นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ. อีสท์สปริง เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี สอดรับกับนโยบายภาครัฐในการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund หรือ ThaiESG) โดยมีให้เลือก 2 รูปแบบการลงทุน คือ กองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนสะสมมูลค่า (ES-SETESG-THAIESG-A) และกองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนปันผล (ES-SETESG-THAIESG-D) รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 8-18 ธันวาคม 2566
กองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนสะสมมูลค่า (ES-SETESG-THAIESG-A) และกองทุนเปิดอีสท์สปริง SETESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนปันผล (ES-SETESG-THAIESG-D) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุนที่เน้นลงทุนหุ้นของบริษัทที่มีความโดดเด่นในการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยทีมผู้จัดการกองทุนจะลงทุนเชิงรับ (Passive Management) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงตามดัชนี SETESG Index ซึ่งดัชนีดังกล่าวมีแนวทางคัดเลือกบริษัทคือ 1. เป็นบริษัทที่มีผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ที่ระดับ BBB ขึ้นไป ล่าสุดซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 2. เป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท 3. มีสัดส่วนผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อย (Free-float) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุนชำระแล้ว 4. มีปริมาณการซื้อขายไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนของบริษัท เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 9 ใน 12 เดือน 5. ไม่จำกัดจำนวนหลักทรัพย์ในดัชนี ปัจจุบันอยู่ราว 114 บริษัท และ 6. มีการปรับองค์ประกอบในช่วงเดือนมกราคม และกรกฎาคม ของทุกปี
“จุดเด่นของกองทุนอีสท์สปริง SETESG ทั้ง ES-SETESG-THAIESG-A และ ES-SETESG-THAIESG-D คือ การเติบโตของเงินลงทุนอย่างยั่งยืนจากการบริหารจัดการ ESG ที่ดี โดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ยาวนาน มีต้นทุนการบริหารจัดการที่ต่ำ มีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการเพียง 0.5% อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาที่ถือครองเป็นระยะเวลา 8 ปีขึ้นไป สามารถหักลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 30% ของรายได้ หรือไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี โดยไม่รวมกองทุนอื่นๆ หรือการประกันชีวิตที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี กองทุนดังกล่าวจึงเหมาะกับผู้ลงทุนระยะยาว” นางสาวดารบุษป์ กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุนทั้งชนิด ES-SETESG-THAIESG-A และ ES-SETESG-THAIESG-D ยอดเงินลงทุนทุกๆ 50,000 บาท รับสิทธิพิเศษเป็นหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดธนชาตบริหารเงิน (T-CASH) มูลค่า 100 บาท จนถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2566
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
KFTHAIESG โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน เติบโตไปกับหุ้น ESG เสนอขายครั้งแรก 8 -18 ธันวาคม 2566 ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ. กรุงศรี) เปิดเผยว่า “บลจ. กรุงศรี เตรียมเสนอขายกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ “Thai ESG Fund” หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ในชื่อกองทุนเปิดกรุงศรีเอ็นแฮนซ์เซ็ทไทยเพื่อความยั่งยืน (KFTHAIESG) มีนโยบายเน้นลงทุนหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ผสมผสานระหว่างการลงทุนแบบ passive และ active management โดยสัดส่วนของพอร์ตการลงทุนประมาณ 90% จะลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนของพอร์ตรวมออกมาใกล้เคียงกับผลตอบแทนดัชนี SET ESG ที่สุด และอีก 10% จะใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกเพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม มีให้เลือกลงทุนได้ 2 แบบคือกองทุน KFTHAIESGA ไม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลและ KFTHAIESGD มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล”
ทั้งนี้ กองทุน KFTHAIESG จะแยกวงเงินลดหย่อนต่างหาก ไม่รวมกับเงินลงทุนใน SSF / RMF และการลงทุนเพื่อเกษียณอายุอื่นๆ นักลงทุนที่ลงทุนเต็มสิทธิ์ในกองทุน SSF / RMF แล้ว สามารถลงทุนเพิ่มในกองทุน KFTHAIESG เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี โดยมีระยะเวลาถือครอง 8 ปี นับจากวันที่ลงทุน
บลจ. กรุงศรี มองว่าปัจจุบันเป็นช่วงที่ดีในการทยอยสะสมหุ้นไทย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย การทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักทั่วโลก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ESG ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับ ESG เพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่มีการจัดสรรเงินลงทุนในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ESG และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านภาครัฐและภาคธุรกิจก็ให้ความสำคัญกับการลงทุนตามกรอบ ESG มากขึ้นเช่นกัน รวมทั้งบริษัทจัดอันดับระดับโลกก็มีการให้คะแนนด้าน ESG แก่กองทุนต่างๆด้วย เช่น Morningstar Sustainability rating และ MSCI ESG fund เป็นต้น
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 พบว่ามีบริษัทที่ถูกจัดอยู่ใน SETTHSI Index (ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น SETESG Index ในวันที่ 6 พ.ย. 66) มีจำนวน 115 บริษัท และมี Market Cap รวมกันประมาณ 12.38 ล้านล้านบาท เทียบกับ Market Cap รวมของ SET Index ซึ่งอยู่ที่ 19.21 ล้านล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่ของไทยให้ความสำคัญกับ ESG และมีสภาพคล่องในการลงทุนที่สูงมาก
ในมุมของผลตอบแทน ดัชนีผลตอบแทนรวมของ SETESG (SETESG TRI) ก็ให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET TRI) ถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลังระยะยาวสัก 3 ปี จะเห็นว่า SETESG TRI มีผลตอบแทนอยู่ที่ 10.87% ต่อปี ดัชนี SET TRI อยู่ที่ 7.99% ถ้าดูย้อนหลัง 5 ปี SETESG TRI มีผลตอบแทน อยู่ที่ -0.32% ต่อปี ดัชนี SET TRI อยู่ที่ -0.78%” (ที่มา :ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 /ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต)
การนำปัจจัยด้าน ESG มาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนมีส่วนช่วยในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และลดความเสี่ยงของการลงทุนได้ เช่น บริษัทที่มีการปล่อยมลภาวะน้อย จะประสบปัญหาด้านกฏระเบียบน้อยกว่า และมีความเสี่ยงที่จะถูกต่อต้านจากชุมชนน้อยกว่า ดังนั้น โอกาสที่ราคาหุ้นจะผันผวนก็จะน้อยกว่าบริษัทที่ปล่อยมลภาวะสูง เพราะอาจถูกทางการใช้กฏเกณฑ์ต่างๆเข้ามาควบคุม ทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างเต็มที่ รวมถึงอาจจำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเพื่อให้สามารถลดการปล่อยมลภาวะลงให้เป็นไปตามเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดซึ่งเกิดขึ้นในต่างประเทศ ได้แก่ การที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอน ในขณะที่บริษัทผลิตไฟฟ้าในจีนหลายแห่งยังคงผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้บริษัทผลิตไฟฟ้าจำเป็นต้องหยุดการผลิตเป็นช่วงๆเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน เป็นผลให้ภาคการผลิตของจีนหยุดชะงัก เป็นต้น
“บลจ. กรุงศรี ให้ความสำคัญกับ ESG เป็นอย่างมาก โดยการพิจารณาลงทุนได้ให้ความสำคัญกับ ESG และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ สะท้อนให้เห็นได้จากการได้รับรางวัล Outstanding Asset Management Company Awards – ESG ประจำปี 2565 จากงาน SET Awards 2022 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้บริษัทที่มีความโดดเด่นในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำหนดนโยบายการลงทุนด้าน ESG ของบริษัท” นางสุภาพร กล่าว
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
โดยทั่วไป การจัดพอร์ตหลังเกษียณ มักถูกสอนว่า จะต้องความเสี่ยงต่ำ
แต่ในปัจจุบันนี้ คนเราอายุยืนขึ้นลงทุนพอร์ตความเสี่ยงต่ำ อาจจะไม่เพียงพอ
ดังนั้นจึงมีหลากหลายวิธีในการจัดพอร์ตลงทุนหลังเกษียณ ผมขอยกตัวอย่าง 3 แบบ
ข้อ 3 นี่เอง นักลงทุนก็อาจจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ โดย สัดส่วนของหุ้น = กฎ 100-อายุ
เช่น เกษียณอายุ 60 หุ้นจะมีสัดส่วน 100 – 60 = 40% เป็นต้น
แต่ก็ปรับนำมาใช้ชีวิตจริง ก็อาจจะมีการปรับดังนี้
– เพิ่มทองคำ 5%
– ปรับสัดส่วนใหม่ทุก 3 ปี ไม่จำเป็นต้องปรับทุกปี
ผมใช้กองทุนดังต่อไปนี้ในการจัดพอร์ตแบบง่าย ๆ
