แจ้งเตือน

จดหมายฉบับสุดท้ายจาก Warren Buffett ถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway สู่นักลงทุนทั่วโลก

Finnomena
จดหมายฉบับสุดท้ายจาก Warren Buffett

Warren Buffett สะท้อนว่าชีวิตนี้เหมือนถูกหวย ความสำเร็จของเขาไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องขอบคุณความโชคดีตลอด 95 ปี และเชื่อว่าสุดท้ายแล้วคุณค่าของชีวิต คือการเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน

ถึงเวลาแล้วที่ผมจะหายไปแบบเงียบ ๆ และคงไม่ได้เขียนรายงานประจำปี Berkshire’s หรือขึ้นพูดในงานประชุมผู้ถือหุ้นอีกต่อไป

Greg Abel จะเข้ารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ในปีนี้ เขาเป็นผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซื่อสัตย์ และเรียนรู้เร็วมาก

หวังว่าสุขภาพของเขาจะยังคงดีไปอีกหลายสิบปี

ผมรู้สึกขอบคุณความโชคดีของตัวเองที่มีชีวิตอยู่ได้ถึง 95 ปี แม้จะเจอเหตุการณ์เฉียดตายหลายครั้ง

แค่นี้ชีวิตก็เหมือนถูกหวยแล้ว ผมเกิดในปี 1930 สุขภาพดี มีสติปัญญาพอสมควร เป็นคนขาว เป็นผู้ชาย และอยู่ในอเมริกายุคที่เต็มไปด้วยโอกาส

ถือว่าโชคดีกว่าคนนับพันล้านคนบนโลกนี้

ความสำเร็จของผมก็ไม่ได้มาจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่เพราะมีเทพีแห่งโชคลาภ (Lady Luck) เข้าข้าง

หากย้อนดูช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมรู้สึกมีความสุขกับครึ่งหลังของชีวิตมากกว่าครึ่งแรก เพราะฉะนั้น ทุกคนอย่ามัวจมอยู่กับความผิดพลาดในอดีต จงเรียนรู้มันและก้าวต่อไปข้างหน้า

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดจากเงิน ชื่อเสียง หรืออำนาจ แต่คือชีวิตที่มีเมตตา ช่วยเหลือผู้คน

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นในทุกวัน

จงเลือกฮีโร่ที่ถูกต้องให้รอบคอบที่สุด พยายามเป็นอย่างเขา แล้วใช้ชีวิตให้สมกับสิ่งที่คุณอยากให้คนรุ่นหลังพูดถึงเมื่อคุณจากไป

แน่นอนว่าทุกคนจะไม่มีทางสมบูรณ์แบบ แต่คุณสามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้เสมอ..

10 พฤศจิกายน 2025 Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์) ได้แปลงหุ้น BRK.A จำนวน 1,800 หุ้น เป็น BRK.B จำนวน 2.7 ล้านหุ้น เพื่อบริจาคให้มูลนิธิของครอบครัว

อนาคตของ Berkshire Hathaway จะยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม เนื่องจากแนวทางการบริหารที่ใส่ใจผู้ถือหุ้น แต่ขนาดของบริษัทที่ใหญ่ขึ้น อาจทำให้การเติบโตช้าลงในอนาคต คงมีช่วงที่ราคาหุ้นผันผวนร่วงลงถึง 50% แต่ไม่ต้องกลัว อย่าสิ้นหวัง เพราะสุดท้ายอเมริกาจะกลับมา และเราก็จะกลับมาด้วย

รวมโอกาสการลงทุน China Play จีน-สหรัฐฯ พักรบชั่วคราว

Finnomena Funds
กองทุนธีม China Play

กองทุนธีม China Play คว้าโอกาสหลังจีน-สหรัฐฯ สงบศึกภาษีทางการค้า ตกลงเปลี่ยน Trade War เป็น Trade Deal คัดกองทุนหุ้นจีนที่ได้รับประโยชน์ ทั้งหุ้นจีนยักษ์ใหญ่, หุ้นเทคโนโลยีจีน, หุ้นจีน Health Care, Rare Earth, โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษีหุ้นจีน

สรุปข้อตกลงการค้า ‘ทรัมป์’ กับ ‘สี จิ้นผิง’

การพบปะระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ในงานประชุม APEC Economic Leaders’ Meeting 2025 ช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ที่ประเทศเกาหลีใต้ ได้เกิดสัญญาณเชิงบวกหลายมิติ โดยเฉพาะการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ผ่านข้อตกลงที่สำคัญหลายประการ เช่น 

  1. สหรัฐฯ ตกลงจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลง 10% เหลือ 47% (จากเดิม 57%) มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 และจะคงระงับการเพิ่มภาษีตอบโต้เพิ่มเติมจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2026 แต่ยังคงอัตราภาษีตอบโต้พื้นฐานที่ 10%
  2. จีนระงับเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่อัตรา 24% แต่ยังคงเหลือเก็บภาษีการค้าไว้แค่ 10% 
  3. จีนจะระงับการบังคับใช้ข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) ที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยจะออกใบอนุญาตทั่วไปสำหรับการส่งออกแร่หายากเพื่อให้ซัพพลายเออร์ทั่วโลกเข้าถึงได้
  4. จีนจะยุติมาตรการภาษีตอบโต้ (Retaliatory Tariffs) ทั้งหมดที่ประกาศตั้งแต่ 4 มีนาคม 2025 ครอบคลุมสินค้าการเกษตรของสหรัฐฯ หลายประเภท เช่น ไก่ ข้าวสาลี ข้าวโพด ฝ้าย ข้าวฟ่าง ถั่วเหลือง เนื้อหมู เนื้อวัว สินค้าทะเล ผลไม้ ผัก และผลิตภัณฑ์นม
  5. จีนจะซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ อย่างน้อย 12 ล้านตัน ภายในปลายปี 2025 และจะซื้ออย่างน้อย 25 ล้านตันต่อปีในปี 2026-2028
  6. จีนจะยุติการส่งเฟนทานิลและสารเคมีที่เกี่ยวข้องไปยังทวีปอเมริกาเหนือโดยตรง รวมถึงเข้มงวดการควบคุมการส่งออกสารเคมีอื่น ๆ ไปยังทุกประเทศทั่วโลก

 

กองทุนธีม China Play

Finnomena Funds ประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังอยู่ในทิศทางเชิงบวก เพราะได้รับแรงหนุนจากนโยบายเทคโนโลยีในประเทศและการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า หลังผลการเจรจากับสหรัฐฯ ออกมาดี โดยมีกองทุนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  • รายละเอียดเพิ่มเติม > KFCHINA-T10PLUS-A
  • รายละเอียดเพิ่มเติม > MEGA10CHINA-A
  • รายละเอียดเพิ่มเติม > SCBRMMLCA
  • รายละเอียดเพิ่มเติม > DAOL-RARE
  • รายละเอียดเพิ่มเติม > UCHI
  • รายละเอียดเพิ่มเติม > X-NUCTECH

กองทุนแนะนำได้ประโยชน์ดีลจีน-สหรัฐฯ 

กองทุน KFCHINA-T10PLUS-A

  • ความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนรวมตราสารทุน
  • นโยบายลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) ซึ่งธุรกิจมีความเกี่ยวข้องกับธีมเทคโนโลยี 
  • เน้นคัดหุ้นเทคโนโลยีจีนไม่น้อยกว่า 10 บริษัท แต่ไม่เกิน 15 บริษัทใน Hang Seng Teach Index ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์อยู่ในระดับสูงและมีสภาพคล่อง 
  • ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น Consumer Tech, ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV Car, ผู้พัฒนาเกม และหุ้นผู้ผลิตชิป

กองทุน MEGA10CHINA-A

  • ความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนรวมตราสารทุน
  • นโยบายลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นความเป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value) 
  • คัดเลือกหุ้นจำนวน 10 บริษัท พิจารณาจากมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง เป็นผู้นำใน Brand Value และไม่ถูกครอบเงาโดยทางการจีน
  • รวมบริษัทชั้นนำของจีนที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และทนทานต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจถดถอยได้ดีกว่าบริษัทอื่น ๆ

กองทุน SCBRMMLCA

  • ความเสี่ยงระดับ 6 กองทุนรวมตราสารทุน
  • กองทุนลดหย่อนภาษี RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายหลายตลาดแบบ All China บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนประสบการณ์สูงของ บลจ. ไทยพาณิชย์
  • คัดเลือกหุ้นโดยใช้ Machine Learning ด้วยข้อมูลหลากหลายมิติ จากนั้นทำ Portfolio Optimization เพื่อควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับเหมาะสม 
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินแบบ Active ระหว่างสกุลเงินบาทและสกุลเงินที่ลงทุน (ดอลลาร์ฮ่องกงหรือหยวน) 

กองทุน DAOL-RARE

  • ความเสี่ยงระดับ 7 – กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม
  • นโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของ VanEck Rare Earth and Strategic Metals ETF โดยจะลงทุนในหุ้นผู้ผลิตแร่หายาก Rare Earth
  • ส่วนใหญ่คือหุ้นกลุ่ม Rare Earth ที่มีสัดส่วนหลักเป็นหุ้นจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิต Rare Earth & Strategic Metals อันดับ 1 ของโลก 
  • การที่จีนเริ่มประกาศนโยบายควบคุมและติดตามปริมาณการผลิต Rare Earth สอดคล้องกับนโยบาย Anti-Involution เป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อกลุ่มนี้

กองทุน UCHI

  • ความเสี่ยงระดับ 7 – กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม
  • เป็น Fund of Funds ที่ลงทุนในกองทุน Global X China Biotech และ Kraneshares MSCI All China Health Care Index ETF
  • ลงทุนในหุ้นอุตสาหกรรมสุขภาพในประเทศจีนที่โดดเด่นด้านการพัฒนา Healthcare Innovation
  • ประกอบไปด้วยบริษัทด้านการพัฒนาและค้นคว้าด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหารสถานพยาบาล การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ เป็นต้น

กองทุน X-NUCTECH

  • ความเสี่ยงระดับ 6 – กองทุนรวมตราสารทุน
  • นโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของ VanEck Uranium and Nuclear Technologies UCITS ที่มุ่งเน้นลงทุนบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียม
  • เป็นธีมที่ได้ระโยชน์จากการเติบโตของ Cloud Data, Data Center, EV และเทรนด์พลังงานสะอาด
  • ได้รับแรงสนับสนุนทั้งในฝั่งอเมริกาที่ผลักดันให้เกิดการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ใหม่ รวมถึงรัฐบาลจีนที่อนุมัติแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จำนวนมาก

คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน RMF ตามคู่มือการลงทุนและข้อกำหนดของกรมสรรพากร กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด| ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Finnomena Monthly Investment Outlook กลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนพฤศจิกายน 2025: พักศึกการค้า งบหุ้น Big Tech แกร่ง หนุนตลาดหุ้นไปต่อ

Finnomena Funds
Finnomena Monthly Investment Outlook กลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนพฤศจิกายน 2025

สรุปกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 ลงทุนอย่างไรดีดี เมื่อสหรัฐฯ และจีน ตกลงสงบศึกการค้า ในขณะที่ผลประกอบการหุ้น Big Tech ยังแข็งแกร่ง หนุนตลาดหุ้นปรับตัวไปต่อ

Executive Summary 

  • ในเดือนที่ผ่านมาภาพรวมการลงทุนทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นหนุนจากหุ้นกลุ่ม AI หลังจากการประกาศผลประกอบการของหลายบริษัทออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด รวมถึงความกังวลเรื่องนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ค่อย ๆ คลี่คลายลงแม้จะยังเป็นความเสี่ยงในอนาคต ขณะที่ผลกระทบต่อเงินเฟ้อยังไม่ชัดเจนทำให้ตลาดยังกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ
  • เรามีมุมมองการลงทุนที่ดีขึ้นในกลุ่ม Global Infrastructure โดยปรับเพิ่มมุมมองจาก Slightly Positive สู่ Positive
  • แต่ได้ปรับลดมุมมองในกลุ่มตราสารหนี้ไทยจาก Slightly Positive สู่ Neutral

