- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- หามูลค่าที่เหมาะสม
- จับจังหวะเข้าลงทุน
- อ่านบทวิเคราะห์อย่างเข้าใจ
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid0oC6bYcfJhqQMU58SvqNNk5q9bHgrbd61AHAa8PM3vJcqTeFYrPAJT8kh6bNfpWFYl
‘กองทุนวายุภักษ์’ กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการลงทุนไทย ด้วยผลตอบแทนที่น่าสนใจและความเสี่ยงที่ดูเหมือนจะควบคุมได้ ทำให้กองทุนนี้กลายเป็นที่จับตามองของทั้งมือใหม่และนักลงทุนที่มีประสบการณ์
วันนี้ Finnomena จะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกแง่มุมของกองทุนวายุภักษ์ ตั้งแต่ผลตอบแทนที่น่าสนใจ การบริหารความเสี่ยง ไปจนถึงกลไกคุ้มครองเงินต้นที่หลายคนสงสัย เพื่อให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ
รูปแบบและโครงสร้างกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | ที่มา: กระทรวงการคลัง
กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เป็นกองทุนรวมพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตอบสนองนโยบายภาครัฐ โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 มีจุดประสงค์เพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดทุน พร้อมทั้งเพิ่มทางเลือกในการออมและลงทุนให้กับประชาชน
โดยแบ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเป็น 2 ประเภท คือ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 มีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนประเภท ก. ทั้งหมด และแปรสภาพเป็นกองทุนรวมเปิด เหลือเพียงผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. เท่านั้น
ปัจจุบันกองทุนวายุภักษ์กำลังจะเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยจองซื้อหน่วยลงทุนประเภท ก. อีกครั้ง ในวันที่ 16 – 20 กันยายนนี้ ที่ราคาหน่วยละ 10 บาท เริ่มต้นที่ 1,000 หน่วย หรือเท่ากับ 10,000 บาท และเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 หน่วย หรือ 1,000 บาท
ผู้ลงทุนรายย่อยจะได้รับการจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First หรือก็คือผู้ที่จองซื้อด้วยจำนวนน้อยกว่าจะได้รับการจัดสรรก่อน เพื่อกระจายหน่วยลงทุนอย่างเท่าเทียม
ผลตอบแทนประจำปีของกองทุนจะจ่ายให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ในรูปแบบ ‘เงินปันผล’ ตามผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงในอัตราขั้นต่ำ 3% ต่อปี และขั้นสูง 9% ต่อปี โดยเงินปันผลจะต้องเสียภาษี 10% ไม่มีข้อยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ
ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง คำนวณจากมูลค่าที่ตราไว้ (Par) ของหน่วยลงทุนประเภท ก. ที่ 10 บาทต่อหน่วย ซึ่งครั้งแรกจะเป็นการจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ส่วนครั้งที่ 2 จะจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% รวมกับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (ถ้ามี)
ตัวอย่าง: หากเราลงทุน 10,000 บาทในกองทุนวายุภักษ์ และกองทุนมีกำไร 3% ตามที่กำหนด (ผลตอบแทนขั้นต่ำ) เราจะได้รับเงินปันผลกลางปี 135 บาท และสิ้นปีอีก 135 บาท รวมเป็น 270 บาทต่อปี (300 บาท หักภาษี 10%) ตลอดระยะเวลา 10 ปี
หมายความว่าหากเราถือหน่วยลงทุนครบ 10 ปี เราจะมีโอกาสได้รับผลเงินปันผลทั้งหมด 2,700 บาท และมีโอกาสได้รับเงินลงทุนตั้งต้นคืนเต็มจำนวนอีกด้วย หาก NAV ของกองทุนไม่ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับ | ที่มา: กระทรวงการคลัง
กองทุนรวมวายุภักษ์สามารถกำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำได้ด้วยการออกแบบโครงสร้างการลงทุนแบบ 2 ชั้น ดังนี้
– ชั้นแรกคือผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อย จะได้รับการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี และสูงสุดไม่เกิน 9% ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานจริงของกองทุน
– ชั้นที่ 2 คือผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ซึ่งเป็นนักลงทุนภาครัฐและกระทรวงการคลัง จะมีบทบาทสำคัญในการรองรับความผันผวนของกองทุนโดยผู้ถือหน่วยประเภท ข. จะได้รับผลตอบแทนส่วนที่เหลือจากการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งอาจหมายถึงการรับภาระขาดทุนในกรณีที่ผลตอบแทนรวมต่ำกว่า 3% แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า 9% หากกองทุนทำผลงานได้ดีเกินคาด
กลไกนี้ช่วยกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทน ทำให้กองทุนสามารถคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยจากความผันผวน ขณะเดียวกันก็ดึงดูดนักลงทุนภาครัฐและกระทรวงการคลังด้วยโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่กองทุนสามารถกำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำให้กับนักลงทุนรายย่อยได้
กลไกบริหารความเสี่ยงของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | ที่มา: กระทรวงการคลัง
ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับการคุ้มครองในกรณีที่กองทุนมีมูลค่าลดลง ตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนแบบ Waterfall โดยผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับคืนเงินลงทุนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ที่มูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้น 10 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ กองทุนมีกลไกการบริหารความเสี่ยง โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า ACR (Asset Coverage Ratio) ซึ่งเปรียบเสมือนตัวบอกว่ากองทุนมีเงินสำรองเพียงพอที่จะจ่ายเงินคืนให้เราหรือไม่
โดยจากข้อมูล NAV รวมของกองทุน ณ วันที่ 6 กันยายน 2567 และในกรณีที่เสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. เป็นมูลค่ารวม 150,000 ล้านบาท ACR จะอยู่ที่ประมาณ 3.36 เท่า
ซึ่งหาก ACR ลดลงต่ำกว่า 2 เท่า ติดต่อกัน 5 วันทำการ บริษัทจัดการจะเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์สภาพคล่อง หรือกันส่วนสำรองเพื่อการจ่ายเงินปันผลให้เพียงพอ ต่อการจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี
และหาก ACR ลดลงต่ำกว่า 1.5 เท่า ติดต่อกัน 5 วันทำการ บริษัทจัดการอาจพิจารณาเปลี่ยนสินทรัพย์ลงทุนให้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง จำนวนไม่น้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ก. ภายในระยะเวลา 90 วัน
จากนั้นจะนำมาเก็บไว้เป็นเงินสำรองสำหรับชำระคืนเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยจะทยอยเปลี่ยนสินทรัพย์เพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ทั้งหมดหรือบางส่วน
ดังนั้น จึงเปรียบเสมือนว่าผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับความคุ้มครองจากกลไกการบริหารความเสี่ยงก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และเพื่อตอบแทนการให้ความคุ้มครองตามกลไกบริหารความเสี่ยงดังกล่าว ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จะได้รับเงินปันผลหรือสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ โดยคำนวณจากส่วนที่เกินกว่า NAV เริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ข.
“กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” ออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุนระยะยาว สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. มีระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี โดยหากถือหน่วยลงทุนครบกำหนด ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถขายหน่วยลงทุนก่อนครบ 10 ปี ผ่านตลาดรองได้ หลังจากบริษัทจัดการนำหน่วยลงทุนประเภท ก. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อย่างไรก็ตาม การขายหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนดอาจทำให้สูญเสียผลประโยชน์ ดังนี้
นโยบายการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | ที่มา: กระทรวงการคลัง
กองทุนวายุภักษ์มีนโยบายลงทุนแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
กองทุนมีการบริหารทั้งแบบเชิงรุก (Active Investment) และแบบเชิงรับ (Passive Investment) ส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคงในระยะยาว ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
เช่น บริษัทที่อยู่ใน SET100 ซึ่งได้รับคะแนน SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป หรือบริษัทนอก SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings สูงกว่า เป็นต้น
อีกทั้งอาจพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่มีอัตราผลตอบแทนดีหรือมีแนวโน้มเติบโตสูง มีสภาพคล่อง รวมถึงมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
นอกจากนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน
สัดส่วนการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | ที่มา: Settrade | ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567
*ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 สัดส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลง
Top 5 Holdings | ที่มา: Settrade | ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567
*ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 สัดส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลง
– บุคคลทั่วไป: ผู้ลงทุนรายย่อยชาวไทยที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
– นิติบุคคล: นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือกองทุนส่วนบุคคลของผู้ลงทุนรายย่อยข้างต้น
– สถาบันและนิติบุคคลเฉพาะกลุ่ม: เช่น ธนาคารพาณิชย์, บริษัทประกัน, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนประกันสังคม
– ผู้ลงทุนรายย่อย: 16-20 กันยายน 2567
– ผู้ลงทุนสถาบันและนิติบุคคล: 18-20 กันยายน 2567
– มูลค่าการจองซื้อขั้นต่ำ: 1,000 หน่วย หรือ 10,000 บาท
– วิธีการจัดสรร: Small Lot First (จองซื้อด้วยจำนวนที่น้อยกว่าจะได้รับการจัดสรรก่อน)
– ประกาศผล: 25 กันยายน 2567
ช่องทางการจองซื้อกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | Source: กระทรวงการคลัง
ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนอย่างมาก การเปิดตัวกองทุนวายุภักษ์จึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้งได้หรือไม่ ด้วยกลไกการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์และเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ ทำให้กองทุนนี้กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย
พร้อมกันนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สนับสนุนให้กองทุนวายุภักษ์มีความน่าสนใจ ซึ่งดึงดูดให้ทั้งนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยหันมาสนใจกองทุนวายุภักษ์มากขึ้น ทำให้คาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนน้อยลงได้
ในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ นักลงทุนจำนวนมากมองหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าเพื่อรักษาและเพิ่มมูลค่าของเงินทุน โดยปัจจุบันค่าเฉลี่ยเงินฝากประจำ 1 ปี จากทุกธนาคารอยู่ที่ประมาณ 1.70% ต่อปี เมื่อเทียบกับผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 3% ของกองทุนวายุภักษ์ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย
ทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากลดลงไปอีก
การกำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป พร้อมด้วยมาตรการคุ้มครองเงินลงทุน ทำให้กองทุนวายุภักษ์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนความเสี่ยงต่ำและมีความมั่นคง
การเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงกองทุนวายุภักษ์ จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ตลาดมีความแข็งแรงมากขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติกล้าเข้ามาลงทุนมากยิ่งขึ้น
คำนวณจากอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับซึ่งจะไม่ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่สูงเกินกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นสูง ดังนั้น NAV ของหน่วยลงทุนประเภท ก. อาจไม่สะท้อนมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
กองทุนรวมไม่มีผู้รับประกันหรือค้ำประกันเงินลงทุน หากมูลค่าทรัพย์สินที่กองทุนรวมเข้าไปลงทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ หดตัวลงอย่างรุนแรง อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อ NAV ของกองทุนรวม โดยผู้ถือหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนบางส่วน หรือทั้งหมด
และไม่ใช่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมไม่มีผู้รับประกันหรือค้ำประกันผลตอบแทน โดยในกรณีที่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่ส่งผลทำให้กำไรของกองทุนรวมและสำรองเงินปันผลของกองทุนรวมลดลงจนไม่เพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผล ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. อาจได้รับเงินปันผลจริงในอัตราที่ต่ำกว่า 3% ต่อปี หรืออาจไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเลย
ในกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลงหรือมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนลดลงอย่างรุนแรง บริษัทจัดการอาจตัดสินใจรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto-Redemption) เพื่อปิดกองทุนก่อนกำหนด ตามราคาที่คำนวณ ณ สิ้นวันที่ทำการรับซื้อคืนดังกล่าว ซึ่งผู้ลงทุนอาจขาดทุนได้
สภาวะตลาดของตลาดหุ้นอาจมีความผันผวนได้ตลอดเวลา โดยอาจขึ้นอยู่กับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนของค่าเงิน ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัทผู้ออกตราสาร ปริมาณการซื้อขายหุ้นหรือตราสารหนี้ เป็นต้น ส่งผลให้ราคาหุ้นที่กองทุนรวมได้ลงทุนไว้อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตลอดเวลา
หลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ราคาหน่วยลงทุนอาจผันผวนตามแรงซื้อและแรงขายของนักลงทุน ทำให้ราคา NAV ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจแตกต่างจากมูลค่า Par ที่ 10 บาท
โดยผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถร้องขอให้นายทะเบียนออกใบหน่วยลงทุนให้ได้โดยยื่นคำขอออกใบหน่วยลงทุนตามแบบที่นายทะเบียน และ/หรือบริษัทจัดการกำหนด กรณีฝากหน่วยลงทุนไว้กับนายทะเบียน TSD (บัญชี 600) ผู้ลงทุนจะไม่สามารถขายหน่วยลงทุนได้ทันวันแรกที่หน่วยลงทุนประเภท ก. เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้
กองทุนวายุภักษ์ ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน โดยมีการกำหนดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำไว้ ซึ่งถือว่าสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารทั่วไปมาก แม้ว่าจะอาจจะไม่สูงเท่ากับการลงทุนในหุ้น แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 2.6% กองทุนวายุภักษ์ก็มีความน่าสนใจเพราะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่า 3% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นมีแนวโน้มเติบโตดี
กองทุนวายุภักษ์ถูกออกแบบมาเพื่อบริหารความเสี่ยง โดยความผันผวนของ NAV จะถูกส่งผ่านไปยังหน่วยลงทุนประเภท ข. หมายความว่าผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จะรับผลขาดทุนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ทำให้มีความเสี่ยงขาดทุนน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนรวมแบบปกติ
กองทุนวายุภักษ์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับจะสะสมขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ลงทุน และความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้นจะค่อยๆ ลดลง หากคุณมีเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ การศึกษาบุตรหลาน การลงทุนในกองทุนวายุภักษ์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
การลงทุนในกองทุนวายุภักษ์เป็นการสนับสนุนตลาดหุ้นไทยโดยอ้อม เนื่องจากเงินที่ระดมได้จากการขายหน่วยลงทุนจะถูกนำไปลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในระยะยาว
ทั้งนี้ ขอย้ำว่ากองทุนวายุภักษ์ ไม่มีผู้รับประกันหรือค้ำประกันเงินลงทุน หากมูลค่าทรัพย์สินที่กองทุนเข้าไปลงทุน ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลงอย่างรุนแรง อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อ NAV ของกองทุนรวม จนทำให้กลไกในการคุ้มครองเงินลงทุนไม่เพียงพอที่จะรองรับผลประทบเชิงลบดังกล่าว และทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. อาจไม่ได้รับเงินต้นคืนบางส่วนหรือทั้งหมด
นอกจากนี้ กองทุนไม่มีผู้รับประกันหรือค้ำประกันผลตอบแทน โดยในกรณีที่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่ส่งผลทำให้กำไรของกองทุนและสำรองเงินปันผลของกองทุนลดลง จนไม่เพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผลในอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ผู้ถือหน่วยลงทุนอาจได้รับเงินปันผลจริงในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี หรืออาจไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเลย ในกรณีที่กำไรของกองทุนและสำรองเงินปันผลของกองทุนหมดไป
ที่มา: รัฐบาลไทย, มติชน,ธนาคารกสิกรไทย, Finnomena, The Standard
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ฟินโนมีนา (Finnomena) กลับมาสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ในวงการผู้แนะนำการลงทุนไทยอีกครั้ง ด้วยการจัดงาน FA Summit 2024 ภายใต้ธีม “AI WORLD REVOLUTION” ณ โรงละคร Lido Connect ชั้น 2 ฮอลล์ 3 โดยงานนี้ได้รวบรวมผู้แนะนำการลงทุนและผู้ที่สนใจในอาชีพนี้มาร่วมกันสำรวจอนาคตของการให้คำแนะนำการลงทุนในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญ
ภายในงานได้เน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการผู้แนะนำการลงทุน ซึ่งเทคโนโลยี AI ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลและให้คำแนะนำที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทันสมัยก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยยกระดับการให้บริการ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของฟินโนมีนาซึ่งตั้งเป้าสร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมสำหรับผู้แนะนำการลงทุน มุ่งเน้นการจับคู่ระหว่างลูกค้าและผู้แนะนำที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้รับคำแนะนำที่ตรงกับความต้องการและสถานะทางการเงินของตนเอง
นายณัฏภวินท์ มาไพศาลสิน กรรมการผู้จัดการ ฝ่าย FA Advisory Group ของฟินโนมีนา กล่าวว่า “การขยายตัวของระบบนิเวศผู้แนะนำการลงทุนจะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับบริการทางการลงทุน การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมโยงผู้แนะนำการลงทุนกับลูกค้าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ในขณะเดียวกัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI และเทคโนโลยีจะช่วยให้ผู้แนะนำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือการเปิดตัว “ชาร์ลี” (Charlie) AI ที่พัฒนาขึ้นเพื่อปฏิวัติวงการให้คำแนะนำการลงทุน ชาร์ลีมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และให้คำแนะนำที่ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย โดยจะรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลก่อนให้คำแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับสถานะทางการเงินของตน ในระยะแรกจะเริ่มต้นจากการวิเคราะห์โอกาสในกองทุนรวมลดหย่อนภาษีก่อน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสอบถามชาร์ลีได้ตลอด 24 ชั่วโมง
