วันนี้ (30 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นฮ่องกง Hang Seng ปรับตัวลงแรง -2.7% หลังจากที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวบวกต่อเนื่องมาตลอดเดือนมกราคม โดยปัจจัยหลักมาจากแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ก่อนการประชุม FOMC สหรัฐฯ ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวลงมาแรงเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี อย่างหุ้น JD.com ที่ลดลง -5.6% จากการประกาศว่าจะยกเลิกการทำธุรกิจ E-commerce ในอินโดนีเซียและไทย โดยในไทยจะยุติการให้บริการในวันที่ 3 มีนาคม โดยเหตุผลหลักมาจากการแข่งขันที่สูงในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนหุ้น Alibaba ปรับลงแรง -7.1% หลังจากที่มีข่าวว่าจะย้ายสำนักงานใหญ่ออกจากหางโจวในภาคตะวันออกของจีน ไปยังสิงคโปร์แทน
FINNOMENA Investment Team มองว่าการปรับตัวลงในครั้งนี้เป็นการปรับตัวลดลงในระยะสั้น โดยตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีปัจจัยบวกฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนภายในปีนี้ (2566) จากรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการคุมโควิดและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมี Pent Up Demand จากภาคการบริโภคในประเทศจีนหากจีนมีการผ่อนคลายมาตราการคุมเข้มโควิดอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ท่าทีที่เข้มงวดน้อยลงของรัฐบาลจีนต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ในแง่ของ Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index (P/E 12M 12x) จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดี รวมไปถึงสามารถทยอยสะสมกองทุนหุ้นจีนต่าง ๆ อาทิ K-CHINA-A(A), KT-Ashares-A และ P-CGREEN
——————-
ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า โซนี่ กรุ๊ป ประกาศย้ายฐานการผลิตกล้องดิจิทัลสำหรับตลาดญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป จากจีนมายังประเทศไทย ตามแผนป้องกันซัพพลายเชนด้วยการลดการพึ่งพาจีน โดยหลังจากนี้โรงงานในจีนจะผลิตกล้องสำหรับขายในแดนมังกรเท่านั้น และจะมีการสำรองเครื่องจักรบางส่วนเพื่อเป็นฐานผลิตสำรองในกรณีฉุกเฉิน
การตัดสินใจย้ายฐานของยักษ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นผลจากความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งไลน์การผลิตกล้องดิจิทัลสำหรับขายในตลาดสหรัฐเป็นส่วนแรกที่ถูกย้ายออกจากจีน ก่อนที่ไลน์สำหรับตลาดยุโรปและญี่ปุ่นจะย้ายตามออกมาเมื่อช่วงสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม โซนี่ยืนยันว่าไม่มีแผนยุติการทำตลาดกล้องดิจิทัลในจีน นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินสายการผลิตสินค้าอื่น ๆ ในจีนเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลกตามเดิม ไม่ว่าจะเป็นเลนส์กล้อง ทีวี และเครื่องเกม
นอกจากความตรึงเครียดทางการเมืองแล้ว ผลกระทบจากนโยบายซีโร่โควิดเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ช่วงที่ผ่านมาหลายบริษัทต่างเริ่มเดินแผนลดการพึ่งพาจีนลงเช่นกัน อาทิ แคนนอนที่ย้ายไลน์การผลิตกล้องดิจิทัลบางส่วนจากจีนกลับมายังญี่ปุ่นเมื่อปี 2565 หรือไดกิ้นที่วางแผนสร้างเครือข่ายซัพพลายเชนที่ไม่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน เป็นต้น
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของบริษัทวิจัยยูโรมอร์นิเตอร์คาดว่า ในปี 2022 โซนี่มียอดขายกล้องดิจิทัลตระกูลอัลฟาทั่วโลกประมาณ 2.11 ล้านเครื่อง ในจำนวนนี้ตลาดจีนมีสัดส่วนเพียง 1.5 แสนเครื่อง
สำหรับประเทศไทย โซนี่มีบริษัทในเครือ 3 แห่งคือ
1.บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด-ทำหน้าที่ทำการตลาด จัดจำหน่ายสินค้าและให้บริการหลังการขาย
2.บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด-ผลิตเครื่องรับโทรทัศน์สี, LCD, เครื่องเสียงติดรถยนต์, เครื่องนำทางติดรถยนต์ และกล้องดิจิทัล ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี
3.บริษัท โซนี่ ดีไวซ์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด-เป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และเป็นฐานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น
อ้างอิง:
https://www.prachachat.net/marketing/news-1189803
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ความมั่งคั่งของโกตัม อดานี (Gautam Adani) มหาเศรษฐีชาวอินเดีย ผู้ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเอเชีย วบเกือบ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลา 4 วัน หลังเจอข้อกล่าวหาปั่นหุ้น ฉ้อโกง และเลี่ยงภาษี
ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า โกตัม อดานี เจ้าของอาณาจักร อดานี กรุ๊ป (Adani Group) กำลังเผชิญข้อกล่าวหาปั่นหุ้น ฉ้อฉลตกแต่งบัญชี และเลี่ยงภาษี บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเขาลดฮวบลงไปอย่างรวดเร็ว
โดยโกตัม อดานี คือบุคคลที่ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกในช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยในปี 2563 ความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2565 เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าตลาดของหุ้นในบริษัทจดทะเบียนแห่งต่างๆ ในเครืออดานี กรุ๊ป หายวับราว 50,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากเมื่อวันศุกร์ราคาหุ้นอดานี เอ็นเตอร์ไพรซ์ ซึ่งเป็นธุรกิจเรือธงของกลุ่ม ดิ่งลงเกือบ 20% ขณะที่หุ้นบริษัทจดทะเบียนในเครือบางแห่งร่วงหนักกว่านั้น ทำให้ต้องระงับการซื้อขายอัตโนมัติตามกฎของตลาดมุมไบ
ด้านผู้จัดการออนไลน์ระบุว่า อดานีหล่นจากอันดับ 3 ในตารางมหาเศรษฐกิจโลกของนิตยสารฟอร์บส์ไปอยู่อันดับ 7 เมื่อเวลานี้เขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในระดับ 96,700 ล้านดอลลาร์
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นไม่วันหลังจากฮินเดนเบิร์ก รีเสิร์ช บริษัทอเมริกันที่เชี่ยวชาญการทำชอร์ตเซลล์ได้เผยแพร่งานยาวเกือบ 100 หน้า ชื่อว่า “Adani Group: How the World’s 3rd Richest Man is Pulling the Largest Con in Corporate History” ที่กล่าวหาว่า อดานีมีการปั่นหุ้น ยักย้ายถ่ายเทหุ้น มีการฉ้อฉลทางบัญชีในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และมีการตั้งบริษัทในต่างประเทศเพื่อกระทำทุจริต และใช้ในการเลี่ยงภาษี
การเผยแพร่รายงานนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (FPO) ของบริษัท Adani Enterprise มูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ฝั่งอดานี กรุ๊ป ตอบโต้โดยออกแถลงการณ์ถึงรายงานนี้ว่า “รายงานนี้เป็นการผสมผสานที่มุ่งร้ายของการเลือกข้อมูลที่ผิด ๆ และข้อกล่าวหาเก่า ไม่มีมูลความจริง และน่าอดสู ซึ่งผ่านการตรวจสอบและปฏิเสธโดยศาลสูงสุดของอินเดียแล้ว”
และแถลงการณ์ยืนยันว่า กลุ่มบริษัทอดานีปฏิบัติตามกฎหมายมาโดยตลอด และรักษามาตรฐานสูงสุดของการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล
อ้างอิง:
https://www.prachachat.net/world-news/news-1189489
https://mgronline.com/around/detail/9660000009072
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
บิตคอยน์ (Bitcoin) คือ สกุลเงินดิจิทัลที่เกิดจากแนวคิดของการที่จะแก้ปัญหาการเงินรูปแบบเก่าที่ถูกควบคุมและแทรกแซงกลไกตลาดจากคนกลาง ด้วยการสร้างสกุลเงินที่ผู้ใช้งานสามารถแลกเปลี่ยนกันอย่างอิสระได้ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง (Decentralised) แต่ใช้เทคโนโลยี Blockchain มาช่วยรองรับการทำงานแทน ซึ่งผู้ใช้ทุกคนในเครือข่ายสามารถเข้าถึงและตรวจสอบทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชนนั้นได้อย่างอิสระ บิตคอยน์ได้ถือกำเนิดมาอยู่ในโลกการเงินดิจิทัลครบ 14 ปีแล้ว วันนี้จะพาย้อนเวลาไปตั้งแต่วันแรกที่บิตคอยน์เกิดขึ้นและการเติบโตในแต่ละปีของบิตคอยน์กัน
(บิตคอยน์คืออะไร? สำหรับนักลงทุนมือใหม่อ่านได้ที่นี่ www.bitkub.com/th/blog/what-is-bitcoin-8e94e8b61b5e)
2008 – เกิดการเคลื่อนไหวครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2008 เป็นวันที่คำว่า Bitcoin (บิตคอยน์) ปรากฎขึ้นในอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคำนี้ถูกระบุอยู่ในเอกสารที่ชื่อว่า Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System เป็นเอกสารที่อธิบายรายละเอียดของบิตคอยน์อย่างละเอียดหรือ Whitepaper จากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใช้นามแผงว่า “ชาโตชิ นากาโมโตะ” สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่าน Bitcoin Whitepaper สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ https://bitcoin.org/en/bitcoin-paper
Source: Bitkub.com
2009 – หลังจากซาโตชิสร้างบล็อกแรกขึ้นบนบล็อกเชนของบิตคอยน์ หรือที่ในวงการเรียกว่า Genesis block เครือข่ายบิตคอยน์ เครือข่ายก็ได้เริ่มการทำงานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009
2010 – การใช้บิตคอยน์ในการซื้อสินค้าได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากบิตคอยน์เกิดขึ้นได้เพียง 2 ปีกว่า ๆ โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2010 โปรแกรมเมอร์บริษัทขายสินค้าออนไลน์แห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดานามว่า ลาสซ์โล ฮันแยชซ์ ใช้บิตคอยน์ในการซื้อพิซซ่า Papa John’s จำนวน 2 ถาดในราคา 10,000 BTC ซึ่งในขณะนั้นมีราคาเพียงแค่ 0.04 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หากคิดมูลค่าในปัจจุบันก็เท่ากับ 7,531,529,100 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ซึ่งวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปีก็ถูกกำหนดให้เป็นวัน Bitcoin Pizza Day ด้วย
Source: Business Today
2011 – ตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายคริปโตฯ ในต่างประเทศเริ่มลิสต์บิตคอยน์มาให้ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทำให้ราคาของบิตคอยน์จากเดิมที่ประมาณ 1 ดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ ได้ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 32 ดอลลาร์ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน คิดเป็นการเติบโตถึง 3,200% ภายในเวลาเพียง 3 เดือน
2012 – เกิด Bitcoin Halving ครั้งแรก ในปี 2012 ในช่วงปี 2012 ก่อนการ Halving บิตคอยน์มีมูลค่าอยู่ที่ 2.01 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหลังจากการ Halving ครั้งแรก ซึ่งรางวัลลดลงจาก BTC ต่อบล็อก เป็น BTC ต่อบล็อก ราคาของบิตคอยน์เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 270.94 ดอลลาร์สหรัฐ (ราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 13,480%) หลังจากนั้นราคาก็ค่อย ๆ ลดลงถึง 70% จนถึงมูลค่าที่ควรจะเป็น
2013 – เป็นปีที่ราคามีการเคลื่อนไหวรุนแรงมากที่สุดปีหนึ่ง ได้พุ่งขึ้นไปถึงระดับ 220 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนเมษายน แต่ก็ย่อกลับลงแถว 70 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างรวดเร็วภายในเดือนเดียวกัน แต่ราคาไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ราคากลับมาพุ่งขึ้นต่ออีกครั้งในเดือนธันวาคม คราวนี้ขึ้นไปถึงระดับ 1,156 ดอลลาร์สหรัฐ และก็เช่นเดิม หลังจากที่ราคาได้ขึ้นไปทำระดับสูงสุด ราคาก็ย่อลงมาอย่างรวดเร็วที่ 315 ดอลลาร์สหรัฐ
ในปีเดียวกัน People’s Bank of China ได้ประกาศห้ามสถาบันทางการเงินในประเทศทำธุรกรรมใด ๆ ด้วยบิตคอยน์ ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ลดลงอย่างหนักและเข้าสู่ขาลงในปีต่อมา