Finnomena Monthly Investment Outlook Finnomena Monthly Investment Outlook


ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

  • คงมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ
  • เงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับประมาณ 3% YoY โดยดัชนี ISM PMI ด้านราคา (Price) ยังคงบ่งชี้ถึงแรงกดดันเงินเฟ้อในทิศทางขาขึ้น ขณะที่ Fed ยังคงท่าทีระมัดระวังต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ พร้อมส่งสัญญาณลดความคาดหวังของตลาดต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เร็วเกินไป
  • แม้ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดจะออกมาอ่อนแอ แต่สาเหตุหลักมาจากการลดลงของอุปทานแรงงานภายใต้นโยบายจำกัดผู้อพยพของรัฐบาลทรัมป์ และผลกระทบจาก AI Disruption ซึ่งในอีกด้านหนึ่งกลับกลายเป็นแรงหนุนต่อกำไรของบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
  • ขณะเดียวกันความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มผ่อนคลายลง ช่วยคลายความกังวลของนักลงทุน แม้ Valuation ของตลาดจะอยู่ในระดับสูง แต่ตลาดยังได้รับแรงสนับสนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และอาจได้อานิสงส์เพิ่มเติมจากปัจจัยฤดูกาล “Santa Rally” ที่มักหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมของทุกปี
  • แนะนำลงทุนในสินทรัพย์ Defensive ที่ได้ประโยชน์จากความผันผวนอย่างกองทุน ES-GAINCOME-A และ K-GPINUH-A(A)

ตลาดหุ้นยุโรป

  • คงมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นยุโรป โดยแนะนำคงสัดส่วน
  • ECB มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากเงินเฟ้อล่าสุดที่เริ่มฟื้นตัว ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปมีทิศทางขยายตัวดีขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายภาครัฐของเยอรมนี
  • ความผันผวนทางการเมืองฝรั่งเศสกระทบต่อตลาดหุ้นยุโรปในช่วงสั้น ๆ 
  • การซื้อหุ้นในบริษัทยุโรปคืนยังเกิดขึ้นต่อเนื่องจะช่วยหนุน EPS ของตลาดปรับตัวดีขึ้น หุ้นยุโรปแม้ถูกปรับลดประมาณการกำไร แต่ Valuation อยู่ระดับค่าเฉลี่ย

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

  • คงมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยแนะนำทยอยสะสม ASP-NGF
  • เงินเฟ้อของญี่ปุ่นเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น หลังจากผลของมาตรการอุดหนุนค่าสาธารณูปโภคในปีก่อนหมดลง ขณะที่ราคาอาหารมีทิศทางชะลอตัวลง
  • ตลาดคาด BoJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เร็วสุดอีกครั้งในปีหน้า และจะขึ้นเป็นแบบค่อยเป็นไป การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BoJ จะช่วยหนุนต่อการเติบโตด้านกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคาร
  • นอกจากนี้ TSE และ FSA จริงจังกับการทำ Corporate Governance โดยล่าสุดผู้อำนวยการ FSA ระบุว่าบริษัทใดที่มี Cross Shareholding ต้องอธิบายเหตุผลรวมถึงเปิดเผยแผนการขายหุ้นเหล่านั้นในรายงานหลักทรัพย์ประจำปีต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี พร้อมเพิ่มเกณฑ์ตรวจสอบใหม่

ตลาดหุ้นจีน

  • คงมุมมอง Slightly Positive หุ้นจีน H-Shares และคงมุมมอง Neutral หุ้นจีน A-Shares
  • แนะนำทยอยสะสมกองทุน MEGA10CHINA-A
  • Valuation ของตลาดหุ้นจีนโดยรวม (HSCEI) ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างตึงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว อย่างไรก็ตาม กลุ่มหุ้น “Terrific 10” ซึ่งเป็นตัวแทนของธุรกิจคุณภาพสูงในเศรษฐกิจดิจิทัลจีนกลับมีความน่าสนใจ โดยมีค่า Forward P/E ราว 18.9 เท่า และคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไร (Earnings Growth) เฉลี่ยในช่วงปี 2025–2028 จะอยู่ที่ประมาณ 20% สะท้อนศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นกว่าตลาดโดยรวม
  • ด้านนโยบายรัฐบาลยังคงเป็นปัจจัยบวก จีนเดินหน้าผลักดันยุทธศาสตร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมและลดการพึ่งพาต่างชาติ
  • ขณะที่การพบกันระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง ล่าสุดนำไปสู่ข้อตกลงด้านแร่หายาก (rare earths) ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดทางการค้าและหนุน Sentiment หุ้นเทคโนโลยี นอกจากนี้ กรณี “Nexperia Crisis” ยังตอกย้ำบทบาทของจีนในฐานะผู้นำด้านวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ
  • ด้าน Credit Impulse ยังคงทรงตัวในระดับสูง บ่งชี้ถึงแรงเก็งกำไรในตลาดทุน ขณะที่ราคาบ้านเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ตัวเลข PMI จะออกมาต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ ดัชนี ECON Surprise ของจีนเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน สะท้อนแนวโน้มข้อมูลเศรษฐกิจที่เริ่มปรับดีขึ้น ส่วนการดำเนินนโยบาย “anti-involution” ก็เริ่มเห็นผลเชิงโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มแพลตฟอร์มส่งอาหารที่เริ่มปรับตัวสู่การแข่งขันเชิงคุณภาพมากขึ้น

ตลาดหุ้นอินเดีย

  • คงมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาดหุ้นอินเดีย โดยแนะนำกองทุน TISCOINA-A และ B-BHARATA
  • Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียยังอยู่ในระดับค่อนข้างแพง โดยมีค่า Forward P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว +1S.D. สะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนต่อการเติบโตของกำไรในอนาคต ถึงแม้แนวโน้มการปรับประมาณการกำไรจะทรงตัว แต่ปัจจัยพื้นฐานมหภาคยังคงแข็งแกร่ง
  • ดัชนีภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ยังคงอยู่ในโซนขยายตัว ขณะที่ภาคบริการชะลอลงติดต่อกันสองเดือนจากคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลง ด้านเงินเฟ้อปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งช่วยหนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคและเปิดช่องให้ธนาคารกลางมีพื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการลดดอกเบี้ย
  • อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของสินเชื่อส่วนบุคคลในภาคครัวเรือนยังไม่เต็มที่ อาจจำกัดแรงส่งต่อการบริโภคในระยะสั้น ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง โดยคาดว่า GDP ที่แท้จริงจะขยายตัวมากกว่า 6% ต่อเนื่องในช่วงสองปีข้างหน้า

ตลาดหุ้นเกาหลีใต้

  • คงมุมมองหุ้นเกาหลีใต้ Slightly Positive โดยแนะนำทยอยสะสมกองทุน SCBKEQTG  
  • เศรษฐกิจเกาหลีใต้ฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยมีภาคเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก หลังจาก SK Hynix รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากกำไรของกลุ่ม semiconductor เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การส่งออกชิปเติบโตถึง 25.4% YoY และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่หกติดต่อกัน ขณะที่ราคาชิป DRAM ปรับขึ้นแรงจากภาวะอุปทานที่จำกัดและความต้องการด้าน AI ที่เร่งตัวต่อเนื่อง
  • ด้านนโยบายการคลัง รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศงบประมาณปี 2026 เพิ่มขึ้น 8.1% โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI และระบบป้องกันประเทศอัจฉริยะ (smart defense) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในระยะยาว
  • นอกจากนี้ กระแสเงินทุนจากต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้าตลาดอีกครั้ง สอดคล้องกับการปรับขึ้นของประมาณการกำไรในบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทั้ง Samsung และ SK Hynix แม้ Valuation ของตลาดอยู่ในระดับค่อนข้างสูงราว +0.8 S.D. แต่ยังได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการปรับเพิ่มประมาณการกำไรที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

ตลาดหุ้นไทย

  • คงมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาดหุ้นไทย แนะนำกองทุน TISCOHD-A ซึ่งเน้นลงทุนหุ้นปันผลสูง และแนะนำกลยุทธ์แบบ Selective & Dynamic ในหุ้นที่มีการปรับประมาณการกำไรขึ้นไม่อิงหุ้นดัชนีอย่าง Definit SET Select
  • นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยต่อเนื่อง ท่ามกลางบรรยากาศการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยวที่แม้เริ่มกลับมา แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่ถึงระดับก่อนโควิด การเติบโตของสินเชื่อภาคเอกชนยังอยู่ในแดนลบ สะท้อนความระมัดระวังของภาคธุรกิจและผู้บริโภค
  • ตลาดได้รับแรงหนุนบางส่วนจากกระแสการทำ Share Buyback ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าปี 2020 หลังจากรัฐบาลอนุมัติปรับหลักเกณฑ์การซื้อหุ้นคืนตามโครงการใหม่ ไม่ต้องมีระยะเวลาพักคอย 6 เดือน หลาย ๆ ธนาคาร (KKP, TTB) มีการประกาศ Share Buyback ขณะที่หุ้นธนาคารใหญ่ ๆ ได้มีการประกาศแล้ว เช่น KBANK ถึงแม้ Valuation ของตลาดยังอยู่ในระดับถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาค แต่แนวโน้มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังถูกปรับลดลงต่อ
  • อย่างไรก็ตาม หุ้นปันผลสูงยังคงเป็นจุดน่าสนใจ โดย Dividend Yield ของ SET และ SETHD อยู่ในระดับสูง valuation ของตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับถูก แต่ต้อง Selective

ตลาดหุ้นเวียดนาม

  • คงมุมมองหุ้นเวียดนาม Positive แนะนำกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A KT-VIETNAM-A และ KKP VGF-UI*
  • เศรษฐกิจเวียดนามยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยการเติบโตของสินเชื่อขยับขึ้นแตะระดับ 19.9% สะท้อนความต้องการใช้เงินทุนในระบบที่เพิ่มขึ้น ด้านภาคการผลิตก็ส่งสัญญาณบวกเช่นกัน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขยายตัวแตะ 54.5 หนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงคำสั่งซื้อส่งออกที่กลับมาเติบโตเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี
  • ส่วนภาวะสินเชื่อมาร์จิ้นในตลาดทุนยังไม่เป็นประเด็นน่ากังวล เนื่องจากสัดส่วนหนี้มาร์จิ้นต่อทุน (Margin to Equity Ratio) ของบริษัทหลักทรัพย์รวมยังอยู่ที่ราว 120% ต่ำกว่าข้อจำกัดที่กำหนดไว้ไม่เกิน 200% ทำให้ยังมีช่องว่างในการปล่อยกู้เพิ่มขึ้นได้ โดยหลายบริษัทเร่งระดมทุนเพื่อรองรับดีมานด์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง แม้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง แต่แรงขับเคลื่อนหลักของตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมาจากนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจภายในที่ยังเติบโตต่อเนื่อง

 (*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน)

หุ้นเทคโนโลยี

  • คงมุมมอง Slightly Positive ต่อหุ้น Global technology แนะนำทยอยสะสม TISCOAI / B-INNOTECH
  • บรรดา Hyperscalers (ผู้ให้บริการ Cloud และ Data management ให้แก่องค์กร) ยังคงมีศักยภาพในการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากปริมาณเงินสดที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่การใช้งานเทคโนโลยี AI ในสหรัฐฯ ยังคงเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย.)
  • แม้การจ้างงานในภาคเทคโนโลยีโดยรวม โดยเฉพาะในกลุ่มบัณฑิตจบใหม่จะลดลง แต่บริษัทมีแนวโน้มรับสมัครผู้ที่มีทักษะด้าน AI เพิ่มขึ้น สะท้อนว่าบริษัทในภาคอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากเทคโนโลยีเริ่มหันมาสรรหาบุคลากรที่มีประสบการณ์ด้าน AI มากขึ้น
  • ด้านแนวโน้มผลประกอบการ หุ้นในกลุ่ม Hardware และ Semiconductor เป็นกลุ่มที่ได้รับการปรับเพิ่มประมาณการรายได้มากกว่ากลุ่ม Software ขณะที่ภาค Utilities ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับการปรับเพิ่มประมาณการรายได้เช่นกัน จากความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามการขยายโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ
  • สำหรับดัชนี Nasdaq AI & Big Data (TISCOAI) ปัจจุบันมีค่า Forward P/E ที่ 19.8 เท่า แม้ยังต่ำกว่า Nasdaq-100 อย่างมีนัยสำคัญ แต่ถือว่าอยู่ในระดับ +1 S.D. เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต อย่างไรก็ตาม การปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นสำหรับปีถัดไปยังคงปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนแนวโน้มการเติบโตของกลุ่ม AI ที่ยังคงสดใส

