได้

  • XLV – Healthcare 15%
  • XLP – Consumer Staple 15%
  • GLD – Gold 15%
  • XLK – Technology 15%

ที่เหลือเป็น 20% ส่วน Tactical Sector ETF คือ

  • XLY – Consumer Discret 7%
  • SOXX – Semiconductor 7%
  • DBC – Commodity 6%

สร้างพอร์ตลงทุนชนะตลาดด้วยการลงทุนแบบ Passive

ผลทดสอบย้อนหลังได้ตามรูป

จะเห็นได้ว่า ทั้ง 3 พอร์ตจะมีค่า Maximize Sharpe Ratio สูงกว่าตลาดคือ S&P500

อย่างไรก็ การทดสอบเป็นนำค่าจากอดีตมาใช้  อนาคตอาจจะไม่เหมือนเดิมแบบนี้เสมอ

นักลงทุนจะต้องเฝ้าติดต่อการเปลี่ยนแปลงเสมอ

แท้จริงนักลงทุนสามารถกำหนด สัดส่วนของ Strategic และ Tactical ได้มากกว่า 2 model ข้างบน

แต่ภาพผลทดสอบที่เราเห็นอย่างน้อยเราจะได้ความสัมพันธ์ระหว่างของ sector และ Cycle ของ Economic คร่าว ๆ

ข่วยให้นักลงทุน Style Passive ก็สามารถเอาชนะตลาดได้

WealthGuru