2014 – 2015 บิตคอยน์เริ่มปรับฐานใหม่เข้าสู่ขาลง โดยลงไปทำระดับต่ำสุด 314 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาได้รับการกระทบกระเทือนขึ้น ๆ ลง ๆ จากปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่การยอมรับโดย PayPal ยักษ์ใหญ่ด้านการชำระเงินและเทคโนโลยีที่ใหญ่โตอย่าง Microsoft ไปจนถึงคำสั่งขายจำนวนมหาศาลจาก ‘BearWhale’ (กลุ่มนักลงทุน Whale ที่ใช้โอกาสในการเข้าซื้อขายในช่วงสั้น ๆ) และการปราบปรามที่มีข่าวลือโดยทางการจีน และในปี 2015 เริ่มกลับขึ้นมาได้เล็กน้อยที่ 434 ดอลลาร์สหรัฐ
2016 – เกิด Bitcoin Halving ครั้งที่ 2 ได้เกิดขึ้นในปีนี้ ในช่วงก่อนการ Halving บิตคอยน์มีมูลค่าอยู่ที่ 664.44 ดอลลาร์สหรัฐ และหลังจากการ Halving ครั้งที่ 2 จะเหลือ 12.5 BTC ต่อบล็อก ในช่วงแรกราคาไม่หวือหวามากนัก แต่ราคาก็ค่อยขยับขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับ 998 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปี
2017 – เกิดการอัปเดตเครือข่ายของบิตคอยน์ครั้งสำคัญที่ชื่อว่า Segwit (Segregated Witness) จากการอัปเดตครั้งนี้ นักพัฒนาให้ความเห็นว่ามีจะส่วนช่วยแก้ปัญหาการโอนบิตคอยน์ให้รวดเร็วขึ้นเพราะช่วยจัดการปัญหาความหนาแน่นในการทำธุรกรรม และใช้ค่าธรรมเนียมถูกลง
2018 – 2019 เป็นช่วงปีที่ราคาของบิตคอยน์แกว่งและย่อตัวลง หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดใหม่เรียบร้อยในปี 2017 สำหรับในประเทศไทยการซื้อขายบิตคอยน์เริ่มเป็นที่แพร่หลายและสะดวกมากขึ้น จากการเปิดตัวของกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคับเอ็กซ์เชนจ์และอื่น ๆ ที่เปิดโอกาสให้คนไทยสามารถซื้อขาย บิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีด้วยเงินบาทได้ด้วยตัวเอง
2020 – เป็นปีที่คนไทยคนเริ่มรู้จักบิตคอยน์และคริปโตฯ กันมากขึ้น พร้อมกับเป็นช่วงการระบาดหนักของโควิด-19 ทำเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ธนาคารกลางสหรัฐรวมถึงอีกหลาย ๆ ประเทศจึงต้องพยุงเศรษฐกิจเอาไว้ด้วยมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ Quantitative Easing (QE) อัดฉีดเงินเพิ่มด้วยการพิมพ์เงินไม่จำกัด จนส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อขั้นรุนแรงตามมา นักลงทุนส่วนหนึ่งตัดสินใจถือสินทรัพย์ทางเลือกอย่างบิตคอยน์และสกุลเงินอื่นเพื่อหนีจากเงินเฟ้อ
ซึ่งในปีเดียวกันนี้ Bitcoin Halving ครั้งที่ 3 ก็ได้เกิดขึ้นด้วย ซึ่งทำให้รางวัลจากการขุดลดลงจาก 12.5 BTC ต่อบล็อก เป็น 6.25 BTC ต่อบล็อก โดยช่วงต้นปี 2020 บิตคอยน์ถูกซื้อขายที่ 9,000 ดอลลาร์สหรัฐ และในช่วงปลายปี ราคาก็ขึ้นไปทำระดับสูงสุดเหนือกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ
Source: Investopedia
2021 – ราคาบิตคอยน์ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนไปถึง 65,000 ดอลลาร์สหรัฐ (All-time High) ในช่วงปีนี้บิตคอยน์เริ่มเป็นที่รู้จักและเป็นที่พูดทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยด้วย เป็นผลต่อเนื่องมาจากวิกฤตโควิด ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น MicroStrategy ที่เลือกถือ บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรอง หรือ Morgan Stanley ที่เริ่มให้บริการเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี เรียกได้ว่าเป็นปีที่มีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาในวงการกันอย่างล้นหลาม รวมถึงรัฐบาลประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่เดินหน้าอนุมัติให้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเป็นประเทศแรกของโลก ส่งผลให้นักลงทุนกลับมามุมมองที่ดีต่อตลาดคริปโตฯ
แต่ในปีเดียวกันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้บิตคอยน์แกว่งไปมา เช่น เหตุการณ์ที่รัฐบาลจีนก็ได้ประกาศห้ามประกอบกิจการเกี่ยวกับการขุดคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศ ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ลดลงอย่างรวดเร็ว
2022 – ถือเป็นช่วงที่สินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ในสภาวะตลาดหมี (Bear Market) มูลค่าของบิตคอยน์ในตลาดโลกลดลงถึง 60% ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงเฉพาะพี่ใหญ่ของวงการที่ได้รับผลกระทบสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นด้วย อย่างเช่น Terra ที่มูลค่า -100% หรือแม้แต่ Ether, Solana, Cardano ก็ไม่สามารถหนีวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้เช่นกัน
2023 – ปีแห่งความหวังของบิตคอยน์ จากสภาวะตลาดหมีและเงินเฟ้อที่ส่งผลให้วงการสินทรัพย์ดิจิทัลผันผวนสูงอย่างคริปโตและโทเคนให้แกว่งไปมา รวมถึงพี่ใหญ่อย่างบิตคอยน์ด้วย ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเราเริ่มได้เห็นการฟื้นตัวครั้งใหม่ของบิตคอยน์ที่เริ่มปรับฐานและมีแนวโน้มของราคาไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับตัวชี้วัด Relative Strength Index (RSI) ที่เกิน 70 แสดงให้เห็นสัญญาณ Overbought และกราฟที่ทำทรงคล้ายกับการฟื้นตัวของตลาดหมีรอบที่แล้ว นักลงทุนหลายคนเริ่มมีความหวังกับการขยับตัวในครั้งนี้ แต่ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่าจะมีปัจจัยใดที่ทำให้ราคาแกว่งขึ้นลงได้อีกบ้าง
ชาโตชิ นากาโมโตะ ผู้สร้างบิตคอยน์ได้ฝังชุดคำสั่งไว้ในบล็อกเชน โดยกำหนดไว้ว่ารางวัลจากขุดจะลดลง “ครึ่งหนึ่ง” ทุก ๆ 210,000 บล็อก แต่ละบล็อกจะถูกสร้างขึ้นทุก 10 นาที ดังนั้น 210,000 บล็อก จะใช้เวลาโดยประมาณ 4 ปี และรางวัลจากการขุดจะลดลงทุก ๆ 4 ปี เรียกกันว่า Bitcoin Halving ซึ่งหมายความว่า อุปทาน (Supply) ของบิตคอยน์ที่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว จะยิ่งจำกัดลงไปอีกซึ่งรางวัลจะลดลงจาก 6.25 BTC ต่อบล็อก เป็น 3.125 BTC ต่อบล็อก ในทางทฤษฎีราคาของบิตคอยน์อาจจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ตามภาพประกอบโดยเส้นสีฟ้าคือช่วงที่เกิด Bitcoin Halving
Source: Bitkub.com
โดยกำหนดการที่คาดว่าการ Halving จะแล้วเสร็จอยู่ในช่วงอีก 460 วันข้างหน้า (นับจากวันที่เขียนบทความ 26 มกราคม 2023) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามได้ผ่านทาง Bitcoin Halving Countdown https://www.bitkub.com/halving/
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการคาดการณ์ โดยวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีตเท่านั้น ไม่สามารถรับรองได้ว่าราคาบิตคอยน์จะปรับขึ้นอีกหลัง Bitcoin Halving ครั้งต่อไปได้ นักลงทุนควรมีวิจารณญาณ และบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม และศึกษาทำความเข้าใจสินทรัพย์ที่จะลงทุนให้ละเอียดด้วย
อ้างอิง: Bitkub Blog, Bitcoin Addict, Bitcoin.org, Bitcoin Halving Countdown, CNBC
บทความโดย bitkub.com/blog
คำเตือน
คริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
ทุกยุคทุกสมัย มักมีธีมการลงทุนหมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่ตลอด
ตั้งแต่ธีมญี่ปุ่นช่วงค.ศ. 1990 หุ้น Internet ช่วงปี 2000 กลุ่มธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐและยุโรปในปี 2007 BRIC ในช่วงค.ศ. 2011 มาจนถึง FAANG สหรัฐในทศวรรษ 2010s
สำหรับปี 2023 นักลงทุนหลายท่านเริ่มสังเกตเห็นว่าธีมลงทุนในหลากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน ยุโรป หรือ Emerging Markets ทยอยทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นกว่าหุ้นสหรัฐ
นักลงทุนเรียกธีมเหล้าเก่าในขวดใหม่เหล่านี้ว่า Rest Of World หรือย่อสั้นๆ ว่า ROW และเริ่มมีหลายสำนักมองว่า ROW จะกลายเป็นการลงทุนชั้นนำแห่งทศวรรษ เราจึงควรศึกษากลุ่ม ROW ว่าประกอบด้วยการลงทุนใด มีเหตุผลแค่ไหน และอะไรความเสี่ยงหรือโอกาสทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ROW ที่สำคัญที่สุดคือ “หุ้นจีน” ที่มาพร้อมกับฉากจบนโยบาย Zero-Covid มุมมองการลงทุนพลิกเป็นบวกฉับพลัน
ย้อนกลับไปปลายปี 2022 จะพบว่าดัชนีหุ้นจีนทั้ง CSI 300 และ Hang Seng China Enterprises Index กลับตัวทำผลตอบแทนขึ้นนำ S&P500 กว่า 10 และ 30% ตั้งแต่สิ้นสุดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นต้นมา
ในระยะสั้น ด้วยการผ่อนคลายนโยบาย Zero-Covid ตลาดมองว่ารายได้ของหุ้นจีน A-Share จะกลับไปเติบโตได้ถึง 25% ขณะที่ฝั่ง H-Share รายได้อาจไม่หดตัว ถ้าเกิดขึ้นจริงหุ้นจีนจะเป็นหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจมากกว่าสหรัฐที่กำลังถูกกดดันด้วยดอกเบี้ยสูง
ในอนาคต ตลาดคาดหวังว่าจีนจะเป็นหัวหอกของ ROW เนื่องจากมีการเติบโตที่สูงกว่าและ Valuation ที่ถูกกว่าสหรัฐ
ความเสี่ยงที่ต้องจับตาหลักจึงเป็นประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ และโครงสร้างหนี้ที่อาจทำให้จีนติดกับวิกฤติเศรษฐกิจเช่นเดียวกับญี่ปุ่นในอดีต
ต่อมาคือการลงทุนใกล้สหรัฐอย่าง “ยุโรป” ได้แรงหนุนทั้งจากความร่วมมือทางการเมืองและเงินยูโรที่แข็งค่า
การลงทุนในหุ้นยุโรปเป็นแนวโน้มใหญ่ที่ underperform หุ้นสหรัฐมาตั้งแต่ปี 2010 การกลับตัวขึ้นนำของ STOXX600 เทียบกับ S&P500 กว่า 10% ตั้งแต่ปลายปี อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนรอบใหม่ที่ยิ่งใหญ่และยาวนานไม่แพ้กัน
จุดสำคัญที่คาดว่าจะทำให้หุ้นยุโรปกลายเป็น ROW ที่น่าสนใจได้ คือความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ที่เห็นได้ชัดจากการร่วมต่อสู้กับวิกฤติพลังงาน
ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่น หนุนเงินยูโรแข็งค่า ส่งผลด้านบวกกับ Valuation และลดความผันผวนของรายได้ไปพร้อมกัน
อย่างไรก็ดี ยุโรปเป็น ROW ที่ไม่ได้มีการเติบโตของรายได้สูงกว่าสหรัฐมาก ความเสี่ยงหลักจึงเป็นเรื่องการแข่งขัน เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด และกฎเกณฑ์ทางธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
กลุ่มสุดท้ายคือ”Emerging Markets“ ที่มักฟื้นตัวได้ดีในช่วงที่นโยบายการเงินสหรัฐและค่าเงินดอลลาร์ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
ดัชนี Global EM Aggregate ในสกุลเงิน USD เอาชนะ US Global Aggregate ได้ถึง 5% ตั้งแต่ดอลลาร์เข้าสู่โหมดอ่อนค่าและยีลด์สหรัฐติดแนวต้านในเดือนตุลาคม 2022
การกลับตัวของดอลลาร์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในอดีต เช่น ก.ย. 1998 ก.พ. 2002 หรือ มี.ค. 2009 ทุกครั้งจะหนุนให้มีเงินลงทุนเคลื่อนตัวจาก Developed Market มาที่ EM กลายเป็นกระแสการลงทุนรอบใหม่
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องระวังไม่ต่างจากในอดีต คือความผันผวนของรายได้ที่สูง และระดับ Valuation ที่ปรับตัวขึ้นได้ยาก เนื่องจาก พื้นฐานของ EM ส่วนใหญ่เป็น Commodity Economy
ถึงตรงนี้นักลงทุนคงเข้าใจส่วนประกอบ โอกาสและความเสี่ยงของธีม ROW แล้ว คำถามต่อมาคือ เราควรปรับพอร์ตรับธีมลงทุน ROW นี้อย่างไร
จุดแรก ผมมองว่าธีม ROW เน้นถึงความสำคัญของการกระจายการลงทุน
เพราะ ROW ประกอบด้วยหลายกลุ่มการลงทุนที่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน จึงเป็นจังหวะที่ดีที่เราจะลดการกระจุกตัวของพอร์ต นอกจากจะได้ลุ้นกับการฟื้นตัวของ ROW แล้วยังได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย
สอง ROW ชี้ให้เห็นว่าบอนด์อาจเป็นมากกว่าการลดความเสี่ยงของพอร์ต
บทที่ชัดเจนมากคือการสร้างผลตอบแทน เพราะจุดเริ่มต้นของ ROW อยู่บนดอกเบี้ยที่สูง อนาคตถ้าเศรษฐกิจดี ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ก็จะต่ำ แต่ถ้าเศรษฐกิจแย่ ก็จะได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินมาแทน เป็นจังหวะที่หาผลตอบแทนได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญของธีม ROW คือ Valuation
