“กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” มีจุดเริ่มต้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว โดยเสนอขายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546 แบ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเป็น 2 ประเภท คือ
โดยมีเงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วไปประมาณ 70,000 ล้านบาท และจากกระทรวงการคลัง 30,000 ล้านบาท
เริ่มแรกจัดตั้งเป็นกองทุนปิดที่มีอายุการลงทุน 10 ปี และนำหน่วยลงทุนไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
หลังจากครบกำหนด 10 ปีในปี พ.ศ. 2556 บริษัทจัดการได้รับซื้อคืนหน่วยลงทุนประเภท ก. และแปรสภาพเป็นกองทุนเปิด โดยเหลือเพียงผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข.
ปัจจุบัน กองทุนวายุภักษ์ได้เปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยจองซื้อหน่วยลงทุนประเภท ก. อีกครั้งเมื่อวันที่ 16 – 20 กันยายนที่ผ่านมา โดยทรัพย์สินเดิมของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. มีมูลค่าประมาณ 350,000 ล้านบาท สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของกองทุนวายุภักษ์มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ คือ
ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ในอดีต | ที่มา: กระทรวงการคลัง
*คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2557-2566) กองทุนรวมวายุภักษ์มีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เฉลี่ยของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. อยู่ที่ประมาณ 328,000 ล้านบาท ขณะที่กองทุนฯ ได้รับเงินปันผลเฉลี่ยประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยต่อปีประมาณ 3.75% และยังมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
การเสนอขายกองทุนวายุภักษ์สำหรับหน่วยลงทุนประเภท ก. ครั้งใหม่นี้ คาดว่าจะสามารถขายได้ 150,000 ล้านบาท โดยหากคิดอัตราผลตอบแทนคาดหวังที่ 3% จะมีโอกาสได้รับเงินปันผลประมาณ 4,500 ล้านบาท
ซึ่งกองทุนฯ มีแนวโน้มของกระแสเงินสดเพียงพอในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. เนื่องจากมีแนวทางการจ่ายปันผลแบบ Waterfall ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะมีโอกาสได้รับเงินปันผลและการชำระคืนเงินลงทุนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข.
ทั้งนี้ นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวางแผนการลงทุนส่วนบุคคล จากบลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ยังกล่าวอีกว่า หากมองจากเงินปันผลที่หน่วยลงทุนประเภท ข. ได้มีการจ่ายออกไปในตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี เทียบกับเงินปันผลขั้นต่ำที่คาดว่าจะต้องจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ที่ 4,500 ล้านบาทต่อปี นั้นค่อนข้างเพียงพอที่จะนำมาจ่ายให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก.
อย่างไรก็ตาม นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ ได้เน้นย้ำว่าผลการดำเนินในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันอนาคต ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน และตัดสินใจอย่างรอบคอบ
นโยบายการลงทุนของกองทุนฯ | ที่มา: กระทรวงการคลัง
กองทุนวายุภักษ์มีวัตถุประสงค์หลักในการเป็นเครื่องมือกระตุ้นตลาดหุ้นไทย โดยมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย แต่เน้นหนักไปที่ตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก กองทุนมีการบริหารทั้งแบบเชิงรุก (Active Investment) และแบบเชิงรับ (Passive Investment) โดยมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความมั่นคงในระยะยาว ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
เช่น บริษัทใน SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป นอกจากนี้ ยังพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ REITs ที่มีศักยภาพสูง มีสภาพคล่อง รวมถึงมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
การบริหารจัดการของกองทุนมุ่งเน้นการสร้างโอกาสของผลตอบแทนที่สม่ำเสมอผ่านการจ่ายเงินปันผล จึงต้องคัดเลือกหุ้นหรือตราสารที่มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างมั่นคงในระยะยาวและมีโอกาสเติบโตที่ดี
โดยการลงทุนของกองทุนไม่ได้เป็นการซื้อสินทรัพย์เพียงครั้งเดียว แต่เป็นการ “ทยอยสะสม” ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน สภาวะเศรษฐกิจ และมูลค่าของสินทรัพย์ที่จะลงทุน ทั้งนี้ การคัดเลือกหลักทรัพย์จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
ผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนมีโอกาสได้รับ | ที่มา: กระทรวงการคลัง
กองทุนวายุภักษ์ไม่มีการรับประกันหรือการันตีผลตอบแทนและเงินลงทุนตั้งต้น แต่มีกลไกสำคัญ 2 ประการคือ กลไกการจ่ายผลตอบแทนและกลไกการบริหารความเสี่ยง
สำหรับกลไกการจ่ายผลตอบแทนนั้น กองทุนจะจัดสรรผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ก่อน โดยจ่ายตามผลตอบแทนจริงในอัตราระหว่าง 3% ถึง 9% ต่อปี
ซึ่งการจ่ายเงินปันผลจะแบ่งเป็น 2 งวด คือ งวดระหว่างปีและงวดสิ้นปี โดยงวดระหว่างปีผู้ถือหน่วยลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนขั้นต่ำก่อน และในงวดสิ้นปีจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนที่เหลือ (ถ้ามี)
หลังจากจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. แล้ว ผลตอบแทนส่วนเกินจาก 9% (ถ้ามี) จะนำไปจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. วิธีการนี้ช่วยให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่มีการรับประกันผลตอบแทน
ตัวอย่างผลตอบแทนต่อปีที่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. มีโอกาสได้รับ
ตัวอย่างผลตอบแทนต่อปีที่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. มีโอกาสได้รับ | ที่มา: กระทรวงการคลัง
กองทุนวายุภักษ์มีกำไรสะสม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 อยู่ประมาณ 140,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกันชน (Cushion) ในการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. กำไรสะสมนี้มาจากผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และช่วยเสริมความมั่นใจในความสามารถของกองทุนในการจ่ายปันผลตามนโยบายที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม นายยุทธพล วิทยพาณิชกร รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน ธุรกิจลูกค้าบุคคลและสถาบัน จากบลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้จะมีกำไรสะสมจำนวนมาก แต่เงินทุนใหม่จำนวน 150,000 ล้านบาทที่คาดว่าจะได้รับจากการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. จะต้องได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เติบโตต่อไป
แม้ว่าจะไม่ใช่กองทุนรวมที่มีการประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน แต่กองทุนวายุภักษ์มีกลไกคุ้มครองเงินต้นสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งกลไกนี้ทำงานโดยให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. รับส่วนขาดทุนก่อน ขณะเดียวกัน หากกองทุนฯ มีผลตอบแทนมากกว่า 9% ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ก็มีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนส่วนเกินนั้นเช่นกัน
นายยุทธพล วิทยพาณิชร ได้อธิบายโครงสร้างของกองทุนโดยเปรียบเทียบกับเหยือกน้ำ ซึ่งเงินระดมทุนรวม 500,000 ล้านบาทเป็นเหยือกน้ำ ส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. และ ข. เป็นแก้วน้ำที่มีความจุ 150,000 ล้านบาท และ 350,000 ล้านบาทตามลำดับ หลักการคือ ไม่ว่าน้ำในเหยือกจะเหลือเท่าไร จะต้องเติมแก้วของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ให้เต็มก่อน แล้วจึงเติมแก้วของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข.
ในกรณีที่กองทุนขาดทุนรุนแรง เช่น 50% เงินในกองทุนจะลดลงเหลือ 250,000 ล้านบาท แต่ด้วยหลักการดังกล่าว ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะยังมีโอกาสได้รับเงินครบ 150,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 100,000 ล้านบาทจะไปให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข.
