“รายการที่จะพาทุกคนไปเจาะลึก กับปรัชญา แนวคิดของนักลงทุนระดับ World Class”
หัวข้อ
0:00 Start
1:14 ประวัติและเรื่องราว
5:41 แนวทางและกลยุทธ์การเทรดที่น่าสนใจ
14:29 ผลตอบแทนโดยรวม และสรุปแนวคิดที่น่านำมาปรับใช้
App Spotify
https://finno.me/spotify
App Google podcasts
https://finno.me/googlepodcast
Apple podcast
https://finno.me/applepodcast
App Soundcloud
https://finno.me/soundcloud
Podbean
https://finno.me/podbean
Youtube
https://finno.me/youtubepodcast
รวมเทรนด์เทคโนโลยี 15 ธีมที่บริษัทจัดการกองทุนแห่งปีอย่าง ARK มองว่ากำลังจะมาแรง! มีธีมอะไรบ้าง? แต่ละธีมมีความน่าสนใจอย่างไร? FINNOMENA Admin รวบรวมไว้ที่นี่แล้ว
Deep Learning เป็นรูปแบบหนึ่งของ AI ที่นำข้อมูลมาเขียนซอฟต์แวร์ได้เองอัตโนมัติ
Virtual World (โลกความจริงเสมือน) คือสภาพแวดล้อมที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมา ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกวันนี้หลาย ๆ คนก็อาจจะพบเจอ Virtual World อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน หลัก ๆ แล้ว Virtual Worlds ประกอบไปด้วยวิดีโอเกม ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) และ ความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) ซึ่งในปัจจุบันนี้ แต่ละ Virtual World ยังแยกออกจากกันอยู่ แต่ในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าทุก Virtual World จะสามารถรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
จากงานวิจัยของ ARK ได้ระบุไว้ว่า รายได้ของ Virtual World จะเติบโตแบบทบต้น 17% ต่อปี จากระดับประมาณ 1.8 แสนล้านดอลล่าร์ในวันนี้ สู่ระดับ 3.9 แสนล้านภายในปี 2025
ปริมาณการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านมือถือในจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 15 เท่าในเวลาเพียง 5 ปีจากประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2015 เป็นประมาณ 36 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า GDP ของจีนในปี 2020 เกือบ 3 เท่า
ในสหรัฐฯ ผู้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลมีจำนวนมากกว่าผู้ถือบัญชีเงินฝากในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุด โดย ณ สิ้นปี 2020 จำนวนผู้ถือบัญชีเงินฝาก J.P. Morgan Chase มีทั้งหมดประมาณ 60 ล้าน ในขณะที่ Annual Active Users (AAUs) ของ Cash App และ Venmo อยู่ที่ 59 ล้านและ 69 ล้านตามลำดับ
ธนาคารแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกเหนือจากบริการทางการเงินแล้วกระเป๋าเงินดิจิทัลอาจกลายเป็นแพลตฟอร์มสร้างผู้นำสำหรับการค้าออฟไลน์และออนไลน์ซึ่งอาจเพิ่มอีก $9,000 ถึง $10,000 ให้กับมูลค่าปัจจุบันสุทธิของรายได้ โดยจากการวิจัยของ ARK หากผู้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลประมาณ 230 ล้านคนในสหรัฐฯ มีมูลค่า $19,900 ในปี 2025 โอกาสที่กระเป๋าเงินดิจิทัลของสหรัฐฯ จะมีมูลค่าถึง 4.6 ล้านล้านดอลลาร์
แม้ว่ายอดขายรถยนต์ที่ใช้ก๊าซจะลดลงในช่วงที่เกิดการระบาดครั้งใหญ่ของ COVID-19 แต่ยอดขาย EV กลับยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยนอกเหนือจากเรื่องต้นทุนการผลิตแล้ว EV ยังมีการแข่งขันในเรื่องประสิทธิภาพที่ตลาดรถยนต์กำลังอยู่ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบไฟฟ้าและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่ง ARK เชื่อว่าผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมขาดซอฟต์แวร์และความสามารถด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่จำเป็นในการประสบความสำเร็จ
สอดคล้องกับ Wright’s Law ที่ทุกหน่วยการผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จะทำให้ค่าใช้จ่ายของเซลล์แบตเตอรี่ลดลง 28% โดยองค์ประกอบต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดของ EV คือแบตเตอรี่ ดังนั้นการลดต้นทุนเหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อการเข้าถึงราคาที่เทียบเท่ากับรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ และหากผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ จะมีโอกาสที่ยอดขาย EV ทั่วโลกสามารถปรับขนาดได้ประมาณ 20 เท่าจาก ~2.2 ล้านในปี 2020 เป็น 40 ล้านภายในปี 2025
ผลิตภัณฑ์และบริการจากระบบอัตโนมัติมักมีราคาถูกกว่าทางเลือกอื่น โดยระบบอัตโนมัติและผลผลิตที่เพิ่มขึ้นสามารถให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากมาย ด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นของระบบอัตโนมัติ ARK คาดว่าจะได้ผลลัพธ์สี่ประการดังต่อไปนี้
ระบบอัตโนมัติสามารถเพิ่ม 5% หรือ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ให้กับ GDP ของสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดย ARK เชื่อว่าระบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงของสหรัฐฯโดยเฉลี่ยต่อปีเป็น 3.4%
รถโดยสารไร้คนขับมีแนวโน้มที่จะราคาไม่แพงเมื่อปรับอัตราเงินเฟ้อแล้ว โดย ARK ประเมินว่ารถโดยสารไร้คนขับจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ $0.25 ต่อไมล์ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการยอมรับได้อย่างกว้างขวาง
จากการวิจัยของ ARK พบว่าตลาดรถโดยสารในปัจจุบันสร้างรายได้ประมาณ 150 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก โดยมีอัตราการขายที่ 10-30% และอัตรากำไรสูงถึง 50% ในเมืองที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งการตอบสนองความต้องการในประเทศที่พัฒนาแล้วอาจสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนา โดยรถโดยสารไร้คนขับจะลดราคาค่าใช้จ่ายของรถโดยสารที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์ได้โดยประมาณ 90% ในสหรัฐอเมริกาและ 50% ในจีน
ARK เชื่อว่าแพลตฟอร์ม Ride-Hailing แบบไร้คนขับสามารถสร้างรายได้จากการดำเนินงานมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2030
ต่อจากนี้อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หรือ Orbital Aerospace มีแนวโน้มจะมีผู้เล่นมากขึ้น เมื่อต้นทุนของจรวดและดาวเทียมลดลง เป็นผลมาจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอย่าง Deep Learning, การเชื่อมต่อของอุปกรณ์เคลื่อนที่, ระบบเซนเซอร์, การพิมพ์สามมิติ และหุ่นยนต์
จากงานวิจัยของ ARK ได้ระบุไว้ว่า อุตสาหกรรม Orbital Aerospace มีโอกาสสร้างมูลค่าเกิน 3.7 แสนล้านต่อปีเลยทีเดียว
การพิมพ์ 3 มิติช่วยปลดล็อกศักยภาพในการผลิตซึ่งไม่สามารถทำได้ในการผลิตแบบดั้งเดิม โดยจะช่วยให้สามารถใช้ Form Factor ได้มากมาย
แม้ว่ารายได้จากการพิมพ์ 3D ในปี 2020 จะลดลง แต่ก็มีผู้ใช้รายใหม่จำนวนไม่น้อยที่นำประโยชน์จากเทคโนโลยี 3D Printing มาประยุกต์ใช้ในการผลิตสำหรับช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เช่น Face Shield, Face Masks, เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น โดย ARK เชื่อว่าอุตสาหกรรม 3D Printing ทั่วโลกจะขยายตัวในอัตรา 60% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้าจาก 12 พันล้านดอลลาร์ เป็นประมาณ 120 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2025
Long-Read Sequencing คือหนทางที่จะช่วยให้เราเข้าใจจีโนมมนุษย์มากขึ้น เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยอ่านลำดับนิวเคลียร์โอไทด์แบบสายยาว ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เกิดการปฏิวัติด้านจีโนมมนุษย์ ช่วยให้ขั้นตอนมีประสิทธิภาพและความแม่นยำมากขึ้น
ARK คาดการณ์ว่ารายได้จากการ Long-Read จะเติบโต 82% ต่อปี จากระดับ 250 ล้านดอลล่าร์ในปี 2020 สู่ประมาณ 5 พันล้านดอลล่าร์ในปี 2025 ขับเคลื่อนโดยต้นทุนที่ลดลง และความต้องการผลลัพธ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น
