ญี่ปุ่นคาดว่า จีนได้ทำการยิงขีปนาวุธใส่ไต้หวันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แล้ว ระหว่างการฝึกซ้อมทางทหารครั้งใหญ่สุดในรอบหลายทศวรรษ หลังไม่พอใจที่ประธานสภาสหรัฐฯ ‘แนนซี เพโลซี’ เยือนกรุงไทเปของไต้หวัน
กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นรายงานความเป็นไปได้ที่ว่า กองทัพปลดแอกประชาชนจีนอาจยิงขีปนาวุธ 4 ลูกผ่านเกาะหลักของไต้หวันในระหว่างการฝึกซ้อมเมื่อวันพฤหัสบดี (4 ส.ค.) และทางการญี่ปุ่นยังยืนยันอย่างเป็นทางการครั้งแรกว่า มีขีปนาวุธของจีน 5 ลูกที่ตกลงสู่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น
ทั้งจีนและไต้หวันยังไม่ได้ยืนยันถึงการยิงขีปนาวุธ แต่ Meng Xiangqing ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรกล่าวกับสื่อของรัฐบาลจีนว่า นี่เป็นการส่งสัญญาณถึงทางการไต้หวันอย่างชัดเจนว่า การซ้อมรบครั้งล่าสุดนี้มีขนาดใหญ่และมีการป้องปรามมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ขณะที่ทางไต้หวันไม่ได้เปิดไซเรนเตือนภัยทางอากาศระหว่างเกิดเหตุการณ์ โดยกระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลงในช่วงค่ำของเมื่อวานนี้ (4 ส.ค.) ว่า เส้นทางการบินหลักของขีปนาวุธ Dongfeng อยู่นอกชั้นบรรยากาศ และไม่มีอันตรายต่อพื้นดิน แต่จะไม่เปิดเผยเส้นทางการบินเฉพาะของขีปนาวุธเพื่อปกป้องการปฏิบัติการทางทหาร
ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่ากำหนดการซ้อมรบของจีนที่มีกำหนดถึงวันอาทิตย์จะสิ้นสุดลงไปหรือไม่ ขณะที่กองบัญชาการตะวันออกของจีนเผยว่า การฝึกยิงกระสุนจริงได้เสร็จสิ้นแล้ว รวมถึงได้ยกเลิกการควบคุมทางอากาศและทางทะเลที่เกี่ยวข้องในวันพฤหัสบดี แต่ไม่ได้ชี้แจ้งว่าหมายถึงการซ้อมรบสิ้นสุดลงหรือไม่
ในช่วงเช้าของวันนี้ (5 ส.ค.) กระทรวงกลาโหมของไต้หวันระบุว่า เรือรบและเครื่องบินทหารของจีนหลายลำได้ข้ามเส้นแบ่งช่องแคบไต้หวัน ขณะที่ไต้หวันได้ตอบโต้โดยการลาดตระเวนทางอากาศและทางทะเลของไต้หวัน รวมถึงส่งคำเตือนทางวิทยุแล้ว
Richard Haass ประธานสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในนิวยอร์กกล่าวว่า นี่เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งที่บ่งชี้ว่าจีนมีความกล้า ก้าวร้าว และหนักแน่นมากขึ้นในการเข้าใกล้ไต้หวัน โดยการโจมตีอาจเสริมความมุ่งมั่นของญี่ปุ่นในการป้องกันประเทศร่วมกับไต้หวันอย่างใกล้ชิด และอาจสนับสนุนให้สหรัฐฯ เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
รับชมบน YouTube: https://youtu.be/qiPLzaiS6_I
ใคร ๆ ก็คงแอบฝัน อยากให้พ่อแม่เฉลยกับเราสักทีว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นลูกหลานมหาเศรษฐี หลังจากนี้ไม่ต้องทำงานก็สบายไปตลอดชีวิต แต่สำหรับบางครอบครัว ความรวยระดับโลกนั้นมีอยู่จริงโดยไม่ต้องจินตนาการถึง วันนี้เรามาทำความรู้จักตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ว่าแต่ละครอบครัวรวยได้ยังไง ประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจอะไรกันบ้าง ในคลิปนี้กัน
พบความสุดพิเศษสำหรับคุณได้ในทุกวัน ทั้งบทความให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม หุ้น คริปโตฯ และการบริการ โปรโมชั่น ของรางวัลต่างๆ ที่คัดสรรมาเพื่อมอบให้กับสมาชิก FINNOMENA เท่านั้น
👉 สมัครสมาชิกเว็บไซต์ FINNOMENA https://finno.me/register-website
Alibaba รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดดีเกินคาด ดันราคาหุ้นพุ่งระหว่างวันถึง 6% และปิดบวกที่ 1.8% แต่รายได้ทรงตัวเป็นครั้งแรกในการรายงานของบริษัท
ผลประกอบการไตรมาสเดือน มิ.ย. ของ Alibaba
➢ รายได้: 205,550 ล้านหยวน (ทรงตัวจากปีที่แล้ว) สูงกว่าคาดการณ์ที่ 203,190 ล้านหยวน
➢ กำไรต่อหุ้น (ADS): 11.73 หยวน (ลดลง 29% จากปีที่แล้ว) สูงกว่าคาดการณ์ที่ 10.39 หยวน
➢ กำไรสุทธิ: 22,730 ล้านหยวน สูงกว่าคาดการณ์ที่ 18,720 ล้านหยวน
รายได้จากธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทอย่างอีคอมเมิร์ซในจีนลดลง 1% อยู่ที่ 141,930 ล้านหยวน เนื่องจากรายได้ของบริการต่างๆ (CMR) ลดลง 10% ตัวอย่าง CMR เช่น การตลาดที่บริษัทขายให้กับผู้ค้าบนแพลตฟอร์ม
ปัจจัยหลักที่กระทบต่อรายได้ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซคือ การกลับมาแพร่ระบาดของโควิดในจีนที่ทำให้รัฐบาลสั่งล็อกดาวน์ในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ และนำไปสู่เศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่ซบเซา
อย่างไรก็ตาม การประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงปลายเดือน พ.ค. และต้นเดือน มิ.ย. ทำให้การเติบโตเริ่มฟื้นตัว สอดคล้องกับที่ Daniel Zhang ซีอีโอของ Alibaba กล่าวว่า เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจต่างๆ ของบริษัทในเดือน มิ.ย.
สำหรับตลาดต่างประเทศ รายได้ของบริษัทลดลง 14% โดยมีสาเหตุหลักจากการปรับภาษีมูลค่าเพิ่มในกลุ่มประเทศ EU ซึ่งส่งผลต่อคำสั่งซื้อใน AliExpress ขณะที่ภูมิภาคอาเซียน Lazada มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 10% และขาดทุนน้อยลง
ธุรกิจคลาวด์ที่คิดเป็นเพียง 9% ของรายได้โดยรวม แต่ถือเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตและผลกำไรของบริษัทในอนาคต โดยในไตรมาสที่ผ่านมา ธุรกิจคลาวด์ทำรายได้ 17,680 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 10% จากปีที่แล้ว แต่ชะลอตัวจาก 12% ในไตรมาสเดือน มี.ค.
ธุรกิจคลาวด์ของบริษัทได้รับผลกระทบจากการสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงการปราบปรามอุตสาหกรรมต่างๆ ของรัฐบาลจีน เช่น การศึกษาออนไลน์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Alibaba แต่บริษัทตั้งข้อสังเกตว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่อินเทอร์เน็ต อย่างบริการทางการเงิน บริการสาธารณะ และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
Alibaba ยังต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เข้มงวด หลังรัฐบาลจีนปราบปรามภาคเทคโนโลยีในประเทศมานานกว่าปีครึ่ง อย่างไรก็ตาม แม้การเติบโตในไตรมาสนี้จะทรงตัว แต่วิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของ Alibaba จะฟื้นตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 30 ก.ค. – 5 ส.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 5 ส.ค. 2565)
1. SCBCLEANA – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Clean Energy (ชนิดสะสมมูลค่า)
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +18.48%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -13.00%
2. TNEWENGY – กองทุนเปิด ทิสโก้ New Energy
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +17.24%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -20.45%
3. SCBUSAA – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส แอคทีฟ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +13.20%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -43.28%
ซื้อกองทุน SCBUSAA คลิก
ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 5 อันดับเพิ่มเติม: SCBCLEANA, TNEWENGY, SCBUSAA, PRINCIPAL GCLEAN-A, K-USA-A(D)
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 5 ส.ค. 2565)
1. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.31%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -13.88%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุนเวียดนาม ครบจบในที่เดียว!