อย่างไรก็ตาม หากตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรงมาก (80-90%) อาจเป็นไปได้ที่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับผลกระทบด้วย โดยมูลค่าของหน่วยลงทุนอาจลดลงต่ำกว่าราคา Par ที่ 10 บาท
สัดส่วนการจัดสรรหน่วยลงทุนประเภท ก. | ที่มา: กระทรวงการคลัง
การจัดสรรหน่วยลงทุนสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป หรือหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนวายุภักษ์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
การจองซื้อหน่วยลงทุนสามารถทำได้ 2 วิธีเช่นกัน คือ
หลังจากการจัดสรรหน่วยลงทุนเสร็จสิ้น หน่วยลงทุนจะถูกนำมาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงต้นเดือนตุลาคม โดยผู้ที่รับหน่วยลงทุนเข้าบัญชีหลักทรัพย์จะสามารถซื้อขายในตลาดรองได้ทันที ในขณะที่ผู้ที่ฝากหน่วยลงทุนไว้กับนายทะเบียน (TSD) จะยังไม่สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ในวันแรกที่มีการซื้อขายในตลาดรอง
กองทุนวายุภักษ์ออกแบบมาเพื่อการลงทุนระยะยาว 10 ปี เพื่อให้กองทุนมีเวลาเติบโตและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้อย่างเต็มที่
กองทุนวายุภักษ์มีนโยบายจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนปีละ 2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินปันผลที่ได้รับอาจผันแปรไปตามผลการดำเนินงานของกองทุน ซึ่งทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนมีโอกาสไม่ได้รับเงินปันผล และไม่ได้รับประกันว่าจะได้รับปันผลในอัตราเท่าเดิมทุกปี
กองทุนวายุภักษ์มีระดับความเสี่ยงอยู่ที่ 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) เนื่องจากลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งมีความผันผวนตามภาวะตลาด
ด้วยการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทำให้มีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในสินทรัพย์เพียงชนิดเดียว และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ 3-9% ต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้นโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะตลาด หรือความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัทที่กองทุนลงทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของหน่วยลงทุนได้
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และ Fund Factsheet
Filing: https://market.sec.or.th/public/mrap/MRAPView.aspx?FTYPE=M&PID=0681&PYR=2546
ที่มา: Finnomena Focus
คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนรวมมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจบริษัทจัดการ ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนรวมนี้ไม่ใช่กองทุนรวมมีประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน
/กองทุนรวมไม่มีนโยบายนำเสนอการลงทุนผ่านการส่งลิงก์ส่วนตัวใด ๆ กรุณาติดตามช่องทางการจองซื้ออย่างเป็นทางการจากกองทุนรวมเท่านั้น | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
นักวิเคราะห์ตลาดเชื่อว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชาวสหรัฐฯ อาจมีแผนที่จะซื้อหุ้นในบริษัทด้านการเงินและบริษัทเดินเรือของญี่ปุ่น เนื่องจากการที่บริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของเขาได้กลับเข้าสู่ตลาดพันธบัตรสกุลเงินเยน ส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าบัฟเฟตต์กำลังระดมทุนเพื่อซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำเกินไป
ในสัปดาห์นี้ เบิร์กเชียร์ได้มอบหมายให้ธนาคารต่าง ๆ ดำเนินการขายพันธบัตรสกุลเงินเยนในตลาดโลก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าบัฟเฟตต์มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในญี่ปุ่น
บัฟเฟตต์กล่าวในจดหมายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่าการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นของเขาในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากการขายพันธบัตรสกุลเงินเยน
เอจิ คิโนอุจิ หัวหน้านักวิเคราะห์ทางเทคนิคของไดวา ซีเคียวริตส์ (Daiwa Securities) คาดการณ์ว่าบัฟเฟตต์อาจเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทประกันภัยและบริษัทเดินเรือขนส่ง แม้ว่าเมื่อมีข่าวการขายพันธบัตร หุ้นของบริษัทการค้าจะปรับตัวขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถเติบโตได้ดีกว่าตลาดโดยรวม ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มเดินเรือและประกันภัยเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในดัชนี Topix ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนของบัฟเฟตต์ที่มุ่งเน้นไปที่หุ้นที่มีมูลค่าต่ำ
คิโนอุจิกล่าวว่า “หากบัฟเฟตต์เลือกลงทุนในหุ้นที่ไม่ใช่บริษัทการค้า ผลกระทบต่อภาพรวมตลาดจะมีมาก”
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การกลับมาของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือที่รู้จักในนาม “เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา” (Oracle of Omaha) อาจส่งเสริมตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากการที่เขาเข้าซื้อหุ้นในบริษัทการค้ารายใหญ่ 5 แห่ง ช่วยผลักดันดัชนีนิกเกอิ 225 ให้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ หากเบิร์กเชียร์ขยายการลงทุนไปยังกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดญี่ปุ่นที่เผชิญความผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความผันผวนของค่าเงิน
ทาคาชิ อิโตะ นักยุทธศาสตร์อาวุโสจากบริษัทโนมูระ ซีเคียวริตีส์ (Nomura Securities) ระบุว่ามีความเป็นไปได้สูงที่บัฟเฟตต์จะเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มการเงิน โดยกล่าวว่า “ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มการเงินในญี่ปุ่นมีความแข็งแกร่ง ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานการลงทุนของบัฟเฟตต์”
รัฐบาลเวียดนามมีเป้าหมายผลักดันเศรษฐกิจภายในประเทศให้ขยายตัวที่ระดับ 6.8%-7.0% ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่สมัชชาแห่งชาติเวียดนาม (NA) กำหนดไว้ที่ 6.0%-6.5%
หนังสือพิมพ์ Vietnam News รายงานวันนี้ (3 พ.ค.) โดยอิงข้อมูลจากกระทรวงการวางแผนและการลงทุนว่า ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจหลายตัวของรัฐบาลเวียดนามอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด แม้จะมีความไม่แน่นอนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนามเติบโตสูงกว่าที่องค์กรระดับนานาชาติคาดการณ์ไว้ โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ประเมินว่า GDP ของเวียดนามจะทรงตัวที่ 6% ในปี 2567 ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า GDP จะขยายตัวที่ 6.1% ในปีเดียวกัน
ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/434999
📌 อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติม https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/vn30-sep-2023
📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติม https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mr-messenger/vn30-jun-2024
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
วันนี้ (3 ตุลาคม 2024) ดัชนี HSCEI หรือหุ้นจีน H-Share และดัชนีหุ้นฮ่องกง Hang Seng (HSI) ปรับตัวลงกว่า 3% หลังปรับตัวขึ้นแรงถึง 27% ในรอบ 2 สัปดาห์หลังมีสัญญาณว่าความเชื่อมันของผู้บริโภคชาวจีนจะดีขึ้นในช่วงวันหยุดยาว Golden Week และเริ่มเห็นแรงเทขายในตลาดหุ้นฮ่องกงในวันนี้
ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้นกว่า 2% หลังนายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นระบุว่าญี่ปุ่นยังไม่พร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงแตะระดับ 146.51 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวานนี้ทันทีหลังจากนายอิชิบะแถลง
Finnomena Funds มองว่าตลาดหุ้นจีนได้อานิสงส์จากการออกมาตรการกระตุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลจีนยังคงมุ่งมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่น ทั้งนี้ต้องจับตามาตรการกระตุ้นทางการคลังเพิ่มเติมและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้างมากขึ้น
เราจึงแนะนำทยอยลดหุ้นจีนในกองทุน B-CHINE-EQ, MEGA10CHINA-A และ SCBCHAA ตามมุมมองของ Finnomena Funds แต่ยังแนะนำถือกองทุน UOBSGC ตามมุมมองของ FundTalk Call
ในฝั่งของตลาดญี่ปุ่น แม้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่เรายังมองว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะยังคงดำเนินมาตรการทางการเงินที่เข้มงวดต่อไป ซึ่งจะกดดันต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ภาพรวมหุ้นเอเชีย เรายังคงแนะนำทยอยสะสมกองทุนหุ้นเอเชียอย่าง UOBSA ที่ใช้ AI ร่วมกับผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น สร้างผลตอบแทนระยะยาวโดดเด่นกว่ากองเอเชียอื่น ๆ
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
ตลาดการลงทุนทั่วโลกในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในขณะที่ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่ชะลอตัวลง ภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังคงอ่อนแอ และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน เป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาด อย่างไรก็ดี หลังเฟดประกาศลดดอกเบี้ย 0.50% และส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ พร้อมทั้งระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง โดยการลดดอกเบี้ยแรงเป็นการป้องกันผลกระทบจากความเสี่ยงด้านลบ นักลงทุนจึงมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าตลาดแรงงานสหรัฐเพียงแค่ชะลอตัวลง และแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวยังคงดีอยู่ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลจีนได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่หลังวิกฤตโควิด ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวขึ้นแรง อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายรายประเมินว่า มาตรการของจีนยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม
สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมายังคงปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า นำโดยกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ หลังมีความชัดเจนเกี่ยวกับกองทุนวายุภักษ์ ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นที่คาดว่ากองทุนวายุภักษ์จะเข้าลงทุน นอกจากนี้ ความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ ความคืบหน้าของมาตรการโอนเงิน และเฟดประกาศลดดอกเบี้ยแรง ส่งผลให้นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง (ราคาตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้น) โดยได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยของเฟดที่มีแนวโน้มประกาศลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง
วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟดและประเทศเศรษฐกิจหลักทั่วโลก ยกเว้นญี่ปุ่น น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากในระยะยาวหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มเติบโตดี และจะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี ตลาดอาจมีความกังวลเกี่ยวกับราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมามาก ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับโลกตะวันตก และปัญหาความวุ่นวายในตะวันออกกลางที่มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะขยายตัวเป็นวงกว้าง จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนในบางช่วง ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นจากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อีกทั้งค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าจากการที่เฟดลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นไทยจึงน่าจะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยอาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากได้ตอบรับปัจจัยบวกไปมากแล้ว ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้ยังคงมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง
ที่มา: เอกสารอัปเดตมุมมอง Krungsri The Masterpiece วันที่: 30 กันยายน 2024
ที่มา: เอกสารอัปเดตมุมมอง Krungsri The Masterpiece วันที่: 30 กันยายน 2024
ที่มา: เอกสารอัปเดตมุมมอง Krungsri The Masterpiece วันที่: 30 กันยายน 2024
คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากมีพอร์ตการลงทุนที่แข็งแรงแบบนักลงทุนมืออาชีพใช่ไหม? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกกลยุทธ์การลงทุนของ “Andrew Stotz” อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทย ผู้มีประสบการณ์ในวงการการเงินมาอย่างยาวนาน กับการปั้นพอร์ตการลงทุนที่พร้อมลุยทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหนก็ไม่หวั่น!