การตรวจมะเร็งด้วยการเจาะเลือด (Liquid Biopsies) สามารถป้องกันการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งได้มากกว่าวิธีการอื่น ๆ ทั้งหมด
เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ก้าวล้ำมากขึ้น ช่วยให้ต้นทุนของการตรวจหาตรวจหามะเร็งลดลง 20 เท่า จาก 30,000 ดอลล่าร์ในปี 2015 สู่ระดับ 1,500 ดอลล่าร์ในปัจจุบัน ในอนาคตก็ยังมีแนวโน้มจะลดลงอีก 80% สู่ระดับ 250 ดอลล่าร์ในปี 2025
เซลล์และยีนบำบัดยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งในรุ่นที่สอง (Generation 2) นั้นจะมีความก้าวหน้าหลายอย่าง ที่ช่วยให้รักษาคนได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง จำนวนการทำยีนบำบัดและการดัดแปลงยีนได้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่าตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งในอนาคตวิธีการทำยีนบำบัดน่าจะได้รับการอนุมัติจาก FDA เพิ่มขึ้น
อ่านเพิ่มเติม พาสำรวจจักรวาล ARK ผู้นำ ETF แห่งทศวรรษ
อ่านเพิ่มเติม เจาะลึกกองทุน ARK ทั้งหมดในประเทศไทย
อ่านเพิ่มเติม ARK Invest กับการลงทุน Innovation ที่แรงทะลุชั้นบรรยากาศ
อ่านเพิ่มเติม ตราสารอีทีเอฟแห่งปี 2020: ARK
ที่มาข้อมูล: https://research.ark-invest.com/hubfs/1_Download_Files_ARK-Invest/White_Papers/ARK%E2%80%93Invest_BigIdeas_2021.pdf
ประเด็นความร้อนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐ จากงบกระตุ้น 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของโจ ไบเดน และอัตราเงินเฟ้อที่จะตามมา กำลังเป็นสิ่งที่ต้องจับตา
ผมจึงขอนำเสนอมุมมองของ 3 กูรู ที่มีความแตกต่างของความคิดเห็นในประเด็น ส่วนต่างระหว่างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2021 กับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดซึ่งไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ หรือที่เรียกว่า Output Gap และ ผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ดังต่อไปนี้
เริ่มจาก ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้อ้างอิงงานวิจัยของ Congressional Budget Office (CBO) ที่ว่า Output Gap ในปัจจุบันมีระดับที่ต่ำกว่าผลต่อจีดีพีของงบกระตุ้นมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของโจ ไบเดน ดังรูป
นอกจากนี้ ซัมเมอร์สได้กล่าวเตือนว่าการบริหารอัตราเงินเฟ้อของเฟดในยุคนี้ น่าจะทำได้ยากขึ้น โดยให้เหตุผล 2 ประการ ได้แก่ หนึ่ง โดยปกติแล้ว หากเฟดจะลดอัตราเงินเฟ้อ ก็ต้องทำให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น ทว่าโดยธรรมชาติของอัตราการว่างงานของสหรัฐนั้น เมื่อจะทำให้ขึ้นมาสักร้อยละ 0.5 ก็มักจะมีผลข้างเคียงที่จะขยับขึ้นมาอีกระลอกราวร้อยละ 2-3 ในช็อตต่อมา
สอง การที่เส้นโค้งฟิลลิปส์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างที่จะแบนราบนั้น การจะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง ต้องใช้ขนาดของระดับอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นกว่าเดิม ด้วยภายใต้บรรยากาศที่ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำโดยธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่สูง และแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ จึงเป็นการยากที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อโดยที่จะไม่เกิดสภาพเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ
ด้านเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้ออกมาแสดงความเห็นตามแนวที่ว่า ‘ทำเกินไว้ก่อน ดีกว่าทำขาด’ โดยประเมินว่า งบกระตุ้นเศรษฐกิจของโจ ไบเดน จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถมีระดับการจ้างงานแบบเต็มที่ได้ภายใน 1 ปีนับต่อจากนี้
ทั้งนี้ เยลเลนไม่ค่อยกังวลว่าผลกระทบข้างเคียงสำหรับการใช้จ่ายของภาครัฐจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐทะยานสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้ ด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่ว่าเธอจะมองเห็นความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาแบบรุนแรงในกว่า 40 ปีแล้ว ทว่าด้วยเหตุผลที่ว่าแม้ว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ เฟดก็มีอาวุธเตรียมพร้อมสำหรับจัดการกับปัญหานี้ โดยความเสี่ยงที่มากกว่าคือโควิดจะส่งผลต่อชีวิตด้านการทำมาหากินของชาวสหรัฐไปแบบยาวนาน
ในขณะที่จิตา โกปินาถ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ ประเมินว่า ด้วยประสบการณ์กว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมา จะพบว่ามีความเป็นไปได้ต่ำมากที่งบกระตุ้นของไบเดน จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทะยานสูงขึ้นมากกว่าอัตราเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอัตราการว่างงานของสหรัฐจะลดลงเหลือร้อยละ 3.5 ในปี 2019 จากระดับร้อยละ 10 ในปี 2009 ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อก็ยังคงค่อนข้างทรงตัว แม้ว่าระดับค่าจ้างจะสูงขึ้นมาก็ตาม โดย ณ ตอนนี้ อัตราการว่างงานของสหรัฐที่สูงกว่าระดับธรรมชาติค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ตัวชี้วัดที่ใช้ก็ยังถือว่าให้ภาพเงินเฟ้อต่ำกว่าความเป็นจริง
จากงานศึกษาของไอเอ็มเอฟพบว่า มาตรการกระตุ้นของไบเดนจะส่งผลขนาดเทียบเท่าร้อยละ 9 ของจีดีพี หรือส่งผลให้จีดีพีของสหรัฐเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-6 ในช่วงระยะเวลา 3 ปีถัดไป รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่วัดตามวิธี PCE น่าจะสูงขึ้นมาแตะระดับร้อยละ 2.25 ในปี 2022 ซึ่งก็พอดีสอดคล้องกับเป้าหมายของอัตราเงินเฟ้อที่เฟดตั้งไว้ตามกฎหมายฉบับใหม่
โดยโกปินาถได้ยก 3 ปัจจัย ที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบที่เฟดตั้งเป้าเอาไว้ ได้แก่
หนึ่ง โลกาภิวัตน์ ซึ่งได้ส่งผลต่อการจำกัดอิทธิพลของอัตราเงินเฟ้อต่อสินค้าที่ค้าขายระหว่างกัน รวมถึงบริการบางประเภท ท่ามกลางวิกฤตโควิด แม้จะเกิดภาวะชะงักงันในช่วงต้น ๆ ทว่าระบบห่วงโซ่อุปทานของโลก ก็ได้แสดงถึงความยืดหยุ่นและว่องไวในการปรับตัว โดยที่สินค้าที่ซื้อขายระหว่างกันได้กลับมาทำการผลิตแบบที่สอดคล้องกับจังหวะการฟื้นตัวของการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โดยที่ระดับของการผลิตได้ก้าวข้ามผ่านระดับในช่วงก่อนโควิดไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี ยังมีส่วนของเครื่องจักรในโรงงานที่รอการกลับมาใช้งานอีกครั้งในประเทศอีกกว่า 150 ประเทศ ที่คาดว่าจะมีระดับอัตราส่วนระดับผลผลิตต่อหัวในปี 2021 ต่ำกว่าระดับปี 2019
สอง การใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์ ซึ่งมาพร้อม ๆ กับการลดลงของราคาของสินค้าทุน ย่อมจะทำให้การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างไม่สามารถส่งต่อไปยังราคาสินค้าและบริการในส่วนของผู้บริโภค ซึ่งนั่นก็หมายถึงอัตราเงินเฟ้อนั่นเอง โดยที่ในช่วงวิกฤตโควิด ยิ่งจะตอกย้ำข้อเท็จจริงดังกล่าว
นอกจากนี้ ในช่วงหลายทศวรรษ ภาคธุรกิจได้เข้าสู่ ‘ยุคปลาใหญ่ กินปลาเล็ก’ บริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งมักจะทิ้งอันดับต่อมาแบบขาดลอย รวมถึงอัตราส่วนกำไรต่อยอดขายที่สูงมากด้วย ด้วยเหตุนี้ แม้ค่าจ้างจะสูงขึ้น ทว่าบริษัทปลาใหญ่นี้ก็สามารถที่จะตรึงราคาสินค้าและบริการของตนเองได้ ด้วยวิกฤตโควิด ยิ่งจะตอกย้ำความจริงที่ว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก เนื่องจากปลาเล็กมีสายป่านสั้นในการต่อสู้กับเศรษฐกิจยุคโควิดที่จำนวนลูกค้าน้อยลงและเน้นของถูกกว่าในอดีต
ท้ายสุด ในยุคหลังจากอลัน กรีนสแปน ต้องยอมรับว่าเบน เบอร์นันเก้ เจเน็ต เยลเลน และเจย์ พาวเวล ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับวงการธนาคารกลางเป็นอย่างมาก จึงทำให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าแม้หนี้ของภาครัฐบาลจะสูงขึ้นแค่ไหนก็ตาม หากเกิดเงินเฟ้อแบบหนักมากขึ้นจริง ๆ แทบทุกคนยังมั่นใจว่าธนาคารกลางจะยังไม่ไปลดต้นทุนทางการเงินของรัฐบาล และยอมให้เงินเฟ้อขึ้นมาแบบที่รุนแรงเกินไป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ Inflation Expectations ยังคงมีเสถียรภาพอยู่