เพราะการลงทุนในและนอกสหรัฐ มีความแตกต่างสำคัญที่สุดอยู่ที่ระดับ P/E Multiple ชัยชนะของ ROW ในทศวรรษที่จะถึงนี้ อาจเป็นไปได้ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของ Multiple ของหุ้นทั่วโลกไปสู่ระดับเดียวกับสหรัฐ แต่ก็อาจเป็นไปได้เช่นกันที่จะเกิดจาก Valuation ของสหรัฐ ลดลงมาเท่ากับที่อื่นของโลก นักลงทุนจึงต้องจับตาตลาด และประเมินสถานการณ์ให้ดี ว่าเหตุการณ์ใดกันแน่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ROW หรือ Rest Of World จะชนะการลงทุนแห่งทศวรรษก่อนอย่างหุ้นสหรัฐไปได้ไกลแค่ไหน เราจะได้ติดตามไปพร้อมกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไปครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงกว่า 42% จากจุดสูงสุดในช่วงเมษายน ส่งผลให้มูลค่า (valuation) ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวที่ลดลง การพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคมและปัจจัยทางด้าน Fund Flow จึงอาจทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามมีความน่าสนใจสำหรับการทำ MEVT Call
รูปที่ 1 Forward P/E by market Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 23/01/2023
ตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ถูกกดดันจากปัจจัยลบและพบกับความผันผวนมากมาตลอดทั้งปี 2022 จากปัญหาเรื่องเสถียรภาพของตลาดการเงินเวียดนาม ปัญหาการทุจริตในบางกลุ่มธุรกิจ ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงมากว่า 42% จากจุดสูงสุดในช่วงเมษายน ส่งผลให้ในปัจจุบันหุ้นเวียดนามมี Valuation ที่ระดับ PE 9 เท่า และอยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับอดีต และถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ อาทิ ตลาดหุ้นไทยที่ PE 17 เท่า
รูปที่ 2 VN30 Earning Yield Gap Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 23/01/2023
ในขณะที่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนกำไรจากหุ้นกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (earning yield gap) พบว่าส่วนต่างผลตอบแทนสูงถึง 5.96% ซึ่งคิดเป็นระดับ +1.5 S.D. ซึ่งหมายความว่าการลงทุนในหุ้นเวียดนามมีความน่าสนใจขึ้นมากเมื่อเทียบกับตลาดพันธบัตรรัฐบาลเวียดนาม
รูปที่ 3 Vietnam total Factor productivity contribution to GDP
Source: FINNOMENA, Bloomberg Economic (BE) Forecast as of 14/12/2022
เมื่อพิจารณาในระยะยาว พบว่าความสามารถในการผลิตจากปัจจัยของทุนและแรงงานต่อ GDP ของประเทศเวียดนาม จะเห็นว่าในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากทั้งปัจจัยทางด้านประชากรที่ส่วนมากยังอยู่ในวัยแรงงานและมีการลงทุนจากต่างชาติในการมาตั้งฐานการผลิตในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 4 Urbanization rate Vietnam World India Lower-middle income countries
Source: FINNOMENA, Ourworldindata as of 23/01/2023
สอดคล้องกับการขยายตัวของสังคมเมืองผ่านตัวเลข Urbanization Rate (%) แสดงให้เห็นว่าเมืองของเวียดนามขยายตัวขึ้นแซงอินเดีย มีประชากรเดินทางเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่มากขึ้นแทนที่จะอยู่ในชนบท เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจ การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ต้องการแรงงานมากขึ้น เป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มการบริโภคให้สูงขึ้นในระยะยาว
รูปที่ 5 Vietnam manufacturing PMI Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 27/01/2023
เมื่อพิจารณาภาพ 6 ถึง 12 เดือนข้างหน้า พบว่าความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมที่สะท้อนผ่านทางดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (manufacturing PMI) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 46.4 จุดในเดือนล่าสุด จากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเวียดนามเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ
รูปที่ 6 Vietnam export destination & 5 years growth Source: OEC world as of 31/12/2021
อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID ของทางการจีนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวได้ ทั้งในแง่ของการท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2023 และ เมื่อการส่งออกที่แม้จีนจะเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของเวียดนาม แต่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าสหรัฐฯ ที่เป็นอันดับที่ 1 ซึ่งสะท้อนว่าจีนกำลังมีอิทธิพลด้านการส่งออกต่อเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 7 MSCI Frontier Index VN Index & VN30 Index Source: FINNOMENA,Bloomberg as of 26/01/2023
เมื่อพิจารณาไปในดัชนีของตลาดหุ้นเวียดนามพบว่า เวียดนามเป็นดัชนีตลาดหุ้นที่ยังมีน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับวัฏจักรเศรษฐกิจในระดับสูง อาทิ กลุ่มการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้หากการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว มีแนวโน้มผ่อนคลายลงเรื่อย ๆ จะมีโอกาสให้ผลตอบแทนได้สัมพันธ์กับวัฏจักรเศรษฐกิจที่ดีกว่า
รูปที่ 8 EPS Revision 1 เดือนและค่าเฉลี่ย 3 เดือน Source: FINNOMENA,Bloomberg as of 23/01/2023
ด้านการปรับคาดการณ์กำไรของตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งสะท้อนมุมมองของนักวิเคราะห์ ที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มส่งสัญญาณการปรับลดคาดการณ์ที่อ่อนแรงลง สะท้อนการรับรู้ข่าวความกังวลที่เกิดขึ้นไปเป็นจำนวนมากแล้ว ส่งผลให้มี downside ของคาดการณ์กำไรที่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัจจัยด้านการเปิดประเทศของจีนถูกรับรู้ อาจส่งผลให้การปรับคาดการณ์กำไรกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งในอนาคต ซึ่งจะเป็นการเปิด upside ของตลาดหุ้นเวียดนามต่อไป
รูปที่ 9 Cumulative Foreign Equity Flow Source: FINNOMENA,Bloomberg as of 26/01/2023
เมื่อพิจารณา fund flow ของนักลงทุนต่างประเทศ นับตั้งแต่มีการไหลออกในช่วงต้นปีจากข่าวการทุจริตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อปัญหาที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลายลง ทำให้นับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นเวียดนามเติบโตต่อเนื่อง
FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำนักลงทุนเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามตาม MEVT Call เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า
รูปที่ 10 PRINCIPAL VNEQ-A Top Holding Source: FINNOMENA as of 19/01/2023
กองทุนเป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลัก ในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมทั้งตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ/หรือกองทุนรวม
อื่นที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุน และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟตราสารทุนต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
นอกจากนั้นแล้ว การลงทุนกับ FINNOMENA ยังมีสิทธิ์ได้รับ FINT ซึ่งเป็น Utility Token ของ FINNOMENA ซึ่งในปัจจุบัน มีกิจกรรม FINT Cashback เพื่อรับส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อกองทุน (Front End Fees) จาก บลจ. สูงสุดถึง 20% สำหรับซื้อกองทุนรวมหุ้น ตราสารทางเลือก ตราสารหนี้โลกทุกชนิด ยกเว้นกองตราสารหนี้ไทย
ยิ่งลงทุนเยอะ ยิ่งได้ Cashback คุ้มกว่า สูงสุด 20%!!!
“FINT Cashback” ฟีเจอร์ใหม่จาก FINNOMENA
ลูกค้าจะได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียม “Front-end-fee” สำหรับ “การซื้อกองทุน” ได้สูงสุด 20%
ยิ่งซื้อมากขึ้นยิ่งลดมากกว่า ลงทุนกับเราเลย
ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขกิจกรรมได้ที่ https://finno.me/cashback-ac
รูปที่ 11 MEVT Framework Source: FINNOMENA as of 19/01/2023
MEVT Call คือคำแนะนำการลงทุนรูปแบบใหม่จาก FINNOMENA Investment Team ที่ผ่านการพิจารณาผ่านกรอบการลงทุน 4 ด้านประกอบไปด้วย
Macro – ปัจจัยเชิงมหภาค เงินเฟ้อ นโยบายการเงินและการคลัง ประชากรศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ และอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อหาโอกาสการลงทุนที่เหมาะสมบนปัจจัยมหภาคที่สนับสนุนการเติบโต
Earnings – วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, แนวโน้มการปรับประมาณการกำไร และงบดุลของบริษัทจดทะเบียนนั้น ๆ เพื่อพิจารณาถึงการรับรู้ของนักวิเคราะห์ต่อแนวโน้มที่ดีหรือแย่ของเศรษฐกิจ ซึ่งจะสนับสนุนปัจจัยการลงทุนในแง่อื่น ๆ เช่น เชิง valuation และ fund flow เป็นต้น
Valuation – การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน ว่ามีความน่าสนใจมากเพียงใด เพื่อนำไปสู่คำแนะนำเข้าลงทุนในระดับราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้
Technical – ปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยเชิงพื้นฐาน เช่น fund flow, sentiment, seasonal statistic และ technical analysis เพื่อพิจารณาให้รอบด้าน ซึ่งจะช่วยนำไปสู่โอกาสการลงทุนที่ดีกว่า
รูปที่ 12 ความแตกต่างของ MEVT Call และ Tactical Call Source: FINNOMENA as of 19/01/2023
ความแตกต่างของ MEVT Call และ Tactical Call
MEVT Call จะเน้นเจาะโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework ที่มองทั้งเรื่องของปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค โดยจะเป็นมุมมองการลงทุนในระยะกลาง 6-12 เดือน ส่วนการ take profit หรือตัดขาดทุนจะมาจากทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยด้านเทคนิค ส่วน Tactical Call จะเป็นการเน้นหาสัญญาณการเข้า-ออกการลงทุนผ่านปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก โดยจะเป็นการลงทุนระยะสั้นกว่า MEVT Call อยู่ที่ 1-3 เดือน
FINNOMENA Investment Team
—————————————————————————————————————————-
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 21 – 27 ม.ค. 2566 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 27 ม.ค. 2566)
1. TRAREEARTH – กองทุนเปิด ทิสโก้ Rare Earth & Strategic Metals
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.36%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (วันที่ 8 เม.ย. 65): -14.47%
2. ONE-GECOM – กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล อีคอมเมิร์ซ
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.01%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -33.10%
3. TMB-ES-INTERNET – กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Next Generation Internet
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.38%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -48.00%
ซื้อกองทุน TMB-ES-INTERNET คลิก
ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 5 อันดับเพิ่มเติม: TRAREEARTH, ONE-GECOM, TMB-ES-INTERNET, SCBCTECHA, DAOL-CYBER
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2566 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 27 ม.ค. 2566)
1. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.69%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -27.84%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ONE-UGG-RA : กองทุนหุ้นเติบโตทั่วโลก คว้าโอกาสแห่งอนาคต
2. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.02%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -25.71%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุนเวียดนาม ครบจบในที่เดียว!