– TMBWDEQ ตัวแทนของหุ้นโลก
– K-FIXED-A ตัวแทนของตราสารหนี้
– SCBGOLD เป็นตัวแทนทองคำ
โดยผลตอบแทนย้อนหลังเป็นดังนี้
กองทุน | ผลตอบแทนต่อปีย้อนหลัง 10 ปี |
TMBWDEQ | 8.08% |
K-FIXED-A | 2.18% |
SCBGOLD | 4.91% |
ดังนั้นก็จะได้การจัดพอร์ตใหม่ โดยจะมีผลตอบแทนเปรียบเทียบกันระหว่าง ถ้าจัดพอร์ตในชีวิตจริง กับ ถ้าจัดพอร์ตแบบเสี่ยงต่ำ
จะเห็นได้ว่า การจัดพอร์ตแบบ สมดุลตามอายุ ผลตอบแทนจะค่อย ๆ ลดลง ไม่เหมือนกรณีถ้าจัดพอร์ตแบบความเสี่ยงต่ำเลย
แม้การจัดพอร์ตแบบสมดุลตามอายุจะมีประโยชน์ แต่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ดังนั้นผู้ใช้แบบนี้ก็จะได้เข้าใจและรับความเสี่ยงนี้เช่นเดียวกัน
WealthGuru
BBLAM พร้อมเสนอขายกองทุน B-TOP-THAIESG 8-15 ธันวาคมนี้ สนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน สานเป้าหมายของการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อ ESG
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BBLAM กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21พฤศจิกายน 2566 ที่เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund “Thai ESG”) เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว และส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ดำเนินงานตามหลัก ESG โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลที่ดีนั้นBBLAM ตระหนักและเห็นความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน จึงกำหนดทิศทางและเป้าหมายของการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า ตลอดจนเกิดประโยชน์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) เพราะเชื่อว่าการลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึง ESG และให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
“ขณะนี้ เราเตรียมความพร้อมในการเสนอขายกองทุน Thai ESG ในช่วงเดือน ธ.ค. 2566 ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสม เพราะดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวลงมามากแล้ว อยู่ระดับ 1,400 จุด เป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ลงทุนในหุ้นในราคาที่น่าสนใจ และหากมองไประยะข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตได้ดีกว่าในปีนี้ จากภาคส่งออกและงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลที่มีผลบังคับใช้ ทั้งยังมีความหวังจากรัฐบาลที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุน เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวและเสริมว่า กองทุน B-TOP-THAIESG นี้ จะเน้นลงทุนหุ้น ESG 10 ตัวที่ผู้จัดการกองทุนคาดหมายให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานและการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแข็งแกรงกับบริษัทจดทะเบียนนั้น มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์กรและการดำเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อกองทุน ลดความเสี่ยงด้านความไม่ยั่งยืน และส่งผลต่อผลการดำเนินงานที่สร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน
สำหรับนโยบายการลงทุนและวัตถุประสงค์การลงทุนที่เกี่ยวกับความยั่งยืน กองทุนจะลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และหรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET หรือองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงาน ก.ล.ต.ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) หรือด้านความยั่งยืน (Environmental Social and Governance: ESG) โดยผ่านกระบวนการวิเคราะห์การลงทุนแบบ ESG Integration ซึ่งผู้จัดการกองทุนคาดหมายว่าจะให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด 10 อันดับแรก โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ ในระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงการลงทุนในหุ้นของบริษัท 10 อันดับแรก จํานวนหลักทรัพย์ดังกล่าวจะไม่เกิน 12 บริษัท
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Business Distribution กล่าวว่า BBLAM ยังคงเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ลงทุน ทั้งสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนโดยรวมในระยะยาว ล่าสุด เตรียมเปิดเสนอขาย กองทุนรวมบัวหลวงทศพลไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ B-TOP-THAIESG ครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 8-15 ธันวาคม 2566 นี้ โดยเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ที่จะทำให้คนไทยมีความสุขมากขึ้น และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นสูงสุด 100,000 บาท ตามเงื่อนไขภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด
สำหรับ กองทุน ThaiESG กำหนดให้มีระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท อย่างไรก็ดี การตั้งกองทุน ThaiESG เป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพิ่มเติม ทำให้ปีนี้ผู้ลงทุนได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมอีก 100,000 บาท จากเดิมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) และกองทุน SSF (กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว) ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (นับรวมกองทุนกลุ่มเพื่อการเกษียณทั้งหมด เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ)
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน B-TOP-THAIESG สามารถสอบถามข้อมูลกองทุน ได้ที่ BBLAM โทร. 02-674-6488 กด 8 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง และสำหรับการลงทุนผ่านช่องทางธนาคารกรุงเทพ กองทุนนี้สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพได้ตั้งแต่วันที่ 8 ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2566 ได้อีกด้วย
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
KTAM เปิดโพยกองทุน “ThaiESG” เสนอขายครั้งแรก 8-18 ธันวาคมนี้ ส่งเสริมการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี พร้อมมุ่งมั่นใส่ใจเพื่อผลตอบแทนที่ยั่งยืนมุ่งมั่นใส่ใจ
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG ได้มีความสำคัญมากขึ้น รวมทั้งปัญหาความเพียงพอของการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพหลังเกษียณอายุ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาอย่างเร่งด่วนของประเทศไทย ดังนั้น กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ Thai ESG จึงเป็นทางเลือกในการออมและลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีควบคู่ไปกับการมีส่วนสร้างความยั่งยืน ครอบคลุมทุกมิติของ ESG บริษัทฯ จึงได้เปิดเสนอขายกลุ่มกองทุน KRUNGTHAI Thailand ESG Fund โดยเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 8 – 18 ธันวาคม 2566 นี้ และเปิดให้ลงทุนต่อได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป
กลุ่มกองทุน KRUNGTHAI Thailand ESG Fund เป็นกองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ลงทุนในหุ้นไทย และ/หรือตราสารหนี้ไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG ตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด อีกทั้งยังมีการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของกองทุนรวมตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ SRI Fund ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแต่ประเภทของทรัพย์สินในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยกองทุนประเภทนี้กำหนดให้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทในปีภาษีนั้น ๆ ไม่กำหนดจำนวนเงินซื้อขั้นต่ำ ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกปี และจะต้องลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 8 ปีแบบวันชนวัน
สำหรับกลุ่มกองทุน KRUNGTHAI Thailand ESG Fund มีให้เลือกลงทุนถึง 3 กองทุนตามเป้าหมายการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่รับได้ ประกอบด้วย 1) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade 70/30 (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTAG70/30-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5) เน้นการลงทุนในหุ้นที่มี SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% และตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 30% ของ NAV เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนผสม และยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง
2) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG50 (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTESG50-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ประมาณ 50 ตัวแรกที่อยู่ในดัชนี SET ESG Index และอยู่ใน Universe ของ KTAM ซึ่งผ่านการวิเคราะห์ด้าน ESG ของ KTAM ควบคู่กัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีการติตตามทั้งด้านผลการดำเนินงาน และ ESG ของบริษัทจดทะเบียนที่ได้เข้าไปลงทุนอยู่สม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนหุ้น และยอมรับความเสี่ยงได้สูง