สำหรับความเห็นของผมเอง ยอมรับว่าค่อนข้างยากในการที่จะฟันธงเชื่อใครมากกว่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าซัมเมอร์สพูดได้ถูกต้อง คืองบกระตุ้นมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของโจ ไบเดน น่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตมากกว่าจีดีพีที่เป็นศักยภาพของตนเอง ทว่าจะเกิดอัตราเงินเฟ้อแบบทะยานขึ้นมาแรง ๆ หรือเปล่านั้น ในประเด็นนี้ ผมไม่คล้อยตามมุมมองของซัมเมอร์สมากเท่าไหร่นัก
MacroView
ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/652088
ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”
กองทุน UCHI สามารถซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น FINNOMENA ได้แล้ววันนี้
สำหรับช่วงนี้ที่กองทุน IPO ดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษในบทความนี้จึงเลือกหยิบยกอีกหนึ่งกองทุนที่อาจจะไม่ใช่ IPO ซะทีเดียวแต่เป็นกองทุนน้องใหม่แกะกล่องที่เพิ่ง IPO กันไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 15 – 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา กองทุนนั้นก็คือกองทุน UCHI จากบลจ. UOB นั่นเอง กองทุนนี้ลงทุนเกี่ยวกับอะไร มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้
5 อันดับประเทศที่มีอัตราการเติบโตของตลาด Healthcare สูงสุด
ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017)
อัตราการใช้จ่ายด้าน Healthcare ของ GDP ในสหรัฐฯ และจีน
ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017)
อัตราประชากรในประเทศจีนที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก World Bank ณ วันที่ 31/12/2019)
กรุงปักกิ่งได้ระบุให้เทคโนโลยีชีวภาพหรือ Biotech เป็นหนึ่งใน 10 ภาคส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมมีแผนเปลี่ยนจีนให้เป็นโรงไฟฟ้าในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูง
กองทุน UCHI หรือกองทุน United China Healthcare Innovation Fund จากบลจ.ยูโอบี (UOB) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare) ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare Innovation) ของประเทศจีน เช่น การพัฒนาและค้นคว้าด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหารสถานพยาบาล การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาจีนแผนโบราณ ระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ เป็นต้น
อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนที่มีความหลากหลาย
ที่มา: KraneShares
สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุน UCHI ลงทุนเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีอยู่ 2 กองทุนด้วยกัน ได้แก่
กองทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในตลาดตราสารทุนของบริษัทจีนที่มีธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare หลักทรัพย์ในดัชนีประกอบด้วยหุ้นซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตราสารที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกจะต้องได้รับการจัดประเภทภายใต้ มาตรฐานการจัดประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก (Global Industry Classification Standard) ให้อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ออกที่รวมอยู่ในดัชนีอ้างอิงอาจรวมถึงบริษัทขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดใหญ่
KURE Portfolio Characteristics (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020)
ที่มา: KraneShares
Top 10 Holdings ของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021)
ที่มา: https://kraneshares.com/kure/
เป็นกองทุน ETF แบบ Passive ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผลการดำเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องไปผลการดำเนินงานของ Solactive China Biotech Index NTR โดยดัชนีดังกล่าวกำหนด Universe การลงทุนต้องเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศจีนหรือฮ่องกงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
Industry Breakdown ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 29/01/2021)
ที่มา: Global X China Biotech ETF Factsheet
Top 10 Holdings ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021)
ที่มา: https://www.globalxetfs.com.hk/funds/china-biotech-etf/
ผลการดำเนินงานของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020 และ วันที่ 31/01/2021)
ที่มา: https://kraneshares.com/kure/
** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต **
ผลการดำเนินงานของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021)
ที่มา: https://www.globalxetfs.com.hk/funds/china-biotech-etf/
** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต **
อย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่า Master Fund ของกองทุน UCHI ทั้ง 2 กองทุนล้วนแล้วแต่มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบ Passive นั่นคือมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนให้ผลการดำเนินงานสอดคล้องไปกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 Index และ ดัชนี Solactive China Biotech Index NTR ดังนั้นผลการดำเนินงานของ Master Fund จึงใกล้เคียงกับดัชนีเปรียบเทียบทั้ง 2 ดัชนี
กองทุน UCHI จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ https://www.finnomena.com/port/
— planet 46.
สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan
อ้างอิง
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หนุนยีลด์พันธบัตรสหรัฐอายุยาวพุ่งทะยาน ขณะเฟด “เปิดไฟเขียว” ไม่ขวางทางขึ้น นักวิเคราะห์บางรายแกะรอยเงื่อนไขการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐเชื่อว่า เฟดไม่อยากเข้าไปควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหรือทำ yield curve control แบบญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนได้ไม่คุ้มเสีย หากทำจริงคงคุมแค่พันธบัตรอายุสั้นถึงกลาง แต่ไปไม่ไกลถึงตัว 10 ปี ปล่อยให้ curve ชันแบบชิล ๆ ถ้ามาจากสาเหตุที่ “ถูกต้อง” เศรษฐกิจดี/เงินเฟ้อฟื้น และตราบที่ตัวชี้วัดสำคัญ ๆ อาทิ ดอกเบี้ยบ้านยังต่ำ corporate bond yield spreads แคบมากเช่นปัจจุบัน เฟดก็คงทำตัวเป็นผู้ชมอยู่ข้างสนามต่อไปโดยไม่ต้องเข้าแทรกแซงอะไรมาก
ตัวที่ถูกบิดเบือนด้วย QE ของเฟดคือ 10-Year Breakeven Inflation ทรงตัวถึงขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ 5-Year, 5-Year Forward Inflation Expectation ซึมลงและต่ำกว่า 2% ดูเหมือนความกังวลเงินเฟ้อค่อย ๆ คลี่คลาย ตามจุดประสงค์ของ Jerome Powell และกรรมการเฟดซึ่งดาหน้าออกมาสื่อสารกับตลาดว่า เงินเฟ้อสูงคงแค่ชั่วคราวแต่ระยะยาวเผชิญหลากหลายปัจจัยกดไว้ให้ต่ำ
ความสำคัญของ “หุ้นญี่ปุ่น” ในชุดกลยุทธ์ของเราจึงมีน้อยลง เราจึงปิดสถานะโดย สับเปลี่ยนออกจาก KT-JAPAN-A ทั้งหมดไปเข้า KTSTPLUS-A เพื่อเสริมสภาพคล่อง
ภายใต้กระบวนการ normalization หุ้นจำพวก growth at ANY price ราคาขึ้นไปตามความฝันด้วยแรงขับดันของสภาพคล่องล้วน ๆ แต่แทบจะไร้การเติบโตจริง ๆ ในปี 2020 คงถึงเวลาต้องหลบไปหลีกทางให้ “แกนนำรุ่นใหม่” growth at REASONABLE price (GARP) หุ้นเติบโตสูงคุณภาพดี quality & growth ที่ราคาสมเหตุสมผล เพราะเมื่อต้นทุนของเงินแม้ยังต่ำแต่เริ่มจะ “ไม่ฟรี” ในปี 2021 นักลงทุนก็ควรตื่นจาก “ฝัน” หันกลับมาใช้ “เหตุผล” กันได้แล้ว!!!
