SCBAM ขอแจ้งรายละเอียด โครงการส่งเสริมการขายกองทุ
รับหน่วยลงทุน SCBSFF สูงสุด 1,600 บาท เริ่มลงทุนตั้งแต่ 2 กันยายน 2567 – 30 ธันวาคม 2567
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
โครงการส่งเสริมการขาย SCBTB(ThaiESGA) ช่วงเสนอขายครั้งแรก (IPO) 2 ก.ย. 67 – 16 ก.ย. 67
ลงทุนกองทุน SCBTB(ThaiESGA) ช่วงเสนอขายครั้งแรก (IPO) รับ Fund Back หน่วยลงทุน SCBSFF สูงสุด 600 บาท เริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ วันที่ 2 กันยายน 2567 – 16 กันยายน 2567
(เฉพาะผู้ที่ไม่เคยมีเงินลงทุ
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ตลาดหุ้นไทย (SET Index) กลับมายืนเหนือระดับ 1,400 จุดอีกครั้ง โดยมีปัจจัยหนุนจากไทม์ไลน์ที่ชัดเจนของกองทุนรวมวายุภักษ์ และการจัดตั้งครม. ใหม่
คำถามคือคนที่ยังติดกองทุน LTF มานาน เวลานี้ทำยังไงดี ควรขายออกกำไร หรืออดทนเก็บไว้เพราะหวังว่าหุ้นไทยจะไปต่อ
แนะนำเป็นโอกาสขายกองทุน LTF หรือทยอยขายที่ PE ของ SET Index ที่ 14 เท่า ดัชนีสูงกว่า 1,400 จุด
ด้วยเหตุผลที่ว่าการเติบโตของกำไรหุ้นไทยยังน่าเป็นห่วง เพราะยังไม่มีการเพิ่มประมาณการกำไร ขณะที่ P/E เพิ่มขึ้นมา 14.2 เท่า
เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลักทั่วโลกในรอบ 10 ปี จะเห็นว่าการเติบโตของกำไร SET โตสู้ตลาดไม่ได้ ซึ่งสะท้อนมายังผลตอบแทนที่ Underperform
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (6 ก.ย.) ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของเกาหลีใต้เกินดุล 9.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งถือเป็นการเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่าตัวเลขเกินดุลในเดือนกรกฎาคมลดลงจากเดือนมิถุนายน ซึ่งอยู่ที่ 12.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขเกินดุลสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2560
ดุลการค้าสินค้าของเกาหลีใต้ในเดือนกรกฎาคมเกินดุล 8.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 11.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมิถุนายน
ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 16.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 58.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ยอดนำเข้าขยายตัว 9.4% เป็น 50.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้านรายได้ปฐมภูมิ (Primary Income) ซึ่งรวมถึงค่าแรงของแรงงานต่างชาติ เงินปันผลจากต่างประเทศ และรายได้จากดอกเบี้ย เกินดุล 3.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นจาก 2.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมิถุนายน
สำหรับดุลบริการในเดือนกรกฎาคม ขาดดุล 2.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากขาดดุล 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมิถุนายน
ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/427321
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/kospi-aug-2023
อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/korea-jun-2024
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ธนาคารยูโอบีคาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ภายในกลางปี 2568 และอาจปรับตัวต่อเนื่องไปถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในระยะยาว เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ความต้องการทองคำจากธนาคารกลาง และการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ย
นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่าคาดว่าราคาทองคำอาจปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ภายในกลางปี 2568 และอาจจะมีแนวโน้มปรับตัวต่อเนื่องถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในระยะยาว
ตั้งแต่ปลายปี 2566 ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นและยืนเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์โดยไม่ลดลงเลย ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งมาจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าซื้อทองคำโดยธนาคารกลางหลายประเทศ และการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก
1. ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และการซื้อทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนราคาทองคำ โดยเฉพาะจากความขัดแย้งในทวีปยุโรปและภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง ภาคอุตสาหกรรมรายงานว่านักลงทุนรายย่อยได้เข้าซื้อทองคำแท่งจำนวนมากเพื่อคุ้มครองความเสี่ยง
2. การสะสมทองคำของธนาคารกลาง
อีกปัจจัยหนึ่งคือการที่ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่และเอเชียเพิ่มการถือครองทองคำเป็นทุนสำรองมากขึ้น เช่น ธนาคารกลางจีนที่ถือครองทองคำเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2,300 ตัน หรือร้อยละ 5 ของทุนสำรองทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปริมาณ 1,900 ตันในปี 2565
แม้ว่าจะมีข่าวว่า ธนาคารกลางจีนได้หยุดการซื้อทองคำในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาที่สูงขึ้น แต่ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มรายงานการซื้อทองคำสะสมหลังจากผ่านไปหลายเดือน การถือครองทองคำในตลาดเกิดใหม่และเอเชียมีสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 5 ของงบดุล ขณะที่ธนาคารกลางในตลาดพัฒนาแล้วและยุโรปถือครองทองคำโดยเฉลี่ยร้อยละ 10 ของงบดุล
3. การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
อีกปัจจัยที่คาดว่าจะเพิ่มความต้องการทองคำในอนาคตคือการคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งในปี 2567 และลดลงรวม 100 bps ในปี 2568 การลดอัตราดอกเบี้ยทำให้การลงทุนในทองคำมีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่ลดลง ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนสถาบันหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น
ด้วยปัจจัยหลายประการที่สนับสนุนความต้องการทองคำ UOB คาดว่าราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ภายในกลางปี 2568 และถึงแม้ว่าการคาดการณ์ถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะยังเร็วไป แต่ก็เป็นไปได้ในระยะยาว
ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/426970
อ่านคำแนะนำ MEVT Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/finnomenafunds/mevt-call-gold-jul-2024/
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
วันนี้ (5 กันยายน 2024) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นราว 2% หลังกระทรวงการคลังประกาศไทมไลน์การเสนอขายกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่งให้แก่นักลงทุนทั่วไป ซึ่งจะเปิดขายระหว่างวันที่ 16 – 20 กันยายน 2024 มูลค่าไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาท โดยระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้นอยู่ที่ 10 ปี และผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินปันผลตามอัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงในกองทุนในแต่ละปี กำหนดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำและขั้นสูง ซึ่งจะคงที่ตลอดระยะเวลา 10 ปี และยังมีกลไกคุ้มครองเงินลงทุนเพิ่มเติม จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น เช่น ADVANC +6% INTUCH +4.9% และ GULF +4.9%
นอกจากนี้ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว โดยเตรียมเข้าเฝ้าเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่ในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2024 และจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 16 กันยายน 2024 ซึ่งเป็นอีกปัจจัยภายในประเทศที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในวันนี้
Finnomena Funds มองว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์ที่มีไทม์ไลน์อย่างชัดเจน พร้อมกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลดลง หลังสามารถจัดตั้ง ครม.ชุดใหม่ได้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังถูกปรับประมาณการกำไรลงอย่างต่อเนื่อง และ Valuation อาจจะไม่สามารถกลับไปค่าเฉลี่ยในอดีตได้ เนื่องจากปัญหาในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ดังนั้น Finnomena Funds ยังคงไม่แนะนำหุ้นไทย
Definit Quant Portfolio โมเดลคัดเลือกหุ้นรูปแบบใหม่ มีระบบปรับพอร์ตให้ทุกเดือนอัตโนมัติ เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่า SET Index
รีวิวผลตอบแทน Definit Quant Portfolio ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ คลิกเลย
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
ตลาดการลงทุนทั่วโลกในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวผันผวนรุนแรง โดยในช่วงต้นเดือนตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง หลังตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐส่วนใหญ่ยังคงแข็งแกร่งและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงออกมาดี รวมถึงเฟดส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นถึงการลดดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนกันยายน ตลาดหุ้นทั่วโลกจึงกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมายังคงปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยในช่วงต้นเดือนตลาดร่วงลงจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ และปัญหาการเมืองภายในประเทศ อย่างไรก็ดี หลังตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัว และการเมืองภายในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้นหลังการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ปรับตัวลดลง จากความคาดหวังของนักลงทุนต่อการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยการลงทุนในตราสารหนี้โดยรวมยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกในเดือนที่ผ่านมา
ความชัดเจนเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของเฟดน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากในระยะยาวหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มเติบโตดี และจะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี ตลาดอาจมีความกังวลเกี่ยวกับราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมามาก และความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดในบางช่วงที่อาจสูงเกินไป (เช่น คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยแรง) จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนในบางช่วง ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นจากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อีกทั้งค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าจากการที่เฟดลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นไทยจึงน่าจะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้ยังคงมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง
ที่มา: เอกสารอัปเดตมุมมอง Krungsri The Masterpiece วันที่: 2 กันยายน 2024
ที่มา: เอกสารอัปเดตมุมมอง Krungsri The Masterpiece วันที่: 5 กันยายน 2024
ที่มา: เอกสารอัปเดตมุมมอง Krungsri The Masterpiece วันที่: 2 กันยายน 2024
คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
หลายคนมองว่าการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ๆ คือปัจจัยเดียวในการจัดพอร์ตการลงทุน จึงจัดพอร์ตที่สามารถปรับตัวขึ้นได้เร็วจนหลงลืมไปว่าการลงทุนมีขึ้นก็ต้องมีลง ไม่มีสินทรัพย์ไหนที่สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ตลอดทางโดยไม่แวะปรับฐาน
พอร์ตการลงทุนที่ขึ้นเร็วบ่อยครั้งมักมาจากความเสี่ยงที่สูง เช่น อัดการลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังเติบโตในอุตสาหกรรมหรือประเทศเดียวเพื่อหวังผลตอบแทนเต็ม Max แต่พอถึงจังหวะลง พอร์ตแบบนี้ก็จะปรับตัวลงอย่างรุนแรง เพราะไม่มีสินทรัพย์อื่น ๆ มาเฉลี่ยความเสียหายที่เกิดขึ้น
การจัดพอร์ตแบบนี้อาจทำให้นักลงทุนนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ไม่สบายใจในต้นทุนที่ใส่เข้าไปในพอร์ต ดังนั้นแล้ว การจัดพอร์ตที่มองแค่ผลตอบแทนก็อาจจะไม่พอ
นักลงทุนจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยง หรือ Risk Management ให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองด้วย
ความผันผวนคือการวัดว่า ราคาของสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงมากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอาจให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน
การเลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนในระดับที่ยอมรับได้ สอดรับกับนิสัย ไลฟ์สไตล์ และความจำเป็นด้านการเงิน จะช่วยให้นักลงทุนสามารถนอนหลับได้สบายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้ตื่นมาพอร์ตจะร่วงไปเท่าไหร่
Maximum Drawdown คือการวัดการขาดทุนสูงสุดจากจุดสูงสุดไปจุดต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง การพิจารณา Maximum Drawdown ของสินทรัพย์หรือกลยุทธ์การลงทุนจะช่วยให้เข้าใจว่า ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด เราอาจสูญเสียเงินลงทุนได้มากแค่ไหน ซึ่งถ้าสูงไปก็ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนให้มีความเสี่ยงที่ต่ำลง
ถ้าดูทั้ง Volatility และ Maximum Drawdown แล้วเห็นว่าพอร์ตของเรากำลังเสี่ยงไป รู้สึกว่าผลขาดทุนที่ (อาจ) เจอนั้นเกินกว่าที่เรารับไหว … ตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยให้ความเสี่ยงในการลงทุนของเราลดลงได้คือ การกระจายการลงทุน หรือ Asset Allocation นั่นเอง
ในโลกการลงทุนมีภาษิตอมตะอยู่คำนึงคือ …
อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว
เวลาตะกร้าใบนึงร่วง เราก็ยังมีไข่ที่เหลือเอาไว้กินอยู่
นี่คือคำอธิบายของ Asset Allocation ได้เห็นภาพที่สุด ไม่อยากลงทุนแล้วเห็นพอร์ตติดลบหนัก ๆ ก็อย่าใส่ทุนไว้ในสินทรัพย์เดียว
สิ่งที่สำคัญของ Asset Allocation ต้องเลือกสินทรัพย์ที่ขึ้นลงไม่พร้อมกันมากนัก หรือมี Correlation ต่อกันต่ำ ซึ่งจะช่วยการันตีในระดับนึงว่าเมื่อกระจายการลงทุนแล้วสินทรัพย์แต่ละตัวจะสลับ ๆ กันขึ้นลง ไม่ใช่พากันลงไปพร้อม ๆ กัน
หลักการหลัก ๆ ของ Asset Allocation คือการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย พื่อรักษาเสถียรภาพของพอร์ตโดยรวม เช่น การลงทุนในหุ้น พันธบัตร ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การลงทุนแบบนอนหลับสบายไม่ได้หมายถึงการลงทุนแบบปลอดความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง เพราะเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่เราสามารถลงทุนภายใต้ความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ โดยไม่ทำให้คุณต้องกังวลจนนอนไม่หลับ
การจะออกแบบพอร์ตให้สมดุลได้ นักลงทุนต้องใส่ใจกับ Volatility และ Max Drawdown รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ผ่านการทำ Asset Allocation ที่จะช่วยสร้างโอกาสผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมๆ กับการรักษาความสงบในจิตใจ
หากใครอยากมีพอร์ตการลงทุนระดับท็อป กระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล มีผู้เชี่ยวชาญดูแลให้ เราขอแนะนำพอร์ต All Weather Strategy (AWS) โดยพอร์ตมีการวิเคราะห์หลากหลายปัจจัย และกระจายการลงทุนอย่างสมดุล
และที่สำคัญ ยังได้คุณ Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับ 1 ของประเทศไทย เข้ามาดูแลพอร์ต สำหรับใครที่อยากลงทุนแบบนอนหลับสบาย นี่คือพอร์ตการลงทุนที่ตอบโจทย์อย่างยิ่ง!
จุดเด่นพอร์ต All Weather Strategy
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปั่นป่วนอย่างหนักเมื่อหุ้น NVIDIA บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิป AI ร่วงลงอย่างรุนแรงถึง 9.5% ในวันอังคารที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทลดลงไปเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10 ล้านล้านบาท)
ไม่เพียงแต่ NVIDIA ยักษ์ใหญ่ด้าน GPU เท่านั้นที่ประสบปัญหาการปรับตัวลงของราคาหุ้น แต่บริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
โดย Intel: ลดลงเกือบ 8%
Marvell: ลดลง 8.2%
Broadcom: ลดลงประมาณ 6%
AMD: ลดลง 7.8%
Qualcomm: ลดลงเกือบ 7%
ขณะที่ดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ VanEck Semiconductor ETF (SMH) ลดลง 7.5% นับเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิดเมื่อเดือนมีนาคม 2020
สาเหตุสำคัญของการร่วงลงครั้งนี้มาจากการที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) ได้ส่งหมายเรียกไปยัง NVIDIA และบริษัทอื่น ๆ รวมถึง Microsoft และ OpenAI เพื่อขอหลักฐานว่าบริษัทผู้ผลิตชิป AI รายใหญ่รายนี้ได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดหรือไม่ ซึ่งถือเป็นการยกระดับการสอบสวนของกระทรวงดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ต่อต้านการผูกขาดมีความกังวลว่า NVIDIA กำลังทำให้การเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์รายอื่นยากขึ้น และลงโทษผู้ซื้อที่ไม่ใช้ชิป AI ของตนเพียงเจ้าเดียว
นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) และคณะกรรมการกำกับดูแลการค้าของสหรัฐฯ (FTC) กำลังดำเนินการตรวจสอบการซื้อกิจการ RunAI ของบริษัท NVIDIA ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ หลังจากที่มีการประกาศการเข้าซื้อกิจการในเดือนเมษายนที่ผ่านมา การตรวจสอบนี้มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการแข่งขันในตลาด AI
RunAI เป็นบริษัทที่พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการการประมวลผล AI โดยหน่วยงานกำกับดูแลแสดงความกังวลว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้อาจส่งผลให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้ชิปของผู้ผลิตรายอื่นได้ยากขึ้น และยังมีการสอบสวนว่า NVIDIA ให้การสนับสนุนและกำหนดราคาที่เอื้อประโยชน์แก่ลูกค้าที่ใช้เทคโนโลยีของตนเพียงอย่างเดียวหรือไม่
Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ได้ออกมาชี้แจงถึงนโยบายของบริษัท โดยกล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับลูกค้าที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ของเราในศูนย์ข้อมูลได้ทันทีที่เราจัดหาให้ นโยบายนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการกักตุนและเร่งการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง”
หลังจากสร้างความฮือฮาในตลาดด้วยการเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง NVIDIA ยักษ์ใหญ่แห่งวงการชิปก็เริ่มส่งสัญญาณที่น่าจับตามอง เมื่ออัตราการเติบโตของกำไรเริ่มมีท่าทีชะลอตัวลง
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 02/09/2024
EPS Surprise คือความแตกต่างระหว่างกำไรต่อหุ้นที่บริษัทประกาศจริง (Actual EPS) กับที่นักวิเคราะห์คาด (Estimated EPS) โดยเมื่อค่า EPS Surprise เป็นบวก หมายความว่าบริษัททำผลประกอบการได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และถ้าเป็นค่าลบ หมายความว่าผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด
แม้ว่าโดยรวม NVIDIA จะมี EPS Surprise เป็นบวกค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาที่แสดงในกราฟ ซึ่งหมายความว่าบริษัทมักจะทำผลประกอบการได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เป็นประจำ แต่สังเกตได้ว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2023 เป็นต้นมา แนวโน้ม EPS Surprise ของ NVIDIA กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ในช่วงที่ผ่านมา NVIDIA ได้สร้างความประทับใจให้กับนักลงทุนด้วยผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าในปัจจุบัน โมเมนตัมของการเติบโตที่ร้อนแรงดังกล่าวกลับเริ่มแผ่วลง แม้ว่าผลประกอบการยังคงออกมาดี แต่อาจไม่สามารถสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดได้เหมือนเคย
แม้ว่าราคาหุ้น NVIDIA จะร่วงลงอย่างหนัก แต่บริษัทยังคงมีการเติบโตถึง 118% เมื่อเทียบเป็นรายปี สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในระยะยาว โดยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ NVIDIA ทำให้บริษัทกลายเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก โดยบริษัทอย่าง Microsoft Corp. และ Meta Platforms Inc. ใช้จ่ายมากกว่า 40% ของงบประมาณสำหรับฮาร์ดแวร์ไปกับอุปกรณ์ของ NVIDIA
สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนใน NVIDIA บริษัทผู้ผลิตชิปที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก Finnomena Funds แนะนำกองทุน SCBSEMI(A) ซึ่งเป็นคำแนะนำการลงทุนจาก Mr.Messenger Call ในรูปแบบ Trend Follower ที่เน้นลงทุนตามแนวโน้ม มองหาสินทรัพย์ที่ราคามีโมเมนตัมเชิงบวก จากปัจจัยทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐานเข้าเสริม
SCBSEMI(A) เป็นกองทุนรวมหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยจะต้องเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง และเน้นความเป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการถือหุ้น NVIDIA ที่ประมาณ 10.91% (ข้อมูลวันที่ 4 กันยายน 2024)
– อ่านบทความ รีวิวกองทุน SCBSEMI(A): เซมิคอนฯ ไม่เหมือนใคร โฟกัสหุ้นใหญ่ โตไวกว่าตลาด
รับชมคลิป Gigs Economy EP07 – NVIDIA บริษัทชิปเบอร์ 1 ของโลก มันสมองที่แท้จริงแห่งยุค AI
ที่มา: CNBC, Bloomberg, The Economist
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
สัปดาห์แรกของเดือนกันยายน ได้มีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวเลขและส่วนใหญ่เป็นตัวเลขทางฝั่งแรงงาน การลดการจ้างงานและการลงทุน บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เมื่ออัตราการว่างงานคงที่แต่มีการจ้างงานลดลง อาจเกิดแรงกดดันต่อแรงงาน เนื่องจากมีการแข่งขันเพื่อชิงงานมากขึ้นอีกด้วย และการลดลงของการจ้างงานและการลงทุนอาจทำให้ตลาดหุ้นผันผวน เนื่องจากนักลงทุนอาจมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมไปถึงตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโทฯ การชะลอตัวของเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น และสภาวะตลาดแรงงานที่ไม่แน่นอน อาจเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนในคริปโทฯ
ตัวเลขการสำรวจการจ้างงานทุกตำแหน่ง (ที่ยังว่างอยู่) ในทุกวันสุดท้ายของเดือน เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจ “Job Openings and Labor Turnover Survey (JOLTS)” การสำรวจนี้จะรวบรวมข้อมูลจาก 16,400 หน่วยงานนอกภาคเกษตรกรรม ซึ่งรวมถึงร้านค้าและโรงงาน รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลระดับกลาง ภาครัฐ ท้องถิ่นใน 50 รัฐ และดิสทริคต์ออฟคอลัมเบีย