“อย่างไรก็ตาม ชาร์ลีไม่ได้มาแทนที่ผู้แนะนำการลงทุนที่เป็นบุคคล แต่จะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ โดย AI จะช่วยในงานวิเคราะห์ที่ซับซ้อน แม้ว่า AI จะมีศักยภาพสูง แต่เราตระหนักดีว่ามีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจลงทุนขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของนักลงทุนเอง เราเน้นย้ำว่าข้อมูลและคำแนะนำจาก AI ควรใช้เป็นแค่หนึ่งในการประกอบการตัดสินใจ ไม่ใช่เป็นตัวกำหนดการตัดสินใจทั้งหมด” นายณัฏภวินท์ มาไพศาลสิน กล่าวเสริม
นอกจากชาร์ลีแล้ว ฟินโนมีนายังได้เปิดตัวแพลตฟอร์มและนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกมากมาย เช่น FA Enhancing Program เพื่อเสริมประสิทธิภาพสำหรับผู้แนะนำการลงทุนและยกระดับการให้บริการ ระบบคำสั่งการเสนอซื้อขาย Proposal Order ที่ช่วยให้ผู้แนะนำการลงทุนปิดการขายได้อย่างรวดเร็วและสะดวก รวมถึง Opportunity Hub ซึ่งเป็นแหล่งรวมโอกาสการลงทุนที่นำเสนอคำแนะนำสำหรับแต่ละสไตล์แบบดูง่าย ๆ ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผู้แนะนำการลงทุนและสนับสนุนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกด้วย
ฟินโนมีนายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตของการให้คำแนะนำการลงทุนที่ผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญของมนุษย์และความสามารถของ AI เพื่อมอบบริการที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้าและอุตสาหกรรมธุรกิจการเงินโดยรวม
โดยในปัจจุบัน ฟินโนมีนามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 17,000 ล้านบาท มีผู้แนะนำการลงทุนกว่า 2,425 คน และลูกค้ากว่า 24,888 ราย
รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการผลิตและการส่งออกที่แข็งแกร่ง
กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของเกาหลีใต้ได้เผยแพร่รายงานรายเดือนที่เรียกว่า “กรีนบุ๊ก” (Green Book) ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคการผลิตและการส่งออกที่แข็งแกร่ง รวมถึงการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศอย่างปานกลาง และการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในสิ่งก่อสร้าง ขณะที่เงินเฟ้อมีความเสถียร
กระทรวงฯ ระบุว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีการฟื้นตัว เนื่องจากภาคการค้าดีขึ้น ในขณะที่ประเทศเศรษฐกิจใหญ่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตาม มีการเตือนถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาในประเทศเศรษฐกิจใหญ่ รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและตะวันออกกลาง
ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 11.4% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยเติบโตเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน
ผลผลิตในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 5.5% ในเดือนกรกฎาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ขณะที่ผลผลิตในภาคบริการเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนเดียวกัน
ยอดค้าปลีก ซึ่งสะท้อนถึงการบริโภคส่วนบุคคล ลดลง 2.1% ในเดือนกรกฎาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ในขณะที่การลงทุนในสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้น 18.5% ในเดือนกรกฎาคม
จำนวนตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น 123,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 172,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนกรกฎาคม
ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/429408
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/kospi-aug-2023
อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/korea-jun-2024
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
หุ้นที่ “Value Investor” เล่นหรือลงทุนนั้น มีหลายแบบและก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและหุ้นในขณะนั้น เพราะ VI โดยเฉพาะของไทยนั้น มีหลายแบบมาก ถ้าจะว่าไป เวลานี้นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและมีพอร์ตขนาดใหญ่แทบทุกคนก็เป็นหรือเรียกตัวเองว่าเป็น “VI” แทบทั้งนั้น และพวกเขาต่างก็ยกคำจำกัดความของคำว่า VI ว่าคือการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกหรือต่ำกว่า “มูลค่าที่แท้จริง” และขายเมื่อราคาสูงเกินไปแล้ว
และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นก็คือ ประเมิน “มูลค่าที่แท้จริง” ของหุ้น ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็จะมีมุมมองต่อบริษัทหรือกิจการแตกต่างกันมาก บางคนคาดการณ์หรือเชื่อว่ากำไรของบริษัทจะ “โตแบบก้าวกระโดด” เพราะบริษัทหรือธุรกิจของบริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มี “S-Curve” หรือเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วใหม่ที่จะทำให้กลายเป็น “Global Brand” หรือเป็น “ยี่ห้อระดับโลก” เป็นต้น
ดังนั้น มูลค่าของบริษัทก็ควรจะต้องสูงมาก ราคาหุ้นที่สูงจนทำให้ค่า PE สูงในระดับ 30-40 เท่าก็ไม่แพง ซื้อไว้แล้วเดี๋ยวราคาจะวิ่งขึ้นไปเองเมื่อกำไรในไตรมาศหน้าเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
และนั่นก็คือแนวคิดหรือแนวทางของ “VI รุ่นใหม่” หลาย ๆ คนที่คิดว่า โอกาสของการลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทยยัง “เปิดกว้าง” มีหุ้นที่จะลงทุนแบบ VI ได้อีกมากและยังน่าจะได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีอย่างที่เคยเป็นมานานใน “ยุคทองของ VI” จากช่วงปี 2552 หรือปีหลังวิกฤติซับไพร์ม ถึงประมาณปี 2562 ที่เป็นช่วงของปีวิกฤติโควิด-19 เป็นเวลาถึง 10 ปี
ผมเองมีความเห็นว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทยนั้น ก็คงจะอยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าว เพราะนั่นคืออุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถไม่แพ้ประเทศอื่น เพราะมันเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เน้นความสามารถทางด้านเทคโนโลยีที่คนไทยไม่ชำนาญ แต่เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นทางด้านการให้บริการและความสามารถทางด้านของศิลปะที่คนไทยไม่แพ้ชาติอื่นในโลก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อุตสาหกรรมดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีขนาดใหญ่และเติบโตมานานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติระดับหนึ่งมานานแล้ว การที่ประเทศไทยจะสร้างหรือเพิ่มการเติบโตอุตสาหกรรมเหล่านั้นต่อไปจึงมีความเป็นไปได้สูง
แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมนั้น ไม่ได้เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดว่าจะทำให้หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมทุกบริษัทดีไปด้วย เหตุเพราะว่า ถ้ามีบริษัทใหม่ที่เข้ามาให้บริการ หรือมีคู่แข่งที่เข้ามาให้บริการเพิ่มมากยิ่งกว่าการเติบโตของความต้องการแล้ว การแข่งขันก็จะรุนแรง ราคาค่าบริการหรือสินค้าอาจจะลดลง หรือมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายจะลดลงจนอาจจะทำให้กำไรของกิจการลดลง ซึ่งนั่นก็จะทำให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้น แทนที่จะดีขึ้น กลับแย่ลง ในบางกรณีที่มีผู้ให้บริการมากเกินไปมาก ก็อาจจะทำให้บริษัทจำนวนมากล้มละลายได้
ดังนั้น ธุรกิจที่จะดีหรือมีโอกาสที่จะเป็น ซุปเปอร์สต็อก จึงต้องมีอีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญก็คือ จะต้องมีความสามารถหรือความโดดเด่นบางอย่างที่จะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นหน้าใหม่หรือคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเข้ามาแย่งลูกค้าได้ ในภาษาของ “VI” ก็คือ ธุรกิจหรือบริษัทมี “Moat” หรือมีป้อมค่าย-คูเมือง ที่สามารถป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามายึดปราสาทหรือเมืองหรือธุรกิจของตนเองได้
ตัวอย่างของ Moat ที่เข้มแข็งมากที่สุดอย่างหนึ่งก็เช่น โปรแกรมที่ใช้ในการรันคอมพิวเตอร์แทบทุกตัวในโลกของไมโครซอฟท์คือวินโดว์ ซึ่งต่อให้มีคนใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นแค่ไหน ทุกคนก็ต้องมาใช้โปรแกรมนี้ เป็นต้น และนี่ก็คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นไมโครซอฟท์นั้นเพิ่มขึ้นและครองอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านมูลค่ามาตลอดแม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
แต่ถ้าถามว่าหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่คาดว่าจะโตต่อไปเรื่อย ๆ เร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวมนั้น มีตัวไหนหรือกลุ่มไหนบ้างที่มี Moat คำตอบที่ชัดเจนก็คือ มีตัวเดียว นั่นก็คือ หุ้นสนามบินที่มีผู้ให้บริการหลักเพียง 1 ราย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้น AOT จึงมีมูลค่ามหาศาลระดับ 1 ล้านล้านบาท และอยู่ในอันดับ 1-3 ของหุ้นใหญ่ที่สุดมานานต่อเนื่อง
ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจอื่นทางด้านการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมนั้น โอกาสที่จะเติบโต ทำกำไรได้ดีและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ผมกลับคิดว่าอาจจะไม่เกี่ยวกับการที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เลย เหตุผลก็เพราะว่า ธุรกิจโรงแรมนั้น ไม่มี Moat ยิ่งอุตสาหกรรมโตเร็ว ก็ยิ่งกระตุ้นให้คู่แข่งเข้ามาให้บริการโดยการสร้างโรงแรมมากขึ้น ห้องพักมีโอกาสล้นมากขึ้น ราคาห้องลดลง กำไรของบริษัทก็จะหดตัวลง แล้วหุ้นจะไปทางไหน?