สับเปลี่ยนออกจาก KTSTPLUS-A 10% ไปเข้า KT-ASIAG-A
เรียกติดปากว่า “Asia Growth” สามารถใช้เป็นแกน (core position) ของพอร์ตหุ้นต่างประเทศ ด้วยสไตล์ quality & growth คัดสรรสุดยอดหุ้น “คุณภาพสูง” และ “เติบโตสูง” ณ ราคาสมเหตุสมผลในตลาดเอเชีย ซึ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญอย่างเต็มตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกสู่ทศวรรษใหม่
ทำไมตลาดเอเชีย ถึงน่าสนใจ ในสายตานักลงทุน
Krungthai Asset Management
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Krungthai Belief Allocation สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >>แอปฯ FINNOMENA
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ FINNOMENAสำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Krungthai Belief Allocation คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน FINNOMENA PORT และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notification ในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก 1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด มหาชน หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
“Hello! IPO รายการที่จะพาทุกคนพบกับกองทุนเปิดใหม่แกะกล่องประจำสัปดาห์ พร้อมแนะนำกองทุน IPO ที่น่าสนใจ”
App Spotify
https://finno.me/spotify
App Google podcasts
https://finno.me/googlepodcast
Apple podcast
https://finno.me/applepodcast
App Soundcloud
https://finno.me/soundcloud
Podbean
https://finno.me/podbean
Youtube
https://finno.me/youtubepodcast
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนประกาศในวันนี้ว่า จีนได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ในการต่อสู้กับความยากจน
“OR” เข้าซื้อหุ้น 20% ใน “โอ้กะจู๋” มูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท ต่อยอดธุรกิจค้าปลีกในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B)
ก.ล.ต. จะมีการออกมาประกาศเพื่อทำการ hearing ในวันนี้เกี่ยวกับกับ “ยกระดับการกำกับดูแลการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน”
เนื่องจากคริปโทเคอร์เรนซี มีความผันผวนสูง การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีจึงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจและความสามารถรับความเสี่ยงจากการได้รับผลขาดทุนจากการลงทุนได้ จึงมีแนวคิดกำหนดคุณสมบัติผู้ลงทุนด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่..
1. มีรายได้ต่อปีไม่นับรวมคู่สมรส ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีสินทรัพย์สุทธิตั้งแต่ 10 ล้านบาท โดยไม่นับอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นที่พักอาศัยประจำ หรือ มีมูลค่าลงทุนในหลักทรัพย์สัญญาซื้อขายล่วงวหน้า 5 ล้านบาทขึ้นไป
และ 2. เป็นผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเป็น Professional ตามที่สำนักงานกำหนด
ที่มา : https://siamblockchain.com/2021/02/25/sec-new-rules/
หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือที่มีชื่อเล่นว่า “ใบ 50 ทวิ” เอกสารสำคัญที่ทุกคนใช้เป็นหลักฐานการยื่นภาษี แต่น้อยคนที่เข้าใจรายละเอียดอย่างถูกต้อง วันนี้มาพูดคุยกันสบาย ๆ กับทุกประเด็นที่น่าสนใจของใบ 50 ทวิกัน
พาวเวล เผย อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปีกว่าที่อัตราเงินเฟ้อจะแตะระดับเป้าหมายของเฟด
รูปที่ 1 อัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ 23 มีนาคม 2020 | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศทำ Unlimited QE ในวันที่ 23 มีนาคม 2020 ที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารกลางหลัก ๆ อีกหลายประเทศก็เดินหน้าใช้มาตรการกระตุ้นในปริมาณมหาศาลเพื่อรับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
เมื่อประกอบกับการอนุมัติใช้วัคซีนไวรัส COVID-19 และการชนะการเลือกตั้งของนายโจ ไบเดน ในช่วงปลายปี 2020 ซึ่งประกาศใช้มาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ช่วยหนุนมุมมองการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ชัดเจน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลา 11 เดือนที่ผ่านมา
รูปที่ 2 US10Y Breakeven และ US Government Bond 2-10 Spread | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
มุมมองดังกล่าวนอกจากจะหนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นแล้ว ยังสร้างความคาดหวังต่ออัตราเงินเฟ้อที่สะท้อนออกมาผ่านดัชนี US Breakeven ในช่วงที่ผ่านมาใด้ปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 2014 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรระยะยาว ซึ่งสะท้อนผ่านทาง 2-10 Spread ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่งผลให้ Earnings Yield Gap ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณา Valuation ของดัชนี S&P 500 ด้วยมุมมองของส่วนชดเชยความเสี่ยง ลดลงจนแตะระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 จาก Valuation ที่สูงขึ้นในฝั่งของตลาดหุ้น และการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร
รูปที่ 3 S&P 500 Index & Earning Yield Gap | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นจีน (All China) โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็ปรับตัวขึ้นมาเช่นเดียวกัน ด้วยอานิสงส์จากทั้งการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่มีประสิทธิภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่เมื่อพิจารณาระดับ Valuation ด้วย Relative P/E Ratio เปรียบเทียบกับดัชนี S&P 500 พบว่าสูงกว่าระดับ 2SD และสูงกว่าช่วงการระบาดของ COVID-19 สะท้อนระดับ Valuation ที่ตึงตัวอย่างมาก
รูปที่ 4 Relative P/E & Price MSCI China to S&P 500 | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
ดังนั้นในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจมีการปรับฐานหรือพักฐาน อย่างไรก็ตามในระยะยาว FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีน ด้วยความได้เปรียบในการใช้นโยบายการเงิน การควบคุมการแพร่ระบาดและการใช้วัคซีน อีกทั้งยังมีมาตรการการคลังที่เตรียมจะใช้ในปีนี้
นอกจากนั้นแล้วทั้งสหรัฐฯ และจีนยังมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรของตลาดหุ้นด้วย ด้านมุมมองอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในตลาด ณ ปัจจุบัน หากพิจารณาในมุมกลับกันแล้ว การเกิดเงินเฟ้ออ่อน ๆ ในช่วง early-stage กลับส่งผลให้อัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตอีกด้วย อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลังวิกฤติปี 2008
รูปที่ 5 US10Y Breakeven และ S&P 500 Bloomberg Earning Estimate | Source : Bloomberg As of 22/02/2021
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นของแต่ละ Private Wealth Port เพื่อทำกำไรและหาโอกาสการลงทุนต่อไปในอนาคต ดังนี้
แนะนำลดสัดส่วน KFGBRAND-D 10% (ทั้งหมด) , ลดสัดส่วน TMBCOF 10% (ทั้งหมด)
เพิ่มสัดส่วนการลงทุน KFSMART 20%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผ่านทางระดับ Valuation และ ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ตึงตัวส่งผลให้อาจมีโอกาสปรับฐานได้ในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบางส่วน ประกอบไปด้วย TMBCOF 10% (ทั้งหมด) และ KFGBRAND-D 10% (ทั้งหมด) เพื่อรักษากำไรที่เกิดขึ้น และ จำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานดังกล่าว และ แสวงหาโอกาสในการลงทุนต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้หุ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว จึงยังคงแนะนำถือครองกองทุนหุ้น K-USA-A (D) ไว้ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนในรูปแบบของกระแสเงินสด และ Capital Gain ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