คาดการณ์จาก Tradingeconomic : JOLTs Job Opening มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 8.148M เป็น 8.09M
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/job-offers
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การที่มีแนวโน้มว่า JOLTs Job Opening ปรับตัวลดลง หมายถึงความต้องการของตลาดแรงงานที่ลดตัวลง อาจบ่งชี้ถึงการที่ภาคธุรกิจนั้นได้จ้างคนน้อยลงเพราะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และยังนำไปสู่การเติบโตของค่าจ้างที่ลดตัวลงมาอีกด้วย เมื่อการแข่งขันในการหางานน้อยลง อาจทำให้ผู้ประกอบการไม่มีแรงจูงใจที่ต้องดึงตัวพนักงานไว้ เพราะเขานั้นสามารถหาพนักงานใหม่ได้ โดยรวมแล้วอาจแสดงให้เห็นถึงว่าเศรษฐกิจนั้นกำลังชะลอตัวอยู่ก็เป็นได้
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม เป็นรายงานการจ้างงานที่ถูกปล่อยออกมาเป็นระยะ ๆ โดยทั่วไปจะออกในวันศุกร์แรกของทุกเดือน มีผลกระทบมากต่อดอลลาร์ของสหรัฐ ตลาดหุ้น และตลาดหลักทรัพย์ Current Employment Statistics (CES) จากหน่วยงานสถิติแรงงานของกรมแรงงานของสหรัฐฯ ทำการสำรวจประมาณ 141,000 ธุรกิจ หน่วยงานรัฐบาล และ 486,000 ธุรกิจส่วนตัว เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการจ้างงาน ชั่วโมงทำงาน และรายได้ของคนงานในกลุ่มที่ไม่ใช่ภาคเกษตร
คาดการณ์จาก: Tradingeconomic : Non Farm Payrolls มีแนวโน้มที่จะลดตัวลงจาก 114K เป็น 100K
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/non-farm-payrolls
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การมีแนวโน้มที่จะลดลงของจำนวนคนงานที่ได้รับการจ้างงานในภาคธุรกิจและบริการต่าง ๆ นอกเหนือจากภาคเกษตรกรรม สามารถสร้างผลกระทบได้ การลดลงของการจ้างงานมักเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว เนื่องจากธุรกิจลดการลงทุนและการจ้างงาน และเมื่อผู้คนว่างงานหรือมีความไม่มั่นคงทางการเงิน การใช้จ่ายของผู้บริโภคมักจะลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม
Unemployment rate คือ อัตราการว่างงานเป็นสัดส่วนจากประชาการที่อยู่ในวัยทำงานทั้งหมด ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดถึงสภาพตลาดแรงงาน และสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม อัตราว่างงานที่สูงบ่งบอกถึงสภาวะเศรษฐกิจที่จะลอตัวลงหรือแม้กระทั้งหดตัวลง
คาดการณ์จาก Tradingeconomic : Unemployment Rate มีแนวโน้มที่จะคงที่ที่ 4.3%
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/unemployment-rate
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การที่อัตราการว่างงานนั้นมีแนวโน้มที่จะคงที่เท่าเดิมนั้น เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานนั้นแข็งแกร่งอย่างมากและมีเสถียรภาพ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อความมั่นใจของผู้บริโภคและนักลงทุน และด้วยการที่อัตราการว่างงานนั้นต่ำกว่า 5% นับว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ และยังถือว่าเป็นอัตราการว่างงานที่ต่ำอีกด้วย
Credit from Coindar
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
2 กันยายน
3 กันยายน
4 กันยายน
5 กันยายน
6 กันยายน
Source : https://www.coinglass.com/FundingRateHeatMap
ในส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้มีการปรับตัวลงเล็กน้อย หลายเหรียญมี Funding rate ติดลบ แสดงถึงตลาดที่เป็นภาพของปรับตัวลงเล็กน้อย นักลงทุนมีมุมมองเชิงลบต่อตลาด และทำการเปิดสถานะชอร์ตมากกว่าสถานะลอง
Source : https://www.coinglass.com/BitcoinOpenInterest
ในฝั่งของ Bitcoin Open Interest มีการปรับตัวลดลง บ่งบอกถึงการลดความเสี่ยงของนักลงทุนในระยะสั้น ทั้งนี้ อาจจะมาจากเหตุผลเรื่องความไม่แน่นอนทาง Macroeonomics และทำให้นักลงทุนจับตามองการประกาศของ Fed กลางเดือนนี้ ว่าจะมีการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยอย่างไร
Source : https://farside.co.uk/?p=997
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลออกจาก Spot Bitcoin ETFs รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 277.2 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นแรงขายสุทธิจาก IBIT แรงขายจากนักลงทุนสถาบันบ่งบอกถึงการ Risk-off ของนักลงทุน ที่อาจจะมาจากความกังวลเรื่อง Recession ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโทเคอร์เรนซีถูกเทขายออกมาก่อน
Source : https://farside.co.uk/?p=1518
ในส่วนของ Ethereum ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลออกทั้งสิ้น 12.4 ล้านเหรียญ ซึ่งยังคงเป็นแรงเทขายจาก ETHE เป็นหลัก แต่ก็มีปริมาณการขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน ๆ อย่างไรก็ตาม แรงซื้อจากเจ้าอื่นมีปริมาณต่ำมาก อาจเป็นผลกระทบจากความกังวลของภาพเศรษฐกิจโดยรวม และนักลงทุนที่รอให้แรงขายจาก ETHE น้อยลง เพื่อ Timing ตลาดและหาจุดเข้าซื้อที่ดีในอนาคต
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบันขึ้นอยู่กับข้อมูล Macroeconomics มากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเรื่อง Recession ทำให้การจับตามองการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลกระทบต่อการลงทุน ดังนั้น การดูข้อมูลเศรษฐกิจมหภาครวมกับข้อมูล On-chain จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการจับจังหวะซื้อขายที่ดี
Source : https://thedefireport.io
เนื่องจากปัจจุบัน ตลาดได้มีการ Priced in ไปแล้วว่า Fed จะทำการลดอัตราดอกเบี้ยทั้งสิ้น 9 ครั้ง และไปหยุดอยู่ที่อัตราดอกเบี้ย 3% ในช่วงปลายปี 2025 ส่งผลให้ดัชนี U.S. Dollar Index (DXY) ปรับตัวลดลงจากจุดพีคในเดือนตุลาคม 2022 ที่ 112 มาอยู่ที่ 101 ในปัจจุบัน และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Global Liquidity Index จะพบว่า เริ่มมีสัญญาณการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันหลังจากที่ DXY พีค
Source : https://thedefireport.io
ทั้งสอง Index สามารถบ่งบอกถึงสภาพตลาดที่กำลังรอ Liquidity เข้ามามากขึ้นได้ เมื่อ Fed ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบมากขึ้น เม็ดเงินของนักลงทุนจะกลับมา Risk-on มากขึ้นในระยะยาว
ส่วนความกังวลในระยะสั้นเรื่องของ Recession นั้น มองว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อย เนื่องจากการทำ Fiscal policy ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังคงเป็น Budget Deficit หรือสามารถตีความได้ว่า มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบเรื่อย ๆ ซึ่งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีการอัดฉีดมากถึง $244 พันล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม ภาพดังกล่าวสามารถเปลี่ยนได้เสมอ ดังนั้นจึงต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด
Source : https://tokenterminal.com
เมื่อนำภาพของ Liquidity ทั่วโลกมาประกอบกับสินทรัพย์อย่างคริปโทเคอร์เรนซี จะพบว่า ปัจจุบัน Stablecoin Supply มีปริมาณเกือบเท่ากับ All Time High เดิม ทำให้การดันราคาของ Bitcoin ให้ผ่านช่วง $73,000 ยังเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเม็ดเงินในตลาดยังเท่ากับ Cycle ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การที่ Bitcoin สามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ทั้งที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5%-5.25% นั้น เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก และแนวโน้มที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตก็จะเป็นภาพที่ Bullish กับตลาดโดยรวม
Source : https://studio.glassnode.com
จากการสังเกตพฤติกรรมของนักลงทุนระยะยาว พบว่ามีการเทขายเพื่อทำกำไรออกมาในช่วงไตรมาส 1 ปี 2024 ซึ่งสามารถบอกจุดสูงสุดได้ค่อนข้างแม่นยำ หลังจากนั้น ตลาดก็มีการ Sideways down จนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ เกิดการทยอยเข้าเก็บสะสมของนักลงทุนกลุ่มนี้ขึ้นจนเกือบเท่ากับระดับก่อนหน้า สามารถตีความทางอ้อมได้ว่า Smart Money เริ่มเก็บสะสมและคิดว่าตลาดจะสามารถไปต่อได้ในอนาคต
Source : https://studio.glassnode.com
หากพิจารณา MVRV Z-Score หรือดัชนีชี้วัดกำไรของนักลงทุนเทียบกับต้นทุน จะสังเกตได้ว่า จุดพีคของตลาดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา MVRV ขึ้นไปสูงสุดที่ 3 ซึ่งนับว่าเป็นจุดที่ค่อนข้างสูงและเป็นจุดเดียวกับในปี 2019 ที่หลังจากนั้นก็มีการพักตัว ก่อนที่จะเกิดตลาดกระทิงรอบใหญ่ในปี 2021 โดยในปัจจุบันได้มีการย่อตัวลงมาอยู่ที่ 1.6 ซึ่งเป็นจุดที่ค่อนข้างกึ่งกลาง ไม่ได้มีการ Overbought หรือ Oversold จนเกินไป เป็นภาพที่คล้ายคลึงกับปี 2019 ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงตลาดกระทิงในอนาคต
by Cryptomind Advisory
$BTC มีการปรับตัวลดลงมาอีกครั้ง โดยในภาพรวมแล้วเป็นการทำ Lower High ซึ่งเป็นการสร้าง Momentum ขาลงให้กับ $BTC ในช่วงข้างหน้านั้นจุดสำคัญคือการที่ราคาไม่ปรับตัวลงต่ำกว่า $56,000 เพราะจะทำให้ราคามีโอกาสลงต่อสูง ถ้าหากราคาสามารถยืนอยู่เหนือแนวรับดังกล่าวได้ $BTC ก็อาจมีการทำชุดสะสม Sideway ไปก่อนในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า
แนวต้าน : $61,000 | $67,000 | $73,500
แนวรับ : $56,500 | $52,500 | $48,000
$ETH มีการปรับตัวลงจากกรอบสะสมระยะสั้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามราคาได้ลงมาถึงแนวรับสำคัญบริเวณ $2,400 อีกครั้ง ซึ่งหากสามารถยืนอยู่เหนือราคานี้ได้ก็มีโอกาสที่จะะเกิดการกลับตัวของราคาได้ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบ Sideway Up อย่างไรก็ตามหากราคามีการปิดตัวต่ำกว่าแนวรับดังกล่าวก็มีโอกาสที่ $ETH จะย่อไปจนถึง $2,100 ได้เลยเช่นกัน
แนวต้าน : $2,870 | $3,350 | $3,700
แนวรับ : $2,400 | $2,125 | $1,870
by Cryptomind Advisory
“มีความเป็นไปได้สูง” ของการลดดอกเบี้ยของ FED จะมาถึงในเดือนกันยายน และ Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% และการมาของ Ethereum spot ETF และมุมมองเชิงบวกมาก ๆ ต่อตลาดคริปโทฯ ในสหรัฐฯ ในเชิงการเมืองที่อาจจะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาสที่ 4 และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต และเพิ่มสัดส่วนของ Ethereum ในพอร์ตเพิ่มขึ้น บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดีรับสัญญาณของ Altcoins season และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 40%
SELECTIVE ALTCOINS (ETH, LAYER 2 ,LSD) 40%
STABLECOIN 20%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-2nd-6th-September-2024
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
การสร้าง Passive Income ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลา
ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาวิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income ผ่านช่องทางออนไลน์อยู่ ในบทความนี้ ขอพาคุณไปรู้จักกับ “10 ไอเดียสร้าง Passive Income ที่สามารถทำได้จริงผ่านช่องทางออนไลน์” สามารถเริ่มต้นทำได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินลงทุนมากมาย จะมีอะไรบ้าง? มาดูไปพร้อมกันได้เลย!