ซื้อกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A คลิก
2. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.06%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -36.26%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ONE-UGG-RA : กองทุนหุ้นเติบโตทั่วโลก คว้าโอกาสแห่งอนาคต
2. TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.99%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -21.23%
ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : PRINCIPAL VNEQ-A, ONE-UGG-RA, TMBGQG, K-VIETNAM, B-INNOTECH, P-CGREEN, SCBS&P500, TMBAGLF, KT-ENERGY, K-CHINA-A(A)
ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทย (CPI) เดือน ก.ค. อยู่ที่ 7.61% ชะลอตัวเป็นครั้งแรกในรอบปี แต่ใกล้จุดสูงสุดรอบ 13 ปี และคาดเงินเฟ้อสิ้นปีที่ระหว่าง 5.5% – 6.5 %
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย
เดือน ก.ค. 2565 เท่ากับ 107.41 ลดลง 0.16 % (MoM) เป็นการลดลงจากเดือนก่อนหน้าครั้งแรกในรอบปี 2565 และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 7.61 %(YoY) สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกในเดือนนี้อยู่ที่ 2.99 % (YoY)
โดยก่อนหน้านี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย (CPI) เงินเฟ้อเดือน มิ.ย. เท่ากับ 7.66% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 13 ปี
สินค้ากลุ่มพลังงานยังเป็นสาเหตุหลักต่ออัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค. 2565 ซึ่งเป็นต้นทุนในทุกขั้นตอนการผลิตและโลจิสติกส์ของสินค้าและบริการ ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้น จากการท่องเที่ยว การส่งออก และราคาสินค้าเกษตรสำคัญสูงขึ้น นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้เป็นผลของการคำนวณจากฐานดัชนีราคาผู้บริโภคของเดือน ก.ค. 2564 ที่ค่อนข้างต่ำจึงทำให้เงินเฟ้อขยายตัว
• กลุ่มพลังงาน มีอัตราการเติบโตของราคา 33.82 % (YoY) ส่งผลให้พลังงานมีสัดส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อในเดือนนี้(Contribution to Percentage Change : CPC) 52.57 % แม้ว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงบางชนิด (แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน) ในเดือนนี้จะปรับลดลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แต่ต้นทุนการผลิตและการขนส่งยังสูง เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้า และน้ำมันดีเซล ยังคงอยู่ในระดับสูง
• กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีอัตราการเติบโตของราคา 8.02 % (YoY) เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน อาทิไก่สด พริกสด ต้นหอม เครื่องประกอบอาหาร และอาหารสำเร็จรูป ราคาเปลี่ยนแปลงตามต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนด้านพลังงาน ทั้ง ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม รวมถึงน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญของการขนส่ง ประกอบกับความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ข้าวสารเจ้าข้าวสารเหนียว ผักและผลไม้บางชนิด (ถั่วฝักยาว มะนาว ขิง ผักคะน้า กล้วยน้ำว้า ฝรั่ง ลองกอง)
ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนนี้เทียบกับเดือนที่ผ่านมา ลดลงะ 0.16 % (MoM) เป็นการปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้าครั้งแรกในรอบปี 2565 สาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของราคาแก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำมันพืช และสิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดบางชนิด (น้ำยารีดผ้า น้ำยาล้างห้องน้ำ) สำหรับค่าเฉลี่ย 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.)ปี 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 5.89 % (AoA)
ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนกรกฎาคม 2565 สูงขึ้น 12.2 % (YoY) ปรับสูงขึ้นในทุกหมวดสินค้า ตามต้นทุนการผลิต ทั้งราคาพลังงานและวัตถุดิบ ต้นทุนการนำเข้าจากการอ่อนค่าของเงินบาท และความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น 6.3 % (YoY) เนื่องจากต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน และเงินบาทอ่อนค่า ประกอบกับการใช้วัสดุก่อสร้างในโครงการก่อสร้างภาครัฐเป็นไปตามแผน
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 45.5 จากระดับ 44.3 ในเดือนก่อนหน้า ปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและใน 3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้เป็นผลจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
จากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การเปิดสถานบันเทิงทั่วประเทศและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับลดลง ขณะที่ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผันผวนและมาตรการของภาครัฐ เป็นปัจจัยลบต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2565 เป็นระหว่าง 5.5% – 6.5 % (ค่ากลางร้อยละ 6.0) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ และการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทย
ที่มา: สำนักงานนโยบายแและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Dow Jones ปิดที่ 32,726.82 จุด -85.68 จุด (-0.26%) S&P500 ปิดที่ 4,151.94 จุด -3.23 จุด (-0.08%) Nasdaq ปิดที่ 12,720.58 จุด +52.42 จุด (+0.41%) Small Cap 2000 ปิดที่ 1,906.46 จุด -2.47 จุด (-0.13%) VIX index ปิดที่ 21.44 จุด (-0.51%)
ตลาดหุ้นยุโรป Euro Stoxx 50 ปิดที่ 3,754.6 จุด -22.06 จุด (-0.59%) Dax เยอรมัน ปิดที่ 13,662.68 จุด +75.12 จุด (+0.55%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 6,513.39 จุด +41.33 จุด (+0.64%)
ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) ดัชนี Nikkei 225 ปิดที่ 27,932.13 จุด +190.3 จุด (+0.69%) ดัชนี CSI 300 ปิดที่ 4,101.53 จุด +34.56 จุด (+0.85%) ดัชนี Hang Seng ปิดที่ 20,174.05 จุด +406.95 จุด (+2.06%) และ SET Index ปิดที่ 1,598.75 จุด +4.02 จุด (+0.25%)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 5 ส.ค. 2565) ทองคำ 1,808.85 ดอลลาร์สหรัฐฯ Silver 20.245 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 88.86 ดอลลาร์สหรัฐฯ Brent 94.27 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 5 ส.ค. 2565) Bitcoin 23,088.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 1,656.32 ดอลลาร์สหรัฐฯ Dogecoin 0.068168 ดอลลาร์สหรัฐฯ Binance Coin 313.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อในรายใหม่วันนี้ 2,253 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 34 ราย หายป่วยกลับบ้าน 2,483 ราย ผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 2,377,543 ราย หายป่วยสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 2,379,845 ราย
จีนแสดงแสนยานุภาพ ซ้อมรบ กระสุนจริง ในวันที่ 4 – 7 สิงหาคม รอบเกาะไต้หวัน ยิงขีปนาวุธตอบโต้เพโลซี เยือนไต้หวัน การซ้อมรบในครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการยิงขีปนาวุธจากแผ่นดินใหญ่ ข้ามผ่านไต้หวัน ด้านเรือบรรทุกสินค้าเกือบครึ่งหนึ่งของโลกเดินทางผ่านช่องแคปไต้หวัน การซ้อมรบทำให้การส่งสินค้าทางเรือล่าช้าออกไป ด้านเศรษฐกิจจีนระงับการนำเข้าสินค้าสำคัญของไต้หวันได้แก่ ทรายธรรมชาติ ผลไม้และปลา
ธนาคารกลางอังกฤษขึ้นดอกเบี้ย 50 bps สู่ระดับ 1.75% แรงสุดรอบ 27 ปี เตือนเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดภายในเดือน ต.ค. 13.3% ลากยาวอย่างต่อเนื่องอีก 1 ปี และคาดการณ์เงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่ระดับปกติที่ 2% ในปี 2025 ด้านเศรษฐกิจเสี่ยงเข้าสู่ Recession ในไตรมาส 4/2022 ลากยาวไปถึง 5 ไตรมาส
JPMorgan โชว์แบบจำลองมีโอกาสเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยลดลงแรง แต่ในการจ้างงานยังไม่กระทบในเดือนกรกฎาคมจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 258,000 ตำแหน่ง คาดการณ์ภาวะว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 3.6% แสดงถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ด้าน Michael Burry เตือนภาวะตลาด ไร้เหตุผลยังอยู่ จะมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลง
Alibaba ผลประกอบการดีเกินคาด แต่รายงานรายได้ทรงตัว ไม่เติบโตเป็นครั้งแรก รายได้อยู่ที่ $30,680 ล้าน หรือประมาณ 205,000 ล้านหยวน ใกล้กับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 203,000 ล้านหยวน กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 11.73 หยวน เนื่องจาก Alibaba ได้รับผลกระทบจากการล๊อคดาวน์ของจีน ธุรกิจ E commerce รายลดลง 1% ธุรกิจ Cloud ชะลอตัวลง
Toyota กำไรจากการดำเนินร่วง 42% profit tumbles กำไรอยู่ที่ 9.97 แสนล้านเยน เผชิญปัญหาต้นทุนพุ่ง ซัพพลายขาดแคลนจากการขาดแคลน semiconductor มีการปรับลดประมาณการณ์การผลิตลดลงไป 3 ครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่าน ต่ำกว่าเป้าหมายเดิม 10%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Dow Jones ปิดที่ 32,812.5 จุด +416.33 จุด (+1.29%) S&P 500 ปิดที่ 4,155.17 จุด +63.98 จุด (+1.56%) Nasdaq ปิดที่ 12,668.16 จุด +319.4 จุด (+2.59%) Small Cap 2000 ปิดที่ 1,908.93 จุด +26.48 จุด (+1.41%) VIX Index อยู่ที่ 21.95 จุด -1.98 จุด (-8.27%)
ตลาดหุ้นยุโรป Euro Stoxx 50 ปิดที่ 3,732.54 จุด +47.91 จุด (+1.3%) Dax เยอรมัน ปิดที่ 13,587.56 จุด +138.36 จุด (+1.03%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 6,472.06 จุด +62.26 จุด (+0.97%) FTSE 100 อังกฤษ ปิดที่ 7,445.68 จุด +36.57 จุด (+0.49%)
ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Nikkei 225 ญี่ปุ่น ปิดที่ 27,741.9 จุด +147.17 จุด (+0.53%) CSI 300 จีน ปิดที่ 4,067.2 จุด -39.79 จุด (-0.97%) Hang Seng ฮ่องกง ปิดที่ 19,767.09 จุด +77.88 จุด (+0.4%) SET Index ไทย ปิดที่ 1,594.73 จุด +5.57 จุด (+0.35%) VN30 เวียดนาม ปิดที่ 1,269.83 จุด +3.86 จุด (+0.3%)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 04 สิงหาคม 2565 ) ราคาทองคำ 1,784.45 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาแร่เงิน 19.997 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 91.33 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ Brent 97.47 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 04 สิงหาคม 2565 ) Bitcoin 23,164 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 1,648.39 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Dogecoin 0.06704 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Binance 299.9 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
แนนซี เพโลซี เสร็จภารกิจเยือนไต้หวัน เดินทางต่อเกาหลีใต้ ด้านจีนไม่พอใจเริ่มซ้อมรบด้วยกระสุนจริงเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่ 3 ส.ค. โดยประกาศห้ามเรือและเครื่องบินพลเรือนเข้าพื้นที่ซ้อมรบ พร้อมแบนสินค้าไต้หวัน เช่น ส้ม ปลาบางชนิด และทราย
ธนาคารกลางอังกฤษ เตรียมขึ้นดอกเบี้ย 50 bps แรงสุดรอบ 27 ปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 1.75 เพื่อรับมือเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยเงินเฟ้อเดือนล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 9.40 ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายระยะยาวที่ร้อยละ 2 เงินเฟ้อที่สูงทำให้เกิดความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
OPEC+ ยอมเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 1 แสนบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่ ก.ย. นี้ ยอมเพิ่มน้อยกว่าที่ตลาดคาดที่ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีโอกาสน้อยที่จะปรับลดลง
Moderna ผลประกอบการไตรมาส 2 ดีเกินคาด รายได้อยู่ที่ $4.7 พันล้าน เติบโต 9% YoY มากกว่าที่ตลาดคาดที่ $4.1 พันล้าน กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $5.24 มากกว่าที่ ตลาดคาดที่ $4.55 โดย Moderna ต้องตัดจำหน่ายวัคซีนหมดอายุมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์
KKP เตือนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ ‘จักรวาลคู่ขนาน’ คาด GDP ไทยโต 3.3% ปีนี้ เฝ้าระวังความเสี่ยง การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง เงินเฟ้อ และดอกเบี้ยสูง ในระยะสั้น เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างหลายประการ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าลงและมีความเสี่ยงที่จะมีความสามารถในการแข่งขันลดลง ในระยะยาว
มารู้จักโมเดลการวิเคราะห์เบื้องหลังของ BIC ระบบการคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดในแต่ละหมวดกัน!