หุ้น Health Care

  • คงมุมมอง Slightly Positive ต่อหุ้น Global Healthcare ทยอยสะสมกองทุน KKP GHC-A
  • ภาพรวมหุ้น Healthcare ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดีในช่วงต้นเดือนตุลาคม จากปัจจัยหนุนเรื่องการเจรจาระหว่างรัฐบาลทรัมป์และบริษัทผู้ผลิตยา ซึ่งก่อนหน้านี้ตลาดมีความกังวลว่าจะมีการขึ้นภาษีนำเข้ายาที่อัตรา 100% แต่ในปัจจุบันเริ่มเห็นการเปิดช่องเจรจา ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทยาสามารถหลีกเลี่ยงอัตราภาษีดังกล่าวได้
  • ตลาดหุ้นจึงตอบรับเชิงบวก ถึงแม้จะปรับตัวขึ้นมา ภาพรวมหุ้น Healthcare ก็ยังมีระดับ valuation ที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ซึ่งไม่แพงเกินไป และยังมีการเติบโตของกำไรในอนาคต

ตราสารหนี้โลก

  • คงมุมมอง Positive ต่อตราสารหนี้โลก โดยระดับ Bond Yield ที่ยังสูง ช่วยทำให้ Carry Yield จากการถือตราสารหนี้โลกยังน่าสนใจ
  • ขณะที่ Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในอนาคตแม้อาจไม่ได้รีบลด แต่ยังเป็น Upside ต่อตราสารหนี้ Corporate spread ทั้ง Investment Grade Bond และ High Yield Bond อยู่ในระดับที่ตึงตัวมาก
  • แนะนำเลือกลงทุนกลยุทธ์ Selective ในตราสารหนี้คุณภาพอย่างกองทุน K-GDBOND-A(A)

ตราสารหนี้ไทย

  • ปรับลดมุมมอง Slightly Positive สู่ Neutral ต่อตราสารหนี้ไทย
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวและระยะสั้น (Term Spread 10–1 ปี) เริ่มขยายกว้างขึ้น จากเดิมที่มองกรณีฐานไว้ราว 50 bps หาก Fund Flow จากกองทุนตราสารหนี้ยังคงไหลออกต่อเนื่อง อาจทำให้ Term Spread ปรับกว้างขึ้นไปแตะระดับ 80 bps ได้
  • ทั้งนี้ Fund Flow ยังคงไหลออกจากกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวอย่างต่อเนื่อง
  • แนะนำ Wait and See และรอซื้อเมื่อ Fund Flow กองทุนตราสารหนี้หยุดไหลออก หรือพักเงินในตราสารหนี้ระยะสั้น KKP MP และ KKP PLUS

ทองคำ

  • คงมุมมอง Slightly Positive ต่อทองคำ แนะนำทยอยสะสมกองทุน KT-GOLDUH-A และกองทุน K-GOLD-A(A)
  • ทองคำยังคงได้รับแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ BRICS ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่ทั่วโลกยังเป็นปัจจัยหนุนให้ทองคำทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์หลบภัย (safe haven) ต่อไป
  • อีกทั้งแนวโน้มอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) มีโอกาสปรับลดลงในระยะข้างหน้า จากความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยหนุนราคาทองคำเพิ่มเติม
  • ด้านสภาพคล่องในระบบยังอยู่ในระดับสูง โดยปริมาณเงิน (M2) ของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง สะท้อนภาวะการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และเป็นอีกแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยสนับสนุนราคาทองคำให้มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง

โครงสร้างพื้นฐานโลก

  • ปรับเพิ่มมุมมองจาก Slightly Positive สู่ Positive ต่อหุ้นโครงสร้างพื้นฐานโลก
  • Valuation ของหุ้นโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเมื่อเทียบกับตลาดโลกในเชิง Relative Valuation อยู่ที่ประมาณ -2 S.D. และค่า Forward P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว -1 S.D. สะท้อนถึงโอกาสการปรับตัวขึ้นได้ในระยะต่อไป
  • ขณะเดียวกันการปรับประมาณการกำไรยังคงเป็นบวกต่อเนื่อง หนุนให้ภาพรวมกำไรของกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมีความแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้านเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักร (UK CPI) มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2026 จากแรงต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภค ภายใต้นโยบาย “Clean Power 2030” ซึ่งมุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ส่วนในยุโรป ความต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า ภายใต้โครงการ ReArm Europe และ Readiness 2030 ที่มุ่งสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาด ระบบขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
  • แนะนำซื้อกองทุน KKP GINFRAEQ-H ที่ลงทุนในกองทุน Lazard Global Listed Infrastructure ที่มีความโดดเด่นในแง่ผลการดำเนินงาน ด้วยกลยุทธ์การลงทุนเชิงคุณค่าแบบ Bottom-up ที่มีวินัยสูงและสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว ทั้งนี้ หุ้นโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นธีมที่น่าสนใจในรอบดอกเบี้ยขาลง โดยมีค่า Upside Capture เพียง 71% และ Downside Capture ต่ำเพียง 49% เมื่อเทียบกับดัชนี MSCI World สะท้อนความเสี่ยงขาลงที่จำกัด

ดาวน์โหลดฟรี! 

“สไลด์มุมมองการลงทุนพฤศจิกายน 2025”

ดู Fund Fact Sheet กองทุนแนะนำ

 

จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน


คำเตือนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

สหรัฐฯ เร่งโหวตยุติชัตดาวน์ ตลาดรอข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่

Finnomena
สิ้นสุด Government Shutdown

วุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังเร่งผ่านร่างงบประมาณชุดสุดท้าย เพื่อยุติภาวะ “ชัตดาวน์” ที่ลากยาวจนกลายเป็นหนึ่งในวิกฤตทางการเมือง–เศรษฐกิจที่ยืดเยื้อที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ 

ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาว่าการกลับมาเปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลจะช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เพียงใด หลังข้อมูลสำคัญด้านการจ้างงานและรายได้ถูกระงับการเผยแพร่ไปหลายสัปดาห์

ในช่วงเวลาที่การบริหารประเทศชะงัก การตัดสินใจเชิงนโยบายกลับต้องเดินต่อ โดยเฉพาะจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งเพิ่งลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่กรอบ 3.75–4% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในปีนี้ 

พร้อมประกาศ ยุติมาตรการนโยบายการเงินแบบตึงตัว (QT) หลังปรับลดการถือครองพันธบัตรและตราสาร MBS ไปแล้วกว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ เหลืองบดุลรวมราว 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ ถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางสำคัญของนโยบายการเงิน

เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed เตือนว่าการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม “ยังไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน” และ “อยู่ห่างไกลจากข้อสรุป” คำพูดไม่กี่ประโยคนี้สะเทือนตลาดการเงินทันที ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลพุ่งกลับเหนือ 4% ขณะที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ พลิกจากบวกเป็นลบในช่วงท้ายการซื้อขาย

ท่าทีระมัดระวังของ Fed สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญแรงกดดัน 2 ทาง ทั้งเงินเฟ้อที่ยังสูงเหนือเป้าหมาย 2% และตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง 

ข้อมูลเอกชนจาก ADP ชี้ว่าการจ้างงานเดือนกันยายนลดลงกว่า 32,000 ตำแหน่ง แม้พาวเวลล์ยืนยันว่าตลาดแรงงานยังไม่ทรุดตัว แต่ก็พูดเปรียบเปรยไว้ว่า “เมื่อคุณขับรถในหมอก สิ่งที่ควรทำคือชะลอความเร็ว”

การเปรียบเปรยนั้นสะท้อนสถานการณ์จริงที่ Fed กำลังเผชิญ นั่นคือการขับเคลื่อนนโยบายในภาวะที่ข้อมูลขาดหายจากรัฐบาลชัตดาวน์ ทำให้การประเมินภาพเศรษฐกิจเต็มไปด้วยช่องว่าง 

ขณะเดียวกัน การยุติ QT ยังบ่งชี้ว่าธนาคารกลางเริ่มกังวลต่อสภาพคล่องในตลาดการเงินระยะสั้น หลังจากดูดซับเงินออกจากระบบมากว่า 2 ปี

ภายในคณะกรรมการ FOMC ยังมีความเห็นแตกต่างอย่างชัดเจน กรรมการ 2 คนลงมติ “คัดค้าน” การตัดสินใจครั้งนี้ 

คนแรกคือ สตีเฟน มิแรน ต้องการให้ลดแรงกว่าที่ 0.5% ขณะที่ เจฟฟรีย์ ชมิด จาก Fed แคนซัสซิตี้ เห็นควร “ไม่ลดเลย” ความแตกแยกนี้ชี้ว่าภายในธนาคารกลางเองก็ยังไม่เห็นพ้องในแนวทางนโยบายระยะต่อไป

ขณะเดียวกัน ตลาดรอการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่ที่จะทยอยออกหลังรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ ทั้งตัวเลขจ้างงาน รายได้ส่วนบุคคล และยอดค้าปลีก ซึ่งจะเป็นสัญญาณสำคัญบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเดินเข้าสู่ภาวะชะลอตัว หรือเพียงแค่ “พักหายใจ”


อ้างอิง: CNBC

มัดรวม 11 กองทุนแนะนำ ลงทุนคว้าโอกาสแห่งปี 2025 [อัปเดต 11 พฤศจิกายน 2025]

Finnomena Funds
มัดรวม 11 กองทุนแนะนำ ล

Finnomena Funds คัดเลือกกองทุนเด่นรับเทศกาลการลงทุน 11.11 ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการ รับ Cashback รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท

แจกหนัก จัดเต็ม แจก E-Coupon เพื่อรับ Cashback เป็นหน่วยลงทุน K-CASH* (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการบนแอป Finnomena ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2025

กดรับคูปองก่อนซื้อกองทุนได้ที่: https://www.finnomena.com/promotions

เช็กกองทุนที่เข้าร่วมได้ที่: http://finnomena.com/promotions/e-coupon/fund-list

แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีกองทุนในใจ วันนี้เราคัดมาให้เลือกแบบง่าย ๆ กับ 11 กองทุนแนะนำโดย Finnomena Funds ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายสไตล์การลงทุน 

มัดรวม 11 กองทุนแนะนำ

อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 โดย Finnomena Funds

ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena


1. KKP GINFRAEQ-H กองทุนเปิดเคเคพี โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ อิควิตี้ เฮดจ์ ชนิดทั่วไป

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนในหุ้นโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกผ่านกองทุนหลัก Lazard Global Listed Infrastructure Fund
  • เป็นธีมที่น่าสนใจในรอบดอกเบี้ยขาลง ประกอบกับ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง สะท้อนโอกาสการปรับตัวขึ้นได้ ในระยะต่อไป

 

2. KFCHINA-T10PLUS-A กองทุนเปิดกรุงศรี China Tech 10 Plus หน่วยลงทุนชนิดสะสมมูลค่า

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนชั้นนำ 11 อันดับแรกของ Hang Seng Teach Index ซึ่งครอบคลุมบริษัทผู้นำในหลายอุตสาหกรรม เช่น ชิป อุปกรณ์ไอที รถยนต์ เกม ค้าปลีก ท่องเที่ยว 
  • ได้รับประโยชน์จากการคลี่คลายของ Trade War ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ พร้อมรับอานิสงส์นโยบายกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาลจีย

 

3. ES-GTECH กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Technology

  • ระดับความเสี่ยง 7
  • ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีผ่านกองทุนหลัก Polar Capital Funds Plc Global Technology Fund โดยจะคัดเลือกหุ้นที่มีความเป็นผู้นำ ได้รับประโยชน์จาก AI และธุรกิจมี New S-curve
  • มีปัจจัยหนุนจากการประกาศผลประกอบการหุ้น Big Tech ในสหรัฐฯ และข้อมูลความต้องการใช้ AI ที่เติบโตต่อเนื่อง

 