หากพูดถึงการสร้าง Passive Income หนึ่งในวิธีที่คนมักจะพูดถึงเป็นสิ่งแรก ๆ ก็คือการสร้าง Passive Income ผ่านการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนปันผล เนื่องจากเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นหรือกองทุนจำเป็นจะต้องศึกษาข้อมูลของแต่ละสินทรัพย์อย่างละเอียดก่อนเสมอ ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง มีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว เพราะนอกจากจะสร้าง Passive Income จากเงินปันผลได้แล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ได้อีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม Passive Income คืออะไร?: รวมสุดยอดไอเดียสร้าง Passive Income ผ่านการลงทุน
อีกหนึ่งวิธีสร้าง Passive Income ที่คนมักพูดถึงไม่ต่างจากการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนปันผลคือการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ หากคุณมีอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน คอนโด หรือที่ดิน แทนที่จะปล่อยมันว่างทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์ ลองใช้มันสร้างรายได้ให้คุณโดยการปล่อยเช่าดู ซึ่งจะทำให้คุณมีรายได้แบบ Passive Income เข้ามาสม่ำเสมอในทุกเดือน
การสร้างคอร์สเรียนออนไลน์ เป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้าง Passive Income สำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งและอยากแบ่งปันความรู้ดี ๆ ให้คนอื่น เพียงแค่คุณสร้างคอร์สเรียนออนไลน์ที่มีเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน ก็สามารถสร้าง Passive Income ได้ง่าย ๆ โดยคุณสามารถตั้งราคาคอร์สเรียนออนไลน์ได้ตามต้องการ และเมื่อมีผู้เรียนซื้อ คุณจะได้รับรายได้เป็น Passive income จากการขายคอร์สเรียนออนไลน์ของคุณ
ใครเป็นสายถ่ายภาพ พกกล้องไปทุกที่ รักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ ก็สามารถสร้าง Passive Income จากสิ่งนี้ได้ โดยการนำภาพถ่ายของคุณมาลงขายผ่านเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น Shutterstock, iStockPhoto, Freepik และ Adobe Stock เป็นต้น รูปภาพ 1 ภาพ สามารถลงขายได้เรื่อย ๆ ไม่จำกัดจำนวนคนซื้อ ดังนั้นยิ่งคุณมีภาพถ่ายให้ลูกค้าเลือกเยอะ ก็ยิ่งมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น ทั้งนี้ราคาของรูปถ่ายก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละเว็บไซต์
สำหรับใครที่ชอบเล่าเรื่องผ่านงานเขียนก็สามารถนำความชอบตรงนี้มาเขียนหนังสือขายออนไลน์ในรูปแบบของ E-book เพื่อสร้าง Passive Income ได้เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่เปิดให้ลงขาย E-book ได้ ไม่ว่าจะเป็น Ookbee, Meb Market และ Arn Book เป็นต้น
และใครที่รักการแต่งนิยายก็สามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income เช่นกัน ซึ่งนอกจากเว็บไซต์ที่กล่าวไปแล้ว ยังมีแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้นักเขียนนิยายเข้าไปอวดฝีมือมากมาย ไม่ว่าจะเป็น จอยลดา, ReadAwrite และธัญวลัย เป็นต้น นักเขียนจะได้รับผลตอบแทนเป็นส่วนแบ่งจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ จากการแต่งนิยาย ยิ่งมียอดคนอ่านเยอะก็จะยิ่งได้รับส่วนแบ่งมากขึ้นตามไปด้วย และหากเป็นเรื่องที่นักอ่านเลิฟสุด ๆ ก็อาจจะรับคอยน์จากนักอ่านเพิ่มกันแบบจุก ๆ กันเลยทีเดียว
หากคุณเป็นสายชอปออนไลน์และชอบบอกต่อไอเทมเด็ด ๆ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ “Affiliate Marketing” ถือเป็นช่องทางสร้าง Passive Income ที่ตอบโจทย์คุณมากที่สุด เพราะ คุณสามารถเขียนรีวิวและแปะลิงก์ Affiliate ได้ ซึ่งหากมีคนกดซื้อสินค้าหรือบริการผ่านลิงก์ของคุณ ก็จะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าคอมมิชัน ทั้งนี้เปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชันจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์มและสินค้าหรือบริการนั้น ๆ
สำหรับสาว ๆ หนุ่ม ๆ ที่รักแฟชั่นเป็นชีวิตจิตใจ ชอบตามเทรนด์ ซื้อเสื้อผ้าบ่อย ๆ จนมาดูอีกทีก็ไม่มีที่เก็บแล้ว ลองเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ล้นตู้ ไม่รู้จะเก็บตรงไหน มาสร้างรายได้ให้เราโดยการเปิดร้านให้เช่าเสื้อผ้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ดู ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter และ Instagram ใครที่พูดเก่งหรือเป็นสายไลฟ์สดอยู่แล้วก็สามารถใช้ Tiktok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้มาเพิ่มสีสันให้ร้านของเราได้เช่นกัน
ปัจจุบันกระแสสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง และถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยหนึ่งในวิธีสร้าง Passive Income ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลคือการขาย NFT ผลงานที่ถูกนำมาขายส่วนใหญ่จะเป็นงานศิลปะในรูปแบบสกุลเงินดิจิลทัลบน Blockchain ซึ่งหากคุณลงมือสร้างผลงานแล้วสามารถจำหน่ายได้เรื่อย ๆ เช่นเดียวกับการขายภาพถ่ายผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั้งนี้การขาย NFT จำเป็นจะต้องมีกระเป๋าคริปโตฯ (Crypto Wallet) เพื่อใช้ในการรับเงินหากขายผลงานได้ โดยจะได้รับเงินในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัล
อ่านเพิ่มเติม NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1
Peer-to-Peer Lending หรือ P2P Lending เป็นการกู้ยืมระหว่างบุคคลกับบุคคลรูปแบบใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีแพลตฟอร์มเป็นตัวกลางในการจับคู่ระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ ผู้ให้กู้จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยสูงถึงประมาณ 9-12% ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนจำนวนมากก็สามารถปล่อยกู้ได้
อ่านเพิ่มเติม P2P Lending คือ อะไร? ไม่ต้องเป็นแบงค์ ไม่ต้องเป็นเศรษฐี ก็ปล่อยกู้ได้
หากคุณเป็นคนที่มีความสนใจในเรื่องการเงินการลงทุน หนึ่งในอาชีพเสริมที่สร้าง Passive Income ให้คุณได้คืออาชีพ “ที่ปรึกษาการลงทุน” หรือ “Financial Advisor” โดยเป็นอาชีพที่ให้บริการวางแผนทางการเงินและแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้า จัดพอร์ตการลงทุนเพื่อให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น กองทุน ประกัน ฯลฯ
โดยที่ปรึกษาการลงทุนเป็นอาชีพที่มีความอิสระในการทำงาน สามารถกำหนดเวลาทำงานได้เอง พร้อมสร้างรายได้แบบไม่มีขีดจำกัดในรูปแบบของ Passive Income ผ่านค่าคอมมิชชันจากการลงทุนของลูกค้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของคุณ
ใครสนใจในอาชีพที่ปรึกษาการลงทุน (Financial Advisor) ตอนนี้ Finnomena เปิดรับที่ปรึกษาการลงทุนจำนวนมาก มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว FA กับเรา สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมกรอกใบสมัคร FA ได้ที่ https://www.finnomena.com/fa/
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาชีพที่ปรึกษาการลงทุน (Financial Advisor)
— planet 46.