ซื้อกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A คลิก
3. TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +0.91%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -14.38%
ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, PRINCIPAL VNEQ-A, TMBGQG, K-VIETNAM, UGIS-N, K-CHINA-A(A), SCBS&P500, B-INNOTECH, KT-ENERGY, TMBAGLF
ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 65 ยังแข็งแกร่ง GDP ไตรมาส 4 ขยายตัว 2.9% ส่วนภาพรวมทั้งปี ขยายตัว 2.1% แต่อาจเป็นไตรมาสสุดท้ายที่ตัวเลขเติบโต ก่อนที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้
ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังแข็งแกร่ง กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2565 ขยายตัว 2.9% ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้านั้นที่ขยายตัว 3.2% มากกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ Reuters สำรวจความเห็นซึ่งคาดว่าจะโต 2.6%
อย่างไรก็ตาม นี่อาจะเป็นไตรมาสสุดท้ายที่ตัวเลขเติบโต ก่อนที่ผลกระทบจากการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มขึ้น ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ยอดค้าปลีกลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา และภาคการผลิตดูเหมือนจะสู่ภาวะถดถอยเช่นกันกับตลาดที่อยู่อาศัย ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังคงย่ำแย่ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจ้างงานในที่สุด
การเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังชดเชยหักลบการหดตัว 1.1% ในครึ่งปีแรก และทำให้ภาพรวมทั้งปี 2565 จีพีดีสหรัฐขยายตัว 2.1% ต่อเนื่องจากปี 2564 ที่ขยายตัว 5.9% แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปอยู่ในระดับ 4.25-4.50% ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2550
การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโต ส่วนใหญ่สะท้อนถึงการใช้จ่ายสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงต้นไตรมาส การใช้จ่ายได้รับการสนับสนุนจากความยืดหยุ่นของตลาดแรงงาน รวมถึงเงินออมที่สะสมไว้ในช่วงการระบาดของโควิด-19
ขณะที่ VOA Thai รายงานว่า นักวิเคราะห์เตือนว่า สถานการณ์การเมืองของสหรัฐฯ อาจทำให้ทิศทางของเศรษฐกิจซวนเซได้ โดยเฉพาะเมื่อสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกันที่คุมเสียงข้างมากในสภาล่างอาจปฏิเสธไม่ยอมปรับขึ้นเพดานหนี้รัฐ
โดยถ้ารัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนไม่ยอมทำตามคำเรียกร้องของฝ่ายตนให้ทำการปรับลดค่าใช้จ่ายโดยรวม เพราะหากไม่มีการปรับขึ้นเพดานหนี้ที่ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ก็อาจประสบปัญหาผิดชำระหนี้และเสียเครดิตได้
Moody’s Analytics ประเมินว่า หากสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้จริง จะมีคนตกงานเกือบ 6 ล้านคนเพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอย คล้าย ๆ กับที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการเงินปี 2007-2009
อ้างอิง:
https://www.voathai.com/a/us-economy-slowed-but-still-grew-at-2-9-rate-last-quarter/6935622.html
https://www.prachachat.net/world-news/news-1188012
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
เมื่อธนาคารกลางทยอยขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเรามองว่า ถึงเวลาแล้วที่นักลงทุนควรมองไปที่สินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ นอกเหนือจากหุ้นและพันธบัตร เพื่อสร้างพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่สมดุลขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ซึ่งเราเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า และมีความผันผวนน้อยกว่า และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อได้
อสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีตัวตน และถือเป็นหนึ่งในส่วนของ “สินทรัพย์จริง” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ถือว่าเติบโตได้ดี สร้างกระแสเงินสด และไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อเท่าใดนัก ซึ่งนักลงทุนสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ 3 วิธี ประกอบด้วย (1) การลงทุนในกอง REITs (จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) (2) การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด (ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) และ (3) การลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยตรง ทั้งนี้ จากสถิติที่ผ่านมา การลงทุนใน REITs ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้นเล็กน้อย
Figure 1 ในรูปแบบการลงทุน 4 รูปแบบดังภาพ การลงทุนใน REITs ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด รองลงมาเป็นการลงทุนในหุ้น อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด และพันธบัตร ตามลำดับ
นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งแบบนอกตลาด หรือผ่านกอง REITs ซึ่งสุดท้ายแล้วเม็ดเงินก็จะไปลงทุนในตัวอสังหาริมทรัพย์นั่นเอง แต่ว่าที่ผ่านมา เราพบว่าผลตอบแทนของอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด จะต่ำกว่ากอง REITs เล็กน้อย แต่ก็จะมีความผันผวนตามตลาดหุ้นน้อยกว่าเช่นกัน เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์นอกตลาดจะมีความถี่การประเมินมูลค่าที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับกอง REITs ที่จะผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ ความเสี่ยง และอัตราดอกเบี้ย
ในทางกลับกันกอง REITs จะมีอัตรากำลังการสร้างผลตอบแทนจากเงินต้น (leverage) ต่ำกว่า และจะมีรูปแบบการลงทุนในลักษณะหุ้นกู้ไม่มีประกันมากกว่า ทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด ที่บางครั้งอาจจะมีสัดส่วนการกู้เงินต่อมูลค่าสินทรัพย์สูงกว่า 50% (leverage สูง)
ในขณะเดียวกัน กอง REITs มักจะสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้หลายรูปแบบมากกว่า เช่น มีกอง REITs หลายกองเข้าไปลงทุนใน เสาไฟฟ้า เสาสื่อสาร (tower) ป่าไม้ โกดัง และตู้แช่เย็น ซึ่งเรามักจะไม่พบในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกตลอดเท่าไรนัก ดังนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องตัดสินใจว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใด เหมาะสมกับความคาดหวังด้านผลตอบแทน และสอดคล้องกับความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถยอมรับได้
เราแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและนอกตลาด (แบบผสมผสาน) เพราะว่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด ภายใต้ความเสี่ยงที่ลดลง โดยจากการศึกษาของเราการลงทุนแบบผสมผสานจะให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง และยังยืดหยุ่นพอที่จะปรับน้ำหนักการลงทุนไปมา (rebalancing) หากอสังหาริมทรัพย์บางประเภทสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าในภาวะหนึ่ง ๆ
Figure 2 กราฟแสดงให้เห็นข้อดีของการลงทุนแบบผสมผสาน ซึ่งสร้างผลตอบแทนได้สูง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
สำหรับตอนนี้ เราแนะนำให้นักลงทุนให้น้ำหนักในการลงทุนในกอง REITs มากกว่า เพราะว่ามีมูลค่าน่าสนใจ และมีโอกาสสรางผลตอบแทนได้สูง
ในมุมมองของเรา การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะในตลาดหรือนอกตลาดน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีทั้งหมด เนื่องจากเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และคาดว่าจะคงอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง โดยที่ผ่านมาเราพบว่าค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์สำหรับอุตสาหกรรมปรับขึ้นสูงกว่าปีก่อนถึง 20% เนื่องจากมีความต้องการสูง อุปทานมีจำกัด (ปริมาณอัตราว่างต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์) และการสร้างใหม่ใช้เงินทุนสูงกว่าเดิม (จากภาวะอัตราเงินเฟ้อ) นอกจากอสังหาริมทรัพย์สำหรับอุตสาหกรรมแล้ว ค่าเช่าที่อยู่อาศัยก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ที่คนต้องการสภาพความเป็นบ้าน และมีที่เก็บของใช้ส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งผลักดันให้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น ท่ามกลางห้องว่างที่เหลือน้อยลง โดยเหตุผลที่เราชอบอสังหาริมทรัพย์มากกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ เพราะว่าเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นจะกดดันสินทรัพย์อื่น ๆ ยกเว้น อสังหาริมทรัพย์ ที่ผลตอบแทนมักปรับไปตามอัตราเงินเฟ้อด้วย
การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ถูกกดดันบ้าง ผ่านการคิดลด (discount rate) ของกระแสเงินสดที่สร้างขึ้น อย่างไรก็ดี เรามองว่า เป็นโอกาสของนักลงทุน ที่สามารถเฟ้นหาอสังหาริมทรัพย์ที่มีกลไกในการปรับราคา หรือปรับค่าเช่าเพื่อสะท้อนกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งน่าจะทำให้ผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง
อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่ามูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ถูกกดดันบ้าง จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยกอง REITs ปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ในกองถึง 20% โดยเฉลี่ย ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาถือว่าเป็นจุดต่ำที่สุดแล้ว ทำให้เรามองว่า การลงทุนในกอง REITs น่าสนใจมากขึ้น และยิ่งถ้าหากนักลงทุนสามารถหากอง REITs ที่มีกลไกการตั้งราคาให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้นอีก นอกจากนี้ จากภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ การหันไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดไหลเข้ามาแน่นอน ภายใต้ความต้องการสูง แต่มีอุปทานต่ำ น่าจะเป็นการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ แต่สร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะถัดไป
Figure 3 มูลค่ากอง REITs ถือว่าปรับตัวลงต่ำที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งเรามองว่ามูลค่าเริ่มน่าสนใจ และเป็นจุดควรเข้าลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
ข้อสงวนสิทธิ์
แหล่งข้อมูล
https://www.
ทางการจีนระบุว่า เคสคนไข้โควิด-19 อาการวิกฤตในจีน ลดลง 72% จากจุดสูงสุดเมื่อช่วงต้นเดือน ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในหมู่ผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลลดจากระดับพีกสุดถึง 79% เช่นกัน
ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ตัวเลขดังกล่าวซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ ปรากฏออกมาหลังจากนักวิทยาศาตร์คนดังรายหนึ่งของรัฐบาล ระบุว่า จนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 80% ในประชากรทั้งหมด 1,400 ล้านคนของจีนติดเชื้อแล้ว ทำให้มีโอกาสน้อยที่โควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในช่วง 2 ถึง 3 เดือนข้างหน้า
จีนยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างกะทันหันในช่วงต้นเดือนธันวาคม หลังจากบังคับใช้มาตรการอันเข้มข้นมานานกว่า 3 ปี ความเคลื่อนไหวที่โหมกระพือการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้
แม้เจ้าหน้าที่บอกว่าการแพร่เชื้อถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่พวกผู้เชี่ยวชาญนานาชาติบางส่วนเตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เคสผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงในพื้นที่ชนบท ซึ่งขาดแคลนเครื่องไม้เครื่องมือในการรับมือกับการแพร่ระบาด ในขณะที่ประชาชนชาวจีนหลายล้านคนเดินทางกลับบ้าน ไปอยู่พร้อมหน้าครอบครัว ระหว่างเทศกาลตรุษจีน
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติจีน ระบุว่า จำนวนคนไข้อาการวิกฤตในจีนถึงจุดพีกเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่จำนวน 128,000 ราย และในวันที่ 23 มกราคม จำนวนเคสดังกล่าวลดลงมาเหลือเพียง 36,000 ราย
ในส่วนของจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันในโรงพยาบาลแตะระดับสูงสุด 4,273 รายในวันที่ 4 มกราคม แต่ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 896 รายในวันที่ 23 มกราคม ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวตามคลินิกต่างๆ ก็ลดลงถึง 96.2% จากจุดพีก 2.867 ล้านคน ในวันที่ 22 ธันวาคม เหลือแค่ 110,000 คนในวันที่ 23 มกราคม
นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติจีน ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้ป่วยนอกที่ขอคำปรึกษาทางการแพทย์ได้ผ่านจุดพีกสุดแล้วในวันที่ 22 ธันวาคม โดยที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เกิน 7 ล้านคนต่อวัน ส่วนจำนวนผู้ป่วยนอกที่ขอคำปรึกษาถึงจุดสูงสุดที่ 2.867 ล้านคน
