เมื่อคืนวันที่ 22 เมษายน 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) และ ดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวขึ้นแรงกว่า +2.51% และ +2.63% ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นยกแผง นำโดยตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) + 2.05% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) 1.94% ดัชนี HSCEI หรือ หุ้นจีน H-Shares +1.73% ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) +1.55% ตลาดหุ้นไทย (SET Index) +1.12% และตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) +1.04%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในวันนี้เกิดขึ้นหลังจากนายสกอต เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายลง โดยย้ำว่าสหรัฐฯไม่ได้มีเป้าหมายในการแยกตัวทางเศรษฐกิจออกจากจีน พร้อมระบุว่าจากสถานะปัจจุบันซึ่งสหรัฐฯเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตรา 145% และจีนตอบโต้ด้วยอัตรา 125% นั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว ถ้อยแถลงดังกล่าวช่วยเสริมความหวังให้นักลงทุนว่าความตึงเครียดทางการค้าอาจคลี่คลายในระยะอันใกล้
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้กดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ย และขู่ว่าอาจปลดประธานเฟดเมื่อวันที่ 17 เมษายน ได้ออกมาชี้แจงในภายหลังว่า ตนไม่มีเจตนาในการปลดนายเจอโรม พาวเวล แต่เพียงต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ย เพราะเห็นว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสม ท่าทีที่อ่อนลงของทรัมป์ช่วยลดความกังวลของตลาดเกี่ยวกับความเป็นอิสระของเฟด และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดการเงินฟื้นตัวในวันนี้
Finnomena Funds มองว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในวันนี้ สะท้อนถึงความคลายกังวลของนักลงทุนต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐฯประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน ซึ่งส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการเปิดเจรจาการค้ากับหลายประเทศ และเป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้ในรายงานฉบับก่อนว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์มีเป้าหมายเพื่อการ “เจรจา (make deal)” มากกว่าการจะต้องการเก็บภาษีในระดับสูงสุดตามที่เคยประกาศไว้ในวันที่ 2 เมษายน
เราเริ่มเห็นแรงต้านจากสังคมในสาธารณะต่อนโยบายการค้าของทรัมป์ ทั้งจากคะแนนนิยมของทรัมป์ที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง จนไปถึงความขัดแย้งที่เริ่มเกิดขึ้นภายในระหว่างผู้สนับสนุนและทีมงานของทรัมป์เอง อย่างไรก็ตามแม้สหรัฐฯ กับจีนยังคงระดับภาษีตอบโต้ในระดับสูง ซึ่งไม่ยั่งยืนและจะสร้างอันตรายทางเศรษฐกิจกับทุกฝ่าย เราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายจะนำไปสู่การเจรจา เช่นเดียวกับทิศทางที่มีการเลื่อนการขึ้นภาษีกับประเทศอื่น ๆ
เราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “เข้าลงทุน” ในสินทรัพย์เสี่ยงได้ หลังจากที่เราแนะนำ Wait and See เพื่อเตรียมลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2025
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ลงทุนเติบโตไปกับกองทุนหุ้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต โอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูง เลือกกองทุนแบบไหนดี วิเคราะห์ 3 ค่ายยอดฮิต Fidelity – Baillie Gifford – ARK Invest มีกลยุทธ์การลงทุนแตกต่างกันอย่างไร วิธีการคัดเลือกหุ้นเป็นแบบไหน เปรียบเทียบจุดเด่นและความเสี่ยงของแต่ละกองทุน
ผู้จัดการกองทุนหลัก Hyun Ho Sohn
ปรัชญาการลงทุนแบบ Valuation-based คือ หุ้นที่มีการเติบโตของกำไร แต่เข้าซื้อในมูลค่าเหมาะสม ไม่แพงเกินไป และมีความสามารถในการแข่งขัน เพื่อหาโอกาสการทำกำไรในระยะยาว ด้วยสไตล์การลงทุนแบบ Contrarian
คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตประมาณ 100 ตัว โดย Universe การลงทุน เน้นหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก อาจมีการลงทุนในหุ้น Sector อื่น ๆ บ้าง แต่ก็เป็นบริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตัวอย่าง Top Holding (as of 18/04/2025) เช่น TSMC, Microsoft, Apple, Amazon, Ericsson เป็นต้น
ผู้จัดการกองทุนหลัก Cathie Wood
ปรัชญาการลงทุนแบบ Futuristic-based คือ หุ้นนวัตกรรมล้ำหน้า สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อโลกอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังไม่ใช่ผู้นำตลาด แต่ศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้คนด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงมักเป็นหุ้นขนาดเล็กและอาจจะยังไม่มีกำไรทางธุรกิจ
คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตประมาณ 40 ตัว โดย Universe การลงทุนหุ้นทั่วโลก ไม่จำกัด Sector เน้นหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks) ตัวอย่าง Top Holding (as of 18/04/2025) เช่น Ark Bitcoin ETF, Tesla, Roku, Roblox, Robinhood Markets เป็นต้น
ผู้จัดการกองทุนหลัก Mark Urquhart
ปรัชญาการลงทุนแบบ Growth-based คือ หุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูง คาดว่าจะเป็นผู้ชนะในอนาคต อาจจะเป็นบริษัทที่ยังไม่ใหญ่มาก แต่มี Valuation แพงในปัจจุบัน เพราะตลาดคาดหวังศักยภาพการเติบโตสูง
คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตประมาณ 40 ตัว โดย Universe การลงทุนหุ้นทั่วโลก ไม่จำกัด Sector เน้นหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks) ที่ถือไปยาว ๆ ซึ่งพอร์ตมี Turnover แค่ประมาณ 20% ตัวอย่าง Top Holding (as of 18/04/2025) เช่น Amazon, Cloudflare, Nvidia, Roblox, Netflix, Spotify Technology เป็นต้น
Source: Finnomena Funds as of 06/03/2025
Finnomena Funds มองว่า B-INNOTECH และ KT-TECHNOLOGY-A ซึ่งลงทุนผ่านกองทุนหลัก Fidelity Funds – Global Technology Fund เหมาะสมที่จะเป็น Core-Portfolio สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นกองทุนหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตที่เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพ กระจายลงทุนหลากหลาย ทั้งหุ้นเทคโนโลยี และ Sector อื่นที่อาจได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในช่วงเวลานั้น ๆ
นอกจากนี้ B-INNOTECH ยังเป็นกองทุนแนะนำ F-Pick ของ Finnomena Funds ซึ่งที่ผ่านมาสามารถทำผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยงได้ยอดเยี่ยม แม้อาจไม่ใช่กองทุนที่วิ่งได้แรงในตลาดขาขั้น แต่ระยะยาวที่ผ่านทั้ง Cycle ขึ้นและลง ถือว่าเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์ เน้นถือลงทุนยาว แต่ก็มีการปรับพอร์ตอยู่สม่ำเสมอ
ส่วนกองทุน ONE-UGG-RA และ KFGG-A ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Long Term Global Growth เราแนะนำให้สับเปลี่ยนไป B-INNOTECH หรือลงทุนเป็น Satellite-Portfolio เพราะมีความผันผวนสูงและเป็นแนวยึดมั่นเรื่องการถือลงทุนหุ้นแต่ละตัวยาว หากเลือกหุ้นถูก กองทุนจะปรับตัวขึ้นได้ดี แต่ถ้าเลือกผิด กองทุนก็จะปรับตัวลงแรงเช่นกัน
สุดท้ายกองทุน SCBNEXT(A) ของกองทุนหลัก ARK Next Generation Internet ETF แนะนำสับเปลี่ยนไป B-INNOTECH เช่นกัน เว้นแต่จะมองเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นตามกระแสหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็ก แต่ระยะยาวผันผวนสูงมาก
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุน โดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | กรณีผู้ลงทุนสนใจลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กรณีผู้ลงทุนสนใจลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง/ซับซ้อน และมีสินทรัพย์อ้างอิงการลงทุนในผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีความซับซ้อน ซึ่งมีปัจจัยอ้างอิงมีความแตกต่างจากการลงทุนในปัจจัยอ้างอิงโดยตรง ซึ่งอาจทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนดังกล่าวมีความผันผวนแตกต่างจากราคาของปัจจัยอ้างอิงได้ ผู้แนะนำการลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่โฆษณาไว้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00 – 17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE: @FinnomenaPort
ในยุค Tariff ของ โดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งที่เป็นความยากสำหรับการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ คือ การประเมิน View ในอนาคต แบบฟันธงว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นไปแทบจะไม่ได้ โดยหากพิจารณาการอัปเดตมาตรการ Tariff ของทรัมป์ จะพบว่าเปลี่ยนแปลงเกือบจะเป็นแบบรายวัน ทำให้การมองภาพเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงที่เหลือของปี 2025 ต้องทำแบบเป็นฉากทัศน์ ซึ่งหนึ่งในมุมมองที่ผมเห็นว่าทำได้ค่อนข้างชัดเจนสุดแม้ว่าดูจะมองโลกในแง่ดีเกินไปบ้างในตอนนี้ มาจาก คริส วาลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดที่ถือว่าคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐได้แม่นที่สุดในรอบที่ผ่านมา
ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น มาพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ณ ปัจจุบัน กันเสียหน่อย หากวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีตล้วน ๆ ทุกคนคงมองตรงกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐตรงจุดนี้ ยังคงน่าจะแข็งแกร่งพอสมควร โดยหากพิจารณาจากอัตราการเติบโตของจีดีพีสหรัฐในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ที่ 2.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดว่าจีดีพีสหรัฐในไตรมาสแรก ปี 2025 ก็น่าจะยังคงเติบโตอยู่เล็กน้อย
กระนั้นก็ดี ในมิติของข้อมูลแนว Soft data ที่มาจากผลสำรวจของผู้บริโภคและภาคธุรกิจนั้น จะพบว่าส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างรุนแรง ทว่าจากมิติของ Hard data ซึ่งรวมถึงการวัดและประมาณการสภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ แสดงถึงแนวโน้มว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเติบโตอยู่เล็กน้อย
เริ่มจากตัวเลขการใช้จ่ายด้านการบริโภคสหรัฐ ตัวเลขแบบรายเดือนถึงกุมภาพันธ์ ปีนี้ ส่อถึงการชะลอตัวจากปีก่อนอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่าฤดูหนาวปีนี้ของสหรัฐมีความรุนแรงมาก ซึ่งด้วยปัจจัยด้านฤดูกาล ย่อมทำให้เกิดการชะลอตัวของการบริโภคสหรัฐโดยธรรมชาติ นอกจากนี้ ปัจจัยพิเศษซึ่งน่าจะเกิดขึ้นแบบชั่วคราวจากนโยบาย Tariff ของทรัมป์ซึ่งดูจะมีผลกระทบเชิงลบต่อจีดีพีสหรัฐในไตรมาสแรก ปีนี้ คือ การเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าที่ต้องการซื้อจากต่างประเทศก่อนเวลาที่มาตรการ Tariff ของทรัมป์จะมีผลเกิดขึ้นจริง
ด้านตลาดแรงงาน พบว่าการจ้างงานเติบโต 228,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคม ซึ่งถือว่าสูงเกินคาด และตัวเลขการเปิดตำแหน่งงานใหม่ที่ออกมาถึงกุมภาพันธ์ ปีนี้ ล้วนชี้ไปว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอยู่ในจุดที่สมดุล ซึ่งเมื่อนำมาประกบกับตัวเลขด้านการบริโภคและการนำเข้า ยังคงมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงยืนได้ดีในไตรมาสแรก
หันมาพิจารณาสถานการณ์เงินเฟ้อสหรัฐกันบ้าง เส้นทางของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่จะมุ่งเข้าสู่เป้าหมาย 2% พบว่าในปีที่แล้วถือว่าได้หยุดนิ่งไป อย่างไรก็ดี หลังจากตัวเลขที่ออกมาค่อนข้างยังสูงใน 2 เดือนแรกของปี ตัวเลข CPI เดือนมีนาคม ล่าสุดที่ออกมา ถือว่าน่าชื่นใจ โดย Headline CPI เดือนมีนาคม ลดลง -0.1% จากเดือนก่อน ส่งผลให้แบบรายปี ลดลงเหลือ 2.4% จากปัจจัยหลักด้านราคาพลังงาน ด้าน CPI ที่ไม่คิดราคาอาหารและพลังงาน หรือ Core CPI เดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ส่งผลให้แบบรายปี ลดลงเหลือ 2.8% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขต่ำสุด นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2021
หากจะคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อ PCE เดือนมีนาคม จากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตล่าสุดหรือ PPI และจากข้อมูลล่าสุดของ CPI จะพบว่า Headline PCE เดือนมีนาคม ที่จะออกมาน่าจะคงที่เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 2.3% จากปีก่อน ส่วน Core PCE เดือนมีนาคม น่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ส่งผลให้แบบรายปี ลดลงเหลือ 2.7%
คราวนี้ หันมาพิจารณา Tariff ที่จะมีผลต่อฉากทัศน์ของการคาดการณ์ แต่เดิมระดับค่าเฉลี่ย Tariff ทั่วโลกของสหรัฐ เคยอยู่ที่ 3% หลังจากทรัมป์ประกาศว่าจะใช้มาตรการ Tariff ในช่วงก่อนวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา คาดกันว่าระดับค่าเฉลี่ย Tariff ของสหรัฐ น่าจะขึ้นไปที่ 10% อย่างไรก็ดี หลังจาก Liberation day 2 เมษายน ระดับค่าเฉลี่ย Tariff ของสหรัฐ ขยับขึ้นมาเป็น 25% แม้ว่าจะชะลอ Tariff ของประเทศอื่น ยกเว้นจีนเป็นเวลา 90 วัน ทว่าระดับค่าเฉลี่ย Tariff สหรัฐ ก็ยังคงอยู่ที่ราว 25% อยู่ดี ซึ่งวาลเลอร์ให้เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นฉากทัศน์แรกในการวิเคราะห์ ส่วนฉากทัศน์ที่สอง ซึ่งถือว่ามองโลกในแง่ดีกว่า คือผลการเจรจาระหว่างสหรัฐกับจีนและประเทศอื่น ๆ ออกมาดีกว่าคาดมาก จนระดับค่าเฉลี่ย Tariff ของสหรัฐ ลงมาที่ 10%
ทั้งนี้ ฉากทัศน์แรก หรือ กรณี Large Tariff อยู่บนสมมติฐานที่ว่า ระดับค่าเฉลี่ย Tariff ของสหรัฐ ที่ขยับขึ้นมาเป็น 25% จะยังคงมีผลต่อประเทศอื่นๆ ไ ปจนถึงอย่างน้อยสิ้นปี 2027 ซึ่งทรัมป์จำเป็นต้องยืนเช่นนี้ เพื่อให้วัตถุประสงค์การผลิตสินค้าที่ชาวสหรัฐบริโภคกลับมาเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินสหรัฐ ส่วน ฉากทัศน์สอง หรือ กรณี Small Tariff คาดว่ามาตรการ Tariff ของทรัมป์ท้ายสุดแล้ว จะเหลือแค่ 10% กับทุกประเทศเท่านั้น
โดยวาลเลอร์เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจากทั้ง 2 กรณี จะเป็นแบบชั่วคราว หรือ การเพิ่มขึ้นราคาเพียงครั้งเดียว ซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะขึ้นไปสูงสุดที่ 4-5% แล้วแต่การส่งผ่านต่อไปถึงราคาว่าจะมากแค่ไหน โดยตัวช่วยที่ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐขึ้นไปไม่สูงมาก คือนโยบายการเงินสหรัฐที่ถือว่ายังตึงตัวอยู่ และเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงจากมาตรการ Tariff ช่วยลดอุปสงค์และระดับราคาในที่สุด
ด้านการเติบโตของผลผลิต กรณี Large Tariff คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างมากในปีนี้และปีหน้า ส่งผลต่อไปยังการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคธุรกิจ ซึ่งจะไปลดระดับผลิตภาพ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Neutral Rate สหรัฐลดลง นี่ยังไม่นับการส่งออกสหรัฐจากการขึ้น Tariff ตอบโต้จากต่างชาติ ซึ่งคาดว่าอัตราการว่างงานสหรัฐ จะเพิ่มจาก 4.2% เป็น 5%
โดยสรุปคือ กรณี Large Tariff อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นแต่ไม่เกิน 5% และจะลงมาในปีหน้าจาก Inflation Expectations ที่ยังยึดเหนี่ยวได้ดี ทว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะลดลงมากกว่า วาลเลอร์มองว่าเฟดควรลดดอกเบี้ย หรือ bad cut ก่อนกลางปีนี้
ในกรณี Small Tariff ที่คาดว่ามาตรการ Tariff จะเป็นแบบค่อนข้างเบา น่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐขึ้นสูงสุดที่ 3% และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะชะลอลงเพียงเล็กน้อยจากตรงนี้ ซึ่งนั่นทำให้เฟดสามารถอดทนรอการลดดอกเบี้ยได้ โดยคาดว่าเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยครึ่งหลังของปีนี้
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
เมื่อความไม่แน่นอนปกคลุมตลาดโลก นักลงทุนจำนวนมากเริ่มมองหา “ทางเลือกใหม่” ที่สามารถสร้างโอกาสท่ามกลางวิกฤต
ในงานสัมมนาพิเศษ “เปิดตัว Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์ ลงทุน DR หุ้นนอก” ที่จัดขึ้นโดย Definit by Finnomena เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 นายเจษฎา สุขทิศ, CFA, CEO ของ Finnomena Group ได้ร่วมพูดคุยกับ นายวศิน ปริธัญ, CFA, Managing Director ของ Definit Investment Advisory Securities และ นายเจตอาทร สองเมือง, CFA, Senior Vice President, Quantitative Department จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โดยทั้ง 3 ท่านมองภาพตรงกันว่า “เวลานี้คือจังหวะของการรีบาวด์ และเป็นโอกาสในการลงทุน”
ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญความผันผวน ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวลงถึง -25% ก่อนดีดกลับ +12% ขณะที่ตลาดไต้หวัน เวียดนาม และฮ่องกงเผชิญแรงขายหนัก แต่เริ่มฟื้นตัวหลังสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนขึ้นภาษีนำเข้า
นายเจษฎาเปรียบสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ กับทฤษฎี Chicken Game ซึ่งเป็นแนวคิดหนึ่งที่ใช้อธิบายสถานการณ์ความขัดแย้ง โดยทั้งสองฝ่ายต้องตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ระหว่าง “เผชิญหน้า” (Straight) หรือ “หลีกเลี่ยง” (Swerve) และหากไม่มีฝ่ายใดยอมถอยก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายสำหรับทั้งคู่
นายเจษฎามองว่า สุดท้ายทั้งสองฝ่ายมักหาทางประนีประนอมได้ดังเช่นในอดีต ไม่น่าจะถึงขั้นเผชิญหน้าจนเกิดความเสียหายรุนแรง สถานการณ์นี้จึงเป็นจังหวะที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศอาจต้องเผชิญกับภาษีที่สูงถึง 35% ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่หลายคนต้องพิจารณาก่อนการลงทุน
ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นต่างประเทศสามารถทำได้ผ่านผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า DR (Depositary Receipt) ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ไทยที่อ้างอิงราคาหุ้นต่างประเทศ นักลงทุนสามารถซื้อขายผ่านตลาดหุ้นไทยด้วยเงินบาท ไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศ และไม่ต้องจัดการเรื่องภาษีกำไรที่ซับซ้อน โดยยังคงได้รับสิทธิ์ปันผลเหมือนกับผู้ถือหุ้นต่างประเทศ