4. KKP GHC-A กองทุนเปิดเคเคพี โกลบอล เฮลธ์แคร์ ชนิดสะสมมูลค่า

  • ระดับความเสี่ยง 7
  • ลงทุนหุ้นในอุตสาหกรรมสุขภาพผ่านกองทุนหลัก Janus Henderson Global Life Sciences Fund โดยเน้นบริษัทที่สร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ หรือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการแพทย์ เช่น กลุ่ม Biotechnology
  • ตอบโจทย์การลงทุนสาย Defensive ในธีมที่เน้นความมั่นคง หรือกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นเทคโนโลยี

 

5. PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนในหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพเติบโตสูง ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนแรกของไทยที่เข้าไปลงทุนตรงในหลักทรัพย์ของประเทศเวียดนาม
  • เหมาะกับการเก็บสะสมระยะยาว เพื่อรอรับ Fund Flow ขนาดใหญ่ที่กำลังไหลเข้าตลาดตั้งแต่ปีหน้า หลังถูกยกระดับสู่ FTSE EM Market 

 

6. DAOL-RARE กองทุนเปิด ดาโอ แรร์เอิร์ธ แอนด์ สตราทีจิค เมทัลส์

  • ระดับความเสี่ยง 7
  • ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก VanEck Rare Earth and Strategic Metals ETF ซึ่งลงทุนในหุ้นผู้ผลิตแร่หายาก Rare Earth
  • มีปัจจัยหนุนด้านราคาระยะยาวจากความต้องการในอนาคต เพราะเป็นวัตถุสำคัญในอุตสาหกรรมอย่าง AI, Data Center, EV และ Semiconductor 

 

7. KT-MINING กองทุนเปิด เคแทม เวิลด์ เมทัล แอนด์ ไมน์นิ่ง ฟันด์

  • ระดับความเสี่ยง 7
  • ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก Allianz Global Metals and Mining ซึ่งลงทุนในหุ้นหุ้นเหมืองโลหะอุตสาหกรรม
  • ได้รับประโยชน์จากนโยบาย Anti-Involution ของจีนที่มุ่งปรับสมดุลอุปทานและอุปสงค์ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ส่งผลให้ราคาแร่เหล็กและถ่านหินเพิ่มขึ้น

 

8. X-NUCTECH กองทุนเปิดเอ็กซ์สปริงเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียม

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนผ่านกองทุนหลัก VanEck Uranium and Nuclear Technologies UCITS ETF (NUCL) ที่มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียม
  • มีแรงสนับสนุนระยะยาวจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในยุคปัจจุบัน ทั้งจากการเติบโตของ Cloud Data, Data Center, EV และเทรนด์พลังงานสะอาด

 

9. ES-GAINCOME-A กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Multi Asset Income ชนิดสะสมมูลค่า

  • ระดับความเสี่ยง 5
  • กองทุนที่มีกลยุทธ์ Global Multi-Asset Allocation กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก 
  • เน้นสร้างกระแสเงินสด ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และช่วยลดความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง ด้วยการทำ Headging 

 

10. B-BHARATA กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก Nippon India Equity Fund เน้นหุ้นอินเดียที่เติบโตระยะยาว
  • คว้าประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐภิจภายในประเทศ โดยมองว่าอินเดียยังคงมีปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่ง และยังน่าสนใจอยู่เสมอ

 

11. TISCOHD-A กองทุนเปิด ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • คัดเลือกหุ้นไทยปันผลสูงที่อยู่ในดัชนี SET High Dividend 30 Total Return Index 
  • มีความน่าสนใจจากระดับ Dividend Yield ที่สูงของตลาดหุ้นไทย และ Valuation ที่ยังไม่แพง

 

ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena


E-Coupon สามารถใช้ได้ผ่านแอป Finnomena เท่านั้น โดยจะใช้ได้หลังจากทำรายการลงทุนสำเร็จ ที่หน้า Order result จะมีปุ่มให้ใช้งานคูปองแสดงขึ้นมา

ระยะเวลาโปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2568

ข้อกำหนดและเงื่อนไข:

  • การใช้คูปองจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อลูกค้าได้ยืนยันการใช้งานเรียบร้อยแล้ว
  • คูปอง 1 ใบ สามารถใช้ได้กับการทำรายการซื้อเพียง 1 ครั้งเท่านั้น
  • ยอดเงินลงทุนจะคำนวณจากมูลค่าการซื้อและสับเปลี่ยนเข้าสู่กองทุนที่ร่วมรายการเท่านั้น
  • บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไม่นำรายการลงทุนในกองทุนที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการซื้อหน่วยลงทุนหรือค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนมาคำนวณเพื่อรับ Cashback
  • คูปองไม่สามารถจำหน่าย โอนสิทธิ์ แลกเปลี่ยน หรือแลกเป็นเงินสดได้
  • คูปองไม่สามารถใช้กับการปรับพอร์ตการลงทุน (PRA) และการลงทุนแบบทยอยสะสมมูลค่า (DCA)
  • ลูกค้าจะได้รับของรางวัลภายใน 21 วัน นับจากวันที่หน่วยลงทุนถูกจัดสรรเข้าสู่พอร์ตของลูกค้าเรียบร้อยแล้ว
  • ลูกค้าสามารถยกเลิกการใช้งานคูปองได้ภายในวันที่ใช้ โดยต้องดำเนินการก่อนเวลา 23:59 น. และจะได้รับคูปองคืนภายใน 3 วันทำการ
  • ในกรณีที่คำสั่งซื้อหน่วยลงทุนถูกยกเลิก คูปองจะถูกคืนกลับให้กับลูกค้าภายใน 3 วันทำการ
  • มูลค่า Cashback ที่ลูกค้าได้รับ จะไม่เกิน 0.2% ของมูลค่าการลงทุนตามที่บริษัทกำหนด ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

บุกอวกาศ! Vingroup เปิดฟ้าใหม่ ตั้งบริษัท “VinSpace” ขยายอาณาจักรสู่ผู้ผลิตเครื่องบิน–ยานอวกาศ

Finnomena Funds
Vinspace

Pham Nhat Vuong มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเวียดนามและผู้ก่อตั้ง Vingroup กลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าตลาดกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 970,000 ล้านบาท) เดินหน้าขยายอาณาจักรสู่ธุรกิจอวกาศและการบิน ด้วยการตั้งบริษัทใหม่ VinSpace Joint Stock Company เพื่อผลิต “เครื่องบินและยานอวกาศ” ตามเอกสารที่ปรากฏในทะเบียนธุรกิจของประเทศ

Pham Nhat Vuong เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจจากการขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในยูเครนช่วงทศวรรษ 1990 ก่อนจะกลับมาก่อตั้ง Vingroup และขยายกิจการอย่างรวดเร็วในเวียดนาม จากอสังหาฯ สู่รถยนต์ไฟฟ้า และล่าสุดคืออวกาศ 

ปัจจุบันเขาถือเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในภาคเอกชนเวียดนาม และถูกมองว่าเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจเทคโนโลยีเวียดนามยุคใหม่

บริษัทใหม่นี้มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 300,000 ล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 370 ล้านบาท) โดย Vuong ถือหุ้นใหญ่ 71% Vingroup ถือ 19% และบุตรชายทั้งสองของ Vuong ถืออีก 10%

VinSpace ระบุในเอกสารว่า ธุรกิจจะครอบคลุมการผลิตอากาศยาน การขนส่งสินค้าทางอากาศ การดำเนินงานดาวเทียมสื่อสาร และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง Vingroup ชี้ว่า “จะช่วยเสริมและสนับสนุนธุรกิจหลักของกลุ่ม พร้อมวางรากฐานสำหรับการพัฒนาในอนาคต”

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดยุทธศาสตร์เทคโนโลยีแห่งชาติของ Vuong หลังจากที่ Vingroup ประสบความสำเร็จในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว การแพทย์ การศึกษา ไปจนถึงการปั้นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า VinFast ที่จดทะเบียนใน Nasdaq สหรัฐฯ ก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ Vingroup ยังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงมูลค่า 70,000 ล้านดอลลาร์ และแผนสร้างโรงงานเหล็กเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ซึ่งทั้งหมดสะท้อนทิศทางของเวียดนามที่ต้องการพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจต้องเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

โอกาสลงทุนกองทุนหุ้นเวียดนาม

PRINCIPAL VNEQ-A เป็นกองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี มีท้ังการเติบโตทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตลอดจนแรงผลักดันของรัฐบาล เหมาะกับการสะสมในระยะยาว


อ้างอิง: Reuters

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด

Finnomena Funds

Weekly Market Insight

ประจำสัปดาห์ 10 – 14 พฤศจิกายน 2025

พิเศษ! สำหรับสมาชิก Finnomena

This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้

Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน

ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”

ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเท่านี้ ประหยัดภาษีได้เท่าไร?

Finnomena Funds
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเท่านี้ ประหยัดภาษีได้เท่าไร?

สำหรับการวางแผนภาษีปี 2568 นี้ หลายคนคงกำลังมองหาตัวช่วยบางอย่างที่จะทำให้เราประหยัดภาษีได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งหนึ่งในตัวช่วยประหยัดภาษีที่เราไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ กองทุนลดหย่อนภาษี เพราะการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี นอกจากจะช่วยประหยัดภาษีได้แล้วยังสามารถสร้างวินัยในการลงทุนได้อีกด้วย

บทความนี้จึงขอพาทุกคนมาดูว่าหากเราลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีจำนวนเท่านี้แล้ว จะสามารถทำให้เราประหยัดภาษีไปได้มากเท่าไร?

“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที

ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี

ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเท่านี้ ประหยัดภาษีได้เท่าไร?

ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเท่านี้ ประหยัดภาษีได้เท่าไร?

รายได้รวมต่อปี 480,000 บาท (40,000 บาท/เดือน)

  • ลงทุน 10% ของรายได้รวมทั้งปี = 48,000 บาท
  • ลงทุน 20% ของรายได้รวมทั้งปี = 96,000 บาท
  • ลงทุน 30% ของรายได้รวมทั้งปี = 144,000 บาท

รายได้รวมต่อปี 600,000 บาท (50,000 บาท/เดือน)

  • ลงทุน 10% ของรายได้รวมทั้งปี = 60,000 บาท
  • ลงทุน 20% ของรายได้รวมทั้งปี = 120,000 บาท
  • ลงทุน 30% ของรายได้รวมทั้งปี = 180,000 บาท

รายได้รวมต่อปี 720,000 บาท (60,000 บาท/เดือน)

  • ลงทุน 10% ของรายได้รวมทั้งปี = 72,000 บาท
  • ลงทุน 20% ของรายได้รวมทั้งปี = 144,000 บาท
  • ลงทุน 30% ของรายได้รวมทั้งปี = 216,000 บาท

รายได้รวมต่อปี 840,000 บาท (70,000 บาท/เดือน)

  • ลงทุน 10% ของรายได้รวมทั้งปี = 84,000 บาท
  • ลงทุน 20% ของรายได้รวมทั้งปี = 168,000 บาท
  • ลงทุน 30% ของรายได้รวมทั้งปี = 252,000 บาท

รายได้รวมต่อปี 960,000 บาท (80,000 บาท/เดือน)

  • ลงทุน 10% ของรายได้รวมทั้งปี = 96,000 บาท
  • ลงทุน 20% ของรายได้รวมทั้งปี = 192,000 บาท
  • ลงทุน 30% ของรายได้รวมทั้งปี = 288,000 บาท

รายได้รวมต่อปี 1,080,000 บาท (90,000 บาท/เดือน)

  • ลงทุน 10% ของรายได้รวมทั้งปี = 108,000 บาท
  • ลงทุน 20% ของรายได้รวมทั้งปี = 216,000 บาท
  • ลงทุน 30% ของรายได้รวมทั้งปี = 324,000 บาท

รายได้รวมต่อปี 1,200,000 บาท (เดือนละ 100,000 บาท)

  • ลงทุน 10% ของรายได้รวมทั้งปี = 120,000 บาท
  • ลงทุน 20% ของรายได้รวมทั้งปี = 240,000 บาท
  • ลงทุน 30% ของรายได้รวมทั้งปี = 360,000 บาท

คำอธิบายตารางเพิ่มเติม:

  • รายได้รวมทั้งปีคำนวณเฉพาะเงินเดือนเท่านั้น ไม่นับรวมโบนัส หรือเงินพิเศษอื่น ๆ
  • จำนวนภาษีที่เสียสูงสุด คำนวณจากเงินได้สุทธิที่หักค่าใช้จ่าย 50% ของรายได้รวมทั้งปี (ไม่เกิน 100,000 บาท) และค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  • จำนวนภาษีที่ประหยัดไปได้ คำนวณจากการลงทุนใน RMF และ Thai ESG เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอื่น ๆ เพิ่มเติม

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดบัญชี Finnomena Funds ได้ที่

 

ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESG

พิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท

📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน และอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

Finnomena Funds Market Alert: หุ้นเกาหลีใต้ KOSPI พุ่งแรงจากแผนลดภาษีเงินปันผลและการเพิ่มสัดส่วนลงทุนหุ้นในประเทศของ NPS

Finnomena Funds
หุ้นเกาหลีพุ่ง

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี KOSPI ปรับตัวขึ้นแรง +2.41% มาที่ระดับ 4,049.12 จุด ฟื้นตัวจากสัปดาห์ก่อนซึ่งเป็นการปรับลงแรงที่สุดในรอบ 8 เดือน หลังมีรายงานว่ารัฐบาลเกาหลีใต้เตรียมลดภาษีเงินปันผล และกองทุนบำนาญแห่งชาติ (NPS) อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นภายในประเทศ ส่งผลให้แรงซื้อจากสถาบันและต่างชาติไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง ขณะที่นักลงทุนรายย่อยยังคงขายทำกำไรบางส่วน

แรงหนุนหลักมาจากหุ้นกลุ่มการเงินและเทคโนโลยี โดย KB Financial +6.55%, Hana Financial +6.85% และ Shinhan Financial +4.65% พุ่งแรงหลังมีข่าวว่ารัฐบาลจะปรับลดอัตราภาษีเงินปันผลลงเหลือ 25% ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนหลังภาษีของผู้ถือหุ้น ขณะเดียวกันหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่กลับมาหนุนตลาดอีกครั้ง นำโดย Samsung Electronics (005930) ปิดที่ 99,600 วอน เพิ่มขึ้น +1.74% และ SK Hynix (000660) ปรับตัวขึ้นแรง +3.71% มาปิดที่ 602,000 วอน ตามทิศทางความต้องการชิปหน่วยความจำที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง

รายงานจาก Mirae Asset Securities ระบุว่า ข่าวการลดภาษีเงินปันผลและแนวโน้มการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นภายในประเทศของ NPS จะช่วยสร้างสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดและเป็นปัจจัยกระตุ้นการ Re-rating ของ Valuation โดยเฉพาะในกลุ่มการเงินและโบรกเกอร์ที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง ขณะที่ค่าเงินวอนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยแตะระดับ 1,454.4 วอนต่อดอลลาร์ สะท้อนแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามา
ด้านต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมเมื่อวันศุกร์ โดย Dow Jones +0.16%, S&P 500 +0.13% และ Nasdaq -0.21% ท่ามกลางความคาดหวังว่าเฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 2026 ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเข้าของเงินทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงเกาหลีใต้

Finnomena Funds ประเมินว่า การดีดตัวแรงของตลาดเกาหลีใต้ในวันนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อ Sentiment ระยะสั้น สะท้อนการตอบรับมาตรการเชิงโครงสร้างของรัฐบาลที่มุ่งลด “Korea Discount” และหนุนให้ตลาดกลับมาอยู่ในจุดสมดุลระหว่าง Valuation และ Earnings Growth

โดยเรายังคงมุมมอง “Slightly Positive” ต่อหุ้นเกาหลีใต้ จากแนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในกลุ่มเทคโนโลยีและการเงิน ภายใต้นโยบาย Value-Up Program ของรัฐบาล พร้อมแนะนำทยอยสะสมกองทุน SCBKEQTG เพื่อรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาด

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Cathie Wood วิเคราะห์อวสาน “ทองคำ” และได้เวลาซื้อหุ้นไม้ใหญ่

Finnomena
Cathie Wood วิเคราะห์ราคาทอง

Cathie Wood แห่ง ARK Invest วิเคราะห์ถึงเวลาจบรอบขาขึ้นของราคาทองคำ และจะเป็นจังหวะซื้อหุ้นไม้ใหญ่ หลังกราฟ Gold Market Cap / M2 พุ่งสู่จุดสูงสุด ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ยุค Great Depression 30’s และ Great Inflation 80’s

การวิเคราะห์ของ Cathie Wood ได้ยกความสัมพันธ์ของมูลค่าตลาดทองคำ (Gold Market Cap) เทียบกับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ (M2 Money Supply) มาชี้ให้เห็นสัญญาณจุดจบขาขึ้นของราคาทองคำ

เพราะว่าอัตราส่วนมูลค่าตลาดทองคำต่อ M2 กำลังแตะระดับสูงสุดใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งในประวัติศาสตร์ คือ

1. ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ปี 1930s

  • ช่วงนั้นเกิดภาวะเงินฝืดรุนแรง (Deflationary Bust) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ดำเนินนโยบายที่ตึงตัวมากเกินไป
  • Gold Market Cap / M2 พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากราคาทองคำถูกตรึงไว้ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นผลมาจากการที่อุปทานเงินลดลง
  • เมื่อ Fed เริ่มผ่อนคลายมาตรการ อัตราส่วนนี้จึงเริ่มลดลง ก็เกิดการพลิกกลับมาเติบโตอย่างมหาศาลในตลาดหุ้น

2. ยุคเงินเฟ้อครั้งใหญ่ (Great Inflation) ปี 1980s

  • โลกเจอกับปัญหา Stagflation ผู้คนหันไปเก็บทองคำเพื่อหาความปลอดภัย (Flight to Safety) และการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ (Hedging against Inflation)
  • Gold Market Cap / M2 ขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี 1980-1981 ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง
  • แต่หลังจากจุดสูงสุดนี้ ตลาดการเงินก็ได้เข้าสู่ยุคทอง (Golden Era) สำหรับทั้งหุ้นและพันธบัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 เมื่อเงินเฟ้อถูกควบคุมได้ ทองคำก็หมดความน่าสนใจ

 

ปัจจุบันอัตราส่วนนี้สูงขึ้นอีกครั้งเช่นเดียวกับที่เคยเป็นในอดีต ปัจจัยที่จุดชนวนให้เกิดการขึ้นของราคาทองคำ คือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risks) ความตึงเครียดต่อภาวะสงครามทั่วโลก รวมถึงสงครามเศรษฐกิจ/เทคโนโลยีของสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งนำไปสู่การหันไปหาความปลอดภัย

หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เรากำลังเห็นจุดสูงสุดของทองคำ และหากอัตราส่วน Gold Market Cap / M2 เริ่มคลี่คลายลงสู่ด้านล่าง (Resolve to The Downside) เหมือนกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา จะเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับตลาดหุ้น

อาจถึงเวลาที่ S&P 500 จะกลับมาชนะทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นกลุ่มนวัตกรรม AI

สรุปแล้ว Cathie Wood เชื่อว่าตลาดกระทิง (Bull Market) ของหุ้นได้เข้ามาอย่างมั่นคงแล้ว และจะดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากอัตราส่วนทองคำต่ออุปทานเงิน และปัจจัยขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมที่สนับสนุนว่าหุ้นจะกลับมาทำผลงานได้ดีกว่าทองคำ


อ้างอิง: Ark Invest

เงินฝืดยืดเยื้อ จุดระเบิดแรงซื้อ ต่างชาติแห่เก็บบอนด์ไทย 10 ปี เก็งแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย

Finnomena
ต่างชาติเก็บบอนด์ไทย

พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี กลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง หลังจากที่ถูกเทขายอย่างหนักในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความคาดหวังว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า เพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืดที่ยังยืดเยื้อ

รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า บอนด์ไทยระยะยาวเริ่มทรงตัว หลังจากราคาปรับลงแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี สาเหตุหลักมาจากการที่แบงก์ชาติ “คงดอกเบี้ย” สวนทางกับที่ตลาดคาด ขณะที่ความกังวลเรื่องการออกพันธบัตรของรัฐบาลจำนวนมากและดีมานด์การประมูลที่อ่อนแอ ยิ่งซ้ำเติมแรงขายในตลาดช่วงก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม กระแสคาดการณ์เรื่อง “การลดดอกเบี้ย” กลับมาสร้างแรงหนุนให้บอนด์ไทยอีกครั้ง โดย M&G Investments มองว่าพันธบัตรระยะยาวของไทยเริ่มมี “มูลค่า” จากระดับราคาที่ปรับลงมา 

นายพีรัมภา จันทร์จำรัสแสง ผู้จัดการกองทุนจาก M&G Investments กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรไทยต่ำกว่ามาตรฐาน และมีแนวโน้มจะเข้าซื้อเพิ่มในช่วงที่ราคาอ่อนตัว โดยคาดว่าแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

พันธบัตรไทยอายุ 10 ปี

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี | Source: Bloomberg

ข้อมูลของ Bloomberg ชี้ว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ไทยมีเงินทุนไหลเข้าพันธบัตรสุทธิเพียง 1,700 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีถึงสามเท่า ซึ่งหมายความว่ายังมี “ช่องว่าง” สำหรับการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดบอนด์ไทย โดยเฉพาะในรุ่นอายุ 10 ปี

ผลการประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม สะท้อนแรงซื้อนี้อย่างชัดเจน แม้ระดับการประมูลโดยรวมจะต่ำสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ความต้องการหลักกลับมาจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรจากโอกาสที่แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลงอีก

ด้าน นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนจาก Krungthai Global Markets ให้ความเห็นว่า หากแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% จริง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ระดับ 1.7% ในปัจจุบัน ถือเป็นจุดที่ “คุ้มค่า” สำหรับการเข้าซื้อเพื่อล็อกผลตอบแทน ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับตัวลงตาม

แม้กระทรวงการคลังเพิ่งปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2568 เป็น 2.4% จาก 2.2% แต่ Bloomberg Consensus มองต่าง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 2.1% ในปีนี้ และลดลงเหลือ 1.8% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มฟื้นตัวของเศรษฐกิจจริง

จากแบบสำรวจนักกลยุทธ์ Bloomberg คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยจะลดลงแตะ 1.4% ภายในไตรมาสนี้ ลดลงราว 30 bps จากระดับปัจจุบัน ซึ่งตอกย้ำมุมมองของตลาดว่า แบงก์ชาติอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย เพื่อสกัดแรงเสี่ยงจากภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว

บอนด์ไทยจึงกลับมาน่าสนใจในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งจากความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยขาลงและเงินเฟ้อต่ำ ที่ช่วยหนุนให้พันธบัตรไทยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างคงที่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอ


อ้างอิง: Bloomberg, กรุงเทพธุรกิจ

Finnomena Funds Market Alert: หุ้นเวียดนาม VN-Index หลุดระดับ 1,600 จุด หลังแรงขายจากนักลงทุนรายย่อยและภาวะ Margin Call กดดันตลาด

Finnomena Funds
หุ้นเวียดนามหลุด 1600

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี VN-Index ร่วงแรง -2.65% ปิดที่ระดับ 1,599.10 จุด ลดลงกว่า 43.5 จุด “หลุด” แนวรับทางจิตวิทยาที่ 1,600 จุด เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 เดือน ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดที่ปรับตัวลงแรงที่สุดในเอเชียวันเดียวกัน มูลค่าการซื้อขายบน HoSE อยู่เพียง 23.6 ล้านล้านด่อง ต่ำสุดในรอบกว่า 5 เดือน สะท้อนภาวะสภาพคล่องที่ซบเซาและความระมัดระวังของนักลงทุน ขณะที่ดัชนี VN30 ปรับตัวลง -2.40% เหลือ 1,824.7 จุด โดยมีถึง 28 จาก 30 หุ้นในกลุ่มปรับลดลง

