- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- หามูลค่าที่เหมาะสม
- จับจังหวะเข้าลงทุน
- อ่านบทวิเคราะห์อย่างเข้าใจ
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid0oC6bYcfJhqQMU58SvqNNk5q9bHgrbd61AHAa8PM3vJcqTeFYrPAJT8kh6bNfpWFYl
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
ด้วยสัปดาห์นี้ของเดือนกันยายนนั้น มีตัวชี้วัดที่สำคัญอย่าง Core Retail Sales และ Retail Sales ออกมา และมีแนวโน้มว่าทั้งสองตัวชี้วัดจะลดลง อีกทั้งยังมี FED Interest Rate Decision ที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกด้วย แต่ FED จะเลือกปรับลงที่ 25 BPS หรือ 50 BPS และมีโอกาสมากกว่า 50% ที่ FED จะปรับลดลง 50 BPS และอาจทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงได้รับผลกระทบเชิงลบอีกด้วย ฉะนั้นสัปดาห์นี้ควรรอดูตลาดคริปโทฯ เพื่อดูราคาให้ทำการลงทุนในสัปดาห์ถัด ๆ ไป
Core Retail Sales MoM หรือ ดัชนียอดค้าปลีก เป็นการวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายอดขายทั้งหมดในระดับการค้าปลีก ซึ่งเป็นดัชนีที่สำคัญมากที่สุดที่บ่งชี้ถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นส่วนสำคัญมากที่สุดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม สำหรับ Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core Retail Sales MoM มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 0.4% เหลือ 0.3%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/retail-sales-ex-gas-and-autos-mom
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การที่มีแนวโน้มลดลงของ Core Retail Sales เพียงเล็กน้อย หรือมีแนวโน้มที่จะลดลงเพียง 0.1% อาจสามารถเป็นสัญญาณของการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และหาก Core Retail Sales ลดลงจะส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงในเชิงลบเนื่องจากนักลงทุนจะไม่หลีกเลี่ยงการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและจะไปถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากกว่า
Federal Reserve (FED) หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ จะมีการตัดสินใจในการเพิ่มลดหรือคงอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมครั้งที่จะถึงนี้
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: FED มีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 5.00% – 5.25%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/interest-rate
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การที่ FED จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างแน่นอนในการประชุมครั้งถัดไป แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีโอกาสที่ FED จะลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 4.75% – 5.00% หมายความลดครั้งละ 50 BPS และถ้าหากลดครั้งละ 50 BPS อาจส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีแรงตอบโต้ในทางลบ เนื่องด้วยนักลงทุนอาจกลัวที่จะเข้าสู่สภาวะตลาดถดถอยหรือ Recession
Initial Jobless Claims หรือ Unemployment Claims คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนค่าใช้จ่ายของรัฐได้ชัดกว่าอัตราการว่างงาน เพราะยิ่งตัวเลขนี้สูงขึ้นนั่นหมายความว่าค่าใช้จ่ายของภาครัฐ หรือ Government Expenditure ถูกใช้ไปในการช่วยเหลือกลุ่มคนว่างงานมากขึ้น เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะหดตัว และยังแสดงให้เห็นถึงช่องว่างความเหลื่อมล้ำในประเทศอีกด้วย โดยตัวเลขนี้จะมีประกาศทุก ๆ วันพฤหัสบดี
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Unemployment Claims มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 230K เป็น 234K
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/jobless-claims
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การที่มีแนวโน้มว่า Unemployment Claims จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย อาจไม่มีผลกระทบที่แน่ชัดต่อตลาด แต่อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ ตัวชี้วัดนั้นจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ย และการที่ Unemployment Claims มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นนั้นอาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจที่กำลังจะชะลอ นักลงทุนที่มีความกังวลในการลงทุนก็อาจมีการปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า
Credit from Coindar
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
16 กันยายน
18 กันยายน
19 กันยายน
20 กันยายน
Source : https://www.coinglass.com/FundingRateHeatMap
ในส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้ยังค่อนข้างต่ำ หลายเหรียญมี Funding rate ติดลบ แสดงถึงตลาดที่นักลงทุนต่างพากันลดความเสี่ยง นักลงทุนมีมุมมองเชิงลบต่อตลาด และทำการเปิดสถานะชอร์ตมากกว่าสถานะลอง
Source : https://www.coinglass.com/FundingRateHeatMap
ในฝั่งของ Bitcoin Open Interest ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง แสดงให้เห็นถึงการลดความเสี่ยงของนักลงทุนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ มาจากการที่นักลงทุนรอดู Reaction ของตลาดต่อการประกาศนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในสัปดาห์นี้ และต่อด้วยการประกาศนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ BoJ ทำให้ตลาดเกิดความกังวลเรื่อง Unwind Yen carry trade อีกครั้ง
Source : https://farside.co.uk/?p=997
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลเข้าจาก Spot Bitcoin ETFs รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 403.9 ล้านเหรียญ ถึงแม้ว่าจะเป็นสัปดาห์ที่มีแรงซื้อสุทธิเป็นบวก แต่ก็ยังไม่สามารถหักล้างกับแรงเทขายในช่วงสองสัปดาห์ก่อนได้ บ่งบอกถึงแรงเทขายที่ผ่อนลงในระยะสั้น แต่นักลงทุนสถาบันยังคงจับตามองเศรษฐกิจภาพรวมมากกว่า
Source : https://farside.co.uk/?p=1518
ในส่วนของ Ethereum ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลออกทั้งสิ้น 12.9 ล้านเหรียญ ซึ่งยังคงเป็นแรงเทขายจาก ETHE เป็นหลัก ประกอบกับแรงซื้อจากเจ้าอื่นที่มีเข้ามาเพียงเล็กน้อย ทำให้ภาพรวมยังคงดูแย่สำหรับ Ethereum
หลังจากการอนุมัติของ SEC ทั้ง Spot Bitcoin และ Ethereum ETF ทำให้นักลงทุนสถาบันกลายมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สำคัญในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี และเปลี่ยนโครงสร้างตลาดจากที่ครองโดยนักลงทุนรายย่อยมาเป็นนักลงทุนสถาบันแทน ทำให้การจับตามองยอดเงินเข้าออกสำคัญต่อทิศทางตลาดมาก
เนื่องจากปัจจัยทางด้าน Macroeconomics สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ส่งผลให้เกิดการลดความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด โดยตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ได้มียอดไหลออกจาก Spot Bitcoin และ Ethereum ETF กว่า 302.2 ล้านเหรียญ และ 104 ล้านเหรียญตามลำดับ
Source : https://insights.glassnode.com/the-week-onchain-week-37-2024/
Source : https://insights.glassnode.com/the-week-onchain-week-37-2024/
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ยอดการไหลเข้าของ Spot ETF ทั้งสองลดลงนั้น มาจากการลดลงของ CME Basis หรือความต่างระหว่างราคา Futures และราคา Spot นั่นเอง โดยปัจจุบันมีการตกลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 8 เดือนเลยทีเดียว เมื่อช่องว่างในการทำกำไรจากการ Arbitrage ของนักลงทุนสถาบันลดลง ทำให้ไม่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมากเท่าช่วงต้นปี 2024
นอกจากนี้ CME Basis อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Ethereum underperform ตลาด เนื่องจาก CME Basis ของ Ethereum นั้นต่ำกว่า Bitcoin ซึ่งหมายความว่า โอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างราคาก็น้อยลงไปด้วยนั่นเอง ปัจจัยนี้ทำให้ Spot Ethereum ETF ดูน่าดึงดูดน้อยลงไปอีก
Source : https://www.coinbase.com/institutional/research-insights/research/weekly-market-commentary/weekly-2024-09-13
by Cryptomind Advisory
$BTC สัปดาห์ที่ผ่านมามีการ Rebound ขึ้นมาถึงบริเวณแนวต้าน $60,000 – $61,000 ซึ่งในระยะสั้นแล้วหากราคายืนอยู่เหนือแนวดังกล่าวได้จะเป็นการกลับตัวของ Momentum ราคาเป็นขาขึ้นของ $BTC อย่างไรก็ตามจากการย่อตัวของราคาที่ลงมาหลังจากชนแนวต้าน แสดงถึงความไม่แน่นอนที่มากของตลาด ทำให้มีโอกาสให้ช่วงสัปดาห์ข้างหน้า $BTC อาจมีการ Sideway Down ออกไปก่อนอยู่ในชุดสะสม Descending Triangle เพื่อรอการ Breakout ต่อไป
แนวต้าน : $61,000 | $67,000 | $73,500
แนวรับ : $53,500 | $48,000 | $44,000
$ETH สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่สามารถยืนราคาเหนือแนวต้าน $2,400 ได้ทำให้ราคามีการเคลื่อนที่ Sideway Down ต่อไปในช่วงข้างหน้า โดยแนวรับสำคัญที่น่าจับตามองยังคงอยู่ที่บริเวณราคา $2,100 ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดการเคลื่อนที่ของราคา $ETH โดยหากราคานั้นรับอยู่ก็อาจเป็นจุดกลับตัว แต่หากมีการหลุดแนวรับดังกล่าวลงไปมีโอกาสลงต่อไปยังแนวรับบริเวณ $1,850 ได้เช่นกัน
แนวต้าน : $2,400 | $2,870 | $3,350
แนวรับ : $2,125 | $1,870 | $1,550
by Cryptomind Advisory
“มีความเป็นไปได้สูง” ของการลดดอกเบี้ยของ FED จะมาถึงในเดือนกันยายน และ Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% และการมาของ Ethereum spot ETF และมุมมองเชิงบวกมาก ๆ ต่อตลาดคริปโทฯ ในสหรัฐฯ ในเชิงการเมืองที่อาจจะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาสที่ 4 และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต และเพิ่มสัดส่วนของ Ethereum ในพอร์ตเพิ่มขึ้น บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดีรับสัญญาณของ Altcoins season และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 40%
SELECTIVE ALTCOINS (ETH, LAYER 2 ,LSD) 40%
STABLECOIN 20%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-16th-20th-September-2024
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
ตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังจับตาการเคลื่อนไหวของ Fed อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการคาดการณ์ว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในตลาดหุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มไหนบ้าง? แล้วหุ้นกลุ่มไหนที่อาจจะ Underperform? เราไปดูกัน
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, as of 16/09/2024
ตลาด (Fed Fund Futures) คาดว่า Fed จะทำการลดดอกเบี้ยถึง 5 ครั้ง ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (Economist Consensus) คาดว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยประมาณ 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งอาจลดลง 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงประมาณ 0.75-1% ภายในสิ้นปี
ทั้งนี้ ตลาดอาจมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยที่ผ่านมาของ Fed ยังช้าเกินไป หากไม่เร่งลดดอกเบี้ยเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะ Recession ได้ จึงมองว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยถึง 5 ครั้งในปีนี้
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ การลดดอกเบี้ยเพียง 3 ครั้งอาจไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิด Recession
Source: Finnomena Funds, Macrobond, S&P Global, Federal Reserve Bank of New York | Data as of 16-Sep-2024
จากกราฟที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed (เส้นสีดำ) และดัชนี S&P 500 (เส้นสีเทา) พบว่าหลายครั้งที่ Fed ลดดอกเบี้ย ดัชนีหุ้นก็มักจะปรับตัวลดลงตาม และอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (แสดงด้วยแถบสีเหลือง)
อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่การลดดอกเบี้ยของ Fed ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง แต่ค่อย ๆ ชะลอตัวลง หรือที่เรียกว่า Soft Landing