Asset Allocation หรือ การจัดสรรสินทรัพย์ เป็นการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น เงินฝาก หุ้น ตราสารหนี้ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้ว่าจะทำแบบไหนดี เรามีตัวอย่างการจัดสรรสินทรัพย์ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้มาฝากกัน ดังนี้
การจัดสรรสินทรัพย์เป็นขั้นตอนสำคัญในการลงทุน เพราะจะช่วยให้สามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แต่หากยังไม่แน่ใจว่าจะจัดสรรสินทรัพย์อย่างไรดี เราขอแนะนำให้ได้รู้จักกับการจัดพอร์ตลงทุนที่พร้อมลุยทุกสภาวะตลาดอย่างพอร์ต All Weather Strategy (AWS) ของคุณ Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทย
คุณ Andrew Stotz เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์มากกว่า 30 ปีในวงการการเงิน เขาได้สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทั้งในฐานะนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้บริหารบริษัทด้านการลงทุน
คุณ Andrew Stotz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านการเงิน ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน และอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1992 โดยดำรงอาชีพเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และอาจารย์มหาวิทยาลัย เมื่อตอนที่เขาดำรงตำแหน่งเป็น Head of Reserch ที่บริษัทหลักทรัพย์ CLSA เขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยสองปีซ้อน (ปี 2008 และ 2009) จากผลสำรวจของ Asiamoney Brokers และได้รับการโหวตให้เป็นนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยจากรายงานของ All-Asia Research Team นอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งประธาน CFA Society แห่งประเทศไทยถึงสองสมัย
นอกจากการทำงานในวงการการเงินแล้วคุณ Andrew Stotz ยังเป็นนักเขียนและพิธีกร Podcast ที่มีชื่อเสียง เขาได้เขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับการลงทุน โดยหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ “How to Start Building Your Wealth Investing in The Stock Market” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกลยุทธ์การลงทุนอย่าง A.Stotz All-Weather Strategy ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ Dr.Andrew Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยพอร์ต AWS นี้ มุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยปกป้องพอร์ตให้พร้อมลุยทุกสภาวะตลาด (All Weather) นอกจากนี้พอร์ต AWS ยังเน้นลงทุนในกองทุน Passive ที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำและสมเหตุสมผล เพื่อเน้นสะท้อนผลตอนแทนเทียบกับตลาด และไม่ฉุดรั้งผลตอบแทนระยะยาวของนักลงทุน โดยพอร์ต AWS จะมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 2-4 ครั้ง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของพอร์ต AWS จะอ้างอิงโมเดล “FVMR Framework” ซึ่งประกอบไปด้วย
คุณก็เองปั้นพอร์ตให้แข็งแรงแบบนักลงทุนมืออาชีพอย่างคุณ Andrew Stotz ได้ด้วย พอร์ต All Weather Strategy (AWS) พอร์ตกองทุนที่พร้อมลุยทุกสภาวะตลาด กระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตอบโจทย์คนที่ต้องการลงทุนแบบนอนหลับสบาย เพราะมีอดีตนักวิเคราะห์อันดับ 1 ของประเทศไทย มาช่วยดูแลพอร์ตให้คุณ!
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
ด้วยตัวชี้วัดที่ออกมาในสัปดาห์นี้นั้นส่วนใหญ่เป็นแต่ฝั่งแรงงาน อีกทั้งตัวชี้วัดทั้งหมดยังไม่ได้มีการคาดการณ์ที่ทำให้ตลาดนั้นมีแรงขายมาก ทำให้สัปดาห์นี้เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่นักลงทุนเริ่มเปิดความเสี่ยง และด้วยการปรับขึ้นมาของราคา Digital asset ในระดับหนึ่งแต่ยังไม่เท่ากับช่วงกลางปีนี้ ทำให้จุด ๆ นี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่เหมาะสมในการเข้าสะสมโดยเฉพาะ Altcoins ที่มีการปรับราคาขึ้นมาแต่ยังไม่สูงมาก
ตัวเลขการสำรวจการจ้างงานทุกตำแหน่ง (ที่ยังว่างอยู่) ในทุกวันสุดท้ายของเดือน เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจ “Job Openings and Labor Turnover Survey (JOLTS)” การสำรวจนี้จะรวบรวมข้อมูลจาก 16,400 หน่วยงานนอกภาคเกษตรกรรม ซึ่งรวมถึงร้านค้า และโรงงาน รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลระดับกลาง ภาครัฐ และท้องถิ่นใน 50 รัฐ และดิสทริคต์ออฟคอลัมเบีย
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: JOLTs Job Opening มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 7.673M เหลือ 7.65M
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/job-offers
ตีความอย่างไรต่อตลาด
ในฝั่งของ JOLTs Job Opening การมีแนวโน้มที่จะลดตัวลงของ JOLTs Job Opening เพียงเล็กน้อยไม่ได้มีผลเสียมากเท่ากับการปรับลดลงเยอะ แต่ผลเสียที่มีคือ การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานและการลดความสามารถในการต่อรองเรื่องของเงินเดือนของพนักงาน อาจทำให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายน้อยลง
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม เป็นรายงานการจ้างงานที่ถูกปล่อยออกมาเป็นระยะๆ โดยทั่วไปจะออกในวันศุกร์แรกของทุกเดือน และมีผลกระทบมากต่อดอลลาร์ของสหรัฐ ตลาดหุ้น และตลาดหลักทรัพย์ Current Employment Statistics (CES) จากหน่วยงานสถิติแรงงานของกรมแรงงานของสหรัฐ ทำการสำรวจประมาณ 141,000 ธุรกิจ หน่วยงานรัฐบาล และ 486,000 ธุรกิจส่วนตัว เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการจ้างงาน ชั่วโมงทำงาน และรายได้ของคนงานในกลุ่มที่ไม่ใช่ภาคเกษตร
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Non Farm Payrolls มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 142K เป็น 130K
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/non-farm-payrolls
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การมีแนวโน้มลดลงของ Non Farm Payrolls สามารถทำให้อัตราการว่างการมีโอกาสที่จะเพิ่มสูงขึ้น และมีโอกาสที่จะลดการใช้จ่ายของผู้บริโภคลงอีกด้วย การลงทุนในตลาดแรงงานที่เป็นแบบนี้นักลงทุนอาจเลือกขายสินทรัพย์เสี่ยงมากไปถือสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยกว่า
Unemployment rate คือ อัตราการว่างงานเป็นสัดส่วนจากประชาการที่อยู่ในวัยทำงานทั้งหมด ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดถึงสภาพตลาดแรงงาน และสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม อัตราว่างงานที่สูงบ่งบอกถึงสภาวะเศรษฐกิจที่จะลอตัวลงหรือแม้กระทั้งหดตัวลง
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Unemployment Rate มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 4.2% เป็น 4.3%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/unemployment-rate
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การลดลงของ Unemployment Rate อาจบ่งบอกถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ด้วยการที่มีการคาดการณ์ว่าจะลดตัวลงเพียงนิดเดียว อาจไม่ได้มีความผันผวนที่รุนแรง
Credit from Coindar
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
30 กันยายน
1 ตุลาคม
2 ตุลาคม
Source : https://www.coinglass.com/FundingRateHeatMap
ในส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลายเหรียญมีการปรับตัวขึ้นเป็นบวก แต่ก็ยังถือว่าเป็นระดับที่ต่ำอยู่ บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยมีการเปิดสถานะลองมากกว่าสถานะชอร์ต ประกอบกับการที่ราคาของ Bitcoin และหลายเหรียญปรับตัวขึ้น สามารถตีความได้ว่า แรงซื้อส่วนใหญ่มาจากการเปิดสถานะ Spot มากกว่า Futures ซึ่งเป็นสภาพตลาดที่ค่อนข้างดี
Source : https://www.coinglass.com/BitcoinOpenInterest
ในฝั่งของ Bitcoin Open Interest มีการปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะยังไม่ได้สูงเท่ากับช่วง All Time High แต่ก็แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น หลังจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ถึง 50 BPS พร้อมกับความมั่นใจว่าเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง และมีโอกาสที่จะเกิด Recession ต่ำ
Source : https://farside.co.uk/?p=997