แรงขายหลักกระจุกอยู่ในหุ้นกลุ่มการเงินและอสังหาริมทรัพย์ โดย Vinhomes (VHM) ร่วง -6.98%, Vingroup (VIC) -3.9%, Masan Group (MSN) -2.54%, Mobile World (MWG) -4.73% และ MBBank (MBB) -1.69% สะท้อนแรงขายจากภาวะ Margin Call หลังนักลงทุนรายย่อยใช้ Leverage สูงในช่วงตลาดขาขึ้นตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ FPT เป็นหนึ่งในไม่กี่หุ้นที่ยังคงบวกได้ +0.8% จากแรงซื้อสะสมของนักลงทุนสถาบัน

นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ตลาดเวียดนามถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ร้อนแรงที่สุดในโลก โดย VN-Index ปรับขึ้นกว่า +27% YTD แต่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตลาดเริ่มเข้าสู่ “ระยะพักฐานและสะสม” ตามแรงขายทำกำไรและความผันผวนจากกลุ่มนักลงทุนภายในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มหลักของตลาด ทั้งนี้ข้อมูลจาก Trung tâm Lưu ký Chứng khoán Việt Nam (VSD) ระบุว่า ในเดือนตุลาคม 2025 เพียงเดือนเดียว มีการเปิดบัญชีใหม่กว่า 310,000 บัญชี เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน สะท้อนความสนใจในตลาดที่ยังคงแข็งแกร่งแม้ภาวะสภาพคล่องจะชะลอตัว

Finnomena Funds ประเมินว่าการปรับตัวลงในวันนี้เป็นเพียงการปรับตัวลงระยะสั้นหลังจากตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นมาได้อย่างร้อนแรงในปีนี้ อย่างไรก็ดีภาพรวมพื้นฐานของตลาดเวียดนามยังคงแข็งแกร่งโดยมีแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจและแนวโน้มการปรับขึ้นของประมาณการกำไร (EPS Revision) ยังคงต่อเนื่อง

เราคงมุมมอง “Positive” ต่อหุ้นเวียดนาม และแนะนำทยอยสะสมผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

5 สัญญาณเตือน ที่บอกว่าแผนภาษีของคุณ อาจกำลังป่วยหนัก!

Finnomena Funds

เคยไหม? ถึงช่วงปลายปีทีไร ความรู้สึกรีบ ๆ ลน ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง เพราะต้องรีบหากองทุนลดหย่อน ซื้อประกัน หรือหาวิธีไหนก็ได้ให้ภาษีลดลงให้ทันสิ้นปี แต่รู้ไหมว่าการวางแผนภาษีแบบไม่วางแผน คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แผนภาษีของคุณ “ป่วยหนัก” แบบไม่รู้ตัว

ก่อนจะถึงเดดไลน์ยื่นภาษี มาลองเช็กกันหน่อยว่าแผนภาษีของคุณมีสัญญาณเตือนเหล่านี้หรือเปล่า?

ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESG

พิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท

📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws

1. วางแผนภาษีเดือนสุดท้ายทุกปี

ถ้าคุณเพิ่งเริ่มคิดเรื่องภาษีตอนปลายเดือนธันวาคม บอกเลยว่านี่คือสัญญาณเตือนแรกที่อาจทำให้แผนภาษีพลาดหลายจุด เช่น ลงทุนแบบรีบ ๆ โดยไม่คำนวณวงเงินให้พอดี พลาดจังหวะลงทุนดี ๆ ไปทั้งปี หรือไม่รู้เลยว่ากองที่ซื้อปีที่แล้วครบเงื่อนไขหรือยัง

การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้มีเวลาศึกษาและเลือกเครื่องมือลดหย่อนที่เหมาะกับเป้าหมายการเงินของตนเอง ไม่ใช่ซื้อเพราะใคร ๆ ก็ซื้อ หรือเห็นลดหย่อนเยอะก็ว่าดี แต่อาการนี้รักษาได้ด้วยการเริ่มต้นคำนวณภาษีตั้งแต่ต้นปี และทยอยลงทุนหรือวางแผนอย่างมีระบบ จะได้ทั้งลดหย่อนภาษี และสร้างพอร์ตลงทุนที่เติบโตไปพร้อมกัน

2. ซื้อกองทุนเพื่อลดภาษี แต่ไม่ได้ดูเป้าหมาย

หลายคนรีบซื้อกองทุน RMF หรือ Thai ESG เพราะอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษี แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากองทุนนั้น ลงทุนในอะไร เหมาะกับระดับความเสี่ยงของตัวเองไหม หรือแม้แต่เงื่อนไขการถือครอง ว่าต้องถือกี่ปี ถึงอายุเท่าไรจึงจะไม่ผิดเงื่อนไข

อาการแบบนี้อันตรายกว่าที่คิด เพราะกองทุนลดหย่อนภาษีอาจช่วยให้คุณได้คืนภาษี แต่ในระยะยาวอาจ พลาดโอกาสเติบโตของพอร์ต หรือแย่กว่านั้น ผิดเงื่อนไขจนโดนภาษีย้อนหลัง พร้อมดอกเบี้ยและค่าปรับ ก่อนซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีทุกครั้ง ให้เริ่มจากคำถามที่ว่า “เป้าหมายของคุณคืออะไร?” จากนั้นค่อยเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและระยะเวลาการลงทุนของคุณ

3. ลงทุนซ้ำสิทธิกันเอง

เคยไหม? ซื้อทั้งกองทุน RMF และประกันบำนาญ เพราะคิดว่าวงเงินลดหย่อนแยกกัน ความจริงคือ สิทธิลดหย่อนของทั้งสองอย่างนี้นับรวมกัน และลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อปีเท่านั้น

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าซื้อเยอะ = ได้ลดหย่อนเยอะ แต่พอถึงเวลายื่นภาษีจริง กลับพบว่าลดได้ไม่ครบตามที่คิดไว้ กลายเป็นลงทุนเกินสิทธิ เสียเงินไปโดยไม่ได้ประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น ก่อนลงทุนควรเช็กวงเงินลดหย่อนที่เหลือทุกครั้ง โดยเฉพาะถ้ามีทั้งกองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) หรือประกันบำนาญ เพื่อไม่ให้สิทธิลดหย่อนซ้ำซ้อนกันเอง

4. ประหยัดภาษีได้ แต่เงินไม่โต

หลายคนอาจรู้สึกดีที่สามารถลดหย่อนภาษีได้เต็มเพดาน แต่พอมาดูผลตอบแทนจริง ๆ กลับพบว่าเงินในพอร์ตไม่ขยับไปไหนเลย ปัญหานี้มักเกิดจากการเลือกกองทุนโดยดูแค่สิทธิลดหย่อน โดยไม่ได้พิจารณาคุณภาพหรือแนวทางการบริหารกองทุน

บางคนถือกองทุน RMF มาหลายปี แต่ผลตอบแทนแทบไม่ต่างจากเงินฝาก หรือบางทีก็สะสมขาดทุนจนท้อ ทั้งที่จุดประสงค์ของกองภาษีคือส่งเสริมการออมระยะยาว ไม่ใช่แค่ลดภาษีระยะสั้น ดังนั้นควรเลือกกองทุนที่มีสไตล์สอดคล้องกับพอร์ตระยะยาว เพื่อให้เงินเติบโตไปพร้อมกับสิทธิลดหย่อน

5. ไม่เคยอัปเดตกฎหมายหรือเงื่อนไขภาษี

ภาษีไม่ใช่เรื่องตายตัว อาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและเงื่อนไขทุกปี ทั้งสิทธิลดหย่อนใหม่ ๆ อย่าง Thai ESGX หรือการยกเลิกกองทุน SSF ใครที่ใช้ข้อมูลเก่าตลอด อาจพลาดสิทธิที่ควรได้หรือใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะกับปีภาษีนั้น วิธีป้องกันง่าย ๆ คือติดตามแหล่งข้อมูลที่อัปเดต หรือใช้เครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์

แผนภาษีที่แข็งแรง ต้องเริ่มจาก “การวางแผนล่วงหน้า” และ “เข้าใจตัวเอง” เพราะเป้าหมายของการลดหย่อนภาษี ไม่ใช่แค่ “จ่ายน้อยลง” แต่คือ “ต่อยอดเงินให้เติบโต” เพื่ออนาคต ถ้าไม่อยากให้แผนภาษีของคุณป่วยหนัก ลองเริ่มเช็กสุขภาพภาษีของตัวเองวันนี้

“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที

ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน และอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

รีวิวผลงาน All Weather Strategy ผลตอบแทนสะสม 74.6% นับตั้งแต่จัดตั้ง พร้อมรับมือแม้ตลาดเปลี่ยนฤดู

Finnomena Funds
รีวิวผลงาน All Weather Strategy ผลตอบแทนสะสม 74.6% นับตั้งแต่จัดตั้ง พร้อมรับมือแม้ตลาดเปลี่ยนฤดู

ในวันที่ตลาดเต็มไปด้วยความผันผวนพอร์ต All Weather Strategy (AWS) สร้างผลตอบแทนสะสมได้กว่า 74.6% นับตั้งแต่จัดตั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2025, ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) สะท้อนแนวทางการออกแบบเพื่อช่วยรับมือกับความผันผวนในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws

พอร์ต All Weather Strategy (AWS) คือพอร์ตกองทุนที่พร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด ใช้โมเดล FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน มีการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลงทุนอย่างมั่นคง พร้อมแนวทางบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ เพราะมีนักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำอย่างคุณ Andrew Stotz เป็นผู้ออกแบบกลยุทธ์การจัดพอร์ตในเชิงวิเคราะห์ข้อมูลและความเสี่ยง

นโยบายการลงทุนของพอร์ต All Weather Strategy

พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ Dr. Andrew Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยพอร์ต AWS นี้ มุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยให้พอร์ตพร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด (All Weather) โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง

จุดเด่นพอร์ต All Weather Strategy

  • ใช้ FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วย Fundamental (พื้นฐานของสินทรัพย์), Valuation (มูลค่าของสินทรัพย์), Momentum (โมเมนตัมของสินทรัพย์) และ Risk (ความเสี่ยง)
  • กระจายการลงทุนไปทั่วโลก ไม่จำกัดเพียงแค่ในประเทศไทย
  • มีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยลดความผันผวน พร้อมเฟ้นหาโอกาสลงทุนใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป เพื่อเสริมศักยภาพของพอร์ตในระยะยาว
  • มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากหุ้น พร้อมบริหารความเสี่ยงเพื่อช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในช่วงตลาดพักฐาน
  • ใช้หลักการวิเคราะห์ทั้งเชิงประมาณ (Quantitative) ที่ใช้สูตรและโมเดลทางคณิตศาสตร์ และเชิงคุณภาพ (Qualitative) ที่ใช้ประสบการณ์และความรู้ของทีมงาน เพื่อให้ได้พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด
  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

รีวิวผลตอบแทนพอร์ต All Weather Strategy

รีวิวผลงาน All Weather Strategy ผลตอบแทนสะสม 74.6% นับตั้งแต่จัดตั้ง พร้อมรับมือแม้ตลาดเปลี่ยนฤดู

ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ผลตอบแทนของพอร์ต AWS ตั้งแต่จัดตั้ง เทียบกับพอร์ต 60/40
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 31 ต.ค. 2025

จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนสะสม (Total Return) นับตั้งแต่จัดตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ถึงเดือนตุลาคม 2025 ของพอร์ต All Weather Strategy (AWS) กับพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีสัดส่วนหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% (60/40 Portfolio) จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ 74.6% ขณะที่พอร์ต 60/40 ทำผลตอบแทนได้ 43.2% หรือสูงกว่า 31.4% โดยหลังช่วงกลางปี 2023 เป็นต้นมา ผลตอบแทนของพอร์ต AWS เริ่มแซงหน้าพอร์ต 60/40 อย่างชัดเจน และยังคงมีผลตอบแทนที่มากกว่าพอร์ต 60/40 ในช่วงที่ผ่านมา

All Weather Strategy เหมาะกับใคร?