Source: Finnomena Funds, Macrobond, S&P Global | Data as of 16-Sep-2024
กราฟที่นำเสนอนี้แสดงให้เห็นถึง 3 สถานการณ์ที่แตกต่างกันเมื่อ Fed ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 1990 ดังนี้
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีทั้งปีที่ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยแล้วนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เช่น ในปี 1990, 2001, 2002, 2007, 2008 และ 2020 แต่ก็มีปีที่ Fed ลดดอกเบี้ยแล้วเศรษฐกิจไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย เช่น ในปี 1995, 1998 และ 2019
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, as of 06/09/2024
ภาพตารางที่แสดงอยู่นี้เปรียบเทียบผลตอบแทนในอดีตที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละภาคส่วนทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 4 วัฏจักรที่ Fed ได้ดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ย
โดยในแต่ละวัฏจักรจะแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ช่วงเวลาหลัก ได้แก่ ช่วงก่อนการลดดอกเบี้ย 1 ปี ช่วงระหว่างการลดดอกเบี้ย และช่วง 1 ปีหลังจากการลดดอกเบี้ยสิ้นสุดลง เพื่อศึกษาผลกระทบของนโยบายการเงินของ Fed ที่มีต่อผลตอบแทนของแต่ละภาคส่วน
ซึ่งจะเห็นได้ว่าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิด Soft Landing หุ้นส่วนใหญ่มักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก แต่หากเศรษฐกิจเกิด Hard Landing หุ้นส่วนใหญ่มักจะให้ผลตอบแทนเป็นลบ
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, as of 06/09/2024
จากการวิเคราะห์ข้อมูลผลตอบแทนของหุ้นสหรัฐฯ ในอดีต พบว่าก่อนที่ Fed จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย 1 ปี หุ้นในหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาคเทคโนโลยี (IT) มักมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ยกเว้นในช่วงวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม (ปี 2000-2001) ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนักเนื่องจากปัจจัยพื้นฐาน
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, as of 06/09/2024
ในขณะที่เมื่อพิจารณาผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นแต่ละภาคส่วนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยลดลง จะพบว่าในช่วงที่เศรษฐกิจปรับตัวลงแบบ Soft Landing (แสดงด้วยสีดำ) หุ้นส่วนใหญ่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวก
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, as of 06/09/2024
ตารางนี้แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาลง โดยแบ่งประเภทของภาวะเศรษฐกิจหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกเป็น 3 แบบ คือ
โดยจากข้อมูลข้างต้นทั้งหมด เราสามารถวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะ Outperform และ Underperform ตลาดในภาวะดอกเบี้ยขาลงได้ ดังนี้
หุ้นกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีโอกาส Outperform ตลาด เนื่องจากเป็นธุรกิจที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของผู้คน ทำให้ความต้องการใช้บริการสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า มีความสม่ำเสมอไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่
จากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2019 พบว่าหุ้นกลุ่ม Utilities แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในหลายสภาวะ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะออกมา Soft Landing หรือ Hard Landing
อีกหนึ่งความน่าสนใจคือในปัจจุบันหุ้นกลุ่ม Health Care บางบริษัทเช่น Eli Lilly มักจะมี P/E Ratio ที่สูง ทำให้หุ้นกลุ่ม Utilities ถูกมองว่าอาจจะมีความ Defensive โดยธรรมชาติมากกว่ากลุ่ม Health Care
หุ้นกลุ่มบริการสุขภาพ (Health Care) ถือเป็น Defensive Stock เนื่องจากความต้องการด้านสุขภาพเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทในกลุ่มนี้มีรายได้และกำไรสม่ำเสมอ
แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้คนก็ยังคงต้องใช้บริการทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทำให้หุ้น Health Care มักจะทำผลงานได้ดีกว่าตลาดเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี
ข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่าหุ้นกลุ่ม Health Care มักมีผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดโดยเฉลี่ยในหลากหลายสภาวะเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง (Soft Landing) และแม้ในกรณีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง (Hard Landing) หุ้นกลุ่ม Healthcare ก็ยังสามารถรักษาผลขาดทุนให้น้อยกว่าตลาดโดยรวมได้
แม้ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานจะเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ แต่ก็มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก ทำให้ในช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง ซึ่งมักบ่งบอกถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหรืออยู่ในภาวะถดถอย ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนอาจลดลงตามไปด้วย
ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธุรกิจอาจชะลอการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ผู้บริโภคอาจลดการใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็น เช่น สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้ยอดขายและการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีชะลอตัวลง
นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยีหลายบริษัทมักมีอัตราส่วน P/E Ratio ที่สูง สะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนต่อการเติบโตในอนาคตที่สูงมาก เมื่อเศรษฐกิจถดถอยและการเติบโตชะลอตัว นักลงทุนอาจปรับลดการประเมินมูลค่าของหุ้นกลุ่มนี้ ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมากกว่ากลุ่มอื่น
สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) หรือโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก (Global Infrastructure) ซึ่งเป็น Sector ที่น่าสนใจที่สุดในช่วงเวลาแห่งการลดดอกเบี้ย
Finnomena Funds แนะนำกองทุน KKP GINFRAEQ-H โดยเป็นคำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ FundTalk Contrarian Call ที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ดี ราคาถูก มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
KKP GINFRAEQ-H เป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก (Global Infrastructure) ที่มีรายได้มั่นคงปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ และเน้นเพียง 25-50 บริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไร และกิจการมีลักษณะผูกขาด
ที่มา: Finnomena Live
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
บลจ.ทาลิสขอเรียนแจ้งโครงการส่งเสริมการขาย โค้งสุดท้ายส่งท้ายปี 2567 ลงทุนในกองทุนที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษี SSF/RMF/ThaiESGระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 30 ธันวาคม 2567 โดยยอดเงินลงทุนสะสมสุทธิ ทุกๆ 25,000 บาท และถือครองจนถึง 31 มีนาคม 2568 จะได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด TLMMF-A มูลค่า 0.2%ของยอดเงินลงทุนสะสมสุทธิ สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท
กองทุนที่ร่วมรายการ: กองทุน SSF/RMF/ThaiESG ทุกกองทุนของ บลจ.ทาลิส (ยกเว้นกองทุน TLMMRMF และ TLMMF-SSF)
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ได้ย้ำมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำอีกครั้ง โดยอ้างถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากธนาคารกลางทั่วโลก และการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในการประชุมนโยบายทางการเงินในวันพุธนี้ ราคาทองคำได้พุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,589.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและความเป็นไปได้ของการปรับลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่โดยเฟด
เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่าปัจจุบันนักลงทุนคาดว่ามีโอกาส 33% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 กันยายนนี้ และมีโอกาส 67% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50%
โกลด์แมน แซคส์ระบุในรายงานว่า แม้ว่าจะมีแนวโน้มการปรับตัวลดลงของราคาทองคำในระยะสั้นภายใต้สถานการณ์พื้นฐานที่คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในวันพุธนี้ แต่บริษัทฯ ยังคงยืนยันคำแนะนำให้ถือครองทองคำในระยะยาว โดยตั้งเป้าราคาทองคำที่ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายในต้นปี 2025
นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ยังตั้งข้อสังเกตว่าความต้องการทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นจากธนาคารกลางทั่วโลกทำให้ความสัมพันธ์ในระดับราคาปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคาทองคำ
โกลด์แมน แซคส์ยังชี้ให้เห็นว่ากองทุน ETF ที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์อ้างอิงกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดลง
ที่มา: https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=ZWxXdHZGVTVCam89
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/finnomenafunds/mevt-call-gold-jul-2024/
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ชมรมหุ้นกู้ – รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลินิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
ติดตามรายการชมรมหุ้นกู้ได้ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Youtube & Facebook Finnomena
Finnomena Funds มองตลาดหุ้นผ่านพ้นช่วง Bottom Out ที่จุดต่ำสุดของราคาอยู่ข้างหลังเราแล้ว และกำลังค่อย ๆ ฟื้นสู่จุดปกติ พร้อมรับโอกาสเมื่อ Fed ปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก
อัปเดตมุมมองการลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 17 กันยายน 2024 โดย Finnomena Funds
สัปดาห์นี้โลกการลงทุนกำลังจะมีจุดเปลี่ยนสำคัญ นั่นคือการ Countdown ปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของ Fed ซึ่งน่าจะสร้างแรงกระเพื่อมต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกมากทีเดียว แม้ช่วงที่ผ่านมา ตลาดได้ Price in ความคาดหวังเรื่องลดดอกเบี้ยไปเต็มที่แล้วก็ตาม
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าของการประชุม FOMC วันที่ 17-18 กันยายนนี้ ก็คือมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งเราเชื่อว่าจะไม่ใช่ภาพของการมุ่งสู่ Recession อย่างที่ตลาดเคยหวาดกลัว และคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 5.00% – 5.25% โดยมาจากเหตุผลหลักของเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงเข้าใกล้เป้าหมาย 2%
ดังนั้น จึงมองว่าตลาดหุ้นจะเริ่มมีการฟื้นตัวอีกครั้ง ในขณะที่สัญญาณทางเทคนิคยังบ่งชี้ว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตลาดกำลังเดินออกจาก Recession Fears และนี่คือสินทรัพย์ที่เรามองว่ายังมีโอกาสให้เข้าเก็บสะสม
โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) MEGA10AI-A
กองทุนที่ลงทุนใน 10 หุ้น Big Tech AI เน้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งแนวโน้มกำไรยังคงแข็งแกร่ง โดยเริ่มฟื้นตัวขึ้นตัวตามดัชนี Nasdaq แต่ยังเหลืออัพไซด์ให้วิ่งต่อได้อีกประมาณ 8%
2.) B-INNOTECH
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี เน้นคัดกลุ่ม High Quality Growth ที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และราคาไม่แพง โดยยึดหลักการลงทุนสไตล์ Contrarian เชื่อว่าเศรษฐกิจไม่ถดถอย และหนุน Sector Technology เริ่มกลับมา Outperform อีกครั้ง
3.) DAOL-KOREAEQ