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลเข้าจาก Spot Bitcoin ETFs รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,106.5 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าเป็นสัปดาห์ที่มีแรงซื้อเข้ามาทุกวันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับแรงขายจาก GBTC ที่แทบจะไม่มีแล้ว แสดงถึงความมั่นใจในตลาดของนักลงทุนสถาบันที่กลับมาจากปัจจัยด้าน Macroeconomics
Source : https://farside.co.uk/?p=1518
ในส่วนของ Ethereum ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลเข้าทั้งสิ้น 85 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าเป็นสัปดาห์ที่ดีของ Ethereum ETF เนื่องจากมีเม็ดเงินจำนวนมากแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจาก ETHA และ FETH เหตุการณ์นี้น่าจะมาจากการที่นักลงทุนสถาบันหลายคนเฝ้ารอให้แรงเทขายของ ETHE หมดไปก่อน เพื่อหาจุดที่ดีในการเข้าสะสม ประกอบกับความชัดเจนทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เป็นภาพที่ดีขึ้นของ Ethereum
เนื่องจากภาพ Macroeconomics ในเดือนกันยายนค่อนข้างเป็นบวก จากการที่ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 50 BPS ส่งผลให้การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารในประเทศอื่นผ่อนคลายลงไปด้วย โดยเฉพาะธนาคารกลางจีน ที่มีการทำนโยบายผ่อนคลายทั้งการเงินและการคลัง ทำให้สภาพคล่องของทั้งโลกเพิ่มขึ้น และกลายเป็นปัจจัยบวกต่อทุกสินทรัพย์
หลังจากตลาดที่ Sideways Down มาตลอดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีสามารถ Rebound กลับมาได้จากปัจจัย Macroeconomics ที่ส่งเสริม นักลงทุนมีการเพิ่มความเสี่ยงทั้งใน Bitcoin และ Altcoins หากสังเกตจากค่าแก๊สบน Ethereum ที่อยู่ในระดับต่ำมายาวนาน ถึงแม้จะมีความพยายามที่จะ Rebound ของตลาดหลายต่อหลายครั้ง แต่ตัวชี้วัดนี้ก็ไม่เคยเพิ่มขึ้นเลย จนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการเติบโตของค่าแก๊สบน Ethereum กว่า 498% ทะลุค่าเฉลี่ย 30 วันย้อนหลัง การเพิ่มขึ้นครั้งนี้ เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่นักลงทุนในตลาดกลับมาให้ความสนใจและ Risk-on อีกครั้ง
Source : https://www.coinbase.com/institutional/research-insights/research/weekly-market-commentary/weekly-2024-09-27
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาประกอบกับ Sentiment ของนักลงทุนในตลาดด้วยค่า Premium ที่ผู้ถือสัญญาฝั่ง Long ต้องจ่ายให้กับฝั่ง Short ใน 30 วันที่ผ่านมานั้น มีมูลค่าอยู่ที่ $10.7M จะเห็นได้ว่า มีการเติบโตเพียงเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่ตลาด Rally ในเดือนมีนาคมที่พีคถึง $120M สามารถตีความได้ว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้ Bullish จนเกินไป ทำให้การเปิดสัญญาฝั่ง Long ไม่ได้สูงเหมือนในช่วงที่นักลงทุนมองตลาดในแง่บวกสุดขีด และมีพื้นที่ในการเติบโตของตลาดในช่วงไตรมาสที่ 4 อีกมาก
Source : https://insights.glassnode.com/the-week-onchain-week-39-2024/
by Cryptomind Advisory
$ETH ได้ปรับตัวย่อลงหลังจากขึ้นไปติดแนวต้านบริเวณ $2,700 โดยมุมมองในระยะสั้นนั้น $ETH อาจย่อลงมาที่บริเวณ $2,400 อีกครั้งหนึ่งได้ ซึ่งอาจสอดคล้องกับการลงมาทดสอบแนวรับ Trendline ใน RSI โดยหากไม่หลุดแนวดังกล่าวก็อาจจะเป็นมุมมอง Momentum ขาขึ้นของ $ETH ได้ในรูปแบบการทำ Higher High ได้ แต่อย่างไรก็ตามหากยังมีการปรับตัวลดลงต่ำลงไปอีกก็อาจจะเป็นการเคลื่อนที่ Sideway Down ต่อไปในภาพใหญ่ได้
แนวต้าน : $2,870 | $3,350 | $3,700
แนวรับ : $2,400 | $2,150 | $1,880
$ETH ได้ปรับตัวย่อลงหลังจากขึ้นไปติดแนวต้านบริเวณ $2,700 โดยมุมมองในระยะสั้นนั้น $ETH อาจย่อลงมาที่บริเวณ $2,400 อีกครั้งหนึ่งได้ ซึ่งอาจสอดคล้องกับการลงมาทดสอบแนวรับ Trendline ใน RSI โดยหากไม่หลุดแนวดังกล่าวก็อาจจะเป็นมุมมอง Momentum ขาขึ้นของ $ETH ได้ในรูปแบบการทำ Higher High ได้ แต่อย่างไรก็ตามหากยังมีการปรับตัวลดลงต่ำลงไปอีกก็อาจจะเป็นการเคลื่อนที่ Sideway Down ต่อไปในภาพใหญ่ได้
แนวต้าน : $2,870 | $3,350 | $3,700
แนวรับ : $2,400 | $2,150 | $1,880
by Cryptomind Advisory
ตลาดกำลังมองเห็นโอกาสของเกิด Soft landing ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากการลดดอกเบี้ยของ FED ทำให้ตลาดเริ่มเปิดความเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่ Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% ผนวกกับการมาของ Ethereum และ Bitcoin spot ETF / Options และมุมมองเชิงบวกมาก ๆ ต่อตลาดคริปโทฯ โดยรวมในสหรัฐฯ ในเชิงการเมืองที่อาจจะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาสที่ 4 และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต และเพิ่มสัดส่วนของ Ethereum ในพอร์ตเพิ่มขึ้น บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดีรับสัญญาณของ Altcoins season และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 40%
SELECTIVE LARGE MARKET CAP (30-35%)
SELECTIVE SMALL-MID MARKET CAP ALTCOINS (10-15%)
STABLECOINS 15%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-30th-4th-October-2024
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
วันนี้ (2 ตุลาคม 2024) ดัชนี HSCEI หรือหุ้นจีน H-Share และดัชนีหุ้นฮ่องกง Hang Seng (HSI) ปรับตัวขึ้นกว่า 6% หนุนโดยกลุ่มอสังหาฯ ที่ปรับตัวขึ้นมาแรง นำโดย หุ้น China Vanke +39.6% และ Longfor +28.8% โดยการปรับตัวขึ้นมาเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศมาตรการช่วยเหลือตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน 4 เมืองใหญ่ ได้แก่ กวางโจว เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และปักกิ่ง โดยประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบสำหรับผู้ซื้อบ้าน นำโดยกวางโจวเป็นเมืองแรกที่ยกเลิกข้อจำกัดการซื้อบ้าน โดยจะหยุดตรวจสอบคุณสมบัติผู้ซื้อและไม่จำกัดจำนวนบ้านที่สามารถครอบครองได้ ขณะที่เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และปักกิ่งจะปรับลดอัตราเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับบ้านหลังแรกและหลังที่สองเหลือ 15% และ 20% ตามลำดับ เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้มาตรการเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2024 เป็นต้นไป
นอกจากนี้มีรายงานว่า Sentiment ของนักลงทุนได้เปลี่ยนไป เนื่องจากบรรดา Hedge Fund ได้เข้าซื้อในตลาดหุ้นจีน ขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าตลาดกระทิงอาจดำเนินต่อไปได้หลายเดือนหากมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง
Finnomena Funds มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลจีนยังคงมุ่งมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่น ทั้งนี้ต้องจับตามาตรการกระตุ้นทางการคลังเพิ่มเติมซึ่งจะส่งผลต่อการปรับประมาณการณ์ GDP จีนของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการปรับลดคาดการณ์ GDP จีน ในปี 2024 ไม่ถึง 5% ซึ่งเป็นระดับที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมาย
การปรับตัวขึ้นขึ้นอย่างรุนแรงของหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นจีนกลับมาอยู่บริเวณค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ขณะที่ประมาณการกำไรหุ้น A-shares ยังถูกปรับลง สวนทางหุ้น All China ที่ถูกปรับขึ้นจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ผลประกอบการดี
เราจึงแนะนำทยอยลดสัดส่วนหุ้นจีนในกองทุน B-CHINE-EQ, MEGA10CHINA-A และ SCBCHAA ตามมุมมองของ Finnomena Funds และแนะนำถือกองทุน UOBSGC ตามมุมมองของ FundTalk Call
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สำนักงานสถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (2 ต.ค.) ว่า อัตราเงินเฟ้อของเกาหลีใต้ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีครึ่งในเดือนกันยายน โดยลดลงต่ำกว่า 2% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี 2564
ข้อมูลระบุว่า ราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนกันยายน เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ชะลอตัวลงจากการเพิ่มขึ้น 2% ในเดือนสิงหาคม โดยตัวเลขในเดือนกันยายนถือเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่มีการเพิ่มขึ้น 1.4%
สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า ราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายปี ในขณะที่ราคาผักเพิ่มขึ้น 11.5% เนื่องจากคลื่นความร้อนที่ยาวนาน
สำหรับสินค้าสำคัญ ราคาผักกาดขาวพุ่งขึ้น 53.6% และราคาหัวไชเท้าพุ่งขึ้น 41.6% ส่งผลให้ครัวเรือนต้องเผชิญกับแรงกดดัน เนื่องจากผักกาดขาวและหัวไชเท้าเป็นส่วนประกอบหลักของกิมจิ ซึ่งโดยปกติจะทำในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม เพื่อเตรียมรับมือกับอากาศหนาวในฤดูหนาว
รัฐบาลเกาหลีใต้คาดว่า เงินเฟ้อจะสามารถบรรลุเป้าหมาย 2% ได้ภายในสิ้นปี 2567 และอัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคอยู่ต่ำกว่า 3% เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันจนถึงเดือนกันยายนนี้
ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/434451
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/kospi-aug-2023
อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/korea-jun-2024
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
All Series Portfolio เป็นกลุ่มพอร์ตการลงทุนที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองนักลงทุนที่ต้องการระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 50,000 บาท กลุ่มพอร์ตในซีรีส์นี้ประกอบด้วย All Balance, All Defense, และ All Star
Finnomena Funds ใช้ Framework ของ All Balance ที่ประสบความสำเร็จเป็นพื้นฐานในการสร้าง All Defense ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงทางการเงินและความเสี่ยงต่ำ
คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
All Balance Portfolio ถือเป็นหนึ่งในพอร์ตการลงทุน Flagship ของ Finnomena และได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยมีอายุมากกว่า 4 ปี มียอดเงินลงทุนกว่า 1,393 ล้านบาท และมีนักลงทุนในแผนมากกว่า 3,994 คน สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีที่ 6.5% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนคล้ายคลึงกัน
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
All Balance Portfolio ใช้โมเดล Black-Litterman เพื่อจัดสรรสินทรัพย์ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้อย่างสมดุล โดยใช้ทั้ง Strategic Asset Allocation (SAA) และ Tactical Asset Allocation (TAA) เพื่อปรับตามสถานการณ์ตลาดในระยะสั้น
คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อมูลผลตอบแทน ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2024
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
ในการพัฒนาพอร์ต All Balance เรามี Milestone ที่สำคัญสองครั้ง:
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
จากความสำเร็จของ All Balance เราได้พัฒนาพอร์ต All Defense สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ โดยลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงเหลือเพียง 0-10% และเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้เป็น 90-100% แต่ยังคงใช้โมเดล Black-Litterman ในการกำหนด SAA และนำระบบ TAA เข้ามาใช้เพื่อรับประโยชน์จากการลงทุนระยะสั้น
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
All Defense Portfolio เน้นการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่ดีที่สุด ทั้งในตลาดโลกและตลาดไทย โดยใช้โมเดล Black-Litterman กำหนดสัดส่วน SAA และใช้ TAA เพื่อปรับพอร์ตตามโอกาสในตลาด ทั้งนี้จะรักษาสัดส่วนตราสารหนี้ไว้ที่ 90-100% เพื่อควบคุมความผันผวน
สัดส่วน SAA ที่แนะนำ ได้แก่:
นับเป็นสัดส่วนตราสารหนี้ 90% และตราสารทุน 10%
คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อมูลผลตอบแทน ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2024
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ All Defense กับกองทุนที่มีลักษณะการลงทุนคล้ายคลึงกัน (Morningstar Conservative Allocation) พบว่าผลตอบแทนของ All Defense อยู่ในระดับที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มในหลายช่วงเวลา
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
จากการคัดเลือกของ Finnomena Funds สัดส่วนการลงทุนในกองทุนต่างๆ ที่แนะนำ ได้แก่:
Source: Finnomena Funds, as of 17/09/2024
เริ่มต้นสร้างแผน All Defense ได้ที่ port.finnomena.com/plan-select/plans/all-defense
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่างๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ชมรมหุ้นกู้ – รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลินิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
ติดตามรายการชมรมหุ้นกู้ได้ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Youtube & Facebook Finnomena
กองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุด 10 อันดับแรกในเดือนกันยายน 2567 จะมีกองทุนไหนบ้าง? ใช่กองทุนที่คุณมีอยู่รึเปล่า? ลองมาดูกัน
อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 26 ก.ย. 2567: KFCMEGA-A, TCHTECH-A, SCBCTECHA, KKP CHINA-H, K-CHINA-A(D), K-CHINA-A(A)
อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 27 ก.ย. 2567: MEGA10CHINA-A, KFCSI300-A, TCHSTRATEGY, SCBCHA, SCBCHAA, TISCOCH
*หมายเหตุ: ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือน จาก Finnomena Funds จัดอันดับ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2567 ทั้งนี้ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน สามารถดูรายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ finnomena.com/fund
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ตั้งแต่ต้นปี 2567 ผมได้วาง “Playbook” ของการลงทุนของผมไว้ว่า ผมจะปรับพอร์ตการลงทุนระยะยาวของผมให้ประกอบไปด้วยหุ้นเวียดนามประมาณ 1 ใน 3 ซึ่งจะเป็น “กองหน้า” ที่จะใช้ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด แต่มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพราะผมจะเลือกหุ้นเอง ซึ่งจะเป็นหุ้นแนว “ซูเปอร์สต๊อก” ซึ่งก็คือหุ้นที่จะเติบโตระยะยาวและมีความสามารถในการแข่งขันสูงและยั่งยืน และผมก็เริ่มทำตั้งแต่ต้นปี มีการขายหุ้นตัวเล็ก ๆ ราคาถูกที่ผมถือมายาวนานไปทั้งหมดนับร้อยตัว และใช้เงินที่ได้ซื้อหุ้น “ซูเปอร์สต๊อก” ขนาดใหญ่ไม่เกิน 10 ตัว ซึ่งประมาณ 5 ตัวใหญ่ที่สุดคิดเป็นกว่า 75% ของพอร์ตไปแล้ว
หุ้นกลุ่มที่สองอีกประมาณ 1 ใน 3 จะเป็นหุ้นกลุ่มใหม่ที่ผมไม่เคยมีเลยและเป็นหุ้นที่ผมเรียกว่า “หุ้นโลก” เพราะเป็นหุ้นของบริษัทที่มักจะ “ขายสินค้าไปทั่วโลก” คนทั่วไปมักจะรู้จักและคุ้นเคยกับสินค้า รวมถึงผมเองที่ต้องใช้ บางทีเกือบทุกวัน เช่น ดูหนังของ Netflix ใช้โปรแกรมสารพัดในคอมพิวเตอร์ หรือเห็นคนใช้เครื่องแต่งกายจากแบรนด์หรูระดับโลก เป็นต้น
ผมวางแผนว่าภายในปี 2567 ผมน่าจะสามารถลงทุนเม็ดเงินจนครบในหุ้นโลกได้ โดยกลยุทธ์ที่ใช้นั้น ผมจะซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมหรือ ETF ประมาณไม่เกิน 10 ตัว ซึ่งตัวใหญ่ที่สุด 5-6 ตัวควรจะมีขนาดรวมกันมากกว่า 75% ของพอร์ตนี้เช่นเดียวกับพอร์ตหุ้นเวียดนามและพอร์ตหุ้นไทย เพราะผมคิดว่าพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงในระดับนี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปกติได้โดยที่จะมีความเสี่ยงที่พอรับได้
การเลือกหุ้นลงทุนแต่ละตัวหรือกองทุนที่เป็น ETF แต่ละกองนั้น ผมจะทำผ่านการซื้อ DR หรือ DRx หรือกองทุนที่จดทะเบียนในประเทศไทย เพราะนั่นจะทำให้ผมไม่ต้องเสียภาษี Capital Gain เมื่อขายหุ้นแล้วได้กำไรได้ แต่นั่นทำให้ผมมีหุ้นหรือหลักทรัพย์ให้เลือกจำกัด เฉพาะหุ้นตัวใหญ่ ๆ และมีชื่อเสียงระดับโลกที่บริษัทหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงินในตลาดหุ้นไทยนำมาออกเป็น DR หรือ DRx หรือทำเป็นกองทุนจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ผมดูแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะจำนวน DR และ DRx ที่มีอยู่ดูเหมือนจะมีมากพอและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลกำลังจะเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศแม้ว่าจะไม่นำกลับมายังประเทศไทยอย่างที่เคยเป็น ซึ่งน่าจะทำให้คนที่คิดจะไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศทั้งหมดต้องมาลงทุนผ่าน DR ในอนาคต