แนะนำลดสัดส่วน KFGBRAND-A 10% (ทั้งหมด) , ลดสัดส่วน TMBCOF 5% (ทั้งหมด)
เพิ่มสัดส่วนการลงทุน KFSMART 10%, เพิ่มสัดส่วนการลงทุน TMBTM 5%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผ่านทางระดับ Valuation และ ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ตึงตัวส่งผลให้อาจมีโอกาสปรับฐานได้ในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบางส่วน ประกอบไปด้วย TMBCOF 5% (ทั้งหมด) และ KFGBRAND-A 10% (ทั้งหมด) เพื่อรักษากำไรที่เกิดขึ้น และ จำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานดังกล่าว และ แสวงหาโอกาสในการลงทุนต่อไปในอนาคต
แนะนำลดสัดส่วน KFGBRAND-A 10% (ทั้งหมด) ,ลดสัดส่วน TMBCOF 10% (ทั้งหมด) , ลดสัดส่วน K-USA-A(A) 10% (ทั้งหมด)
เพิ่มสัดส่วนการลงทุน KFSMART 20%, เพิ่มสัดส่วนการลงทุน K-CASH 10%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผ่านทางระดับ Valuation และ ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ตึงตัวส่งผลให้อาจมีโอกาสปรับฐานได้ในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบางส่วน ประกอบไปด้วย TMBCOF 10% (ทั้งหมด), K-USA-A(A) 10% (ทั้งหมด) และ KFGBRAND-A 10% (ทั้งหมด) เพื่อรักษากำไรที่เกิดขึ้น และ จำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานดังกล่าว และ แสวงหาโอกาสในการลงทุนต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้หุ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว จึงยังคงแนะนำถือครองกองทุนหุ้น ONE-UGG-RA, KT-FINANCE และ KT-Ashares-A ไว้ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
แนะนำลดสัดส่วน KFGBRAND-A 20% (ทั้งหมด), ลดสัดส่วน K-USA-A(A) 20% (ทั้งหมด)
เพิ่มสัดส่วนการลงทุน KFSMART 20%, เพิ่มสัดส่วนการลงทุน K-CASH 20%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผ่านทางระดับ Valuation และ ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ตึงตัวส่งผลให้อาจมีโอกาสปรับฐานได้ในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบางส่วน ประกอบไปด้วย K-USA-A(A) 20% (ทั้งหมด) และ KFGBRAND-A 20% (ทั้งหมด) เพื่อรักษากำไรที่เกิดขึ้น และ จำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานดังกล่าว และ แสวงหาโอกาสในการลงทุนต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้หุ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว จึงยังคงแนะนำถือครองกองทุนหุ้น ONE-UGG-RA และ WE-CHIG ไว้ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
FINNOMENA Investment Team
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน FINNOMENA PORT และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notification ในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก 1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัว ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
รูปที่ 1 อัตราผลตอบแทน ARK ETF | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
ARK Invest บริษัทจัดการที่บริหาร Active ETF กลุ่ม ARK ชื่อดังที่สร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่นจนเป็นที่จับตามองของนักลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก จนมีการนำมาเป็นกองทุนหลักของหลากหลายกองทุนรวมซึ่งเริ่ม IPO อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเป็นผลมาจากความนิยมที่หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ภายใต้การบริหารของ ARK Invest ที่สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้มากกว่า 100% ใช้กระบวนการวิเคราะห์เพื่อเลือกหุ้นทั้งแบบ Top-Down และ Bottom-Up ผ่านข้อมูลการเงินแบบดั้งเดิม ข้อมูลจากโลกออนไลน์ และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
รูปที่ 2 Analyst Recommendation | Source : Bloomberg As of 21/02/2021
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับฐานเช่นเดียวกับ Active ETF กลุ่ม ARK ลดระดับ Valuation ที่ตึงตัวลง สร้างความน่าสนใจสำหรับการสะสมเพื่อลงทุน โดยพิจารณาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพบว่าทั้งการลดลงของต้นทุนและการเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันเป็นปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตในระดับก้าวกระโดด สอดคล้องกับคำแนะนำของนักวิเคราะห์ที่คงมีคำแนะนำเข้าลงทุนในหุ้นเติบโต โดยมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้สะท้อนผ่าน Fund flows ที่ยังเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 3 Max Drawdown ARK ETF ย้อนหลัง 6 ปี | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
อย่างไรก็ตาม ปรัชญาการลงทุนซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูงของ ARK Invest ส่งผลให้มักมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก โดยโมเดลธุรกิจของหุ้นเหล่านี้จะเน้นการขยายฐานลูกค้าเป็นหลัก ทำให้รายได้จะเติบโตต่อเนื่องแต่การทำกำไรยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น Active ETF กลุ่ม ARK หรือกองทุนรวมที่มี Active ETF กลุ่ม ARK เป็นกองทุนหลักจะมีความผันผวนที่สูงกว่าตลาดหุ้น ที่ผ่านมาเมื่อ Active ETF กลุ่ม ARK ปรับตัวลงจะมี Drawdown ถึง -17 ถึง -23%
รูปที่ 4 Backtest กลยุทธ์การลงทุนแบบ Contrarian บน ARKW ETF | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
จากสถิติในอดีต FINNOMENA Investment Team จึงนำ Drawdown มาทดสอบ (Backtest) บน Active ETF ARKK เป็นหลัก ซึ่งเป็นกองทุนที่มีกรอบการลงทุนครอบคลุม Active ETF ARK อื่นๆ ซึ่งมีค่า Correlation กับ Active ETF ARK อื่นๆ ในระดับ 0.91 ขึ้นไป และมีอายุการดำเนินงานที่มากพอ เป็นตัวแทนการทดสอบแบบ Contrarian หรือคำแนะนำซื้อเมื่อกองทุนปรับตัวลงถึงจุด Drawdown เฉลี่ย (-17%) และแนะนำขายเมื่อ Acitve ETF กลุ่ม ARK กลับมาสู่จุดสูงสุดเดิม พบว่าปี 2016 จนถึงปี 2020 มีสัญญาณคำแนะนำให้ซื้อ 7 ครั้ง ทำผลตอบแทนได้ระหว่าง 10.71% ถึง 22.65% และมี 4 ครั้งที่มี Maximum Drawdown ระหว่าง -10.82% ถึง -34.53%
รูปที่ 5 Profit / Drawdown บนกลยุทธ์การลงทุนแบบ Contarian บน ARKW ETF | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
ซึ่งในปัจจุบันกองทุน ARK Next Generation Internet (ARKW) ได้ปรับตัวลงมาถึง -10.61% ฉะนั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำทยอยสะสมกองทุน WE-CYBER ด้วยธีม Next Generation Internet ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนแบบ Long Term Call หรือ Tactical Call ซึ่งสามารถทำกำไรได้เมื่อ Active ETF กลับมาสู่จุดสูงสุดเดิม
รูปที่ 6 ARKW ETF Chart time frame Day | Source : Bloomberg As of 23/02/2021
กองทุนรวม WE-CYBER มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักคือ ARK Next Generation Internet
ETF (ARKW) ไม่น้อยกว่า 80% โดย ARKW มีนโยบายการลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ Next Generation Internet ไม่ว่าจะเป็น
รูปที่ 7 สัดส่วนการลงทุนรายประเทศของ ARKW ETF | Source : ARK-Funds As of 23/02/2021 (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ฉบับ 01/01/2564 ข้อมูลลงทุน 31/12/2563)
รูปที่ 8 สัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรมของ ARKW ETF | Source : ARK-Funds As of 23/02/2021 (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ฉบับ 01/01/2564 ข้อมูลลงทุน 31/12/2563)
รูปที่ 9 สัดส่วนการลงทุนรายตีมเทคโนโลยีของ ARKW ETF | Source : ARK-Funds As of 23/02/2021 (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ฉบับ 01/01/2564 ข้อมูลลงทุน 31/12/2563)