คัดกรอง Universe การลงทุนโดยเลือกกองทุนที่เป็นกองทุนเดียวกันแต่มีคลาสที่ต่างกันมาทดสอบเพียงคลาสเดียวซึ่งจะเลือกคลาสสะสมมูลค่า รวมถึงไม่นำกองทุนลดหย่อนภาษีเข้ามาคัดกรอง จากนั้นแบ่งกองทุนตาม AIMC Category และนำไปประยุกต์ด้วยการติดตามสัดส่วนสินทรัพย์ในกองทุนเพื่อแบ่งประเภทให้เจาะจงและเหมาะสมมากขึ้น ได้ประเภทออกมาดังนี้
โมเดล Light Gradient Boosting Machine (LGBM)
เป็นโมเดลทางคณิตศาสตร์ที่มีโครงสร้างเป็นแบบต้นไม้หลาย ๆ ต้น (trees) โดยต้นไม้เหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลที่ใช้สอนโมเดล โดยโมเดลจะใช้ข้อมูลที่ทางทีมส่งให้โมเดลเรียนรู้ โดยในการสร้างต้นไม้แต่ละครั้ง จะมีขั้นตอนดังนี้
โมเดลจะทำการสร้างต้นไม้ด้วยวิธีดังกล่าวหลาย ๆ ต้น ซึ่งในการสร้างต้นไม้แต่ละต้น จะมีการสุ่มเลือกตัวแปรต้น และชุดข้อมูล ทำให้การสร้างแต่ละครั้ง ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน จากนั้นใช้ค่าเฉลี่ยของการทำนายจากต้นไม้หลาย ๆ ต้น เป็นค่าทำนายตัวแปรตามสุดท้าย
ในกรณีของการจัดพอร์ต BIC โมเดลจะทำการพิจารณาสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยใช้ข้อมูล NAV ในอดีตตั้งแต่ปี 2018 จนถึง 2021 นำมาสร้างเป็นค่าสถิติต่าง ๆ เช่น แนวโน้มการเคลื่อนไหวของ NAV ของกองทุน (ในรูปแบบของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: moving average) หรือความผันผวนของ NAV (ในรูปแบบส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน: standard deviation) จากนั้นพิจารณาการเคลื่อนไหวของ NAV ในอดีต กับผลตอบแทนใน 6 เดือนถัดไป (ในรูปแบบการเปรียบเทียบ NAV ใน 6 เดือนถัดไปกับ NAV ในปัจจุบัน) เพื่อหาความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวของ NAV ด้วยการสร้างต้นไม้ด้วยวิธีข้างต้น และเมื่อได้โมเดลสุดท้าย ก็จะนำมาทำนายผลตอบแทนของกองทุนในช่วง 6 เดือนในอนาคต จากนั้นทำการจัดอันดับกองทุนตามผลตอบแทนที่ทำนายได้ แยกตามแต่ละประเภทกองทุน และทำการคัดเลือกกองที่มีผลตอบแทนคาดหวังดีที่สุดมาประเภทละ 3 กองทุน และจัดเป็นพอร์ต BIC ต่อไป
หลังจากได้กองที่ต้องการจากการ run โมเดลออกมาแล้ว จะทำการตัดกองที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันออก เช่น กองที่มีกอง master fund เดียวกัน เป็นต้น หลังจากนั้นจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนตามลำดับกองทุนที่โมเดลให้มา โดยกองทุนที่โมเดลเลือกมาเป็นอันดับ 1 จะให้สัดส่วนการลงทุนที่ 40% ส่วนลำดับ 2 และ 3 ให้สัดส่วนการลงทุนที่กองละ 30%
ดูข้อมูลเกี่ยวกับ Best-in-Class (BIC) เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/bic/
หากนักลงทุนสนใจลงทุนในพอร์ต Best-in-Class (BIC) สามารถสร้างแผนการลงทุนได้ตามช่องทางดังนี้
BIC Property Fund & REITs: https://www.finnomena.com/bic-property-create/
BIC Thai Equity Large-Cap: https://www.finnomena.com/bic-thai-eq-create/
BIC Global Healthcare: https://www.finnomena.com/bic-healthcare-create/
BIC Global Technology: https://www.finnomena.com/bic-tech-create/
BIC Asia ex-Japan: https://www.finnomena.com/bic-asia-ex-jap-create/
สำหรับผู้ที่ต้องการทราบเบื้องลึกเบื้องหลังของระบบ Best-in-Class แบบละเอียด สามารถอ่านได้ที่ https://www.finnomena.com/bic-whitepaper
FINNOMENA Investment Team
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน I กองทุนกลุ่มนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมต่าง ๆ ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดของประเทศที่พัฒนาแล้วฟื้นตัวแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนลดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังราคาน้ำมันปรับตัวลดลงแรงอันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมในเดือน ก.ค. ซึ่งช่วยความกังวลของตลาดที่คาดว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ย 1.00% นอกจากนี้ เฟดส่งสัญญาณว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุมครั้งถัดไป เนื่องจากมองว่าเงินเฟ้ออาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ในขณะที่การขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือน ก.ค. จะส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับดอกเบี้ยคาดการณ์ในระยะยาว
ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวแข็งแกร่งตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ค. หลังประธานเฟดส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต พร้อมทั้งปรับลดมุมมองเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/65 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐที่ออกมาดีกว่าที่คาด และตัวเลขการจ้างงานและยอดค้าปลีกของสหรัฐออกมาดีกว่าที่คาด สะท้อนว่าการใช้จ่ายของบริโภคสหรัฐยังคงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนมีแรงขายทำกำไร และมีแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน อย่างไรก็ดี นักลงทุนสถาบันหลายแห่งทั่วโลกมองว่าเศรษฐกิจจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ในส่วนของตราสารหนี้ ผู้จัดการกองทุนยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว ถึงแม้มีความเสี่ยงจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็ตาม เนื่องจากตลาดได้ตอบรับการขึ้นดอกเบี้ยไปมากแล้ว และการส่งสัญญาณลดความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลดีต่อราคาตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว ในขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมีความน่าสนใจในแง่ของความปลอดภัยและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในอนาคต
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 27 กรกฎาคม 2022
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 27 กรกฎาคม 2022
KFHHCARE :
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 29 มิถุนายน 2022
หมายเหตุ:
คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 0 2657 5757
Mark Liu ซีอีโอของ TSMC เตือน หากจีนบุกไต้หวันจริง โรงงานผลิตชิปของบริษัทที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกจะไม่สามารถดำเนินการได้ และสงครามไต้หวัน-จีนจะทำให้ทุกคนพ่ายแพ้
ซีอีโอของ TSMC กล่าวว่า ถ้ามีการใช้กำลังทหารหรือการบุกรุกไต้หวัน โรงงานของ TSMC จะไม่สามารถใช้งานได้ เพราะโรงงานมีความซับซ้อนเชื่อมต่อเรียลไทม์กับโลกภายนอกทั้งยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ตั้งแต่วัสดุ สารเคมี ชิ้นส่วนอะไหล่ ซอฟต์แวร์วิศวกรรม ไปจนถึงการวินิจฉัย
อย่างที้รู้กันว่า TSMC เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยเป็นผู้ผลิตชิปให้ Apple ทั้ง A-series และ M-series รวมถึงครองส่วนแบ่งการตลาดของโรงหล่อเซมิคอนดักเตอร์มากกว่า 50% ทั่วโลก
ความกังวลดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง ‘แนนซี เพโลซี’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ เยือนเกาะไต้หวัน ซึ่งทำให้ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันทวีความรุนแรงขึ้น
“สงครามไม่มีผู้ชนะ ทุกคนจะพ่ายแพ้” Mark Liu กล่าว
Mark Liu ยังได้เปรียบเทียบความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในไต้หวันกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยมองว่าทั้ง 2 กรณี แม้จะแตกต่างกันมาก แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต่อประเทศอื่นนั้นคล้ายกัน และเขาสนับสนุนให้ผู้นำทางการเมืองพยายามหลีกเลี่ยงสงคราม
การเยือนไต้หวันของเพโลซีส่งผลให้เมื่อวานนี้ (2 ส.ค.) หุ้นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์โดนแรงเทขายทั่วโลก โดยหุ้น TSMC ร่วงลงมา 2.4% ก่อนจะปรับตัวขึ้นมาแล้ว 1.12% ในวันนี้ (3 ส.ค.)
ความกังวลยังกระทบหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปในยุโรปด้วย โดยหุ้นของ Infineon ของเยอรมนี ลดลง 2.3% และหุ้น ASML รวมถึง ASMI และ BESI ของเนเธอร์แลนด์ต่างปิดลบที่ประมาณ 3% – 4%
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Dow Jones ปิดที่ 32,396.17 จุด -402.23 จุด (-1.23%) S&P 500 ปิดที่ 4,091.19 จุด -27.44 จุด (-0.67%) Nasdaq ปิดที่ 12,348.76 จุด -20.22 จุด (-0.16%) Small Cap 2000 ปิดที่ 1,886.66 จุด +3.35 จุด (+0.18%) VIX Index อยู่ที่ 23.93 จุด +1.09 จุด (+4.77%)
ตลาดหุ้นยุโรป Euro Stoxx 50 ปิดที่ 3,684.63 จุด -21.99 จุด (-0.59%) Dax เยอรมัน ปิดที่ 13,449.2 จุด -30.43 จุด (-0.23%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 6,409.8 จุด -27.06 จุด (-0.42%) FTSE 100 อังกฤษ ปิดที่ 7,409.11 จุด -4.31 จุด (-0.06%)
ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Nikkei 225 ญี่ปุ่น ปิดที่ 27,594.73 จุด -398.62 จุด (-1.42%) CSI 300 จีน ปิดที่ 4,106.99 จุด -81.69 จุด (-1.95%) Hang Seng ฮ่องกง ปิดที่ 19,689.21 จุด -476.63 จุด (-2.36%) SET Index ไทย ปิดที่ 1,589.16 จุด -4.08 จุด (-0.26%) VN30 เวียดนาม ปิดที่ 1,265.97 จุด +9.72 จุด (+0.77%)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 03 สิงหาคม 2565 ) ราคาทองคำ 1,779.6 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาแร่เงิน 19.872 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 94.42 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ Brent 100.51 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 03 สิงหาคม 2565 ) Bitcoin 22,811 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 1,615.06 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Dogecoin 0.06606 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Binance 281.8 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
จีนประณามสหรัฐฯ ประกาศงดซื้อสินค้าไต้หวัน – พร้อมซ้อมรบ 3-5 ส.ค. หลังประธานสภาฯ แนนซี เพโลซี เยือนไต้หวัน ในคืนวันอังคารที่ผ่านมา ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัฐบาลกรุงวอชิงตันกับปักกิ่ง พร้อมพบหารือกับประธานาธิบดีไต้หวัน ไช่ อิง-เหวิน ในวันพุธนี้
TSMC เตือน สงครามจีน-ไต้หวัน จะสร้างผลกระทบไปทั้งโลก “ทุกคนจะเป็นผู้แพ้” เนื่องจาก หากเกิดเหตุการณ์จีนบุกไต้หวันจะทำให้โรงงานผลิตชิปของ TSMC ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ โดย TSMC บริษัทเดียวครองส่วนแบ่งเกินกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดโลก ด้านราคาหุ้นเซมิคอนดักเตอร์โดนแรงเทขยายท่ามกลางความตึงเครียดเรื่องไต้หวัน
Alibaba และ Tencent อาจเผชิญภาวะรายได้หดตัวครั้งแรก ในไตรมาส 2 นี้ เนื่องจากจีนต้องเผชิญกับการล็อกดาวน์ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ท่ามกลางกระเเสการลาออกของ เเจ็ค หม่า
Michael Saylor แห่ง MicroStrategy ลงจากตำแหน่ง CEO หลังทำบริษัทสูญเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ จากราคา Bitcoin ที่ปรับตัวลดลง 59% ในไตรมาส 2 โดยรายได้ปรับตัวลดลงอยู่ที่ $122 ล้าน น้อยกว่าที่ตลาดเล็กน้อยที่ $123 ล้าน
Airbnb ยอดจองที่พักทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนท่องเที่ยวฟื้น รายได้ไตรมาส 2 อยู่ที่ $2.10 พันล้าน เพิ่มขึ้น 58% YoY โดยใกล้เคียงที่ตลาดคาด กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.56 มากกว่าที่ตลาดคาดที่ $0.43 แต่หุ้นร่วงจากความกังวลการเติบโตในอนาคต
Starbucks ยอดขายโตเกินคาด คอกาแฟไม่ลดกำลังซื้อ แม้เผชิญเงินเฟ้อ โดยยอดขายในหลายประเทศเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกา ถึงเเม้ยอดขายในจีนจะปรับตัวลดลงจากการล็อกดาวน์ โดย same-store sales ของจีนลดลง 44% ด้านรายได้รวมอยู่ที่ $8.15 พันล้าน มากกว่าที่ตลาดคาด $8.11 พันล้าน กำไรต่อหุ้น $0.84 มากกว่าที่คาด $0.75
หุ้น Uber พุ่ง 19% แม้งบขาดทุนหนัก โดยรายงานขาดทุนอยู่ที่ $2.6 พันล้าน ขาดทุนต่อหุ้นอยู่ที่ $1.33 แต่เห็นความหวังคนขับ-ผู้โดยสาร เพิ่มมากขึ้น โดยยอดขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 57% YoY ยอดขนส่งอาหารเพิ่มขึ้น 12% YoY ด้าน AMD งบดีเกินคาด แต่หุ้นร่วงจากแนวโน้มไตรมาส 3 น่ากังวล
Barclays เปิดผลการศึกษา 290 กองทุน ช่วงปี 2019 – 2022 พบกองทุนค่าธรรมเนียมแพง มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า เนื่องจาก บริษัทชื่อดังที่มีทั้งทีมผู้จัดการกองทุนหลายคน ภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการจ้างคนเก่ง การเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้มากกว่า และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือต้นทุนในการบริหารจัดการ โดยพบว่านักลงทุนยอมจ่าย หากผลตอบแทนดีจริง
จุดเด่นเวียดนาม คือ คาดการณ์ GDP ยังดีกว่าค่าเฉลี่ย EPS เริ่มเห็นการปรับเพิ่มประมาณการ รวมถึงไม่เจอเงินเฟ้อแรงเหมือนประเทศอื่น ตัวเลขการปล่อยกู้ของธนาคารในเวียดนามยังเพิ่มขึ้น ยอดขายอาหารและเครื่องดื่มยังเติบโตสูง
หนี้รวมของเวียดนามลดลง แม้หนี้ต่างประเทศยังเพิ่ม รัฐบาลยังมีความสามารถในการชำระหนี้ได้
ราคาหุ้นเวียดนามตั้งแต่ต้นปีลดลง -18% แรงที่สุดตั้งแต่ปี 2008 ขณะที่ valuation ยังน่าสนใจทั้งระยะสั้นและยาว
กองทุนแนะนำ คือ PRINCIPAL VNEQ-A โดยดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ FINNOMENA
รัฐบาลจีนประณามสหรัฐฯ เตรียมซ้อมรบตอบโต้ พร้อมประกาศแบนสินค้าไต้หวัน หลัง ‘แนนซี เพโลซี’ เยือนไทเป ด้านรัสเซียสนับสนุนจีน พร้อมกล่าวหาว่าอเมริกาจงใจยั่วยุ
กองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนจะเริ่มการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่ 4-6 ส.ค. โดยประกาศห้ามเรือและเครื่องบินพลเรือนเข้าพื้นที่ซ้อมรบ
นอกจากนี้ จีนยังประกาศระงับการนำเข้าขนมปังประเภทบิสกิตและเพสตรีจากผู้ส่งออกของไต้หวัน 35 ราย ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. ก่อนการเดินทางมาถึงไทเปของนางเพโลซี ซึ่งขนมเหล่านี้เป็นสินค้าส่งออกสำคัญจากไต้หวันไปจีนและฮ่องกง
การโต้ตอบของจีนมีขึ้นหลัง ส.ส. ‘แนนซี เพโลซี’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางถึงกรุงไทเปในวันอังคาร (2 ส.ค.) โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า เพโลซีจะหารือกับปธน.ไต้หวัน ไช่ อิง-เหวิน ในวันพุธนี้ (3 ส.ค.) และยังมีกำหนดพบปะกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวของไต้หวันผู้วิจารณ์จีนอย่างรุนแรงเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย
โดยเมื่อคืนวันอังคารตามเวลาไต้หวัน อาคาร ไทเป 101 ซึ่งเป็นตึกสูงที่สุดของไต้หวัน ฉายข้อควายินดีต้อนรับประธานสภาฯ ส.ส.เพโลซี สู่ไต้หวันอีกด้วย
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนเรียกการเยือนครั้งนี้ของเพโลซีว่าเป็น “การละเมิดหลักการจีนเดียวอย่างร้ายแรง” และยังเป็นการล่วงละเมิดอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีนอย่างรุนแรง ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงความสัมพันธ์ของจีน และสหรัฐฯ
ขณะที่รัสเซียออกมาสนับสนุนจีนแผ่นดินใหญ่ โดยโฆษกของรัฐบาล ‘ดมิทรี เพสคอฟ’ กล่าวว่า ทุกอย่างเกี่ยวกับการเยือนเอเชียและไต้หวันครั้งนี้ คือการจงใจยั่วยุ และจะยิ่งทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่การเผชิญหน้ากับจีนมากยิ่งขึ้น
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยแน่แท้ไม่มีคำปลอบใจ หลัง GDP สหรัฐฯ ติดลบสองไตรมาสติดกัน
ช่วงนี้เราควรรับมืออย่างไร ลงกองทุนอะไรรับมือดี? ติดตามได้ผ่านบทความนี้เลย
ลงทุนในหุ้นแข็งแกร่งหนี้น้อยงบดุลสวย มีกระแสเงินสดเรื่อย ๆ เหมือนน้ำไหลเย็น เจ๊งยาก ลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าจำเป็น เช่น ข้าวสาร อาหารแห้งจิปาถะ เพราะ ยังไงคนก็ต้องกินข้าวกันอยู่ดี หรือจะเป็นหุ้นเกี่ยวกับการแพทย์ก็ได้เช่นกัน เพราะ ถดถอยยังไงไม่สบายก็ต้องไปหาหมอ
เหตุผลข้างต้นทำให้บ. เหล่านี้รายได้มีความผันผวนน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ เช่น โภคภัณฑ์ หุ้นเทคโนโลยีสตอรี่น่าสนใจแต่กำไรยังไม่มี
ตราสารหนี้เกรดลงทุนและพันธบัตรรัฐบาล หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงและโภคภัณฑ์ เพราะถดถอยที Demand สินค้าหดตัว ลากของพวกนี้ลงตาม ๆ กันไปด้วย
Inverted yield curve หรือการกลับหัวของผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาว เป็นอีกหนึ่งสัญญาณล่วงหน้าที่ใช้บอกการเกิดเศรษฐกิจถดถอยได้ดี ซึ่งช่วงก่อนหน้าที่ตลาดหุ้นถล่มทลายก็มีสัญญาณมาบ้างสั้น ๆ
ในช่วงที่ทุกคนกำลังตกใจ การหาจังหวะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและหุ้นเติบโตเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะ ตลาดอาจให้มูลค่าหุ้นบางตัวผิดพลาด เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนพอร์ตให้สูงอย่างคาดไม่ถึง หรือที่เรียกกันว่าแบบบ้าน ๆ ว่า “หุ้นเด้ง”
ช่วงที่ผ่านมาใครอัด margin หรือใช้ leverage เยอะไปหน่อย จนพอร์ตแตกหรือผันผวนมาก ๆ ตอนนี้อาจเป็นเวลาที่ดีในการจดบันทึกเรียนรู้จากข้อผิดพลาดบริหารความเสี่ยงให้ดีขึ้น (ผมเองก็เคยพอร์ตแตกมาเหมือนกัน หากคุณเป็นเช่นนั้น เราคือพวกกันครับ นักรบต้องมีบาดแผล T^T) หรือจะเลือกกระจายการลงทุนมาในกองทุนรวมก็ได้เช่นกันนะตามแนวที่ชอบและสะดวกได้เลย!