ตั้งแต่ต้นปี ผมจึงต้องเริ่มวิเคราะห์ว่าหุ้นหรือ ETF ต่างประเทศตัวไหนน่าสนใจที่จะซื้อลงทุน และก็พบว่าน่าจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งส่วนใหญ่ก็คือหุ้นในตลาดหุ้นอเมริกาและยุโรปตะวันตก และกลุ่มหุ้นของจีน นอกจากนั้นก็อาจจะมีหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่โดดเด่น เช่น หุ้นอินเดียและหุ้นเวียดนามที่มีการทำ DR ในตลาดหุ้นไทยด้วย
ในความเห็นของผม หุ้นอเมริกานั้นมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน และก็ยังเติบโตได้แม้ว่าจะไม่สูงมากนักอานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจอเมริกาและโลกกำลังชะลอตัวลงจากช่วงที่เติบโตเร็วในหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของหุ้นเหล่านั้นก็สูงขึ้นมาก อยู่ในระดับ “All Time High” แม้ว่าจะมีการปรับตัวลงมาบ้างในช่วงเร็ว ๆ นี้ ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าการเข้าไปลงทุนมีความเสี่ยงไม่น้อย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สำหรับ “VI พันธุ์แท้” อย่างผม ที่ลงทุนระยะยาว ผมเกลียดที่จะซื้อหุ้นที่ “กำลังร้อนแรง” ใน “ตลาดกระทิง”
ผมกลัวว่า ถ้าซื้อเข้าไปแล้ว ตลาดปรับตัวลงแรง ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร และหุ้นร้อนแรงตกลงมาหนักมาก อาจจะ “หลายสิบเปอร์เซ็นต์” การลงทุนนั้นก็จะ “เจ็บปวดมาก” เพราะเข้าไป “ผิดเวลา” ต้นทุนของความผิดพลาดก็คือ อาจจะต้องรอไปหลายปีกว่าหุ้นจะกลับมาที่เดิม
หุ้นจีนนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เป็นช่วงเวลาที่หุ้นตกต่ำต่อเนื่องยาวนาน อานิสงส์จากเศรษฐกิจที่มีปัญหาและตกต่ำมานาน ประกอบกับการที่รัฐบาลปรับเปลี่ยนนโยบายที่ลดความเป็นทุนนิยมลงและหันกลับไปเป็นสังคมนิยมมากขึ้น นอกจากนั้น สงครามการค้ากับอเมริกาและประเทศโลกเสรีที่พัฒนาแล้ว ได้ทำให้มีการถอนทุนจากประเทศจีนและตลาดหุ้นจีน ส่งผลให้หุ้นจีนตกลงมาต่อเนื่อง ราคาหุ้นชั้นดีรวมถึงหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีราคาถูก “เป็นประวัติการณ์”
และนั่นคือสิ่งที่ “VI พันธุ์แท้” อย่างผมสนใจและคิดอยากจะเป็นจุดเริ่มของการลงทุนในกลุ่ม “หุ้นโลก”
ประเด็นต่อมาคือเรื่องของ “Timing” หรือเวลาที่จะเข้าลงทุน ซึ่งก็มีสองเรื่องที่หน่วงผมไว้ทำให้ไม่ได้เริ่มจนถึงวันนี้ก็คือ เรื่องแรก เม็ดเงินที่จะใช้ ยังมีไม่พอเพราะผมขายหุ้นไทยไปน้อยมาก ผมรอ “ก๊อกสุดท้าย” คือวันที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปสูงพอที่ผมจะขายหุ้นจำนวนมากได้ และถึงแม้ว่าดัชนีและราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาบ้างนับจากต้นปี ผมก็ยังคิดว่าผมอยากได้ราคามากกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ผมมีเงินพอที่จะ “เริ่ม” ลงทุนในหุ้นโลกได้ แต่ก็ยังไม่ได้ทำเพราะ
เรื่องที่สองก็คือ ถึงวันนี้ อีกประมาณ 40 วัน ก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ผมคิดว่าไหน ๆ ก็รอมาตั้งนานแล้ว ผมก็อยากจะรอต่อไปอีกซักเล็กน้อยเพื่อที่จะดูว่าความเสี่ยงของตลาดหุ้นหลังจากวันนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป มีโอกาสเหมือนกันว่าถ้าคนที่เป็นประธานาธิบดีเป็นคนหนึ่ง โลกอาจจะวุ่นวายมากขึ้นได้จากสงครามการค้าและอื่น ๆ ซึ่งจะกระทบต่อตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นจีน
ในระหว่างที่รอนั้น แค่เพียงประมาณ 1 สัปดาห์ก่อน ทางการจีนก็ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รวมถึงการผ่อนคลายทางการเงินหลาย ๆ มาตรการรวมถึงการลดดอกเบี้ยเพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทั้งในทรัพย์สินที่จับต้องได้และในตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่หงอยเหงามานานก็วิ่งขึ้นแบบ “ระเบิด” ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ดัชนีหลัก ๆ ของทุกตลาดในจีนและฮ่องกงปรับตัวขึ้นไปกว่า 10% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาเป็นเวลากว่า 10 ปี
ความรู้สึกของผมก็คือ ผมคง “ตกรถ” หรืออาจจะไม่ได้ซื้อหุ้นจีนเพื่อลงทุนรอบนี้ถ้าหุ้นที่ขึ้นไปแล้วไม่ถอยลงมา แม้ว่าหลายคนรวมถึงตัวผมเองก็มีความคิดว่า ราคาหุ้นจีนตอนนี้ก็ “ยังไม่แพง” ถ้ามองจากค่า PE ที่ยังไม่สูงอยู่ดีแม้หุ้นจะขึ้นไปมาก แต่จะทำใจได้ยังไงที่จะต้องซื้อแพงขึ้นไปอีกประมาณเกือบ 20% และก็เช่นเดียวกับหุ้นอเมริกาและหุ้นยุโรปที่ก็ดูยังไม่แพงมากแม้ว่าหุ้นจะขึ้นมาเรื่อย ๆ และราคาอยู่ในช่วง “All Time High”
ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสียดายที่ไม่ได้คิดหรือทำเรื่องการลงทุนในหุ้นโลกเร็วกว่านี้ เงินสดประมาณ 5-6% ที่ถือมานานและควรจะเริ่มเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนและหุ้นที่ถูกกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจของจีนเช่น หุ้นหลุยส์วิตองที่ราคาตกต่ำมาช่วงหนึ่ง กลับไม่ได้ทำ เพราะกลัวว่าหลังจากเลือกตั้งในอเมริกาจะมีปัญหาหนักและหุ้นจะตกลงไปอีก
พอถึงจุดนี้ คืออาจจะเป็นจุดที่ไม่สามารถซื้อหุ้นโลกที่จะปลอดภัยได้เลย สิ่งที่คิดก็คือ ผมอาจจะต้อง “รอต่อไป” รอจนกว่ามีหุ้นโลกที่เหมาะสมที่จะซื้อ และก็รอต่อไป รอจนกว่าจะสามารถขายหุ้นไทยให้ลดลงจนเหลือประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมด และถ้าจะมีเงินสดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ “ช่างมัน” และก็คิดเสียว่าในช่วงนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เองก็ถือเงินสด “มหาศาล” มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเบิร์กไชร์ เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก และก็ไม่เสียดายอะไรเลยที่ไม่ได้ลงทุนในช่วงที่คนอเมริกันบอกว่าควรจะลงทุนมากที่สุด ตราบที่เขาไม่เห็นว่าหุ้นถูกและคุ้มค่าที่จะลงทุน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้รายงานเมื่อวันที่ 30 กันยายน ว่าสต็อกชิปเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 เมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าชิปหน่วยความจำประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงมีความต้องการสูง
รายงานระบุว่าสต็อกชิปคงคลังลดลง 42.6% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องหลังจากที่ลดลง 34.3% ในเดือนกรกฎาคม ในขณะที่การผลิตและการจัดส่งเพิ่มขึ้น 10.3% และ 16.1% ตามลำดับ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าวงจรความนิยมยังคงดำเนินต่อไปในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567
ข้อมูลล่าสุดนี้สนับสนุนมุมมองที่ว่าความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้นช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในปีนี้ โดยเฉพาะชิปหน่วยความจำซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (Samsung Electronics) และเอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในตลาด
นอกจากนี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าเกาหลีใต้มีกำหนดจะเปิดเผยรายงานการส่งออกเดือนกันยายน ซึ่งรวมถึงการส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคม โดยการส่งออกชิปเติบโตในระดับปานกลางตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำให้เกิดคำถามว่าภาคส่วนนี้จะสามารถเติบโตได้อีกมากน้อยเพียงใด
ในเวลาเดียวกัน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ในเดือนสิงหาคม โดยเพิ่มขึ้น 3.8% จากปีก่อน ขณะที่การคาดการณ์ก่อนหน้านี้อยู่ที่ 1.9%
ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/433837
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/kospi-aug-2023
อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/korea-jun-2024
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
อีกหนึ่งตัวช่วยประหยัดภาษีที่เราไม่ควรมองข้ามเลยคือ “กองทุน SSF-RMF” เพราะนอกจากจะช่วยเราประหยัดภาษีได้แล้วยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อีกด้วย
บทความนี้จะขอพาทุกคนมาดูกันว่าเงินเดือนที่เราได้รับในปัจจุบันจะสามารถลงทุน SSF-RMF ได้สูงสุดตามเงื่อนไขเท่าไรบ้าง? ติดตามไปพร้อมกันได้เลย!