นายเจตอาทรอธิบายว่า “ข้อดีของ DR คือไม่ต้องนำกำไรไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ ซื้อขายบนกระดานไทย ใช้ Margin ได้ มีสิทธิรับปันผลเหมือนหุ้นไทย และลดความยุ่งยากเรื่องภาษีอย่างชัดเจน”
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเข้าใจความเสี่ยงของ DR โดยเฉพาะเรื่อง “อัตราแลกเปลี่ยน” ที่อาจส่งผลต่อราคาของ DR แม้ราคาหุ้นต่างประเทศจะปรับขึ้นก็ตาม และควรศึกษากลไกการซื้อขายให้ชัดเจน เช่น การเลือกเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยและต้นทางเปิดพร้อมกัน เพื่อความแม่นยำของราคาอ้างอิง และหลีกเลี่ยงการไล่ราคาด้วยการตรวจสอบราคาหุ้นต้นทางแบบเรียลไทม์ (ซึ่งสามารถดูผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่แปลงค่าเป็นเงินบาทแล้ว)
ผลตอบแทนรายเดือนของ Definit SET Select (DSS) ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม 2024 | Source: Definit, Bloomberg as of 31 Dec 2024
*คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีตและผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
หลังจากความสำเร็จของพอร์ต Definit SET Select (DSS) ที่สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนได้น่าพอใจแม้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยซบเซา ล่าสุดทาง Definit ได้ขยายกลยุทธ์คุณภาพนี้สู่ระดับโลกด้วย Definit Global Select (DGS) พอร์ตลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่าน DR ที่เน้นการคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ ผสมผสานการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคเข้าด้วยกัน โดยอิงการปรับประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์ทั่วโลก และโมเมนตัมของราคาหุ้น เพื่อสะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
Definit Global Select (DGS) มุ่งเน้นการสร้างโอกาสด้วยการคัดเลือกหุ้นไม่เกิน 10 ตัว กระจายในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยกำหนดน้ำหนักสูงสุดต่อหุ้นไว้ที่ 20% และหากไม่มีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ก็สามารถถือเงินสดบางส่วนไว้ในพอร์ตได้
อีกทั้งยังสะดวกสบายด้วยระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติ (Managed Portfolio) และไม่เสียภาษีกำไรจากการขาย DR เหมือนการลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรง
ในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังเผชิญความท้าทายเช่นปัจจุบัน นายเจตอาทรได้ให้มุมมองไว้ว่า
ตอนนี้ผมเชื่อว่าเป็นโอกาสในการลงทุน และเราควรกระจายการลงทุนออกไป… ส่วนตัวมองว่าหุ้นโลกมีความเสี่ยงต่ำกว่า เพราะเศรษฐกิจของเขามีขนาดใหญ่และหลากหลาย
ด้านนายเจษฎากล่าวทิ้งท้ายพร้อมกับให้กำลังใจนักลงทุนว่า
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตขึ้น เรามักรู้สึกเหมือนไม่มีทางออก แต่สุดท้ายมันก็มีทางออกทุกครั้ง…เวลาหุ้นปรับตัวลงแรง ผมมองเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
ทั้งนี้ บริการ Definit Global Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (เลขใบอนุญาต 0105565129248) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (“Finnomena”) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
สามารถลงทะเบียนเพื่อรับบริการและรับข้อมูล
Definit Global Select เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/dgs/
ข้อมูลติดต่อ: ฝ่ายสื่อสารการตลาด Finnomena
มะลิลา ใจพันธ์ โทร. 089-874-8982 Email: nim.malila@finbroadcasting.com
คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
เมื่อวันจันทร์ (21 เม.ย.) ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี และรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ ได้พบปะกันที่กรุงนิวเดลี โดยมี “ความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ” ในการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสองประเทศ
แถลงการณ์จากสำนักนายกรัฐมนตรีอินเดียระบุว่า ผู้นำทั้งสองได้หารือถึงแนวทางผลักดันข้อตกลงการค้าร่วมกันที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย และประเมินความคืบหน้าเชิงบวกในความร่วมมือด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องพลังงาน กลาโหม และเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระดับโลก พร้อมเรียกร้องให้ใช้การเจรจาและการทูตเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขความขัดแย้ง
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 เมษายน อินเดียถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าสินในอัตรา 26% ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศระงับภาษีดังกล่าวเป็นเวลา 90 วัน ในวันที่ 9 เมษายน โดยให้คงอัตราภาษีพื้นฐานไว้ที่ 10%
ในขณะเดียวกัน เจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย ได้ “สรุปข้อกำหนดเพื่อวางกรอบการเจรจาการค้าแล้ว” พร้อมยอมรับว่ายังมีความไม่สมดุลในความสัมพันธ์ทางการค้า แต่ก็ชื่นชมท่าทีของอินเดียที่เปิดกว้าง และหวังว่าจะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับแรงงาน เกษตรกร และผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศ
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โมดีและทรัมป์เคยตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ให้มากกว่าสองเท่า เป็น 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีมูลค่าการค้ากับอินเดียประมาณ 1.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และอินเดียยังคงได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยมียอดเกินดุลถึง 4.57 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว
ที่มา: https://www.cnbc.com/2025/04/22/modi-and-vance-tout-significant-progress-on-india-us-trade-deal.html
ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่าน 3 กองทุนหลัก ได้แก่
อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mr-messenger/india-apr-2025
.
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/india-mar-2025
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ทองคำสินทรัพย์ที่ดูเหมือนเป็นอมตะในโลกการลงทุน ปลอดภัยในยามวิกฤต และเป็นแหล่งเก็บมูลค่ามานานนับพันปี ว่ากันว่าถ้านึกอะไรไม่ออกให้ซื้อทองเก็บไว้ก่อน เพราะยังไงระยะยาวก็ขึ้นแน่นอน
แต่จริง ๆ แล้ว ทองคำที่เราเรียกว่า “safe haven” หรือ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ก็เคยมีช่วงที่ซบเซา ไม่ทำกำไรนานนับ 10 ปีมาแล้วเช่นกัน
บทความนี้จะพาทุกคนย้อนไปดูประวัติศาตร์ทองคำ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้น ช่วงเวลาแห่งการตื่นทอง เข้าสู่ทศวรรษที่หายไปของทองคำ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันในปี 2025 นี้ ที่ราคาทองโลกกำลังเดินหน้าสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำ All-Time Hight เกิน 20 ครั้งไปแล้ว
ติดตามราคาทองคำแบบ Real-Time ทั้งทองไทยและทองโลก บนเว็บไซต์ Finnomena ได้แล้ววันนี้ คลิกเลย https://finno.me/gold-web
มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสต์กาล โดยช่วงแรกเราใช้ทองคำในฐานะเป็นเครื่องประดับเพื่อบ่งบอกฐานะความร่ำรวย ก่อนที่ในเวลาต่อมาทองคำจะถูกนำมาสร้างเป็นเหรียญโลหะสำหรับใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นช่วงปี 1800 ที่สหราชอาณาจักรได้เริ่มผูกค่าของเงินปอนด์สเตอร์ลิงไว้กับปริมาณทองคำ เกิดเป็นระบบมาตรฐานทองคำ Gold Standard ที่เงินตราทั่วโลกผูกติดกับทองคำ ทำให้ทองคำเลยกลายเป็น backbone ของระบบการเงินมานับตั้งแต่วันนั้น
เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เหมืองทองคำถูกค้นพบจำนวนมากทั้งในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของยุคตื่นทองอย่างแท้จริง
Gold Standard ยกระดับทองคำจากที่เคยเป็นสิ่งบ่งบอกฐานะความร่ำรวยของผู้คน กลายมาเป็นตัวชี้วัดความมั่งคั่งของประเทศชาติ ยุครุ่งเรืองนี้ลากยาวมาเกือบศตวรรษ แม้ในปี 1971 ‘ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกซัน’ จะประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ ถือเป็นจุดสิ้นสุด ของ Gold Standard
ทว่าราคาทองคำก็ยังคงพีคไปอีกเป็น 10 ปี จากวิกฤตน้ำมัน บวกกับเกิดการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ในประเทศอิหร่าน และสหภาพโซเวียตประกาศบุกอัฟกานิสถาน ในปี 1979 ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงไปทั่วโลก ผู้คนย้ายเงินไปไว้ในทองคำอย่างมโหฬาร จนดูเหมือนว่าทองคำจะขึ้นตลอดไป ไม่มีอะไรจะหยุดพี่เขาได้
ระหว่างช่วงปี 1969-1980 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,500% ในระยะเวลา 122 เดือน
แต่หลังจากความรุ่งเรืองครั้งนั้น ทองคำกลับเข้าสู่ยุคมืดครั้งแรกที่ยาวนานเกือบ 20 ปี ซึ่งหลายคนอาจจะลืมเลือนไปแล้ว ว่าแม้แต่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ก็มีวันที่เงียบเหงาได้เหมือนกัน
ช่วงปี 1980-2000 คือ Lost Decade ครั้งแรกของทองคำ จากจุดพีคที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ตกลงมาเหลือไม่ถึง 500 ดอลลาร์ มูลค่าหายไปกว่า 70% ในระยะเวลา 20 ปี