ใด ๆ ก็แล้วแต่ตลาดหุ้นมักฟื้นตัวไวกว่าเศรษฐกิจเสมอ ดังนั้นมีกองทุนหุ้นติดพอร์ตไว้บ้างก็ดีนะครับจะได้ไม่ขายหมู
ด้วยความหวังดีและขอให้ทุกคนโชคดีครับ
Mr. Serotonin
หากใครอยากได้คำแนะนำจัดพอร์ตโดยผู้แนะนำการลงทุนที่มีหรือวางแผนลงทุนกองภาษีลองกรอกรายละเอียดที่ลิ้งก์ด้านล่างได้เลยครับ
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองภาษี 200,000 บาทขึ้นไป
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/taxplanner-services
https://www.bea.gov/data/gdp/gross-domestic-product
https://www.investopedia.com/articles/08/recession.asp
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงและควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด มหาชน หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
Barclays เปิดผลการศึกษาระบุว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เก็บค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งมักเป็นบริษัทชื่อดังในอุตสาหกรรม มักมีแนวโน้มทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่เก็บค่าธรรมเนียมถูกกว่าเมื่อเวลาผ่านไป
Barclays ศึกษาค่าธรรมเนียมและผลตอบแทนสูงสุดจากทั้งหมด 290 กองทุน ช่วงปี 2019 – 2022
ผลที่ออกมาอาจเป็นการลบคำสบประมาทกองทุนค่าธรรมเนียมแพงที่ถูกวิจารณ์มาตลอด
ผลการศึกษาพบว่า กองทุนที่ดูแลโดยผู้จัดการกองทุนหลายคนที่เก็บค่าธรรมเนียมเต็มรูปแบบทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าตอบแทนของผู้จัดกองทุน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ สามารถสร้างผลตอบแทนสุทธิและอัลฟ่า (ผลตอบแทนที่เกินกว่าดัชนีชี้วัด) ได้มากกว่าคู่แข่งที่เก็บค่าธรรมเนียมบางส่วนหรือไม่เก็บเลย
Roark Stahler จาก Barclays อธิบายว่า บริษัทชื่อดังมีทั้งทีมผู้จัดการกองทุนหลายคน ภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการจ้างคนเก่ง การเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้มากกว่า และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือต้นทุน
ต้นทุนเหล่านั้นได้ถูกส่งต่อไปเป็นค่าใช้จ่ายของนักลงทุน นอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับบริษัทแล้ว นี่ยังแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยินดีที่จะจ่ายเพราะพวกเขาคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าหลังหักค่าธรรมเนียมแล้ว
นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่ากองทุนแบบดั้งเดิมที่มีผู้จัดการกองทุนเพียงคนเดียวและเก็บค่าธรรมเนียมสูงกว่าก็สามารถสร้างผลตอบแทนสุทธิและอัลฟ่าได้สูงกว่าคู่แข่งที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเช่นกัน
ผลตอบแทนที่สูงขึ้นทำให้ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ค่าธรรมเนียมสูงนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีขึ้น เพราะถ้าไม่มีผลงานและความสม่ำเสมอ บริษัทก็จะไม่สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้นได้
ช่วงที่ผ่านมา เฮดจ์ฟันด์รายใหญ่หลายรายได้ขึ้นค่าธรรมเนียม โดยในปี 2019 Element Capital Management ได้เพิ่มค่าธรรมเนียมตามผลงานที่มีชื่อเสียงจาก 25% เป็น 40% ของกำไร
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ถ้าจะถามว่ากูรูท่านใดที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากโครงการ GURUPORT ก็คงจะหนีไม่พ้น Dr.Andrew Stotz ซึ่งตอนนี้ก็ได้ออกพอร์ตมาทั้งหมดถึง 3 พอร์ตด้วยกัน ได้แก่ AWS, AWAF และล่าสุดคือ AWIG
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วพอร์ต 3 อันนี้แตกต่างกันอย่างไร? แบบไหนเหมาะกับใครบ้าง? บทความนี้จึงขอพาทุกท่านไปเจาะลึกพอร์ตตระกูล All Weather ทั้ง 3 พอร์ตกัน
ในโลกแห่งการลงทุน สินทรัพย์แต่ละประเภทนั้นมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนที่สูงขึ้นย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย (high risk high return) ถ้าเราลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ อาจทำให้เราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนตามที่ตั้งใจไว้ หรืออาจไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนเท่าที่ควรเป็น ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ในที่สัดส่วนมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอย่างน่าเสียดาย หรือหากคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูงในสัดส่วนที่มาก อาจทำให้คุณต้องกุมหัวคิดไม่ตกเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง
ดังนั้น ควรประเมินความเสี่ยงของตัวเองก่อนลงทุนเสมอ และจัดสรรพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในโลกการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “ไม่มีสินทรัพย์ใดที่สามารถเอาชนะตลาดได้ตลอดไป”
อย่างที่บอกไปในช่วงต้นว่า ดร. Andrew Stotz ได้ออกพอร์ตมาทั้งหมด 3 พอร์ตแล้ว ได้แก่ AWS, AWAF และ AWIG โดยทั้ง 3 พอร์ตนี้มีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ดังนี้
พอร์ต All Weather Alpha Focus (AWAF) เป็นพอร์ตการลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ในระยะยาวทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาดหุ้น หัวใจหลักของกลยุทธ์การลงทุนพอร์ต AWAF คือการให้น้ำหนักส่วนใหญ่ไปที่หุ้นโลก โดยมีการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนหลากหลายประเภท ตามกลุ่มอุตสาหกรรม ภูมิภาค และธีมการลงทุนต่าง ๆ พร้อมปรับสัดส่วนตามสภาวะตลาด (Tactical Allocation) เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรและป้องกันการขาดทุนในภาวะตลาดขาลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการลงทุนที่มีความยืดหยุ่น เน้นการสร้างเงินต้นให้เติบโต และต้องการลงทุนในระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของพอร์ต AWAF จะอ้างอิงจากโมเดล “FVMR Framework” ที่ถูกนำมาทดสอบอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
พร้อมวิเคราะห์ผ่านปัจจัยมหภาค (Macro) โดยใช้โมเดล FVMR เพื่อทำให้แน่ใจว่าคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจมากที่สุดตามสภาวะตลาด
ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2565
พอร์ต All Weather Alpha Focus (AWAF) จะลงทุนในตราสารทุน ในสัดส่วน 73% โดยใช้กองทุน KKP PGE-H เป็นตัวแทนของหุ้นโลกในสัดส่วน 25% กองทุน B-BHARATA เป็นตัวแทนของหุ้นอินเดีย ในสัดส่วน 20% กองทุน KT-ENERGY เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มพลังงาน ในสัดส่วน 20% กองทุน KFINFRA-A เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ในสัดส่วนในสัดส่วน 4% และกองทุน KFHHCARE-A เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่ม Healthcare ในสัดส่วน 4%
ด้านตราสารหนี้ พอร์ต AWAF จะลงทุนในสัดส่วนเพียง 3% โดยใช้กองทุน TMBTM ที่ลงทุนในตราสารตลาดเงินภาครัฐ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรที่ออกโดยภาครัฐ มาช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุน
และสัดส่วนที่เหลืออีก 24% พอร์ต AWAF จะกระจายลงทุนไปในตราสารทางเลือก โดยใช้กองทุน SCBGOLDH เป็นตัวแทนของทองคำในสัดส่วน 4% และกองทุน SCBCOMP ที่เป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์ ในสัดส่วน 20%
อ่านเพิ่มเติม เจาะลึก ALL WEATHER ALPHA FOCUS พอร์ตการลงทุนสุดพิเศษ เน้นสร้างผลตอบแทนแบบเหนือชั้นทุกช่วงเวลา
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่มีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาวให้ได้มากที่สุด สัดส่วนหุ้นในพอร์ตสามารถปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 25 – 85% ตามสถานการณ์
พร้อมลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยปกป้องพอร์ตในสภาวะตลาดผันผวน
นอกจากนี้พอร์ต AWS ยังเน้นลงทุนในกองทุน Passive Index ที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำและสมเหตุสมผล ไม่ฉุดรั้งผลตอบแทนระยะยาวของนักลงทุน
ในระยะยาว สัดส่วนการลงทุนสินทรัพย์แต่ละประเภทจะไม่ต่ำกว่า 5% ของพอร์ตการลงทุน เพื่อให้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี และลดความเสี่ยงของช่วงเวลา (Market Timing Risk) ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมลดสถานการณ์ “ตกรถ” ของนักลงทุน