ลดหย่อนภาษีปี 2567 ปีนี้ กับของดีฟินโนมีนา!
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี พร้อมโพยดีดี ซื้อที่ ฟินโนมีนาฟันด์ ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ.
ไม่ว่าจะเป็นกองทุน SSF RMF และ Thai ESG👍 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/tax-saving-fund-ws
โดยทั้งกองทุน SSF และ RMF เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
* กองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ ได้แก่ กองทุน SSF, กองทุน RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และประกันชีวิตแบบบำนาญ
อ่านเพิ่มเติม ลดหย่อนภาษี ปี 2567: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!
— planet 46.
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
Finnomena Funds มองตลาดหุ้นผ่านพ้นช่วง Bottom Out โดยจุดต่ำสุดของราคาอยู่ข้างหลังเราแล้ว ในขณะที่ตลาดเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะวิ่งสู่ Soft Landing เป็นโอกาสการลงทุนหุ้น Growth
อัปเดตมุมมองการลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2024 โดย Finnomena Funds
เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มกลับมามีแนวโน้มที่สดใสยิ่งขึ้น จากตัวเลขเศรษฐกิจกำลังวกกลับมาเป็น Positive Surprise หนุนความคาดหวังตลาดมอง Soft Landing และเป็นโอกาสของการลงทุนในหุ้นเติบโต ดังนั้น เราจึงรวบรวมกองทุนแนะนำ ประจำเดือนตุลาคม สำหรับเข้าลงทุนและทยอยเก็บสะสมในจังหวะนี้มาฝาก
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) MEGA10AI-A
กองทุนที่ลงทุนใน 10 หุ้น Big Tech AI ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่นตามดัชนี Nasdaq ที่ทะลุ All-Time High แต่ยังมีอัพไซด์ให้ไปต่อ เพราะได้รับประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยแบบ Expansion Cut ประกอบกับแนวโน้มกำไรอันแข็งแกร่ง
2.) B-INNOTECH
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี เน้นคัดกลุ่ม High Quality Growth ที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และราคาไม่แพง โดยยึดหลักการลงทุนสไตล์ Contrarian และการที่ตลาดเชื่อว่าเศรษฐกิจไม่ถดถอย จะช่วยหนุน Sector Technology ให้กลับมา Outperform อีกครั้ง
3.) DAOL-KOREAEQ
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้แบบ Active Fund ซึ่งปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่ Valuation ถูกกว่าค่าเฉลี่ยของตัวเองในอดีต มีโอกาสวิ่งเป็นขาขึ้นตามหุ้นเทคโนโลยี Nasdaq พร้อมทั้งจะมีแรงกระตุ้มจากการเปิดตัว Value-Up Program สนับสนุนตลาดหุ้นเกาหลีใต้
โดย Bank – The Trend Follower คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติเพื่อนำมาคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้หาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) ES-USBLUECHIP
กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยเน้นคัดเลือกบริษัทที่เติบโตทั้งรายได้ กำไร และกระแสเงินสด ตลอดจนมีความสามารถทางการแข่งขันสูง เพื่อรับโอกาสลงทุนตามเทรนด์ขาขึ้นของดัชนี Nasdaq 100
2.) SCBSEMI(A)
กองทุนหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เป็นธีม Growth Stock ที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ลดลงแรง และมีมุมมองไปสู่ Soft Landing โดยหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสจะรีบาวด์ได้แรงกว่ากลุ่มอื่น ๆ
3.) ASP-DIGIBLOC
กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบล็อกเชนและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นช่วงที่ราคาปรับฐานลงมาแรง แต่สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่าจุดต่ำสุดของดัชนีได้ผ่านพ้นไปแล้ว รวมทั้งกำลังเข้าสู่ช่วงที่ดีของสินทรัพย์เสี่ยงจากปัจจัยทางฤดูกาล
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical ปัจจัยอื่น ๆ เช่น Fund Flow, Sentiment, Seasonal Statistic และ Technical Analysis
1.) PRINCIPAL VNEQ-A
กองทุนหุ้นเวียดนาม Valuation ยังอยู่ในระดับน่าสนใจ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและโดดเด่นกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค อีกทั้งยังมี Catalyst จากการเตรียมเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปีหน้า
2.) B-INNOTECH
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี ซึ่งแนวโน้มกลับมาน่าสนใจตามการ Cut Rate และเทรนด์การเกิด Soft Landing อีกทั้งยังเป็นกองทุนที่เก่งในการเข้าซื้อหุ้นเติบโตได้ในราคาไม่แพง
3.) UOBSA
กองทุนหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) เหมาะกับการลงทุนกระจายความเสี่ยงในภูมิภาคเอเชีย ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มีความยืดหยุ่น ปรับพอร์ตตามสถานการณ์ตลาด และการปรับตัวลงของกองทุนเป็นผลมาจากเงินบาทที่แข็งค่ารุนแรง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในระยะยาวจะเป็นกองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่ากองทุนเอเชียอื่น ๆ
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ยอดส่งออกในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 11.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แตะที่ 57.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ที่แข็งแกร่ง
ในขณะเดียวกัน ยอดนำเข้าในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้น 6% สู่ระดับ 54 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกาหลีใต้มีดุลการค้าเกินดุล 3.83 พันล้านดอลลาร์ เป็นการเกินดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15
สำหรับการส่งออกสินค้าในแต่ละประเภท พบว่ายอดส่งออกชิปเพิ่มขึ้น 38.8% สู่ระดับ 11.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 โดยได้รับแรงหนุนจากยอดส่งออกชิปสำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่งได้เพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI)
นอกจากนี้ ยอดส่งออกเรือเพิ่มขึ้นถึง 80% สู่ระดับ 2.8 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากความต้องการที่แข็งแกร่งจากผู้ประกอบการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ขณะที่ยอดส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น 1.4% สู่ 4.5 พันล้านดอลลาร์ เป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ส่วนยอดส่งออกรถยนต์ลดลง 4.3% สู่ระดับ 5.1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องค่าจ้างระหว่างพนักงานและผู้ผลิต
เมื่อพิจารณาจากการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ พบว่ายอดส่งออกไปยังจีนเพิ่มขึ้น 7.9% สู่ระดับ 11.4 พันล้านดอลลาร์ เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันที่ยอดส่งออกไปจีนมีมูลค่ามากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11.1% สู่ 10 พันล้านดอลลาร์ และยอดส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 16.1% สู่ระดับ 6.43 พันล้านดอลลาร์
ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/433645
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/kospi-aug-2023
อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/korea-jun-2024
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
นักเสี่ยงโชคทั้งหลายคงตั้งตารอทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน เพราะเป็นวันที่จะได้ลุ้นพลิกชีวิตกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ของประเทศ แต่เคยคิดไหมว่าเดือน ๆ หนึ่งเราหมดเงินไปกับการซื้อล็อตเตอรี่เท่าไร และตั้งแต่ซื้อมาเคยถูกรางวัลไปแล้วกี่ครั้ง? เพราะเปอร์เซ็นต์ในการถูกรางวัลที่ 1 มีน้อยมาก ๆ เพียง 0.0001% เท่านั้น หรือแม้แต่กระทั่งรางวัลเลขท้าย 2 ตัวก็มีโอกาสถูกรางวัลเพียง 1%
แต่ถ้าเราลองแบ่งเงินที่ซื้อล็อตเตอรี่ทุกเดือน มาลงทุนแบบ DCA ในกองทุน SSF-RMF ดูล่ะ? เพราะการลงทุนในกองทุน SSF-RMF นอกจากจะเป็นการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในอนาคตแล้ว ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีประจำปีได้ด้วย
มาดูกันว่าหากเราแบ่งเงินซื้อหวยไปลงทุนแบบ DCA ในกองทุน SSF-RMF ทุกเดือน เป็นระยะเวลา 10 ปี ตามเงื่อนไขของกองทุน SSF-RMF แล้ว จะทำให้เงินของเราเติบโตไปได้เท่าไรบ้าง
ลดหย่อนภาษีปี 2567 ปีนี้ กับของดีฟินโนมีนา!