รูปที่ 10 TOP 10 Holding ของ ARKW ETF | Source : ARK-Funds As of 23/02/2021 (หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ฉบับ 01/01/2564 ข้อมูลลงทุน 31/12/2563)
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน WE-CYBER และ ARKW: ลงทุนใน Next Generation Internet ที่จะเติบโตในโลกยุคใหม่
FINNOMENA Investment Team
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัว ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หลังจากหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีน แสงสว่างของมนุษยชาติชัดเจนมากขึ้น ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้ชัดเจนขึ้น อัตราค่าขนส่ง ราคาน้ำมัน และราคาอาหารปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ผมจึงจำเป็นปรับพอร์ต เชิง tactical รองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ก่อนอื่นเรามาดูผลดำเนินการของพอร์ต Global Aggressive Hybrid กันก่อน (วันที่ 19-Feb-2021 ที่มา: FINNOMENA)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ธนาคารกลางยังคงพยายามรักษาสภาพคล่องและยังคงดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง เราได้เห็นการเพิ่มของราคากลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ด้วยเหตุนี้จึงขอปรับพอร์ตเชิง Tactical ระยะสั้น
WealthGuru
*สนใจลงทุนในพอร์ต Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้เงินสร้างความมั่งคั่งในอนาคต สามารถสร้างแผนได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-wealthguru-hybrid-create/
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน FINNOMENA PORT และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notification ในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก 1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
สภาวการณ์ที่ตลาดหุ้นเวียตนามวิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงเร็ว ๆ นี้จนกลับมาเกือบถึงจุด “All time high” ที่ประมาณ 1,170 จุดทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่านมรสุมโควิด-19 “รอบสอง” ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา คำถามที่เกิดขึ้นในใจของผมก็คือ หุ้นเวียตนามต่อจากนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องไปมากน้อยแค่ไหน? ได้เวลาที่จะ “ลุย” ตลาดหุ้นเวียตนามอย่างจริงจังหรือยัง? และคำตอบของผมก็คือ เวลาที่หุ้นเวียตนามจะ “ออกบิน” หรือ “Takeoff” น่าจะใกล้มาถึงแล้ว เหตุผลนั้นมีมากมาย ลองมาดูกัน
ในการที่จะดูว่าตลาดหุ้นจะดีอย่างโดดเด่นในอนาคตระยะยาวนั้น ผมจะดูถึงปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศว่าเป็นอย่างไรในอนาคตระยะยาวเป็นสิบ ๆ ปีหรืออย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป โดยตัวแรกที่จะดูก็คือ การเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศ ซึ่งในกรณีของเวียตนามนั้น นักวิจัยแทบจะทุกสำนักต่างก็มองว่าจะเติบโตสูงมากใน “ระดับโลก” ประสบการณ์ที่ผมเห็นก็คือ เวียตนามน่าจะโตต่อไปในระดับอย่างน้อย 5-6% ต่อปี ไปอีกไม่น้อยกว่า 10-20 ปี อย่างที่ไทยเคยทำได้ในช่วง “ทศวรรษทอง” ของไทยประมาณระหว่างปี 1987-2007 เป็นเวลา 20 ปี ว่าที่จริง แม้แต่ปีที่แล้วที่เกิดวิกฤตโควิด-19 เวียตนามก็ยังโตเกือบ 3% และถือเป็นประเทศที่โตสูงที่สุดในโลกในขณะที่ประเทศอื่นต่างก็ติดลบมากจนแทบจะเป็นประวัติการณ์ นอกจากนั้น ในปี 2564 ก็ยังได้รับการคาดการณ์ว่าจะโตไม่น้อยกว่า 6-7% ขึ้นไป อานิสงส์จากการ “ไหลบ่า” ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่พยายามหลีกเลี่ยงหรือย้ายฐานการลงทุนในจีนที่กำลังมีปัญหาสงครามการค้ากับอเมริกา
ปัจจัยตัวที่สองก็คือเรื่องของ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งในความคิดของผมก็คือ เป็นตัวที่จะ “จุดชนวน” ให้ตลาดหุ้นเวียตนาม “Takeoff” ในรอบนี้ ประเด็นก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรหรือ Bond Yield อายุ 10 ปี ของเวียตนามลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแค่ 1 ปีที่ผ่านมาจากประมาณ 5% ต่อปีเหลือเพียง 2% ต้น ๆ อานิสงส์จากสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นโลกรวมถึงเวียตนาม ว่าที่จริงอัตราพันธบัตรอายุ 10 ปีของเวียตนามนั้นลดลงมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 10 ปีมาแล้วจากอัตราที่เคยสูงถึงปีละ 10% ซึ่งก็น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ และกลายเป็นตลาดระดับ “ซุปเปอร์สตาร์” ของตลาดในกลุ่ม “ชายขอบ” หรือ Frontier Market ผลกระทบของการลดลงของดอกเบี้ยและสภาพคล่องทางการเงินทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลของเวียตนามหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน จำนวนนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราสองเท่าตัวจากปีที่แล้ว และนี่ก็น่าจะช่วยขับเคลื่อนหุ้นให้วิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเร็ว ๆ
ปัจจัยตัวที่สามที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปได้ดีก็คือ การเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งในตลาดหุ้นเวียตนามนั้น บริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 30 บริษัทสามารถทำกำไรเติบโตได้สูง แม้แต่ปี 2563 ที่เป็นปีวิกฤติโควิด-19 ก็ยังสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณ 7% ดังนั้น ในปี 2564 และปีต่อ ๆ ไปที่เศรษฐกิจเวียตนามจะดีขึ้นมาก กำไรของบริษัทก็น่าจะยังโตขึ้นไปได้เร็วและมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเติบโตของผู้บริโภคหรือความร่ำรวยของคนเวียตนามนั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อานิสงส์จากการมีงานทำและการเพิ่มขึ้นของค่าแรงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในอุตสาหกรรมโดยเฉพาะของนักลงทุนต่างชาติ อีกส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็คือ การขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของการปล่อยกู้แก่บุคคลธรรมดาที่มี “สลิปเงินเดือน” หรือมีรายได้แน่นอนจากการเป็นพนักงานประจำของบริษัทใหญ่ ๆ ซึ่งจะทำให้การบริโภคซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายในสินค้าราคาสูง เช่น การซื้อบ้านและรถยนต์เติบโตเร็วขึ้นมาก
สุดท้ายที่จะกำหนดว่าการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นจะมากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ายังอยู่ที่ความถูกความแพงของหุ้นซึ่งวัดจากค่า PE ของตลาด แม้ว่าค่า PE ของเวียตนามจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้เป็นประมาณ 17-18 เท่า แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนแล้วก็พบว่าเป็นค่า PE ที่ต่ำที่สุด ประเทศอื่นทุกประเทศต่างก็มีค่า PE เกิน 20 เท่า บางประเทศเช่นอินโดนีเซียมากถึงกว่า 30 เท่า ทั้ง ๆ ที่เวียตนามเป็นประเทศที่โตเร็วที่สุด ค่า PE ที่ต่ำกว่า 20 เท่าในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลดลงมาเหลือเพียง 2-3% ต่อปีและดูเหมือนว่าจะไม่เพิ่มขึ้นอีกนานนั้นก็ต้องถือว่าเป็นราคาหุ้นที่ไม่แพง นอกเหนือจากนั้น ผลตอบแทนปันผลของตลาดหุ้นเวียตนามก็ค่อนข้างดีมาก น่าจะไม่น้อยกว่าปีละ 3% โดยเฉลี่ย
นอกจากปัจจัยด้านพื้นฐานดังที่กล่าวมาแล้ว ผลตอบแทนการลงทุนบ่อยครั้งยังขึ้นอยู่กับ “เหตุการณ์ไม่คาดคิด” ที่เกิดขึ้นในประเทศซึ่งมีทั้งดีและร้าย ตัวอย่างเช่นในตลาดหุ้นไทยเองนั้น เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นก็เช่น การรัฐประหาร ความวุ่นวายทางการเมืองหรือการเกิดน้ำท่วมใหญ่ ที่ทำให้หุ้นตก เป็นต้น ส่วนเหตุการณ์ดีก็เช่น มีการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 20% ภายในเวลา 2 ปี ซึ่งทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นและทำให้หุ้นวิ่งขึ้น เป็นต้น สำหรับตลาดหุ้นเวียตนามนั้น ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่เราจะคาดไม่ได้ว่าใน 10 ปีข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น แต่หลายสิ่งที่ “ดีต่อตลาดหุ้น” น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก และเมื่อเกิดขึ้นหุ้นก็น่าจะวิ่งขึ้นแรงได้