ในระยะสั้น เน้นสัดส่วน (Conviction) 25% ไปที่สินทรัพย์ 3 สินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดในแต่ละช่วงเวลา เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ผ่านหลักแนวคิด FVMR เช่นเดียวกับพอร์ต AWAF ที่ช่วยให้นักวิเคราะห์ไม่พลาดตกหล่นปัจจัยที่เกี่ยวข้องไป
ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2565
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) จะลงทุนในตราสารทุน ในสัดส่วน 25% ซึ่งมีการกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยใช้กองทุน TISCOAP เป็นตัวแทนของหุ้นเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในสัดส่วน 5% กองทุน TISCOGEM เป็นตัวแทนของหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ในสัดส่วน 5% กองทุน K-EUX เป็นตัวแทนหุ้นยุโรป ในสัดส่วน 5% กองทุน K-JPX เป็นตัวแทนหุ้นญี่ปุ่น ในสัดส่วน 5% และกองทุน KFUSINDX-A เป็นตัวแทนหุ้นสหรัฐฯ ในสัดส่วน 5%
ส่วนตราสารหนี้ พอร์ต AWS เลือกใช้กองทุน TMBTM ซึ่งลงทุนในตราสารตลาดเงินภาครัฐ เช่นเดียวกับพอร์ต AWAF ในสัดส่วน 25%
และสัดส่วนที่เหลืออีก 50% พอร์ต AWS จะกระจายการลงทุนไปในตราสารทางเลือก โดยจะลงทุนในทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ในสัดส่วนดังนี้ กองทุน TMBGOLDS เป็นตัวแทนของทองคำในสัดส่วน 25% กองทุน SCBCOMP เป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์ ในสัดส่วน 25%
อ่านเพิ่มเติม เอาชนะทุกสภาวะตลาด ด้วยพอร์ตการลงทุน A.Stotz All-Weather Strategy
พอร์ต All Weather Inflation Guard (AWIG) เป็นพอร์ตการลงทุนระยะยาวเพื่อตอบสนองต่อสภาวะเงินเฟ้อโดยเฉพาะ เน้นลงทุนในพันธบัตรเป็นกลยุทธ์หลัก และลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วนปานกลาง พร้อมควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพอร์ตอื่น ๆ ของ ดร. Andrew Stotz โดยมีการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงไปยังพันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และน้ำมัน เป็นพอร์ตที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเอาชนะเงินเฟ้อ และต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงิน
สำหรับพอร์ต All Weather Inflation Guard (AWIG) จะใช้กลยุทธ์ “FVMR” เช่นเดียวกับพอร์ต All Weather Alpha Focus (AWAF) และพอร์ต All Weather Strategy (AWS) โดยเป็นโมเดลที่ออกแบบโดย ดร. Andrew Stotz และทีมงาน ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีการทดสอบปัจจัยต่าง ๆ ย้อนหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริงและเข้ากับสถานการณ์ตลาดในแต่ละช่วงเวลา มีการวิจัยและทดสอบอย่างสม่ำเสมอ พร้อมตัดอคติออกจากการวิเคราะห์ในทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยยึดการลงทุนในระยะยาวเป็นหัวใจสำคัญ
ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2565
พอร์ต All Weather Inflation Guard (AWIG) จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก ในสัดส่วน 60% โดยเลือกลงทุนในกองทุน K-CBOND ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ ในสัดส่วน 45% กองทุน KTILF ซึ่งลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ในสัดส่วน 10% และกองทุน TMBTM ที่ลงทุนในตราสารตลาดเงินภาครัฐ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรที่ออกโดยภาครัฐ ในสัดส่วน 5%
ส่วนตราสารทุน พอร์ต AWIG จะลงทุนในสัดส่วน 30% โดยลงทุนใช้กองทุน B-GLOBAL เป็นตัวแทนของหุ้นโลก ในสัดส่วน 20% กองทุน KFINFRA-A เป็นตัวแทนของหุ้นโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ในสัดส่วน 5% กองทุน KT-ENERGY เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มพลังงานทั่วโลก ในสัดส่วน 5%
และสัดส่วนที่เหลืออีก 10% พอร์ต AWIG จะกระจายลงทุนในตราสารทางเลือก โดยจะลงทุนในทองคำ ซึ่งใช้กองทุน TMBGOLDS ในสัดส่วน 5% และลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งใช้กองทุน SCBCOMP ในสัดส่วน 5% เช่นเดียวกัน
อ่านเพิ่มเติม ตั้งการ์ดรับเงินเฟ้อกับ All Weather Inflation Guard พอร์ตเสี่ยงต่ำในแบบฉบับคุณ Andrew Stotz
ผลการทดสอบผลการดำเนินงานย้อนหลังของพอร์ต AWAF, AWS และ AWIG
ที่มา: สไลด์นำเสนอพอร์ต AWIG ณ วันที่ 21 มิ.ย. 2565
มาดูกันในเรื่องผลตอบแทนย้อนหลังกันบ้าง จากภาพด้านบนเป็นภาพกราฟเส้นแสดงผลการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลังของพอร์ต AWAF (สีแดง) พอร์ต AWS (สีฟ้า) และพอร์ต AWIG (สีเขียว) จะเห็นได้ว่าหากปี 2004 เรานำเงิน 100 ดอลลาร์หรัฐฯ ไปลงทุนทั้ง 3 พอร์ตตระกูล All Strategy ผ่านไป 18 ปี ในเดือนพฤษภาคม 2022 พอร์ตที่ทำให้เงินลงทุนของเราเติบโตได้มากที่สุดคือพอร์ต AWAF โดยเติบโตกว่า 324% ถัดมาเป็นพอร์ต AWS ที่ทำให้เงินเติบโตได้กว่า 199% และอันดับสุดท้ายเป็นพอร์ต AWIG ซึ่งทำให้เงินลงทุน 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตเป็น 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม 2022 หรือเติบโตกว่า 133%
กราฟแท่งแสดงผลตอบแทนและความเสี่ยงของพอร์ต AWAF, AWS และ AWIG
ที่มา: สไลด์นำเสนอพอร์ต AWIG ณ วันที่ 21 มิ.ย. 2565
แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าอัตราผลตอบแทนที่สูงย่อมมาคู่กับระดับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย (high risk high return) จากภาพกราฟแท่งด้านบนจะเห็นได้ว่าพอร์ต AWAF มีค่าความผันผวน (Volatility) ซึ่งวัดได้จากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: SD) ค่อนข้างสูง ในขณะที่พอร์ต AWIG ค่าความผันผวนต่ำที่สุดในบรรดาพอร์ตตระกูล All Strategy ทั้ง 3 พอร์ต เนื่องจากพอร์ต AWAF ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นค่อนข้างมากด้วยสัดส่วน 73% โดยใช้ตราสารหนี้มากระจายความเสี่ยงพอร์ตเพียง 3% ในขณะที่พอร์ต AWIG เน้นลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก ในสัดส่วน 60% และลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วน 30% ดังนั้นเราควรเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ลงทุนอย่างมีความสุขในตลาดการเงินไปได้แบบยาว ๆ
ทั้ง 3 พอร์ตใช้หลัก Asset Allocation ในการลงทุนเป็นหลัก ซึ่งมีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และตราสารทางเลือก โดยจะจัดสรรสัดส่วนการลงทุนแต่ละประเภทสินทรัพย์ตามกลยุทธ์ของแต่ละพอร์ต มีการวิเคราะห์ผ่านโมเดล FVMR ที่ออกแบบโดย ดร. Andrew Stotz และทีมงาน ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริง
พอร์ต AWS และ AWIG ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้น 500,000 บาท ในขณะที่พอร์ต AWAF ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้น 2,000,0000 บาท โดยทุกพอร์ตไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการจัดพอร์ตลงทุน พร้อมมีบริการ Rebalance ปรับพอร์ตตามความสมควรและสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 พอร์ตนั้น มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ผลตอบแทนคาดการณ์โดยเฉลี่ยมีความต่างกันตามไปด้วย พอร์ต AWAF ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นมากที่สุดในบรรดา 3 พอร์ต ในสัดส่วน 73% พอร์ต AWS และลงทุนในตราสารหนี้เพียง 3% ในขณะที่พอร์ต AWIG ซึ่งเป็นพอร์ตที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ให้น้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ถึง 60% ดังนั้น ลองสำรวจตัวเองและเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้กันนะ
.
หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสัดส่วนการลงทุนแนะนำ หรือรายละเอียดพอร์ต สามารถปรึกษาทีมงาน FINNOMENA Investment Advisor ก่อนเริ่มลงทุนได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ส่วนใครที่เลือกได้แล้วว่าพอร์ตไหนเหมาะกับความเสี่ยงของตัวเองก็สามารถคลิกที่ลิงก์ด้านล่างเพื่อเริ่มต้นสร้างแผนการลงทุนได้เลย
— planet 46.
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
กองทุนไหนดี? รวบรวม 10 อันดับกองทุนผลตอบแทนดีในแต่ละเดือนของปี 2565 มาไว้ที่นี่แล้ว!
รับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service
คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: UOBSC, SCBCOMP, LHCYBER-D, LHCYBER-A, LHCYBER-E, PRINCIPAL GCLEAN-A, PRINCIPAL GCF, KF-LATAM, TOIL6, TUSOIL, I-OIL, K-ICT
คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: UOBSC, KF-LATAM, WE-CANAB, ASP-DIGIBLOC, KT-MINING, TMBOIL, KT-OIL, I-10, TISCOLAF, TUSOIL
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ASP-DIGIBLOC: ตะลุยมิติใหม่ของการลงทุนแห่งยุคดิจิทัล
คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: ABSM, M-MIDSMALL-A, MIDSMALLMF, M-MIDSMALL-D, ABTED, K-MBOND, TLMSEQ, LHMSFL-A, LHMSFL-R, LHMSFL-D, K-ICT, KFTHAISM
คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: KT-ENERGY, BCAP-CTECH, TRAREEARTH, T-GLOBALENERGY, TOIL6, TUSOIL, I-OIL, UEV, ASP-POWER, SCBOIL
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ASP-POWER: เติบโตไปกับธุรกิจ 3 พลังงานแห่งอนาคต
คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: TCHCON, ASP-EVOCHINA, KFCMEGA-A, PRINCIPAL CHTECH-A, BCAP-CTECH, UCHI, MCHEVO, TMBCHEQ, SCBCHEQA, SCBCTECHA
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ASP-EVOCHINA: 10 เรื่องที่ต้องรู้ของกองทุนจีนผลตอบแทนโดดเด่น
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน UCHI: การผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีน
คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: TGHDIGI, ASP-EUG, B-SIP, ASP-IHEALTH, TISCOJPA, TISCOINA-A, PRINCIPAL GEDTECH-A, UEDTECH, SCBROBOA, TBRAND
สามารถกรองการจัดอันดับได้เอง พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่ FINNOMENA Fund Filter
รับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
เมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) หุ้น Nio และ Li Auto สตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าของจีนปรับตัวขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังบริษัทรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ ก.ค. เพิ่มขึ้น
Nio รายงานว่า ในเดือน ก.ค. บริษัทส่งมอบรถยนต์ไปทั้งหมด 10,052 คัน เพิ่มขึ้น 26% จากปีที่แล้ว แต่ลดลงจากเดือน มิ.ย. ที่ส่งมอบไปเกือบ 13,000 คัน
ขณะที่ Li Auto รายงานว่าบริษัทได้ส่งมอบรถยนต์อเนกประสงค์ Li ONE จำนวน 10,422 คัน ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 21.3% จากปีที่แล้ว แต่ลดลงจากเดือน มิ.ย. เช่นกัน
ด้านคู่แข่งอย่าง Xpeng สามารถทำผลงานได้ดีสุด โดยส่งมอบไปทั้งหมด 11,524 คัน ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นถึง 40% จากปีที่แล้ว แต่ก็ลดลงจากเดือน มิ.ย. เช่นเดียวกัน
โดยเมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) หุ้น Nio เพิ่มขึ้น 2.3% ขณะที Li Auto เพิ่มขึ้น 3.8% แต่ Xpeng เพิ่มขึ้นเพียง 0.2%
บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 3 ราย ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดในจีนที่นำไปสู่การล็อกดาวน์ศูนย์กลางการผลิตทั่วจีน ตอนนี้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต้องเผชิญกับทั้งปัญหาซัพพลายเชน การขาดแคลนส่วนประกอบ และต้นทุนวัสดุที่แพงขึ้น
Nio กล่าวว่าการผลิตรถยนต์รุ่น ET7 และ EC6 ถูกจำกัดในเดือน ก.ค. เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดหาชิ้นส่วน โดยบริษัทกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้า และคาดว่าสามารถจะเร่งการผลิตได้ในเดือนต่อๆ ไปของไตรมาสที่ 3 นี้
ขณะที่ Xpeng และ Li Auto ไม่ได้พูดถึงปัญหาการหยุดชะงักของซัพพลายเชน
Xpeng กล่าวว่ามีแผนเริ่มรับจองรุ่นใหม่ G9 SUV ในเดือน ส.ค. โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือน ก.ย. ขณะที่ Li Auto กล่าวว่า Li ONE คันที่ 200,000 ได้ออกจากสายการผลิตที่โรงงานในฉางโจวเมื่อวันจันทร์ (1 ส.ค.) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของบริษัท
อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/01/nio-xpeng-li-auto-july-electric-car-deliveries-jump-shares-rise.html
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
แล้วอาวุธของธนาคารกลางยุโรปหรืออีซีบีสำหรับต่อสู้กับความแตกต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศต่าง ๆ ของยุโรปหรือที่เรียกว่า Fragmentation ที่รอมานาน ก็ได้ฤกษ์คลอดออกมาในการประชุมครั้งล่าสุด มีชื่อ Transmission Protection Instrument (TPI)
โดยอีซีบีจะให้ TPI เป็นเหมือนตัวเสริมให้อาวุธหลักต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดเงินและพันธบัตรในยุโรปมีความผันผวนหนักมาก ๆ และอาจก่อให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในประเทศต่าง ๆ ของยุโรปเกิดความแตกต่างกันมากเกินไป จนก่อให้เกิดผลเสียต่อกระบวนการการส่งผ่านนโยบายการเงิน (Transmission Mechanism) ทั่วภาคพื้นยุโรป โดยที่หากประเทศหรือหน่วยงานใดต้องการสมัครใช้ TPI จะมีเงื่อนไขที่ตั้งไว้เพื่อกรองว่าผู้จะมาขอความช่วยเหลือให้อีซีบีช่วยซื้อพันธบัตรของประเทศที่มีความเสี่ยงเฉพาะตัวสูงจากสภาวะการเงินที่แย่ลง แม้ปัจจัยพื้นฐานของประเทศจะไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น ผ่านตลาดรอง (Secondary Market) มีระดับความเสี่ยงไม่มากจนเกินไป
ทว่าเงื่อนไขที่ตั้งไว้ผ่อนคลายมากกว่า รวมถึงอายุของตราสารที่อนุญาตซื้อได้มีความคลอบคลุมมากกว่าอาวุธเดิมที่คล้ายคลึงกันอย่าง OMT (Outright Monetary Transaction)
หรืออาจเรียก TPI ว่า market maker of last resort เพื่อช่วยให้ตลาดเงินและตลาดพันธบัตรของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ยังสามารถดำเนินไปได้ แม้ว่าบางช่วงเวลาที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปจะแตกต่างกันมาก จนสภาพคล่องของพันธบัตรในบางประเทศเหือดหายไปก็ตามที
สำหรับผู้ที่ไม่รู้จัก OMT จะขออธิบายย่อ ๆ ดังนี้
มาตรการ OMT ออกมาเมื่อเดือนกันยายน 2012 เพื่อทำการซื้อพันธบัตรแบบไม่จำกัดจำนวนในตลาดรอง โดยเลือกที่จะซื้อพันธบัตรอายุไม่เกิน 3 ปี นั้น ได้ส่งผลให้เสถียรภาพของทั้งตลาดเงิน ตลาดทุนและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงนั้น เนื่องจากตลาดมีความเชื่อถือต่อมาตรการดังกล่าวเป็นอย่างมากว่าจะสามารถแก้หรือบรรเทาวิกฤติยูโรได้ หากเกิดสถานการณ์คับขันขึ้นมาในอนาคต
โดย OMT ให้ผลดีต่อดัชนีเศรษฐกิจต่าง ๆ ของยุโรป ดังนี้
หนึ่ง เจ้าตัว OMT ถือเป็นเครื่องมือที่ทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของประเทศยุโรปใต้อย่างอิตาลี และ สเปน ลดลง ในช่วงวิกฤตยุโรปปี 2011 ทว่าลาการ์ดอาจมองว่าอยากจะให้โครงการการซื้อพันธบัตรในตลาดรองในยุคของเธอที่ชื่อ TPI มีความคล่องตัวมากกว่า รวมถึงเป็นความคิดริเริ่มของเธอเอง
สอง สเปรดของตราสารหนี้ภาคเอกชนหลังจากใช้ OMT ลดลงค่อนข้างมากในปี 2011 จากการที่สถานการณ์การกู้ยืมของแบงก์และบริษัทเอกชนที่ดูผ่อนคลายลง อย่างไรก็ดี TPI ตั้งเงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการที่ดูอะลุ้มอล่วยกว่า OMT เพื่อต้องการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว สามารถที่จะเปิดโอกาสต่อบริษัทขนาดกลางและเล็กในการเข้าถึงได้ด้วย
สาม OMT ยังทำให้ปริมาณหนี้ต่อธนาคารกลางยุโรปของทั้งรัฐบาลและบริษัทเอกชนในกลุ่มประเทศยุโรปใต้ลดลงค่อนข้างมาก และแน่นอนว่าได้ทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในกลุ่มประเทศยุโรปใต้ลดลงค่อนข้างมากในช่วงปี 2011 อย่างไรก็ดี ลาการ์ดมองว่าเงื่อนไขของ OMT มีข้อจำกัดต่อผู้กู้บางเซกเมนต์และต่อบางช่วงอายุของพันธบัตร จึงอยากจะผ่อนคลายนั้น อันนำมาสู่เครื่องมือใหม่ที่ชื่อ TPI
คำถามเดียวที่เกิดขึ้น คือ อีซีบี จะสร้าง TPI ขึ้นมาทำไม ในเมื่อมี OMT อยู่ในมืออยู่แล้ว?