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้แบบ Active Fund ซึ่งปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่ Valuation ถูกกว่าค่าเฉลี่ยของตัวเองในอดีต ล่าสุดราคารีบาวด์ตามหุ้นเทคโนโลยี Nasdaq และหุ้นญี่ปุ่น Nikkei
โดย Bank – The Trend Follower คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติเพื่อนำมาคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้หาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) SCBSEMI(A)
กองทุนหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ มองเป็นจังหวะถัวเพิ่ม แม้ราคาจะปรับฐานลงมาเยอะ แต่หากเชื่อว่าจะไม่เกิด Recession ก็มีโอกาสที่หุ้นกลุ่มนี้จะรีบาวด์ได้แรงกว่ากลุ่มอื่น ๆ
2.) ASP-DIGIBLOC
กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบล็อกเชนและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นช่วงที่ราคาปรับฐานลงมาแรง แต่สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่าจุดต่ำสุดของดัชนีได้ผ่านพ้นไปแล้ว
3.) UOBSC
กองทุนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเน้นลงทุนในทองคำ น้ำมัน และสินค้าทางการเกษตร โดยเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค พร้อมทั้งราคามีโมเมนตัมเชิงบวกจากการวิ่งขึ้นแรงของราคาทองคำโลก
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical ปัจจัยอื่น ๆ เช่น Fund Flow, Sentiment, Seasonal Statistic และ Technical Analysis
1.) PRINCIPAL VNEQ-A
กองทุนหุ้นเวียดนาม Valuation ยังอยู่ในระดับน่าสนใจ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและโดดเด่นกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค อีกทั้งยังมี Catalyst จากการเตรียมเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปีหน้า
2.) SCBKEQTG
กองทุนดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ ยังเป็นโอกาสทยอยสะสม โดยมองว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ในจังหวะสองของกระแส AI อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากพัฒนาการที่ชัดเจนของโครงการ Value-up Program เพื่อส่งเสริมมูลค่าตลาดหุ้น
3.) UOBSA
กองทุนหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) เหมาะกับการลงทุนกระจายความเสี่ยงในภูมิภาคเอเชีย ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มีความยืดหยุ่น และปรับพอร์ตตามสถานการณ์ตลาด ซึ่งการปรับตัวลดลงของกองทุนเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ารุนแรง
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
‘กองทุนวายุภักษ์’ กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการลงทุนไทย ด้วยโอกาสได้รับผลตอบแทนที่น่าสนใจและความเสี่ยงที่ดูเหมือนจะควบคุมได้ ทำให้กองทุนนี้กลายเป็นที่จับตามองของทั้งมือใหม่และนักลงทุนที่มีประสบการณ์
วันนี้ Finnomena Funds จะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกแง่มุมของกองทุนวายุภักษ์ ตั้งแต่ผลตอบแทนคาดหวังที่น่าสนใจ ไปจนถึงกลไกการบริหารความเสี่ยงที่หลายคนสงสัย เพื่อให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ
รูปแบบและโครงสร้างกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | ที่มา: กระทรวงการคลัง
“กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” เป็นกองทุนรวมพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตอบสนองนโยบายภาครัฐ โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 มีจุดประสงค์เพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดทุน พร้อมทั้งเพิ่มทางเลือกในการออมและลงทุนให้กับประชาชน
โดยแบ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเป็น 2 ประเภท คือ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 มีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนประเภท ก. ทั้งหมด และแปรสภาพเป็นกองทุนรวมเปิด เหลือเพียงผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. เท่านั้น
ปัจจุบันกองทุนวายุภักษ์กำลังจะเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยจองซื้อหน่วยลงทุนประเภท ก. อีกครั้ง ในวันที่ 16 – 20 กันยายนนี้ ที่ราคาหน่วยละ 10 บาท เริ่มต้นที่ 1,000 หน่วย หรือเท่ากับ 10,000 บาท และเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 หน่วย หรือ 1,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนรายย่อยจะได้รับการจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First หรือก็คือผู้ที่จองซื้อด้วยจำนวนน้อยกว่าจะได้รับการจัดสรรก่อน เพื่อกระจายหน่วยลงทุนอย่างเท่าเทียม
ผลตอบแทนประจำปีของกองทุนจะจ่ายให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ในรูปแบบ ‘เงินปันผล’ ตามผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง มีโอกาสรับผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 3% ต่อปี และ ไม่เกินกว่า 9% ต่อปี ซึ่งจะกำหนดไว้เป็นอัตราคงที่ 10 ปี โดยเงินปันผลจะต้องเสียภาษี 10% ไม่มีข้อยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ (กองทุนรวมนี้ไม่ใช่กองทุนรวมมีประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน)
ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะมีโอกาสได้รับเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง คำนวณจากมูลค่าที่ตราไว้ (Par) ของหน่วยลงทุนประเภท ก. ที่ 10 บาทต่อหน่วย ซึ่งครั้งแรกจะมีโอกาสจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ส่วนครั้งที่ 2 จะมีโอกาสจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% รวมกับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (ถ้ามี)
ตัวอย่าง: หากเราลงทุน 10,000 บาทในกองทุนวายุภักษ์ และกองทุนมีกำไร 3% ตามที่กำหนด (ผลตอบแทนขั้นต่ำ) เราจะมีโอกาสได้รับเงินปันผลกลางปี 135 บาท และสิ้นปีอีก 135 บาท รวมเป็น 270 บาทต่อปี (300 บาท หักภาษี 10%) ตลอดระยะเวลา 10 ปี
หมายความว่าหากเราถือหน่วยลงทุนครบ 10 ปี เราจะได้รับผลเงินปันผลทั้งหมด 2,700 บาท แถมยังได้รับเงินลงทุนตั้งต้นคืนเต็มจำนวนอีกด้วย
ผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับ | ที่มา: กระทรวงการคลัง
กองทุนรวมวายุภักษ์มีโอกาสกำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำได้ด้วยการออกแบบโครงสร้างการลงทุนแบบ 2 ชั้น ดังนี้
– ชั้นแรกคือผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อย จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี และสูงสุดไม่เกิน 9% ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานจริงของกองทุน
– ชั้นที่ 2 คือผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ซึ่งเป็นนักลงทุนภาครัฐและกระทรวงการคลัง จะมีบทบาทสำคัญในการรองรับความผันผวนของกองทุนโดยผู้ถือหน่วยประเภท ข. จะได้รับผลตอบแทนส่วนที่เหลือจากการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งอาจหมายถึงการรับภาระขาดทุนในกรณีที่ผลตอบแทนรวมต่ำกว่า 3% แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า 9% หากกองทุนทำผลงานได้ดีเกินคาด
กลไกนี้ช่วยกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทน ทำให้กองทุนสามารถคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยจากความผันผวน ขณะเดียวกันก็ดึงดูดนักลงทุนภาครัฐและกระทรวงการคลังด้วยโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่กองทุนมีโอกาสกำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำให้กับนักลงทุนรายย่อยได้
กลไกบริหารความเสี่ยงของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | ที่มา: กระทรวงการคลัง
ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. มีโอกาสจะได้รับการคุ้มครองในกรณีที่กองทุนมีมูลค่าลดลง ตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนแบบ Waterfall โดยผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะมีโอกาสได้รับคืนเงินลงทุนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ที่มูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้น 10 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ กองทุนมีกลไกการบริหารความเสี่ยง โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า ACR (Asset Coverage Ratio) ซึ่งเปรียบเสมือนตัวบอกว่ากองทุนมีเงินสำรองเพียงพอที่จะจ่ายเงินคืนให้เราหรือไม่
โดยจากข้อมูล NAV รวมของกองทุน ณ วันที่ 6 กันยายน 2567 และในกรณีที่เสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. เป็นมูลค่ารวม 150,000 ล้านบาท ACR จะอยู่ที่ประมาณ 3.36 เท่า
ซึ่งหาก ACR ลดลงต่ำกว่า 2 เท่า ติดต่อกัน 5 วันทำการ บริษัทจัดการจะเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์สภาพคล่อง หรือกันส่วนสำรองเพื่อการจ่ายเงินปันผลให้เพียงพอ ต่อการจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี
และหาก ACR ลดลงต่ำกว่า 1.5 เท่า ติดต่อกัน 5 วันทำการ บริษัทจัดการอาจพิจารณาเปลี่ยนสินทรัพย์ลงทุนให้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง จำนวนไม่น้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ก. ภายในระยะเวลา 90 วัน
จากนั้นจะนำมาเก็บไว้เป็นเงินสำรองสำหรับชำระคืนเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยจะทยอยเปลี่ยนสินทรัพย์เพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ทั้งหมดหรือบางส่วน
ดังนั้น จึงเปรียบเสมือนว่าผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับความคุ้มครองจากกลไกการบริหารความเสี่ยงก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และเพื่อตอบแทนการให้ความคุ้มครองตามกลไกบริหารความเสี่ยงดังกล่าว ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จะได้รับเงินปันผลหรือสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ โดยคำนวณจากส่วนที่เกินกว่า NAV เริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ข. (กองทุนรวมนี้ไม่ใช่กองทุนรวมมีประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน)
นโยบายการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | ที่มา: กระทรวงการคลัง
กองทุนวายุภักษ์มีนโยบายลงทุนแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
กองทุนมีการบริหารทั้งแบบเชิงรุก (Active Investment) และแบบเชิงรับ (Passive Investment) ส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคงในระยะยาว ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
เช่น บริษัทที่อยู่ใน SET100 ซึ่งได้รับคะแนน SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป หรือบริษัทนอก SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings สูงกว่า เป็นต้น
อีกทั้งอาจพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่มีอัตราผลตอบแทนดีหรือมีแนวโน้มเติบโตสูง มีสภาพคล่อง รวมถึงมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
นอกจากนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน
สัดส่วนการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | ที่มา: Settrade | ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567
*ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 สัดส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลง
Top 5 Holdings | ที่มา: Settrade | ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567
*ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 สัดส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลง
– บุคคลทั่วไป: ผู้ลงทุนรายย่อยชาวไทยที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
– นิติบุคคล: นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือกองทุนส่วนบุคคลของผู้ลงทุนรายย่อยข้างต้น
– สถาบันและนิติบุคคลเฉพาะกลุ่ม: เช่น ธนาคารพาณิชย์, บริษัทประกัน, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนประกันสังคม
– ผู้ลงทุนรายย่อย: 16-20 กันยายน 2567
– ผู้ลงทุนสถาบันและนิติบุคคล: 18-20 กันยายน 2567
– มูลค่าการจองซื้อขั้นต่ำ: 1,000 หน่วย หรือ 10,000 บาท
– วิธีการจัดสรร: Small Lot First (จองซื้อด้วยจำนวนที่น้อยกว่าจะได้รับการจัดสรรก่อน)
– ประกาศผล: 25 กันยายน 2567
ช่องทางการจองซื้อกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง | Source: กระทรวงการคลัง
ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนอย่างมาก การเปิดตัวกองทุนวายุภักษ์จึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้งได้หรือไม่ ด้วยกลไกการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์และโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ ทำให้กองทุนนี้กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สนับสนุนให้กองทุนวายุภักษ์มีความน่าสนใจ ซึ่งดึงดูดให้ทั้งนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยหันมาสนใจกองทุนวายุภักษ์มากขึ้น ทำให้คาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนน้อยลงได้
ในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ นักลงทุนจำนวนมากมองหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าเพื่อรักษาและเพิ่มมูลค่าของเงินทุน โดยปัจจุบันค่าเฉลี่ยเงินฝากประจำ 1 ปี จากทุกธนาคารอยู่ที่ประมาณ 1.70% ต่อปี เมื่อเทียบกับโอกาสสร้างผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 3% ของกองทุนวายุภักษ์ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย
ทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากลดลงไปอีก
โอกาสสร้างผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป พร้อมด้วยมาตรการคุ้มครองเงินลงทุน ทำให้กองทุนวายุภักษ์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนความเสี่ยงต่ำและมีความมั่นคง
การเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงกองทุนวายุภักษ์ จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ตลาดมีความแข็งแรงมากขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติกล้าเข้ามาลงทุนมากยิ่งขึ้น
คำนวณจากอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับซึ่งจะไม่ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่สูงเกินกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นสูง ดังนั้น NAV ของหน่วยลงทุนประเภท ก. อาจไม่สะท้อนมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
กองทุนรวมไม่มีผู้รับประกันหรือค้ำประกันเงินลงทุน หากมูลค่าทรัพย์สินที่กองทุนรวมเข้าไปลงทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ หดตัวลงอย่างรุนแรง อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อ NAV ของกองทุนรวม โดยผู้ถือหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนบางส่วน หรือทั้งหมด
และไม่ใช่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมไม่มีผู้รับประกันหรือค้ำประกันผลตอบแทน โดยในกรณีที่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่ส่งผลทำให้กำไรของกองทุนรวมและสำรองเงินปันผลของกองทุนรวมลดลงจนไม่เพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผล ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. อาจได้รับเงินปันผลจริงในอัตราที่ต่ำกว่า 3% ต่อปี หรืออาจไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเลย
ในกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลงหรือมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนลดลงอย่างรุนแรง บริษัทจัดการอาจตัดสินใจรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto-Redemption) เพื่อปิดกองทุนก่อนกำหนด ตามราคาที่คำนวณ ณ สิ้นวันที่ทำการรับซื้อคืนดังกล่าว ซึ่งผู้ลงทุนอาจขาดทุนได้
สภาวะตลาดของตลาดหุ้นอาจมีความผันผวนได้ตลอดเวลา โดยอาจขึ้นอยู่กับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนของค่าเงิน ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัทผู้ออกตราสาร ปริมาณการซื้อขายหุ้นหรือตราสารหนี้ เป็นต้น ส่งผลให้ราคาหุ้นที่กองทุนรวมได้ลงทุนไว้อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตลอดเวลา
หลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ราคาหน่วยลงทุนอาจผันผวนตามแรงซื้อและแรงขายของนักลงทุน ทำให้ราคา NAV ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจแตกต่างจากมูลค่า Par ที่ 10 บาท
โดยผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถร้องขอให้นายทะเบียนออกใบหน่วยลงทุนให้ได้โดยยื่นคำขอออกใบหน่วยลงทุนตามแบบที่นายทะเบียน และ/หรือบริษัทจัดการกำหนด กรณีฝากหน่วยลงทุนไว้กับนายทะเบียน TSD (บัญชี 600) ผู้ลงทุนจะไม่สามารถขายหน่วยลงทุนได้ทันวันแรกที่หน่วยลงทุนประเภท ก. เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้
กองทุนวายุภักษ์ ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างชัดเจน โดยมีการกำหนดโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำไว้ ซึ่งถือว่าสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารทั่วไป แม้ว่าจะอาจจะไม่สูงเท่ากับการลงทุนในหุ้น แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 2.6% กองทุนวายุภักษ์ก็มีความน่าสนใจเพราะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่า 3% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นมีแนวโน้มเติบโตดี
กองทุนวายุภักษ์ถูกออกแบบมาเพื่อบริหารความเสี่ยง โดยความผันผวนของ NAV จะถูกส่งผ่านไปยังหน่วยลงทุนประเภท ข. หมายความว่าผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จะรับผลขาดทุนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ทำให้มีความเสี่ยงขาดทุนน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนรวมแบบปกติ
กองทุนวายุภักษ์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับจะสะสมขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ลงทุน และความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้นจะค่อยๆ ลดลง หากคุณมีเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ การศึกษาบุตรหลาน การลงทุนในกองทุนวายุภักษ์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
การลงทุนในกองทุนวายุภักษ์เป็นการสนับสนุนตลาดหุ้นไทยโดยอ้อม เนื่องจากเงินที่ระดมได้จากการขายหน่วยลงทุนจะถูกนำไปลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในระยะยาว
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และ Fund Factsheet
Filing: https://market.sec.or.th/public/mrap/MRAPView.aspx?FTYPE=M&PID=0681&PYR=2546
ที่มา: รัฐบาลไทย, มติชน,ธนาคารกสิกรไทย, Finnomena, The Standard,
คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนรวมมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจบริษัทจัดการ ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนรวมนี้ไม่ใช่กองทุนรวมมีประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน
/กองทุนรวมไม่มีนโยบายนำเสนอการลงทุนผ่านการส่งลิงก์ส่วนตัวใด ๆ กรุณาติดตามช่องทางการจองซื้ออย่างเป็นทางการจากกองทุนรวมเท่านั้น | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ฟินโนมีนา (Finnomena) กลับมาสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ในวงการผู้แนะนำการลงทุนไทยอีกครั้ง ด้วยการจัดงาน FA Summit 2024 ภายใต้ธีม “AI WORLD REVOLUTION” ณ โรงละคร Lido Connect ชั้น 2 ฮอลล์ 3 โดยงานนี้ได้รวบรวมผู้แนะนำการลงทุนและผู้ที่สนใจในอาชีพนี้มาร่วมกันสำรวจอนาคตของการให้คำแนะนำการลงทุนในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญ
ภายในงานได้เน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการผู้แนะนำการลงทุน ซึ่งเทคโนโลยี AI ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลและให้คำแนะนำที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทันสมัยก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยยกระดับการให้บริการ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของฟินโนมีนาซึ่งตั้งเป้าสร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมสำหรับผู้แนะนำการลงทุน มุ่งเน้นการจับคู่ระหว่างลูกค้าและผู้แนะนำที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้รับคำแนะนำที่ตรงกับความต้องการและสถานะทางการเงินของตนเอง
นายณัฏภวินท์ มาไพศาลสิน กรรมการผู้จัดการ ฝ่าย FA Advisory Group ของฟินโนมีนา กล่าวว่า “การขยายตัวของระบบนิเวศผู้แนะนำการลงทุนจะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับบริการทางการลงทุน การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมโยงผู้แนะนำการลงทุนกับลูกค้าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ในขณะเดียวกัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI และเทคโนโลยีจะช่วยให้ผู้แนะนำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือการเปิดตัว “ชาร์ลี” (Charlie) AI ที่พัฒนาขึ้นเพื่อปฏิวัติวงการให้คำแนะนำการลงทุน ชาร์ลีมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และให้คำแนะนำที่ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย โดยจะรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลก่อนให้คำแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับสถานะทางการเงินของตน ในระยะแรกจะเริ่มต้นจากการวิเคราะห์โอกาสในกองทุนรวมลดหย่อนภาษีก่อน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสอบถามชาร์ลีได้ตลอด 24 ชั่วโมง
“อย่างไรก็ตาม ชาร์ลีไม่ได้มาแทนที่ผู้แนะนำการลงทุนที่เป็นบุคคล แต่จะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ โดย AI จะช่วยในงานวิเคราะห์ที่ซับซ้อน แม้ว่า AI จะมีศักยภาพสูง แต่เราตระหนักดีว่ามีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจลงทุนขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของนักลงทุนเอง เราเน้นย้ำว่าข้อมูลและคำแนะนำจาก AI ควรใช้เป็นแค่หนึ่งในการประกอบการตัดสินใจ ไม่ใช่เป็นตัวกำหนดการตัดสินใจทั้งหมด” นายณัฏภวินท์ มาไพศาลสิน กล่าวเสริม
นอกจากชาร์ลีแล้ว ฟินโนมีนายังได้เปิดตัวแพลตฟอร์มและนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกมากมาย เช่น FA Enhancing Program เพื่อเสริมประสิทธิภาพสำหรับผู้แนะนำการลงทุนและยกระดับการให้บริการ ระบบคำสั่งการเสนอซื้อขาย Proposal Order ที่ช่วยให้ผู้แนะนำการลงทุนปิดการขายได้อย่างรวดเร็วและสะดวก รวมถึง Opportunity Hub ซึ่งเป็นแหล่งรวมโอกาสการลงทุนที่นำเสนอคำแนะนำสำหรับแต่ละสไตล์แบบดูง่าย ๆ ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผู้แนะนำการลงทุนและสนับสนุนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกด้วย
ฟินโนมีนายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตของการให้คำแนะนำการลงทุนที่ผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญของมนุษย์และความสามารถของ AI เพื่อมอบบริการที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้าและอุตสาหกรรมธุรกิจการเงินโดยรวม
โดยในปัจจุบัน ฟินโนมีนามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 17,000 ล้านบาท มีผู้แนะนำการลงทุนกว่า 2,425 คน และลูกค้ากว่า 24,888 ราย
เคยคิดเล่น ๆ ไหมว่า ถ้าเรามีโอกาสย้อนเวลากลับไปในยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มต้น เราจะลงทุนอะไร? ในยุคนั้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นเคยอย่าง Google, Amazon หรือ Microsoft กำลังเริ่มต้นจากศูนย์ และใครที่จะมองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างง่ายดาย
จำได้ไหมว่าครั้งหนึ่งอินเทอร์เน็ตเคยเป็นเทคโนโลยีที่ดูลึกลับและเข้าถึงยาก? วันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว บล็อกเชนก็กำลังก้าวตามรอยอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น และยังมีศักยภาพที่จะปฏิวัติระบบเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมของเราในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโอกาสในการลงทุนของบล็อกเชน และทำความเข้าใจถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่น่าจับตามองที่สุดในยุคนี้
บล็อกเชน คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ โดยข้อมูลแต่ละชิ้นจะถูกบันทึกใน “บล็อก” และบล็อกเหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงกันเป็น “เชน” ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูงและตรวจสอบย้อนกลับได้ยาก เนื่องจากการแก้ไขข้อมูลในบล็อกเชนต้องได้รับการยืนยันจากสมาชิกในเครือข่ายทั้งหมด
ทำไมโลกถึงต้องการบล็อกเชน?