อย่างแรกเลยที่ผม “รอ” ว่าน่าจะเกิดขึ้นภายใน 3-4 ปีก็คือการที่ตลาดหุ้นเวียตนามจะได้รับการยกระดับจากตลาดหุ้นชายขอบเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่หรือ “Emerging Market” และถ้าเกิดขึ้นก็จะทำให้กองทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศสามารถเข้าไปลงทุนได้ ซึ่งนั่นมักจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นแรงมาก บางแห่งที่เคยถูกปรับแบบนั้นดัชนีตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ตลาดหุ้นเวียตนามนั้น จริง ๆ แทบทุกอย่างพร้อมแล้วโดยเฉพาะด้านขนาดของตลาดและปริมาณการซื้อขายซึ่งช่วงเร็ว ๆ นี้มีปริมาณการซื้อขายบางวันสูงถึงวันละกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่สิ่งที่ยังขาดก็คือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น เรื่องของข้อจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติ เป็นต้น ทำให้ยังไม่ได้รับการพิจารณา ซึ่งนี่ก็มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมที่ “เจ้าหน้าที่เป็นใหญ่” มาช้านาน ซึ่งทำให้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มีมากและเปลี่ยนแปลงได้ช้า
เรื่องที่สองก็คือ การเกิดขึ้นของ “นักลงทุนสถาบัน” เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐ กองทุนของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต รวมถึงกองทุนรวมต่าง ๆ ในประเทศ สิ่งเหล่านี้น่าจะยังมีน้อยมากหรือไม่มี แต่ในไม่ช้าก็จะต้องเกิดขึ้น เพราะสังคมของเวียตนามก็น่าจะเริ่มแก่ตัวลงในไม่ช้าเมื่อคนเกิดน้อยลงตามกระแสของโลก การเก็บเงินเพื่อการเกษียณโดยเฉพาะเมื่อคนร่ำรวยและมีฐานะดีขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะกลายเป็นความจำเป็น และเมื่อ “กระแส” นี้เกิดขึ้น ความต้องการที่จะลงทุนในตลาดหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล ดังนั้น หุ้นก็จะเติบโตขึ้นต่อเนื่องยาวนาน และนี่ก็คือสิ่งที่ “ไม่คาดคิด” แต่เป็นสิ่งที่ดีเมื่อเกิด คนที่ลงทุนในหุ้นอยู่ก็จะได้รับ “โบนัส” หรือกำไรจากการที่หุ้นปรับตัวขึ้นไป “ก้อนใหญ่”
นอกจากเรื่องของพื้นฐานของตลาดหุ้นและหุ้นในตลาดที่พร้อมแล้วเกือบทุกด้านสำหรับตลาดหุ้นเวียตนาม สิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ “เครื่องมือ” ในการลงทุน เมื่อ 4-5 ปีก่อนผมเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามและก็พบว่าในช่วง 3-4 ปีแรกไม่ประสบความสำเร็จนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ ผมไม่รู้จักตัวหุ้นดีพอและไม่มีเครื่องมือการลงทุนที่มีประสิทธิภาพเช่น กองทุนรวมหรือ ETF ที่จะหลีกเลี่ยงการเลือกหุ้นเอง ผลก็คือ ผมเลือกลงทุนในหุ้นแบบกระจายมากและคล้าย ๆ กับ “กองทุนหุ้น VI ตัวเล็ก” ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำมากเมื่อเทียบกับดัชนี แต่ในปัจจุบัน มีกองทุนหลายแบบที่เราจะสามารถเลือกลงทุนได้เช่น ETF ของหุ้น 30 ตัวที่น่าจะอิงกับดัชนีตลาดของเวียตนาม ETF Daimond ที่อิงกับหุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกที่มี Foreign Premium หรือหุ้นที่ต่างชาติต้องจ่ายแพงกว่าคนเวียตนาม เป็นต้น ซึ่งกองทุนหรือ ETF เหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้อย่างสะดวกและน่าจะได้ผลตอบแทนตามทิศทางของหุ้นใหญ่ ๆ หรือหุ้นดี ๆ ในตลาดโดยไม่ต้องเลือก ผมเองในช่วงเร็ว ๆ นี้ เวลามีเงินสดจากปันผลหรือการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในตลาดเวียตนาม ผมก็จะลงทุนใน ETF หรือกองทุนเป็นหลักแทนการเลือกหุ้นเองแล้ว
ก่อนที่จะจบ ก็คงต้องเตือนว่า การลงทุนในเวียตนามนั้น ไม่ใช่ว่าจะทำให้ “รวยเร็วมาก” แต่น่าจะรวยเร็วพอใช้ในระยะยาวและผมคิดว่ามีความเสี่ยงต่ำถ้าอยู่นานพอ สิ่งที่พอคาดหวังได้น่าจะเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% และถ้าโชคดีอาจจะถึง 15% ในระยะเวลา 10 ปีนับจากนี้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/02/22/2468
การเกิด Short squeeze เกิดจากการที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้คนที่ทำการ Short sell ไว้ขาดทุนมหาศาลจนต้องยอม Cut loss ไป ซึ่งการ Cut loss ของกลุ่ม Short sell ก็คือการเข้าซื้อหุ้นนั่นเอง จึงเกิดปรากฏการณ์ไล่ซื้อหุ้นทุกราคา ทำให้ราคาหุ้นพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างรุนแรง ยิ่งจำนวน Short sell ในระบบมีมากแค่ไหน หุ้นก็จะยิ่งพุ่งทะยานได้ไกล ซึ่งในกรณีของหุ้น GameStop ที่ราคาพุ่งขึ้นไปกว่า 1,000% ในเวลา 1 สัปดาห์ เป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์ Short squeeze หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ Gamestop มันก็เหมือนจะเริ่มลุกลามไปที่หุ้นตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวรวมถึง Silver ด้วย หลายคนจึงสงสัยว่ามันจะลุกลามมาถึงทองคำได้หรือไม่
ผมมองว่าโอกาสเกิด Short Squeeze ในตลาดทองคำ ถือว่ายากมากแต่ก็พอมีโอกาส ถึงโอกาสจะน้อยก็ตาม มาลองวิเคราะห์กัน ณ ปัจจุบันมูลค่าตลาดทองคำอยู่ที่ 11.7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่หากมองให้ลึกลงไปอีกหน่อย ตัวเลข 11.7 ล้านล้านดอลลาร์นี้ มีประมาณ 47% ที่ใช้ทำเครื่องประดับ หากเรามองว่าตลาดเครื่องประดับไม่เน้นเก็งกำไร ไม่เน้นเทรดกัน และเราสมมติว่าตลาดที่เทรดกันจริง ๆ คือ 53% ของทั้งหมด
ดังนั้นมูลค่าตลาดที่ใช้เก็งกำไรกันจะอยู่ที่ประมาณ 6.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าของคนที่กำลังเล่น Short ทั้งหมด อยู่ที่ 8.7 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 140% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมดเลยทีเดียว ในจุดนี้บอกได้ว่าหากมีการปั่นราคาขึ้นไปได้รุนแรงพอ โอกาสเกิด Short squeeze ที่รุนแรงก็จะเกิดขึ้นได้
และหากมองจากการกระจายตัวของทองคำทั่วโลกแล้ว แน่นอนว่าหากจะมีเจ้ามือในการปั่นราคาก็ต้องเป็นระดับรัฐบาลรัสเซีย จีน และสหรัฐอเมริการ่วมมือกัน แบบนี้ถึงจะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครมาทุบราคาแข่งได้ ในขณะที่กำลังปั่นราคาขึ้นไป Short squeeze ก็จะเกิดได้นั้นเอง แต่การที่จีนกับสหรัฐจะมาร่วมมือกันเห็นจะเป็นเรื่องยาก เหมือนเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ จึงมองว่าโอกาสจะทำ Short squeeze ในทองคำถือว่ายากมาก
ในทางกลับกันการที่จะทุบราคาทองคำก็จะเป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน จากปัจจัยเรื่องเจ้ามือนั่นเอง ตราบใดที่รายใหญ่ระดับ สหรัฐฯ จีน รัฐเซีย ไม่เคลื่อนไหว ใครก็ไม่สามารถปั่นราคาทองคำได้ดั่งใจ นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทองคำมีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ธนาคารกลางทั่วโลกยอมรับมาหลายร้อยปี การลงทุนในทองคำที่ดีคือต้องมองที่พื้นฐานจริง ๆ ระยะยาว หลายคนไปสนใจการเคลื่อนที่ระยะสั้นมากเกินไป ทำให้ทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว กลายเป็นสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นได้
ดั่งคำพูดที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจก่อนจะลงทุน” หากเราไม่เข้าใจ ไม่ว่าอะไรก็เสี่ยงทั้งนั้น คุณว่าจริงไหมครับ….
เครดิต : เทรดเดอร์ อินเตอร์โกลด์
ที่มาบทความ: https://www.intergold.co.th/investor_core/ทองคำมีโอกาสเกิด-short-squeeze-ได้ห/
“รายการที่จะพาทุกคนไปเจาะลึก กับปรัชญา แนวคิดของนักลงทุนระดับ World Class”
หัวข้อ
0:00 Start
0:50 ประวัติของ Warren Buffett
2:35 Warren Buffett กับ Benjamin Graham แตกต่างกันอย่างไร?