ข้อมูลนี้ถูกเผยแพร่ออกมาหลังจากเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่า จีนผ่านจุดสูงสุดของกรณีคนไข้โควิด-19 เข้ารักษาตัวตามคลินิกต่างๆ ห้องฉุกเฉิน และในอาการวิกฤตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ 12 มกราคม เจ้าหน้าที่แถลงว่ามีคนไข้โควิด-19 เกือบ 60,000 คน เสียชีวิตในโรงพยาบาล นับตั้งแต่จีนยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าตัวเลขดังกล่าวอาจไม่สะท้อนผลกระทบอย่างครบถ้วน เนื่องจากมันยังไม่นับรวมผู้เสียชีวิตที่บ้าน และรอยเตอร์อ้างว่าโรงพยาบาลบางแห่งในจีนมีคำสั่งไม่ให้แพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยว่าเกิดจากโควิด-19
อ้างอิง: https://mgronline.com/around/detail/9660000007910
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
บล็อกเชนบนโลกของเรามีอยู่มากมายจนนับไม่ไหวครับ แน่นอนว่าไม่มีบล็อกเชนใดที่จะเป็น one size fits all หรือเป็นบล็อกเชนที่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่างบนโลกนี้ ทุกวันนี้เราเลยเห็นบล็อกเชนที่มีรูปแบบต่างกัน มีกลไกฉันทามติต่างกัน และถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ที่ต่างกันไป แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าบล็อกเชนจะมีลักษณะอย่างไร ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ใด การติดต่อกันข้ามบล็อกเชนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนครับ การเชื่อมต่อบล็อกเชนหลาย ๆ ตัวเข้าด้วยกันถือเป็นจุดสำคัญในการเพิ่มความหลากหลายของการใช้งานและขยายฐานผู้ใช้งานของบล็อกเชน วันนี้ผมจะพาทุก ๆ คนไปรู้จักกับโปรเจกต์ที่เรียกว่าเป็นกระดูกสันหลังของบล็อกเชนอื่น ๆ อีกหลายตัว นั่นก็คือ Cøsmos ครับ แล้วทุก ๆ คนจะได้รู้ว่าโปรเจกต์นี้อยู่เบื้องหลังโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีหลายโปรเจกต์เลยครับ
Cøsmos นิยามตัวเองว่าเป็น Ecosystem of Connected Blockchains ครับ ซึ่งเป็นเครือข่ายที่จะทำหน้าที่เชื่อมต่อหลาย ๆ บล็อกเชนเข้าด้วยกัน เพื่อให้แต่ละบล็อกเชนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ครับ โดยเทคโนโลยีเบื้องหลังของ Cøsmos หลัก ๆ จะมี 3 ส่วนด้วยกัน
Tendermint เป็นกลไกฉันทามติของ Cøsmos ซึ่งมีพื้นฐานมาจากอัลกอริทึม Byzantine Fault Tolerant (BFT) ครับ โดยนำ BFT มาเพิ่มขีดความสามารถในการสร้าง smart contract เข้าไป โดยปกติแล้วการสร้างบล็อกเชนหนึ่งบล็อกเชนจะประกอบไปด้วย 3 layer คือ Networking layer ที่ทำหน้าที่เป็นเครือข่ายกระดูกสันหลังในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานและ node, Consensus layer ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมต่าง ๆ, และ Application layer ที่จะสร้างลูกเล่นต่าง ๆ ที่ผู้ใช้อย่างเราเห็น ๆ กัน (การทำฟาร์ม, ปล่อยกู้ หรือกลไกอื่น ๆ จะเกิดขึ้นบน layer นี้ครับ) ถ้าหากเทียบกับ Ethereum ซึ่งก็มีสิ่งที่เรียกว่า Ethereum Virtual Machine (EVM) ที่ทำให้บล็อกเชนอื่น ๆ สามารถสร้าง smart contract ได้ จุดเด่นของ Tendermint คือ Tendermint เป็นชุดพัฒนาที่รวบขั้นตอนการสร้าง Networking และ Consensus layer ไวด้วยกัน ทำให้นักพัฒนาสามารถโฟกัสที่การสร้าง Application layer ได้เลย ในขณะที่ EVM ไม่ได้มีการรวบสอง layer ข้างต้น (ทำให้การพัฒนา smart contract บน Ethereum ต้องคำนึงถึงการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 layers) Tendermint จึงใช้เวลาพัฒนาน้อยกว่า EVM ครับ นอกจากนี้ ด้วยความที่ Tendermint รับผิดชอบเฉพาะส่วน Network และ Consensus ทำให้นักพัฒนาสามารถออกแบบบล็อกเชนให้มีลักษณะ private หรือ public ก็ได้ครับ
เป็นโปรโตคอลที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อ Tendermint เข้ากับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่มาสร้างบน Cøsmos ครับ โดยความพิเศษของ ABCI นั่นคือมันสามารถถูกเขียนได้ในเกือบทุกภาษา ทำให้นักพัฒนาที่จะมาสร้างแอปพลิเคชันบน Cøsmos สามารถพัฒนาด้วยภาษาที่ตนเองต้องการได้นั่นเอง
SDK หรือ Software Development Kit คือชุดโปรแกรมที่เปรียบเสมือนกล่องเครื่องมือที่นักพัฒนาของแพลตฟอร์มเค้าปล่อยมาให้ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ได้นำไปใช้ต่อยอดบนแพลตฟอร์มของเค้าครับ สำหรับ Cosmos SDK นี่ก็คึอชุดคำสั่งที่จะช่วยนักพัฒนาที่จะมาพัฒนาแอปพลิเคชันต่าง ๆ บน Cøsmos ครับ โดยจะมีการเตรียมชุดคำสั่งพื้นฐาน เช่นฟังก์ชันเกี่ยวกับการส่งโทเคน, การฝาก (staking), และการโหวต ไว้เรียบร้อยแล้ว และนักพัฒนาก็สามารถเพิ่มชุดคำสั่งเข้าไปอีก ก็ได้เช่นกัน โดย Cosmos SDK ถูกสร้างขึ้นบนหลัก Modularity อธิบายเพิ่มเติมคือ Cosmos SDK มีเป้าหมายคือสร้างระบบนิเวศของโมดูลครับ ด้วยการแยกชุดโค้ดออกเป็นโมดูลย่อย ๆ ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างบล็อกเชนหลาย ๆ อัน โดยใช้วิธีการประกอบชุดโมดูลย่อย ๆ หลาย ๆ ตัว ช่วยให้ลดโอกาสที่จะเขียนโปรแกรมซ้ำกันหลาย ๆ ที่ครับ
เป็นกระดานเทรดแบบกระจายศูนย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบนิเวศของ Cøsmos ครับ โดยในปัจจุบัน (มกราคม 2023) มีมูลค่าการฝาก liquidity กว่า 177 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าการเทรดต่อวันโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับ 6–9 ล้านดอลลาร์สหรัฐครับ รองรับการเทรดโทเคนคริปโตเคอร์เรนซีหลายร้อยชนิดภายในระบบนิเวศของ Cøsmos รวมถึงโทเคนจากบล็อกเชนอื่น เช่น ETH, USDC และ WBTC จากบล็อกเชนของ Ethereum ที่ถูกเชื่อมต่อผ่านโปรเจกต์อื่น ๆ เช่น Axelar ด้วยครับ
ตัวโปรเจกต์มีโทเคน OSMO เป็นโทเคนหลัก โดยผู้ใช้งานที่ต้องการซื้อ-ขายโทเคนบนกระดานเทรด Osmosis จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมธุรกรรมด้วย OSMO ครับ และผู้ที่ต้องการจะตรวจสอบธุรกรรมบนบล็อกเชนของ Osmosis จะต้องวาง (stake) OSMO เป็นหลักประกันด้วยครับ
เป็นโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีที่มีเป้าหมายเชื่อมต่อการส่งผ่านมูลค่าระหว่างบล็อกเชนใด ๆ ครับ Axelar เปรียบเทียบตัวเองว่าเป็น Stripe แห่งโลกคริปโต ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถโอนโทเคนจากบล็อกเชนหนึ่งไปยังอีกบล็อกเชนหนึ่ง โดยที่การตรวจสอบการทำธุรกรรมยังคงความกระจายศูนย์ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของบล็อกเชนอยู่ ผ่านการตรวจสอบการทำธุรกรรมของผู้ตรวจสอบธุรกรรม (validator) ที่จะต้องทำการ stake AXL ซึ่งเป็นโทเคนหลักของโปรเจกต์ เป็นหลักประกันในการตรวจสอบครับ
เป็นบล็อกเชนที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีจุดเด่นด้านความเป็นส่วนตัว (privacy) ของผู้ใช้งานครับ จริงอยู่ที่บล็อกเชนที่เราเห็นทุกวันนี้อย่าง Bitcoin / Ethereum หรืออื่น ๆ ก็ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวตนผู้ใช้งาน แต่ข้อมูลประวัติการทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าปลายทาง / มูลค่า / วันเวลาที่ทำธุรกรรม ก็ถูกเปิดเผย นั่นแปลว่าถ้าหากมีใครสักคนรู้ที่อยู่กระเป๋าของเรา ก็จะรู้หมดเลยว่าเรามีโทเคนอะไรบ้าง มีประวัติการทำธุรกรรมอะไรบ้าง ซึ่งถึงแม้จะไม่เปิดเผยตัวตน ก็ไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวในโลกคริปโตเคอร์เรนซีสักเท่าไรครับ ดังนั้น Secret Network จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มคุณลักษณะด้านความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานโดยที่ยังคงความกระจายศูนย์ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของบล็อกเชนอยู่ครับ
Akash Network คือเครือข่ายการคำนวณแบบกระจายศูนย์ (decentralized cloud computing) โดยตัวมันเองจะทำหน้าที่เสมือนตลาดซื้อขายให้คนทั่ว ๆ ไปมาขายทรัพยากรการคำนวณของคอมพิวเตอร์ของตนให้กับคนที่ต้องการใช้งานครับ โดยมีเป้าหมายลดต้นทุนการใช้งานให้ต่ำกว่าผู้ให้บริการ cloud computing เจ้าใหญ่ ๆ ที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ และเพิ่มความกระจายศูนย์เข้าไป (ซึ่งจะเป็นจุดเด่นของ cloud computing network ที่ถูกสร้างด้วยบล็อกเชน) ซึ่งผู้ที่ต้องการใช้ทรัพยากรการคำนวณก็จะต้องจ่ายด้วยเหรียญ AKT ซึ่งเป็นโทเคนประจำบล็อกเชนของ Akash ครับ
เป็นบล็อกเชนสายเขียว ที่เปิดให้เจ้าของที่ดินสามารถขาย “Ecosystem Service” ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่ผู้คนจะได้รับจากสภาพแวดล้อมที่ดี (เช่น แหล่งน้ำสะอาดอากาศบริสุทธิ์ เป็นต้น) ซึ่งวิสัยทัศน์ของ Regen คือทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นนั่นแหละครับ โดยตัว Regen เปรียบเสมือนแหล่งระดมทุนของคนที่มีที่ดินที่แหล่งน้ำสะอาดอากาศบริสุทธิ์สามารถสร้างรายได้จากความสะอาดของที่ดินเค้าเอง สำหรับพวกเราเองถ้ามีความต้องการที่จะช่วยโลกหรืออยากให้โลกเขียวขึ้นก็ไปลงทุนกับเจ้าของที่ดินได้
และยังมีอีกโปรเจกต์ที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งก็สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ Official Website ของ Cøsmos ครับ
อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้ครับว่า Cøsmos มีความตั้งใจที่จะเชื่อมต่อบล็อกเชนหลาย ๆ อันเข้าด้วยกัน ตัว Cosmos เองก็มีการสร้าง Cosmos SDK เพื่อให้ง่ายต่อการสร้างบล็อกเชนของตัวเองแล้วนำมาเชื่อมต่อเข้ากับบล็อกเชนอื่น ๆ ที่ใช้ Cosmos SDK สร้างเหมือนกัน แล้วทีนี้จะเชื่อมต่อบล็อกเชนเหล่านั้นยังไงล่ะ? คำตอบคือ IBC นี่แหละครับ โดย IBC ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Tendermint ที่เพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกรรมระหว่าง Heterogeneous chains ครับ
บล็อกเชน 2 อันที่เป็น Heterogeneous ต่อกัน จะมีคุณสมบัติอยู่สองอย่างด้วยกันครับ
ซึ่ง IBC จะเป็นตัวกลางที่ทำให้ Heterogeneous blockchain เหล่านั้นส่งโทเคนไปมาระหว่างกันได้ หมายความว่าบล็อกเชนที่มีโครงสร้างต่างกัน กลไกฉันทามติต่างกัน หรือมีผู้ตรวจสอบคนละชุดกัน จะสามารถติดต่อกันได้ ผ่าน IBC ครับ
หนึ่งในตัวอย่างการใช้งานที่ชัดเจนที่สุดของ IBC คือการส่งโทเคนไปมาระหว่างบล็อกเชนที่มีลักษณะ public กับ private อย่างที่กล่าวไว้ข้างบนครับว่า Cosmos SDK สามารถสร้างบล็อกเชนได้ทั้ง public และ private และ IBC เข้ามาช่วยต่อท่อเชื่อมระหว่าง 2 บล็อกเชนนี้ได้ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีซอฟต์แวร์อื่นที่ทำแบบนี้ได้นะครับ
(ขอบคุณตัวอย่างดี ๆ จาก Cosmos official website ด้วยนะครับ)
บล็อกเชนทั้งหมดภายในระบบนิเวศของ Cøsmos จะมีข้อมูลของบล็อกเชนอื่น (ที่เราเรียกกันว่า metadata) อยู่แล้วครับ ยกตัวอย่างเช่นชื่อบล็อกเชน, ชื่อโทเคน, รายชื่อผู้ตรวจสอบ เป็นต้นครับ
สมมติว่า chain X อยากจะส่ง 10 ATOM ไปให้ chain Y ระบบของ IBC จะทำงานตามนี้ครับ
IBC ช่วยให้แต่ละบล็อกเชนที่มีลักษณะแตกต่างกันสามารถเชื่อมต่อกันได้ ส่งโทเคน ทำธุรกรรมระหว่างกันได้ แต่ถ้าสมมติเรามีบล็อกเชนสัก 100 บล็อกเชน ถ้าหากเราทำการเชื่อมต่อทุก ๆ คู่ความเป็นไปได้ของคู่บล็อกเชนในระบบนิเวศของเรา จำนวน IBC connector ที่เราต้องสร้าง จะเท่ากับ 4,950 ตัวครับ (และจะเพิ่มขึ้นแบบยกกำลังเมื่อจำนวนบล็อกเชนเพิ่มขึ้น)
Cøsmos แก้ปัญหานี้โดยออกแบบโครงสร้างเพิ่มเติมโดยการแบ่งบล็อกเชนออกเป็น 2 ประเภท คือ Zones กับ Hubs ครับ โดย Zones คือบล็อกเชนปกติที่มีแอปพลิเคชันหลากหลาย เป็นบล็อกเชนที่นักพัฒนาตั้งใจเข้ามาสร้างภายในระบบนิเวศของ Cøsmos เพื่อที่จะเชื่อมต่อกับบล็อกเชนอื่น ๆ ครับ ส่วน Hubs จะเป็นบล็อกเชนพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อ Zones เข้าด้วยกัน โดยแต่ละ Hub จะมีความสามารถในการทำธุรกรรมใด ๆ กับ Zones ที่ตัวมันเองเชื่อมต่ออยู่โดยอัตโนมัติ นั่นหมายความว่า ถ้านักพัฒนาเข้ามาสร้างบล็อกเชนหนึ่งบล็อกเชนในระบบนิเวศของ Cøsmos สิ่งที่นักพัฒนาต้องทำคือเชื่อมต่อบล็อกเชนที่ตัวเองสร้างกับ Hubs จำนวนนึง แทนที่จะต้องเชื่อมต่อกับบล็อกเชนทุกบล็อกเชนภายในระบบนิเวศ นอกจากนี้ Hubs ภายใน Cøsmos ยังมีกลไกป้องกัน double spending อีกด้วยครับ
ทาง Cøsmos เองปล่อย Cøsmos Hub ซึ่งก็เป็น Hub แรกภายในระบบนิเวศของ Cøsmos ออกมาสักพักแล้ว โดยบล็อกเชนของ Cøsmos Hub มีลักษณะเป็น public Proof-of-Stake และโทเคนของบล็อกเชนนี้ก็คือเหรียญ ATOM ที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินชื่อครับ
ซึ่งแน่นอนว่าแอปพลิเคชันภายใน Cøsmos คงไม่ได้มีอยู่เท่านี้แน่นอน สำหรับใครที่สนใจเกี่ยวกับแอปพลิเคชันภายใน Cøsmos สามารถติดตามที่ Official Website ได้ครับ
ATOM เป็นเหรียญในระบบนิเวศของ Cøsmos ครับ โดยหลัก ๆ แล้ว ATOM จะถูกใช้เป็นโทเคนในการจ่ายค่าธุรกรรมใน Cøsmos Hub เช่นการโอนโทเคนไปยังกระเป๋าอื่น ๆ และอีกหนึ่งการใช้งานของ ATOM ก็คือเป็น governance token ครับ โดยผู้ตรวจสอบจะต้องวาง (stake) ATOM เป็นหลักประกัน เพื่อให้มีสิทธิ์ในการโหวต เวลาที่มีการนำเสนอร่างการอัปเกรดใหม่ ๆ ของโปรเจกต์ขึ้นมา และสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการจะเป็นผู้ตรวจสอบ สามารถฝาก (delegate) ATOM ของเราให้กับผู้ตรวจสอบที่ต้องการได้ครับ สำหรับอัตราผลตอบแทนในปัจจุบันของผู้ตรวจสอบและผู้ฝากจะอยู่ที่ 23.5% และ 21.8% ตามลำดับโดยประมาณครับ