การซึมยาวของทองคำตอนเกิดขึ้นในยุคของประธาน Fed ‘Paul Volcker’ ซึ่งทำในสิ่งที่ท้าทาย ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด เพื่อหยุดเงินเฟ้อจากวิกฤตราคาน้ำมันดิบ ด้วยการใช้ยาแรงขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปสูงถึง 20% แต่นั่นทำให้เศรษฐกิจสหรัฐกลับมามีเสถียรภาพยิ่งขึ้น และเป็นยุคที่คนหันไป Bull ตลาดหุ้น สวนทางกับทองคำที่เป็น Sideway ตลอดทาง
ประกอบกับตอนนั้นโลกค้นพบแหล่งทองคำใหม่ ๆ ในทวีปอเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย ราคาทองคำจึงเริ่มตกลงมาเรื่อย ๆ
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดในช่วงปลายยุค 90 ดันเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง รุกลามทั่วเอเชีย IMF ต้องการใช้เงินจำนวนมากเพื่อไปแก้ปัญหาหนี้สินของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จึงเทขายทองคำออกมาจำนวนมาก และมีธนาคารกลางของหลายประเทศทยอยขายทองคำตาม เช่น สวิตเซอร์แลนด์ขายออกมา 1,400 ตัน อังกฤษ ขาย 400 ตัน ทำให้เวลานั้นราคาทองคำด่ำดิ่งสุด ๆ
เดือนสิงหาคม 1999 ราคาทองลงมาเหลือ 250 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี
ขาขึ้นสั้น ๆ ของทองคำกลับมาอีกครั้งในปี 2001 จากเหตุการณ์ 9/11 ในสหรัฐอเมริกา และจากนั้นในปี 2004 ก็มีการก่อตั้ง SPDR Gold Trust กองทุนทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จนมาถึงปี 2011 ราคาทองคำในตลาดโลกก็ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดแตะ 1,900 ดอลลาร์ เนื่องจากการเกิดวิกฤตหนี้ยุโรป โดยเฉพาะกรีซที่เกือบล้มละลาย นักลงทุนกลัวว่าเงินยูโรจะพัง บวกกับ Fed อัดฉีดเงินผ่านการทำ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้ความต้องการทองคำพุ่งขึ้น และกลายเป็นหลุมหลบภัยจากความเสี่ยงของระบบการเงินและความกลัวเงินเฟ้อที่อาจตามมาจากการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาล
แต่แล้วในปี 2013 ทุกอย่างพลิกผัน Fed ส่งสัญญาณว่าจะลดการอัดฉีดเงินเข้าระบบ นักลงทุนแตกตื่น เทขายทองคำกันยกใหญ่ ตลอดทั้งปี 2013 ราคาทองคำโลกติดลบ 28% หนักสุดในประวัติศาสตร์ พูดว่าเป็นฟองสบู่แตกของทองคำก็คงไม่ผิดนัก
ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจน นักลงทุนเห็นทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น สิ่งนี้ยิ่งลดความน่าสนใจของทองคำลงไปอีก บวกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงนั้น ทำให้เราจะเห็นว่าเมื่อมองยาว ๆ
ตั้งแต่ปี 2013-2019 ราคาทองคำไม่ได้ไปไหนไกลเลย แกว่งตัวอยู่แถว ๆ 1,200-1,600 ดอลลาร์ ถือเป็นอีกหน้าหนาวที่ยาวนานของคนถือทองคำ
และแล้วในปี 2020 วัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่ของทองคำก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อโลกรู้จักกับ COVID ส่งผลให้ตลาดการเงินปั่นป่วน นักลงทุนตื่นตระหนกเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
กลางปี 2020 ราคาทองคำพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วทะลุ 2,000 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อลงตอนปลายปี 2022 และคืนฟอร์มพุ่งเป็นจรวดอีกครั้งจนมาถึงวันนี้ที่เกิน 3,000 ดอลลาร์ไปแล้ว ส่วนราคาทองคำแท่งในไทยขึ้นสู่ 50,000 บาทแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สุดท้ายนี้ จะเห็นว่าทองคำมีวัฏจักรของมัน ขึ้นบ้าง ลงบ้าง ซึมบ้าง สลับกันไป และไม่ใช่สินทรัพย์ที่เป็นอมตะแบบที่หลาย ๆ คนคิด ประวัติศาสต์ที่ผ่านมาบอกเราว่าทองคำมีทั้งยุคตื่นทองและยุคมืด
หากบังเอิญเข้าซื้อผิดจังหวะเวลา ก็อาจเจอกับช่วงปรับฐานยาวนานร่วม 10 ปีเหมือนกัน ใช่ว่าซื้อแล้วถือยาวจะกำไรเสมอไป
เมื่อคืนวันที่ 21 เมษายน 2025 ดัชนี S&P500 และ NASDAQ 100 ปรับตัวลงแรงกว่า -2.36% และ -2.46% ตามลำดับ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมากดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว พร้อมทั้งขู่เมื่อวันที่ 17 เมษายนว่า อาจสั่งปลดประธานเฟดได้หากต้องการ แรงกดดันดังกล่าวสร้างความกังวลต่อนักลงทุนถึงความเสี่ยงการแทรกแซงความเป็นอิสระของเฟด นำไปสู่แรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างหนัก นำโดย Tesla (-5.75%), Nvidia (-4.51%), Meta (-3.35%), Amazon (-3.06%), Microsoft (-2.35%) และ Google (-2.31%)
นอกจากนี้ เมื่อวานนี้ (21 เมษายน 2025) กระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ประกาศว่าจะตอบโต้ประเทศใดก็ตามที่ร่วมมือกับสหรัฐฯในลักษณะที่กระทบต่อผลประโยชน์ของจีน แม้ยืนยันว่าจีนยังพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อปกป้องความเป็นธรรมในเวทีนานาชาติ
Finnomena Funds มองว่าการร่วงลงของตลาดหุ้นเมื่อคืนนี้ สะท้อนความกังวลต่อความพยายามแทรกแซงนโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังทรัมป์ขู่ว่าจะปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ชุดแรก แม้เคยมีการขู่ในลักษณะนี้เช่นกัน แต่ไม่สามารถปลดได้ เนื่องจากธนาคารกลางต้องดำรงความเป็นอิสระจากรัฐบาลตามกฎหมาย ซึ่งครั้งนี้ก็คาดว่าผลลัพธ์จะไม่แตกต่างกัน ด้านการเจรจาการค้า เริ่มมีการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับหลายประเทศแล้ว หลังจากสหรัฐฯได้ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษี 90 วัน
ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้ในรายงานฉบับก่อนว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์มีเป้าหมายเพื่อการ “เจรจา (make deal)” มากกว่าการจะต้องการเก็บภาษีในระดับสูงสุดตามที่เคยประกาศไว้ในวันที่ 2 เมษายน เราเริ่มเห็นแรงต้านจากสังคมในสาธารณะต่อนโยบายการค้าของทรัมป์ ทั้งจากคะแนนนิยมของทรัมป์ที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง จนไปถึงความขัดแย้งที่เริ่มเกิดขึ้นภายในระหว่างผู้สนับสนุนและทีมงานของทรัมป์เอง
อย่างไรก็ตามแม้สหรัฐฯ กับจีนยังคงระดับภาษีตอบโต้ในระดับสูง ซึ่งไม่ยั่งยืนและจะสร้างอันตรายทางเศรษฐกิจกับทุกฝ่าย เราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายจะนำไปสู่การเจรจา เช่นเดียวกับทิศทางที่มีการเลื่อนการขึ้นภาษีกับประเทศอื่น ๆ
เราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “เข้าลงทุน” ในสินทรัพย์เสี่ยงได้ หลังจากที่เราแนะนำ Wait and See เพื่อเตรียมลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2025
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Finnomena Funds ปรับโหมดกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ข่าวร้ายที่สุดผ่านเราไปแล้ว หลัง Trump เลื่อนการขึ้นภาษีไป 90 วัน พร้อมหันมาเจรจา Make Deal ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
แม้ว่าตอนนี้ตลาดการลงทุนทั่วโลกจะยังอยู่ภาวะของความไม่แน่นอนจากความกังวลกำแพงภาษี Reciprocal Tariffs แต่บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาก หลังล่าสุด (9 เมษายน 2025) Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าลงมาอยู่ที่ 10% และเลื่อนการเก็บภาษีตอบโต้ส่วนเพิ่มออกไปเป็นระยะเวลา 90 วัน ยกเว้นแคนาดา เม็กซิโก และจีน
จริงอยู่ที่สหรัฐฯ และจีน ยังคงตอบโต้ประเด็นทางการค้าอย่างเข้มข้น แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้วทั้ง 2 ฝ่ายจะนำไปสู่การเจรจา เช่นเดียวกับทิศทางที่มีการเลื่อนขึ้นภาษีกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เพราะเป้าหมายของ Trump นั้นต้องการเจรจาผลประโยชน์มากกว่าต้องการเก็บภาษีในระดับสูงสุด
นอกจากนี้ เราเริ่มเห็นแรงต้านจากสังคมในสาธารณะต่อนโยบายการค้าของ Trump ทั้งคะแนนนิยมที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 จนไปถึงความขัดแย้งที่เริ่มเกิดขึ้นภายในระหว่างผู้สนับสนุนและทีมงานของรัฐบาลเอง
มุมมอง Finnomena Funds คาดว่ามีโอกาสสูงที่สถานการณ์จะคลายความตึงเครียดลงเรื่อย ๆ โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “เข้าลงทุน” ในสินทรัพย์เสี่ยงได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม China + 1 ซึ่งยังได้อานิสงส์จากการขึ้นภาษีศุลกากร ผ่านกองทุนที่คัดเลือกมาแล้วว่ามีโอกาสฟื้นตัว หลังตลาดหุ้นปรับฐานแรงในช่วงที่ผ่านมา
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) TISCOAI (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้น AI และ Big Data โดยลงทุนครอบคลุมธีม AI กลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งจะมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต จากการที่โลกพัฒนาเข้าสู่ยุค Agentic AI รวมทั้งเป็นจังหวะเข้าเก็บสะสมในช่วงเวลาที่ Valuation กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
2.) DAOL-KOREAEQ (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ โดดเด่นด้วย Valuation ที่ไม่แพง แต่เริ่มมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้น อัพไซด์สูงพร้อมรับโอกาสการเติบโตจากการเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำชั้นนำของโลก ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากกระแส AI รายถัดไป
3.) MEGA10CHINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นจีนขนาดใหญ่ 10 ตัว ได้รับประโยชน์จากกระแส AI Boom ในจีน และยังมีแรงหนุนให้สร้างโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวลดลงมาจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจเข้าซื้อ