อ้างอิง
เช้าวันนี้ (4 กันยายน 2024) ตลาดหุ้นเอเชียร่วงหนัก นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) – 3.2% ตลาดหุ้นเกาหลี (KOSPI) -2.5% และดัชนีหุ้นจีน H-Share (HSCEI) -1.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในคืนวันอังคารที่ 3 กันยายน 2024 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง -2.12% และดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวลง -3.15%
หลังเกิดแรงเทขายอย่างหนักในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้น Nvidia ที่ปรับตัวลงแรงถึง 9.53% เนื่องจากถูกตรวจสอบข้อหาการผูกขาด ประกอบกับมีการเปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (ISM Manufacturing PMI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระดับ 46.8 ในเดือนกรกฎาคม สู่ระดับ 47.2 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 47.5 โดยดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตยังอยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 จึงส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังชะลอตัว
Finnomena Funds มองว่าตลาดหุ้นเอเชียจะเผชิญความผันผวนจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ จนกว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นของตัวเลขภาคการผลิตและตลาดแรงงาน โดยต้องติดตามการประกาศอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2024
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของตลาดหุ้นเอเชียเป็นโอกาสเข้าลงทุนหุ้นเพิ่มในระยะยาว สำหรับกองทุนหุ้นเอเชียแนะนำ UOBSA ที่ใช้ AI ร่วมกับผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น สร้างผลตอบแทนโดดเด่นกว่ากองเอเชียอื่น ๆ อย่างชัดเจน นอกจากนี้ นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุน SCBKEQTG ตามมุมมองของ Finnomena Funds หรือ DAOL-KOREAEQ ตามคำแนะนำ FundTalk Call
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
หากเราลองจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือรถยนต์ไฟฟ้า มันคงเป็นโลกที่ลำบากน่าดู การติดต่อสื่อสารจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก การทำงานที่ช้าลง และการเข้าถึงข้อมูลจะจำกัดอยู่เพียงตำราเรียนหรือห้องสมุด ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่รู้หรือไม่ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนขับเคลื่อนด้วยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดจิ๋วที่เรียกว่า “เซมิคอนดักเตอร์” ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด
เซมิคอนดักเตอร์ถือเป็นหัวใจสำคัญใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เนื่องจากเป็นวัสดุสำคัญที่ใช้ทำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รวมถึงแผงวงจรต่าง ๆ และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Industry Association) หรือ SIA คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นกว่า 100% ในช่วงปี 2020-2030 จาก 4.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16 ล้านล้านบาท) เป็น 9.4 แสนนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 32 ล้านล้านบาท) ซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP โลกเสียอีก
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Semiconductor (ชนิดสะสมมูลค่า) หรือ SCBSEMI(A) เป็นกองทุนรวมหุ้นประเภท Feeder Fund ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
โดยลงทุนผ่านกองทุนหลัก VanEck Semiconductor UCITS ETF ที่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้เคลื่อนไหวตามดัชนี MVIS US Listed Semiconductor 25 Index (Passive) โดยดัชนีดังกล่าวจะคัดเลือกบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีสภาพคล่องสูงที่สุดจำนวน 25 บริษัท
ทั้งนี้ กองทุนหลักมีกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นด้วยการโฟกัสที่ธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แล้วเลือกมาเฉพาะ บริษัทขนาดใหญ่ที่มี Market Cap สูงกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.83 แสนล้านบาท) โดยสัดส่วนของบริษัทดังกล่าวมีมากถึง 98.6% ของพอร์ต
สิ่งที่น่าสนใจคือ กองทุนหลักมีการลงทุนแบบกระจุกตัวมากกว่ากองทุนหุ้นเซมิคอนดักเตอร์อื่น โดยสัดส่วน Top 5 Holdings อยู่ที่ 50.52% และ Top 10 Holdings ที่ 74% ทำให้หากหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ปรับฟื้นตัวขึ้นมา จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่ากองทุนหุ้นเซมิคอนดักเตอร์อื่น ๆ
ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 30/06/2024
ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
กองทุน VanEck Semiconductor ETF มุ่งหวังที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบ การผลิต หรือการขายเซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือบริการที่เกี่ยวข้อง
โดยข้อมูลที่น่าสนใจของ VanEck Semiconductor UCITS ETF มีดังนี้
กองทุน VanEck Semiconductor ETF เลือกหุ้นที่จะลงทุนโดยใช้กระบวนการคัดกรองแบบหลายขั้นตอน ดังนี้
*ข้อมูล ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2024
Broadcom เป็นบริษัทข้ามชาติชั้นนำระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ พัฒนา และจัดหาโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวงจรรวมดิจิทัลและอนาล็อกที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่มากมาย
ปัจจุบัน Broadcom มีธุรกิจอยู่ 2 ส่วนหลัก ๆ นั่นคือ
โดย Broadcom จะทำทั้งธุรกิจรับออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แล้วจึงส่ง Outsource ว่าจ้างให้โรงงานข้างนอกผลิตให้อีกทีหนึ่ง
ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมและมีส่วนแบ่งตลาดสูง
– Optical Mouse Sensor
Broadcom เป็นผู้นำในการพัฒนาและผลิตเซ็นเซอร์แสงสำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวของเมาส์แบบออปติคัล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ ทำให้เมาส์มีความแม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น โดยเมาส์ไร้สายที่เราใช้งานอยู่ทุกวันนี้ก็ใช้เทคโนโลยี Optical Mouse Sensor ที่พัฒนาจาก Broadcom
– ชิป ASIC (Application Specific Integrated Circuit)
ASIC หรือ Application Specific Integrated Circuit คือชิปวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานเฉพาะเจาะจงสำหรับแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการขุดคริปโตเคอร์เรนซี ไม่เหมือนกับชิปทั่วไปที่ออกแบบมาให้ทำงานได้หลากหลาย
– FBAR Filters (Film Bulk Acoustic Resonator Filters)
FBAR Filters ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการกรองสัญญาณความถี่ โดยเฉพาะสำหรับสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ช่วยให้สมาร์ทโฟนสามารถรับส่งสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
Nvidia (NVDA) เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งเน้นพัฒนาชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) หรือที่เรียกกันว่าการ์ดจอ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ Nvidia ถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เกมมิ่ง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ศูนย์ข้อมูล และยานยนต์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Nvidia ที่เน้นการผลิต GPU ครองส่วนแบ่งการตลาดไปถึง 88% (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2024)
ธุรกิจหลักของ Nvidia สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
การ์ดจอ GeForce เป็นผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังที่สุดของ Nvidia โดยถูกออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่สมจริงและราบรื่นให้กับเกมเมอร์ทั่วโลก
Nvidia ผลิตชิป GPU ที่ทรงพลังเพื่อใช้ในการประมวลผลด้าน AI เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนานวัตกรรมในหลากหลายอุตสาหกรรม
Nvidia พัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในรถยนต์ไร้คนขับ และรถยนต์ที่มีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ หรือ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) ซึ่งชิป GPU ของ Nvidia ช่วยให้รถยนต์สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมพร้อมทั้งตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
Nvidia ได้สร้าง New S-Curve ด้วยการรุกธุรกิจการแพทย์ โดยนำเทคโนโลยี GPU ไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลทางชีววิทยา การพัฒนายา และการวินิจฉัยโรค
TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company เป็นบริษัทข้ามชาติสัญชาติไต้หวัน ที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์แบบครบวงจร อีกทั้งยังเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์สูงถึง 55.6%
แม้ว่า TSMC จะไม่ได้ออกแบบชิปเอง แต่ลูกค้าที่ TSMC รับผลิตชิปให้ก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำระดับโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Apple Qualcomm AMD หรือ Nvidia สะท้อนถึงความเป็นผู้นำและความสำคัญของ TSMC ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
ธุรกิจหลักของ TSMC
ธุรกิจหลักของ TSMC คือการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ให้กับลูกค้ารายใหญ่ทั่วโลก โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง
TSMC มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ชิปที่มีขนาดเล็กลง ประสิทธิภาพสูงขึ้น และตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่น
TSMC ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่หลากหลายเพื่อรองรับกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่ เช่น
– สมาร์ทโฟน: ชิป A-series สำหรับ iPhone และ iPad ของ Apple
– คอมพิวเตอร์: ชิปสำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊กของ AMD และ Nvidia
– อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) : เซ็นเซอร์ แกดเจ็ตอัจฉริยะ (Smart Gadget) และอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Smart Wearable)
– ยานยนต์: ชิปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ปัจจุบัน TSMC ได้ผลิตชิปมากกว่า 10,000 รายการ ให้กับลูกค้ามากกว่า 500 ราย โดยมีโรงงานผลิตชิปตั้งอยู่ในไต้หวัน จีน สหรัฐฯ และยังมีแผนที่จะขยายโรงงานไปยังเยอรมันและญี่ปุ่นอีกด้วย
นอกจากนี้ TSMC ยังมีความสามารถในการผลิตชิปให้มีขนาดเล็กลงไปถึง 3 นาโนเมตร ซึ่งถือว่าล้ำสมัยที่สุดในตอนนี้ ทำให้ชิปมีขนาดเล็กลง ประสิทธิภาพสูงขึ้น และประหยัดพลังงาน
ASML เป็นบริษัทข้ามชาติ สัญชาติดัตช์ ที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและผลิตเครื่องจักรเครื่องจักรสำหรับพิมพ์ลายลงบนชิปเซมิคอนดักเตอร์ให้แก่บริษัทผู้ผลิตชิปทั่วโลก เช่น TSMC Samsung และ Intel เป็นต้น
โดยเฉพาะเครื่องจักรที่เรียกว่า “EUV Lithography” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตชิปสมัยใหม่ทุกตัวที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และส่งผลให้ ASML สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องผลิตชิปเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ราว 80%
เครื่องผลิตชิปที่ ASML ขาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
ปัจจุบัน ASML เป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยี Extreme Ultraviolet Lithography (EUV) ในเครื่องผลิตชิปแต่เพียงผู้เดียวในโลก ใช้สำหรับการผลิตชิปขั้นสูง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สุดของบริษัท ทำให้เป็นผู้ผูกขาดตลาดเครื่องผลิตชิปอย่างแท้จริง โดยครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 80% ทั่วโลก
AMD หรือ Advanced Micro Devices เป็นบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน ที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและผลิตไมโครโปรเซสเซอร์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ CPU
นอกจากนี้ AMD ยังออกแบบและผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) และผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์อื่น ๆ สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อีกด้วย
ธุรกิจหลักของ AMD