และ 3) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTAG-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ที่มี SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป หรือได้รับการจัดอันดับในระดับที่สามารถเทียบเคียงได้กับระดับ A ขึ้นไป จากองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงาน ก.ล.ต. ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือด้านความยั่งยืน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนจะเน้นการบริหารแบบเชิงรุก โดยใช้กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite ด้วยการวางสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาดตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจในส่วนหลัก พร้อมกับจับจังหวะการลงทุนตามมุมมองระยะสั้นถึงกลางเป็นส่วนเสริม เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการเลือกหุ้นรายตัวโดยผู้จัดการกองทุน เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนหุ้น และยอมรับความเสี่ยงได้สูง จากการลงทุนในหุ้นไทยกลุ่ม ESG และผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุนที่บริหารแบบ Active Management เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง
“สำหรับหุ้นกลุ่ม ESG มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ต่อเนื่องจาก Fund Flow ที่มีแนวโน้มจะไหลเข้าสู่หุ้น ESG มากขึ้น และจากความได้เปรียบในการทำธุรกิจที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือกันในระดับโลก รวมถึงมีแนวโน้มที่จะตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้ดี อีกทั้งตลาดยังมีแนวโน้มให้ premium มากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านผลตอบแทนที่ดีขึ้น และที่สำคัญกว่านั้น การเน้นหุ้นกลุ่ม ESG ยังช่วยบริหารความเสี่ยงได้มีประสิทธิภาพอีกด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา หุ้นบางกลุ่มที่มีปัญหาด้าน ESG อย่างเช่นเหตุการณ์ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือการทุจริตภายในองค์กร ทำให้ราคาหุ้นเหล่านั้นปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอัตราการกู้ยืมเงินของบริษัทเหล่านั้นสูงขึ้นตาม นอกจากนี้ กองทุน Thai ESG ยังเป็นการสร้างเสถียรภาพของตลาดทุนไทย และเป็นช่องทางการออมพร้อมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ด้วยความร่วมมือของหลายภาคส่วนทำให้มั่นใจได้ว่า การลงทุนจะมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้อย่างแท้จริง” นางชวินดา กล่าว
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือธนาคารกรุงไทยและผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (ถ้ามี) หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
บลจ. พรินซิเพิล เปิดตัวกองทุนเปิด “พรินซิเพิล อิควิตี้ ESG” ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน กองทุนลดหย่อนภาษีทางเลือกใหม่ มุ่งเน้นลงทุนในตราสารทุนที่ได้รับคัดเลือก ESG ในประเทศไทย ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ตั้งแต่ปี 2566 ชูจุดเด่น 3 ด้าน ทั้งนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนีความยั่งยืนจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ มีกระบวนการคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบ และบริหารจัดการโดยทีมผู้จัดการกองทุนประสบการณ์สูง การันตีด้วยรางวัล Best Asset Management Awards จากงาน SET Awards ปีล่าสุด เสนอขายครั้งแรกวันที่ 8-20 ธันวาคมนี้ พร้อมโปรโมชั่นเมื่อมียอดซื้อสะสมทุก 5 หมื่นบาท รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด PRINCIPAL DPLUS มูลค่า 100 บาท
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังมีนโยบายสนับสนุนการออกกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ Thailand ESG (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน) นอกจากการลงทุนในกองทุน SSF และ RMF และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ได้ตั้งแต่ปีภาษี 2566 เพื่อสนับสนุนการลงทุนระยะยาวเพื่อการออมของคนไทย โดยมุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ ESG ในประเทศไทย เช่น ลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ จดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจด้วยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมภิบาล เป็นต้น ผู้ลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลได้สูงสุด ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้ในปีนั้นๆ หรือไม่เกิน 100,000 บาท และจะต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 8 ปีนับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน และได้รับมติอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย
บลจ. พรินซิเพิล เปิดตัวกองทุนเปิด “พรินซิเพิล อิควิตี้ ESG” ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (PRINCIPAL EQESG-ThaiESG) กำหนดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 8 – 20 ธันวาคม 2566 และจะเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2566 เป็นต้น
กองทุนเปิด “พรินซิเพิล อิควิตี้ ESG” (PRINCIPAL EQESG-ThaiESG) มีจุดเด่น 3 ด้าน ได้แก่
1) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนีความยั่งยืนจากสถาบันที่น่าเชื่อถือที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET หรือองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงาน ก.ล.ต. ยอมรับ และ/ หรือได้คะแนน ESG สูงจากการประเมินภายใน ที่มีแนวการลงทุนแบบ Active และเป้าหมายสร้างผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง SET ESG TRI ในระยะยาว
2) กระบวนการการลงทุนที่แข็งแกร่งภายใต้ FMV Model ซึ่งเป็นกระบวนการคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบจาก “Fundamental” หรือพื้นฐานธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน “Momentum” หรือแนวโน้มของราคาและกำไรที่ดีขึ้นต่อเนื่อง และ “Valuation” หรือมูลค่าหลักทรัพย์อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ผนวกกับปัจจัยด้าน ESG (ESG Integration Framework) โดยจะต้องได้รับการประเมินคะแนน ESG ภายใน (Internal ESG Scoring) เน้น 5 ปัจจัย ได้แก่ ธรรมาภิบาล, สิ่งแวดล้อม, สังคม, หลักการด้านการบริหารจัดการด้าน ESG ของบริษัท และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal) โดยบริษัทที่เลือกลงทุนจะต้องมีคะแนนทั้ง 2 ส่วนอยู่ในระดับสูง และจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ESG ในระดับสูง
3) บริหารจัดการโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง พิสูจน์จากความสำเร็จของ บลจ. พรินซิเพิล ที่ได้รับรางวัล Best Asset Management Awards ภายในงานมอบรางวัล SET Awards 2023 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร
ทั้งนี้ จากสถิติย้อนหลังพบว่า การลงทุนในดัชนี SET ESG Total Return สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนใน SET Index Total Return ในทุกช่วงเวลา โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า และเมื่อตลาดหุ้นเป็นขาลง ก็ปรับตัวลดลงในอัตราที่น้อยกว่า สะท้อนว่าการลงทุนในหุ้น ESG นอกจากช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และทำให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย
ผู้สนใจติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. พรินซิเพิล และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หรือ โทร. 02-686-9500
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่กลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่ง หลังจากปรับตัวลดลง 3 เดือนติดต่อกันในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม หลังตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอลงมากกว่าที่คาด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณอ่อนแอลง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสผ่อนคลายลง หลังทั้ง 2 ฝ่ายตกลงหยุดยิงชั่วคราว พร้อมทั้งมีการแลกเปลี่ยนตัวประกัน และหลายฝ่ายพยายามจำกัดไม่ให้ความขัดแย้งนี้ขยายเป็นวงกว้าง
สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลง สวนทางกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาด และความกังวลเกี่ยวกับการทำ short sell
ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ปรับตัวลดลงตามการปรับลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยกองทุนตราสารหนี้ของไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากการขึ้นดอกเบี้ยมีอยู่จำกัด และตลาดเริ่มมองไปถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงในปีหน้า ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯที่ไม่ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมยังคงแข็งแกร่ง และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นในปีหน้าจากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ดังนั้น ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จึงมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ ท่าทีเกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และสถานการณ์การสู้รบในตะวันออกกลาง
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 29 พฤศจิกายน 2023
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 29 พฤศจิกายน 2023
KFUSINDX :
KFJPINDX :
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 29 พฤศจิกายน 2023
คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
พอร์ตการลงทุน Best-in-Class เป็นพอร์ตการลงทุนที่มี Machine Learning เป็นหัวใจของการลงทุน บนเป้าหมายการเลือก 3 กองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนจำเป็นที่จะต้องรีวิวทุก ๆ 6 เดือน โดยจะรีวิวทั้งโมเดลการคำนวณ และน้ำหนักการลงทุน ว่ายังคงเหมาะสมที่จะถือครองหรือไม่
ซึ่งรอบการรีวิวในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่าโมเดล Machine Learning ที่ใช้ในการพิจารณานั้นยังเหมาะสมแก่การใช้คัดเลือกกองทุน แต่กองทุนที่ถือครองนั้น มีกองทุนที่อาจสร้างผลการดำเนินงานได้ดีกว่า โดยนักลงทุนสามารถทำความรู้จัก BIC ได้อย่างละเอียดได้ที่ 👉 FINNOMENA Best-In-Class: รู้จักโมเดลเบื้องหลัง คัดที่สุดของกองทุนในแต่ละหมวด
FINNOMENA FUNDS Investment Team จึงแนะนำปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะยังคงมีน้ำหนักการลงทุนบนกองทุนที่มีโอกาสเอาชนะกลุ่ม และสร้างผลตอบแทนที่ดีอยู่เสมอ ดังนี้
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะสั้นเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
อยากลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่เลือกหุ้นไม่เก่ง คัดหุ้นรายตัวไม่เป็น หรือไม่ค่อยมีเวลาศึกษาข้อมูลบริษัทต่าง ๆ เราขอแนะนำให้รู้จักกองทุนหุ้นไทย Active Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนเชิงรุก เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ชนะตลาด โดยใช้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการเฟ้นหาสินทรัพย์ที่ดีและกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม
วันนี้เลยอยากพาไปรู้จัก 2 กองทุนหุ้นไทยแบบ Active Fund ที่น่าสนใจ คือ ASP-SME-A จาก บลจ. แอสเซท พลัส และ TSF-A จาก บลจ. ทิสโก้ พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเรา
เลือกสรรโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี คัดสรรกอง พอร์ต และธีมการลงทุนที่คุณห้ามพลาด จัดสรรโดย FINNOMENA FUNDS Investment Team
👉 ลงทะเบียนรับคำแนะนำเพิ่มเติม คลิก >>> https://finno.me/fpick-services
กองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า หรือ ASP-SME-A เป็นกองทุนหุ้นไทยที่เน้นลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมถึงการจองซื้อตั้งแต่ช่วง IPO
กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นจะเน้นที่การวิเคราะห์ตัวบริษัทแบบ Bottom-Up เพื่อเลือกหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มเติบโตระยะยาว ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องมีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Cap.) ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท
ปรัชญาการลงทุนของ ASP-SME-A เชื่อว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพ จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนแบบก้าวกระโดดได้มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ จากการขยายตัวของธุรกิจและการควบรวมกิจการ ประกอบกับการที่นักลงทุนสนใจน้อย จึงมี Valuation น่าสนใจ
ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 08/11/2023
ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A หรือ TSF-A เป็นกองทุนหุ้นไทยที่มีนโยบายเน้นการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตสูง ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
จุดเด่นของ TSF-A คือกลยุทธ์การลงทุนแบบ High Conviction ซึ่งเฟ้นหาหุ้นที่ดีที่สุดเข้าพอร์ตเพียง 10-15 ตัวเท่านั้นในแต่ละช่วงเวลา โดยจะคัดเลือกผู้ชนะในแต่ละอุตสาหกรรม จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ วิเคราะห์เชิงปริมาณ รวมทั้งเข้าทำความรู้จักบริษัทแบบเชิงลึก
อีกกุญแจสำคัญก็คือการมีทีมวิเคราะห์ที่คอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับสัดส่วนการลงทุนให้เท่าทันกับการเปลี่ยนไปของแนวโน้มธุรกิจ และเหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 30/09/2023
ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
บอกเลยว่าจุดตัดของกองทุนหุ้นไทย Active Fund ก็คือการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตนี่แหละ ซึ่งเราจะเห็นว่ารายชื่อหลักทรัพย์ที่ ASP-SME-A และ TSF-A ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ค่อนข้างแตกต่างกันทีเดียว
Source: ASP-SME-A Fund Fact Sheet as of 08/11/2023 | TSF-A Fund Fact Sheet as of 30/09/2023
จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า TSF-A เน้นหนักไปที่หุ้นบิ๊กแคปพิมพ์นิยม โดยให้น้ำหนักบริษัทที่ครองตลาดเบอร์ 1-2 ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เช่น โรงพยาบาลเอกชนอย่าง BCH หุ้นพลังงานขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้นน้ำอย่าง PTTEP หุ้นโรงกลั่น TOP และหุ้นโรงไฟฟ้า GULF รวมไปถึงการลงทุนใน COM7 ที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที
ส่วนไอเดียการเลือกหุ้นของ ASP-SME-A จะต่างออกไป คือพยายามมองหาหุ้นที่กำลังอยู่ในช่วงขยายการเติบโต เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม ได้แก่ SAPPE กับ ICHI ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตอย่าง WHA และยังมีหุ้น TCAP โฮลดิ้งในธุรกิจการเงิน ตลอดจนเข้าไปลงทุนในหุ้น MOSHI ที่เพิ่ง IPO เมื่อปลายปี 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์
กราฟแสดงผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี ข้อมูล ณ 14/11/2023
Source: www.finnomena.com/fund/compare/
** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต **
เมื่อเปรียบเทียบภาพรวมผลตอบแทนระหว่าง ASP-SME-A กับ TSF-A ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2019-2023) ถือว่าเคลื่อนไหวในทิศทางใกล้เคียงกันมาก แต่จะมีช่วงระยะหลังตั้งแต่ปี 2022 ที่ ASP-SME-A เริ่มทำผลงานได้โดดเด่นกว่า TSF-A ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอการเติบโตของหุ้นขนาดใหญ่ในประเทศไทย
กราฟแสดงผลการดำเนินงานตามปีปฏิทิน ข้อมูล ณ 14/11/2023
Source: www.finnomena.com/fund/compare/
** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต **
หากลองดูผลตอบแทนแยกตามปีปฏิทิน พบว่ามีปีที่แพ้ชนะสลับกันไป อย่างไรก็ตาม ปีที่ตลาดแย่ TSF-A ค่อนข้างจะมีความมั่นคงมากกว่า ASP-SME-A ในทางกลับกันปีที่ตลาดพลิกฟื้นกลับมาสดใส ASP-SME-A ก็สามารถทำผลตอบแทนได้ก้าวกระโดดกว่า TSF-A
ทั้งนี้ เมื่อเทียบผลตอบแทนกับดัชนีชี้วัด SET TRI จะเห็นว่าผลการดำเนินงานของทั้งคู่สามารถเอาชนะดัชนีได้อย่างต่อเนื่อง
มาถึงคำถามสำคัญว่าควรเลือกลงทุนในกองไหนดีที่จะตอบโจทย์และเหมาะสมกับเรามากที่สุด คำตอบของบทความนี้ขอสรุปสั้น ๆ ดังนี้
หากคุณสนใจลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลาง-ขนาดเล็ก โดยเชื่อว่าบริษัทกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตได้ไวกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และตัวเองสามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคาที่ค่อนข้างสูงได้ แนะนำให้จิ้ม ASP-SME-A
แต่ถ้าคุณเชื่อมั่นในหุ้นไทยขนาดใหญ่ที่พื้นฐานมั่นคง เพื่อสร้างโอกาสเติบโตในระยะยาวอย่างแข็งแกร่ง และสามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นได้บ้างในระหว่างทาง แนะนำว่า TSF-A ก็เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ได้ดี
สามารถเปรียบเทียบกองทุน ASP-SME-A และ TSF-A แบบครบทุกมิติ
ทั้งผลตอบแทน ความผันผวน พอร์ตการลงทุน และค่าธรรมเนียม คลิกเลย
Source: FINNOMENA FUNDS as of 14/11/2023
ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี บลจ. แอสเซท พลัส ก็มีกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนดังกล่าวในชนิดหน่วยลงทุนอื่นให้เลือก ได้แก่ ASP-SMERMF และ ASP-SME-SSF เช่นเดียวกับ บลจ. ทิสโก้ ที่มีชนิดหน่อยลงทุน TSFRMF-A และ TSF-SSF
แหล่งข้อมูล