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนาม เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน หลังเจอแรงขายที่มากผิดปกติจากประเด็น Tarriff ทำให้ระดับราคาปัจจุบันอยู่ในจุดที่น่าเข้าเก็งกำไรระยะสั้น หรือถัวเฉลี่ยสะสมในระยะยาว
2.) B-BHARATA และ TISCOINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นอินเดียเติบโตแกร่ง โดยมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจประเทศอินเดียที่ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว และเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนในปีนี้ อีกทั้งยังเป็นตลาดหุ้นที่โดดเด่นทั้ง Fund Flow และ Technical
3.) ABGFIX-A และ SCBFST (ความเสี่ยงระดับ 4)
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ ถือเป็นจังหวะเก็งกำไรค่าเงิน USD/THB ที่มีแนวโน้มยืนแข็งค่าเหนือระดับ 34 บาท ได้ในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า พร้อมรับผลตอบแทนจาก Yield ที่เด้งขึ้นมา
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical
1.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี พร้อมด้วย Sentiment จากการปรับโครงสร้างระบบราชการ ลดจำนวนบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ เวียดนามยังมีปัจจัยหนุนในการเตรียมเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปีนี้
2.) B-BHARATA และ TISCOINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นอินเดียเติบโตแกร่ง เป็นตลาดหุ้นที่สามารถเก็บสะสมได้ในระยะยาว หนุนโดยโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูง และประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น
3.) B-INNOTECH (ความเสี่ยงระดับ 7)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี เน้นคัดเลือกหุ้น Value Play โดยเข้าซื้อหุ้นเติบโตในจังหวะที่ราคาไม่แพง ทำให้กองทุนมีความผันผวนที่ต่ำกว่ากองทุนหุ้น Growth อื่น ๆ
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
หลายคนคุ้นเคยกับ “ตราสารหนี้” ในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เหมาะกับการถือครองในช่วงตลาดหุ้นผันผวน โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่มักถูกมองว่าเป็นแหล่งพักเงิน และเป็นหัวใจสำคัญของการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “Bond Shock” กลับถูกพูดถึงมากขึ้น สะท้อนสถานการณ์ที่ขัดแย้งกับความคาดหวัง เพราะสินทรัพย์ที่ควรจะช่วยลดความเสี่ยง กลับกลายเป็นต้นเหตุของแรงสั่นสะเทือนในตลาดทุน สถาบันการเงิน และเศรษฐกิจโดยรวม
แม้ตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ แต่ราคาซื้อขายในตลาดสามารถผันผวนได้ตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้นักลงทุนบางรายเผชิญกับ “Bond Shock” โดยไม่ทันตั้งตัว
Bond Shock คือ ภาวะที่ราคาของตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงภายในช่วงเวลาสั้น ๆ มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เช่น ธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาด ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) พุ่งสูง ส่งผลให้ราคาพันธบัตรที่ออกไว้ก่อนหน้านั้นร่วงทันที
แม้ตราสารหนี้จะถือเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” สำหรับการกระจายความเสี่ยง แต่เมื่อเผชิญ Bond Shock ขึ้นมา มันกลับกลายเป็นแหล่งต้นตอของความผันผวน โดยมี 4 สาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลัง ดังนี้
เมื่อธนาคารกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างเฟด (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วหรือแรงเกินความคาดหมาย พันธบัตรที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่ากลายเป็นสินทรัพย์ที่ไม่จูงใจอีกต่อไป นักลงทุนจึงเทขายเพื่อนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า ส่งผลให้ราคาพันธบัตรเดิมร่วงลงอย่างรวดเร็ว
แม้ธนาคารกลางจะพยายามควบคุมเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ย แต่หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง นักลงทุนจะตั้งคำถามว่า “การถือพันธบัตรยังคุ้มค่าไหม?” เพราะแม้จะได้รับดอกเบี้ย หากอำนาจซื้อของเงินลดลง รายได้จากพันธบัตรก็อาจไม่เพียงพอที่จะรักษามูลค่าเงินต้นไว้ได้
เมื่อธนาคารกลางลดขนาดงบดุลหรือดูดสภาพคล่องออกจากระบบ เช่น การหยุดมาตรการ QE หรือเริ่ม QT (Quantitative Tightening) ส่งผลให้เม็ดเงินในระบบลดลง นักลงทุนมีสภาพคล่องน้อยลง และอาจต้องขายสินทรัพย์บางอย่างเพื่อใช้เงิน พันธบัตรจึงกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ถูกขายทิ้ง แม้ราคาจะไม่เหมาะก็ตาม ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อราคาอย่างต่อเนื่อง
แรงขายจำนวนมากมักไม่ได้มาจากนักลงทุนรายย่อย แต่เกิดจากกองทุนหรือสถาบันขนาดใหญ่ เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง–ยาว ที่ต้องเผชิญกับแรงไถ่ถอน (Outflow) อย่างหนัก หากผู้ลงทุนแห่ถอนเงินพร้อมกัน กองทุนจำเป็นต้องขายพันธบัตรออกมาเพื่อจ่ายคืน แม้จะอยู่ในภาวะที่ราคายังต่ำก็ และเมื่อการขายกระจายออกไปในวงกว้าง ก็จะยิ่งซ้ำเติมตลาดให้ราคาตกลงอย่างรุนแรง กลายเป็น Bond Shock แบบโดมิโนในที่สุด
ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้เคยเผชิญภาวะ “Bond Shock” มาแล้วหลายครั้ง แต่ละเหตุการณ์ล้วนมีปัจจัยกระตุ้นเฉพาะตัว และทิ้งบทเรียนสำคัญไว้ให้กับนักลงทุนรุ่นหลัง
Bond Yield สหรัฐฯ พุ่งแรงช่วงปี 1994 | Source: Investing.com
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวจากภาวะถดถอย โดยในช่วงปี 1993 เศรษฐกิจมีสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง และมีความกังวลว่าแรงกดดันเงินเฟ้ออาจกลับมาอีกครั้ง
Fed ภายใต้การนำของประธาน อลัน กรีนสแปน (Alan Greenspan) จึงตัดสินใจ “ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว” จากระดับต่ำสุดในรอบหลายปี โดยในช่วงเวลาเพียง 12 เดือน Fed ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 3% เป็น 6%
แม้จะเป็นการดำเนินนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่ตลาดกลับไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าอย่างเพียงพอ การขึ้นดอกเบี้ยที่รวดเร็วและต่อเนื่องสร้างความตื่นตระหนกในตลาดพันธบัตร นักลงทุนจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังทรงตัวหรือขึ้นช้า ๆ จึงเผชิญกับการขาดทุนอย่างรุนแรงจากราคาตราสารหนี้ที่ร่วงลงต่อเนื่อง
ผลกระทบขยายตัวไปในระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่ใช้ Leverage หรือลงทุนผ่านตราสารอนุพันธ์ในตลาดอัตราดอกเบี้ย เช่น ธนาคารญี่ปุ่น สถาบันการเงินในยุโรป และกองทุนเก็งกำไรหลายแห่ง ซึ่งต้องเผชิญภาวะ “Margin Call” และบังคับขายพันธบัตรจำนวนมาก
ตลาดพันธบัตรทั่วโลกในเวลานั้นสูญเสียมูลค่ารวมกันกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ และเหตุการณ์นี้ถูกเรียกขานในเวลาต่อมาว่า “Great Bond Massacre” ซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดพลาดด้านการประเมินทิศทางนโยบายการเงินที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุน
เหตุการณ์ค่อย ๆ คลี่คลายเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุล และ Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีถัดมา แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกับบทเรียนว่า การประเมินผลกระทบของนโยบายการเงินต่ำไป อาจทำให้สินทรัพย์ปลอดภัย กลายเป็นบ่อเกิดของความผันผวนได้เช่นกัน
Bond Yield ช่วง 2008 – 2015 | Source: Investopedia
หลังวิกฤตการเงินปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หรือ QE (Quantitative Easing) อย่างเต็มที่ โดยอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคเอกชน เพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดต้นทุนทางการเงินให้ต่ำเป็นพิเศษ
ในช่วงต้นปี 2013 เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และ Fed เริ่มพิจารณาว่าควรเริ่มลดขนาดของ QE หรือไม่ โดยในเดือนพฤษภาคม 2013 เบน เบอร์นันเก (Ben Bernanke) ประธาน Fed ในขณะนั้น กล่าวเพียงว่า “Fed อาจเริ่มลดขนาด QE ภายในสิ้นปี หากเศรษฐกิจดำเนินไปตามที่คาด”
แม้จะยังไม่มีการปรับนโยบายใด ๆ อย่างเป็นทางการ แต่นักลงทุนในตลาดกลับตอบสนองด้วยความตกใจ โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตร ซึ่งเคยได้ประโยชน์จากการที่ Fed เป็นผู้ซื้อรายใหญ่
Yield พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นจาก 1.6% เป็นเกือบ 3% ภายในเวลาไม่กี่เดือน ขณะที่ราคาตราสารหนี้ในหลายประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ ร่วงลงอย่างรุนแรง
ผลกระทบที่ตามมา คือเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดเกิดใหม่อย่างรวดเร็ว ค่าเงินในประเทศอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล อ่อนค่าหนัก ภาครัฐต้องเร่งปรับนโยบายรับมือ พร้อมกับสูญเสียเสถียรภาพทางการเงินในระยะสั้น
Bond Yield หลังจาก Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย | Source: Futubull, Federal Reserve, Bloomberg