บล็อกเชนแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
ในอดีต ระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์มักประสบปัญหาเรื่องความซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูง และการขาดความโปร่งใส บล็อกเชนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยเฉพาะในด้านการเงิน ธุรกรรม และการจัดการเอกสาร
คาดการณ์ขนาดตลาดบล็อกเชนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2022 – 2032 | ที่มา: market.us | ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2024
นึกถึงตอนที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเป็นที่นิยม ทุกคนต่างตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ แต่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนโลกได้มากขนาดไหน
บล็อกเชนเองก็เช่นกัน มันไม่ใช่แค่เทคโนโลยีธรรมดา แต่คือโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกดิจิทัล เหมือนกับที่อินเทอร์เน็ตเคยทำมาแล้วในช่วงปี 2000 เรียกได้ว่าบล็อกเชนคือเส้นทางสายไหม (Silk Road) ในโลกไซเบอร์ที่จะเชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกันอย่างปลอดภัยและโปร่งใส
ตอนนี้บล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เหมือนกับอินเทอร์เน็ตในยุค Y2K ที่หลายคนยังสงสัยว่ามันจะไปรอดหรือไม่? จะเป็นแค่ของเล่นสำหรับสาย IT หรือเปล่า? แต่เราก็รู้กันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับอินเทอร์เน็ตหลังจากช่วงปี 2000 เป็นต้นมา
นี่คือโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล เพราะในอนาคตเรามีโอกาสได้เห็นการเติบโตแบบพุ่งทะยานของเทคโนโลยีบล็อกเชน เหมือนกับที่เราเคยเห็นบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
เทคโนโลยีบล็อกเชนได้ปฏิวัติวงการเทคโนโลยีและการเงินอย่างมาก ทำให้เกิดสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Digital Asset ซึ่งกำลังได้รับความสนใจทั่วโลก
เทคโนโลยีบล็อกเชนได้ปฏิวัติโลกดิจิทัล สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ ๆ โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสของคริปโตเคอร์เรนซีได้จุดประกายความสนใจทั่วโลก และผลักดันให้เกิดสินทรัพย์ดิจิทัลหลากหลายรูปแบบที่น่าจับตามอง
Digital Asset คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่แทนสินทรัพย์ที่มีอยู่จริงในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่ายและรวดเร็ว ผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น ธนาคาร
ทั้งนี้ Digital Asset แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
2.1) Investment Token หรือโทเคนเพื่อการลงทุน สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการร่วมลงทุน เช่น สิทธิในส่วนแบ่งรายได้ สิทธิในผลกำไรจากการลงทุน
2.2) Utility Token หรือโทเคนเพื่อการใช้ประโยชน์ สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการได้รับสินค้าและบริการที่เฉพาะเจาะจง เช่น บัตรโดยสารรถไฟฟ้า คูปองในศูนย์อาหาร หรือชิปในคาสิโน
ส่วนแบ่งตลาดของบล็อกเชน แบ่งตามภาคอุตสาหกรรม | ที่มา: Grand View Research | ข้อมูล ณ ปี 2022
แม้จะถือกำเนิดมาเพื่อสร้างสกุลเงินดิจิทัล แต่ปัจจุบันบล็อกเชนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายอุตสาหกรรมนำไปใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การแพทย์ หรือแม้แต่การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทำให้โอกาสในการเติบโตของบล็อกเชนยังมีอีกมาก
เทคโนโลยีบล็อกเชนได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการปฏิวัติรูปแบบการดำเนินงานในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของกระบวนการทางธุรกิจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการนำบล็อกเชนไปประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ ดังนี้
จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต
การลงทุนในกองทุนดัชนีที่ติดตามสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน (Digital Asset & Blockchain ETF) นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างมีระบบ
โดยการลงทุนลงในบริษัทที่ถือสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนมาก หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนผ่าน Digital Asset & Blockchain ETF มีข้อดีดังนี้
กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ดิจิทัล บล็อกเชน (ASP-DIGIBLOC) เป็นกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active) โดยลงทุนในบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน
โดย ASP-DIGIBLOC มีกลยุทธ์ลงทุนในบริษัทที่อยู่เบื้องหลังโลกคริปโต และเป็นบริษัทชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เหมืองขุดชั้นนำ หรือบริษัทที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกดิจิทัล ลงทุนกับผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้เพื่อร่วมสร้างอนาคตของโลกดิจิทัล
ASP-DIGIBLOC ลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ VanEck Digital Transformation ETF ที่มีวัตถุประสงค์การลงทุนโดยพยายามสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MVIS Global Digital Assets Equity Index มากที่สุด
ทั้งนี้ ดัชนี MVIS Global Digital Assets Equity Index มีวัตถุประสงค์ในการติดตามผลประกอบการของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุดในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล และรวมเฉพาะบริษัทที่มีรายได้อย่างน้อย 50% จากบริการและผลิตภัณฑ์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น ศูนย์แลกเปลี่ยน (Exchange) เกตเวย์การชำระเงิน เหมืองขุด (Miner) บริการซอฟต์แวร์ อุปกรณ์และเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัล และการอำนวยความสะดวกทางการค้าด้วยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล
Finnomena 3D Diagram | ที่มา: Finnomena Funds | ข้อมูล ณ วันที่ 16 กันยายน 2024
กองทุน VanEck Digital Transformation ETF (DAPP) มีนโยบายการลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เกินกว่าร้อยละ 50 หรือมีศักยภาพในอนาคตที่จะสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล สัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 50
ทั้งนี้ กองทุนมีการกระจายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Digital Assets คลอบคลุมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านธุรกิจการขุดเหมืองคริปโต การทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ธนาคารตัวกลางด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจด้านซอฟแวร์อื่น ๆ
7 ธีมหลักที่ VanEck Digital Transformation ETF (DAPP) ลงทุน | ที่มา: VanEck | ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2022
บริษัทที่ให้บริการดำเนินการชำระเงินบนเว็บไซต์ แพลตฟอร์มการซื้อขาย รวมถึงร้านค้าแบบดั้งเดิม ด้วย
การใช้สินทรัพย์ดิจิทัล ตัวอย่างบริษัท เช่น Block (เดิมชื่อ Square), GreenBox POS
บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับการขุดหรือจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บริษัท Semiconductor อย่าง Canaan และ Ebang
บริษัทที่ทำหน้าที่ประมวลผลธุรกรรมระหว่างผู้ใช้บัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ หรือนักขุด เช่น Marathon, Riot Blockchain, Bitfarm
บริษัทที่ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตัวอย่างบริษัท เช่น Coinbase, Voyager Digital
บริษัทที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลใน Balance Sheet หรือมีการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนสูง เช่น Microstrategy, Coinshares
บริษัทที่สร้างซอฟต์แวร์หรืออำนวยความสะดวกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Northern Data
บริษัทที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างระบบการให้บริการทางการเงินแบบดั้งเดิม และระบบการให้บริการสำหรับ
สินทรัพย์ดิจิทัลยุคใหม่ อาจอยู่ในรูปแบบของการให้บริการชำระเงิน และการดูแลลูกค้า ตัวอย่างบริษัท เช่น Silvergate, BC Technology Group (Brokerage service)
*ข้อมูล ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2024 สัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลง
Block (เดิมชื่อว่า Square) เป็นผู้ให้บริการด้านการเงิน ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ และผู้ประมวลผลการชำระเงินที่ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มรายได้ผ่านการใช้โซลูชันที่เข้าถึงได้ง่าย
สิ่งที่น่าสนใจคือ Block เป็นการร่วมมือกันของบริษัทต่าง ๆ อย่าง Cash App, Spiral, TIDAL และ TBD โดยเป้าหมายหลักของบริษัทคือทำให้คนทั่วไปเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือลูกค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin
Block เป็นบริษัทใหญ่ที่สนับสนุน Bitcoin อย่างจริงจัง พวกเขารับชำระเงินด้วย Bitcoin มาตั้งแต่ปี 2014 ผ่านแอปพลิเคชัน Cash ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ส่งและรับการชำระเงินด้วย Bitcoin
ข้อดีคือ Block คิดค่าธรรมเนียมแค่ 1% สำหรับธุรกรรม Bitcoin เทียบกับ 2.75% สำหรับบัตรเครดิตหรือเดบิต ทำให้การใช้ Bitcoin ผ่าน Block มีโอกาสได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยตอนนี้ Block ถือเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรายใหญ่ไม่กี่รายที่เปิดให้ธุรกิจรับชำระเงินด้วย Bitcoin ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
เดิมที MicroStrategy เป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ ซึ่งอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในวงกว้าง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา MicroStrategy ได้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในฐานะ “บริษัทที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลก”
ถ้าถามว่ามากแค่ไหน? เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 2 ปี 2024 (31 มิถุนายน 2024) MicroStrategy เป็นเจ้าของ Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 226,500 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.9 แสนล้านบาท (เมื่อคิดจากราคา 1 BTC = 64,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
เพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ มูลค่า Bitcoin ที่ MicroStrategy ถืออยู่นี่เกือบเท่ากับมูลค่าตลาดของ CP ALL (5.38 แสนล้านบาท) เลยทีเดียว
Terawulf Inc ไม่ใช่แค่บริษัทขุด Bitcoin ธรรมดา แต่เป็น “นักขุดสีเขียว” ที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ทั้งน้ำ ลม หรือแม้แต่นิวเคลียร์ ในการขุดสินทรัพย์ดิจิทัล นับว่าตอบโจทย์กับทั้งนักลงทุนและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
แต่ Terawulf Inc ไม่ได้หยุดแค่การขุด Bitcoin เท่านั้น พวกเขายังลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานสุดล้ำ เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center)ที่ใช้พลังงานสะอาด และระบบระบายความร้อนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังทุ่มงบพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขุดและลดต้นทุน