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) เตรียมเปิดขาย 2 กองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ “ThaiESG” หนุนคนไทยออมระยะยาว ลงทุนหุ้น-ตราสารหนี้ไทยที่โดดเด่นด้านความยั่งยืน พร้อมเสิร์ฟ “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีท็อป 25 หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน (MT25-ThaiESG)” ลงทุนหุ้นไทย 25 บริษัท ที่โดดเด่นด้าน ESG และ “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเฟล็กซิเบิลไทยเพื่อความยั่งยืน (MFLEX-ThaiESG)” กองทุนผสม ลงทุนหุ้นและตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องด้านความยั่งยืน ดีเดย์ขาย IPO ตั้งแต่วันที่ 8-19 ธ.ค. 66
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการจัดตั้ง “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” Thailand ESG Fund หรือ ThaiESG ซึ่งเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ โดยเน้นลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในประเทศ ที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้นและส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนของกิจการในประเทศที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ขณะนี้ MFC พร้อมนำเสนอ 2 กองทุนใหม่ โดยกำหนดเปิดขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 8-19 ธันวาคม 2566 ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
“กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีท็อป 25 หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน” (MT25-ThaiESG) เน้นลงทุนในหุ้นสามัญและ/หรือหุ้นบุริมสิทธิของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี SET ESG Index จำนวน 25 บริษัทแรกที่ผ่านหลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ โดยพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) , การเปิดเผยข้อมูลด้านการบริหารจัดการ ESG และการได้รับการจัดอันดับ ESG Ratings หรือ ESG Scores จากสถาบันการจัดอันดับ ที่เป็นอิสระ นอกจากนี้ จะมีการควบคุมการกระจุกตัวของหลักทรัพย์ ในแต่ละอุตสาหกรรม (Sector) ไม่ให้เกิน 5 หลักทรัพย์ โดยบริษัทจัดการจะทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ปีละ 2 ครั้งในวันทำการแรกของเดือนมีนาคม และกันยายน ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่เน้นผลตอบแทนในระยะยาว สามารถรับความเสี่ยงและความผันผวนจากราคาหุ้นได้ กองทุนมีระดับความเสี่ยง 6 นอกจากนี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 1 ครั้ง
นายธนโชติ กล่าวอีกว่า MFC ยังได้ออก “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเฟล็กซิเบิลไทยเพื่อความยั่งยืน” (MFLEX-ThaiESG) ซึ่งเป็นกองทุนผสม กระจายการลงทุนในตราสารทุน และ/หรือตราสารหนี้ และ/หรือเงินฝาก และอื่นๆ โดยกองทุนจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่ผู้ออกเป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีส่วนในการส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability) ให้ประเทศไทย โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เหมาะกับผู้ลงทุนที่เน้นผลตอบแทนในระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป และสามารถรับความเสี่ยงและความผันผวนจากราคาหุ้นได้ กองทุนมีระดับความเสี่ยง 5 และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 1 ครั้ง กองทุน MFLEX-ThaiESG เน้นลงทุนหุ้นบริษัทจดทะเบียนใน SET และ/หรือ mai ที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือ ESG รวมทั้งจะลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – Linked Bond) และพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – Linked Bond) ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออกตํ่ากว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated securities) และตราสารทุนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (unlisted securities) เว้นแต่เป็นหุ้นที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สั่งรับเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งผู้ออกหุ้นดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการกระจายการถือหุ้นรายย่อยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
นายธนโชติ กล่าวว่า การคัดเลือกหลักทรัพย์เพื่อลงทุนจะผ่านกระบวนการวิเคราะห์ที่นำปัจจัยด้าน ESG มาพิจารณา เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ปัจจุบันมีหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์ SET ESG Rating ประจำปี 2566 จำนวน 193 บริษัท ซึ่งมี Rating ตั้งแต่ AAA – BBB อย่างไรก็ตาม กรณีที่หลักทรัพย์มีข่าวเกี่ยวข้องกับ ESG ซึ่งอาจส่งผลต่อ ESG ของบริษัทอย่างมาก เช่น ผู้บริหารมีการทุจริต, มีการปล่อยสารพิษสู่ธรรมชาติ, หรือการค้ามนุษย์ เป็นต้น ทาง MFC จะไม่ลงทุนเพิ่มหรือขายหลักทรัพย์นั้นออกไป
สำหรับเงื่อนไขของกองทุน “ThaiESG” กำหนดให้ผู้ลงทุนต้องถือหน่วยลงทุน 8 ปีขึ้นไป (นับแบบวันชนวัน) จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทำให้ในปี 2566 นี้ ผู้ลงทุนได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ที่รวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (นับรวมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ,กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ)
กองทุน ThaiESG ถือเป็นตัวช่วยลดหย่อนภาษีในปีนี้ได้เพิ่ม ทำให้ผู้ลงทุนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ถึง 600,000 บาท ขณะเดียวกันราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากเป็นโอกาสลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนจากหุ้นที่มีความโดดเด่นทางด้าน ESG นายธนโชติ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมก่อนการตัดสินใจลงทุน ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.เอ็มเอฟซี โทร. 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร. 0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร. 043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324–25 หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mfcfund.com
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
บลจ. ยูโอบี เตรียมเสนอขาย กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) ให้กับนักลงทุนไทยเร็ว ๆ นี้ พร้อมตอกย้ำความมั่นใจด้วย 3 รางวัลความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน (ESG)
ตามที่กระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการจัดตั้งกองทุน THAIESG เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) มีความพร้อมที่จะยื่นขออนุมัติสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อจัดตั้ง กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) ทันที โดยคาดว่าจะเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยได้ในช่วงต้นเดือน ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป
กองทุน THAIESG มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย โดยมีจุดเด่นดังนี้
– เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่พิจารณาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG)
– ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เมื่อผู้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรและหรือกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้องกำหนด ทั้งในปัจจุบันและที่แก้ไขเพิ่มเติมในอนาคต
– ลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เป็นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาต่างหาก ไม่ต้องไปรวมกับยอดเงินลงทุน 500,000 บาทที่เป็นเพดานของกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกบข. + ประกันชีวิตแบบบำนาญ + กองทุนเพื่อการออม (SSF)
– ต้องถือไว้ 8 ปีเต็มจริง ๆ นับแบบวันชนวัน ให้สิทธิซื้อตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2575 (รวมซื้อได้ 10 ปี)
– ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ลงทุนปีไหนลดหย่อนปีนั้น
– รองรับกลุ่มลูกค้า LTF ที่ครบกำหนด และตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการเพิ่มเงินลงทุนเพื่อการเกษียณ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บลจ.ยูโอบี ได้มีส่วนร่วมในการผลักดันการนำเอาปัจจัย ESG เข้ามาผนวกเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารการลงทุน ในปี 2023 นี้ เราได้รับ 3 รางวัลด้าน ESG ทั้งจากสถาบันทั้งในและต่างประเทศ รางวัลดังกล่าวเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นความเป็นผู้นำด้าน ESG ของเรา บลจ. ยูโอบี จึงมีความยินดีที่จะเข้าร่วมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว เพื่อสนับสนุนภาพรวมการลงทุนในหลาย ๆ มิติ ทั้งในด้านนักลงทุนได้มีโอกาสออมเงินไว้ใช้จ่ายในอนาคต ตลาดหุ้นไทยให้มีความแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัย ESG