ภายหลังการระบาดของ COVID-19 โลกอยู่ในช่วงดอกเบี้ยต่ำและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งด้านการเงินและการคลัง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ตามมาคืออัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี
Fed จึงจำเป็นต้อง “เร่งขึ้นดอกเบี้ย” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยปรับขึ้นจาก 0.25% ไปแตะระดับกว่า 5% ภายในเวลาเพียง 12 เดือนในปี 2022
ผลลัพธ์คือราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลงอย่างรุนแรง แม้จะเป็นตราสารที่มีความมั่นคงสูงและได้รับการจัดอันดับเครดิตสูงสุด นักลงทุนที่ถือพันธบัตรเหล่านี้จึงเผชิญผลขาดทุนทางบัญชี (Mark-to-Market) ในระดับที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ผลกระทบไม่ได้หยุดเพียงในระดับนักลงทุนรายย่อยหรือกองทุน แต่ลุกลามไปถึง “ระบบธนาคาร” โดยเฉพาะกรณีของ Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งมีการถือพันธบัตรระยะยาวจำนวนมาก และไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากดอกเบี้ย เมื่อราคาตราสารเหล่านั้นลดลง และลูกค้าถอนเงินพร้อมกัน จึงขาดสภาพคล่องและนำไปสู่การล้มละลายในที่สุด
การเกิด Bond Shock ไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์ธรรมดาในตลาดการเงิน แต่คือการ “สั่นคลอนความเชื่อมั่น” ของนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตราสารหนี้ซึ่งควรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความผันผวนครั้งใหญ่
หนึ่งในสัญญาณที่สะท้อน Bond Shock ได้อย่างชัดเจนคือ “ราคาพันธบัตรที่ร่วงลงอย่างรวดเร็ว” การที่นักลงทุนเทขายพันธบัตรจำนวนมาก อาจสะท้อนถึงความไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ หรือในอีกมุมหนึ่ง อาจเป็นความกังวลว่ารัฐบาลจะกู้เงินมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยงทางการคลัง (Fiscal Risk) นักลงทุนจึงเริ่มลดการถือครองหนี้รัฐบาล ซึ่งนำไปสู่การปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ที่พุ่งขึ้นรวดเร็ว
ทั้งนี้ ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่ในตลาดพันธบัตร เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดพุ่งสูงขึ้น บริษัทเอกชนและประชาชนทั่วไปที่ต้องการกู้ยืมเงินก็ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย การซื้อบ้าน การผ่อนรถ หรือแม้แต่การลงทุนในธุรกิจ กลายเป็นเรื่องที่ “แพงขึ้น” อย่างฉับพลัน ผลลัพธ์คือเศรษฐกิจจริงอาจชะลอตัวลงจากแรงกระแทกนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ตลาดหุ้นเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ เพราะเมื่อต้นทุนเงินเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจก็ถูกตั้งคำถามทันที ดอกเบี้ยที่สูงหมายถึงนักลงทุนจะต้องใช้ “ดิสเคานต์เรต” ที่สูงขึ้นในการประเมินมูลค่าหุ้น ซึ่งทำให้ราคาหุ้นดูแพงขึ้นทันทีเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ส่งผลให้ตลาดหุ้นตกลงตามมาด้วยแรงเทขายจากนักลงทุนทั่วโลก
สงครามการค้า (Trade War) คือระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ ที่อาจจุดชนวนให้เกิด Bond Shock ได้รุนแรงยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ สงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน หากต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้นจากภาษี เงินเฟ้อก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตาม นักลงทุนจึงเริ่มคาดการณ์ว่า Fed อาจจำเป็นต้องคงดอกเบี้ยในอัตราที่สูงและนานกว่าที่เคย และเมื่อความคาดหวังเปลี่ยน ตลาดพันธบัตรก็ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ราคาพันธบัตรร่วงและ Yield พุ่งขึ้นในทันที
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ตลาดไม่อาจมองข้ามได้ นั่นคือการที่จีนเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ หากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศลุกลาม จีนอาจลดการซื้อพันธบัตร หรือถึงขั้นขายออก ซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะอุปสงค์ลดลงทันที ราคาพันธบัตรจะปรับตัวลง และ Bond Yield พุ่งขึ้นอีกครั้ง
และในภาพรวมของตลาดโลก ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้นจากกระแสความกังวล และการไหลของเงินทุนกลับเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยในสหรัฐฯ จะยิ่งซ้ำเติมตลาดเกิดใหม่ ทุนไหลออกจากตลาดเหล่านี้ ทำให้เกิดความปั่นป่วนในระบบการเงิน และนักลงทุนบางกลุ่มอาจตัดสินใจลดความเสี่ยงด้วยการขายตราสารหนี้ทิ้งอีกระลอก
อ้างอิง: Tradingview, ม้าเฉียว ดูหุ้น The Future, Reuters, Investopedia
การเจรจาระหว่างทีมไทยแลนด์ นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางปลดล็อกมาตรการภาษีตอบโต้ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ส่อแววเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เคยระบุไว้ว่า จะเกิดขึ้นในวันที่ 23 เมษายน 2568
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันวันและเวลาที่แน่นอนจากฝ่ายสหรัฐฯ ทำให้การเจรจาต้องเลื่อนออกไปก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะได้เดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อโรดโชว์และรวบรวมข้อมูลนักลงทุนสำหรับใช้ในการเจรจาแล้วก็ตาม โดยขณะนี้ยังต้องรอการตอบรับและกำหนดวันจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ก่อน
นายพิชัยกล่าวว่า “นโยบายทรัมป์ 2.0 เป็นสิ่งที่น่ากังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในช่วงไตรมาสสองนี้ แม้ว่าในไตรมาสแรกการส่งออกของไทยจะยังคงขยายตัวได้ดี โดยในเดือนมกราคมขยายตัว 13.6% และเดือนกุมภาพันธ์ขยายตัว 14% ซึ่งในวันที่ 24 เมษายนนี้ กระทรวงพาณิชย์จะแถลงตัวเลขเดือนมีนาคม ยืนยันว่าการส่งออกยังคงขยายตัวได้เกิน 10% แน่นอน”
จีนออกมาเตือนว่า จะไม่ยอมรับข้อตกลงใด ๆ ที่อเมริกาทำกับชาติอื่น ๆ แล้วส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของจีน หลังจากมีรายงานว่า สหรัฐฯ กำลังวางแผนที่จะกดดันประเทศต่าง ๆ ให้จำกัดการค้ากับจีน เพื่อแลกกับการที่ประเทศเหล่านั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากอเมริกา
โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว จีนจะตอบโต้กลับอย่างเด็ดขาด และยืนยันว่าจีนมีความตั้งใจและศักยภาพเพียงพอที่จะปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง โดยโฆษกเน้นย้ำว่า การยอมอ่อนข้อไม่ได้นำมาซึ่งสันติภาพ การประนีประนอมไม่ได้ทำให้เกิดความเคารพ และการพยายามเอาผลประโยชน์ของชาติอื่นมาแลกกับการยกเว้นภาษีนั้นไม่มีทางสำเร็จ และท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย
จีนยังแสดงความเคารพต่อทุกประเทศที่ต้องการแก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ ผ่านการเจรจาอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยืนอยู่ข้างความถูกต้องและยุติธรรม สนับสนุนหลักการทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงระบบการค้าพหุภาคี
ที่มา: https://english.news.cn/20250421/d9dce5a1110f4d9799f64bb4dc0332cc/c.html
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา กำลังอยู่ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากทิศทางนโยบายการเงินของ Fed และความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้ากับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะกับจีน ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังค่อนข้างพอไปได้จากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนของภาคธุรกิจ แต่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวในบางกลุ่ม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เคยเป็นกลุ่มผู้นำตลาด กำลังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวของต้นทุนทางการเงิน ความอิ่มตัวของมูลค่า และการปรับมุมมองจากนักลงทุนสถาบัน ทำให้การเข้าลงทุนในกลุ่ม Tech สหรัฐฯ ณ จุดนี้มีความเสี่ยงต่อการย่อตัวระยะสั้นมากกว่าในช่วงนี้
ในฝั่งของจีนเอง ก็อยู่ในระหว่างการพยายามฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัวผ่านนโยบายกระตุ้นของภาครัฐ ทั้งด้านการคลัง การเงิน และการสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนยังไม่ฟื้นกลับเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีจีนซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งแรงกดดันจากต่างประเทศ และความไม่แน่นอนทางกฎระเบียบในประเทศ แม้จะมีแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ แต่ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างยังคงอยู่ ทั้งในแง่ของการบริหารความโปร่งใส ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมเอง ซึ่งทำให้การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีจีนยังไม่เหมาะสมในช่วงเวลานี้
ดังนั้น ในช่วงระยะเวลานี้ จึงควรที่จะชะลอการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั้งในสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากความเสี่ยงด้านมูลค่าที่ค่อนข้างที่จะตึงตัว ปัจจัยลบด้านนโยบาย และแนวโน้มการปรับประมาณการรายได้จากนักวิเคราะห์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการเติบโตสูงในอดีต ดังนั้นกลยุทธ์ที่เน้นการรักษาเงินต้น และการปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโลก ณ ปัจจุบันนี้ จะเป็นแนวทางสำคัญในช่วงไตรมาสที่มีความไม่แน่นอนสูงนี้