โรงแรมก็จะหนีไปลงทุนในต่างประเทศแทน แล้วก็ไปเจอกับคู่แข่งในต่างประเทศที่อาจจะน้อยกว่า ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ “ฝีมือ” ของผู้บริหาร ไม่ใช่เรื่องที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวของโลก
ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งจะเป็นอนาคตของประเทศไทยที่คน “แก่ตัวลง” และต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้นนั้น พวกเขาก็อาจจะลืมไปว่า เด็กเกิดใหม่ซึ่งต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากเช่นกันนั้น ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ธุรกิจโรงพยาบาลโดยรวมจึงอาจจะไม่ได้เติบโตอะไรนัก
โรงพยาบาลที่อาจจะโตได้มากกว่าก็คือโรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสามารถรักษาโรคซับซ้อนได้ดีที่สามารถดึงดูดให้คนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลของตน และต่างชาติก็จะมา เนื่องจากโรงพยาบาลชั้นนำของไทยนั้น มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับระดับโลกแต่มีราคาค่าบริการต่ำกว่าคู่แข่งในย่านนี้ และเมื่อลูกค้ามาใช้บริการแล้ว ก็มักจะไม่หนีไปไหน เนื่องจากคนไข้ต้องรักษากับหมออย่างต่อเนื่อง ในภาษาของ VI ก็คือ ธุรกิจโรงพยาบาลมี “Exit Cost” ซึ่งคล้าย ๆ กับ Moat ที่กันไม่ให้ลูกค้าหนีไปหาคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลที่มีคุณสมบัติแบบนั้นในไทยก็มีไม่กี่โรง
ในช่วงหลัง ๆ เราเริ่มเห็นโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านความงาม โรงพยาบาลเฉพาะทางอย่างเช่นโรงพยาบาลฟัน หรือโรงพยาบาลช่วยให้ตั้งครรภ์ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ โรงพยาบาลเหล่านี้ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับโรงพยาบาลทั่วไปนั่นก็คือ ไม่มี Moat พอมีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้น อานิสงส์จากการที่คนรุ่นใหม่ต้องการ “ความงาม” มากขึ้น ซึ่งก็อาจจะมีสาเหตุต่อเนื่องมาจากการที่ต้องออกสื่อสังคมมากขึ้น
แต่ประเด็นก็คือ คู่แข่งหรือ Supply ที่เป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลแบบเดียวกันก็เพิ่มขึ้นได้แบบไม่จำกัด เมื่อใดก็ตามที่จำนวนผู้ให้บริการเพิ่มเกินกว่าผู้ต้องการใช้บริการ ธุรกิจก็จะตกต่ำลง ดังนั้น บริษัทที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันจึงไม่น่าจะเป็นธุรกิจที่ดีสุดยอดได้ ว่าที่จริง คลินิกเสริมความงามธรรมดานั้นล้มหายตายจากกันไปมากแล้ว ในอนาคตผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนั้นอีกไหมกับธุรกิจโรงพยาบาลเฉพาะทางอื่น ๆ
ธุรกิจกลุ่มสุดท้ายที่เป็นความหวังของ VI รุ่นใหม่ก็คือ หุ้นที่ขายของกินของใช้ในชีวิตประจำวันให้แก่บุคคลทั่วไปที่ “ไม่ใช่สินค้าจำเป็น” เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำชา น้ำหวาน อาหารภัตตาคาร เครื่องสำอาง ทั้งหมดนั้น ถ้าจะดูเฉพาะในประเทศไทยก็เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอิ่มตัวเพราะจำนวนคนไทยโดยโดยเฉพาะที่อายุน้อยที่เป็นลูกค้าหลัก มีจำนวนลดลง
หุ้นที่ VI ชอบ มักจะเป็นบริษัทที่มียอดขายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ก็มาจากการส่งออก หรือขายให้นักท่องเที่ยว หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นเพราะบริษัท “มีความสามารถทางการตลาดเหนือกว่าคู่แข่ง” สตอรี่ก็มักจะบอกว่ายอดขายและกำไรจะโตต่อเนื่องยาวนาน แต่ถ้าวิเคราะห์ลึกลงไปก็จะพบว่า บริษัทไม่มี Moat ที่จะป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
ประเด็นของผมก็คือ สินค้าเกี่ยวกับผู้บริโภคของไทยที่ส่งออกไปขายให้คนต่างชาตินั้น มักจะประสบปัญหาที่สำคัญก็คือเรื่องของ “ภาพพจน์” ที่ว่า คนบริโภคนั้น มักจะ “มองขึ้น” คืออยากใช้สินค้าของประเทศที่พัฒนามากกว่าตนเอง ดังนั้น ถ้าตลาดของสินค้าอยู่ที่ประเทศที่พัฒนากว่าไทย เขาอาจจะซื้อน้อยลง ลองนึกถึงว่าคนไทยชอบสินค้าของประเทศไหนก็จะพบว่าเป็นสินค้าของประเทศที่พัฒนาสูงกว่าเราเป็นส่วนใหญ่ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มากกว่ามาจากประเทศอย่างเวียดนาม เช่นเดียวกัน สินค้าของจีนในสมัยที่เขายังพัฒนาต่ำกว่าเรา เราก็ไม่ชอบใช้ แต่เวลานี้เราก็เริ่มใช้แล้วเพราะเขาพัฒนามากกว่าเราแล้ว
ดังนั้น ถ้าบริษัทไหนบอกว่าเขาจะขายของไปที่ตลาดไหนมากขึ้นมาก ๆ ก็ต้องระวังว่าจะทำได้แค่ไหน ถ้าประเทศนั้นพัฒนาไปมากกว่าเรา ซึ่งเวลานี้ก็รวมถึงตลาดจีนด้วย
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ถ้าจะลงทุนในหุ้นที่อาจจะดูเหมือนว่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่อาจจะกำลัง “โตเร็ว” และอยู่ในอุตสาหกรรม “แห่งอนาคต” ของไทย ก็พึงระวังว่า หุ้นเหล่านั้นอาจจะไม่มี Moat และจะมีความเสี่ยงว่า อยู่ ๆ ผลประกอบการก็ “เดี้ยง” ไปซะงั้น
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คณะบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปรับเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีน รวมถึงการเก็บภาษี 100% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญในสหรัฐฯ จากการผลิตที่มากเกินไปซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การเก็บภาษีนำเข้าหลายรายการจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 กันยายนนี้ รวมถึงภาษี 100% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน, 50% สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์, และ 25% สำหรับเหล็ก, อะลูมิเนียม, แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และแร่ธาตุสำคัญ
ส่วนภาษี 50% สำหรับเซมิคอนดักเตอร์จากจีน รวมถึงโพลีซิลิคอนที่ใช้ในแผงโซลาร์และแผ่นซิลิคอนนั้น จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2568
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การปรับภาษีตามมาตรา 301 ที่ประกาศในเดือนพฤษภาคมโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน สำหรับสินค้ามูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ตอบสนองต่อคำร้องของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เรียกร้องให้ลดภาษีสำหรับแกรไฟต์และแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากพวกเขายังคงพึ่งพาการจัดหาจากจีนอย่างมาก
นอกจากนี้ USTR ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงการเพิ่มภาษีจาก 0% เป็น 25% สำหรับแบตเตอรี่ลิเทียม–ไอออน แร่ธาตุ และส่วนประกอบต่าง ๆ การเพิ่มภาษีสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายนนี้ ขณะที่ภาษีสำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น แล็ปท็อปและโทรศัพท์มือถือ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid0oC6bYcfJhqQMU58SvqNNk5q9bHgrbd61AHAa8PM3vJcqTeFYrPAJT8kh6bNfpWFYl
ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร “คนอายุยืน เด็กเกิดใหม่น้อย” กลายเป็นปัญหาหนักอึ้งของหลายประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และระบบบำนาญวัยเกษียณ
จีนก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เจอกับความท้าทายเรื่องนี้ ทำให้ล่าสุด Bloomberg รายงานว่า สภานิติบัญญัติของจีน ได้อนุมัติข้อเสนอการปรับเพิ่มอายุเกษียณของชาวจีน เป็นครั้งแรกในรอบ 46 ปี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2025 แต่จะเป็นการปรับอายุขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะใช้เวลา 15 ปี จึงจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ
จะเห็นว่าอายุขัยเฉลี่ยของประชากรจีน สูงถึง 78 ปี และคาดว่าจะมีผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของประชากรทั้งหมด หรือมากกว่า 400 ล้านคน ภายในปี 2035
ขณะเดียวกันคนจีนยังมีอัตราการเกิดที่ลดลง โดยในปี 2022 นับเป็นครั้งแรกที่จีนมีประชากรลดลง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศแห่งการเติบโตนี้
ความน่ากังวลก็คือตอนนี้ คนวัยทำงานประมาณ 5 คน จะต้องเลี้ยงดูผู้เกษียณอายุ 1 คน และมีแนวโน้มที่จะแบกภาระมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลให้ทางการจีน ตัดสินใจขยายอายุเกษียณ เพื่อไม่ให้ระบบบำนาญของประเทศเกิดปัญหาในอนาคต
อ้างอิง: Bloomberg
สัญญาทองคำในตลาดนิวยอร์กปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2567 ได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังจากที่สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลที่ชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 38.20 ดอลลาร์ หรือ 1.50% ปิดที่ 2,580.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 1.179 ดอลลาร์ หรือ 4.08% ปิดที่ 30.107 ดอลลาร์/ออนซ์
ในส่วนของสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 26 ดอลลาร์ หรือ 2.72% ปิดที่ 982.20 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 41.80 ดอลลาร์ หรือ 4.15% ปิดที่ 1,048.80 ดอลลาร์/ออนซ์
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 2,000 ราย สู่ระดับ 230,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตรงตามการคาดการณ์
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%
อเล็กซ์ เอบคาเรียน ผู้บริหารของบริษัท Allegiance Gold กล่าวว่า “ดัชนี PPI ที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์เพียงเล็กน้อยสะท้อนให้เห็นว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในทิศทางชะลอตัว ซึ่งอาจสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และทำให้ทองคำมีความน่าดึงดูดมากขึ้น เราคาดว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหลายครั้งในอนาคต”