คำตอบ อาจจะไม่ถูกใจใครหลายคนที่กังวลในความเสี่ยงของตัวอีซีบีเอง นั่นคือ หากยังใช้ OMT อยู่ จะมีพันธบัตรหลายช่วงอายุในหลายประเทศที่จะไม่ถูกช่วยโดยอีซีบีในตลาดรอง
จุดที่เหมือนกันของทั้งคู่ คือ ทั้งคู่เป็นโครงการซื้อพันธบัตรแบบไม่จำกัดจำนวน (Open-ended) โดยในหลักการ อีซีบีอนุญาตให้ทั้งคู่ซื้อพันธบัตรในอันดับความเสี่ยงที่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade ได้ รวมถึงยอมให้แบ่งการรับส่วนขาดทุนระหว่างอีซีบีกับผู้ออกพันธบัตรตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้
นอกจากนี้ TPI จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าสำหรับในส่วนนี้ อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนหน้า TPI ยังอนุญาตให้ซื้อสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า OMT รวมถึงยังสามารถซื้อหลักทรัพย์ภาคเอกชนได้ด้วย
ที่สำคัญ ภายใต้ OMT ผู้เข้าร่วมโครงการต้องสามารถซื้อพันธบัตรในตลาดแรกเสียก่อน ซึ่งมีเงื่อนไขที่เข้มงวดค่อนข้างมาก อาทิ เงื่อนไขของตัวเลขเศรษฐกิจบางดัชนีจาก IMF จึงจะสามารถเข้าโครงการ OMT ได้ ซึ่งทำให้หลายหน่วยงานติดเงื่อนไขตรงส่วนนี้ จึงพลาดการให้อีซีบีเข้าช่วยเหลือ ซึ่ง TPI ได้ทลายข้อจำกัดนี้ไป และทำการสร้างเงื่อนไขที่ผ่อนคลายมากกว่าเป็นตัวกรองแทน ทำให้หลายภาคส่วนสามารถเข้าร่วมโครงการของอีซีบีนี้ได้
อย่างไรก็ดี มีหลายฝ่ายกังวลว่าอีซีบีอาจจะสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อประเทศที่ตนเองต้องการช่วยเหลือ จนอาจกลายเป็นประเด็นการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจยุโรปอ่อนแอหลังจากขึ้นดอกเบี้ยไปจนสุดตัว
MacroView
สแกนกองทุนผ่านปัจจัยเชิง Macro ความเสี่ยง (Risk) และการวิเคราะห์แบบ Induction (MRI) จาก MacroView
ดูรายละเอียดพอร์ต >>> https://finno.me/guruport-macroview
การลงทุนนั้น ผมคิดว่าสำหรับคนที่เริ่มลงทุนใหม่ ๆ หรือลงทุนมาไม่นานในตลาดหลักทรัพย์ใดก็ตาม เรามักจะเริ่มโดยใช้กลยุทธ์หรือวิธีการที่อาจจะไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์หรือภาวะการณ์ของตลาดนั้นแม้ว่าเราอาจจะใช้หลักการใหญ่ ๆ ที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ดีจะต้องคอยตรวจสอบหรือประเมินว่า อะไรคือสิ่งที่ควรจะปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงเพื่อให้การลงทุนได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว และนั่นก็มักจะนำไปสู่การ “ปรับพอร์ต” ขนานใหญ่เมื่อเวลาผ่านไป การปรับพอร์ตเองก็มักจะใช้เวลาเนื่องจากว่า กว่าจะรู้ว่าพอร์ตแบบใหม่นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็จะต้องใช้เวลา ส่วนใหญ่ก็หลาย ๆ เดือนหรือเป็นปี ๆ จนเรามั่นใจว่า นั่นคือพอร์ตที่เราจะใช้ไปอีกนานหรือตลอดไป
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเริ่มแรกของผมราวปี 2538-39 ก็เริ่มจากการลงทุนแบบไม่ค่อยมีรูปแบบ เป็นแนว “เล่นหุ้น” ตามสถานการณ์ การใช้กลยุทธ์แบบ VI อย่างจริงจังนั้นน่าจะเริ่มในปี 2540 ที่เป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนแนวทางเป็นเรื่องของการ “ลงทุน” แล้ว ยังเป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต” คือลงทุนแบบทุ่มเทเอาจริงเอาจังด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่ ใช้หลักการแบบ “Value Investment” ที่มองหุ้นเหมือนกับ “ธุรกิจ” และลงทุนระยะยาวตลอดชีวิต ที่เน้นว่าจะขาดทุนหรือเสียหายหนักไม่ได้ เพราะมันเป็น “ชีวิตของเรา” และนั่นก็คือภาพใหญ่
เวลาต่อมา กลยุทธ์ลงทุนแบบ VI ที่ซื้อหรือลงทุนในหุ้นแทบทุกรูปแบบ คือไม่ได้สนใจว่าธุรกิจเป็นแบบไหน เช่น เป็นโภคภัณฑ์ล้วน ๆ หรือเป็นหุ้นที่เล่นตามเหตุการณ์พิเศษเช่น เป็นบริษัทส่งออกที่กำลังได้เปรียบทางด้านค่าเงินบาทที่อ่อนตัวอย่างรวดเร็ว หรือเป็นหุ้นสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อ ก็เริ่มเปลี่ยนไป พอร์ตเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการถือหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” เพียงไม่เกิน 6-7 ตัวที่มีมูลค่าสูงถึง 70-75% ของพอร์ต และนั่นก็คือสิ่งที่ผมทำจนถึงทุกวันนี้
การเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อ 6-7 ปีก่อนของผมเองก็มีวิวัฒนาการคล้าย ๆ กัน นั่นก็คือ แม้ว่าจะใช้หลักการ “VI” ตั้งแต่แรก แต่วิธีการก็ไม่ได้เหมือนในตลาดหุ้นไทยเลย เอาแค่จำนวนหุ้นก็ถือเป็นกว่าร้อยตัวเข้าไปแล้ว ซึ่งผลลัพธ์การลงทุนที่ได้ก็ต้องบอกว่าน่าผิดหวังและผลระยะยาวก็คงจะไปไม่ได้ หุ้น “ติดหล่ม” มาหลายปีก่อนที่ผมจะเริ่ม “ปรับพอร์ตครั้งใหญ่” ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ถึงแม้ว่าจะยังมีหุ้นกว่าร้อยตัวอยู่ แต่หุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกและหุ้นปลอดภัยราคาถูกเพียงประมาณ 8-9 ตัว กลับมีมูลค่าถึงกว่า 75% ของพอร์ตโดยรวม และผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็โดดเด่นในช่วงประมาณปีครึ่งที่ผ่านมา
ปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามโตขึ้นถึง 35% และแทบจะเรียกว่า “ดีที่สุดในโลก” นั้น หุ้นที่ใหญ่ที่สุด 4 ตัวของผมที่ผมคิดว่าเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงประมาณ 40% แต่ในช่วง 7 เดือนของปี 2565 นี้ ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามให้ผลตอบแทนติดลบถึงประมาณ 20% หุ้น 4 ตัวดังกล่าวกลับให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกประมาณ 4% ขณะที่หุ้นกลุ่ม Defensive โดยเฉพาะที่ทำเกี่ยวกับสาธารณูปโภคโดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีราคาค่อนข้างถูกอีก 4 ตัวที่มีขนาดใหญ่รอง ๆ มาของพอร์ตก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยประมาณ 9% และนั่นทำให้พอร์ตหุ้นเวียดนามโดยรวมที่รวมถึงหุ้นอีกกว่า 100 ตัว ยังไม่ติดลบทั้ง ๆ ที่ตลาดหุ้นเวียดนามตกลงมาหนักมาก
ที่สำคัญยิ่งกว่าผลงานทางด้านของ “ราคาหุ้น” ก็คือ ผลประกอบการของบริษัทหรือหุ้นทั้งแปดตัวก็คือ กำไรของเกือบทุกบริษัทต่างก็เติบโตโดดเด่นตามราคาหุ้น ไม่มีหุ้นตัวไหนมีราคาผิดธรรมชาติ ค่า PE ของหุ้นสมเหตุผลที่ไม่เกิน 30 เท่า แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ที่ประมาณ 20 เท่าเศษ ๆ แต่ก็มีบางตัวโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่าและปันผลค่อนข้างดีที่เกิน 5% ต่อปี และนั่นจึงทำให้พวกมันไม่ได้ตกลงมารุนแรงในยามที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก ผมเองคิดว่า อนาคตหลังจากนี้ ที่ภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นแล้ว หุ้นพวกนี้จะปรับตัวขึ้นได้รวดเร็วเพราะมันไม่แพงและยังเติบโตดี
แน่นอนว่าผลตอบแทนจาก “พอร์ตใหม่” เพิ่งจะแสดงออกมาเพียงปีครึ่งหรือ 2 ปี ยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามันจะคล้าย ๆ กับพอร์ตซุปเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปกว่า 10 ปีที่แล้วที่ทำให้ VI ไทยจำนวนมาก “ร่ำรวย” จากการลงทุนไปเลยเพราะสามารถสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องในระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีติดต่อกันยาวนาน โดยที่เหตุผลก็คือ หุ้นที่เป็น VI มีการเติบโตของกำไรสูงบวกกับการปรับค่า PE ของหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปมากจนบางตัวสูงถึง 30-40 เท่าหรือมากกว่านั้น เนื่องจากนักลงทุนที่มุ่งมั่น “ทั้งประเทศ” แทบจะเรียกตัวเองว่าเป็น VI และ “ไล่ล่า” หาหุ้นที่การเติบโตสุดยอดและดันราคาของหุ้นให้สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่ในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น ยังแทบจะไม่มี “VI” ที่จะเข้ามาลงทุนหรือ “เล่นหุ้น VI” ดังนั้น หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ในสายตาของผมหรือ VI ไทย ก็เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติสนใจแต่หุ้น “วิ่งช้า” และนักลงทุนส่วนบุคคลของเวียดนามที่เน้นการ “เก็งกำไร” ไม่ชอบ
เราคงต้องดูกันต่อไปว่า อีกอาจจะ 5-10 ปีข้างหน้า นักลงทุนเวียดนามจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบนักลงทุนไทยในอดีตไหม ถ้าเป็น หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ในวันนี้ก็อาจจะเติบโตไปได้อีกมาก ถ้าเราถือไว้ยาวนานก็อาจจะรวยไปเลย แต่ถ้าไม่เป็น อย่างน้อยผมก็คิดว่าเราก็ควรจะได้ผลตอบแทนไม่น่าจะน้อยกว่า 10% แบบทบต้น สิ่งที่ผมรู้สึกดีในการถือหุ้นเหล่านั้นจริง ๆ ก็คือ มันน่าจะเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงและเราสามารถลงทุนในปริมาณที่มากได้อย่างสบายใจ และดังนั้น ผมจึงคิดว่านี่คือพอร์ตที่ผมจะถือยาวและไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี
สิ่งที่ผมอาจจะทำบ้างก็คือ การ “ปรับพอร์ตในรายละเอียด” นั่นก็คือ หุ้นอีกกว่า 100 ตัว ผมจะทำอย่างไรกับมัน? ในชั้นนี้ผมก็มักจะขายออกไปบ้างเมื่อมีโอกาส แล้วใช้เงินนั้นซื้อหุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกแทน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ไม่ได้ทำอะไร ประโยชน์ของมันก็มีอยู่นั่นคือ มันยังจ่ายปันผลค่อนข้างดีมากกับผมทุกปี นอกจากนั้นหุ้นบางตัวนั้น เนื่องจากตัวเล็กมาก มันจึงโตได้เป็นหลาย ๆ “เด้ง” หรือหลาย ๆ เท่าในเวลาไม่กี่ปี บางตัวเป็น 10 เด้ง ซึ่งก็ทำให้มันสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นมีการเก็งกำไรสูงอย่างในปี 2564 ที่มันให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นซุปเปอร์สต็อกด้วยซ้ำ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2022/08/01/2696