  • คนที่ต้องการให้เงินเติบโตไม่เน้นปันผล
  • คนที่ต้องการการลงทุนที่ยืดหยุ่น ปรับพอร์ตตามสถานการณ์เสมอ
  • คนที่มีเงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 500,000 บาท
  • คนที่พร้อมลงทุนระยะกลาง 3 ปีขึ้นไป

สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้

ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena

สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/

**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

Finnomena Funds Market Alert: หุ้นเกาหลีใต้ KOSPI และหุ้นญี่ปุ่น Nikkei ร่วงแรงจากแรงขายต่างชาติ แม้ปัจจัยพื้นฐานระยะกลางยังแข็งแกร่ง

Finnomena Funds
หุ้นเกาหลี หุ้นญี่ปุ่น

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี KOSPI ปรับตัวลงแรง -3.05% มาปิดที่ระดับ 3,903.62 จุด หลังจากระหว่างวันร่วงลงกว่า -1.36% แตะระดับ 3,971.75 จุด จากแรงขายของนักลงทุนรายย่อยและต่างชาติรวมมูลค่ากว่า 120,000 ล้านวอน โดยมีเพียงสถาบันเท่านั้นที่เป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 130,000 ล้านวอน แรงขายกระจายตัวในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่นำตลาดในช่วงก่อนหน้า เช่น Hanwha Aerospace (-4%), HD Hyundai Heavy Industries (-3%), Hyundai Motor (-1.67%), SK hynix (-1.52%), Doosan Enerbility (-1.39%), และ Samsung Electronics (-0.71%) ส่วนหุ้นการเงินอย่าง KB Financial ปรับขึ้นเล็กน้อย +0.16%

ตลาด KOSDAQ ซึ่งสะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กก็ปรับตัวลงแรง -1.87% ปิดที่ 881.40 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 41,900 ล้านวอน หุ้นเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานสะอาดส่วนใหญ่ปิดลบ เช่น HLB และ EcoPro BM ที่ร่วงกว่า -3% สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มกำไรในกลุ่มเติบโตสูง ขณะที่ Peptron (+3.17%) และ PharmaResearch (+1.01%) เป็นเพียงไม่กี่ตัวที่ยังปรับขึ้นได้เล็กน้อย ด้านค่าเงินวอนอ่อนค่ามาที่ 1,454.4 วอนต่อดอลลาร์สหรัฐ (+5.1 วอนจากวันก่อนหน้า) ตามแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในตลาดโลก

ในฝั่งญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลงแรง -2.24% มาปิดที่ 37,805 จุด จากแรงขายในหุ้นเทคโนโลยีและยานยนต์ เช่น Sony, Advantest, และ Toyota หลังตลาดปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วงต้นเดือน ขณะที่ค่าเงินเยนกลับมาอ่อนค่าทะลุระดับ 153 เยนต่อดอลลาร์ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไปอาจเกิดขึ้น “อย่างค่อยเป็นค่อยไป” เพื่อไม่ให้กระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงลดสถานะในสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น

แม้ตลาดหุ้นเกาหลีและญี่ปุ่นจะปรับตัวลงพร้อมกันในวันศุกร์ แต่พื้นฐานระยะกลางยังคงแข็งแกร่ง โดยในเกาหลีใต้ ความต้องการชิปหน่วยความจำขั้นสูง (HBM, DRAM) จาก AI demand ทั่วโลกยังเป็นปัจจัยหนุนต่อกลุ่ม Semiconductor ขณะที่รัฐบาลเดินหน้า “Korea Value-Up Program” และการปฏิรูปธรรมาภิบาล ซึ่งช่วยลด “Korea Discount” และดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติในระยะยาว ด้านญี่ปุ่น BoJ ยังคงใช้นโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกันการผลักดัน Corporate Governance โดย FSA และ TSE ช่วยหนุนมูลค่าบริษัทในเชิงโครงสร้าง

Finnomena Funds ประเมินว่าการปรับตัวลงของตลาดทั้งสองประเทศในวันนี้เป็นเพียงการพักฐานระยะสั้นหลังการปรับขึ้นแรงในเดือนตุลาคม โดยภาพรวมของเศรษฐกิจและแนวโน้มกำไรในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง

เราคงมุมมอง “Slightly Positive” ต่อทั้งตลาดหุ้นเกาหลีใต้และญี่ปุ่น แนะนำทยอยสะสมผ่านกองทุน SCBKEQTG สำหรับเกาหลีใต้ และ ASP-NGF สำหรับญี่ปุ่น เพื่อรับโอกาสจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการปฏิรูปธรรมาภิบาลที่ต่อเนื่องในระยะกลางถึงยาว

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

รีวิว KKP CorePath Series: ยกระดับกลยุทธ์การจัดพอร์ต เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายแบบครบวงจร

Finnomena Funds
รีวิวกองทุน KKP CorePath Series

โอกาสการลงทุนใน KKP CorePath Series กองทุนรวม Multi-Asset จัดพอร์ตลงทุนทั่วโลกที่มีให้เลือกหลากหลายระดับความเสี่ยง ได้แก่ 1.) KKP CorePath Ultra Light 2.) KKP CorePath Light 3.) KKP CorePath Balanced และ 4.) KKP CorePath Extra ตอบโจทย์เป้าหมายของนักลงทุนไทยแบบครบวงจร

หัวใจสำคัญของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว มักมาพร้อมกับ 3 ส่วนผสมสำคัญ หนึ่งคือ กระจายการลงทุนได้ดี (Diversification) สองคือ มุ่งสร้างผลตอบแทนบนความเสี่ยงที่เหมาะสม (Risk-adjusted Returns) และสามก็คือ การติดตามและบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาพตลาด (Rebalance & Monitoring)

สำหรับใครที่กำลังหากลยุทธ์ที่จะพาไปถึงเป้าหมายทางการเงิน โดยไม่ต้องจัดพอร์ตเอง ไม่มีเวลาตามติดตลาด ต้องรู้จักกับ KKP CorePath Series ที่มาพร้อมกับคอนเซปต์ “One-stop Solution for Thai Investors”

จัดพอร์ตด้วยกลยุทธ์ระดับโลกกับ KKP CorePath Series 

จัดพอร์ตด้วยกลยุทธ์ระดับโลกกับ KKP CorePath Series

Source: KKPAMas of 29/08/2025

KKP CorePath Series เป็นกลุ่มกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Multi-Asset (ความเสี่ยงระดับ 5) ผสมผสานโอกาสการลงทุนจากหลากหลายสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งเป็นฝั่ง Global Investment เน้นหุ้นโลกและตราสารหนี้โลกเพื่อการเติบโตระยะยาว โดยการสร้างพอร์ตระดับโลกภายใต้คำแนะนำของที่ปรึกษาการลงทุน บล. เกียรตินาคินภัทร (KKPS) ร่วมมือกับ Goldman Sachs Asset Management พร้อมเสริมความทนทานของพอร์ตด้วย Local Investment ผ่านตราสารหนี้ไทย บริหารการลงทุนโดย บลจ. เกียรตินาคินภัทร (KKPAM)

KKP CorePath Series เลือกได้หลากหลายระดับความเสี่ยง

Source: KKPAM as of 29/08/2025

ความน่าสนใจของ KKP CorePath Series คือเลือกได้หลากหลายระดับความเสี่ยง ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายที่แตกต่างกันของนักลงทุน โดยแต่ละ Series มีจุดเด่นดังนี้

1. KKP COREPATH ULTRA LIGH: กองทุนเปิดเคเคพี CorePath Ultra Light (หน่วยลงทุนชนิดทั่วไป)

  • กองทุนรวมผสม กลุ่ม Conservative Allocation
  • เน้นลงทุนในตราสารหนี้เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ต 
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำ เน้นชนะเงินเฟ้อ และมีระยะเวลาการลงทุนแนะนำตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป

2. KKP COREPATH LIGHT: กองทุนเปิดเคเคพี CorePath Light (หน่วยลงทุนชนิดทั่วไป)

  • กองทุนรวมผสม กลุ่ม Conservative Allocation
  • ลงทุนตราสารหนี้ิคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 ของทั้งหมด ส่วนที่เหลือแบ่งไปลงทุนหุ้นโลก
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น และมีระยะเวลาการลงทุนแนะนำตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป

3. KKP COREPATH BALANCED: กองทุนเปิดเคเคพี CorePath Balanced (หน่วยลงทุนชนิดทั่วไป) และ KKP COREPATH BALANCED RMF: กองทุนเปิดเคเคพี CorePath Balanced เพื่อการเลี้ยงชีพ

  • กองทุนรวมผสม กลุ่ม Moderate Allocation
  • ลงทุนหุ้นโลกประมาณครึ่งหนึ่งของพอร์ต และอีกครึ่งลงทุนในตราสารหนี้ เพื่อสร้างความสมดุล
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างโอกาสการเติบโตไปพร้อม ๆ กับการควบคุมความเสี่ยง โดยมีระยะเวลาการลงทุนแนะนำตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

4. KKP COREPATH EXTRA: กองทุนเปิดเคเคพี CorePath Extra (หน่วยลงทุนชนิดทั่วไป)

  • กองทุนรวมผสม กลุ่ม Aggressive Allocation
  • เน้นลงทุนหุ้นโลกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 ของทั้งหมด ส่วนที่เหลือแบ่งไปลงทุนในตราสารหนี้
  • เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เน้นผลตอบแทนระยะยาว และมีระยะเวลาการลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

สรุปจุดเด่นของ KKP CorePath Series 

รีวิวกองทุน KKP CorePath Series

Source: KKPAM as of 29/08/2025

ผสานความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศด้านการลงทุน ด้วยทีมผู้จัดการกองทุนจาก KKPAM และทีมที่ปรึกษาการลงทุนจาก KKPS ร่วมมือกับ Goldman Sachs Asset Management* ที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างและวิเคราะห์พอร์ตการลงทุน รวมถึงเชี่ยวชาญการคัดเลือกกองทุนที่หลากหลายทั่วโลก ด้วยหลักการ Open Architecture

จัดพอร์ตด้วยกลยุทธ์ระดับโลกกับ KKP CorePath Series

Source: KKPAM as of 29/08/2025

มีโอกาสการลงทุนที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการกระจายการลงทุนในหลาย Asset Class ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโลก ตราสารหนี้โลก และตราสารหนี้ไทย เพื่อสร้างผลตอบแทนและควบคุมความเสี่ยง

Source: KKPAM as of 29/08/2025

ช่วยติดตามและปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับมุมมองและสภาพตลาดในระยะสั้นและระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ ตอบโจทย์ผู้ลงทุนจำนวนมากที่ไม่ได้มีเวลาติดตามตลาดใกล้ชิด

สรุปแล้ว KKP CorePath Series เหมาะกับการใช้เป็น Core-Portfolio ของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการทำ Asset Allocation และสามารถหยิบจับแต่ละกองทุนใน Series ไปใช้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิตได้เลย

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/  

ข้อมูลเพิ่มเติมกองทุน


*กองทุน KKP CorePath Series นี้ได้รับคำแนะนำเชิงกลยุทธ์โดย KKPS ซึ่งได้รับประโยชน์ จากความเชี่ยวชาญด้านการจัดสรรการลงทุนของ Goldman Sachs Asset Management (GSAM)

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน KKP CorePath Balanced RMF ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้รับประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินต้นคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

‘ทรัมป์’ ปิดดีลใหญ่ Eli Lilly – Novo Nordisk ลดราคายาลดน้ำหนัก เหลือเริ่มต้น $149 ต่อเดือน

Finnomena
ทรัมป์ ลดราคายา

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศข้อตกลงร่วมกับสองบริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลก Eli Lilly และ Novo Nordisk เพื่อลดราคายาลดน้ำหนักยอดนิยมในกลุ่ม GLP1 อย่าง Zepbound และ Wegovy ลงอย่างมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการเข้าถึงยารักษาโรคอ้วนให้กับประชาชนอเมริกันในวงกว้าง

ภายใต้ข้อตกลงนี้ ราคายาแบบเม็ดเริ่มต้นจะอยู่ที่ 149 ดอลลาร์ต่อเดือน และยาฉีดจะลดลงเหลือ 245 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับผู้ใช้ในโครงการ Medicare และ Medicaid รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ซื้อผ่านเว็บไซต์ใหม่ของรัฐบาล “TrumpRx” ซึ่งจะเปิดให้บริการโดยตรงจากทำเนียบขาว