สัดส่วนน้ำหนักการลงทุนพอร์ต OMO โดย BottomLiner ณ วันที่ 21 เมษายน 2025
Optimal Megatrend Opportunities Portfolio กลยุทธ์การลงทุนที่ผสมผสาน การเลือก Megatrend และแบ่งน้ำหนักการลงทุนด้วย Risk Budgeting มาช่วยในการจัดพอร์ตการลงทุน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/guruport-omo
บทความโดย BottomLiner สำหรับพอร์ต Optimal Megatrend Opportunities (OMO) ที่ Finnomena Funds เท่านั้น ข้อมูล ณ วันที่ 21 เมษายน 2025
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทําให้ผู้ลงทุน ขาดทุนหรือได้รับกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | บางกองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
แหล่งข่าวจาก Bloomberg รายงานว่า Apple หันมาให้ความสำคัญกับห่วงโซ่อุปทานการผลิต iPhone ในประเทศอินเดียมากยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการเร่งย้ายฐานผลิตออกจากประเทศจีน สำหรับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา
โดยการเปิดเผยข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2025 พบว่ายอดการประกอบ iPhone ในอินเดีย มีมูลค่าสูงถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 60% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% หรือ 1 ใน 5 ของการผลิต iPhone ทั่วโลก (ตัวเลขประเมินมูลค่าหน้าโรงงาน ไม่ใช่ราคาขายปลีกที่บวกกำไรแล้ว)
การย้ายฐานผลิตบางส่วนไปยังอินเดีย เริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์โควิดในจีน ทำให้ Apple จำเป็นต้องหันไปใช้โรงงาน Foxconn Technology Group ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย เป็นศูนย์กลางการประกอบ iPhone แห่งใหม่ และเกิดการเร่งย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอินเดียมากขึ้น เมื่อ Donald Trump ประกาศแผนภาษีตอบโต้ ‘Reciprocal Tariffs’ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่มุ่งเน้นเป้าหมายหลักคือจีน
อย่างไรก็ตาม จีนยังถือเป็นฐานการผลิตที่มีความสำคัญต่อ Apple ด้วยซัพพลายเออร์เกือบ 200 ราย และบริษัทยังคงพึ่งพาการผลิต iPhone จากโรงงานจีนเป็นหลักกว่า 80-90%
Tim Cook ซีอีโอของ Apple เคยให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Intelligence ในปี 2022 ว่าเราต้องใช้เวลาถึง 8 ปี เพื่อย้ายเพียง 10% ของกำลังการผลิตของ Apple ออกจากจีน
อีกทั้งในเดือนมีนาคม 2024 ตอนเยือนเซี่ยงไฮ้ เขายังกล่าวชื่นชมทักษะระดับสูงของคนจีน พร้อมบอกว่าไม่มีซัพพลายเชนใดในโลกที่สำคัญต่อ Apple มากไปกว่าจีนแล้ว แถมโรงงานจีนก็ยังมีความทันสมัยมาก
ถึงอย่างนั้น การกระจายฐานการผลิตออกไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย และเวียดนาม ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนเพียงประเทศเดียว ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในด้านสงครามการเมือง
Source: Bloomberg, China Daily HK
มีเงิน 1,000,000 บาท ฝากไว้ที่ไหนดี? การออมเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเลือกที่ฝากเงินก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะส่งผลต่อผลตอบแทนที่เราจะได้รับในอนาคตด้วย ในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไปค่อนข้างต่ำเช่นนี้ การหาบัญชีเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยสูงจึงเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ
วันนี้เราจึงมัดรวม “บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง” มาฝากกัน แนะนำพร้อมเปรียบเทียบให้ดูกันแบบชัด ๆ ว่าแต่ละที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่าไร มีเงื่อนไขการฝากอย่างไรบ้าง มาดูไปพร้อมกันได้เลย!
จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 2.00% ต่อปี สำหรับการฝากเงินในเดือน 19-24 และยอดเงินฝากไม่เกิน 5,000,000 บาท
จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท
จ่ายดอกเบี้ย 1.60% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากมากกว่า 200,000 – 2,000,000 บาท
จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 1.55% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากส่วนที่ไม่เกิน 1,000,000 บาท
จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 1.50% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากส่วนที่ไม่เกิน 2,000,000 บาท
จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 1.50% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากส่วนที่ไม่เกิน 2,000,000 บาท
จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 1.50% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากส่วนที่ไม่เกิน 1,000,000 บาท
จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 1.50% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากส่วนที่ไม่เกิน 2,000,000 บาท (ดอกเบี้ยปกติ 1.00% และดอกเบี้ยโบนัส 0.50% เมื่อมียอดเงินฝากเฉลี่ยของเดือนปัจจุบันมากกว่า/เท่ากับยอดเงินฝากเฉลี่ยของเดือนที่แล้ว)
จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 1.50% ต่อปี สำหรับยอดเงินฝากส่วนที่ไม่เกิน 2,000,000 บาท
หมายเหตุ: อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่แต่ละธนาคารประกาศกำหนด ข้อมูลจากเว็บไซต์ของแต่ละธนาคาร ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2567
อยากออมเงินให้คุ้ม มาฝากเงินไว้กับ ‘FIN SAVE by KKP’ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่จะเชื่อมต่อโลกการลงทุนในที่เดียวบนแอปพลิเคชัน Finnomena ช่วยคุณจัดการชีวิตการเงินให้ง่ายขึ้น แยกบัญชีเงินลงทุนออกจากบัญชีใช้จ่ายประจำวันชัดเจน พร้อมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี* ระหว่างพักเงินรอลงทุน สะดวก ปลอดภัย มั่นใจได้ ดูแลเงินฝากของคุณโดยธนาคารเกียรตินาคินภัทร
*อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกำหนด (อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี สำหรับยอดฝากส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท)
หากคุณกำลังมองหาบัญชีเงินฝากที่จะทำให้ชีวิตการเงินของคุณสะดวกขึ้น จัดการทั้งเงินฝากและเงินลงทุนได้ครบจบในที่เดียว บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คือคำตอบ! ดาวน์โหลดแอปฯ Finnomena และเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP ได้เลย
หากพบปัญหาเกี่ยวกับการเปิดบัญชีไม่สำเร็จหรือบริการทางบัญชีเพิ่มเติม โปรดติดต่อ KKP Contact Center โทร 02-165-5555 กด 5 ต่อจากนั้น กด 1 เวลา 07.00-20.00 ของทุกวัน
หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Finnomena Application โปรดติดต่อ 02-026-5100 เวลา 09.00 – 17:00 ทุกวันทำการ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
คำเตือน:
วงเงินฝาก | อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี) |
ไม่เกิน 500,000 บาท (A) | 0.40% |
ส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท (B) | 1.60% |
ส่วนที่เกิน 2,000,000 (C) | 0.40% |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย (A) = 0.40%, (B) = 0.40%-1.30%, (C) 0.40%-1.30%
กรณีที่ 1: ฝากเงิน 1,500,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
กรณีที่ 2: ฝากเงิน 3,000,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีหลักการที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายแต่ละบุคคล การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนไปเรื่อย ๆ ตามกระแสหรือข่าวลือที่ได้รับมา เปรียบเสมือนการขับรถโดยไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศนำทาง อาจทำให้หลงทางและไม่สามารถควบคุมทิศทางการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมาคือพอร์ตการลงทุนยากที่จะแก้ไขในระยะยาว บทความนี้จึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “FVMR Framework” โมเดลการลงทุนที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์สินทรัพย์รอบด้าน เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืน
“FVMR Framework” คือการวิเคราะห์สินทรัพย์รอบด้าน ทั้ง Fundamental, Valuation, Momentum และ Risk โดยมีรายละเอียดดังนี้
FVMR Framework เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ การนำ FVMR Framework ไปปรับใช้จะช่วยให้สามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและทำให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับใครที่อยากลงทุนแบบวิเคราะห์ให้ครบรอบด้านตามโมเดล FVMR Framework แต่ไม่มีเวลาหรือความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สินทรัพย์ พอร์ต All Weather Strategy (AWS) คือคำตอบ! พอร์ตกองทุนที่พร้อมลุยทุกสภาวะตลาด ใช้โมเดล FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน มีการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตอบโจทย์คนที่ต้องการลงทุนแบบนอนหลับสบาย เพราะมีอดีตนักวิเคราะห์อันดับ 1 ของประเทศไทยอย่างคุณ Andrew Stotz มาช่วยดูแลพอร์ตให้คุณ