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 73% ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 กันยายน และให้น้ำหนัก 27% ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในวันดังกล่าว
ที่มา: https://infoquest.co.th/2024/429215
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/finnomenafunds/mevt-call-gold-jul-2024/
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ทั่วโลกกำลังจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะมีขึ้นในช่วงค่ำวันนี้ (12 กันยายน 2567) โดยคาดการณ์ว่า ECB จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ซึ่งจะเป็นการปรับลดครั้งที่สองในปีนี้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
การตัดสินใจของ ECB ครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมลดลงเหลือ 2.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของยุโรปจะยังคงแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจเยอรมันซึ่งเป็นเศรษฐกิจหลักของยุโรปกลับหดตัวลง
แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ภายในคณะกรรมการของ ECB บางส่วนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
การเติบโตของค่าจ้างที่แข็งแกร่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการลดอัตราเงินเฟ้อ และอาจทำให้ ECB ต้องระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
การตัดสินใจของ ECB จะมีส่วนกำหนดทิศทางนโยบายการเงินโลกในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า (17-18 กันยายน) ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB จะส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินยูโรซึ่งคาดว่าจะอ่อนค่าลง
Holger Schmieding นักเศรษฐศาสตร์หัวหน้าของ Berenberg Bank มั่นใจว่า การประชุมของ ECB ในคืนนี้จะลงมติลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยสังเกตว่าแม้แต่ Joachim Nagel ประธานธนาคารกลางเยอรมนี ซึ่งมักมีท่าทีแข็งกร้าว ก็แสดงท่าทีเปิดไฟเขียวให้ลดดอกเบี้ยครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ในเดือนตุลาคม ECB อาจตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่ Philip Lane หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ECB ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อต่ำเกินไปในระยะยาว หากยังคงอัตราดอกเบี้ยสูงอยู่ ซึ่งอาจเปิดทางให้มีการปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด
การตัดสินใจของ ECB ในครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนการประชุมของ Fed ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกจับตามองการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั้งสองแห่งอย่างใกล้ชิด เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลกในอนาคต
เรายังคงมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยในระยะสั้นยังขาด Positive Catalyst
เราเปลี่ยนคำแนะนำจาก “สะสม” เป็น “ถือ” เพื่อรอดูมาตรการกระตุ้นช่วง Golden Week
เรายังคงคำแนะนำทยอยสะสมกองทุน B-BHARATA
เรายังคงคำแนะนำทยอยขายหุ้นไทย และ REITs ไทย
เรายังคงแนะนำลงทุนกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A และ KKP VGF-UI*
*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
เรายังคงแนะนำทยอยสะสมกองทุน SCBKEQTG และ DAOL-KOREAEQ
เรายังคงแนะนำลงทุนกองทุน UGIS-N และ MUBOND-A สำหรับกองทุนแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินแนะนำกองทุน UGISFX-N และ MUBONDUH-A
เรายังคงแนะนำสะสมผ่านกองทุน KT-GOLDUH-A
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วันนี้ (12 กันยายน 2024) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น นำโดย ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) +2.5% ตลาดหุ้นเกาหลี (KOSPI) +1.9% ดัชนีหุ้นจีน H-Share (HSCEI) +0.8% และตลาดหุ้นไทย (SET Index) +0.6 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในคืนวันอังคารที่ 11 กันยายน 2024 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +1.07% และดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวขึ้น +2.17% โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยหุ้น Nvidia ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 8% หลังจากมีรายงานจากเว็บไซต์เซมาฟอร์ (Semafor) ระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเปิดทางให้บริษัท Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ทันสมัยไปให้กับประเทศซาอุดิอาระเบียได้ จึงส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเอเชียปรับตัวขึ้นแรงตามทิศทางหุ้นสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงจาก 2.9% YoY ในเดือนกรกฎาคม สู่ระดับ 2.5% YoY ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์
Finnomena Funds มองว่าการฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ จะช่วยลด Sentiment ลบต่อตลาดหุ้นเอเชียในช่วงระยะสั้น หลังจากตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัว จากตัวเลขการจ้างงานที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับเหตุการณ์สำคัญถัดไปที่ต้องจับตามอง คือการประชุม Fed ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 17-18 กันยายน 2024 โดยตลาดคาดว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงจะมีการเปิดเผยการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และ Dot plot ในการประชุมครั้งนี้
เรายังคงแนะนำทยอยสะสมกองทุนหุ้นเอเชียอย่าง UOBSA ที่ใช้ AI ร่วมกับผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น สร้างผลตอบแทนโดดเด่นกว่ากองเอเชียอื่น ๆ อย่างชัดเจน นอกจากนี้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุน SCBKEQTG ตามมุมมองของ Finnomena Funds หรือ DAOL-KOREAEQ ตามคำแนะนำ FundTalk Call
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
เพิ่งอัปเดตกันไปสด ๆ ร้อน ๆ กับแอปฯ Finnomena เวอร์ชั่นใหม่ ซึ่งมีการแปลงโฉมหน้า Home ให้มีลูกเล่นมากขึ้น รวมข้อมูลการลงทุนหลากหลายรูปแบบให้ได้เลือกสรรรับชมแถมยังมีของใหม่มาเสิร์ฟ ไม่ว่าจะเป็น AI Market Daily Summary ที่ทำการสรุปสถานการณ์ตลาดและการลงทุนทุกวันโดย AI, คลิปวิดีโอสั้นสไตล์ Reels รวมถึงการโชว์สินทรัพย์ผลงานเด่นประจำสัปดาห์
เพื่อให้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังของการอัปเดตแอปฯ ครั้งนี้มากขึ้น วันนี้จะมาพูดคุยกับคุณเบน Senior UX/UI Designer ผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบหน้า Home โฉมใหม่กันหน่อย ว่ามีอะไรใหม่ ๆ รอคอยทุกคนอยู่บ้าง
ส่วนหนึ่งของหน้า Home แบบใหม่บนแอปฯ Finnomena
มันเริ่มต้นจากตอนที่เรากำลังจะ rebranding ครับ
Finnomena เรามีการปรับวิสัยทัศน์ใหม่ที่มองไปไกลมากขึ้น ให้ตอบโจทย์เรื่องการลงทุนของคนไทยมากกว่าเดิมและมี product ที่หลากหลายมากกว่าเดิมให้นักลงทุนของเราเลือกลงทุนได้ตามสไตล์ของตัวเองอย่างอิสระ
คอนเซ็ปต์ของหน้า Home ใหม่นี้เลยเป็นการหยิบจับ feature และ product ทั้งหมดของเรามาเสนอให้กับนักลงทุนในที่เดียว นักลงทุนจะได้ไม่ต้องไปตามหาเพื่อไล่กดดูรายละเอียดของแต่ละอันเอาเอง คล้าย ๆ ว่าเป็น snapshot ให้กับนักลงทุนได้เห็นง่าย ๆ ว่า Finnomena มีผลิตภัณฑ์อะไรนำเสนอให้บ้างครับ
หวังว่าหน้า Home ใหม่นี้จะทำให้นักลงทุนได้ค้นพบว่าตัวเองมีสไตล์การลงทุนแบบไหน สามารถมองเห็นโอกาสในการลงทุนมากขึ้น และมีความมั่นใจที่จะลงทุนมากขึ้นครับ
จุดเด่นของหน้า Home ใหม่คือเรื่องของความครบจบในที่เดียว เป็นประตูทางเข้าไปสู่แต่ละ feature แต่ละ product ซึ่งเราตั้งใจและพยายามให้มีการอัปเดตทุกวัน เพราะฉะนั้นนักลงทุนที่เข้ามาดูในแอปฯ Finnomena จะเจอคอนเทนต์ที่สดใหม่ในทุก ๆ วัน ไม่ใช่เฉพาะแค่บทความให้ความรู้ที่เป็นจุดแข็งของเราอยู่แล้ว แต่เรายังมีส่วนของวิดีโอสั้นสำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาว ๆ ก็ยังสามารถตามทันเหตุการณ์ได้ไม่พลาดโอกาสในการลงทุนครับ
และแน่นอนเพื่อให้นักลงทุนของ Finnomena มีความเป็น Ahead of the Game ตัวจริง เรามีส่วนของ “สินทรัพย์อื่น ๆ” ที่ผ่านการคัดสรรมาจากทีม Investment ให้เป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจมาเสนอให้กับนักลงทุนในหน้านี้ด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่าแค่กดเข้าแอปฯ เราวันละครั้ง ก็ไม่มีทางตกรถแน่นอน
นอกจากนี้เรามีเรื่อง AI ที่เราซุ่มพัฒนากันอย่างเงียบ ๆ และถึงเวลาที่จะเอามาโชว์ให้ทุกคนดูแล้ว นั่นก็คือ AI Market Daily Summary นั่นเอง เป็น generative AI เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนที่ต้องรู้ในวันนี้ แค่กดเข้าไป AI ก็จะสรุปข่าวสารประจำวันให้กับนักลงทุนได้เลย แอบกระซิบว่ายังมีโปรเจกต์เกี่ยวกับ AI อีกหลายอันที่อยู่ในขั้นพัฒนา อยากให้รอติดตามกันเร็ว ๆ นี้ครับ
สรุปข่าวประจำวันโดย AI Market Daily Summary
จริงๆ โปรเจกต์ redesign หน้า home ทีมเราพยายามที่จะผลักดันมานานแล้วครับ มีการคิดคอนเซ็ปต์กันมาหลายรูปแบบก่อนหน้า พอได้จังหวะเราก็เลยมีโอกาสได้หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่
ขั้นตอนการทำงานเราใช้กระบวนการ user-centered design ครับ คือเราได้ทำ research เพื่อเก็บ insights แล้วพบว่า pain point ที่นักลงทุนของเรามีคือ ไม่ค่อยรู้ว่าเรามีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อะไรเข้าไปบ้าง หาทางเข้าไปอ่านรายละเอียดไม่เจอ ทำให้เราได้ข้อสรุปว่าหน้า Home ใหม่นี้ควรจะเป็นการหยิบของที่เรามีทั้งหมดมาบอกกับนักลงทุนให้เห็นชัด ๆ กันไปเลย เราได้ลองพัฒนาการออกแบบมาหลายรูปแบบมาก ๆ กว่าที่จะเป็นหน้า Home ปัจจุบันให้ทุกคนได้เห็นกัน ผ่านการคิดและพิจารณาแต่ละส่วนกันอย่างดุเดือด เพราะว่าปัจจุบันเรามีของเยอะแยะมากที่อยากจะเสนอให้กับนักลงทุนครับ