ทรัมป์กล่าวระหว่างแถลงข่าวในทำเนียบขาวว่า “นี่คือการทำให้โลกกลับมาเท่าเทียมกัน” พร้อมระบุว่า บริษัทผู้ผลิตยาจะจำหน่ายยาให้กับโครงการ Medicaid ในราคาพิเศษระดับ “ประเทศที่ได้รับสิทธิสูงสุด” หรือ Most-Favored-Nation Price

ข้อตกลงนี้จะช่วยขยายความคุ้มครองของยากลุ่ม GLP-1 ให้กับผู้ป่วยโรคอ้วน ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน และผู้ป่วยโรคหัวใจในโครงการ Medicare ซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกันกว่า 65 ปีขึ้นไป รวมถึง Medicaid ซึ่งดูแลผู้มีรายได้น้อย

ภายใต้เงื่อนไขใหม่ ผู้ป่วย Medicare จะจ่ายเพียง 50 ดอลลาร์ต่อเดือนเป็นค่า co-pay ขณะที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถซื้อยาในราคาเริ่มต้นไม่เกิน 350 ดอลลาร์ และคาดว่าจะลดลงถึง 245 ดอลลาร์ภายในสองปี

David Ricks ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Eli Lilly กล่าวว่า บริษัทยาคาดว่าจะได้รับการอนุมัติยาเม็ดลดน้ำหนักรุ่นใหม่ Orforglipron จากองค์การอาหารและยา (FDA) ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งจะเข้าสู่โครงการราคาพิเศษของรัฐบาลทันที

ด้าน Mike Doustdar ซีอีโอของ Novo Nordisk กล่าวว่า “การเข้าถึงยาที่เปลี่ยนชีวิตไม่ควรเป็นสิทธิของคนบางกลุ่ม แต่เป็นพันธะทางสังคมที่ทุกคนควรได้รับ”

ในอีกมุมหนึ่ง ดีลครั้งนี้ยังมาพร้อมแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ รัฐบาลสหรัฐฯ จะยกเว้นภาษีนำเข้ายาให้กับ Lilly และ Novo เป็นเวลา 3 ปี ขณะที่ Novo Nordisk ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 10,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อขยายฐานการผลิตและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank ประเมินว่า การจำกัดราคายาลดน้ำหนักไว้ที่ 150 ดอลลาร์ต่อเดือนอาจเปิดโอกาสให้ชาวอเมริกันกว่า 15 ล้านคนสามารถเข้าถึงยาเหล่านี้ได้

ข้อตกลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็นทั้งชัยชนะทางการเมือง และก้าวสำคัญด้านสาธารณสุข สำหรับรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งต้องการลดค่าครองชีพและเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงยารักษาโรคเรื้อรังของชาวอเมริกัน ขณะที่ฝ่ายสาธารณสุขมองว่า นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อสู้กับโรคอ้วนที่ครอบงำประชากรกว่า 40% ของประเทศในปัจจุบัน

“นี่ไม่ใช่แค่การลดราคายา แต่คือการเปลี่ยนอนาคตของสุขภาพอเมริกันให้กลับมาอยู่ในมือของประชาชน” ทรัมป์กล่าวปิดท้าย


อ้างอิง: Reuters

Finnomena Funds Market Alert: หุ้นจีน-ฮ่องกงดีดตัวแรง หนุนจากนโยบายชิปในประเทศและข้อตกลงทรัมป์–สี คลายความตึงเครียดการค้า

Finnomena Funds
หุ้นจีน หุ้นฮ่องกง

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงฟื้นตัวแข็งแกร่งจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI) ปรับตัวขึ้น +2.10% มาปิดที่ 9,355.97 จุด ขณะที่ดัชนี Shanghai Composite Index ขยับกลับมายืนเหนือระดับจิตวิทยา 4,000 จุด ที่ 4,004.25 จุด (+0.97%) และ CSI300 Index ปรับขึ้น +1.43% ได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเชิงนโยบายและกระแสการพึ่งพาชิปผลิตในประเทศ (Domestic Semiconductor Policy)

ตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานของ Reuters ที่ระบุว่า รัฐบาลจีนออกแนวทางใหม่กำหนดให้ศูนย์ข้อมูล (Data Centre) ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐต้องใช้เฉพาะชิป AI ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการเชิงรุกที่สุดของจีนในการผลักดัน “Tech Self-Sufficiency” และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ หุ้นกลุ่ม Semiconductor พุ่งแรง นำโดย SMIC (+3.9%) และ Cambricon Technologies (+9.8%) ส่งผลให้ดัชนี CSI Semiconductor Industry Index ปรับขึ้นกว่า +4% ขณะที่ Hang Seng Tech Index และ CSI AI Sector Index เพิ่มขึ้นกว่า +2% จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบัน

บรรยากาศเชิงบวกยังได้รับแรงสนับสนุนจากความคืบหน้าด้านการเมืองระหว่างประเทศ หลังการพบปะระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง นำไปสู่ข้อตกลงด้าน rare earths ที่ลดความตึงเครียดทางการค้า และส่งสัญญาณความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งช่วยหนุน sentiment ของตลาดเทคโนโลยีจีน ขณะเดียวกัน Credit Impulse ของจีนเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง บ่งชี้การเร่งตัวของสภาพคล่องภาคเอกชน และตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบหลายปี

ด้าน Valuation ของตลาด H-share แม้ยังอยู่ในระดับตึงตัวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่กลุ่ม “Terrific 10 China” ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทดิจิทัลคุณภาพสูง เช่น Tencent, Alibaba, Meituan และ BYD ยังคงมีความน่าสนใจ โดยมี Forward P/E เพียง 18.9 เท่า และคาดการณ์ EPS Growth เฉลี่ยปี 2025–2028 ราว 20% ต่อปี สะท้อนศักยภาพการเติบโตที่เหนือกว่าตลาดโดยรวม ขณะที่นโยบาย “Anti-involution” ของรัฐบาลเริ่มเห็นผลเชิงโครงสร้างในภาคเทคโนโลยี การศึกษา และสื่อออนไลน์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของบริษัทขนาดใหญ่ในระยะยาว

Finnomena Funds ประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังอยู่ในทิศทางเชิงบวก โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายเทคโนโลยีในประเทศและการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า มุมมองโดยรวม “Slightly Positive” ต่อหุ้น H-shares และ “Neutral” ต่อ A-shares

พร้อมแนะนำ ทยอยสะสมกองทุน MEGA10CHINA-A เพื่อรับโอกาสจากการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีคุณภาพสูงใน “Terrific 10 China” และนโยบายสนับสนุนภาค AI และ Semiconductor ของรัฐบาลจีน

นอกจากนี้สำหรับนักลงทุนที่ติดตาม FundTalk Call ได้มีการแนะนำ เข้าซื้อกองทุน KFCHINA-T10PLUS ที่เน้นลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีน 11 อันดับแรกใน Hang Seng Tech Index ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง คาดแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังผลการเจรจากับสหรัฐฯ ออกมาในทางที่ดี

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

เจาะ 6 ทางเลือก จัดพอร์ตกระจายลงทุน ลดหย่อนภาษีจาก บลจ. ยูโอบี

Finnomena Funds
กองทุนลดหย่อนภาษี UOBAM

วางแผนลงทุนลดหย่อนภาษี ไม่ต้องรอให้ถึงปลายปี เริ่มทยอยจัดพอร์ตคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพโอกาสสร้างการเติบโตได้เลยตั้งแต่วันนี้ ซึ่งปี 2025 บลจ. ยูโอบี ทำการคัดเลือก 6 กองทุนเด่นทั้งกองทุน RMF และ Thai ESG ที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายทางเลือกมาฝากกัน

UGISRMF (ระดับความเสี่ยง 5) ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกในหลากหลายประเภทตราสาร เพื่อสร้างกระแสรายได้ในระดับสูงผ่านการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ ผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund (Class I)

UOBGARMF (ระดับความเสี่ยง 5) กระจายการลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุนทั่วโลกไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV ผ่านกองทุนหลัก BGF Global Allocation Fund (Class A)

UNIRMF (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นสร้างการเติบโตในตราสารทุนกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั่วโลก ซึ่งมีศักยภาพในการคิดค้นนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรองรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ผ่านกองทุนหลัก United Global Innovation Fund Class A USD Acc

UOBGRMF-H (ระดับความเสี่ยง 8 ) กองทุนทรัพย์สินทางเลือกที่เน้นลงทุนในทองคำแท่ง ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust

UTSB-THAIESG (ระดับความเสี่ยง 3) กองทุน Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยเพื่อความยั่งยืน เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวของผู้ลงทุน

UTSEQ-THAIESG (ระดับความเสี่ยง 6) กองทุน Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนเพื่อความยั่งยืน โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund


Tax Source Solution 2025 มัดรวมทุกทางออกลดหย่อนภาษี

สำหรับใครที่มีข้อสงสัย ยังไม่จุใจกับเรื่องการวางแผนภาษี มาหาคำตอบได้ที่งาน TAX Source Solution 2025 มัดรวมทุกทางออกลดหย่อนภาษี 

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคาร B ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด


คำเตือน:

  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
  • การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงินและไม่สามารถรับรองผลตอบแทนได้
  • ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุน RMF และ Thai ESG ด้วย กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษีจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไข ของกองทุนรวม
  • การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้ รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก
  • กองทุน UOBGARMF และ UNIRMF มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน
  • กองทุน UGISRMF และ UOBGRMF-H มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
  • ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดข้อมูลต่างๆ ในหนังสือชี้ชวนของ SRI Fund ก่อนการลงทุน เพื่อให้รับทราบถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ ก่อนการลงทุน อาทิ นโยบายการลงทุน หลักทรัพย์ที่กองทุนนั้นได้ไปลงทุน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตลอดจนค่าธรรมเนียม รวมถึงสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อของกองทุน SRI Fund ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ทุกครั้ง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

Jensen Huang แห่ง Nvidia บอกว่าจีนจะแซงหน้าอเมริกา กลายเป็นผู้ชนะ AI เพราะมีขุมพลังงานมหาศาล

Finnomena
Jensen Huang บอก AI จีนชนะอเมริกา

“China is going to win the AI race” (จีนกำลังจะชนะการแข่งขันด้าน AI) Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia กล่าวระหว่างงานสัมมนา Future of AI Summit ของ Financial Times

และก่อนหน้านั้นก็เพิ่งโพสบน X ว่า “As I have long said, China is nanoseconds behind America in AI” (อย่างที่ผมเคยพูดมานานแล้ว จีนตามหลังอเมริกาในด้าน AI แค่ไม่กี่นาโนวินาทีเท่านั้น)

โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการที่รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนด้านพลังงาน คือจุดสำคัญที่ผลักดันการพัฒนาด้าน AI ของจีน ทำให้บริษัทเทคโนโลยีในประเทศสามารถผลิตและใช้งานชิปที่พัฒนาได้เองในราคาถูกกว่า

หนำซ้ำกลับมีกระแสการออกกฎระเบียบด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นในหลายรัฐของอเมริกา ซึ่งกฎเกณฑ์ที่มากเกินไปอาจ ขัดขวางนวัตกรรมได้ด้วย

อย่างไรก็ดี Jensen Huang ย้ำว่าต้องการให้ิอเมริกาชนะการแข่งขันด้าน AI อยู่แล้ว และมุ่งหวังให้โลกทั้งใบถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยีของอเมริกา แต่เราก็ต้องอยู่ในจีนด้วยเพื่อชนะใจนักพัฒนาของพวกเขาเช่นกัน ซึ่งนโยบายที่ทำให้อเมริกาสูญเสียของนักพัฒนา AI กว่าครึ่งโลกไป นั้นไม่เป็นผลดีในระยะยาว และจะทำร้ายเรามากกว่า

ทั้งนี้ การเข้าถึงชิป AI ขั้นสูง โดยเฉพาะชิปจาก Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน ยังคงเป็น ประเด็นร้อนในความขัดแย้งทางเทคโนโลยีระหว่างจีนกับอเมริกา เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคต

สนใจลงทุนเทคโนโลยีจีน แนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A เน้นลงทุนบริษัท 11 อันดับแรกใน Hang Seng Tech Index ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่ม Consumer Tech, EV, Gaming และ AI 

คลิกเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม


อ้างอิง: Business Insider, Reuters