จึงได้จัดเตรียมเสนอขาย กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ที่มีการประกาศล่าสุด มีกลยุทธ์การบริหาร เพื่อมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) และมีการนำเอาปัจจัย ESG เข้ามาผนวกในกระบวนการลงทุน นอกจากนี้กองทุน UTSEQ ยังเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีการเปิดเผยข้อมูลในโครงการและหนังสือชี้ชวนว่ามีการจัดการกองทุนรวมโดยมุ่งความยั่งยืน (Sustainability) ตามหลักสากลอีกด้วย
กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล (UTSEQ) อยู่ระหว่างการขออนุมัติจัดตั้งจาก ก.ล.ต.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ยูโอบี โทร.02-786-2222 หรือ www.uobam.co.th
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
FINNOMENA FUNDS (ฟินโนมีนา ฟันด์) ตอกย้ำการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายกองทุนรวมของประเทศไทย เดินหน้าสนับสนุนกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: ThaiESG) เปิดตัว ThaiESG Hub เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลความรู้การลงทุนที่ถูกต้อง อัปเดตข้อมูลข่าวสารล่าสุดจากทุก บลจ. พร้อมคัดสรรกองทุนลดหย่อนภาษีด้วยคำแนะนำที่เป็นกลาง อีกทั้งยังสามารถลงทุนในกองทุน ThaiESG ได้ผ่าน FINNOMENA FUNDS ผ่านระบบ online 100% ได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2566
นายกสิณ สุธรรมมนัส Co-founders – FINNOMENA Group เปิดเผยว่า “นับเป็นข่าวดีของคนไทยในช่วงปลายปีนี้ เมื่อรัฐบาลได้อนุมัติให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เดินหน้าจัดตั้งกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ ThaiESG สำหรับเป็นโบนัสให้คนไทยได้ลงทุนพร้อมนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นถึง 100,000 บาท และไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี โดยแยกวงเงินดังกล่าวออกมาให้ลดหย่อนภาษีได้เลยแบบเต็ม ๆ ไม่ต้องนับวงเงินรวมกับกองทุน SSF หรือ RMF”
“FINNOMENA FUNDS จึงตั้งใจพัฒนา ThaiESG Hub สำหรับเป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกองทุน ThaiESG แบบครบวงจร ด้วยการรวบรวมกองทุน ThaiESG ทั้งหมดทั่วประเทศให้มาอยู่บน Hub นี้ อัปเดตทุกข้อมูลการลงทุน ทุกเทคนิคการลดหย่อนภาษี ตลอดจนกองทุนแนะนำที่ FINNOMENA FUNDS Investment Team คัดสรรมาให้แล้ว พร้อมทั้งจะสามารถซื้อ ThaiESG ได้เลย ครบจบในที่เดียว ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมนี้”
ความพิเศษของ ThaiESG Hub โดย FINNOMENA FUNDS มุ่งหวังให้เป็นพื้นที่สำหรับส่งเสริมการลงทุนในกองทุน ThaiESG แก่คนไทย ทั้งการให้ความรู้และการลงทุนที่ถูกต้อง นำไปสู่การลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว รวมทั้งสามารถลงทุนลดหย่อนภาษีได้อย่างเหมาะสมตามเป้าหมาย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ที่ผ่านมาคนไทยคุ้นเคยกับการลงทุนใน SSF, RMF หรือแม้กระทั่ง LTF กันดีอยู่แล้ว เราซื้อกองทุนเหล่านี้เพื่อลดหย่อนภาษีทุกปี แต่เชื่อว่าปีนี้จะคึกคักที่สุดในรอบหลายปี เพราะการมาของ ThaiESG นั้นมีข้อดีมากมาย ทั้งวงเงินเพื่อนำไปหักลดหย่อน 100,000 บาท ซึ่งไม่ต้องนับวงเงินรวมกับกองทุนอื่น ๆ ตอบโจทย์คนที่ฐานภาษีสูง ๆ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น ส่วนระยะเวลาถือครองก็เพียง 8 ปีจากวันที่ซื้อ จึงเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเริ่มซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเป็นครั้งแรก และที่สำคัญคือนโยบาย ThaiESG มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืน ESG และตราสารหนี้ ESG ในไทย จึงเป็นโอกาสดีในการออมระยะยาวกับสินทรัพย์คุณภาพที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเติบโตอย่างยั่งยืน
นายกสิณ สุธรรมมนัส Co-founders – FINNOMENA Group กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และติดตามข้อมูลข่าวสารบน ThaiESG Hub โดย FINNOMENA FUNDS ได้ที่ https://www.finnomena.com/thaiesg-hub
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2023 ที่ผ่านมา FINNOMENA FUNDS Investment Team ได้แนะนำเข้าลงทุนในรูปแบบการเก็งกำไรระยะสั้นในดัชนี CSI 300 ผ่านกองทุน SCBCHAA และ KT-ASHARES-A โดยตั้งจุด Stop loss เมื่อดัชนี CSI 300 ปิดตลาดต่ำกว่า 3,450 – 3,500 จุด
ซึ่งในวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ดัชนี CSI 300 ได้ลงมาปิดที่ระดับ 3,394 จุด ต่ำกว่าจุด Stop Loss ที่กำหนดไว้ หลังจาก Moody’s ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มภาพรวมความน่าเชื่อถือของจีนสู่ระดับ ติดลบ (Negative) จากคงที่ (Stable) โดย Moody’s ระบุว่ารัฐบาลจีนต้องใช้มาตรการสนับสนุนด้านการเงินแก่รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อความแข็งแกร่งทางด้านการคลังและเศรษฐกิจของจีน รวมถึงยังเป็นการสะท้อนความเสี่ยงแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลางที่อาจชะลอลงและการหดตัวของภาคอสังหาฯ ในปัจจุบัน ทำให้ความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้น
รูปที่ 1: CSI 300 TF Week
Source: Tradingview as of 6/12/2023
FINNOMENA FUNDS Investment Team จึงแนะนำให้ Stop Loss การลงทุนในกองทุน SCBCHAA และ KT-ASHARES-A สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนตามคำแนะนำ Tactical Call เพื่อรักษาวินัยและรักษาเงินต้นไว้เพื่อโอกาสในการเก็งกำไรครั้งถัดไป
สำหรับการลงทุนในรูปแบบ MEVT Call และ การลงทุนใน FINNOMENA FUNDS Port Global Absolute Return (GAR) ทาง FINNOMENA FUNDS Investment Team ยังติดตามสถานการณ์ความผันผวนของตลาดหุ้นจีนอย่างใกล้ชิด โดยมีความพยายามจากทางรัฐบาลจีนที่กอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน โดยใช้การออกนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง และเรายังคาดว่ามาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจในขนาดที่เหมาะสมจะค่อย ๆ ทยอยออกมาเพิ่มเติมอีกในอนาคต เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจจีน
ตลาดหุ้นจีน All China มี Valuation อยู่ในระดับที่มี downside จำกัด โดยมี PE เมื่อเทียบกับตัวเองในอดีตที่ระดับ -1 S.D. เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาลงมาในจุดที่ Valuation น่าสนใจ
สามารถศึกษาข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund/
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในกรอบระยะเวลาตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกันตามคำแนะนำ บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
บลจ. ทิสโก้ นำทีมเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน (T-ThaiESG) หวังหนุนคนไทยออมระยะยาวในหุ้นที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล พร้อมช่วยบริหารจัดการภาษีปลายปี เปิด IPO 8-18 ธ.ค. 66 มั่นใจเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะมีความชำนาญในด้านการบริหารจัดการกองทุนหุ้นไทย หลังคว้ารางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม ประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ 2 ปีซ้อนจาก Morningstar* และมีประสบการณ์บริหารกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) 2 กองทุน
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan Deputy Managing Director of TISCOASSET) เปิดเผยว่า บลจ. ทิสโก้ ในฐานะผู้นำด้านการบริหารจัดการกองทุนหุ้นไทยและเป็นเจ้าของรางวัลรางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม ประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ 2 ปีซ้อน คือปี 2565 และปี 2566 จาก Morningstar Awards* พร้อมทั้งมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) ถึง 2 กองทุน จึงมีความชำนาญในการคัดกรองหุ้นที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จากประเด็นข้างต้น บลจ.ทิสโก้พร้อมขานรับนโยบายภาครัฐในการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว และเพิ่มสินทรัพย์การลงทุนที่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการบริหารจัดการภาษีในช่วงปลายปี
และเพื่อให้คนไทยไม่พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว พร้อมลงทุนในหุ้นไทยในช่วงราคาที่น่าสนใจ บลจ.ทิสโก้จึงประกาศเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนสะสมผลตอบแทน (T-ThaiESG-A) และกองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืน ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนปันผล (T-ThaiESG-D) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ซึ่งผ่านกระบวนการวิเคราะห์การลงทุนแบบ ESG Integration เปิดเสนอขายครั้งแรก 8-18 ธันวาคม 2566