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี พร้อมโพยดีดี ซื้อที่ ฟินโนมีนาฟันด์ ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ.
ไม่ว่าจะเป็นกองทุน SSF RMF และ Thai ESG👍 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/tax-saving-fund-ws
ตัวอย่างเช่น แบ่งเงินซื้อหวยมาลงทุนแบบ DCA ทุกเดือน เดือนละ 1,000 บาท หรือปีละ 12,000 บาท ในกองทุน SSF-RMF ที่ให้ผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยปีละ 5% ในระยะเวลา 10 ปีจะทำให้เรามีเงิน 158,481.45 บาท โดยเงินก้อนนี้สามารถนำไปต่อยอดวางแผนการเงินในอนาคตได้อีก เช่น การวางแผนเกษียณ ทั้งนี้ตัวอย่างในตารางเป็นการคำนวณจากผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้น ณ สิ้นปี โดยไม่นับรวมปัจจัยอื่นที่อาจทำให้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังและไม่นับรวมอัตราเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม การซื้อหวยสามารถทำได้ เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างสีสันให้ได้ลุ้นพลิกชีวิตเป็นเศรษฐีหน้าใหม่เดือนละ 2 ครั้งแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้ให้รัฐบาลเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปด้วย แต่อย่าลืม! แบ่งเงินมาลงทุนในแต่ละเดือนด้วยการลงทุนแบบ DCA ในกองทุน SSF-RMF ให้เงินงอกเงย แถมได้นำไปลดหย่อนภาษีกันด้วยนะ
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
รู้ไหมว่าการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG เต็มสิทธิ์ 300,000 บาท จะสามารถช่วยเราประหยัดภาษีไปเท่าไร คิดออกมาเป็นจำนวนเงินจริง ๆ แล้วกี่บาท ถือว่าคุ้มค่าไหมกับผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อแลกกับการต้องถือลงทุน 5 ปีเต็ม
ลดหย่อนภาษีปี 2567 ปีนี้ กับของดีฟินโนมีนา!
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี พร้อมโพยดีดี ซื้อที่ ฟินโนมีนาฟันด์ ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ.
ไม่ว่าจะเป็นกองทุน SSF RMF และ Thai ESG👍 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/tax-saving-fund-ws
ก่อนอื่นอยากให้เข้าใจว่าการซื้อ Thai ESG จำนวน 300,000 บาท คือการที่เรานำจำนวน 300,000 บาทไปหักเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราจ่ายภาษีน้อยลงไป 300,000 บาทเลย
เพราะจำนวนเงินที่ประหยัดภาษีจริง ๆ นั้น ต้องคำนวณจากเงินได้สุทธิที่เหลืออยู่ โดยดูว่าตัวเราเองมีอัตราภาษีจ่ายขั้นสุดท้ายที่เท่าไร
เช่น ฐานภาษี 5% ซื้อ Thai ESG 300,000 บาท จะช่วยประหยัดภาษี 15,000 บาท เมื่อคำนวณเป็นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนทันทีที่ซื้อ เท่ากับ 5.26% (เงินภาษีที่ประหยัดได้ ÷ เงินลงทุนสุทธิ)
แต่หากใครฐานภาษีสูงขึ้นมา เช่น 20% แล้วซื้อ Thai ESG 300,000 บาท เท่ากับช่วยประหยัดภาษีได้ถึง 60,000 บาท เปรียบเหมือนได้ผลตอบแทนจากการลงทุนทันทีที่ซื้อ 25% เลยทีเดียว
ดังนั้น จะเห็นว่าในกรณีฐานภาษีเราสูงมาก เช่น 20-35% เมื่อคำนวณตามแนวทางข้างบน จะเท่ากับเรามีกำไรทันที 25.00% ถึง 53.85% เชื่อว่าคงตัดสินใจได้ไม่ยากเลย ว่าควรปล่อยโอกาสการลงทุนใน Thai ESG ให้หลุดลอยไปไหม
แต่หากใครที่ฐานภาษีไม่ได้สูงมาก อาจจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งเป้าหมายการเงินของตัวเอง เพราะ Thai ESG เป็นการลงทุนระยะยาว เงินที่นำมาซื้อควรเป็นเงินเย็น ไม่รีบร้อนใช้
สุดท้ายนี้ อย่าลืมคิดเรื่องค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหน่วยลงทุน และความเสี่ยงจากการลงทุนด้วย
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Thai ESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Thai ESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิกเลย 👉https://finno.me/thaiesg-hub-ws
อ้างอิง: SET SOURCE
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ตลาดหุ้นจีนได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ โดยดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงหลักของตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นถึง 6.5% ในวันเดียว ถือเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2015 ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 9 สร้างความตื่นตัวให้กับนักลงทุนทั่วโลก และอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทางเศรษฐกิจของจีน หลังเพิ่งประกาศ Pan’s Package มาตรการกระตุ้นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
– อ่านบทความ สรุป Pan’s Package มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน “ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
CSI Index | Source: Bloomberg | as of 30/09/24
หลังจากปรับตัวลงจากจุดสูงสุดในปี 2021 ไปกว่า 45% ดัชนี CSI 300 ก็กลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20% จากจุดต่ำสุด สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาดอย่างชัดเจน ส่งผลให้นักลงทุนจับตาสัญญาณบวกที่มีโอกาสนำไปสู่ภาวะ “ตลาดกระทิง” (Bull Market) ของตลาดหุ้นจีน
การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของตลาดหุ้นจีนส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่เรียกกันว่า Pan’s Package โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้
1. การผ่อนคลายกฎระเบียบด้านที่อยู่อาศัย
รัฐบาลจีนได้ประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบสำหรับผู้ซื้อบ้านในเมืองใหญ่ 3 แห่งของประเทศ มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจจีน
2. การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน ซึ่งเป็นการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์และช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น
3. การลดอัตราดอกเบี้ยทั่วไป
นอกเหนือจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน รัฐบาลยังได้ลดอัตราดอกเบี้ยทั่วไปด้วย ซึ่งช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป
4. การปลดล็อคเงินสดสำหรับธนาคารพาณิชย์
มาตรการเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน ทำให้ธนาคารมีเงินทุนมากขึ้นสำหรับการปล่อยกู้และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
5. การสนับสนุนสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้น
รัฐบาลได้ใช้มาตรการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหุ้นโดยตรง ซึ่งช่วยสนับสนุนราคาหุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของตลาดหุ้นจีนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินและพฤติกรรมนักลงทุน โดยมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (SSE) ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (SSZE) พุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 4.59 ล้านล้านบาท) ในเวลาเพียง 30 นาทีหลังเปิดทำการ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กลับมา
ทั้งนี้ ผลกระทบยังแผ่ขยายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยกองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน ด้วยการลดการถือครองหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และหันมาเพิ่มการลงทุนในบริษัทเหมืองแร่และวัสดุแทน
ขณะเดียวกันการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนยังได้ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาสู่ตลาด หลังจากถอนการลงทุนออกไปในช่วงตลาดซบเซา
นอกจากนี้ การที่นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับหุ้นจีนมากขึ้น ส่งผลให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลลดลงอย่างรวดเร็วในสัปดาห์ที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางจีนจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้น
Shanghai Composite Index’s Fear and Greed Index | Source: Bloomberg | as of 30/09/24
โดยสิ่งที่สนับสนุนแนวโน้มดังกล่าวก็คือดัชนีความกลัวและความโลภ (Fear and Greed Index) ของตลาดหุ้นจีนสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี นับตั้งแต่ปี 2020 สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่กล้ารับความเสี่ยงมากขึ้นสำหรับหุ้นจีน
อ้างอิง: Bloomberg