AMD ผลิต CPU ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป โน้ตบุ๊ก รวมถึงเซิร์ฟเวอร์ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นอย่าง Ryzen ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป และการโอเวอร์คล็อก (การปรับให้เครื่องทำงานได้เร็วกว่าสเปคที่ระบุมา โดยเพิ่มความเร็ว CPU หรือ GPU) เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและราคาที่คุ้มค่า
การ์ดจอ Radeon ของ AMD เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Nvidia GeForce การ์ดจอเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ คอมพิวเตอร์สำหรับงานกราฟิก และศูนย์ข้อมูล
AMD ผลิตชิปเซ็ตที่ใช้ควบคุมการทำงานของส่วนประกอบต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ เช่น หน่วยความจำ และอุปกรณ์ต่อพ่วง
AMD พัฒนาโซลูชันสำหรับศูนย์ข้อมูล ซึ่งรวมถึงโปรเซสเซอร์และชิปเร่งความเร็ว เพื่อรองรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และงานด้าน AI
ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น
– Ryzen: ซีรีส์โปรเซสเซอร์ (CPU) สำหรับคอมพิวเตอร์ โดย Ryzen ได้รับการออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Intel Core โดยตรง
– Radeon: การ์ดจอสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเร่งประสิทธิภาพการแสดงผลกราฟิก ทำให้สามารถเล่นเกม วิดีโอ หรือทำงานด้านกราฟิกได้อย่างราบรื่นและสวยงามมากขึ้น โดย Radeon เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ GeForce ของ Nvidia
– EPYC: ซีรีส์ของโปรเซสเซอร์ (CPU) สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเพื่อออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และซับซ้อน จากศูนย์ข้อมูล คลาวด์ และระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีแนวโน้มเติบโตสูงมากในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เนื่องจากความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม
ธุรกิจผลิตชิปนั้นมีความซับซ้อนสูง มีเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์ และยังถูกใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมที่เป็น Mega Trends ของโลก ถือเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันทำให้บริษัทสามารถครองตลาดและเติบโตได้ในระยะยาว
เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนแบบกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ โดย Top 5 Holdings อยู่ที่ 50.52% ทำให้เมื่อตลาดหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวดีขึ้น กองทุนนี้ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนหุ้นเซมิคอนดักเตอร์อื่น ๆ
ที่มา: Vaneck, SET Investnow, Finnomena, SCBAM
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ชมรมหุ้นกู้ – รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลินิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
ติดตามรายการชมรมหุ้นกู้ได้ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Youtube & Facebook Finnomena
จังหวะที่ราคาทองคำทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด มีประเทศไหนบ้างที่ตุนทองไว้เต็มถุง เก็บสำรองทองคำไว้มากที่สุดในโลก
จะบอกว่าเป็นปีทองของการถือทองคำก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่ต้นปี 2024 ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในโลก Gold Spot Price ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 22% YTD สูงกว่าหุ้นอเมริกา
หนึ่งในปัจจัยหลักที่หนุนให้ทองทำโลกวิ่งเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง คือการทยอยเก็บสะสมทองคำสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก และล่าสุด World Gold Council รายงานว่าในครึ่งแรกของปีนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำรวมกันมากถึง 483 ตัน นับเป็นปริมาณที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา 8,133.46 ตัน
อันดับ 2 เยอรมนี 3,351.53 ตัน
อันดับ 3 อิตาลี 2,451.84 ตัน
อันดับ 4 ฝรั่งเศส 2,436.97 ตัน
อันดับ 5 รัสเซีย 2,335.85 ตัน
อันดับ 6 จีน 2,264.32 ตัน
อันดับ 7 ญี่ปุ่น 845.97 ตัน
อันดับ 8 อินเดีย 840.76 ตัน
อันดับ 9 เนเธอร์แลนด์ 612.45 ตัน
อันดับ 10 ตุรกี 584.93 ตัน
อันดับ 11 โปรตุเกส 382.66 ตัน
อันดับ 12 โปแลนด์ 377.37 ตัน
อันดับ 13 อุซเบกิสถาน 365.15 ตัน
อันดับ 14 สหราชอาณาจักร 310.29 ตัน
อันดับ 15 คาซัคสถาน 298.80 ตัน
อันดับ 16 สเปน 281.58 ตัน
อันดับ 17 ออสเตรีย 279.99 ตัน
อันดับ 18 ไทย 234.52 ตัน
อันดับ 19 สิงคโปร์ 228.86 ตัน
อันดับ 20 เบลเยี่ยม 227.40 ตัน
พิเศษ! ติดตามราคาทองคำแบบ Real-Time ทั้งทองไทยและทองโลก บนเว็บไซต์ Finnomena ได้แล้ววันนี้ คลิกเลย https://finno.me/gold-web
Source: World Gold Council as of 31 July 2024
การคิดค้นและพัฒนาโมเดลคัดเลือกหุ้นรายตัวที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนประสบความเร็จในการลงทุนมากขึ้น แต่ก่อนที่โมเดลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในโลกจริง ต้องมีการตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ของโมเดลเพื่อให้มั่นใจได้ว่าโมเดลจะยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในสภาวะตลาดต่าง ๆ ได้หรือไม่ โดยกระบวนการทดสอบผลลัพธ์ของโมเดลที่สำคัญประกอบด้วย 2 กระบวนการคือ
Source: Jakub Polec, Medium as of 18 June 2024
ทีมงาน Definit by Finnomena ได้พัฒนา “Definit Quant Portfoilio หรือ DQP” โมเดลเลือกหุ้นไทยรายตัวมุ่งสร้างผลตอบแทนชนะตลาดในระยะยาว พิจารณา 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.Earnings 2.Valuation และ 3.Technical เพื่อคัดเลือกหุ้นไม่เกิน 10 ตัว ทุก ๆ เดือน โดยลงทุนแบบสัดส่วนเท่ากัน (Equal weight) โมเดลนี้ผ่านการทำ backtest ย้อนหลัง 10 ปีซึ่งครอบคลุมทุกช่วงสภาวะของตลาด และทำ Live test มากกว่า 1 ปี ซึ่งสร้างผลลัพธ์ที่ชนะตลาดหุ้นไทย (SET TRI) ในระยะยาว
ตั้งแต่เริ่ม Definit เริ่มให้คำแนะนำจริง (มกราคม 2024) “Definit Quant Portfoilio หรือ DQP” สร้างผลตอบแทนหลังหักทุกค่าธรรมเนียม +5.9% สวนทางตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลง -6.3% (ข้อมูล ปัจจุบัน ณ 2 สิงหาคม 2567) หากนับตั้งแต่เริ่มทำ backtest จนถึงปัจจุบัน* Definit Quant Portfolio ทำผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ +17.4% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET TRI) +2.5% *(มกราคม 2013 จนถึง กรกฏาคม 2024)
ผลตอบแทนสุทธิรายปีหลังหักทุกค่าธรรมเนียมของ Definit Quant Portfolio เทียบกับ SET TRI
Source: Definit, Bloomberg as of 2 Sep 2024
การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลตอบแทนในอดีตปี 2013-2022 เป็นการ Back test ไม่สามารถเป็นการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต | ผลตอบแทนในปี 2013-2023 คำนวนโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | Live test เริ่มตั้งแต่ปี 2023 | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิด (ATC) ของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิด (ATO) ของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี
ผลตอบแทนสะสมหลังหักทุกค่าธรรมเนียมของ Definit Quant Portfolio เทียบกับ SET TRI, ค่า median ของผลตอบแทนกองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ และค่า median ของผลตอบแทนกองทุนหุ้นไทยขนาดกลาง-เล็ก
Source: Definit, Bloomberg as of 2 Sep 2024
การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลตอบแทนในอดีตปี 2013-2022 เป็นการ Back test ไม่สามารถเป็นการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต | ผลตอบแทนในปี 2013-2023 คำนวนโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | Live test เริ่มตั้งแต่ปี 2023 | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิด (ATC) ของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิด (ATO) ของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี
ผลตอบแทนรายเดือนสุทธิหลังหักทุกค่าธรรมเนียมตั้งแต่เริ่มให้คำแนะนำจริงของ Definit Quant Portfolio เทียบกับ SET TRI
Source: Definit, Bloomberg as of 2 Sep 2024, *net of commission and management fee
การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลตอบแทนในอดีตปี 2013-2022 เป็นการ Back test ไม่สามารถเป็นการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต | ผลตอบแทนในปี 2013-2023 คำนวนโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | Live test เริ่มตั้งแต่ปี 2023 | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิด (ATC) ของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิด (ATO) ของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อ (ATC) ใช้ราคาปิดของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิด (ATO) ของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี
เพื่อพิสูจน์ความเสมอต้น เสมอปลายของโมเดล ทีมงานได้ทำการทดสอบทางสถิติเพื่อพิสูจน์ว่า “ผลลัพธ์ของโมเดลในช่วง Backtest กับช่วง Live test แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหรือไม่” โดยพิจารณาจาก ผลตอบแทนส่วนเพิ่มก่อนหักค่าธรรมเนียม 1 เดือนที่เคลื่อนที่ข้อมูลไปทุก ๆ วัน หรือ 1-month rolling gross alpha (daily) ในการทดสอบครั้งนี้ได้ตัดช่วงที่ข้อมูลมีค่าผิดปกติ (outliner) ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2015 และ 2020 (ผลตอบแทนส่วนเพิ่มหรือ alpha คือ ผลตอบแทนของโมเดลเทียบกับผลตอบแทนของ SET TRI)
1-month rolling gross alpha (daily)
Source: Definit, Bloomberg as of June 2024
ตั้งสมมติฐาน:
สมมติฐานหลัก (H0): ค่าเฉลี่ยของ 1-month rolling gross alpha ในช่วง Live test เท่ากับช่วง Backtest
สมมติฐานรอง (H1): ค่าเฉลี่ยของ 1-month rolling gross alpha ในช่วง Live test ไม่เท่ากับช่วง Backtest
ผลการทดสอบทางสถิติ
Source: Definit, Bloomberg as of June 2024
สรุปผลการทดสอบสมติฐาน:
P-value (two-tailed) = 0.058 > 0.05 → Do not reject H0 ที่ความเชื่อมั่น 95%
หรือสามารถกล่าวได้ว่าไม่สามารถปฏิเสธสมมติฐานหลัก (H0) จึงสรุปได้ว่าค่าเฉลี่ยของ gross alpha ในช่วง Live test ไม่ได้แตกต่างจากในช่วง Backtest ที่ความเชื่อมั่น 95%
รับข้อมูลเพิ่มเติมและบริการ Definit Quant Portfolio: http://bit.ly/3WUxnqC
Definit Quant Portfolio เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (Definit By Finnomena) ที่เป็นผู้สร้างโมเดลคัดเลือกหุ้น และบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่มีเทคโนโลยีการซื้อขายหุ้นอัตโนมัติ Definit Quant Portfolio จึงเป็นการผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย
จุดเด่นของ Definit Quant Portolio คือเป็นพอร์ตการลงทุนหุ้นไทยอัตโนมัติ “ซื้อ ถือ ขาย ทำตามระบบ” ไม่ใช้คนตัดสินใจ ไร้อารมณ์ ไม่มีอคติ แต่ใช้โมเดลการคัดเลือกหุ้นที่ถูกคิดค้นโดยทีมงาน Definit By Finnomena ที่มีประสบการณ์โดยตรงในสายงานบริหารจัดการกองทุน วิเคราะห์หลักทรัพย์ และ Data science พร้อมด้วยเครื่องมือการวิเคราะห์เชิงลึกที่ใช้ในอุตสาหกรรมการเงินระดับมืออาชีพ
กระบวนการลงทุนของ Definit Quant Portfolio มีรายละเอียดดังนี้
1. กำหนดขอบเขตการลงทุน
2. เกณฑ์การคัดเลือกพิจารณาด้วย “EVT Factor Model” ซึ่งครอบคลุมทั้งในเชิงปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค
3. ลงทุนแบบ Equal weight เลือกหุ้นใหม่ทุกเดือน ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงของพอร์ต
Source: Definit as of July 2024
รับข้อมูลเพิ่มเติมและบริการ Definit Quant Portfolio: http://bit.ly/3WUxnqC
หมายเหตุ: ผลิตภัณฑ์นี้เป็นการร่วมมือระหว่าง บลป. Definit ที่ทำการคัดเลือกหุ้นและ บล. หยวนต้า ที่ให้บริการแพลตฟอร์มการลงทุน
คำเตือน
รวมครบจบในที่เดียวสำหรับ Thai ESG ‘กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน’ กองทุนลดหย่อนภาษีที่ปีนี้ได้ปรับเงื่อนไขใหม่ สามารถลดหย่อนภาษี สูงสุด 300,000 บาท และเหลือระยะเวลาถือครอง 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อ
เราจึงได้สรุปรายละเอียดและข้อมูลสำคัญของ Thai ESG จาก บลจ. ต่าง ๆ ที่สามารถลงทุนแล้วผ่าน Finnomena Funds เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน จะมีกองทุนไหนที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย
รวบรวมข้อมูลโดย Finnomena Funds ณ วันที่ 31/07/2024
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
สรุปรายละเอียดและจุดเด่นกองทุน
โพยกองทุนลดหย่อนภาษี SSF RMF และ Thai ESG อัปเดตใหม่ปี 2024 คัดเน้นที่เดียวจบ!