อย่างหนึ่งที่หลาย ๆ คนจะงง คือ ATOM นั้นไม่ใช่โทเคนหลักของทั้งระบบนิเวศของ Cøsmos นะครับ ATOM เป็นโทเคนหลักของบล็อกเชน Cøsmos Hub เท่านั้น อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าระบบนิเวศของ Cøsmos จะประกอบด้วยบล็อกเชนหลาย ๆ บล็อกเชนที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ ซึ่งแต่ละบล็อกเชนก็จะมีโทเคนประจำบล็อกเชนของตัวเอง ดังนั้นถ้าหากเราจะทำธุรกรรมบนบล็อกเชนอื่น ๆ เราก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นโทเคนของบล็อกเชนนั้น ๆ ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นที่พูดถึงกันอยู่ครับ ว่าการที่ ATOM ไม่ได้ถูกใช้เป็นโทเคนหลักบนทั้งระบบนิเวศของ Cøsmos จะทำให้ มูลค่าของเหรียญมีน้อยลงหรือเปล่า? ซึ่งมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยครับ กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยจะโต้แย้งว่ามูลค่าของ ATOM ไม่ได้มาจากแค่การใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมเพียงอย่างเดียว แต่ ATOM ยังถูกใช้เป็น governance token ของ Cøsmos Hub ซึ่งเปรียบเสมือนแกนกลางของระบบนิเวศ Cosmos ทั้งหมด ดังนั้นการมีสิทธิ์มีเสียงในการกำหนดแนวทางความเป็นไปของ “แกนกลาง” (ซึ่งแน่นอนว่าการตัดสินใจใด ๆ จะส่งผลกระทบกับทุก ๆ บล็อกเชนในระบบนิเวศ) ก็เพิ่มมูลค่าให้กับ ATOM ได้ไม่น้อยครับ
อ้างอิงจาก CoinGecko ในปัจจุบัน (มกราคม 2023) ATOM มีมูลค่าตลาดทั้งหมดประมาณ 3,287 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นอันดับ 21 ในบรรดาโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมดครับ
ถ้าพูดถึงบล็อกเชน smart contract ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนจะนึกถึง Ethereum เป็นลำดับแรกครับ เนื่องจาก Ethereum มีแอปพลิเคชันและการใช้งานที่หลากหลาย มีฐานผู้ใช้งานและมูลค่าการเทรดสูงที่สุดในบรรดาบล็อกเชน smart contract ทั้งหมดครับ และถ้าหากพูดถึงโปรเจกต์ที่เป็นศูนย์รวมของบล็อกเชนที่หลากหลาย มีกลไกด้านความปลอดภัยที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ชื่อ Polkadot คงจะเข้ามาในหัวของใครหลาย ๆ คนเป็นชื่อแรกครับ สองโปรเจกต์นี้ถือเป็นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ยักษ์ในโลกคริปโตเคอร์เรนซี ที่มีฐานผู้ใช้งานสูงเป็นอันดับต้น ๆ นั่นทำให้การเชื่อมต่อกับทั้ง Ethereum และ Polkadot จะทำให้ Cøsmos สามารถขยายฐานผู้ใช้งานได้อีกมหาศาล และเพิ่มความหลากหลายของการใช้งานผ่านโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่อยู่บนบล็อกเชนของ Ethereum และภายในระบบนิเวศของ Polkadot ได้ครับ
ทีมพัฒนาของ Cøsmos มีแผนที่จะเชื่อมต่อ IBC เข้ากับโครงสร้างระบบนิเวศของ Polkadot เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ Cøsmos เข้ากับ Relay Chain และ Parachain ทั้งหมดของ Polkadot ได้ (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Polkadot ได้ที่นี่) และนอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเชื่อมต่อ IBC เข้ากับ Beacon chain ของ Ethereum ที่ถูกอัปเกรดเป็น Ethereum ที่ใช้กลไกฉันทามติ Proof-of-Stake ครับ
Cøsmos มีแผนอัปเกรดโปรเจกต์ครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ Cøsmos 2.0 ครับ โดยมีเป้าหมายการพัฒนาหลัก ๆ 2 ด้านด้วยกัน
บล็อกเชนแต่ละบล็อกเชนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกันครับ แน่นอนว่าบล็อกเชนเหล่านี้ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่เรื่องสำคัญที่สุด คือบล็อกเชนเหล่านี้ควรจะเชื่อมต่อหากันได้ Cøsmos เป็นโปรเจกต์ที่เข้ามาตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดีครับ ด้วย IBC ที่ทำให้ทุก ๆ บล็อกเชนสามารถเชื่อมต่อหากันได้ และการออกแบบโครงสร้างของ Cøsmos ที่มีทั้ง Zones และ Hub ทำให้สะดวกต่อบล็อกเชนภายในระบบนิเวศที่จะเชื่อมต่อกับบล็อกเชนอื่น ๆ ครับ ทำให้ Cøsmos ถือเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่น่าจับตามองมาก ๆ และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกไกลครับ
แต่การเพิ่มขึ้นของราคาของ ATOM ซึ่งเป็นโทเคนหลักของโปรเจกต์ ดูจะไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการเติบโตของ Cøsmos สักเท่าไรครับ เนื่องจากการใช้งานของ ATOM เกิดขึ้นเฉพาะในส่วนเล็ก ๆ ของระบบนิเวศเท่านั้น ซึ่งผู้ใช้งานหลาย ๆ คนก็ยังถกเถียงกันถึงมูลค่าของ ATOM ว่ามีมากพอหรือไม่ครับ ถ้าหากในอนาคตมีโปรเจกต์ภายในระบบนิเวศของ Cøsmos ที่มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมหาศาล โทเคนที่จะได้ประโยชน์จากการขยายตัวดังกล่าว คือโทเคนหลักของโปรเจกต์นั้น ๆ ครับ ส่วน ATOM เองก็อาจจะได้ประโยชน์อยู่บ้าง แต่ก็คงไม่เยอะเท่าโทเคนหลักของโปรเจกต์นั้น ๆ แน่นอนครับ แต่ถึงจะมีประเด็นเรื่องมูลค่าของโทเคน สุดท้ายแล้ว Cøsmos เองก็เป็นระบบนิเวศของคริปโตเคอร์เรนซีที่น่าติดตาม และมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกไกลครับ
CodeBreaker
ที่มาบทความ: https://link.medium.com/vKtEGyMiQwb
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูล รวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
รับชมบน YouTube: https://youtu.be/z2ZFbQtOkxE
สปสช. ยกเลิกสัญญาสิทธิบัตรทองสำหรับ 9 โรงพยาบาลเอกชน มีผลแล้วตั้งแต่ตุลาคมปี 2565 ส่งผลกระทบถึงผู้มีสิทธิบัตรทองหลายแสนราย ซึ่งนั่นอาจรวมถึงเราและคนใกล้ตัวเราก็ได้ แบบนี้เท่ากับถูกลอยแพแล้วใช่ไหม หรือต้องทำอย่างไรถึงจะกลับมามีโรงพยาบาลรองรับสิทธิบัตรทองเหมือนเดิม สรุปไว้ให้แล้วในคลิปนี้
พบความสุดพิเศษสำหรับคุณได้ในทุกวัน ทั้งบทความให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม หุ้น คริปโตฯ และการบริการ โปรโมชั่น ของรางวัลต่างๆ ที่คัดสรรมาเพื่อมอบให้กับสมาชิก FINNOMENA เท่านั้น
👉 สมัครสมาชิกเว็บไซต์ FINNOMENA https://finno.me/register-website
Tesla รายงานผลประกอบการดีเกินคาดทั้งในแง่ของรายได้และกำไร ดันราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 5% หลังปิดตลาด ขณะที่ซีอีโอ Elon Musk กล่าวว่า บริษัทจะสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 2 ล้านคันในปีนี้
📊รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Tesla
➢ กำไรต่อหุ้น: $1.19 สูงกว่าที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ $1.13
➢ รายได้: 24,320 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 24,160 ล้านดอลลาร์
Tesla รายงานรายได้จากการขายรถยนต์อยู่ที่ 21,300 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาส 4 หรือเติบโต 33% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนรายได้จากการขายเครดิตคาร์บอนให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเจ้าอื่นอยู่ที่ 467 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งจากปีก่อนหน้า
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของรถยนต์ Tesla อยู่ที่เพียง 25.9% ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดใน 5 ไตรมาสล่าสุด โดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลง 29% จากปีที่แล้ว และลดลง 36% จากไตรมาสที่แล้ว อยู่ที่ 3,280 ล้านดอลลาร์
ในเอกสารผู้ถือหุ้น บริษัทยอมรับว่า ราคาขายเฉลี่ยโดยทั่วไปลดลง และการทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า Tesla สามารถเข้าถึงและจ่ายได้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ Tesla เติบโตเป็นบริษัทที่ขายรถยนต์ได้หลายล้านคันต่อปี
ในช่วงปลายปี 2022 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2023 นี้ Tesla ได้ลดราคารถยนต์ทั่วโลก จนทำให้ลูกค้าที่เพิ่งซื้อรถในจีนและสหรัฐฯ เกิดความไม่พึงพอใจที่ซื้อในราคาแพงกว่า ขณะที่ราคารถยนต์มือสองของ Tesla ร่วงลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Elon Musk กล่าวเมื่อวันพุธ (25 ธ.ค.) ว่า การหั่นราคานั้นจะกระตุ้นความต้องการ จนถึงตอนนี้ในเดือน ม.ค. บริษัทได้เห็นยอดสั่งซื้อที่แข็งแกร่งที่สุดจนทุบสถิติใหม่ของบริษัท โดยตอนนี้คำสั่งซื้อคิดเป็น 2 เท่าของอัตราการผลิต
ขณะที่นักวิเคราะห์คนหนึ่งถาม Elon Musk ว่า ทำไมเป้าหมายการผลิตถึงอยู่ที่เพียง 1.8 ล้านคันในปีนี้ ทั้งที่บริษัทเพิ่งสร้างโรงงานใหม่
Elon Musk ตอบว่า ที่ตั้งเป้าหมายไว้เท่านั้นเป็นเพราะอาจเกิดเหตุสุดวิสัยบางอย่างที่ใดที่หนึ่งบนโลกที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าทุกอย่างราบรื่นโดยไม่มีการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ Tesla มีศักยภาพในการผลิตรถยนต์ได้ถึง 2 ล้านคันในปีนี้ และมั่นใจว่ามีความต้องการจากลูกค้าเช่นกัน
อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/25/tesla-tsla-earnings-q4-2022.html
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4,016.21 จุด คิดเป็นการปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดช่วงเดือนตุลาคม 2022 กว่า 14% ผ่านเส้นแนวโน้มขาลง , เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (ma 200 days) และทดสอบ Fibonacci Retracement ที่ 38.2% บนความคาดหวังว่ามีโอกาสสูงถึง 97% ที่ FOMC จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมครั้งแรกของปี 2023 ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้
ก่อนที่จะทรงตัวในคืนวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ส่งสัญญาณการพักตัวระยะสั้น โดยที่ไม่หลุดต่ำกว่าแนวที่ทะลุขึ้นมาก่อนหน้า สะท้อนโมเมนตัมของการปรับตัวขึ้นยังแข็งแกร่ง
อีกทั้งการเปิดประเทศของจีนก็เป็นอีกปัจจัยเชิงบวกที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกในวงกว้าง โดยโอกาสการเกิดเศรษฐกิจถดถอย(recession probability) ของสหรัฐฯ ลดลงมาเล็กน้อยหลังจีนเปิดประเทศในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ในระยะสั้นตลาดเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยบวกที่เกิดขึ้น
รูปที่ 1 กราฟดัชนี S&P 500 TF Day Source: Tradingview as of 25/01/23
FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลงทุนภายใต้คำแนะนำ Tactical Call ในกองทุนดังนี้
นักลงทุนที่เหมาะกับ Tactical Call ระยะสั้นนี้ควร…
ทั้งนี้ FINNOMENA Investment Team ยังคงติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสเผชิญกับเศรษฐกิจถดถอยในรูปแบบ mild recession ตามมุมมองการลงทุนประจำปี 2023 (https://www.finnomena.com/finnomena-ic/2023-outlook/) นักลงทุนที่ต้องการเข้าลงทุนในลักษณะการลงทุนระยะยาวและพอร์ตโมเดลจะเป็นการลงทุนคนละลักษณะกับการลงทุนในคำแนะนำครั้งนี้
รูปที่ 2 สัดส่วนการลงทุนของกองทุน SCBS&P500A (กองทุนหลัก) | Source: iShare by Blackrock as of 25/01/23
กองทุนเป็นระดับความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน คือ กองทุน iShares Core S&P 500 ETF ซึ่งเป็น ETF ที่บริหารแบบ Passive ให้เคลื่อนไหวตามดัชนีเปรียบเทียบอย่าง S&P500 พร้อมด้วยนโยบายการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มทั้งหมด เหมาะแก่การเข้าลงทุนจากการเคลื่อนไหวตามดัชนีและค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
รูปที่ 3 สัดส่วนการลงทุนของกองทุน AFMOAT-HA (กองทุนหลัก) | Source: VanEck as of 25/01/23
กองทุนเป็นกองทุนระดับความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF เพียงกองทุนเดียว เฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม พร้อมด้วยนโยบายการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มทั้งหมด
กองทุนหลักบริหารโดยมุ่งเน้นเอาชนะดัชนีเปรียบเทียบ (Active) โดยเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปราการสูง ยากแก่การมีคู่แข่งรายใหม่ กระจายตัวในหลากหลายธุรกิจ และขนาดธุรกิจ เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนเพิ่มเติมจากคำแนะนำการลงทุนนี้
รูปที่ 4 สัดส่วนการลงทุนของกองทุน MEGA10-A (กองทุนหลัก) | Source: Talis AM as of 25/01/23
กองทุนเป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาด NYSE / NASDAQ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดจาก Branding ที่ดี และเป็นผู้นำของตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยให้มีการเติบโตของรายได้ และกำไรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับโอกาสการเติบโตในระยะยาว อย่างมั่นคงโดยคัดเลือกจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) และมีสภาพคล่องสูงสุด 10 บริษัทแรก
กองทุน MEGA10-A ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่า Downside ของการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ในระดับที่จำกัด เมื่อพิจารณาจาก โอกาสการแข็งค่าขึ้นของสกุลอื่นๆ ในตะกร้า Dollar Index ที่อยู่ในระดับต่ำ ค่าเงินยูโรและเยน มีโอกาสอ่อนค่าลงหลังจากนักลงทุนให้ความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและตอบรับมาตรการทางการเงินที่ยังคงเดิมในช่วงที่ผ่านมา
รวมไปถึงท่าทีของกนง. ที่ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ตามการคาดการณ์ของตลาด พร้อมทั้งระบุว่ายังคงให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้มีโอกาสต่ำที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรุนแรง ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะไม่ลดลงอย่างรวดเร็ว หนุนให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กับ บาทนั้นจะไม่เข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว และลดโอกาสการแข็งค่าของสกุลเงินบาทในอนาคตลง
ยิ่งลงทุนเยอะ ยิ่งได้ Cashback คุ้มกว่า สูงสุด 20%!!!