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ Dr. Andrew Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยพอร์ต AWS นี้ มุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยปกป้องพอร์ตให้พร้อมลุยทุกสภาวะตลาด (All Weather) นอกจากนี้พอร์ต AWS ยังเน้นลงทุนในกองทุน Passive ที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำและสมเหตุสมผล เพื่อเน้นสะท้อนผลตอนแทนเทียบกับตลาด และไม่ฉุดรั้งผลตอบแทนระยะยาวของนักลงทุน โดยพอร์ต AWS จะมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 2-4 ครั้ง
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หลายคนมองว่าการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ๆ คือปัจจัยเดียวในการจัดพอร์ตการลงทุน จึงจัดพอร์ตที่สามารถปรับตัวขึ้นได้เร็วจนหลงลืมไปว่าการลงทุนมีขึ้นก็ต้องมีลง ไม่มีสินทรัพย์ไหนที่สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ตลอดทางโดยไม่แวะปรับฐาน
พอร์ตการลงทุนที่ขึ้นเร็วบ่อยครั้งมักมาจากความเสี่ยงที่สูง เช่น อัดการลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังเติบโตในอุตสาหกรรมหรือประเทศเดียวเพื่อหวังผลตอบแทนเต็ม Max แต่พอถึงจังหวะลง พอร์ตแบบนี้ก็จะปรับตัวลงอย่างรุนแรง เพราะไม่มีสินทรัพย์อื่น ๆ มาเฉลี่ยความเสียหายที่เกิดขึ้น
การจัดพอร์ตแบบนี้อาจทำให้นักลงทุนนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ไม่สบายใจในต้นทุนที่ใส่เข้าไปในพอร์ต ดังนั้นแล้ว การจัดพอร์ตที่มองแค่ผลตอบแทนก็อาจจะไม่พอ
นักลงทุนจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยง หรือ Risk Management ให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองด้วย
ความผันผวนคือการวัดว่า ราคาของสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงมากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอาจให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน
การเลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนในระดับที่ยอมรับได้ สอดรับกับนิสัย ไลฟ์สไตล์ และความจำเป็นด้านการเงิน จะช่วยให้นักลงทุนสามารถนอนหลับได้สบายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้ตื่นมาพอร์ตจะร่วงไปเท่าไหร่
Maximum Drawdown คือการวัดการขาดทุนสูงสุดจากจุดสูงสุดไปจุดต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง การพิจารณา Maximum Drawdown ของสินทรัพย์หรือกลยุทธ์การลงทุนจะช่วยให้เข้าใจว่า ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด เราอาจสูญเสียเงินลงทุนได้มากแค่ไหน ซึ่งถ้าสูงไปก็ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนให้มีความเสี่ยงที่ต่ำลง
ถ้าดูทั้ง Volatility และ Maximum Drawdown แล้วเห็นว่าพอร์ตของเรากำลังเสี่ยงไป รู้สึกว่าผลขาดทุนที่ (อาจ) เจอนั้นเกินกว่าที่เรารับไหว … ตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยให้ความเสี่ยงในการลงทุนของเราลดลงได้คือ การกระจายการลงทุน หรือ Asset Allocation นั่นเอง
ในโลกการลงทุนมีภาษิตอมตะอยู่คำนึงคือ …
อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว
เวลาตะกร้าใบนึงร่วง เราก็ยังมีไข่ที่เหลือเอาไว้กินอยู่
นี่คือคำอธิบายของ Asset Allocation ได้เห็นภาพที่สุด ไม่อยากลงทุนแล้วเห็นพอร์ตติดลบหนัก ๆ ก็อย่าใส่ทุนไว้ในสินทรัพย์เดียว
สิ่งที่สำคัญของ Asset Allocation ต้องเลือกสินทรัพย์ที่ขึ้นลงไม่พร้อมกันมากนัก หรือมี Correlation ต่อกันต่ำ ซึ่งจะช่วยการันตีในระดับนึงว่าเมื่อกระจายการลงทุนแล้วสินทรัพย์แต่ละตัวจะสลับ ๆ กันขึ้นลง ไม่ใช่พากันลงไปพร้อม ๆ กัน
หลักการหลัก ๆ ของ Asset Allocation คือการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย พื่อรักษาเสถียรภาพของพอร์ตโดยรวม เช่น การลงทุนในหุ้น พันธบัตร ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การลงทุนแบบนอนหลับสบายไม่ได้หมายถึงการลงทุนแบบปลอดความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง เพราะเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่เราสามารถลงทุนภายใต้ความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ โดยไม่ทำให้คุณต้องกังวลจนนอนไม่หลับ
การจะออกแบบพอร์ตให้สมดุลได้ นักลงทุนต้องใส่ใจกับ Volatility และ Max Drawdown รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ผ่านการทำ Asset Allocation ที่จะช่วยสร้างโอกาสผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมๆ กับการรักษาความสงบในจิตใจ
หากใครอยากมีพอร์ตการลงทุนระดับท็อป กระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล มีผู้เชี่ยวชาญดูแลให้ เราขอแนะนำพอร์ต All Weather Strategy (AWS) โดยพอร์ตมีการวิเคราะห์หลากหลายปัจจัย และกระจายการลงทุนอย่างสมดุล
และที่สำคัญ ยังได้คุณ Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับ 1 ของประเทศไทย เข้ามาดูแลพอร์ต สำหรับใครที่อยากลงทุนแบบนอนหลับสบาย นี่คือพอร์ตการลงทุนที่ตอบโจทย์อย่างยิ่ง!
จุดเด่นพอร์ต All Weather Strategy
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
Netflix รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 13% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 เป็นผลมาจากจำนวนผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้นและรายได้จากโฆษณาที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา Netflix ได้ปรับขึ้นราคาแพ็กเกจทั้งหมด โดยปรับราคาแพ็กเกจมาตรฐานเป็น 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน แพ็กเกจที่รองรับโฆษณาเป็น 7.99 ดอลลาร์ และแพ็กเกจพรีเมียมเป็น 24.99 ดอลลาร์
รายงานผลประกอบการครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ Netflix ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขผู้สมัครสมาชิกรายไตรมาส เพราะบริษัทกำลังปรับกลยุทธ์ ไปเน้นที่รายได้และตัวเลขทางการเงินอื่น ๆ เพื่อใช้วัดผลงานแทน
แม้ว่าช่วงนี้หุ้นของบริษัทสื่อดั้งเดิมหลายแห่งจะได้รับผลกระทบจากตลาดที่ผันผวนเพราะนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ Netflix ยังคงคาดการณ์รายได้ตลอดทั้งปีไว้ที่ 43.5 ถึง 44.5 พันล้านดอลลาร์
ในขณะที่นักลงทุนหลายคนกังวลว่ามาตรการภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เกร็ก ปีเตอร์ส co-CEO ของ Netflix กล่าวในการประชุมรายงานผลประกอบการของบริษัทว่า “จากที่เราได้เห็นจากการดำเนินธุรกิจจริง ๆ ในตอนนี้ ยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ”
สรุปผลประกอบการของ Netflix ในไตรมาส 1 ปี 2025 เทียบกับตัวเลขที่นักวิเคราะห์จาก LSEG คาดการณ์ไว้:
ที่มา: https://www.cnbc.com/2025/04/17/netflix-nflx-earnings-q1-2025.html
Tesla กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องแบบกลุ่มโดยผู้บริโภครายหนึ่ง ที่กล่าวหาว่าบริษัทเร่งการทำงานของมาตรวัดระยะทาง (odometer) ในรถยนต์ไฟฟ้าของตน เพื่อให้ระยะเวลารับประกันสิ้นสุดเร็วขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยให้บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
Nyree Hinton ผู้ยื่นฟ้องจากลอสแอนเจลิส อ้างว่า มาตรวัดระยะทางของ Tesla ไม่ได้แสดงระยะทางที่ขับขี่จริง เป็นค่าที่คำนวณจากการใช้พลังงาน ลักษณะการขับขี่ และอัลกอริธึมของระบบ
เขากล่าวว่า มาตรวัดระยะทางในรถยนต์ Model Y ปี 2020 ที่เขาซื้อในเดือนธันวาคม 2022 แสดงเลขไมล์ที่ 36,772 ไมล์ ซึ่งแสดงผลเร็วเกินจริงอย่างน้อย 15% เมื่อเทียบกับรถคันอื่นและพฤติกรรมการใช้งานของเขา
เขายกตัวอย่างว่า ในช่วงหนึ่งมาตรวัดแสดงว่าเขาขับรถ 72 ไมล์ต่อวัน ทั้งที่จริงแล้วเขาขับไม่เกิน 20 ไมล์ ซึ่งส่งผลให้การรับประกันพื้นฐานที่ครอบคลุมระยะทาง 50,000 ไมล์สิ้นสุดเร็วกว่ากำหนด และทำให้เขาต้องรับผิดชอบค่าซ่อมระบบช่วงล่างมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ด้วยตนเอง ซึ่งเขาเชื่อว่า Tesla ควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้
ในคำฟ้องยังระบุว่า “Tesla ผูกเงื่อนไขการรับประกันและข้อจำกัดการเช่าไว้กับค่าระยะทางที่แสดงเกินจริง เพื่อเพิ่มรายได้จากบริการซ่อม ลดภาระความรับผิดเรื่องการรับประกัน และบีบบังคับให้ผู้บริโภคต้องซื้อประกันเพิ่มก่อนเวลาอันควร”
จนถึงขณะนี้ Tesla และทีมกฎหมายยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวในวันพฤหัสบดี โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
Hinton เรียกร้องให้ศาลสั่งให้ Tesla ชดเชยค่าเสียหายและเชิงลงโทษให้กับผู้ใช้รถ Tesla ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งอาจครอบคลุมรถยนต์มากกว่า 1 ล้านคันตามข้อมูลในเอกสารของศาล
ที่มา: https://finance.yahoo.com/news/tesla-speeds-odometers-avoid-warranty-213536905.html
เกษียณด้วยการมีเงินก้อน 10 ล้านบาท ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นเงินก้อนใหญ่มาก แต่ความจริงแล้วทุกคนสามารถทำได้ แม้เราจะไม่ได้มีเงินต้นมากมาย
ซึ่งถ้าใครที่ไม่ได้มีแต้มต่อจากเงินต้น ก็ต้องใช้ “ระยะเวลา” และ “ผลตอบแทนจากการลงทุน” มาช่วยเป็นพลังสร้างเงินก้อนโต
วันนี้เราเลยมีไอเดียคร่าว ๆ แผนการไปถึง 10 ล้านบาทมาฝากให้ลองเลือกใช้กันดูครับ
FinSpace