คำเตือน: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน / การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน / กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
บริษัท BYD ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการยานยนต์ด้วยยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมียอดขายทะลุ 370,854 คัน เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ในขณะที่ BYD กำลังประสบความสำเร็จในการขยายตลาดต่างประเทศ Xiaomi ก็ได้รายงานยอดส่งมอบรถยนต์มากกว่า 10,000 คัน เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน หลังเคยประกาศเป้าหมายในการส่งมอบรถซีดานไฟฟ้า SU7 จำนวน 100,000 คัน ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ยอดขายของ BYD พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องคือความนิยมของรถไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 48% และคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 2 ใน 3 ของยอดขายรวมในเดือนนี้ ขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ก็ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 12%
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ BYD กำลังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม บริษัทสตาร์ทอัพด้านยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) หลายแห่งกลับกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขัน
โดย Li Auto ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับเดินทางระยะไกลในประเทศจีน รายงานยอดส่งมอบ 48,122 คัน ลดลงจากสถิติสูงสุดที่ 51,000 คันในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ส่วน Aito แบรนด์รถยนต์ที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Seres และ Huawei ก็ประสบปัญหาเช่นกัน โดยมียอดส่งมอบเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 31,216 คัน ลดลงกว่า 10,000 คันจากเดือนก่อนหน้า
ขณะที่บริษัท Nio อีกหนึ่งผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ในจีน รายงานยอดส่งมอบรถยนต์ในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 20,176 คัน ลดลงเล็กน้อยจากเดือนกรกฎาคม แต่ยังคงสูงกว่า 20,000 คัน เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
ทางด้านบริษัท Xpeng ได้รายงานยอดส่งมอบรถยนต์ 14,036 คันในเดือนสิงหาคม ถือเป็นเดือนที่ดีที่สุดของ Xpeng ในปีนี้ โดยบริษัทได้เริ่มส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ Mona M03 ซึ่งมีราคาต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 685,000 บาท)
นอกจากนี้ Zeekr แบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ระดับพรีเมียม ในเครือบริษัท Geely Holding Group แม้ว่าจะรายงานยอดส่งมอบเพิ่มขึ้นเดือนต่อเดือน (MoM) เป็น 18,015 คันในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่กลับพบว่ายอดส่งมอบลดลงจาก 20,206 คันในเดือนมิถุนายน
ท่ามกลางสถานการณ์นี้ มีรายงานว่า Huawei กำลังเจรจาขายเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรของ Aito ให้กับบริษัท Seres ในมูลค่า 2.5 พันล้านหยวน (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการแข่งขัน และแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน
แม้ว่าตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ในจีนจะมีการแข่งขันที่รุนแรง และความท้าทายด้านห่วงโซ่อุปทานที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรายย่อยในอนาคต แต่ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง BYD ยังคงเดินหน้าขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าส่งมอบรถยนต์กว่า 400,000 คันนอกประเทศจีนในปีนี้
การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีนยังคงเข้มข้น โดยบริษัทต่าง ๆ ต่างพยายามดึงดูดลูกค้าด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีราคาเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดในอนาคต
สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนใน BYD ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 จากจีน Finnomena Funds แนะนำกองทุน MEGA10CHINA-A ซึ่งเป็นคำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ MEVT Call ที่เน้นเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว (The Long-Term Growth)
MEGA10CHINA-Aเป็นกองทุนรวมหุ้นจีนที่มุ่งเน้นลงทุนใน 10 บริษัททรงอิทธิพลในจีน ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยจะต้องเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง และเน้นความเป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการถือหุ้น BYD ที่ประมาณ 9.50%
รับชมคลิป BYD Gigs Economy EP09 – ค่าย EV เบอร์ 1 จากจีนผู้เขย่าบัลลังก์ Tesla
ที่มา: CNBC
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
การเมืองสหรัฐฯ เป็นประเด็นที่ตลาดให้ความสำคัญมากเสมอ
แต่ในปี 2024 ความผันผวนจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ได้เกิดแค่จากนโยบายเศรษฐกิจ แต่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายกว่าที่เราจะได้คู่แข่ง ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็น Kamala Harris กับ Donald Trump ก็ใกล้ถึงวันเลือกตั้ง 5 พ.ย. อย่างมาก ถึงเวลานี้ ผมเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้ สมควรที่เราจะนำผลเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมาแชร์ และชวนให้นักลงทุนไทยได้คิดกลยุทธ์การลงทุนไปพร้อมกัน
เริ่มด้วยมองกรณีที่เป็นไปได้ก่อน ในมุมตลาดการเงิน ผมประเมินจากนโยบายในประเทศ ต่างประเทศ การค้า และแรงสะท้อนบนนโยบายการเงิน ผลการเลือกตั้งจะมี 3 รูปแบบที่น่าสนใจ ประกอบด้วย Trump กับ Republican ชนะทั้งหมด หรือ Trump กับ Divided Congress หรือ Harris ชนะ
การเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 จะแบ่งเป็นการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร (House of Representatives) ทั้งหมด 435 ตำแหน่ง วุฒิสภา (Senate) 34 ตำแหน่ง และตำแหน่งประธานาธิบดี
กรณีแรก Trump กับ Republican เก็บชัยชนะได้ทั้งหมด เป็นกรณีที่เสี่ยงเห็นยีลด์สูงขึ้น และดอลลาร์แข็งค่ามากที่สุด
เพราะผมเชื่อว่าถ้า Republican กลับมาชนะได้ทั้งหมดจะมีความคล้ายกับผลเลือกตั้งปี 2016 มีความเป็นไปได้สูงที่ในช่วงหนึ่งถึงสองปีแรก จะดำเนินนโยบายในประเทศ เช่นการปรับนโยบายลดภาษีเดิม (Tax Cut and Job Act หรือ TCJA) ให้เป็นนโยบายถาวร หรือคุมเข้มผู้อพยพ
ส่วนนโยบายต่างประเทศ ผมมองว่าการหยุดสนับสนุนยูเครนและไต้หวันจะเป็นนโยบายถัดไป เพราะช่วยลดรายจ่ายการคลังได้
ส่วนนโยบายด้านการค้า หรือการตั้งกำแพงภาษี ไม่จำเป็นต้องรีบ และสามารถเก็บไว้เป็นนโยบายช่วง Midterm Election เช่นเดียวกับในช่วงปี 2018
ผลต่อเศรษฐกิจของกรณีนี้ เงินเฟ้อจะไม่ปรับตัวลงจากนโยบายการคลังที่ผ่อนคลาย มีโอกาสมากที่ Fed จะระวังการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปี กลับขึ้นไปเหนือ 5% และดอลลาร์แข็งค่า
กรณีที่สอง Trump กับ Divided Congress มีโอกาสที่ตลาดจะเข้าโหมด Risk Off มากที่สุด
เนื่องจากการผลักดันนโยบายด้านภาษีและผู้อพยพมีความเสี่ยงที่จะไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาสูง แม้การขอต่ออายุมาตรการลดภาษี TCJA นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะไม่สามารถปรับลดนโยบายการะตุ้นเศรษฐกิจสมัย Biden ลงได้เช่นกัน
คาดว่า Trump จะเน้นไปที่นโยบายการต่างประเทศเหมือนในช่วงปี 2018-20 กรณีนี้ ผมเรียกว่า Trump 2.0 เพราะจะมีความคล้ายคลึงกับภาพจำช่วงที่ Trump เป็นประธานาธิบดีสหรัฐมากที่สุด ต่างกันเพียงเปลี่ยนจากเกาหลีเหนือไปเน้นที่การเป็นตัวกลางตั้งโต๊ะเจรจาให้รัสเซียกับยูเครน หรือกดดันจีนให้เข้าสู่การเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯ
เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในอดีต กรณีนี้จึงมีความเสี่ยงด้านความผันผวนสูงที่สุดไม่ต่างกับในช่วงสงครามการค้า แม้จะมีการกระตุ้นด้านนโยบายการคลังที่เบากว่ากรณีแรก แต่เงินเฟ้อสหรัฐมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากภาษี Fed มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยน้อยลง แต่ด้วยความผันผวนที่สูงนักลงทุนอาจเลือกพักเงินที่บอนด์ ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี จะทรงตัวได้ในระดับ 4% และดอลลาร์เคลื่อนไหวประคองตัว
กรณีสุดท้ายคือ Harris ชนะและรักษาเก้าอี้ผู้นำสหรัฐของ Biden ไว้ได้
หลังจาก Joe Biden ถอนตัว ล่าสุด Kamala Harris สามารถทำคะแนนความนิยมกลับขึ้นมาเหนือ Trump ได้แล้ว
อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่ายังเร็วเกินไปที่จะชี้ขาดว่า Harris จะสามารถชนะได้หรือไม่ เพราะย้อนกลับไปในอดีตทั้ง Hillary Clinton ก็พลาดท่า และ Biden เกือบไม่ชนะ แม้จะนำ Trump ในโพลก่อนเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี กรณีที่ Harris ชนะ ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็น Democrat ชนะทั้งสองสภาหรือสภาเดียวก็ไม่มีความแตกต่างมากนัก เนื่องจากนโยบายในประเทศที่ประกาศเป็นนโยบายการเงินสมดุล มีการเก็บภาษีนิติบุคคล และภาษีความมั่งคั่ง ถ้าตั้งใจเดินหน้าเชื่อว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากพรรค Republican
ส่วนในฝั่งการต่างประเทศ ผมเชื่อว่า Harris จะไม่เปลี่ยนมุมมองด้านการสนับสนุนยูเครนและไต้หวันส่วนความแตกต่างที่ชัดเจนของนโยบายการค้า จะเน้นให้สิทธิประโยชน์บริษัทสหรัฐฯ เพื่อกลับมาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ มากกว่ากดดันคู่ค้าโดยตรง
ผลต่อเศรษฐกิจ ผมมองว่าอาจไม่ได้ช่วยหนุนมากเหมือนฝั่ง Trump จึงมีความเป็นไปได้มากกว่าที่ Fed จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าสองกรณีแรก บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี คาดว่าจะปรับตัวลงไปซื้อขายที่ระดับ 3.5-4.0% กดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่า
สำหรับการลงทุน ผมเห็นว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้มีจุดหักมุม และความน่าสนใจหลายอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ และประเมินผลกระทบกับตลาดได้ก่อน
เช่น จากการโต้วาทีครั้งแรก ไปจนถึงช่วงที่ Trump ถูกลอบสังหาร คะแนนความนิยมของ Republican President เพิ่มขึ้น หุ้นบวก ดอลลาร์แข็ง และยีลด์สูง
มองย้อนกลับไปในวันที่ 27 มิ.ย. และ 12-14 พ.ค. ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นในกรอบ 0.1-0.2% ทำโดยหุ้น Tech และหุ้นขนาดเล็ก ดอลลาร์แข็งค่า ทองปรับตัวลง และ ยีลด์ปรับตัวขึ้น 2.5-5.0bps สะท้อนตลาดที่มอง Trump เป็นบวกกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และธีม US Exceptionalism มาก
ขณะเดียวกัน Harris หุ้นก็บวกไม่น้อยหน้า
ผลตอบแทนช่วงวันที่ 19-21 พ.ค.หลังจากที่ Biden ยอมลงจากการเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี หุ้นสหรัฐฯ ก็บวกขึ้นถึง 0.2% โดยเป็นการบวกพร้อมกันแทบทุก Sector ไปจนถึงการลงทุนในฝั่ง Europe เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทองคำปรับตัวขึ้น และยีลด์สหรัฐฯ ทุกช่วงอายุปรับตัวลง 1-2bps สะท้อนว่าตลาดมอง Harris เป็นบวกกับเศรษฐกิจโลก ด้วยธีม Rate Cut และเศรษฐกิจฟื้นตัวพร้อมกันทั่วโลก
สิ่งสุดท้ายที่เราต้องระวังสำหรับการวิเคราะห์ผลจากการเลือกตั้ง คือ “จุดเริ่มต้น” ของเศรษฐกิจ มีผลกับนโยบาย และตลาดการเงินเสมอ
ต่อให้ Trump จะกลับมาใหม่หรือไม่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2016 กับปี 2024 ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เช่น “การขาดดุลการคลัง” ปี 2016 อยู่แค่ระดับ 3% ต่อ GDP ขณะที่ปี 2025 รัฐบาลสหรัฐจะเริ่มต้นที่การขาดดุลถึงกว่า 7% ต่อปีและระดับหนี้ภาครัฐก็สูงกว่า 100% ต่อ GPD ไปแล้ว ไม่ว่าใครจะชนะเลือกตั้ง การใช้งบการคลังเพื่อฟื้นเศรษฐกิจจะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายเหมือนสมัยก่อน
จุดเริ่มต้นที่สองคือ “เงินเฟ้อ” ที่ไม่เคยเป็นเรื่องที่ชาวสหรัฐฯ ต้องกังวล ก็กลายมาเป็นหัวข้อใหญ่ของทศวรรษแทนที่การเติบโตของเศรษฐกิจ การขึ้นภาษี หรือการควบคุมผู้อพยพ หรือนโยบายที่มีผลทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น อาจไม่ใช่เรื่องที่เดินหน้าได้ทันที
ด้านตลาดการเงินก็ไม่ง่าย ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร จุดเริ่มต้นของรัฐบาลใหม่ เป็นจุดที่ “หุ้นสหรัฐฯ แพงเกือบที่สุดในประวัติศาสตร์” มีการกระจุกตัวสูงที่สุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ ขณะที่แนวโน้มกำไรของหุ้นใหญ่กำลังเป็นขาลง
ความหวังว่าหุ้นจะเป็นขาขึ้นต่อเนื่องทันทีหลังเลือกตั้งนั้น จึงต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทนะครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
Finnomena Funds มองว่าตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดในเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะออกมาดีขึ้น และช่วยคลายความกังวลเรื่องขาลง พร้อมหนุนให้ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
อัปเดตมุมมองการลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 3 กันยายน 2024 โดย Finnomena Funds
ต้อนรับเดือนกันยายน 2024 ซึ่งมีจุดเปลี่ยนหลายอย่างให้จับตามอง ตั้งแต่การประกาศตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ Unemployment Rate ในวันที่ 6 กันยายน โดยตลาดคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.2% ดีขึ้นจากเดือนก่อน และลดโอกาสการเกิด Recession
อีกทั้งยังมี Key Event อย่างการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ในวันที่ 11 กันยายน และการประชุม Fed ในวันที่ 18 กันยายน ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเกิดการเปลี่ยนทิศดอกเบี้ยนโยบาย
ทั้งนี้ มีการศึกษาผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ตั้งแต่ปี 1928 ถึง 2023 พบสถิติที่น่าสนใจว่าเดือนกันยายน หุ้นมักปรับฐานอย่างรวดเร็ว แต่จะฟื้นตัวในเดือนถัดไป ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ เช่น ปัจจัยทางจิตวิทยาที่นักลงทุนเตรียมปรับพอร์ตก่อนสิ้นปี, แรงขายทำกำไรหลังรายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก, การปิดงบประมาณของสถาบันการเงิน, การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ และเป็นฤดูกาลซื้อขายที่เงียบลงหลังจากช่วงฤดูร้อน
อย่างไรก็ตาม Finnomena Funds มองว่าประเด็นหลักที่จะกำหนดทิศทางตลาดในเดือนนี้ คือตัวเลขอัตราการว่างงาน หากออกมาดีก็จะช่วยให้คลายความกังวลเรื่องขาลง พร้อมหนุนให้ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) B-INNOTECH
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี เน้นคัดกลุ่ม High Quality Growth ที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และราคาไม่แพง ด้วยปรัญชาการเลือกหุ้นเติบโตสไตล์ Contrarian
2.) MEGA10AI-A
กองทุนที่ลงทุนใน 10 หุ้น Big Tech AI เน้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งแนวโน้มกำไรยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่ Valuation กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
3.) DAOL-KOREAEQ
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้แบบ Active Fund ซึ่งยังคงมีโอกาสเติบโตได้ดีจากอานิสงส์ของกลุ่ม Semiconductors ในขณะที่ปัจจุบันราคาของดัชนี KOSPI ปรับตัวลดลง จึงทำให้ P/E อยู่ที่ประมาณ 9.2 เท่า ถูกกว่าค่าเฉลี่ยของตัวเองในอดีต
โดย Bank – The Trend Follower คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติเพื่อนำมาคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้หาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) SCBSEMI(A)
กองทุนหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เป็นจังหวะทยอยสะสม แม้ Nvidia จะปรับฐานลงมา แต่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่หุ้นตัวอื่น ๆ ในธีมชิปคอนดักเตอร์ยังมีโมเมนตัมที่ดี
2.) ASP-DIGIBLOC
กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบล็อกเชนและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ลุ้นให้ราคาทะยานขึ้นอีกครั้ง ตามแนวโน้มของสินทรัพย์ดิจิทัลและหุ้นกลุ่มบล็อกเชน
3.) UOBSC
กองทุนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเน้นลงทุนในทองคำ น้ำมัน และสินค้าทางการเกษตร โดยเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค ราคารีบาวด์ทะลุแนวต้าน พร้อมทั้งราคามีโมเมนตัมเชิงบวก
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical ปัจจัยอื่น ๆ เช่น Fund Flow, Sentiment, Seasonal Statistic และ Technical Analysis
1.) B-INNOTECH
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี High Quality Growth โดยมีสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Magnificent-7 เพียง 16% แต่เน้นคัดเลือกหุ้นที่แข็งแกร่งทั้งขาขึ้นและขาลง ในราคาที่ไม่แพง และสามารถสร้างผลตอบแทนชนะตลาดในระยะยาว
3.) SCBKEQTG
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ ยังเป็นโอกาสทยอยสะสม โดยมองว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ในจังหวะสองของกระแส AI อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากพัฒนาการที่ชัดเจนของโครงการ Value-up Program เพื่อส่งเสริมมูลค่าตลาดหุ้น
3.) AFMOAT-HA
กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปราการทางธุรกิจแข็งแกร่ง เนื่องจากการคัดเลือกหุ้นสไตล์ Value ทำให้ผลตอบแทนโดดเด่นในตลาดผันผวน และสามารถทนทานในทุกสภาวะตลาด ปัจจุบันกองทุนถือหุ้นกลุ่ม Magnificent-7 เพียง 4%
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299