ซึ่งจริง ๆ ไอเดียตั้งต้นเราอยากที่จะทำให้หน้า Home นี้ personalize ตามสไตล์การลงทุนของผู้ใช้งานแต่ละคนได้เลย เพราะทุกคนก็มีการเสพข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบอ่านบทความเยอะ ๆ หรือบางคนก็จะชอบที่ให้ Finnomena บอกโอกาสในการลงทุนมาให้เลยมากกว่า เราเลยกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อจะทำ A/B testing เพื่อทดสอบคอนเซ็ปต์นี้ในอนาคตว่าจะเหมาะกับผู้ใช้งานของเราจริงหรือเปล่า ฝากติดตามกันด้วยครับ
พอถึงขั้นตอนการเขียนโค้ดของ developer ทั้งหลายก็ไม่ง่าย เพราะอย่างที่เล่าไปว่าเราอยากให้หน้านี้เป็นประตูทางเข้าไปสู่หน้าอื่น ๆในแอปฯ ทำให้จะต้องมีการดึงข้อมูลจากหลายส่วนมาก ๆ และมีการออกแบบ UI ที่ใช้ parallax interaction ด้วย เป็นเทคนิคการเปลี่ยนหน้าตา user interface (UI) หรือก็คือดีไซน์หน้าจอของผู้ใช้งาน ตามการเคลื่อนไหวด้วยนิ้วหรือเม้าส์ เช่น การปัดหน้าจอขึ้นหรือลงบนแอปฯ ทำให้หน้าตา UI เปลี่ยนไป เลยทำให้ยิ่งท้าทายในการเขียนโค้ดมากขึ้นอีก ต้องขอบคุณทีม developer มาก ๆ ที่พยายามกันอย่างหนักเพื่อให้ได้ UI หน้าตาสวย ๆ แบบนี้ออกมาด้วยครับ
ก็จะเป็นเรื่องการออกแบบ user interface นี่แหละครับ อย่างที่บอกว่าเราต้องการที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดของเราให้กับนักลงทุน การที่จะออกแบบ UI ให้ดูไม่เยอะจนล้นและยังสวยงามสบายตา เราใช้เวลาทำงานกันประมาณ 3-4 เดือน กว่าที่จะพัฒนา UI ออกมาสวยงามให้ทุกคนได้เห็นกัน หวังว่าทุกคนคงชอบกันนะครับ 🙂
มีอีกหลายอย่างเลยครับที่จะทยอยออกมาให้ทุกคนได้ใช้งานก่อนสิ้นปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น Port Outstanding ให้ดูยอดเงินลงทุนรวมได้ง่ายๆ, Opportunity Hub ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปบนเว็บไซต์ ก็จะมีมาในรูปแบบของแอปพลิเคชันด้วยครับ หรือ รายการบทความแบบใหม่ที่จะทำให้ทุกคนค้นหาบทความได้ง่ายมากขึ้น อ่านง่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีรายการวิดีโอต่าง ๆ ของ Finnomena ที่จะมาอยู่ในแอปฯ เราเหมือนกัน และจะไม่ใช่แค่วิดีโอธรรมดา เราจะมี live session ด้วย! ตื่นเต้นมาก ๆ รอติดตามชมพร้อมกันบนแอปพลิเคชัน Finnomena นะครับ
จริง ๆ ก็จะชอบส่วนที่เป็น Opportunity Hub ครับ เพราะในฐานะนักลงทุนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ที่เจอปัญหากับตัวเองเลยว่าไม่รู้ว่าจะลงทุนกองทุนอะไร ไม่ค่อยมีเวลามานั่งติดตามสถานการณ์ตลอด Opportunity Hub เลยเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มาก มีพี่เจท พี่แบงค์ และพี่หยง คอยมาชี้เป้ากองทุนให้เรา แต่ละคนก็มีสไตล์การลงทุนที่ต่างกัน เราก็เลือกได้เลยว่าชอบการลงทุนรูปแบบไหน ก็ซื้อตามที่พี่เขาชี้เป้าให้เราได้เลย แถมมีการอธิบายถึงเหตุผลที่เขาเลือกกองทุนมาให้ด้วย ทำให้เราลงทุนได้ง่ายขึ้น ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และส่วนตัวก็เชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถของพี่ ๆ อยู่แล้วด้วย เลยจะชอบส่วนนี้เป็นพิเศษครับ
Opportunity Hub บนหน้า Home
อ่านเพิ่มเติม เผยเบื้องหลัง “Opportunity Hub” แหล่งมัดรวมโอกาสการลงทุนแบบตัวจบ
ก็อยากให้ทุกคนคอยติดตามการพัฒนาของพวกเรา Finnomena นะครับ อย่างที่แอบบอกไปว่าเรายังมีอีกหลายอย่างมากที่กำลังเตรียมทำออกมาให้ทุกคนได้เห็นกัน สามารถเข้ามาติชมกันได้ ชอบส่วนไหน ไม่ชอบส่วนไหน เรา “ต้องการ” ความคิดเห็นของทุกคนมาก ๆ เลยครับ เราจะได้พัฒนาและปรับปรุงแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ของเราให้ดียิ่งขึ้นและตอบสนองกับความต้องการของทุกคนได้มากขึ้นครับ ขอบคุณมากครับ
แล้วเจอกันที่แอปฯ Finnomena หรือ ดาวน์โหลดได้ที่ https://finno.me/download-app-ws นะครับ
สำนักข่าว CNN รายงานว่า ผลการสำรวจคะแนนจากการดีเบตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอบแรก ระหว่างนางคามาลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน พบว่าแฮร์ริสได้รับคะแนนสนับสนุนสูงถึง 63% ขณะที่ทรัมป์ได้ 37% ด้าน The Washington Post ระบุว่าผู้มีสิทธิลงคะแนนในรัฐสมรภูมิส่วนใหญ่เห็นว่าแฮร์ริสทำผลงานได้ดีกว่าในการดีเบตครั้งนี้ ขณะเดียวกัน ยอดผู้ชมการดีเบตในสหรัฐฯ สูงถึง 67 ล้านคน ซึ่งมากกว่าการดีเบตระหว่างทรัมป์และไบเดน
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ลงทะเบียนรับชมการดีเบตที่จัดโดยสำนักข่าว ABC News ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าแฮร์ริสทำผลงานได้ดีกว่าทรัมป์ตามผลสำรวจของ SSRS ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแฮร์ริสทำผลงานได้ดีกว่าที่คาดหวังไว้
ผู้ชมการดีเบตให้คะแนนแฮร์ริส 63% ต่อทรัมป์ 37% โดย 96% ของผู้สนับสนุนแฮร์ริสกล่าวว่าเธอทำได้ดีกว่า ขณะที่ 69% ของผู้สนับสนุนทรัมป์คิดว่าทรัมป์ทำได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้ชมส่วนใหญ่กล่าวว่าการดีเบตครั้งนี้ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกประธานาธิบดีของพวกเขา แม้ว่าผู้สนับสนุนทรัมป์มีแนวโน้มที่จะทบทวนการตัดสินใจเลือกผู้นำมากกว่าผู้สนับสนุนแฮร์ริส ผลการสำรวจนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาผู้ชมเมื่อเปรียบเทียบกับการดีเบตในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ในการดีเบตระหว่างทรัมป์และไบเดน ผู้ชมให้คะแนนทรัมป์ทำผลงานได้ดีกว่าไบเดน 67% ต่อ 33% ซึ่งถือเป็นชัยชนะของทรัมป์ในการดีเบตครั้งแรกหลังการดีเบตในปี 2016 และ 2020 ที่ผู้ชมมองว่าฮิลลารี คลินตันทำผลงานได้ดีกว่าทรัมป์ทั้งหมด
สำหรับการดีเบตครั้งแรกของปี 2024 ระหว่างแฮร์ริสและทรัมป์ มีผู้ชมสูงถึง 67.1 ล้านคน ผ่านเครือข่ายโทรทัศน์ 17 แห่งตามข้อมูลของ Nielsen ซึ่งมากกว่าการดีเบตระหว่างไบเดนและทรัมป์ในเดือนมิถุนายนที่มีผู้ชม 51 ล้านคน และเป็นการดีเบตที่มีผู้ชมมากที่สุดในปี 2024 สำหรับรายการที่ไม่ใช่การแข่งขันกีฬา แต่จำนวนผู้ชมยังน้อยกว่าการดีเบตปี 2020 ที่มีผู้ชมมากกว่า 73 ล้านคน และปี 2016 ซึ่งเป็นการดีเบตครั้งแรกระหว่างฮิลลารี คลินตันและทรัมป์ ที่มียอดผู้ชมสูงสุด 84 ล้านคน
ที่มา: https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=FR&id=aUdLekp5VFc0b3M9
TMBAM Quality Mega Theme เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO)
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตในอัตราที่แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย ในส่วนของ GDP สหรัฐฯไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับที่รายงานในตอนแรกขยายตัวในอัตรา 3% (YoY) เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งแรกที่ 2.8% โดยแรงหนุนหลักมาจากการใช้จ่ายส่วนบุคคล ที่ขยายตัว 2.9% สูงกว่าการประมาณการครั้งแรกที่ 2.3% ขณะที่ดัชนีราคา PCE ทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนกรกฎาคมเท่ากับการคาดการณ์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานรายเดือนอยู่ที่ 0.16% เท่ากับเดือนมิถุนายน ขณะที่สัญญาณจากการประชุม Jackson Hole ค่อนข้างชัดเจนว่าสหรัฐฯเตรียมลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน โดย J.Powell ผู้ว่าฯ Fed กล่าวในแถลงการณ์หลังการประชุม Jackson Hole ว่าถึงเวลาที่ Fed จะต้องลดดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อมีทิศทางกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมาย 2% อย่างชัดเจนซึ่งปริมาณและความเร็วในการลดดอกเบี้ยจะขึ้นกับข้อมูลหลังจากนี้ ซึ่งเรามองว่าถ้อยแถลงของนาย Powell แสดงถึงความกังวล Recession และหมายถึงการลดดอกเบี้ยอย่างแน่นอนในเดือน ก.ย. โดยเรามองไว้ที่ 0.25% และเชื่อว่า Fed จะยังคง behind the curve หรือค่อยๆลดดอกเบี้ยอย่างช้าๆตามหลังข้อมูล ซึ่งหมายถึงโอกาสที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยมากกว่าที่คาดจะยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตา อย่างไรก็ตามเรายังคงชื่นชอบตลาดหุ้นสหรัฐฯจากมุมมองต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed และตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้
ในฝั่งของญี่ปุ่น นายอูเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan) ได้กล่าวในการปราศรัยว่า ธนาคารกลางยังคงเดินหน้าสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังคงเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้อย่างไรก็ตาม นายอูเอดะได้ส่งสัญญาณว่าเขาไม่มีแผนที่จะรีบดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป โดยย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องจับตาดูผลกระทบของตลาดการเงินที่ไม่มั่นคงต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในขณะนี้ โดยรวมเราประเมินว่าคำพูดของผู้ว่าการ BOJ แสดงถึงท่าทีที่ค่อนข้าง hawkish (ตึงตัว) ส่วนนักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดการณ์ว่าธนาคารจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งภายในเดือนธันวาคม โดยรวมเรายังคงระมัดระวังการลงทุนในญี่ปุ่น เนื่องจากมีแนวโน้มที่ดอกเบี้ยจะตึงตัว และค่าเงินเยนอาจแข็งค่าส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว
ในด้านเศรษฐกิจของไทยขยายตัวสูงที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส โดยได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวและการส่งออก แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนายกฯและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายดิจิตอลวอลเล็ตจะทำให้อนาคตไม่แน่นอนก็ตาม โดยสภาพัฒน์ฯรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในช่วงสามเดือนจนถึงเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 2.3% จากปีก่อนหน้า สู่กว่าคาดการณ์ที่ 2.2% ขณะที่ตัวเลข GDP ไตรมาส 1/24 ปรับขึ้นเป็น 1.6% ขณะที่เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส เศรษฐกิจขยายตัว 0.8% ต่ำกว่าคาดที่ 1% และ ส่วนในไตรมาสแรกมีการปรับเพิ่มเป็น 1.2% ขณะที่การคาดการณ์ของสภาพัฒน์ฯคาดว่ายอดนักท่องเที่ยวขาเข้าจะอยู่ 36.5 ล้านคนในปีนี้ และปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1.48 ล้านล้านบาทอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะเฉลี่ยระหว่าง 0.4%-0.9% ต่ํากว่าเป้าหมายของ ธปท. โดยรวมไทยมีโมเมนตั้มที่เริ่มดูดีขึ้นจากตัวเลขเศรษบกิจและการได้นายกฯคนใหม่ที่เร็วกว่าที่คาด แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงเป็นกลางสำหรับตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ตราสารหนี้เราค่อนข้างมีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์นี้ทั้งนี้เราคาดว่าช่วงเดือนกันยายน Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรก โดยคาดว่าจะลดดอกเบี้ยประมาณ 0.25% และเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงรวมถึงอาจส่งผลให้ธนาคารกลางอื่นทั่วโลกเริ่มมีการลดดอกเบี้ยฯตาม ซึ่งตราสารหนี้ประเภทพันธบัตรรัฐบาลจะได้ประโยชน์ในส่วนนี้ ขณะที่ตราสารหนี้ภาคเอกชนในระดับที่ลงทุนได้ (IG) ก็ได้รับอานิสงค์นี้ตามไปด้วย
ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 4 กันยายน 2024
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก
1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น 2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญของสัปดาห์นี้อย่าง Core CPI และ Core PPI ส่งสัญญาณให้ตลาดคงท่าทีระมัดระวัง แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของ Core CPI ชี้ให้เห็นว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ ซึ่งทำให้การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซับซ้อนยิ่งขึ้น ขณะที่ Core PPI ที่คงที่แสดงว่าเงินเฟ้อด้านการผลิตยังคงอยู่ในระดับคงตัว ด้วยสัญญาณที่ผสมกันเช่นนี้ นักลงทุนจึงมีแนวโน้มที่จะรอดูสถานการณ์ก่อนตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ จนกว่าจะมีข้อมูลชัดเจนเพิ่มเติมจากธนาคารกลางหรือดัชนีเศรษฐกิจอื่น ๆ
Core CPI หรือ Core Consumer Price Index จะสามารถใช้ชื่อเรียกอีกอย่างได้คือ Core Inflation Rate หรือแปลว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ที่หักสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานออก เนื่องจากเป็นหมวดที่มีความเคลื่อนไหวขึ้นลงตามฤดูกาล และอยู่นอกเหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน เหลือแต่รายการสินค้าที่ราคาเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core CPI มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 0.2% เป็น 0.3%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/core-inflation-rate-mom
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นของ Core CPI หมายความว่า ราคาสินค้าและบริการโดยรวมยกเว้นอาหารและพลังงานมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น และยังเป็นปัญหาอย่างมากต่อ FED ในการตัดสินใจในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย การเพิ่มของ Core CPI ยังส่งสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อนั้นยังคงเป็นปัญหาอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจต่ออัตราดอกเบี้ยของ FED นั้นยังต้องคำนวณกับตัวชี้วัดอื่น ๆ อีกด้วย
Core PPI หรือ Core Producer Price Index คือ ดัชนีวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาขายสำหรับสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตได้ขายโดยที่ไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน ดัชนีราคาผู้ผลิตจะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาจากมุมองของผู้ขาย เมื่อผู้ผลิตมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับการผลิตสินค้าและบริการนั้นก็น่าจะเป็นไปได้มากว่าผู้ผลิตจะให้ผู้บริโภคแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นแทน ดังนั้นดัชนีราคาผู้ผลิตนี้จึงเชื่อว่าเป็นดัชนีสำคัญที่จะชี้วัดภาวะเงินเฟ้อของผู้บริโภค
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core PPI MoM นั้นมีแนวโน้มที่จะคงตัวอยู่ที่ 0.1%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/producer-price-inflation-mom
ตีความอย่างไรต่อตลาด
ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) ที่คงที่บ่งชี้ว่าแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่เสถียร โดยมีความผันผวนของต้นทุนการผลิตที่น้อย ซึ่งสื่อถึงการที่ปัญหาในห่วงโซ่อุปทานอยู่ในระดับที่จัดการได้และต้นทุนการผลิตไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยทันที
Credit from Layergg and Coindar
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
9 กันยายน
10 กันยายน
11 กันยายน
12 กันยายน
13 กันยายน
Source : https://www.coinglass.com/FundingRateHeatMap
ในส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้มีการปรับตัวลงเล็กน้อย หลายเหรียญมี Funding rate ติดลบ แสดงถึงตลาดที่เป็นภาพของปรับตัวลง นักลงทุนมีมุมมองเชิงลบต่อตลาด และทำการเปิดสถานะชอร์ตมากกว่าสถานะลอง โดยรวมแล้ว บ่งบอกถึง Sentiment ของตลาดที่ไม่ค่อยดี
Source : https://www.coinglass.com/BitcoinOpenInterest
ในฝั่งของ Bitcoin Open Interest มีการปรับตัวลดลง บ่งบอกถึงการลดความเสี่ยงของนักลงทุนในระยะสั้น ทั้งนี้ อาจจะมาจากเหตุผลเรื่องความไม่แน่นอนทาง Macroeonomics และทำให้นักลงทุนจับตามองการประกาศของ Fed กลางเดือนนี้ ว่าจะมีการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยอย่างไร
Source : https://farside.co.uk/?p=997
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลออกจาก Spot Bitcoin ETFs รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 706.1 ล้านเหรียญ นับว่าเป็นแรงเทขายจากนักลงทุนสถาบันปริมาณมาก โดยไม่มีแรงซื้อจาก IBIT และมีแรงเทขายสุทธิจากเกือบทุกเจ้า บ่งบอกถึงการ Risk-off ของนักลงทุนสถาบันอย่างเห็นได้ชัด ส่วนนึงมาจากปัจจัยเรื่องความไม่แน่นอนของ Macroeconomics และความกังวลเรื่องการ Unwind Yen Carry trade อีกรอบ
Source : https://farside.co.uk/?p=1518
ในส่วนของ Ethereum ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลออกทั้งสิ้น 91.1 ล้านเหรียญ ซึ่งยังคงเป็นแรงเทขายจาก ETHE เป็นหลัก และมีแนวโน้มที่จะเทขายมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก Ethereum ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่เสี่ยงกว่า Bitcoin ทำให้โอกาสที่จะมีเม็ดเงินใหม่ ๆ ไหลเข้ามามีน้อยในระยะสั้น
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบันขึ้นอยู่กับข้อมูล Macroeconomics มากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเรื่อง Recession ทำให้การจับตามองการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลกระทบต่อการลงทุน โดยปัจจุบัน ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps ในวันที่ 19 กันยายนนี้
เนื่องจากตลาดรอทั้งการประกาศตัวเลข CPI, PPI, และนโยบายอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนมีการ Risk-off อย่างเห็นได้ชัด สังเกตจากตัวเลขการซื้อขายของ Spot Bitcoin ETF และ Spot Ethereum ETF ที่มีการเทขายของนักลงทุนสถาบันอย่างต่อเนื่องทุกวัน นอกจากนี้ Volume การซื้อขายบน DEX ทั้งบน Ethereum และ Solana ก็มีการตกลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการย่อตัวกว่า 30% และ 50% เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการเทรด 4 เดือนก่อนตามลำดับ
Source : https://www.coinbase.com/institutional/research-insights
การ Risk-off ของนักลงทุนที่แสดงผ่านกิจกรรมการเทรดที่ลดลง ส่งผลให้ราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีหลาย ๆ เหรียญมีลักษณะ Sideways down หากพิจารณาดัชนี Sell-side Risk Ratio ซึ่งเป็นการนำ Realized profit and loss มาเทียบกับขนาดตลาด โดยสามารถวิเคราะห์ได้ ดังนี้
ปัจจุบัน ดัชนีนี้มีค่าที่ค่อนข้างต่ำ บ่งบอกว่าตลาดได้เจอจุดสมดุลแล้ว และอาจจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้น เมื่อดัชนีมีการกลับตัว ทั้งนี้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการประกาศค่า Macroeconomics ที่กำลังจะมาถึงและสังเกต Reaction ที่ตลาดตอบรับ
Source : https://insights.glassnode.com/the-week-onchain-week-36-2024/
by Cryptomind Advisory
$BTC มีการปรับตัวย่อลงมาอีกครั้งหนึ่งในวีคนี้ ราคานั้นเคลื่อนตัวอยู่บริเวณแนวรับในกรอบขาลงบริเวณ $53,500 ในระยะยาวแล้วการเคลื่อนที่ของราคาที่จะเป็นสัญญาณขาขึ้นได้ต้องมีการปิดแท่งเทียนเหนือบริเวณ $61,000 ในระยะสั้นหากราคาไม่ได้มีการตกลงต่ำกว่าแนวรับ $52,500 ก็มีโอกาสที่ $BTC จะสร้างชุดสะสม Sideway ออกไปก่อนในระยะข้างหน้าในกรอบ $52,500 และ $56,000 จากการลงที่รุนแรงช่วงที่ผ่านมาควรระมัดระวังความผันผวนรุนแรงในช่วงสัปดาห์นี้
แนวต้าน : $56,000 | $61,000 | $67,000
แนวรับ : $52,500 | $48,000 | $44,000
ETH ในภาพใหญ่ยังคงเป็นขาลง ทำ Lower Low ต่อเนื่อง ในระยะสั้นแล้วการปิดตัวต่ำกว่า $2,400 นั้นเป็นการสร้าง Momentum ขาลง ทำให้ในระยะข้างหน้ามีโอกาสที่ $ETH จะ Sideway Down ออกไปก่อน แนวราคาสำคัญที่ต้องดูของ $ETH อยู่ที่ $2,100 ซึ่งหากรับอยู่ก็มีโอกาสกลับตัวได้และอาจมาพร้อมกับ Divergence ในตัว RSI แต่หากลงต่ำกว่านั้นก็อาจมองได้ว่าขาลงยังไม่สิ้นสุด ในอีกมุมหนึ่งหาก $ETH สามารถกลับไปยืนเหนือ $2,400 ได้ก็จะเป็นการทรงตัวของราคาที่ดีและทำให้ Momentum กลับมาเป็นการสร้างชุดสะสมเพื่อลุ้นโอกาสขึ้นต่อได้เช่นกัน