3:10 หุ้นจาก Benjamin Graham
5:50 แนวทางการลงทุนและกลยุทธ์การลงทุนของ Warren Buffett
App Spotify
https://finno.me/spotify
App Google podcasts
https://finno.me/googlepodcast
Apple podcast
https://finno.me/applepodcast
App Soundcloud
https://finno.me/soundcloud
Podbean
https://finno.me/podbean
Youtube
https://finno.me/youtubepodcast
ใคร ๆ ก็เปิดบัญชีออนไลน์ ที่ทั้งสะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องสมุดบัญชีหาย แล้วยังได้รับผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปอีกด้วย ในวันนี้เราจะมาตามดูกันว่าบัญชีออนไลน์ของธนาคารไหนให้ผลตอบแทนสูงที่สุด
ให้ดอกเบี้ยที่อัตรา 1.5% สำหรับเงินฝากไม่เกิน 1 ล้าน และส่วนที่เกินจากนั้นจะได้รับดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% โดยจะคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน แต่จะจ่ายออกมาปีละ 2 ครั้ง ในเดือน มิ.ย. และ ธ.ค.
ให้ดอกเบี้ย 1.5% สำหรับเงินฝากไม่เกิน 100,000 และ 0.5% สำหรับส่วนที่เกิน 100,000 โดยจะคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน จ่ายปีละ 2 ครั้งเช่นกัน
ให้ดอกเบี้ย 1.5% สำหรับเงินฝากไม่เกิน 2 ล้าน ส่วนเกินได้ 0.5% โดยจะคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน จ่ายปีละ 2 ครั้งเช่นกัน
Kept จะมีฟังก์ชั่นการเก็บเงินที่แตกต่างจากธนาคารอื่น ๆ ตรงที่จะแบ่งเงินในบัญชีออกเป็นอีก 3 กระปุก คือ Kept Grow Fun ซึ่งส่วนที่ให้ดอกเบี้ยสูงคือที่อยู่ในกระปุก Grow นั่นเอง โดยจะให้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี คงที่ 2 ปี โดยจะคำนวณดอกเบี้ยทุกวัน และจ่ายให้ทุกเดือน เงื่อนไขคือต้องออมขั้นต่ำคราวละ 5,000 นอกจากนี้หากในอนาคตธนาคารมีการปรับลดดอกเบี้ย ยอดเงินที่ฝากมาแล้วยังไม่ได้ถอน ก็จะยังได้ดอกเบี้ยสูงต่อไป
ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 2% แต่ต้องใจเย็น ๆ ก่อน เพราะเงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ยจะจ่ายให้ตามขั้นบันได โดยช่วงที่ได้ดอกเบี้ย 2% คือ 10,001-50,000 เท่านั้น ส่วนในช่วง 50,001 – 100,000 จะได้รับดอกเบี้ย 1%, เกิน 100,000 ขึ้นไปจะได้ 0.2% และช่วงที่ยังไม่ถึง 10,000 จะได้รับดอกเบี้ย 0.2% เช่นกัน เฉลี่ยแล้วดอกเบี้ยที่ได้รับสูงสุดก็จะอยู่ที่ 1.64% นั่นเอง นอกจากนี้ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณเป็นรายวัน และจ่ายทุก ๆ สิ้นเดือน
สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงเรื่อง Reflation Acceleration หรือการเร่งตัวของเงินเฟ้อ กำลังกลายเป็นกระแสร้อนที่บรรดากองทุนขนาดใหญ่ของโลกต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน
ล่าสุดกระแสนี้ได้รับการตอกย้ำจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสหรัฐ 10Y Bond Yield พุ่งขึ้นมาถึง 1.31% โดยเป็นการพุ่งขึ้นมา 4 วันติดกว่า 17 bps เรียกได้ว่าร้อนแรงสุด ๆ
การคาดการณ์เงินเฟ้อ ภาพการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ได้ก่อให้เกิดกระแสอีกกระแสหนึ่งคือ “long-bond sell-offs” หรือเทขายพันธบัตรระยะยาว จนทำให้ดัชนีวัดผลตอบแทนการลงทุนนพันธบัตรระยะยาวของ Bloomberg (Bloomberg Barclays US Treasury Total Return Index) ปรับร่วงกว่า 2% นับตั้งแต่ต้นปี
สภาวะข้างต้นสะท้อนถึงกระแสเงินที่กำลังไหลออกจากตลาดพันธบัตรหรือ Money Market ซึ่งมีขนาดใหญ่ราว ๆ 5.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันได้ปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 5 ล้านล้านเหรียญ
คำถามคือเงินที่ออกจากตลาดพักเงินที่ใหญ่มาก ๆ อย่าง Money Market มันกำลังจะมุ่งไปที่แห่งหนไหน คงไม่ยากที่จะหาคำตอบ เพราะภาพของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกมันฟ้องให้เห็นกันอยู่ทนโท่ ว่ากำลังทะยานปรับเพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน
สินทรัพย์เสี่ยงได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ทั้งการใช้มาตรการการคลังขนาดใหญ่ การใช้งบประมาณขาดดุลรุนแรง การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง การอ่อนค่าของดอลลาร์ การแข็งค่าของเงินหยวน การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Emerging Market และ การกลับมาของเงินเฟ้อ
เรียกได้ว่าสารพัดปัจจัยบวกกำลังถากโถมใส่โลกแห่งการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
ล่าสุดมีปัจจัยบวกใหม่จากการที่เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐ พยายามที่จะลดเงินสดของกระทรวงการคลังที่ฝากอยู่กับธนาคารกลางสหรัฐ (Treasury’s general account) เพื่อระบายสภาพคล่องลงสู่มือประชาชน ซึ่งสถานการณ์นี้จะส่งผลให้ Fed จะต้องกดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำลงไปอีก รวมไปถึงดอลลาร์ที่จะต้องอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นยังมีปัจจัยบวกอื่น ๆ อีก JP Morgan ได้ออกบทวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ Covid-19 มีแนวโน้มจะซาลงในอีก 2 เดือนข้างหน้า หรือภายในเดือนเมษายน ด้วยเหตุผลเรื่องของสภาพอากาศที่กำลังจะพ้นหน้าหนาวและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน รวมไปถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับการประเมินของ Goldman Sachs ว่าประชากรครึ่งหนึ่งของสหรัฐจะได้รับวัคซีนโดสแรกภายในเมษายนนี้
JP Morgan ประเมินว่าแรงกดดัน Covid-19 ที่ลดลง ขณะที่สภาพคล่องในระบบล้มจากการใช้นโยบายการคลังและการเงินผ่อนคลาย จะเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้เปรียบที่สุดคือพลังงานและการเงิน ซึ่งตรงนี้ก็สอดคล้องกับ Goldman Sachs ที่มองเรื่องเงินเฟ้อ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการลงทุนใน Emerging market เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs ได้ออกมาเตือนว่าการลงทุนในสินทรัพย์จะให้ผลตอบแทนที่ดีเฉพาะในครึ่งแรกของปีนี้เท่านั้น ในครึ่งหลังของปีอาจจะเริ่มมีปัจจัยกดดัน อย่างแรกคือ การที่ โจ ไบเดน จะเดินหน้าการขึ้นภาษีนิติบุคคล ในช่วงกลางปี และแรงกดดันที่ 2 คือปลายปี Fed จะเริ่มส่งสัญญาณการลดขนาด QE
ปัจจัยบวกล้นหลามใช่ว่าจะมีแต่คนมองในแง่ดี Bank of America (BofA) ซึ่งเป็นสายสวน (contrarian) ได้ออกมาพยายามเตือนโดยตลอดว่าฟองสบู่กำลังเกิดขึ้นและมันใกล้จะแตกแล้ว
แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่นัก เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัจจัยบวก และเชื่อกันโดยสนิทใจว่าปัจจัยบวกที่อยู่ตรงหน้า มันจะนำพาให้สินทรัพย์เสี่ยงขึ้นสุกสกาววาวแสง
มาถึงบรรทัดนี้ผมอดนึกถึงคำคมของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งไม่ได้ เค้าคือ โจโฉ วาทะอันคำคมคายของเค้าผมได้มาจากซีรีย์เรื่อง สามก๊ก (1994) ตอนที่ 57 โจโฉ ได้พูดเอาไว้ว่า ไม่มีคือมี มีคือไม่มี นี่แลหลักพิชัยยุทธ์
หันมามองที่โลกการลงทุนในปัจจุบัน มันก็ไม่ต่างกัน “ปัจจัยลบที่น่ากลัวที่สุด มันก็คือ การไม่มีปัจจัยลบ” นั่นแล
ประกิต สิริวัฒนเกตุ