Coinbase เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 2012
Coinbase ไม่ใช่แค่ตลาดแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลธรรมดา แต่เป็นอาณาจักรคริปโตครบวงจร ตั้งแต่ซื้อขายแลกเปลี่ยน ไปจนถึงการเป็นตู้เซฟดิจิทัลให้กับนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบัน
นอกจากนี้ Coinbase ยังเป็นผู้พัฒนา USDC เหรียญ Stablecoin ยอดนิยม ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ผูกติดกับมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ เรียกได้ว่าเป็น “เงินดอลลาร์ในโลกคริปโต” เลยทีเดียว
Northern Data AG ไม่ใช่แค่บริษัทขุดสินทรัพย์ดิจิทัลธรรมดา ๆ แต่เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมดิจิทัล Northern Data AG เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาและให้บริการโซลูชันด้านบล็อกเชน และระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (High Performance Computing หรือ HPC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการขุดสินทรัพย์ดิจิทัล
บริษัทมีศูนย์ข้อมูล (Data Center) ขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วโลก และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการจัดการพลังงานและความร้อน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจด้านการขุดสินทรัพย์ดิจิทัล
นอกจากนี้ Northern Data AG ยังคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและช่วยลดต้นทุนอยู่เสมอ เช่น ระบบระบายความร้อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีในการจัดการพลังงาน
ไม่ได้ลงทุนในเหรียญคริปโตโดยตรง แต่ลงทุนในบริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน หรือบริษัทที่ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ
กองทุนนี้จะเติบโตไปพร้อม ๆ กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับ Bitcoin อีกด้วย
แม้จะเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ความผันผวนของกองทุนนี้จะน้อยกว่าการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีโดยตรง
แม้ว่าโลกของบล็อกเชนจะเต็มไปด้วยโอกาสที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องตระหนักเสมอ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง และตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ และทำความเข้าใจถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างถ่องแท้
ที่มา: Financial Times, MicroStrategy, VanEck, VanEck, VanEck
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการผลิตและการส่งออกที่แข็งแกร่ง
กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของเกาหลีใต้ได้เผยแพร่รายงานรายเดือนที่เรียกว่า “กรีนบุ๊ก” (Green Book) ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคการผลิตและการส่งออกที่แข็งแกร่ง รวมถึงการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศอย่างปานกลาง และการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในสิ่งก่อสร้าง ขณะที่เงินเฟ้อมีความเสถียร
กระทรวงฯ ระบุว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีการฟื้นตัว เนื่องจากภาคการค้าดีขึ้น ในขณะที่ประเทศเศรษฐกิจใหญ่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตาม มีการเตือนถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาในประเทศเศรษฐกิจใหญ่ รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและตะวันออกกลาง
ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 11.4% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยเติบโตเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน
ผลผลิตในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 5.5% ในเดือนกรกฎาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ขณะที่ผลผลิตในภาคบริการเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนเดียวกัน
ยอดค้าปลีก ซึ่งสะท้อนถึงการบริโภคส่วนบุคคล ลดลง 2.1% ในเดือนกรกฎาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ในขณะที่การลงทุนในสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้น 18.5% ในเดือนกรกฎาคม
จำนวนตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น 123,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 172,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนกรกฎาคม
ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/429408
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/kospi-aug-2023
อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/korea-jun-2024
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
หุ้นที่ “Value Investor” เล่นหรือลงทุนนั้น มีหลายแบบและก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและหุ้นในขณะนั้น เพราะ VI โดยเฉพาะของไทยนั้น มีหลายแบบมาก ถ้าจะว่าไป เวลานี้นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและมีพอร์ตขนาดใหญ่แทบทุกคนก็เป็นหรือเรียกตัวเองว่าเป็น “VI” แทบทั้งนั้น และพวกเขาต่างก็ยกคำจำกัดความของคำว่า VI ว่าคือการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกหรือต่ำกว่า “มูลค่าที่แท้จริง” และขายเมื่อราคาสูงเกินไปแล้ว
และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นก็คือ ประเมิน “มูลค่าที่แท้จริง” ของหุ้น ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็จะมีมุมมองต่อบริษัทหรือกิจการแตกต่างกันมาก บางคนคาดการณ์หรือเชื่อว่ากำไรของบริษัทจะ “โตแบบก้าวกระโดด” เพราะบริษัทหรือธุรกิจของบริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มี “S-Curve” หรือเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วใหม่ที่จะทำให้กลายเป็น “Global Brand” หรือเป็น “ยี่ห้อระดับโลก” เป็นต้น
ดังนั้น มูลค่าของบริษัทก็ควรจะต้องสูงมาก ราคาหุ้นที่สูงจนทำให้ค่า PE สูงในระดับ 30-40 เท่าก็ไม่แพง ซื้อไว้แล้วเดี๋ยวราคาจะวิ่งขึ้นไปเองเมื่อกำไรในไตรมาศหน้าเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
และนั่นก็คือแนวคิดหรือแนวทางของ “VI รุ่นใหม่” หลาย ๆ คนที่คิดว่า โอกาสของการลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทยยัง “เปิดกว้าง” มีหุ้นที่จะลงทุนแบบ VI ได้อีกมากและยังน่าจะได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีอย่างที่เคยเป็นมานานใน “ยุคทองของ VI” จากช่วงปี 2552 หรือปีหลังวิกฤติซับไพร์ม ถึงประมาณปี 2562 ที่เป็นช่วงของปีวิกฤติโควิด-19 เป็นเวลาถึง 10 ปี
ผมเองมีความเห็นว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทยนั้น ก็คงจะอยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าว เพราะนั่นคืออุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถไม่แพ้ประเทศอื่น เพราะมันเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เน้นความสามารถทางด้านเทคโนโลยีที่คนไทยไม่ชำนาญ แต่เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นทางด้านการให้บริการและความสามารถทางด้านของศิลปะที่คนไทยไม่แพ้ชาติอื่นในโลก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อุตสาหกรรมดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีขนาดใหญ่และเติบโตมานานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติระดับหนึ่งมานานแล้ว การที่ประเทศไทยจะสร้างหรือเพิ่มการเติบโตอุตสาหกรรมเหล่านั้นต่อไปจึงมีความเป็นไปได้สูง
แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมนั้น ไม่ได้เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดว่าจะทำให้หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมทุกบริษัทดีไปด้วย เหตุเพราะว่า ถ้ามีบริษัทใหม่ที่เข้ามาให้บริการ หรือมีคู่แข่งที่เข้ามาให้บริการเพิ่มมากยิ่งกว่าการเติบโตของความต้องการแล้ว การแข่งขันก็จะรุนแรง ราคาค่าบริการหรือสินค้าอาจจะลดลง หรือมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายจะลดลงจนอาจจะทำให้กำไรของกิจการลดลง ซึ่งนั่นก็จะทำให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้น แทนที่จะดีขึ้น กลับแย่ลง ในบางกรณีที่มีผู้ให้บริการมากเกินไปมาก ก็อาจจะทำให้บริษัทจำนวนมากล้มละลายได้
ดังนั้น ธุรกิจที่จะดีหรือมีโอกาสที่จะเป็น ซุปเปอร์สต็อก จึงต้องมีอีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญก็คือ จะต้องมีความสามารถหรือความโดดเด่นบางอย่างที่จะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นหน้าใหม่หรือคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเข้ามาแย่งลูกค้าได้ ในภาษาของ “VI” ก็คือ ธุรกิจหรือบริษัทมี “Moat” หรือมีป้อมค่าย-คูเมือง ที่สามารถป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามายึดปราสาทหรือเมืองหรือธุรกิจของตนเองได้
ตัวอย่างของ Moat ที่เข้มแข็งมากที่สุดอย่างหนึ่งก็เช่น โปรแกรมที่ใช้ในการรันคอมพิวเตอร์แทบทุกตัวในโลกของไมโครซอฟท์คือวินโดว์ ซึ่งต่อให้มีคนใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นแค่ไหน ทุกคนก็ต้องมาใช้โปรแกรมนี้ เป็นต้น และนี่ก็คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นไมโครซอฟท์นั้นเพิ่มขึ้นและครองอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านมูลค่ามาตลอดแม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
แต่ถ้าถามว่าหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่คาดว่าจะโตต่อไปเรื่อย ๆ เร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวมนั้น มีตัวไหนหรือกลุ่มไหนบ้างที่มี Moat คำตอบที่ชัดเจนก็คือ มีตัวเดียว นั่นก็คือ หุ้นสนามบินที่มีผู้ให้บริการหลักเพียง 1 ราย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้น AOT จึงมีมูลค่ามหาศาลระดับ 1 ล้านล้านบาท และอยู่ในอันดับ 1-3 ของหุ้นใหญ่ที่สุดมานานต่อเนื่อง
ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจอื่นทางด้านการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมนั้น โอกาสที่จะเติบโต ทำกำไรได้ดีและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ผมกลับคิดว่าอาจจะไม่เกี่ยวกับการที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เลย เหตุผลก็เพราะว่า ธุรกิจโรงแรมนั้น ไม่มี Moat ยิ่งอุตสาหกรรมโตเร็ว ก็ยิ่งกระตุ้นให้คู่แข่งเข้ามาให้บริการโดยการสร้างโรงแรมมากขึ้น ห้องพักมีโอกาสล้นมากขึ้น ราคาห้องลดลง กำไรของบริษัทก็จะหดตัวลง แล้วหุ้นจะไปทางไหน?
โรงแรมก็จะหนีไปลงทุนในต่างประเทศแทน แล้วก็ไปเจอกับคู่แข่งในต่างประเทศที่อาจจะน้อยกว่า ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ “ฝีมือ” ของผู้บริหาร ไม่ใช่เรื่องที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวของโลก
ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งจะเป็นอนาคตของประเทศไทยที่คน “แก่ตัวลง” และต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้นนั้น พวกเขาก็อาจจะลืมไปว่า เด็กเกิดใหม่ซึ่งต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากเช่นกันนั้น ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ธุรกิจโรงพยาบาลโดยรวมจึงอาจจะไม่ได้เติบโตอะไรนัก