พิเศษ สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ลงทุนกองทุน T-ThaiESG-A และ/หรือ กองทุน T-ThaiESG-D ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 ยอดเงินลงทุนทุก ๆ 50,000 บาท รับหน่วยลงทุน กองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรระยะสั้น (TISCOSTF) มูลค่า 100 บาท
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน Thai ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
*ที่มา: บลจ.ทิสโก้ได้รับรางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยมประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ จาก Morningstar Awards 2022 และ 2023 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.morningstarthailand.com
บลจ. กสิกรไทย เร่งเครื่องจัดตั้งกองทุน ThaiESG คาดเปิดขายธันวาคมนี้ มองหุ้น ESG แนวโน้มดีมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากผู้ลงทุนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ดำเนินงานตามหลัก ESG โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม การกำกับดูแลที่ดีประกอบไปด้วยกันกับผลกำไร เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนในระยะยาวอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA, Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังเตรียมออกกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ ภายใต้ชื่อ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว และส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีการดำเนินงานตามหลัก ESG โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดีนั้น บลจ.กสิกรไทย มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการจัดตั้งกองทุน ThaiESG เพื่อมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ลงทุน และสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนโดยรวมในระยะยาว โดยคาดว่าจะพร้อมเสนอขายภายในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้
“ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลมาอย่างต่อเนื่อง และมีการจัดทำนโยบายสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG Policy) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 โดยได้นำนโยบายและหลักการไปปรับใช้ในทุกขั้นตอนของการบริหารจัดการกองทุน ตั้งแต่การวิเคราะห์ คัดเลือก และประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ รวมถึงได้จัดตั้งกองทุนหุ้น ESG ทั้งที่ลงทุนสินทรัพย์ในไทยและต่างประเทศจำนวนหลายกองทุนด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น กองทุน K-SUSTAIN-UI, K-PLANET และ KTHAICGRMF ซึ่งเป็นกองทุนแรกในอุตสาหกรรมที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ให้เป็นกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ ESG Integration รวมถึงล่าสุด กองทุน K-CHANGE ซึ่งมีกลยุทธ์มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านบวกต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับความเห็นชอบให้เป็น SRI Fund เพิ่มเติมไปเมื่อเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังเป็นบลจ.แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมลงนาม Principles for Responsible Investment หรือ PRI Signatory ตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 ซึ่งเป็นหลักการลงทุนที่รับผิดชอบในระดับสากลที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations) รวมถึงมีการจัดทำรายงาน Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) หรือรายงานการเปิดเผยข้อมูลการกำกับดูแลขององค์กรเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ” นางสาวธิดาศิริ กล่าว
นางสาวธิดาศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกองทุน ThaiESG กำหนดให้มีระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท อย่างไรก็ดี การตั้งกองทุน ThaiESG เป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพิ่มเติม ทำให้ปีนี้ผู้ลงทุนได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมอีก 1 แสนบาท จากเดิมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) และกองทุน SSF (กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว) ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (นับรวมกองทุนกลุ่มเพื่อการเกษียณทั้งหมด เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ) จึงคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้อีกกว่าหมื่นล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้
“โลกไม่ได้มีความต้องการเรามากเท่ากับที่เราต้องการโลก” ดังนั้นถ้าเรารักตัวเอง อยากเห็นโลกใบนี้เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ สังคมแห่งการแบ่งปันโอกาส และการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม เพื่อส่งต่อให้กับลูกหลานของเราในวันข้างหน้า วันนี้เราจึงควรต้องหันมารักษ์โลก ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ขอชวนผู้ลงทุนร่วมส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับรับโอกาสทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นของธุรกิจเหล่านี้ โดยคาดว่ากองทุน ThaiESG จากกสิกรไทย จะขายผ่านทุกช่องทางของธนาคารกสิกรไทยและผู้แทนสนับสนุนการขาย เริ่มต้นเพียง 500 บาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888
ThaiESG Hub ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ThaiESG ซื้อจบได้ที่นี่ คลิก 👉 https://www.finnomena.com/thaiesg-hub/
มีรุ่นน้องถามผมว่า ถ้าต้องการลงทุนส่วนใหญ่เป็น Passive เลย Active บ้างตาม Cycle ของ เศรษฐกิจ
แต่ให้สามารถมีผลตอบแทนมากกว่าตลาด แต่ความเสี่ยงใกล้ตลาด
โดยลงทุนเองได้ ไม่ต้องมีเครื่องมือที่ complex แบบพวกสถานบันการเงินมี
ส่วนตัวชอบลงทุนแนว Sector อยู่แล้ว ดังนั้นจึงลองทำ portfolio optimization โดยใช้ USA Sector ดู
โดยใช้ portfoliovisualizer เป็นเครื่องมือช่วย โดยเลือก optimize แบบ maximize Sharpe Ratio
ผลการทำ portfolio optimization โดยใช้วิธีการ Mean Variance- Maximize Sharpe Ratio
โดยให้ถือแต่ละ Sector ETF ที่เป็นการลงทุนแบบ Passive Fund
โดยสัดส่วนแต่ละ ETF ต้องไม่เกิน 20% ผมแบ่งเป็น 5 ช่วง
ผลได้ดังรูปนี้
Figure 1 ผลจาก portfoliovisualizer วันที่ 3-Dec-2023
ในช่วงเวลาที่เกิด Criss แบบปี 2008 Sector ที่เป็น defensive แบบ Healthcare , Consumer Staple และ Gold ก็จะ outperform กว่าตลาด
ในขณะเดียวกัน ถ้า cycle ของ เศรษฐกิจดี ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนพวก Growth Sector เช่น technology หรือ Semiconductor และลด Defensive Sector ลงได้
แต่ถ้า cycle ดอกเบี้ยสูง ก็ลดพวก growth sector ลงเพิ่ม defensive sector พร้อมเพิ่มพวก commodity
อย่างไรก็ดี ผลจากการทดสอบ ผมสังเกตแบบง่าย ๆ จะเห็น Sector ที่จะอยุ่ส่วนใหญ่ในทุกช่วงเวลา
โดยเป็น Strategic Sector ETF คือ
ส่วน Tactical Sector ETF คือ
ผมจึงแนะนำรุ่นน้องให้ซื้อพวกนั้นเป็นส่วนใหญ่แบบ Strategic Sector ETF และ อีกส่วนที่เหลือที่เป็น Tactical ก็ค่อยปรับตัว Cycle ของ เศรษฐกิจ
ถ้าคนไม่ได้มีความรู้มาก จับจังหวะของ Market Cycle ไม่ได้ ก็อาจจะใช้การแบ่งสัดส่วนง่ายๆ แบบ Equal Weight ดังนี้
Model ที่ 1 – ใช้ Sector ทั้งหมด
โดยเป็น Strategic Sector ETF 80% ใช้ equal weight เลยก็ได้
ที่เหลือเป็น 20%
ส่วน Tactical Sector ETF คือ
Model ที่ 2 เป็น core satellite
โดยให้ S&P500 เป็นหลักสัก 20%
โดยเป็น Strategic Sector ETF 60%
ใช้ equal weight เลยก็ได้
ที่เหลือเป็น 20% ส่วน Tactical Sector ETF คือ
ผลทดสอบย้อนหลังได้ตามรูป
จะเห็นได้ว่า ทั้ง 3 พอร์ตจะมีค่า Maximize Sharpe Ratio สูงกว่าตลาดคือ S&P500
อย่างไรก็ การทดสอบเป็นนำค่าจากอดีตมาใช้ อนาคตอาจจะไม่เหมือนเดิมแบบนี้เสมอ
นักลงทุนจะต้องเฝ้าติดต่อการเปลี่ยนแปลงเสมอ
แท้จริงนักลงทุนสามารถกำหนด สัดส่วนของ Strategic และ Tactical ได้มากกว่า 2 model ข้างบน
แต่ภาพผลทดสอบที่เราเห็นอย่างน้อยเราจะได้ความสัมพันธ์ระหว่างของ sector และ Cycle ของ Economic คร่าว ๆ
ข่วยให้นักลงทุน Style Passive ก็สามารถเอาชนะตลาดได้
WealthGuru
สัปดาห์นี้ วันที่ 4 – 10 ธ.ค. 2566 จะมีกองทุน Term Fund ออกใหม่ (IPO) กองไหนบ้าง บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ
1. PRINCIPAL FI6M2AI – กองทุนเปิดพรินซิเพิล ตราสารหนี้ 6M2 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย
นโยบายลงทุน: ลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน และ/หรือเงินฝากที่เสนอขายในประเทศที่ออกโดยภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ/หรือภาคเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) และ/หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออก (Issue/Issuer) ตํ่ากว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-investment grade)
กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