แนวต้าน : $2,400 | $2,870 | $3,350
แนวรับ : $2,125 | $1,870 | $1,550
by Cryptomind Advisory
“มีความเป็นไปได้สูง” ของการลดดอกเบี้ยของ FED จะมาถึงในเดือนกันยายน และ Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% และการมาของ Ethereum spot ETF และมุมมองเชิงบวกมาก ๆ ต่อตลาดคริปโทฯ ในสหรัฐในเชิงการเมืองที่อาจจะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาสที่ 4 และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต และเพิ่มสัดส่วนของ Ethereum ในพอร์ตเพิ่มขึ้น บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดีรับสัญญาณของ Altcoins season และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 40%
SELECTIVE ALTCOINS (ETH, LAYER 2 ,LSD) 40%
STABLECOIN 20%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-9th-13th-September-2024
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
ในที่สุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนให้เห็น ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ร้อนไปถึงดอกเบี้ยนโยบาย ล่าสุดในการสัมมนาประจำปีที่ Jackson Hole ประธานเฟด นาย Jerome Powell ประกาศว่า “ถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินแล้ว”
ทิศทางของดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ มีความสำคัญกับทั้งเศรษฐกิจ ตลาดเงิน และการลงทุน คำถามสำคัญว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ เข้าสู่ขาลงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องรู้คำตอบ
คำตอบ ไม่ ครั้งนี้เป้าหมายสำคัญเป็นแค่การประคองเศรษฐกิจสหรัฐให้ Soft Landing
ดอกเบี้ยขาลงมี 4 รูปแบบหลัก ประกอบด้วย ลดเพราะถดถอย (Recessionary Cuts) ลดเพื่อปรับสมดุลเศรษฐกิจ (Mid-Cycle Adjustment) ลดเพื่อประกันความเสี่ยง (Insurance Cuts) และลดเพื่อเพิ่มระยะเวลาการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Easing Cuts)
การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ เกิดในช่วงที่เงินเฟ้อ และตลาดแรงงานชะลอตัวลง แต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย ความเป็นไปได้จึงอยู่ระหว่าง Mid-Cycle Adjustment และ Insurance Cuts
ตัวอย่างในอดีตของ Mid-Cycle Adjustment เช่นปี 2019 เฟดลดดอกเบี้ยเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง หรือ Insurance Cuts ปี 1998 เฟดลดดอกเบี้ยเพื่อประกันความเสี่ยงจากวิกฤติ LTCM
กรณีดังกล่าวมักส่งผลบวกกับเศรษฐกิจและตลาดไม่มากเนื่องจากความเสี่ยงยังคงอยู่ ต่างจาก Recessionary Cuts ที่มักสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจกลับมาได้ เพราะผลกระทบด้านลบผ่านไปหมดแล้ว
คำตอบ ไม่เสมอไป เหตุผลหลักคือธนาคารกลางอื่นสามารถลดดอกเบี้ยได้เช่นกัน
แม้ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าเร็วมาก โดยเฉพาะกับสกุลเงินที่ธนาคารกลางเลือกขึ้นดอกเบี้ยอย่างเยนญี่ปุ่น หรือเงินบาทที่ธปท.ยังไม่มีแนวคิดที่จะลดดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุผลของการลดดอกเบี้ยครั้งนี้คือเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ผมเชื่อว่าทิศทางเศรษฐกิจจะถูกส่งต่อไปสู่เศรษฐกิจโลก ผ่านทั้งแนวโน้มเงินเฟ้อและการเติบโต มีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางหลักอื่น ๆ จะเข้าสู่โหมดผ่อนคลายนโยบายการเงินพร้อมกัน ส่วนต่างของดอกเบี้ยจึงอาจไม่ลดลงมาก
ในทางกลับกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อาจเป็นแรงส่งให้ดอลลาร์แข็งค่ากลับจากภาพรวมตลาดที่ปิดรับความเสี่ยง (Risk Off)
ต่อจากนี้ดอลลาร์จะแข็งหรือจะอ่อน ผมเชื่อว่าจะเกิดจากทิศทางของตลาดทุนสหรัฐฯ มากกว่าดอกเบี้ย ตัวแปรสำคัญคือหุ้นเทคโนโลยี ที่เป็นศูนย์รวมหนึ่งเดียวของการเติบโต หนุนให้เงินลงทุนทั่วโลกไหลมารวมกันที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ถ้าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้สามารถช่วยให้หุ้นเทคโนโลยีฟื้นเป็นขาขึ้นได้ต่อ ดอลลาร์ก็จะแข็งค่ากลับ แต่ในทางกลับกัน ถ้าการลดดอกเบี้ยกลับเป็นชนวนให้เกิดการเปลี่ยนกลุ่ม หรือนักลงทุนเริ่มมองหาการเติบโตใหม่นอกสหรัฐฯ เงินดอลลาร์จะมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้อีก 5-10% ในช่วง 12เดือนข้างหน้า
คำตอบ ไม่ใช่ขาลงหรือตลาดหมี แต่อาจไม่ถึงกับเป็นตลาดกระทิง
ทิศทางของตลาดหุ้นกับนโยบายการเงินเป็นประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจมากที่สุดเสมอ
มองย้อนกลับไปในอดีตตั้งแต่ปี 1929 มีดอกเบี้ยขาลงเกิดขึ้นในสหรัฐแล้วกว่า 14 รอบ และ 12 ใน 14 ครั้ง ดัชนี S&P 500 ทำผลตอบแทนเป็นบวกได้ในช่วง 12 เดือนหลังจากการลดดอกเบี้ยครั้งแรก หรือเป็นไปได้น้อยที่เราจะพบกับตลาดหมี (ปรับตัวลง 20%) หลังการลดดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี ถ้าเรามองให้ลึกเข้าไปว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเกิดจาก การปรับสมดุลเศรษฐกิจ หรือเพื่อประกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ผลตอบแทนของหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยจะต่ำกว่าช่วงดอกเบี้ยขาลงอื่นราว 5% เนื่องจากความเสี่ยงยังอยู่กับตลาด
นอกจากนั้น ช่วงที่หุ้นมี Valuation แพงอยู่แล้วเช่นปี 2001 หรือปี 2007 แม้เฟดจะลดดอกเบี้ย ผลตอบแทนของการลงทุนก็ติดลบได้
มุมมองของผม หุ้นสหรัฐฯ ครั้งนี้อาจไม่ใช่ตลาดกระทิงหลังการลดดอกเบี้ย แต่คาดว่าจะเป็น “ตลาดกระบือ” มากกว่า
แม้สภาพแวดล้อมจะสนับสนุนให้หุ้นเป็นขาขึ้น แต่การที่ตลาดปรับตัวขึ้นมาก่อน และ Valuation แพงขึ้นจากกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทำให้ผลของดอกเบี้ยขาลงที่เป็นบวกในวงกว้าง มีผลกับตลาดน้อย
ตลาดรอบนี้จึงไม่มีแรงส่งให้พุ่งไปข้างหน้าทางเดียวเหมือนตลาดกระทิง แต่จะเดินเตร่และยุ่งเหยิงเหมือนกระบือ
โดยสรุป ผมมองว่าดอกเบี้ยขาลงทุกครั้งแตกต่างกัน
ในปี 2024 นักลงทุนควรเข้าใจว่าดอกเบี้ยขาลงอาจไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจกลับมาสดใสทันทีได้ ตลาดเงินมีความผันผวนสูง ตลาดทุนรับข่าวไปแล้ว แม้ดอกเบี้ยขาลงจะเป็นแรงหนุน แต่การที่หุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ภายในปีนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายครับ
ผลตอบแทนหนึ่งปีนับจากการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของ S&P500
ที่มา: Fed, Bloomberg, FSS
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
ชมรมหุ้นกู้ – รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลินิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
ติดตามรายการชมรมหุ้นกู้ได้ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Youtube & Facebook Finnomena
ในยุคเศรษฐกิจที่ผันผวน หลายคนคงมองหาโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว บทความนี้จึงขอพาทุกท่านมาเฟ้นหาพอร์ตที่เปี่ยมไปด้วยโอกาส ผ่านกลยุทธ์การลงทุนสไตล์ Finnomena Funds
อัปเดตมุมมองการลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 11 กันยายน 2024 โดย Finnomena Funds
พอร์ตกองทุนพร้อมลุยทุกสภาวะตลาด (All Weather) จากทีมงานคุณ Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยร่วมกับ Finnomena จัดพอร์ตโดยใช้ FVMR Framework คือด้าน Fundamental, Valuation, Momentum และ Risk โดยมุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการลงทุนแบบ Passive เพื่อเน้นสะท้อนผลตอนแทนเมื่อเทียบกับตลาด มีการปรับพอร์ตปีละ 2-4 ครั้ง
อ่านคำแนะนำพอร์ต All Weather Strategy ล่าสุด คลิก
พอร์ต Asset Allocation เสี่ยงกลาง ผสานแนวคิดจัดพอร์ตระยะยาวในแนวทาง Black-Litterman เพื่อทำ Strategic Asset Allocation และเสริมการปรัพพอร์ตระยะสั้นแบบ Tactical เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน
อ่านคำแนะนำพอร์ต All Balance ล่าสุด คลิก
พอร์ต Asset Allocation เน้นกองทุนหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ผสานแนวคิดจัดพอร์ตระยะยาวในแนวทาง Black-Litterman เพื่อทำ Strategic Asset Allocation และเสริมการปรัพพอร์ตระยะสั้นแบบ Tactical เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน
อ่านคำแนะนำพอร์ต All Star ล่าสุด คลิก
วางแผนลงทุนเพื่อคุณโดยเฉพาะ หลายเป้าหมายในแผนเดียว ติดตามผลง่าย ปรับได้ตามสถานการณ์ แนะนำพอร์ตที่เหมาะสมจากงานวิจัยรางวัลระดับโลก ด้วยความร่วมมือกับองค์กรด้านการจัดการสินทรัพย์ระดับโลกอย่าง Franklin Templeton
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก
พอร์ตการลงทุนแบบทยอยสะสมมูลค่า (DCA) ที่นักลงทุนทุกคนสามารถกำหนดเป้าหมายการลงทุนได้ด้วยตัวคุณเอง มาพร้อมด้วยคำแนะนำการลงทุนอย่างละเอียดจาก Investment Team ในการปรับน้ำหนักการลงทุนเฉลี่ย 1-2 ครั้งต่อปี เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการเก็บออมให้ไปถึงเป้าหมาย
อ่านคำแนะนำพอร์ต Goal ล่าสุด คลิก
พอร์ตการลงทุนแบบทยอยสะสมมูลค่า (DCA) ที่เน้นการกระจายการลงทุน เพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างเงินล้านแรกด้วยตัวท่านเอง มาพร้อมด้วยคำแนะนำการลงทุนอย่างละเอียดจาก Investment Team ในการปรับน้ำหนักการลงทุนเฉลี่ย 1-2 ครั้งต่อปี เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสคว้าล้านแรกของคุณ
อ่านคำแนะนำพอร์ต 1st Million ล่าสุด คลิก
ดูพอร์ตการลงทุนทั้งหมดได้ที่ 👉 https://finno.me/planselect
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299