โรงพยาบาลที่อาจจะโตได้มากกว่าก็คือโรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสามารถรักษาโรคซับซ้อนได้ดีที่สามารถดึงดูดให้คนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลของตน และต่างชาติก็จะมา เนื่องจากโรงพยาบาลชั้นนำของไทยนั้น มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับระดับโลกแต่มีราคาค่าบริการต่ำกว่าคู่แข่งในย่านนี้ และเมื่อลูกค้ามาใช้บริการแล้ว ก็มักจะไม่หนีไปไหน เนื่องจากคนไข้ต้องรักษากับหมออย่างต่อเนื่อง ในภาษาของ VI ก็คือ ธุรกิจโรงพยาบาลมี “Exit Cost” ซึ่งคล้าย ๆ กับ Moat ที่กันไม่ให้ลูกค้าหนีไปหาคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลที่มีคุณสมบัติแบบนั้นในไทยก็มีไม่กี่โรง
ในช่วงหลัง ๆ เราเริ่มเห็นโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านความงาม โรงพยาบาลเฉพาะทางอย่างเช่นโรงพยาบาลฟัน หรือโรงพยาบาลช่วยให้ตั้งครรภ์ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ โรงพยาบาลเหล่านี้ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับโรงพยาบาลทั่วไปนั่นก็คือ ไม่มี Moat พอมีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้น อานิสงส์จากการที่คนรุ่นใหม่ต้องการ “ความงาม” มากขึ้น ซึ่งก็อาจจะมีสาเหตุต่อเนื่องมาจากการที่ต้องออกสื่อสังคมมากขึ้น
แต่ประเด็นก็คือ คู่แข่งหรือ Supply ที่เป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลแบบเดียวกันก็เพิ่มขึ้นได้แบบไม่จำกัด เมื่อใดก็ตามที่จำนวนผู้ให้บริการเพิ่มเกินกว่าผู้ต้องการใช้บริการ ธุรกิจก็จะตกต่ำลง ดังนั้น บริษัทที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันจึงไม่น่าจะเป็นธุรกิจที่ดีสุดยอดได้ ว่าที่จริง คลินิกเสริมความงามธรรมดานั้นล้มหายตายจากกันไปมากแล้ว ในอนาคตผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนั้นอีกไหมกับธุรกิจโรงพยาบาลเฉพาะทางอื่น ๆ
ธุรกิจกลุ่มสุดท้ายที่เป็นความหวังของ VI รุ่นใหม่ก็คือ หุ้นที่ขายของกินของใช้ในชีวิตประจำวันให้แก่บุคคลทั่วไปที่ “ไม่ใช่สินค้าจำเป็น” เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำชา น้ำหวาน อาหารภัตตาคาร เครื่องสำอาง ทั้งหมดนั้น ถ้าจะดูเฉพาะในประเทศไทยก็เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอิ่มตัวเพราะจำนวนคนไทยโดยโดยเฉพาะที่อายุน้อยที่เป็นลูกค้าหลัก มีจำนวนลดลง
หุ้นที่ VI ชอบ มักจะเป็นบริษัทที่มียอดขายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ก็มาจากการส่งออก หรือขายให้นักท่องเที่ยว หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นเพราะบริษัท “มีความสามารถทางการตลาดเหนือกว่าคู่แข่ง” สตอรี่ก็มักจะบอกว่ายอดขายและกำไรจะโตต่อเนื่องยาวนาน แต่ถ้าวิเคราะห์ลึกลงไปก็จะพบว่า บริษัทไม่มี Moat ที่จะป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
ประเด็นของผมก็คือ สินค้าเกี่ยวกับผู้บริโภคของไทยที่ส่งออกไปขายให้คนต่างชาตินั้น มักจะประสบปัญหาที่สำคัญก็คือเรื่องของ “ภาพพจน์” ที่ว่า คนบริโภคนั้น มักจะ “มองขึ้น” คืออยากใช้สินค้าของประเทศที่พัฒนามากกว่าตนเอง ดังนั้น ถ้าตลาดของสินค้าอยู่ที่ประเทศที่พัฒนากว่าไทย เขาอาจจะซื้อน้อยลง ลองนึกถึงว่าคนไทยชอบสินค้าของประเทศไหนก็จะพบว่าเป็นสินค้าของประเทศที่พัฒนาสูงกว่าเราเป็นส่วนใหญ่ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มากกว่ามาจากประเทศอย่างเวียดนาม เช่นเดียวกัน สินค้าของจีนในสมัยที่เขายังพัฒนาต่ำกว่าเรา เราก็ไม่ชอบใช้ แต่เวลานี้เราก็เริ่มใช้แล้วเพราะเขาพัฒนามากกว่าเราแล้ว
ดังนั้น ถ้าบริษัทไหนบอกว่าเขาจะขายของไปที่ตลาดไหนมากขึ้นมาก ๆ ก็ต้องระวังว่าจะทำได้แค่ไหน ถ้าประเทศนั้นพัฒนาไปมากกว่าเรา ซึ่งเวลานี้ก็รวมถึงตลาดจีนด้วย
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ถ้าจะลงทุนในหุ้นที่อาจจะดูเหมือนว่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่อาจจะกำลัง “โตเร็ว” และอยู่ในอุตสาหกรรม “แห่งอนาคต” ของไทย ก็พึงระวังว่า หุ้นเหล่านั้นอาจจะไม่มี Moat และจะมีความเสี่ยงว่า อยู่ ๆ ผลประกอบการก็ “เดี้ยง” ไปซะงั้น
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คณะบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปรับเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีน รวมถึงการเก็บภาษี 100% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญในสหรัฐฯ จากการผลิตที่มากเกินไปซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การเก็บภาษีนำเข้าหลายรายการจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 กันยายนนี้ รวมถึงภาษี 100% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน, 50% สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์, และ 25% สำหรับเหล็ก, อะลูมิเนียม, แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และแร่ธาตุสำคัญ
ส่วนภาษี 50% สำหรับเซมิคอนดักเตอร์จากจีน รวมถึงโพลีซิลิคอนที่ใช้ในแผงโซลาร์และแผ่นซิลิคอนนั้น จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2568
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การปรับภาษีตามมาตรา 301 ที่ประกาศในเดือนพฤษภาคมโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน สำหรับสินค้ามูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ตอบสนองต่อคำร้องของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เรียกร้องให้ลดภาษีสำหรับแกรไฟต์และแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากพวกเขายังคงพึ่งพาการจัดหาจากจีนอย่างมาก
นอกจากนี้ USTR ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงการเพิ่มภาษีจาก 0% เป็น 25% สำหรับแบตเตอรี่ลิเทียม–ไอออน แร่ธาตุ และส่วนประกอบต่าง ๆ การเพิ่มภาษีสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายนนี้ ขณะที่ภาษีสำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น แล็ปท็อปและโทรศัพท์มือถือ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid0oC6bYcfJhqQMU58SvqNNk5q9bHgrbd61AHAa8PM3vJcqTeFYrPAJT8kh6bNfpWFYl
ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร “คนอายุยืน เด็กเกิดใหม่น้อย” กลายเป็นปัญหาหนักอึ้งของหลายประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และระบบบำนาญวัยเกษียณ
จีนก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เจอกับความท้าทายเรื่องนี้ ทำให้ล่าสุด Bloomberg รายงานว่า สภานิติบัญญัติของจีน ได้อนุมัติข้อเสนอการปรับเพิ่มอายุเกษียณของชาวจีน เป็นครั้งแรกในรอบ 46 ปี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2025 แต่จะเป็นการปรับอายุขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะใช้เวลา 15 ปี จึงจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ
จะเห็นว่าอายุขัยเฉลี่ยของประชากรจีน สูงถึง 78 ปี และคาดว่าจะมีผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของประชากรทั้งหมด หรือมากกว่า 400 ล้านคน ภายในปี 2035
ขณะเดียวกันคนจีนยังมีอัตราการเกิดที่ลดลง โดยในปี 2022 นับเป็นครั้งแรกที่จีนมีประชากรลดลง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศแห่งการเติบโตนี้
ความน่ากังวลก็คือตอนนี้ คนวัยทำงานประมาณ 5 คน จะต้องเลี้ยงดูผู้เกษียณอายุ 1 คน และมีแนวโน้มที่จะแบกภาระมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลให้ทางการจีน ตัดสินใจขยายอายุเกษียณ เพื่อไม่ให้ระบบบำนาญของประเทศเกิดปัญหาในอนาคต
อ้างอิง: Bloomberg
สัญญาทองคำในตลาดนิวยอร์กปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2567 ได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังจากที่สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลที่ชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 38.20 ดอลลาร์ หรือ 1.50% ปิดที่ 2,580.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 1.179 ดอลลาร์ หรือ 4.08% ปิดที่ 30.107 ดอลลาร์/ออนซ์
ในส่วนของสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 26 ดอลลาร์ หรือ 2.72% ปิดที่ 982.20 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 41.80 ดอลลาร์ หรือ 4.15% ปิดที่ 1,048.80 ดอลลาร์/ออนซ์
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 2,000 ราย สู่ระดับ 230,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตรงตามการคาดการณ์
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%
อเล็กซ์ เอบคาเรียน ผู้บริหารของบริษัท Allegiance Gold กล่าวว่า “ดัชนี PPI ที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์เพียงเล็กน้อยสะท้อนให้เห็นว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในทิศทางชะลอตัว ซึ่งอาจสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และทำให้ทองคำมีความน่าดึงดูดมากขึ้น เราคาดว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหลายครั้งในอนาคต”
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 73% ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 กันยายน และให้น้ำหนัก 27% ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในวันดังกล่าว
ที่มา: https://infoquest.co.th/2024/429215
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/finnomenafunds/mevt-call-gold-jul-2024/
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ทั่วโลกกำลังจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะมีขึ้นในช่วงค่ำวันนี้ (12 กันยายน 2567) โดยคาดการณ์ว่า ECB จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ซึ่งจะเป็นการปรับลดครั้งที่สองในปีนี้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
การตัดสินใจของ ECB ครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมลดลงเหลือ 2.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของยุโรปจะยังคงแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจเยอรมันซึ่งเป็นเศรษฐกิจหลักของยุโรปกลับหดตัวลง
แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ภายในคณะกรรมการของ ECB บางส่วนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
การเติบโตของค่าจ้างที่แข็งแกร่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการลดอัตราเงินเฟ้อ และอาจทำให้ ECB ต้องระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
การตัดสินใจของ ECB จะมีส่วนกำหนดทิศทางนโยบายการเงินโลกในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า (17-18 กันยายน) ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB จะส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินยูโรซึ่งคาดว่าจะอ่อนค่าลง
Holger Schmieding นักเศรษฐศาสตร์หัวหน้าของ Berenberg Bank มั่นใจว่า การประชุมของ ECB ในคืนนี้จะลงมติลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยสังเกตว่าแม้แต่ Joachim Nagel ประธานธนาคารกลางเยอรมนี ซึ่งมักมีท่าทีแข็งกร้าว ก็แสดงท่าทีเปิดไฟเขียวให้ลดดอกเบี้ยครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ในเดือนตุลาคม ECB อาจตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่ Philip Lane หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ECB ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อต่ำเกินไปในระยะยาว หากยังคงอัตราดอกเบี้ยสูงอยู่ ซึ่งอาจเปิดทางให้มีการปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด
การตัดสินใจของ ECB ในครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนการประชุมของ Fed ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกจับตามองการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั้งสองแห่งอย่างใกล้ชิด เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลกในอนาคต
เรายังคงมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยในระยะสั้นยังขาด Positive Catalyst
เราเปลี่ยนคำแนะนำจาก “สะสม” เป็น “ถือ” เพื่อรอดูมาตรการกระตุ้นช่วง Golden Week
เรายังคงคำแนะนำทยอยสะสมกองทุน B-BHARATA
เรายังคงคำแนะนำทยอยขายหุ้นไทย และ REITs ไทย
เรายังคงแนะนำลงทุนกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A และ KKP VGF-UI*
*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
เรายังคงแนะนำทยอยสะสมกองทุน SCBKEQTG และ DAOL-KOREAEQ
เรายังคงแนะนำลงทุนกองทุน UGIS-N และ MUBOND-A สำหรับกองทุนแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินแนะนำกองทุน UGISFX-N และ MUBONDUH-A
เรายังคงแนะนำสะสมผ่านกองทุน KT-GOLDUH-A
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วันนี้ (12 กันยายน 2024) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น นำโดย ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) +2.5% ตลาดหุ้นเกาหลี (KOSPI) +1.9% ดัชนีหุ้นจีน H-Share (HSCEI) +0.8% และตลาดหุ้นไทย (SET Index) +0.6 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในคืนวันอังคารที่ 11 กันยายน 2024 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +1.07% และดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวขึ้น +2.17% โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยหุ้น Nvidia ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 8% หลังจากมีรายงานจากเว็บไซต์เซมาฟอร์ (Semafor) ระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเปิดทางให้บริษัท Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ทันสมัยไปให้กับประเทศซาอุดิอาระเบียได้ จึงส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเอเชียปรับตัวขึ้นแรงตามทิศทางหุ้นสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงจาก 2.9% YoY ในเดือนกรกฎาคม สู่ระดับ 2.5% YoY ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์
Finnomena Funds มองว่าการฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ จะช่วยลด Sentiment ลบต่อตลาดหุ้นเอเชียในช่วงระยะสั้น หลังจากตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัว จากตัวเลขการจ้างงานที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับเหตุการณ์สำคัญถัดไปที่ต้องจับตามอง คือการประชุม Fed ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 17-18 กันยายน 2024 โดยตลาดคาดว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงจะมีการเปิดเผยการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และ Dot plot ในการประชุมครั้งนี้
เรายังคงแนะนำทยอยสะสมกองทุนหุ้นเอเชียอย่าง UOBSA ที่ใช้ AI ร่วมกับผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น สร้างผลตอบแทนโดดเด่นกว่ากองเอเชียอื่น ๆ อย่างชัดเจน นอกจากนี้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุน SCBKEQTG ตามมุมมองของ Finnomena Funds หรือ DAOL-KOREAEQ ตามคำแนะนำ FundTalk Call
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
เพิ่งอัปเดตกันไปสด ๆ ร้อน ๆ กับแอปฯ Finnomena เวอร์ชั่นใหม่ ซึ่งมีการแปลงโฉมหน้า Home ให้มีลูกเล่นมากขึ้น รวมข้อมูลการลงทุนหลากหลายรูปแบบให้ได้เลือกสรรรับชมแถมยังมีของใหม่มาเสิร์ฟ ไม่ว่าจะเป็น AI Market Daily Summary ที่ทำการสรุปสถานการณ์ตลาดและการลงทุนทุกวันโดย AI, คลิปวิดีโอสั้นสไตล์ Reels รวมถึงการโชว์สินทรัพย์ผลงานเด่นประจำสัปดาห์
เพื่อให้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังของการอัปเดตแอปฯ ครั้งนี้มากขึ้น วันนี้จะมาพูดคุยกับคุณเบน Senior UX/UI Designer ผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบหน้า Home โฉมใหม่กันหน่อย ว่ามีอะไรใหม่ ๆ รอคอยทุกคนอยู่บ้าง
ส่วนหนึ่งของหน้า Home แบบใหม่บนแอปฯ Finnomena
มันเริ่มต้นจากตอนที่เรากำลังจะ rebranding ครับ
Finnomena เรามีการปรับวิสัยทัศน์ใหม่ที่มองไปไกลมากขึ้น ให้ตอบโจทย์เรื่องการลงทุนของคนไทยมากกว่าเดิมและมี product ที่หลากหลายมากกว่าเดิมให้นักลงทุนของเราเลือกลงทุนได้ตามสไตล์ของตัวเองอย่างอิสระ
คอนเซ็ปต์ของหน้า Home ใหม่นี้เลยเป็นการหยิบจับ feature และ product ทั้งหมดของเรามาเสนอให้กับนักลงทุนในที่เดียว นักลงทุนจะได้ไม่ต้องไปตามหาเพื่อไล่กดดูรายละเอียดของแต่ละอันเอาเอง คล้าย ๆ ว่าเป็น snapshot ให้กับนักลงทุนได้เห็นง่าย ๆ ว่า Finnomena มีผลิตภัณฑ์อะไรนำเสนอให้บ้างครับ
หวังว่าหน้า Home ใหม่นี้จะทำให้นักลงทุนได้ค้นพบว่าตัวเองมีสไตล์การลงทุนแบบไหน สามารถมองเห็นโอกาสในการลงทุนมากขึ้น และมีความมั่นใจที่จะลงทุนมากขึ้นครับ
จุดเด่นของหน้า Home ใหม่คือเรื่องของความครบจบในที่เดียว เป็นประตูทางเข้าไปสู่แต่ละ feature แต่ละ product ซึ่งเราตั้งใจและพยายามให้มีการอัปเดตทุกวัน เพราะฉะนั้นนักลงทุนที่เข้ามาดูในแอปฯ Finnomena จะเจอคอนเทนต์ที่สดใหม่ในทุก ๆ วัน ไม่ใช่เฉพาะแค่บทความให้ความรู้ที่เป็นจุดแข็งของเราอยู่แล้ว แต่เรายังมีส่วนของวิดีโอสั้นสำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาว ๆ ก็ยังสามารถตามทันเหตุการณ์ได้ไม่พลาดโอกาสในการลงทุนครับ
และแน่นอนเพื่อให้นักลงทุนของ Finnomena มีความเป็น Ahead of the Game ตัวจริง เรามีส่วนของ “สินทรัพย์อื่น ๆ” ที่ผ่านการคัดสรรมาจากทีม Investment ให้เป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจมาเสนอให้กับนักลงทุนในหน้านี้ด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่าแค่กดเข้าแอปฯ เราวันละครั้ง ก็ไม่มีทางตกรถแน่นอน
นอกจากนี้เรามีเรื่อง AI ที่เราซุ่มพัฒนากันอย่างเงียบ ๆ และถึงเวลาที่จะเอามาโชว์ให้ทุกคนดูแล้ว นั่นก็คือ AI Market Daily Summary นั่นเอง เป็น generative AI เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนที่ต้องรู้ในวันนี้ แค่กดเข้าไป AI ก็จะสรุปข่าวสารประจำวันให้กับนักลงทุนได้เลย แอบกระซิบว่ายังมีโปรเจกต์เกี่ยวกับ AI อีกหลายอันที่อยู่ในขั้นพัฒนา อยากให้รอติดตามกันเร็ว ๆ นี้ครับ
สรุปข่าวประจำวันโดย AI Market Daily Summary
จริงๆ โปรเจกต์ redesign หน้า home ทีมเราพยายามที่จะผลักดันมานานแล้วครับ มีการคิดคอนเซ็ปต์กันมาหลายรูปแบบก่อนหน้า พอได้จังหวะเราก็เลยมีโอกาสได้หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่
ขั้นตอนการทำงานเราใช้กระบวนการ user-centered design ครับ คือเราได้ทำ research เพื่อเก็บ insights แล้วพบว่า pain point ที่นักลงทุนของเรามีคือ ไม่ค่อยรู้ว่าเรามีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อะไรเข้าไปบ้าง หาทางเข้าไปอ่านรายละเอียดไม่เจอ ทำให้เราได้ข้อสรุปว่าหน้า Home ใหม่นี้ควรจะเป็นการหยิบของที่เรามีทั้งหมดมาบอกกับนักลงทุนให้เห็นชัด ๆ กันไปเลย เราได้ลองพัฒนาการออกแบบมาหลายรูปแบบมาก ๆ กว่าที่จะเป็นหน้า Home ปัจจุบันให้ทุกคนได้เห็นกัน ผ่านการคิดและพิจารณาแต่ละส่วนกันอย่างดุเดือด เพราะว่าปัจจุบันเรามีของเยอะแยะมากที่อยากจะเสนอให้กับนักลงทุนครับ
ซึ่งจริง ๆ ไอเดียตั้งต้นเราอยากที่จะทำให้หน้า Home นี้ personalize ตามสไตล์การลงทุนของผู้ใช้งานแต่ละคนได้เลย เพราะทุกคนก็มีการเสพข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบอ่านบทความเยอะ ๆ หรือบางคนก็จะชอบที่ให้ Finnomena บอกโอกาสในการลงทุนมาให้เลยมากกว่า เราเลยกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อจะทำ A/B testing เพื่อทดสอบคอนเซ็ปต์นี้ในอนาคตว่าจะเหมาะกับผู้ใช้งานของเราจริงหรือเปล่า ฝากติดตามกันด้วยครับ
พอถึงขั้นตอนการเขียนโค้ดของ developer ทั้งหลายก็ไม่ง่าย เพราะอย่างที่เล่าไปว่าเราอยากให้หน้านี้เป็นประตูทางเข้าไปสู่หน้าอื่น ๆในแอปฯ ทำให้จะต้องมีการดึงข้อมูลจากหลายส่วนมาก ๆ และมีการออกแบบ UI ที่ใช้ parallax interaction ด้วย เป็นเทคนิคการเปลี่ยนหน้าตา user interface (UI) หรือก็คือดีไซน์หน้าจอของผู้ใช้งาน ตามการเคลื่อนไหวด้วยนิ้วหรือเม้าส์ เช่น การปัดหน้าจอขึ้นหรือลงบนแอปฯ ทำให้หน้าตา UI เปลี่ยนไป เลยทำให้ยิ่งท้าทายในการเขียนโค้ดมากขึ้นอีก ต้องขอบคุณทีม developer มาก ๆ ที่พยายามกันอย่างหนักเพื่อให้ได้ UI หน้าตาสวย ๆ แบบนี้ออกมาด้วยครับ
ก็จะเป็นเรื่องการออกแบบ user interface นี่แหละครับ อย่างที่บอกว่าเราต้องการที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดของเราให้กับนักลงทุน การที่จะออกแบบ UI ให้ดูไม่เยอะจนล้นและยังสวยงามสบายตา เราใช้เวลาทำงานกันประมาณ 3-4 เดือน กว่าที่จะพัฒนา UI ออกมาสวยงามให้ทุกคนได้เห็นกัน หวังว่าทุกคนคงชอบกันนะครับ 🙂
มีอีกหลายอย่างเลยครับที่จะทยอยออกมาให้ทุกคนได้ใช้งานก่อนสิ้นปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น Port Outstanding ให้ดูยอดเงินลงทุนรวมได้ง่ายๆ, Opportunity Hub ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปบนเว็บไซต์ ก็จะมีมาในรูปแบบของแอปพลิเคชันด้วยครับ หรือ รายการบทความแบบใหม่ที่จะทำให้ทุกคนค้นหาบทความได้ง่ายมากขึ้น อ่านง่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีรายการวิดีโอต่าง ๆ ของ Finnomena ที่จะมาอยู่ในแอปฯ เราเหมือนกัน และจะไม่ใช่แค่วิดีโอธรรมดา เราจะมี live session ด้วย! ตื่นเต้นมาก ๆ รอติดตามชมพร้อมกันบนแอปพลิเคชัน Finnomena นะครับ
จริง ๆ ก็จะชอบส่วนที่เป็น Opportunity Hub ครับ เพราะในฐานะนักลงทุนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ที่เจอปัญหากับตัวเองเลยว่าไม่รู้ว่าจะลงทุนกองทุนอะไร ไม่ค่อยมีเวลามานั่งติดตามสถานการณ์ตลอด Opportunity Hub เลยเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มาก มีพี่เจท พี่แบงค์ และพี่หยง คอยมาชี้เป้ากองทุนให้เรา แต่ละคนก็มีสไตล์การลงทุนที่ต่างกัน เราก็เลือกได้เลยว่าชอบการลงทุนรูปแบบไหน ก็ซื้อตามที่พี่เขาชี้เป้าให้เราได้เลย แถมมีการอธิบายถึงเหตุผลที่เขาเลือกกองทุนมาให้ด้วย ทำให้เราลงทุนได้ง่ายขึ้น ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และส่วนตัวก็เชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถของพี่ ๆ อยู่แล้วด้วย เลยจะชอบส่วนนี้เป็นพิเศษครับ
Opportunity Hub บนหน้า Home
อ่านเพิ่มเติม เผยเบื้องหลัง “Opportunity Hub” แหล่งมัดรวมโอกาสการลงทุนแบบตัวจบ
ก็อยากให้ทุกคนคอยติดตามการพัฒนาของพวกเรา Finnomena นะครับ อย่างที่แอบบอกไปว่าเรายังมีอีกหลายอย่างมากที่กำลังเตรียมทำออกมาให้ทุกคนได้เห็นกัน สามารถเข้ามาติชมกันได้ ชอบส่วนไหน ไม่ชอบส่วนไหน เรา “ต้องการ” ความคิดเห็นของทุกคนมาก ๆ เลยครับ เราจะได้พัฒนาและปรับปรุงแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ของเราให้ดียิ่งขึ้นและตอบสนองกับความต้องการของทุกคนได้มากขึ้นครับ ขอบคุณมากครับ
แล้วเจอกันที่แอปฯ Finnomena หรือ ดาวน์โหลดได้ที่ https://finno.me/download-app-ws นะครับ