2. KFJGB6M6 – กองทุนเปิดกรุงศรีพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 6M6
นโยบายลงทุน: ลงทุนในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ภาครัฐ ที่รัฐบาล หรือกระทรวงการคลังของประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ออกโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากธนาคาร และ/หรือตราสารทางการเงิน และ/หรือศุกูก และ/หรือตราสารหนี้อื่นใดที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร (Issue rating) หรือของผู้ออกตราสาร (Issuer rating) อยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade)
กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
https://www.krungsriasset.com/DataWeb/AYFWeb/th/pdf/FFS_KFJGB6M6_TH.pdf?rnd=20231127120353
3. SCBCP3M43 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 3 เดือน 43
นโยบายลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเป็นหรือเกี่ยวข้องกับตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายทั้งใน และ/หรือต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารที่มุ่งให้เกิดการรักษาเงินต้น ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือบัตรเงินฝาก และ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงิน รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้
กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
https://www.scbam.com/medias/fund-doc/summary-prospectus/SCBCP3M43_SUM.pdf
4. SCBCP6M29 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 6 เดือน 29
นโยบายลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเป็นหรือเกี่ยวข้องกับตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารที่มุ่งให้เกิดการรักษาเงินต้น ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือบัตรเงินฝาก และ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงิน รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้
กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
https://www.scbam.com/medias/fund-doc/summary-prospectus/SCBCP6M29_SUM.pdf
5. SCBCP3M44 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 3 เดือน 44
นโยบายลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเป็นหรือเกี่ยวข้องกับตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารที่มุ่งให้เกิดการรักษาเงินต้น ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และ/หรือเงินฝาก และ/หรือบัตรเงินฝาก และ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงิน รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้
กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
https://www.scbam.com/medias/fund-doc/summary-prospectus/SCBCP3M44_SUM.pdf
6. KTGOV3M11 – กองทุนเปิดกรุงไทยพันธบัตร 3M11
นโยบายลงทุน: ลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่มีกระทรวงการคลังค้ำประกัน หรือตราสารหนี้ที่รัฐบาล กระทรวงการคลังหรือธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ออก ผู้สั่งจ่าย ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน และ/หรือตราสารภาครัฐต่างประเทศ ที่รัฐบาลต่างประเทศ องค์การหรือหน่วยงานของรัฐบาลต่างประเทศรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ เป็นผู้ออก หรือผู้ค้ำประกัน
กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนแบบครั้งเดียว และถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการ
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
https://www.ktam.co.th/document_fund/fundfactsheet/Factsheet_th_KTGOV3M11.pdf
7. KTSIV3M3 – กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 3 เดือน3
นโยบายลงทุน: ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ภาคเอกชน และ/หรือตราสารสารแห่งหนี้ภาครัฐที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นสูง และ/หรือเงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้
กลยุทธ์การลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (active management)
ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
https://www.ktam.co.th/document_fund/fundfactsheet/Factsheet_th_KTSIV3M3.pdf
วันนี้นักลงทุนสามารถทำรายการซื้อกองทุน Term Fund ด้วยตัวเองผ่านแอปฯ FINNOMENA โดยกดเพิ่มรายการคำสั่งซื้อที่พอร์ต DIY ได้เลย หรือสอบถามรายละเอียดได้ผ่านที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวของท่าน
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.2% ทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน หลังประธานเฟดส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อาจถึงระดับสูงสุดแล้ว หนุน Sentiment บวกต่อสินทรัยพ์เสี่ยงให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า
รูปที่ 1: กราฟดัชนี DAPP ETF TF Day
Source: Tradingview as of 12/01/2023
จากคำแนะนำ “FINNOMENA FUNDS Tactical Call: DAPP ETF ทำ Higher High ยืนยันการกลับตัวเหมาะแก่การเก็งกำไร” ผ่านกองทุน ASP-DIGIBLOC เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ล่าสุดราคา DAPP ETF ถึงจุด Take Profit แล้วที่ระดับ 7.40 ดอลลาร์ (DAPP ETF +16.25% นับตั้งแต่เริ่มแนะนำ) FINNOMENA FUNDS Investment Team จึงแนะนำขายทำกำไรทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น Momentum การปรับตัวขึ้นที่แข็งแกร่งบ่งชี้ว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการเก็งกำไรต่อ อาจพิจารณาขายทำกำไรบางส่วนเพื่อบริหารความเสี่ยง และส่วนที่เหลือถือครองนั้น แนะนำขายทำกำไรที่ 9.76 ดอลลาร์ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม และกำหนด Trailing Stop โดยใช้ MA 20 วัน หรือใช้ระดับราคา 6.8 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci 32.8%
รูปที่ 2: ข้อมูล Correlation ของกับกองทุน ASP-DIGIBLOC กับ DAPP ETF
Source: Bloomberg as of 24/11/2023
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ลงทุน อาจพิจารณาเข้าลงทุนภายใต้ คำแนะนำ Tactical Call ในกองทุน ASP-DIGIBLOC ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนใน DAPP ETF สัดส่วน 78% มีค่า Correlation กับ DAPP ETF ที่ 0.97 สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวตาม DAPP ETF โดยมีคำแนะนำดังนี้
รูปที่ 3 : ASP-DIGIBLOC Top Holding
Source: Fund Fact Sheet ของกองทุน ASP-DIGIBLOC as of 31/10/2023
ASP-DIGIBLOC เป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets Companies) และ/หรือบริษัทที่มีรายได้จากการดำาเนินธุรกิจและ/หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัล และ/หรือบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) เช่น เพิ่มประสิทธิภาพหรือลดต้นทุนในการดNาเนินงาน เป็นต้น และ/หรือลงทุนในหน่วย CISและ/หรือ ETF ที่มีการลงทุนในตราสารทุนตามลักษณะดังกล่าวข้างต้นด้วย
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
FINNOMENA FUNDS Investment Team
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในกรอบระยะเวลาตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกันตามคำแนะนำ | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
THIS ISSUE
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
EYE ON THIS WEEK
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
MARKET
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
FINNOMENA PORT PERFORMANCE
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
เงินเดือนออกตั้งใจจะเก็บเงิน แต่พอเจอสิ่งของล่อตาล่อใจ เกิดอารมณ์ชั่ววูบ อดไม่ได้ที่จะซื้อ เพราะเจอคำว่าของมันต้องมี และราคาก็ดีงาม ไม่ซื้อตอนนี้แล้วจะตอนไหน จนหลายครั้งเรากลับแยกไม่ออกว่านี่จำเป็นหรือแค่อยากได้ ?
ซึ่งพฤติกรรมนี้เป็นสิ่งที่กำลังทำร้ายเราอยู่ไม่รู้ตัว เช่น เงินหมดก่อนสิ้นเดือน ดึงเงินเก็บมาใช้จนเงินค่อย ๆ ลด แต่กลับกัน ถ้าแบ่งใช้แบ่งเก็บให้ดี ซื้อของที่อยากได้โดยไม่ทำร้ายกระเป๋าอื่น ก็เป็นสิ่งที่ทำได้
แต่ถ้าเรารู้ตัวก่อนว่าพฤติกรรมนี้ส่งผลไม่ดีแน่ในอนาคต เราลองมาหาวิธีง่าย ๆ ที่จะเปลี่ยนนิสัยให่้เป็นคนคิดก่อนซื้อ ไม่ใช่อารมณ์ตัดสิน และแยกให้ออกระหว่างจำเป็นกับอยากได้ ด้วยกฏ 30 วัน
เมื่อเจอของที่อยากได้มาก ๆ ให้ลองอดทนเป็นเวลา 30 วัน ก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อทบทวนว่าของชิ้นนี้ จำเป็นหรือแค่อยากได้
ให้ออมเงินเท่ากับราคาสินค้าชิ้นนี้เข้าบัญชีทันที หรือทยอยออมเงิน ภายใน 30 วัน ให้ครบจำนวน
เมื่อครบกำหนดวันแล้ว ให้ถามลองตัวเองอีกครั้งว่า ยังอยากซื้อของชิ้นนี้อยู่หรือเปล่า ?
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/30-days-rule-for-saving-money/