“FINT Cashback” ฟีเจอร์ใหม่จาก FINNOMENA
ลูกค้าจะได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียม “Front-end-fee” สำหรับ “การซื้อกองทุน” ได้สูงสุด 20%
ยิ่งซื้อมากขึ้นยิ่งลดมากกว่า ลงทุนกับเราเลย
ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขกิจกรรมได้ที่ https://finno.me/cashback-ac
—————————————————————————————————————————
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT
นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 25 มกราคม 2566
คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.25 เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะได้รับแรงส่งต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่การส่งออกสินค้าชะลอตัวในปีนี้ แต่จะกลับมาขยายตัวดีขึ้นในปี 2567 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ เห็นว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้
เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเร็วขึ้นตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจ้างงานและการกระจายรายได้ของลูกจ้างในภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีจำนวนมาก รวมทั้งเป็นแรงส่งต่อเนื่องไปยังการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอลงในปีนี้ แต่จะฟื้นตัวในปี 2567 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในปี 2566 ก่อนจะปรับดีขึ้นในปีหน้า ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงด้านต่ำลดลง ตามแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลักรวมถึงจีนที่ปรับดีขึ้น
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง โดยแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานทยอยคลี่คลายตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงอีกระยะหนึ่งก่อนจะทยอยปรับลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาดจากการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเผชิญภาวะต้นทุนสูงต่อเนื่อง อีกทั้งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์เพิ่มขึ้น จึงต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด
ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ฐานะการเงินของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางและอ่อนไหวต่อค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น คณะกรรมการฯ เห็นควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง
ภาวะการเงินโดยรวมผ่อนคลายลดลง ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนปรับสูงขึ้นสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการสิ้นสุดมาตรการปรับลดอัตราเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF fee) แต่ปริมาณสินเชื่อและการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ยังขยายตัว ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่าขึ้น ตามการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในอัตราที่ชะลอลง และการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางของจีนที่จะส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวไทย คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้อจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
กรุงเทพธุรกิจรายงานสถิติเงินฝากของคนโทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย ช่วงเดือนพ.ย. – ธ.ค.2565 ระบุว่า บัญชีเงินฝากทุกประเภทของคนไทยมีจำนวนทั้งหมด 120.83 ล้านบัญชี โดยมียอดเงินฝากรวมทุกประเภททุกบัญชี อยู่ที่ 15.92 ล้านล้านบาท จะเห็นว่าคนไทยเปิดบัญชีเพิ่มมากขึ้น และยอดรวมเงินฝากโดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ธปท. ระบุถึงจำนวนบัญชีเงินฝาก แบ่งตามจำนวนเงินฝากของคนไทยจากมากไปน้อย ดังนี้
ฝากตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 1,608 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 2,634,887 ล้านบาท
ฝากเกิน 200 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท มี 3,454 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 1,051,370 ล้านบาท
ฝากเกิน 100 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท มี 6,462 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 889,041 ล้านบาท
ฝากเกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท มี 14,266 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 994,203 ล้านบาท
ฝากเกิน 25 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท มี 31,835 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 1,108,968 ล้านบาท
ฝากเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 25 ล้านบาท มี 1.03 แสนบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 1,536,396 ล้านบาท
ฝากเกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท มี 1.78 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 4,372,387 ล้านบาท
ฝากเกิน 5 แสนบาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท มี 1.61 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 1,144,454 ล้านบาท
ฝากเกิน 2 แสนบาท แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท มี 3.15 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 994,575 ล้านบาท
ฝากเกิน 1 แสนบาท แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท มี 3,354,679 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 464,529 ล้านบาท
ฝากเกิน 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท มี 4.14 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 292,418 ล้านบาท
ฝากไม่เกิน 50,000 บาท มี 106.62 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 436,161 ล้านบาท
อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1049589
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
Elon Musk ซีอีโอของ Tesla กล่าวกับศาลว่า ข้อความที่ทวีตไปเมื่อปี 2018 เกี่ยวกับการเอาหุ้น Tesla ออกนอกตลาดนั้นมีความตั้งใจจริง และตอนนั้นกำลังพยายาทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตอนนี้ Elon Musk กำลังสู้กับคดี ‘ปั่นหุ้น’ หลังนักลงทุนส่วนหนึ่งระบุว่า ทวีตดังกล่าวในปี 2018 ทำให้พวกเขาเสียเงินหลายล้านดอลลาร์เพราะดีลดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ซีอีโอของ Tesla ชี้แจงว่า ได้พูดคุยกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียซึ่งต้องการสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว แต่ยอมรับว่าไม่เคยพูดถึงจำนวนเงินทุนที่เฉพาะเจาะจง
ทวีตของ Elon Musk เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2018 ที่ระบุว่า เขามีเงินทุนที่มั่นคงเพื่อซื้อกิจการของ Tesla ที่ราคา 420 ดอลลาร์ต่อหุ้น พร้อมระบุว่ามีแหล่งเงินทุนพร้อมแล้ว ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงนักลงทุน
ทวีตดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของ Tesla พุ่งสูงขึ้น ก่อนจะร่วงในหลายสัปดาห์ต่อมา หลัง Elon Musk กล่าวว่า แผนดังกล่าวไม่ได้ดำเนินต่อไปอีกต่อไป จุดชนวนกระแสต่อต้านที่สำคัญต่อตัวเขา
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ บังคับให้ Elon Musk ลาออกจากตำแหน่งประธานของ Tesla รวมถึงการทวีตข้อความใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Tesla จะต้องผ่านการตรวจสอบโดยคณะกรรมการอิสระ
Elon Musk และ Tesla ถูกปรับรายละ 20 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติข้อเรียกร้องของสำนักงาน ก.ล.ต. ว่าเขากระทำการฉ้อโกงหลักทรัพย์
ขณะที่ Bloomberg รายงานว่า ความมั่งคั่งของ Elon Musk เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน ในขณะที่กำลังให้การต่อศาลรัฐบาลกลาง ในเมืองซานฟรานซิสโก
ดัชนี Bloomberg Billionaires Index ระบุว่า ความมั่งคั่งของอีลอน มัสก์ เพิ่มขึ้นประมาณ 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ แตะ 1.452 แสนล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ขึ้นศาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 ม.ค.) และนับเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 วันที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.
อ้างอิง:
https://www.bbc.com/news/business-64384278
https://www.infoquest.co.th/2023/270240
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
Citadel ของ Ken Griffin สร้างผลกำไรให้ลูกค้าเป็นประวัติการณ์ถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2022 จนครองแชมป์เฮดจ์ฟันด์สร้างผลตอบแทนสูงสุดในโลก และถือเป็นความสำเร็จมากสุดครั้งหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้
ตามข้อมูลที่ประเมินโดย LCH Investments เฮดจ์ฟันด์ 20 อันดับแรกสามารถสร้างผลตอบแทนได้รวมกันสูงถึง 22,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Citadel สามารถทำกำไรทะลุ 15,000 ล้านดอลลาร์ สถิติเดิมที่ John Paulson เคยเดิมพันไว้ในวิกฤติซับไพรม์เมื่อปี 2007
กองทุนเรือธงของ Citadel ที่ลงทุนทุกอย่างตั้งแต่หุ้นไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ สามารถทำผลตอบแทน +38% ในปีที่แล้ว ด้วยกลยุทธ์หลักจะวิเคราะห์ทั้งในแง่ของตราสารหนี้ ปัจจัยมหภาค การวิเคราะห์เชิงปริมาณ รวมถึงเครดิต โดยในปีที่แล้ว Citadel ทำกำไรให้นักลงทุนมากถึง 8,500 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Citadel สวนทางกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรม เพราะเฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่ขาดทุนรวมแล้ว 208,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ท่ามกลางความผันผวนของตลาด LCH ระบุว่า เฮดจ์ฟันด์ 20 อันดับทำผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.4% ขณะที่เฮดจ์ฟันด์ที่เหลือขาดทุนเฉลี่ย 8.2%
Rick Sopher ประธานของ LCH กล่าวว่า กำไรครั้งมหาศาลเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้กลยุทธ์ผสมผสาน (Multistrategy) เช่น Citadel, DE Shaw และ Millennium ผลกำไรที่แข็งแกร่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสะท้อนว่ากลยุทธ์ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาสินทรัพย์ที่สูงขึ้นและขนาดของกองทุน
ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้กลยุทธ์ผสมผสาน โดยปริมาณสินทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้นและค่าธรรมเนียมที่แพงกว่าทำให้บริษัทสามารถจ้างงานและรักษาเทรดเดอร์ชั้นนำไว้ได้
LCH ประเมินว่าอุตสาหกรรมนี้สร้างผลกำไรให้กับลูกค้าได้มากกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยเฮดจ์ฟันด์ 20 อันดับแรกดูแลทรัพย์สินเกือบ 19% ของทั้งหมด และทำกำไรได้ 629,900 ล้านดอลลาร์ หรือ 49% ของทั้งหมด
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ในช่วงปีที่ผ่านมามีกระแสข่าว FUD (Fear, Uncertainly, and Doubt) หรือความกลัว, ความไม่แน่นอน และความสงสัย มากมายในตลาดคริปโต อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ล้มละลายของ FTX อดีตแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันดับ 2 ของโลก ซึ่งได้ส่งผลกระทบแบบโดมิโน (Domino Effect) ไปยังหลากหลายธุรกิจในอุตสาหกรรมคริปโต รวมไปถึง Exchange อันดับ 1 ของโลกอย่าง “Binance”
วันนี้แอดมินจะพาย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจช่วยให้เราเห็นภาพอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับกรณีการล่มสลายของอดีต Exchange อันดับ 1 ในวงการคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมี Volume ซื้อขาย Bitcoin (BTC) สูงถึง 80% ของ Exchange ทั้งหมด ไปดูกันเลยกับ “ถ้า Binance ล่ม คริปโตจะจบไหม? ย้อนรอย Mt. Gox เหตุการณ์ล่มสลายของอดีต Exchange อันดับ 1”
Mt. Gox เป็น Exchange สำหรับซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลของโตเกียว ดำเนินการในระหว่างปี 2010-2014 ก่อตั้งโดย “เจด แมคคาเลบ” (Jed McCaleb) ซึ่งเขาได้ขายบริษัทให้กับ “มาร์ก คาร์เปเลส” (Mark Karpelès) ในเดือนมีนาคม ปี 2011 และยังคงถือหุ้นบางส่วน
ย้อนกลับไปในปี 2007 “เจด แมคคาเลบ” เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ต้องการสร้างตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนการ์ดเกม Magic: The Gathering ซึ่งเป็นที่นิยมมากในขณะนั้น เขาได้ใช้ชื่อเว็บไซต์ว่า Mtgox.com ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า Magic: The Gathering Online eXchange
ทั้งนี้ เมื่อเปิดตัวได้ 3 เดือน “แมคคาเลบ” ก็เริ่มสนใจจะทำโปรเจกต์อื่นมากกว่า จึงเลิกพัฒนา Mt. Gox ต่อ และในปี 2009 เขายังใช้เว็บไซต์นี้ในการเปิดตัวการ์ดเกม The Far Wilds ซึ่งเขาเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง
ต่อมาในปี 2010 เขาได้รู้จักกับชุมชน Bitcoin (BTC) ผ่านบอร์ดออนไลน์แห่งหนึ่ง และได้รับรู้ว่าการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีในช่วงนั้น มีระบบที่ไม่ค่อยดีนัก เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยน Mt. Gox ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี
แต่การพัฒนาธุรกิจให้มีศักยภาพ ต้องใช้แรงกาย และเวลาอย่างมาก “แมคคาเลบ” จึงตัดสินใจส่งมอบธุรกิจให้กับคนอื่นที่พร้อมกว่า โดยผู้ที่มาสานต่อภารกิจในครั้งนี้ คือ “มาร์ก คาร์เปเลส” โปรแกรมเมอร์ผู้คลั่งไคล้ Bitcoin (BTC) ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยทั้งสองทำข้อตกลงเพิ่มว่า แมคคาเลบจะยังคงได้รับส่วนแบ่ง 12% จากรายได้ตลอดไป
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว คาร์เปเลสได้เริ่มเขียนซอฟต์แวร์เสริมให้กับเว็บไซต์ในทันที และเปิดให้ใช้บริการในฐานะคริปโต Exchange อย่างเป็นทางการ ในปี 2010
อย่างไรก็ตาม “ที่ไหนมีเงิน ที่นั่นมีโจร” Mt. Gox ถูกแฮกเป็นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ปี 2011 ส่งผลให้เว็บไซต์ต้องออฟไลน์เป็นเวลาหลายวัน แต่ในเวลาต่อมาได้มี 2 โปรแกรมเมอร์ระดับมืออาชีพจากชุมชน Bitcoin (BTC) อย่าง เจสซี พาเวลล์ (Jesse Powell) ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของ Kraken Exchange และโรเจอร์ เวอร์ (Roger Ver) อาสาเข้ามาช่วยเหลือจึงทำให้ Mt. Gox สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง
ในช่วงเวลานั้น โดยปกติแล้ว Exchange ที่ถูกแฮกมักจะปิดตัวลงอย่างถาวร แต่ Mt. Gox ได้ทำสิ่งที่ต่างออกไป ทำให้ได้รับความชื่นชอบจากชุมชน Bitcoin (BTC) และความเชื่อถือจากบริษัทต่าง ๆ จนกระทั่งในปี 2013 บริษัทได้ขึ้นแท่นเป็น Exchange อันดับ 1 ของวงการคริปโตเคอร์เรนซี ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดในโลก ถึง 80% ของธุรกรรมคริปโตทั้งหมด
“คาร์เปเลส” ถูกตั้งคำถามในด้านการบริหารมากมายจากพนักงานภายในบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการนิ่งเฉยเมื่อตอนที่ถูกแฮกเป็นครั้งแรก ชนิดที่ว่าเขายังประกาศหยุดงานทั้ง ๆ ที่ปัญหายังแก้ไขไม่เสร็จ หรือการไม่สนใจลงทุนในซอฟต์แวร์ และปล่อยให้นักพัฒนาต้องเขียนโค้ดขึ้นมาใช้เอง
นอกจากนี้ คาร์เปเลสยังรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้กับตนเอง ส่งผลให้การจะทำอะไรสักอย่างต้องใช้เวลา และยุ่งยากมากขึ้น เช่น เขาเป็นคนเดียวที่สามารถอนุมัติการเปลี่ยนแปลงโค้ดของเว็บไซต์ได้ หมายความว่าหากเว็บไซต์เกิดปัญหาขึ้นมา จะต้องรออนุมัติจากเขาก่อนจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้
และสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นมากที่สุด คือ หลายครั้งที่ระบบ Exchange มีการอัปเดต ทางบริษัทไม่มีการทดสอบระบบ แต่กลับปล่อยให้ใช้บริการโดยทันทีโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเสียหายของลูกค้า
ปัญหาด้านการบริหารหลายอย่างของ Mt. Gox ได้สะสมเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 ทาง Mt. Gox ได้ประกาศระงับการถอน Bitcoin (BTC) ทั้งหมด แต่ไม่ได้ระงับการซื้อขายบนกระดานเทรด โดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาทางเทคนิค
ผ่านไป 2 สัปดาห์หลังจากการประกาศระงับการถอน Mt. Gox ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ และไม่อนุญาตให้ผู้ใช้งานถอนเงินออกไปได้ จนทำให้เกิดการประท้วงอย่างหนักที่หน้าอาคารบริษัท ส่งผลให้ Mt. Gox สำนักงานไปอยู่ที่อื่น โดยอ้างเหตุผลความปลอดภัยของบริษัท
ในเวลาเพียงไม่นาน สิ่งที่นักลงทุนคริปโตในขณะนั้นกลัวที่สุดก็ได้เกิดขึ้น โดย Mt. Gox ระงับการซื้อขายทั้งหมดบนกระดานเทรด ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เว็บไซต์ของ Mt. Gox ก็ได้กลายเป็นเพียงหน้าว่างเปล่า และมีข่าวการยื่นล้มละลายของบริษัทในเวลาต่อมา ปล่อยให้นักลงทุนลอยเคว้งกับคำถามว่า “เงินของพวกเราหายไปไหน”
ภายหลังจากเหตุการณ์ล้มละลายของ Mt. Gox ก็ได้มีข้อมูลเผยแพร่ออกมาว่า สาเหตุที่ Mt. Gox ต้องปิดระงับการถอน และยื่นล้มละลายไปในที่สุด มาจากการที่บริษัทถูกแฮกเกอร์ขโมย Bitcoin (BTC) มาตลอดหลายปี แต่บริษัทกลับเลือกที่จะปกปิดปัญหาดังกล่าว และไม่มีการดำเนินการแก้ไขใด ๆ โดยจำนวน Bitcoin (BTC) ที่ถูกขโมยไปทั้งหมดคิดเป็นจำนวนกว่า 650,000 BTC
เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกตีเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 430 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 15,000 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในโลกคริปโต
บทความโดย คุณานันต์ TechToro
Ref:
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
หุ้นที่อยู่ใน Corner นั้น ไม่ช้าก็เร็วหุ้นจะตกลงมาแรงมาก และกลับมาสู่ราคาพื้นฐานที่ควรจะเป็น สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ เมื่อไร? และเมื่อเกิดขึ้นแล้วหุ้นจะตกลงมามากและเร็วแค่ไหน? จากประสบการณ์ของตลาดหุ้นไทย ผมคิดว่าหุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์มักจะมีวันที่จะเป็นจุดเริ่มที่จะ “แตก” หลาย ๆ วันดังต่อไปนี้
วันที่น่ากลัวที่ Corner จะแตก และเกิดกับหุ้นมากที่สุดก็คือ วันประกาศผลประกอบการโดยเฉพาะประจำปีของบริษัท ซึ่งก็กำลังจะเกิดขึ้นและนับต่อจากวันนี้ไปอีกประมาณ 1 เดือน เหตุผลเป็นเพราะหุ้นที่ถูก Corner นั้น มักจะเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดีและถูกประเมินว่ารายได้และกำไรจะเติบโตสูงและต่อเนื่อง เป็นแนว “หุ้นเติบโต” หรือบางทีก็เป็น “หุ้นซุปเปอร์สต็อก” ที่จะยิ่งใหญ่จนกลายเป็นหุ้นยักษ์ในไทยหรือระดับอาเซียนหรือระดับโลก ดังนั้น นักลงทุนก็จะเฝ้าดูผลประกอบการที่จะประกาศของบริษัท
ถ้าผลประกอบการยังเติบโตดี ราคาหุ้นก็มักจะวิ่งต่อไป แต่ถ้ากำไรตกฮวบโดยไม่สามารถอธิบายได้จากภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดของสินค้าว่าเป็นเรื่องชั่วคราวจริง ๆ ราคาหุ้นก็มักจะตกลงมาอย่างแรงและอาจจะทำให้ Corner “แตก” นักเล่นหุ้นบางคนขาดความมั่นใจและเปลี่ยนมุมมองต่อหุ้นว่าไม่ใช่เป็นหุ้นที่ดีหรือโตเร็วมากอย่างที่คิด และตัดสินใจขายหุ้นทิ้ง ในขณะที่คนจะซื้อลดน้อยลงมาก และการที่หุ้นตกลงมาแรงในรอบแรกก็ส่งผลให้คนกลุ่มที่สองขาดความมั่นใจและถ้ายังมีกำไรในหุ้นอยู่ก็จะรีบขายหุ้นทิ้งเพิ่มทำให้หุ้นตกลงมาอีกที่จะทำลายความมั่นใจของคนกลุ่มต่อ ๆ ไป
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดแทบจะเป็น “นรกแตก” ก็คือ คนที่ใช้มาร์จิ้นในการซื้อหุ้นจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นคน Corner หุ้นเอง ต้องถูกบังคับให้ขายเพราะหุ้นตกลงมาต่ำกว่าราคาที่กำหนดและตนเองไม่มีเงินมาเติม นั่นจะส่งผลให้ราคาหุ้นตกลงมาแทบจะเป็น “หายนะ”
วันที่สองที่น่ากลัวมากยิ่งกว่าวันแรกก็คือ วันที่มีการเปิดเผยว่ามี “Fraud” หรือการโกงหรือการหลอกลวงในบริษัทที่ทำโดยผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงและผิดกฎหมาย ซึ่งนั่นก็รวมถึงการแต่งบัญชี การถอนเงินออกจากบริษัทอย่างผิดกฎหมาย การโกงโดยอาศัยบริษัทลูกที่จดทะเบียนในต่างประเทศซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบเพียงพอจากสำนักงานใหญ่ และอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งในกรณีแบบนี้
บ่อยครั้งก็ทำเพื่อที่จะสร้างผลกำไรปลอมให้กับบริษัทเพื่อที่จะปั่นหุ้นโดยการทำ Corner หุ้น ซึ่งจะสามารถทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้หลาย ๆ เท่าในเวลาอันสั้น ดังนั้น เมื่อข่าวออกมา นักเล่นหุ้นก็จะตกใจและขายหุ้นทิ้งและทำให้หุ้นที่ราคาสูงลิ่วตกลงมาแบบ “หายนะ” หลายบริษัทก็มักจะล้มละลายไปในที่สุด
วันที่สามที่น่ากลัวและมักทำให้ Corner แตกเป็นระบบก็คือ การเกิดวิกฤติการเงินเศรษฐกิจและตลาดหุ้น เพราะนี่เป็นสิ่งที่เกิดบ่อยพอสมควรคือประมาณ 10 ปีครั้ง เพราะการเกิดวิกฤตินั้น ข้อแรกก็คือ ทำให้คนกลัวและขาดความมั่นใจในการลงทุนในหุ้น ดังนั้นพวกเขามักจะอยากขายหุ้นโดยไม่คำนึงถึงพื้นฐานของบริษัท
และข้อสองก็คือ ในยามวิกฤติ เม็ดเงินหรือสภาพคล่องมักจะหดหายไปมาก ขาใหญ่และรวมถึงรายย่อยต่างก็ต้องการถือเงินสด สถาบันการเงินก็ต้องการเรียกหนี้รวมถึงมาร์จิ้นการซื้อหุ้นคืน ดังนั้น หุ้นที่แพงมากและมีสภาพคล่องสูงก็จะถูกขายจนราคาตกเป็น “หายนะ” และตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือ ช่วงวิกฤติไฮเทคในปี 2000 และช่วงซับไพร์มปี 2008 ในตลาดหุ้นสหรัฐที่หุ้นที่ถูก Corner และมีค่า P/E เป็นร้อยเท่าหรือไม่มีค่า P/E เพราะยังขาดทุน ตกลงมาเป็นหายนะส่วนใหญ่น่าจะเกิน 90% รวมถึงหุ้นอย่างแอมะซอน ในขณะที่หุ้นตัวเล็กที่เป็นไฮเท็คจำนวนมากล้มละลาย ราคาหุ้นเป็นศูนย์
วันสุดท้ายที่ Corner อาจจะแตกก็คือ วันที่คนทำ Corner เองตัดสินใจที่จะขายหุ้นทำกำไรอย่างรวดเร็วเกินไปจนราคาหุ้น “ถล่ม” ซึ่งเหตุผลก็อาจจะมีร้อยแปด เช่น อาจจะเกรงว่ากลุ่มอื่นที่ร่วมกันทำอาจจะชิงขายก่อนเพราะไม่แน่ใจว่า Corner ของหุ้นจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนเพราะสถานการณ์อุตสาหกรรมหรือบริษัทอาจจะถูกเปิดเผยในเร็ววันว่า ธุรกิจจะแย่ลงมากเป็นต้น
การที่หุ้นตกลงมาแรงและเร็วมาก เพราะคนทำ “Take Profit” เร็วเกินไปนั้น บางทีก็มาจาก “ฝีมือ” หรือ “เม็ดเงิน” ยังไม่ถึงขั้นเพราะประสบการณ์ไม่พอก็น่าจะมีไม่น้อย ตัวอย่างในตลาดหุ้นไทยก็น่าจะรวมถึงเหตุการณ์ “Corner แตก” ของหุ้นตัวหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมาเป็น “หายนะ” เมื่อเร็ว ๆ และก่อให้เกิดความเสียหายเป็นกรณีฟ้องร้องทางกฎหมายที่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรด้วย
วันที่ Corner “แตก” นั้น บ่อยครั้งหุ้นก็ไม่ตกลงมามากในระดับหายนะ เพราะมันอาจจะไม่ได้ “แตกแรง” หุ้นอาจจะตกลงมาถึงระดับหนึ่งแล้วก็นิ่ง ซึ่งอาการจะคล้าย ๆ กับการที่ Corner หรือมุมที่เคยแคบมาก มีหุ้นที่ “หมุนเวียนตามธรรมชาติ” น้อยมากเช่นแค่ 5-6% ของบริษัทก็อาจจะขยายตัวเป็น 10-15% โดยที่ราคาหุ้นลดความแพงลงมาระดับหนึ่ง เช่น จาก P/E 100 เท่าเป็น 70 เท่า แล้วราคาหุ้นก็นิ่งอยู่ประมาณนั้น อาจจะเพื่อรอวันที่จะมีคนมาทำ Corner ใหม่เมื่อมีสถานการณ์ใหม่ที่เอื้ออำนวยเกิดขึ้น
หุ้นที่ Corner แตกอย่าง “สมบูรณ์” คือไม่เหลือคนที่เป็น “สปอนเซอร์” หลักแล้ว ราคาหุ้นก็มักจะไหลลงไปเรื่อย ๆ จนราคาใกล้เคียงกับพื้นฐานที่แท้จริงแต่ก็ไม่น่าจะเป็นหุ้นถูกที่น่าสนใจลงทุน ความหวังว่าราคาหุ้นจะกลับขึ้นมาเท่าเดิมก่อนตกซึ่งสูงลิ่วนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ และความหวังว่าจะมีนักเล่นหุ้นรายใหญ่กลับเข้ามา Corner หุ้นตัวนั้นอีกก็น่าจะเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เหตุเพราะว่า “ภาพ” ของหุ้นในสายตาของนักลงทุนเสียไปแล้ว “เซียน” มักจะไม่สนใจที่จะทำ Corner หุ้นที่มีประวัติ “เน่า” แล้ว เพราะจะทำไม่ขึ้น สู้ทำกับหุ้นตัวใหม่ ๆ ที่ขายสตอรี่ใหม่ ๆ ได้ง่ายจะดีกว่า ดังนั้น เมื่อ Corner หุ้นแตกแล้วก็จงขายทิ้ง “ทุกราคา” อย่า “ติดหุ้น”
สุดท้ายสำหรับคนที่ชอบเล่นกับหุ้นที่ถูก Corner เพราะคิดว่าจะทำกำไรได้มากในเวลาอันสั้น และอาจจะเชื่อว่าหุ้นตัวนั้น “ดีจริง” อาจจะเพราะได้เห็น “เซียนหุ้น” เข้าไปซื้อมากมาย เห็นนักวิเคราะห์เชียร์ซื้อเกือบจะทุกแห่ง เห็นผู้บริหารบริษัทประกาศขยายงานและเติบโตตลอดเวลา และตั้งเป้าโตของมูลค่าหุ้น บางทีเป็นแสนล้านบาทภายในเวลาไม่กี่ปี เห็นราคาหุ้นขึ้นหวือหวา บางวันขึ้นไป 10%
โดยไม่มีข่าวอะไรพิเศษ ทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นกำลังถูก Corner แล้ว และสิ่งที่ต้องระวังก็คือ มันมีโอกาส “แตก” ได้ตลอดเวลา สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าไม่คุ้มที่จะเข้าไปเล่น เพราะในระยะยาว เราจะแพ้ และคนที่จะชนะได้น่าจะเป็นคนที่ทำหรือต้อนหุ้นเข้ามุม แต่จริง ๆ ก็ไม่แน่ คนที่ทำก็อาจพลาดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ตลาดหุ้นและ/หรือหุ้นเกิดวิกฤติกะทันหัน และนั่นก็จะเป็น “หายนะ”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร