ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ หลังดัชนี SET ปรับตัวลดลงกว่า 16% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดหุ้นที่ผลงานแย่ที่สุดจาก 92 ดัชนีทั่วโลก ตามรายงานของ Bloomberg ความพยายามฟื้นฟูตลาดผ่านกองทุนวายุภักษ์มูลค่า 150,000 ล้านบาท ก็ยังไม่สามารถสร้างแรงกระตุ้นได้ ขณะที่เงินทุนจากต่างชาติไหลออกไปแล้วกว่า 140,000 ล้านบาท ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
Source: Bloomberg as of 18/3/25
เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่มีการปรับเป็นค่าที่เทียบเคียงกันได้ (Normalized) ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2024 จะเห็นว่า ตั้งแต่ปลายปี 2024 ถึงมีนาคม 2025 ดัชนี SET ของไทย (เส้นสีดำ) ลดลงกว่า -17% ซึ่งแย่กว่าตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้านที่ปรับลดลงเพียง -5% ถึง -10% เท่านั้น สะท้อนถึงวิกฤตความเชื่อมั่นที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะ
รัฐบาลพยายามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น
แต่ถึงตอนนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็ยังไม่กลับมา Goldman Sachs ถึงกับปรับลดอันดับตลาดหุ้นไทย โดยชี้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ดีและมูลค่าหุ้นสูงเกินไป “เมื่อแรงสนับสนุนจากกองทุนวายุภักษ์เริ่มจางหายไป พื้นฐานไม่ดีของไทยก็กลับมาให้เห็นอีกครั้ง” ทีมวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ระบุ
Source: Bloomberg as of 18/3/25
จากกราฟด้านบน จะเห็นได้ว่าดัชนี SET ของไทยกำลังซื้อขายที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปี 2020 โดยดัชนีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2024 จนถึงต้นปี 2025 หลังจากที่เคยฟื้นตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ประมาณ 1,700 จุดในช่วงปี 2021 – 2022 ปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ประมาณ 1,200 จุด ซึ่งต่ำกว่าช่วงเริ่มต้นของปี 2024 อย่างชัดเจน
ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับภาวะท้าทายเช่นนี้ เราคงต้องหันกลับมามองถึงโอกาสในความยากลำบากที่อาจซ่อนอยู่ แม้ว่าภาพรวมจะยังคงหม่นหมองและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนจะลดลง แต่ราคาหุ้นที่ตกลงอย่างรุนแรงอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่สามารถมองข้ามความผันผวนระยะสั้นไปได้ การที่รัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การแจกเงินและการส่งเสริมการท่องเที่ยว แม้ผลลัพธ์ในปัจจุบันอาจไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพยายามที่ไม่หยุดยั้งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
สิ่งสำคัญคือการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างรอบคอบในช่วงเวลาที่ตลาดปรับฐาน หากมีการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว เราจะเห็นการเติบโตที่สดใสของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
Definit SET Select พลิกกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย ช่วยคัดเลือกหุ้นไทยเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว พิจารณา 3 ปัจจัย
Earnings หุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
Valuation หุ้นที่มูลค่าถูกกว่าอุตสาหกรรม
Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกของราคาในระยะสั้น
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (บริษัท) ไม่สามารถยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ใดใดของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลมาจากวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใด ๆ กับ บริษัท
ชมรมหุ้นกู้ – รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลินิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
ติดตามรายการชมรมหุ้นกู้ได้ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Youtube & Facebook Finnomena
รับชมตัวอย่างรายการ
Thai ESGX หรือ Thai ESG Extra กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ มาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีใหม่ของปี 2568 สามารถสับเปลี่ยนกองทุน LTF มาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท พร้อมเปิดโอกาสให้ลงทุนใหม่ได้อีก 300,000 บาท กำหนดให้ซื้อ 2 เดือน ในระหว่างเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนนี้
รายงานข่าวล่าสุด (วันที่ 11 มีนาคม 2568) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) หรือเรียกว่ากองทุน “Thai ESG Extra” สำหรับรองรับเงินลงทุนของผู้ที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ปัจจุบันคงค้างอยู่ประมาณ 180,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนโยกเงินจาก LTF มาอยู่ใน Thai ESGX โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นใช้สิทธิในปี 2568 จำนวน 300,000 บาท และทยอยลดหย่อนอีก 200,000 บาทที่เหลือในปีที่ 2-5 จำนวนปีละไม่เกิน 50,000 บาท
นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาทในปี 2568 และถือเป็นวงเงินใหม่ ไม่ต้องนำไปนับรวมกับกองทุน Thai ESG ปกติ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะสามารถเปิดให้ บลจ. ยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ได้ภายในเดือนเมษายน 2568 เพื่อเปิดให้ลงทุนได้ในระยะเวลา 2 เดือนที่กำหนด คือช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2568
Thai ESGX คือ กองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งออกมาพิเศษเฉพาะปี 2568 นี้เท่านั้น เพื่อรองรับการสับเปลี่ยนจาก LTF และเงินลงทุนใหม่ ภายในช่วงระยะเวลา 2 เดือน พร้อมสนับสนุนมาตรการทางภาษีของภาครัฐให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ายิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริม responsible investment และสนับสนุนความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทยในระยะยาว
เงื่อนไขสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ของ Thai ESGX จะใช้ตามหลักเกณฑ์เดียวกับ Thai ESG ซึ่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV แต่ Thai ESGX จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องลงทุนในหุ้นยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV ด้วย ส่วนเงินลงทุนอื่น ๆ เช่น เงินสด หรือหลักทรัพย์ต่างประเทศ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ไม่เกิน 20% ของ NAV
สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกองทุน Thai ESGX แบ่งวงเงินลดหย่อนออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. วงเงินสำหรับการลงทุนใหม่ที่ซื้อ Thai ESGX ในปี 2568 ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
2. วงเงินสำหรับผู้ลงทุนที่โยก LTF มาเข้า Thai ESGX ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็น
ทั้งนี้ วงเงินลดหย่อนภาษีทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวของ Thai ESGX จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุน Thai ESG ปกติ
สรุปแล้วปี 2568 จะมีกองทุนกลุ่ม Thai ESG ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 3 วงเงิน รวมสูงสุดไม่เกิน 900,000 บาท
1.) เงินลงทุนใหม่ของผู้ลงทุนทุกรายที่ซื้อ Thai ESG ลดหย่อนไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุด 300,000 บาท
2.) เงินลงทุนใหม่ของผู้ลงทุนทุกรายที่ซื้อ Thai ESGX ในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่เปิดขายในปี 2568 ลดหย่อนไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุด 300,000 บาท
3.) สำหรับผู้ที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ทุกกองทุนไป Thai ESGX มีวงเงินลดหย่อนปีแรก (2568) สูงสุด 300,000 บาท และปีที่ 2-5 (2569-2572) สูงสุดปีละ 50,000 บาท
กำหนดระยะเวลาถือครอง ≥ 5 ปี นับแบบวันชนวัน ตั้งแต่วันเริ่มต้นลงทุน หรือตั้งแต่วันที่แจ้งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
Q : Thai ESGX ต่างจาก Thai ESG เดิมอย่างไร
A : Thai ESGX มีเงื่อนไขการลงทุนเพิ่มเติม คือ ต้องลงทุนหุ้นกลุ่มความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV และเปิดรับสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม สูงสุด 500,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไข 30% ของเงินได้
พึงประเมิน
Q : Thai ESGX สามารถลงทุนหุ้นไทยที่ไม่ใช่ ESG ได้หรือไม่
A: ได้ เพราะส่วนการลงทุนที่เหลืออีก 20% ของ NAV สามารถลงทุนหุ้นไทยที่ไม่ใช่ ESG ได้
Q: มาตรการนี้เป็นการบังคับผู้ถือหน่วยลงทุน LTF หรือไม่?
A: ไม่ได้บังคับ เปิดโอกาสให้สับเปลี่ยนได้ตามสมัครใจ
Q: หากเลือกที่จะสับเปลี่ยน LTF มา Thai ESGX จะต้องย้ายมาทั้งหมด หรือโยกเพียงบางส่วนได้?
A: ผู้ลงทุนจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมด ทุกกองทุน ทุก บลจ. ที่ถือครอง ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 หากสับเปลี่ยนไม่ครบ จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
Q : มี LTF เดิมอยู่หลายกองทุน สามารถโอนไป Thai ESGX กองทุนเดียวได้หรือไม่
A : ได้
Q : สามารถสับเปลี่ยน LTF ไป Thai ESGX ข้าม บลจ. ได้หรือไม่
A : เงื่อนไขเพื่อให้ได้รับการลดหย่อนภาษีไม่ได้ห้ามการโอนข้าม บลจ. อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับข้อกําหนดการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของ LTF และ Thai ESGX ของแต่ละ บลจ. ทั้งนี้ ขอให้ผู้ลงทุนติดต่อสอบถาม
ไปยัง บลจ. ที่สนใจ หรือพิจารณาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนของกองทุนข้างต้นอีกครั้งหนึ่งก่อนดําเนินการสับเปลี่ยน
Q : หลัง 11 มี.ค. 2568 สามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไปยัง LTF อื่น ภายใต้ บลจ. เดียวกัน หรือต่าง บลจ. ได้หรือไม่
A: ไม่ได้ ถ้าผู้ถือหน่วยลงทุน LTF ประสงค์จะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีวงเงินลดหย่อนที่ 2 ต้องไม่ขาย และไม่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ถึงแม้กองทุนปลายทางจะเป็นกองทุน LTF เหมือนกัน จะทําให้กองทุน LTF ต้นทางต้องขายหลักทรัพย์ที่ถือครองออกมาตามมูลค่า NAV ของหน่วยลงทุนที่สับเปลี่ยนและโอนเงินสดไปให้กองทุน LTF ปลายทางเพื่อนําไปลงทุนต่อ
Q: เงินลงทุนของ LTF ส่วนที่เกินจาก 500,000 บาท หากสับเปลี่ยนมา Thai ESGX จะต้องถือครองตามเงื่อนไขหรือไม่?
A: เงินลงทุนทั้งหมดต้องถือตามเงื่อนไข Thai ESGX คือ ≥ 5 ปี ตั้งแต่วันที่แจ้งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
Q : ถ้าลงทุน Thai ESGX ไม่ครบระยะเวลา 5 ปี ต้องทําอย่างไร
A : หากมีการขายหน่วยลงทุนก่อนครบระยะเวลา 5 ปี จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้นและอาจมีเบี้ยปรับตามที่กฎหมายหรือกฎเกณฑ์กําหนด นอกจากนี้ หากมีกําไรจากการขายหน่วยจะต้องนํากําไรนั้นมาคํานวณภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ทางภาษีด้วย
Q: ถ้าไม่สับเปลี่ยน ทนถือ LTF ไว้เหมือนเดิม อนาคตจะเป็นอย่างไร?
A: หลังจากหมดช่วงสับเปลี่ยน LTF จะถูกเปลี่ยนเป็นกองทุนผสม โดยมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทย ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV และจะเปิดขายให้เหมือนกองทุนรวมทั่วไปแทน
ที่มา: สำนักงาน ก.ล.ต.
วันนี้ (18 มีนาคม 2025) ดัชนี HSCEI (หุ้นจีน H-Share) ปรับตัวขึ้นกว่า 2.3% และดัชนี Hangseng Tech ปรับตัวขึ้นราว 3.3% นำโดยหุ้น Baidu +11.90% Alibaba +5.39% Tencent 4.72 และ JD.com +4.50%
ขณะที่จีนเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาด ทั้งยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นจาก 3.7% YoY ในเดือนมกราคมสู่ระดับ 4.0% YoY ในเดือนก.พ ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.8% และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้นจาก 3.2% YoY ในเดือนมกราคมสู่ระดับ 4.1% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.2% ทั้งนี้ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอลงเล็กน้อยจาก 6.2% YoY ในเดือนมกราคมสู่ระดับ 5.9% YoY ในเดือนก.พ. แต่สูงกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 5.3%
นอกจากนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2025 รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนมาตรการกระตุ้น โดยจะดำเนินการเพื่อฟื้นฟูการบริโภค เพื่อเพิ่มรายได้ของประชาชน และจะมีการออกมาตรการกระตุ้นอย่างการรักษาเสถียรภาพของตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งเสนอแรงจูงใจ เพื่อเพิ่มอัตราการเกิดของประเทศ นอกจากนี้ยังมีมาตรการกระตุ้นอื่น ๆ เช่น ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แก้ปัญหาหนี้ค้างชำระของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยี AI และ Trade-in Program โดยการประกาศมาตรการกระตุ้นในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% สำหรับปี 2025 ในที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC)
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2025 ทางการจีนได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้านในการประชุม NPC โดยขยายเพดานขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของ GDP หรือประมาณ 5.66 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี พร้อมออกพันธบัตรระยะยาวพิเศษมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านหยวน โดยจัดสรร 300,000 ล้านหยวนเพื่อสนับสนุนโครงการกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังของรัฐบาลจีนในการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่เงินที่เหลือจากพันธบัตรดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมออกพันธบัตรพิเศษเพิ่มเติมอีก 500,000 ล้านหยวน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมเสถียรภาพของภาคการเงิน
Finnomena Funds มองว่า จากการประกาศมาตรการกระตุ้นสะท้อนว่ารัฐบาลจีนยังคงมุ่งมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยเรามองว่าเป็นโอกาสลงทุนในระยะสั้น ตามคำแนะนำ FundTalk Contrarian ซึ่งแนะนำการลงทุนระยะสั้นในกองทุน MEGA10CHINA-A ที่เน้นลงทุนใน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ H-Share อย่างไรก็ดี ในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมที่ฟื้น
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Highlight
“ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจไม่ได้เติบโตเสมอไป” นี่คือแนวคิดที่สะท้อนอยู่ในบทความ “ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?” ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งกล่าวถึงวัฏจักรของตลาดหุ้นที่ไม่ได้มีแค่ช่วงขาขึ้น แต่ยังมีช่วงซบเซาอย่างยาวนานที่เรียกว่า “Lost Decade” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นแทบไม่เติบโตเลย หรือแม้กระทั่งให้ผลตอบแทนติดลบนานเป็น 10 ปี
ดร.นิเวศน์ เขียนบทความพาย้อนดูประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กว่า 75 ปี ผ่านดัชนี S&P 500 ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงที่ถือว่าเป็น “Lost Decade” นั่นคือปี 1968 – 1982 และปี 2000 – 2009 ซึ่งทั้งสองช่วงนี้มีปัจจัยทางเศรษฐกิจและวิกฤติสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ค่อนข้างท้าทาย โดยดัชนี S&P 500 ได้ปรับตัวลงมาหลุดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนมักใช้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงทิศทางของตลาดในอนาคตว่าจะเป็นเช่นไร จะเป็นการปรับฐานชั่วคราวหรือมีความเสี่ยงที่จะรุนแรงกว่านั้น?
อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมตลาดสหรัฐฯ ก็ยังคงเติบโตและมีโอกาสอยู่เสมอ
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/03/2025
เมื่อ S&P500 หลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน นักลงทุนมักกังวลว่า ตลาดจะปรับตัวลงต่อมากน้อยแค่ไหน?
จากกราฟแสดงให้เห็นว่า หากการหลุดเส้น 200 วันเกิดขึ้นและในอีก 12 เดือนข้างหน้าเกิด Recession ตามมา ตลาดมักจะเผชิญกับการปรับฐานที่รุนแรงกว่า โดยมีค่าเฉลี่ยของการลดลงสูงสุด (Max Drawdown) ที่ -5.62% และบางช่วงเวลาอย่างในปี 1929 หรือช่วง Dot-Com Bubble ปี 2000 ตลาดเคยดิ่งหนักถึง -80%
ในทางกลับกัน หาก S&P500 หลุดเส้น 200 วันแต่ ไม่เกิด Recession ใน 12 เดือนข้างหน้า การปรับตัวลงมักไม่รุนแรงมาก โดย Max Drawdown อยู่ที่เพียง -2.06% และส่วนใหญ่แล้ว (ประมาณ 88.38%) ราคาจะลดลงไม่เกิน 5%
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/03/2025
*ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
อีกหนึ่งคำถามสำคัญที่นักลงทุนสงสัยก็คือ จังหวะแบบนี้ควรเข้าซื้อหรือไม่? ซึ่งคำตอบขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตว่า จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือเปล่า?
หากมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยใน 12 เดือนข้างหน้า ตลาดมีแนวโน้มฟื้นตัวได้น้อย โดยผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 200 วันถัดไปหลังจากหลุดเส้น 200 วันอยู่ที่เพียง 2.67% และมีโอกาสทำกำไรเพียง 40.22% ซึ่งหมายความว่าความเสี่ยงยังคงสูงและอาจไม่ใช่จังหวะที่ดีในการเข้าซื้อ
ในทางกลับกัน หากไม่มีภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมา นี่อาจเป็นโอกาสลงทุน เพราะค่าเฉลี่ยผลตอบแทนใน 200 วันข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 7.75% และโอกาสทำกำไรก็สูงถึง 70.71% บ่งชี้ว่าตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้มากกว่า
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 14/03/2025
ในมุมมองของปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 อยู่ที่ระดับ 5,639 จุด โดย P/E Ratio ปัจจุบันอยู่ที่ 20.5 เท่า ซึ่งดูเหมือนจะกำลังเคลื่อนไปสู่การประเมินมูลค่าที่เหมาะสมมากขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้อยู่ในช่วงราคาสูงเกินไป ด้านคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ก็สะท้อนการเติบโตที่มีแนวโน้มค่อนข้างมั่นคง
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 14/03/2025
จากการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้กลุ่ม “7 นางฟ้า” หรือ “Magnificent 7” ซึ่งประกอบไปด้วย Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Tesla และ Nvidia กำลังซื้อขายที่ระดับ P/E Ratio 25.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าการประเมินมูลค่าของหุ้นเหล่านี้อาจสมเหตุสมผลขึ้น
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 14/03/2025
ขณะที่ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก ปัจจุบันมี P/E Ratio ที่ 24.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกัน และมีการคาดการณ์กำไรที่เติบโตได้ดี สะท้อนโอกาสในการลงทุนหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่ถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไป
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/03/2025
อย่างไรก็ตาม หากอนาคตสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงมี “กระสุน” หรือเครื่องมือทางการเงินเพียงพอที่จะเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจหากจำเป็น
การคาดการณ์จากกราฟเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 และ 25 มีนาคม 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของนโยบายการเงิน จากเดิมที่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง มาเป็นการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดถึง 3 ครั้ง ตามข้อมูลจาก Fed Funds Futures
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันยังคงอยู่ที่ระดับ 4.50% และอัตราที่ตลาดคาดการณ์ในอนาคต (Implied Overnight Rate) ลดลงจาก 3.951% (ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์) มาอยู่ที่ 3.603% (ณ วันที่ 25 มีนาคม) พร้อมการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะทยอยลดลงไปสู่ระดับประมาณ 3.5% ภายในกลางปี 2026
แม้ว่าดัชนี S&P500 จะเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนตัว แต่ปัจจัยหลายอย่างยังคงสนับสนุนตลาด เช่น เงินเฟ้อที่ยังไม่น่ากังวล ซึ่งอาจเปิดทางให้ Fed ส่งสัญญาณ Dovish มากขึ้น
ขณะเดียวกัน Valuation ของหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Mag-7 และหุ้นขนาดเล็กเริ่มต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งสะท้อนว่าความเสี่ยงด้านราคาถูกจำกัดลง หากไม่เกิด Recession ในช่วงที่ S&P500 หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ข้อมูลทางสถิติชี้ว่านี่อาจเป็นโอกาสสะสมหุ้นมากกว่าจุดที่ต้องตื่นตระหนก
Finnomena Funds ยังคงมุมมอง Neutral ต่อดัชนี S&P500 หลังจากปรับลดมุมมองในช่วงต้นเดือน แต่ยังมองว่าเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการ Selective Buy โดยเน้นไปที่ หุ้นขนาดกลางและเล็กที่มี Valuation ไม่แพง เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว
อ้างอิง: ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?, Finnomena Live
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. โทร. 02-026-5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
คุณกำลังมองหาวิธีจัดพอร์ตที่จะช่วยให้ผ่านพ้นทุกสภาวะตลาดได้อย่างมั่นใจอยู่หรือเปล่า? หากใช่บทความนี้ถูกสร้างมาเพื่อคุณ! เพราะเราจะมาเผยเคล็ดลับการจัดพอร์ตที่ไม่ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหนก็ช่วยให้พอร์ตของคุณเอาชนะตลาดได้มาฝากกัน รายละเอียดพอร์ตจะเป็นอย่างไร? ติดตามไปพร้อมกันได้ในบทความนี้
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ หากพูดในความหมายของโลกการลงทุน ประโยคนี้ก็หมายความว่า ‘การกระจายความเสี่ยง’ นั่นเอง คงไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในทุกช่วงเวลา และเราก็ไม่อาจรู้อนาคตแน่นอนได้ว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางคนพอร์ตมีแต่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นอยู่เต็มพอร์ต แต่พอเกิดขึ้นสถานการณ์ที่ทำให้หุ้นปรับตัวลดลงกลายเป็นว่าเปิดพอร์ตมาแดงแจ๋ติดดอย หรือบางคนพอร์ตมีแต่สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ในช่วงที่ตลาดขึ้นก็อาจจะเสียโอกาสที่จะทำให้พอร์ตของเราเติบโตไปได้อีก
ดังนั้น ‘Asset Allocation’ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการลงทุน หากคุณกำลังมองหาพอร์ตการลงทุนที่จะช่วยให้คุณสามารถเอาชนะได้ในทุกสภาวะตลาดได้ วันนี้เราขอแนะนำให้ได้รู้จักกับพอร์ต ‘All Weather Strategy (AWS)’ ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ ดร. Andrew Stotz จับมือร่วมกับทีมงาน Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาวให้ได้มากที่สุด สัดส่วนหุ้นในพอร์ตสามารถปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 25-85% ตามสถานการณ์ พร้อมลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยปกป้องพอร์ตในสภาวะตลาดผันผวน นอกจากนี้ ยังเน้นลงทุนในกองทุน Passive Index ที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำและสมเหตุสมผล ไม่ฉุดรั้งผลตอบแทนระยะยาวของนักลงทุน
อย่างที่บอกไปว่าพอร์ต ‘All Weather Strategy’ จะเน้นกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก โดยเน้นลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้น ด้วยสัดส่วน 65% ผ่านกองทุน ES-EG-A เป็นตัวแทนหุ้นยุโรปในสัดส่วน 25% กองทุน SCBCHAA เป็นตัวแทนหุ้นจีนในสัดส่วน 25% กองทุน K-US500X-A(A) เป็นตัวแทนหุ้นสหรัฐฯ ในสัดส่วน 5% กองทุน ASP-NGF เป็นตัวแทนหุ้นญี่ปุ่นในสัดส่วน 5% และกองทุน TLFVMR-ASIAX เป็นตัวแทนกองทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นและจีนในสัดส่วน 5%
สำหรับตราสารหนี้ พอร์ต AWS ลงทุนด้วยสัดส่วน 25% โดยเลือกใช้กองทุน KT-BOND เป็นตัวแทนตราสารหนี้ทั่วโลก และสัดส่วนที่เหลืออีก 10% จะกระจายการลงทุนไปในสินค้าโภคภัณฑ์และทองคำ โดยลงทุนในทองคำด้วยสัดส่วน 5% ผ่านกองทุน ES-GOLDS และลงทุนในกองทุน SCBCOMP ที่เป็นตัวแทนสินค้าโภคภัณฑ์ในสัดส่วน 5%
สัดส่วนการลงทุน 25%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Wellington Strategic European Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ES-EG-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักมีนโยบายกระจายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในกลุ่มประเทศยุโรป
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 25%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ ChinaAMC CSI 300 Index ETF (กองทุนหลัก) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน SCBCHAA จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี CSI 300 เพื่อให้ผลการดำเนินงานของกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี CSI 300
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 5%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน iShares Core S&P 500 ETF (กองทุนหลัก) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน K-US500X-A(A) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักเป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น NYSE Arca และมีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนี S&P 500
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 500 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 5%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Nippon Growth (UCITS) Fund ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ASP-NGF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโตไปกับเศรษฐกิจของญี่ปุ่นระยะยาว
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 5%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน (ซึ่งรวมถึงเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน) โดยกองทุน TLFVMR-ASIAX จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท (ครั้งถัดไป 1 บาท)
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 25%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน PIMCO FUNDS : GLOBAL INVESTORS SERIES PLC – Global Bond Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 4
กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนรวมให้ได้มากที่สุด และสอดคล้องกับการรักษาเงินทุนและการบริหารเงินลงทุนอย่างรอบคอบ กองทุนจะลงทุนอย่างน้อยสองในสามของสินทรัพย์ของกองทุน โดยกระจายพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ในสกุลเงินหลักของโลก
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 5%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในทองคำแท่ง (Gold Bullion) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน โดยกองทุน ES-GOLDS จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 5%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน PIMCO Commodity Real Return Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน SCBCOMP จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8
กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารอนุพันธ์ รวมถึงสัญญาแลกเปลี่ยนตราสาร (swap agreement) ต่าง ๆ สัญญาฟิวเจอร์ สัญญาออปชั่น ตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง และ/หรือ หุ้นกู้อนุพันธ์ที่อ้างอิงกับดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ จึงเพิ่มศักยภาพในการที่จะลงทุนได้ตามดัชนี รวมถึงดัชนีย่อยต่าง ๆ ที่อ้างอิงกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (ซึ่งอาจไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงดัชนีใดดัชนีหนึ่งภายใต้ตระกูลดัชนีของ Bloomberg Commodity) ตราสารเหล่านี้จะสร้างผลตอบแทนของการลงทุนในการตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยไม่จำเป็นที่จะลงทุนโดยตรงในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ทั่วโลกที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่สามารถลงทุนได้
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
.
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
สรุปกองทุน SCBCHAA ตัวแทนของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ A-Shares ที่บริหารแบบ Passive เคลื่อนไหวตามดัชนี CSI300 กองทุนหุ้นจีน ซึ่งกำลังมีโมเมนตัมเชิงบวก หนุนจาก Fund Flow ทั่วโลกที่ไหลเข้าจีน พร้อมได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
ภาพของหุ้นจีนกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้งในปี 2025 นี้ แม้ช่วงแรกตลาดจะให้ความกังวลกับการขึ้นสู่ตำแหน่งประธานธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 ของ Donald Trump แต่กลายเป็นว่าความตึงเครียดนี้คลี่คลายลงเรื่อย ๆ ประกอบกับมีปัจจัยเชิงบวกจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ และพัฒนาการด้าน AI ที่เข้ามาหนุนให้หุ้นจีนทะยานกลับมา
สำหรับใครที่เริ่มสนใจในหุ้นจีน วันนี้อยากจะพาไปรู้จักกับ SCBCHAA กองทุนหุ้นจีน A-Shares ที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Passive เคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี CSI300 ซึ่งเป็นกองทุนแนะนำ F-PICK ของ Finnomena Funds และเป็นหนึ่งในกองทุนที่ถูกเลือกเข้าพอร์ต All Weather Strategy ของ Andrew Stotz เพื่อสร้างโอกาสลงทุนในหุ้นจีนอีกด้วย
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ (ชนิดสะสมมูลค่า) หรือ SCBCHAA ลงทุนใน ChinaAMC CSI 300 Index ETF สกุลเงินหยวน โดยมีนโยบายการลงทุนแบบ Passive ให้ผลการดำเนินงานเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี CSI300
เรียกว่าเป็นตัวแทนของกองทุนหุ้นจีน A-Shares ซึ่งรวมเอาบริษัทที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ซึ่งมีโอกาสเติบโตจากการบริโภค และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศจีน
ทั้งนี้ SCBCHAA เป็นกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยการ Hedged ค่าเงินแบบ CNY/THB ไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจาก Hedging Cost บนคู่สกุลเงิน CNY/THB ต่ำกว่าคู่สกุลเงิน USD/THB
Top 10 Holding กองทุนหลัก SCBCHAA
Source: ChinaAMC CSI 300 Index ETF as of 17/03/2025
รายละเอียดอื่น ๆ ของ SCBCHAA
ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
A.Stotz All Weather Strategy พอร์ตลงทุนที่พร้อมลุยทุกสภาวะตลาด ด้วยการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และปรับสัดส่วนสินทรัพย์ตามความเหมาะสมของตลาดเสมอ ซึ่งกองทุนที่ถูกหยิบเข้าพอร์ต จะผ่านการวิเคราะห์โดย FVMR Framework ประกอบด้วย Fundamental, Valuation, Momentum และ Risk
SCBCHAA ถูกเพิ่มน้ำหนักเข้ามาในพอร์ต All Weather Strategy เป็นสัดส่วน 25% ตั้งแต่การปรับพอร์ตในช่วงเดือนธันวาคม 2024 เนื่องจากการวิเคราะห์ FVMR มองว่าหุ้นจีนเป็น 1 ใน 3 สินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดในช่วงเวลานี้ ควบคู่กับหุ้นยุโรป และตราสารหนี้โลก
Source: A. Stotz Investment Research as of 28/02/2025)
Valuation (มูลค่าของสินทรัพย์) คือปัจจัยอันโดดเด่นที่สุดของหุ้นจีน จาก PE และ PB ต่ำที่สุด โดยเฉพาะในฝั่ง A-Shares ที่เน้นธุรกิจแบบดั้งเดิม ได้รับประโยชน์จากการเติบโตในประเทศจีนจริง ๆ ตรงกันข้ามกับหุ้นในตลาด H-Shares ซึ่งน้ำหนักส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ Valuation เริ่มแพงขึ้นมาแล้ว
Fundamental (มูลค่าของสินทรัพย์) จะเห็นว่าทางการจีนเริ่มขยับกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการทางการคลัง และมาตรการทางการเงิน ล่าสุดเจาะจงไปที่การปรับโครงสร้างหนี้ที่ถูกซ่อนไว้ของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งน่าจะช่วยลดภาระด้านดอกเบี้ย และทำให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถใช้จ่ายได้มากขึ้น อีกทั้งการเติบโตของ AI ยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น เพราะจีนมีบทบาทสำคัญด้วยสิทธิบัตรด้าน AI กว่า 61% ของทั่วโลก แม้จะตามหลังสหรัฐฯ ในแง่คุณภาพก็ตาม
Risk (ความเสี่ยง) ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายของ Trump ที่แข็งกร้าวต่อจีน มองว่า Trump ต้องการเจรจา ไม่ได้อยากก่อสงคราม และเหมือนว่ารัฐบาลจีนจะเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว อีกทั้งบริษัทจีนก็มีประสบการณ์รับมือกับนโยบายทางภาษีของสหรัฐฯ มาก่อน จึงมีโอกาสที่จะเจรจาตกลงกันได้ จีนมีสิทธิบัตร AI มากที่สุด ซึ่งอาจสะท้อนปริมาณมากกว่าคุณภาพ แต่แสดงถึงความสนใจของรัฐบาลจีน
Momentum (แนวโน้มราคาสินทรัพย์) ราคาหุ้นจีนเริ่มปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศเชิงลบน่าจะถูกนำไปพิจารณาในราคาหุ้นแล้ว (priced-in) ซึ่งหากย้อนดูผลตอบแทนหุ้นจีนในช่วง 1 ปีย้อนหลัง ปรับตัวขึ้นถึง 19.8%* ถือว่าโดดเด่นมาก
(Source: A. Stotz Investment Research as of 28/02/2025)
ล่าสุด (17/03/2025) Mr.Messenger Call แนะนำเข้าซื้อหุ้นจีน A-Share ผ่านกองทุน SCBCHAA จากการเห็นสัญญาณบวกชัดเจน ดัชนี CSI 300 ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4,000 จุด และเหนือระดับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทุกเส้น สนใจลงทุน คลิกเลย
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐมีความจริงจังสำหรับปฏิบัติการ Trade War ว่าด้วยการตั้งกำแพงภาษีแบบที่พูดจริงทำจริงในเกือบทุกครั้งในรอบนี้ โดยหากพิจารณาเปรียบเทียบกับ Trade War 1.0ในรอบที่แล้ว จะพบว่าไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์หรือแท็คติคเพื่อบังคับให้ประเทศคู่ค้าเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อให้ประเทศเหล่านั้นทำในสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ อาทิ เพื่อครอบครองพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่าง Greenland หรือบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์อย่างคลองปานามาอีกต่อไป โดยมีจุดหมายเพื่อทำการลดดุลการค้าของสหรัฐต่อประเทศเหล่านั้น
โดยที่ทรัมป์ ในรอบนี้ มีความสนใจผลกระทบของ Trade War ต่อตลาดหุ้นสหรัฐน้อยลง ซึ่งทรัมป์ได้กล่าวว่าสหรัฐอาจต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดหุ้นบ้างในระยะนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐในระยะยาว พร้อมๆกับ สก็อตต์ เบสเสนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ที่กล่าวว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐต้องเผชิญกับช่วงถอนพิษ (Detox Period) ในตอนนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบในภาพรวมต่อประเทศอื่น ๆ ในโลก
ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้ออก Executive Order ในการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) หรือ SWF โดยได้ประกาศ 5 สกุลเงินดิจิทัลที่ SWF สามารถถือครองในกองทุนดังกล่าว เพื่อลงทุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ พร้อมกับประกาศโครงการ Golden Visa ที่เน้นหารายได้จากผู้มีความมั่งคั่งทั่วโลก โดยทรัมป์เน้นว่าจะนำรายได้ดังกล่าวมาจ่ายหนี้สินของรัฐบาลที่มีอยู่สูงเป็นประวัติการณ์
ทั้งหมดนี้ จึงนำมาซึ่งข้อสรุปที่ว่าทรัมป์เน้นระบบ Mercantilist หรือใช้ประโยชน์จากการใช้เม็ดเงินที่พยายามจะหามาจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกซึ่งส่วนใหญ่มีดุลการค้าแบบเกินดุลต่อสหรัฐ รวมถึงทำการบริหารจัดการมาเพื่อให้ได้จากดีลทางธุรกิจกับรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ด้วยการใช้มาตรการ Tariff เป็นอาวุธขู่แกมบังคับเพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น โดยจะนำรายได้ดังกล่าวมาชำระหนี้ของภาครัฐและทำประโยชน์อื่น ๆ ในจังหวะถัดไป
มาตรการถัดไปจากนี้ของทรัมป์หลังจาก Trade War หากประเมินจากแนวคิดนี้ น่าจะหนีไม่พ้นการหาวิธีการที่ทำให้เงินสกุลดอลลาร์มีระดับที่ค่อนข้างอ่อนค่าลงเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของสหรัฐ โดยทีมงานของทรัมป์เชื่อว่า การที่เงินดอลลาร์มีฐานะที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก (Global Currency) นั้น แม้จะมีข้อดีที่ต้นทุนหรืออัตราดอกเบี้ยจะต่ำลงสะท้อนความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต่ำมากของดอลลาร์ ทว่าการที่ประเทศต่างๆมีความต้องการถือครองเงินสกุลดอลลาร์จากฐานะดังกล่าว ก็เท่ากับเป็นเพิ่มความแข็งค่าของดอลลาร์ไปในตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สหรัฐเสียเปรียบทางด้านการส่งออกต่อประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ทำให้ทีมงานของทรัมป์ มีแนวคิดแบ่งเป็น 3 มาตรการหลักที่อาจจะนำออกมาใช้ในอนาคต เพื่อทำการลดระดับการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการค้าของสหรัฐดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ได้แก่
หนึ่ง การปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างเจ้าหนี้ประเทศอื่น ๆ ที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐอยู่ในขณะนี้กับรัฐบาลสหรัฐซึ่งเป็นลูกหนี้ โดยทำการเปลี่ยนหนี้ในรูปของเงินสกุลดอลลาร์เป็นตราสารแนว Perpetual Bond หรือหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ที่ไม่มีกำหนดจ่ายเงินต้น ด้วยการจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆตลอดไป ซึ่งจะเท่ากับเป็นการลดหนี้ของรัฐบาลสหรัฐไปในตัว พร้อมกับเป็นการลดระดับความเป็นเงินสกุลหลักของโลกลงมา จากการที่ประเทศต่าง ๆ ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินต้นในรูปของสกุลดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีระดับที่อ่อนลงด้วย
อย่างไรก็ดี ในมิติของการจัดอันดับเครดิตของสถาบันต่าง ๆ มองว่าปฏิบัติการนี้เท่ากับว่ารัฐบาลสหรัฐได้ทำการเบี้ยวหนี้ในเชิงเทคนิค (Technical Default) ไปเรียบร้อยแล้ว
สอง เมื่อมาตรการแรกดูแล้วมีข้อด้อยที่ถือว่าเสียหายมาก ทางเลือกของมาตรการถัดไปของทรัมป์ คือการใช้ SWF เป็นกลไกในการทำการแทรกแซงเข้าซื้อเงินสกุลของประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลต่อสหรัฐเพื่อให้ค่าเงินของประเทศเหล่านี้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งจะให้ประเทศเหล่านี้มีมูลค่าเกินดุลการค้ากับสหรัฐลดลง อย่างไรก็ดี มาตรการนี้ ต้องใช้ทรัพยากรในการเข้าแทรกแซงค่าเงินของประเทศคู่ค้า นอกจากนี้ ยังดูจะเป็นการแก้ปัญหาแบบจำกัดเฉพาะจุดอีกด้วย
ท้ายสุด มาตรการที่ทรัมป์และทีมงานอาจจะพยายามจะนำมาใช้ในระยะเวลาที่เหมาะสมในอนาคต คือ การเก็บภาษีฟันด์โฟลว์ของเงินทุนที่ไหลเข้าสหรัฐ (Incoming Flow) เพื่อทำการหารายได้ให้ภาครัฐจากกระแสเงินทุนของต่างชาติที่มาอาศัยใช้ประโยชน์ความเป็นเงินสกุลหลักโลกของดอลลาร์ พร้อม ๆ กับการสร้างแรงกดดันให้ต่างชาติลดปริมาณการถือครองเงินสกุลดอลลาร์ไปในตัว อันจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงไปแบบทั่วถึงแทบทุกสกุลเงิน อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้ต่อรัฐบาลสหรัฐเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจได้อีกด้วย
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
สถิติชี้เมื่อตลาดปรับฐานลงลึก และเศรษฐกิจไม่เกิด Recession ถือเป็นจังหวะที่ดีของการถัวเฉลี่ย และทยอยสะสม แม้จะเริ่มเห็น Fund Flow ไหลออกจากหุ้นอเมริกา แต่ยังคงมีโอกาสในการลงทุน
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
การที่ตลาดเข้าสู่โหมดกลัว เริ่มกลับมากังวลเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ปรับตัวลดลงหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน สวนทางกับราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นทํา All-Time High เนื่องจากมีแรงแรงซื้อเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ทว่าการย่อลงของตลาดหุ้น ก็ส่งผลให้ S&P500 เริ่มมี Valuation ที่แพงน้อยลง โดยที่หุ้นใหญ่ในกลุ่ม Mag-7 และหุ้นขนาดเล็ก Russell 2000 นั้นมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/03/2025
เราพบสถิติที่น่าสนใจ คือ การหลุดเส้นค่าเฉลี่ย MA 200 วัน ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะไม่น่ากังวล หากไม่ไปเจอกับ Recession โดยสรุปได้ดังนี้
มุมมอง Finnomena Funds เชื่อว่า Recession ยังคงห่างไกล ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อไม่น่ากังวล เปิดทางให้ Fed ยังมีกระสุนเหลือเพื่อพยุงเศรษฐกิจ แนะนำ Selective Buy สะสมในหุ้นกลางเล็กที่ Valuation ไม่แพง รวมถึงเป็นโอกาสย่อซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่พักฐานลงมาแรง
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) MEGA10CHINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นจีนขนาดใหญ่ 10 ตัว ได้รับประโยชน์จากกระแส AI Boom ในจีน และยังมีแรงหนุนให้สร้างโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เอาจริงเอาจังของทางการจีน
2.) TISCOAI (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้น AI และ Big Data โดยลงทุนครอบคลุมธีม AI กลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งจะมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต จากการที่โลกพัฒนาเข้าสู่ยุค Agentic AI อีกทั้งยังมัปัจจัยหนุนเรื่องเงินเฟ้อต่ำคาด ซึ่งจะดีต่อการวิ่งของหุ้น Growth
3.) MEGA10-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ 10 ตัว มองเป็นจังหวะเข้าลงทุนหลังกลุ่ม 7 นางฟ้า ปรับฐานทะลุ 20% โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้กำลังเข้าสู่ Recession ในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) SCBCHAA และ SCBMLCAA (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นจีน ได้เวลาเก็งกำไรจากปัจจัยทางเทคนิคที่ราคามีโมเมนตัมเชิงบวกชัดเจน ด้วย Fund Flow ของเงินทั่วโลกที่กำลังไหลเข้าจีน พร้อมกับได้ประโยชน์หลังมีการประกาศมาตรการกระตุ้นการบริโภค
2.) DAOL-KOREAEQ (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ เริ่มมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นยังถูก อัพไซด์สูง พร้อมกับมีโอกาสเติบโต เนื่องจากหุ้นผู้นำในดัชนี KOSPI ล้วนเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำชั้นนำของโลก ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากกระแส AI รายถัดไป
3.) ONE-EUROEQ (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นยุโรป ซึ่งราคาหุ้นมีโมเมนตัมเชิงบวก พร้อมบริษัทจดทะเบียนถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น จึงถือเป็นแหล่งหลบภัยชั้นดีในยามที่ Trump ป่วนโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดูอ่อนแอ
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical
1.) B-INNOTECH (ความเสี่ยงระดับ 7)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี เน้นคัดเลือกหุ้น Value Play โดยเข้าซื้อหุ้นเติบโตในราคาไม่แพง ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมากองทุนหลักได้มีการปรับพอร์ต ลดสัดส่วน Magnificent-7 และเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม AI
2.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี พร้อมด้วย Sentiment จากการปรับโครงสร้างระบบราชการ ลดจำนวนบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ เวียดนามยังมีปัจจัยหนุนในการเตรียมเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปีนี้
3.) UGIS-N และ KF-CSINCOME (ความเสี่ยงระดับ 5)
กองทุนตราสารหนี้โลก ถือเป็นโอกาสเก็บสะสมในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน และ Bond Yield อยู่ในระดับสูง โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายการคัดเลือกตราสารหนี้แบบ Active ยืดหยุ่น สอดรับกับสถานการณ์ตลาด
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่งการเมือง เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกาดูเหมือนว่าจะปั่นป่วนไม่น้อย ทิศทางของอเมริกานั้น ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นอเมริกาในระยะยาวจะไปทางไหน หุ้นจะขึ้นหรือลง น่าลงทุนหรือไม่ ผมลองศึกษาข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์โดยอิงกับเหตุการณ์สำคัญและดัชนี S&P 500 ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีที่สุด โดยการมองย้อนหลังไปประมาณ 75 ปี ซึ่งเป็นยุคที่อเมริกา “เปิดประเทศ” และกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นของโลกในทุกด้าน ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ การค้าและการเงินของโลก
เริ่มในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยที่อเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายผู้ชนะสงครามได้กลายเป็นผู้นำของประเทศ “โลกเสรี” อย่างเด็ดขาดและมีพละกำลังทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง อเมริกาได้เข้าไปช่วยประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกให้ฟื้นตัวจากสงครามโดยโครงการ “Marshall Plan” ที่ใช้เงินมหาศาล
ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าไม่ช่วย ประเทศเหล่านั้นก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนและโกรธแค้นและในที่สุดอาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามอย่างโซเวียต สรุปก็คือ อเมริกาที่เคย “อยู่เฉย ๆ และไม่ยุ่งกับใคร” ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นอเมริกาที่เข้าไป “ยุ่ง” หรือช่วยประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในฝ่ายของโลกเสรี เหตุผลก็เพื่อที่จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ โลกเข้าสู่ช่วง “สงครามเย็น” ที่ไม่รบกันด้วยอาวุธ แต่รบกันด้วยเศรษฐกิจ การค้าและอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย
“โลกเสรี” เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก เยอรมันตะวันตกเติบโตมากในยุโรป ญี่ปุ่นเติบโตมหาศาลในเอเชีย กลายเป็นเศรษฐกิจอันดับ 3 และ 2 ของโลกอย่างรวดเร็ว การค้าและเศรษฐกิจในกลุ่มโลกเสรีซึ่งรวมถึงประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในฝ่ายโลกเสรีเพิ่มขึ้นมหาศาลอานิสงส์สำคัญจากการช่วยเหลือของอเมริกา และนั่นก็ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตตามไปด้วยอย่างยาวนาน ซึ่งสะท้อนออกมาจากดัชนี S&P 500
ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 1949 ที่ดัชนีอยู่ในช่วง “ต่ำสุด” ที่ประมาณ 190 จุด มันปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ และมีช่วงปรับตัวลงน้อยมากจนถึงเดือนพฤศจิกายน 1968 เป็นเวลาถึง 19.5 ปี ดัชนีขึ้นไปถึง 977 จุดหรือเป็นการเพิ่มขึ้นปีละ 8.8% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น และนี่ก็คือยุคของความมั่งคั่งหลังสงครามโลกของอเมริกา ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องยาวนานที่สุด
หลังจากปี 1968 สงครามเย็นก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เฉพาะอย่างยิ่งเกิดสงครามเวียดนามที่อเมริกาเข้าไปร่วมรบ “เต็มสตรีม” ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ในตะวันออกกลางก็มีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งทำให้เกิดวิกฤติน้ำมันเพราะโอเปก องค์กรผู้ผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกของฝ่ายอาหรับงดส่งน้ำมันให้อเมริกาเพื่อเป็นการประท้วง
ผลก็คือน้ำมันแพงขึ้นมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และสิ่งที่ตามมาก็คือ เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมากเป็นประวัติการณ์เป็นตัวเลขสองหลักในปี 1974-75 และกลายเป็น “Stagflation” คือเงินเฟ้อแต่คนตกงานเศรษฐกิจตกต่ำซึ่งทำให้คนเดือดร้อนกันมาก เกิดการประท้วงใหญ่ในอเมริกา คนต่อต้านสงครามและเกิดปรากฏการณ์ของคนที่ต่อต้านสังคมที่เรียกว่าพวก “ฮิปปี้” ที่ไว้ผมยาว ไม่ทำงาน ทำตัวสกปรกและเสพกัญชาและยาเสพติดอื่น ๆ
ดัชนี S&P 500 ตกจาก 977 จุดในปี 1968 เป็นประมาณ 350 จุดในเดือนกรกฎาคม 1982 หรือตกลงมา 7.24% แบบทบต้น ในช่วงเวลา 13.7 ปี กลายเป็นช่วง “ทศวรรษที่หายไป” และในช่วงปี 1973-1974 ตลาดหุ้นก็เกิด “วิกฤติ” ด้วย คือตกจาก 886 เหลือเพียง 400 จุด หรือเป็นการตกลงมา 55% ในเวลา 2 ปี
นับจากปี 1982 “ยุคใหม่” ก็เริ่มขึ้น สหรัฐได้ประธานาธิบดีคือโรนัลด์ เรแกน ที่ใช้
นโยบายเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “เรแกนโนมิคส์” ที่เน้นลดภาษี ส่งเสริมการค้าเสรี ลดบทบาทของรัฐในด้านเศรษฐกิจ เพิ่มงบประมาณทหารเพื่อต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ และก็เริ่มชนะ จีนเริ่มปรับตัวเป็น “ทุนนิยม” หลังจากที่เศรษฐกิจไปไม่ไหวภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิงที่เริ่มเข้ามามีอำนาจแทนเหมาเจ๋อต๋งที่เสียชีวิตไป เติ้งประกาศว่า “แมวขาวหรือแมวดำก็ไม่สำคัญถ้ามันจับหนูได้”
ที่สำคัญก็คือ คอมมิวนิสต์โซเวียตเองก็ล่มสลายลงในปี 1991 โลกกำลังเป็น “Globalized” หรือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลกโดยมีอเมริกาเป็น “ผู้นำหนึ่งเดียว” ทุกประเทศเลิกทำสงครามแต่ทำการค้ากับทุกประเทศ และทำผ่านการสื่อสารและการจัดการยุคใหม่ที่มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นตัวนำ
ดัชนี S&P พุ่งขึ้นแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จาก 350 จุดในปี 1982 กลายเป็นจุดสูงสุด 2,803 จุด ในเดือนสิงหาคมปี 2000 คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มปีละ 12.2% แบบทบต้น เป็นเวลายาวนานถึง 18.1 ปี โดยที่แทบไม่มีช่วงเวลาสะดุด ถือว่าเป็นยุคทองของตลาดหุ้นอเมริกา
แต่เวลาดีสุดยอดก็ดับลงในชั่ว “ข้ามคืน” อาจจะเพราะมันร้อนแรงเกินไปโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม “ไฮเทค” หรือเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกลุ่ม “Dot-com” ที่ “กำลังเปลี่ยนโลก” ที่ราคาหุ้น “ร้อนแรงเป็นไฟ” ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้น 800% ในเวลาเพียง 5 ปี ซึ่งในที่สุดฟองสบู่ก็แตก และนั่นทำให้ดัชนี S&P หลังเดือนสิงหาคม ปี 2000 ตกลงมาแบบวิกฤติเหลือ 1,437 จุด หรือลดลงมาประมาณ 49% ในเวลา 2 ปี และก็เกิดวิกฤติอีกครั้งในปี 2007 ที่ดัชนีตกลงมาจาก 2,366 จุดเหลือเพียง 1,107 จุดในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 53% จากวิกฤติซับไพร์ม
โดยรวมแล้ว ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2000 ถึงกุมภาพันธ์ 2009 เป็นเวลา 8.5 ปี ดัชนี S&P 500 ตกจาก 2,803 เหลือ 1,107 จุด หรือลดลงปีละ 10.37% ต่อปีแบบทบต้น โดยที่ในระหว่างนั้น เกิดวิกฤติที่ทำให้ดัชนีตกลงมาประมาณ 50% ถึง 2 ครั้ง และนับเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายสำหรับนักลงทุนมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเหตุผลส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะดัชนีหุ้นอยู่ในระดับที่สูงเกินไปหลังจากที่ดัชนีดีต่อเนื่องมานานมาก
จากปี 2009 เป็นต้นมาจนถึงเดือนพฤศจิกายนปี 2024 เป็นเวลาถึง 15.8 ปี เศรษฐกิจของสหรัฐเติบโตได้ดีและมั่นคงมาก การเติบโตนั้นนำโดยหุ้นไฮเทคและดิจิทัลที่ปฎิวัติการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้คนทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เริ่มปรากฏตัวขึ้นมานั้น พัฒนาขึ้นถึงจุดที่ถูกนำมาใช้งานได้จริง เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองก็เริ่มออกสู่ท้องถนน ไม่ต้องพูดถึงพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้นแพร่หลายและจะเปลี่ยนโลกในอนาคตไปสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน ในขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่ต่ำเป็นประวัติการณ์อย่างยาวนาน
ทั้งหมดนั้นทำให้ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาตลอดจาก 1,107 จุด เป็น 6,093 จุดที่เป็นจุดสูงสุดและให้ผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 11.44% ต่อปีติดต่อกันถึง 15.8 ปี โดยที่มีช่วงหุ้นตกน้อยมาก ยกเว้นก็เฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ดัชนีตกลงมาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนและช่วงหลังโควิดจบที่มีการปรับตัวลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วช่วงเวลาถึงเกือบ 16 ปีหลังนี้ต้องถือว่าเป็นยุคทองของหุ้นจริง ๆ
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ ดัชนี S&P ตกลงมาแล้วประมาณ 7-8% ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ลดลงมาประมาณ 11-12% ในเวลาแค่ 2-3 เดือน หลายคนอาจจะบอกว่ามันน่าจะเป็นการปรับตัวปกติหรือ “Correction” แต่ผมเองมองว่านี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับ “ภาพใหญ่” ที่ดัชนีจะเปลี่ยนทิศเป็นการตกลงมาระยะยาวอาจจะเป็น 10 ปี
เพราะประเด็นก็คือ อเมริกาต่อจากนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่งในวาระที่สองที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญที่ดูเหมือนว่าจะคำนึงถึงอเมริกาก่อน โดยการประกาศ “สงครามการค้า” กับแทบจะทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งนั่นก็จะทำให้อเมริกาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจและการเมืองของอเมริกามาก
การเจริญเติบโตจะช้าลง เช่นเดียวกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจจะพ่ายแพ้แก่จีน การเป็นผู้นำที่สร้างผลดีและอำนาจให้แก่อเมริกามายาวนานอาจจะถดถอยลง แทนที่จะยิ่งใหญ่อย่างที่คิดก็กลายเป็นการด้อยลงเพราะไม่มีประเทศอื่นเป็น “ผู้ตาม” อย่างที่เคย
นั่นก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยาวนานและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติเริ่มปรับตัวลดลงและจะลดลงเรื่อย ๆ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และอาจจะยาวเป็น 10 ปีจนกลายเป็น “Lost Decade” หรือเป็นทศวรรษที่หายไปของการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา
แน่นอนว่าผมมีโอกาสผิดสูง โดยเฉพาะในเรื่องของเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น แต่ถ้ามองจากสถิติที่ผมกล่าว โอกาสที่จะเกิดก็มีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เราคงไม่รู้จนกว่าจะถึงปี 2034 ว่าดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ไหน ในระหว่างนี้ก็ควรจะต้องระวังบ้างเหมือนกัน เพราะสตอรี่ที่จะเกิด Lost Decade นั้นมีน้ำหนักพอสมควร
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
“เราต้องไม่ปล่อยให้หน่วยงานรัฐกลายเป็นที่หลบภัยของคนขี้เกียจ รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงการรักษาเจ้าหน้าที่ที่ไร้ความสามารถไว้”
Nguyen Hoa Binh รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม กล่าวอย่างเด็ดขาดหลังจากการประกาศแผนปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เพื่อนำเวียดนามก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้ว
อาจจะเป็นการปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเวียดนามก็ว่าได้ เมื่อรัฐบาลเวียดนามกำลังทำในสิ่งทีท้าทายชาวโลก ด้วยการการยกเครื่องระบบราชการ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่าย ๆ โดยเฉพาะกับประเทศกำลังพัฒนา
รายละเอียดของแผนปรับโครงสร้างครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. การลดจำนวนกระทรวงและหน่วยงานของรัฐบาลจาก 30 แห่ง เหลือ 22 แห่ง
2. จะลดตำแหน่งงาน 100,000 ตำแหน่งของข้าราชการและพนักงานรัฐ ผ่านโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดและเลิกจ้าง ซึ่งเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับเงินชดเชยรวมกันกว่า 5 พันล้านดอลลาร์
3. คาดว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะช่วยประหยัดงบประมาณได้ 4.5 พันล้านดอลลาร์ ภายใน 5 ปี
เป้าหมายของการปฏิรูประบบราชการ คือการนำประเทศเวียดนามก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2045
แม้ว่า GDP เวียดนาม จะเติบโตอย่างรวดเร็วที่ 7.09% ในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการคอร์รัปชัน และปัญหาความสามารถของบุคลากรในระบบราชการ
ที่มา
เพราะการไปไหนมาไหน ทำให้เสียเงินเสียเวลา ผู้บริโภคจึงยอมจ่ายเพื่อซื้อเวลา ส่งผลให้บริการต่าง ๆ ยุคนี้ ช่วยลดการเดินทาง สามารถตอบโจทย์และเติบโตอย่างรวดเร็ว
เช่น Delivery ส่งอาหาร ส่งของ หรือบริการส่งตรงถึงบ้าน เช่น ทำสปา อาบน้ำตัดขนสัตว์เลี้ยง
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างรวดเร็ว ทันใจไปหมด ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมาก ชอบอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ และไม่อยากรอ ทำให้เกิดธุรกิจที่เน้นความรวดเร็ว สะดวกสบาย
เช่น ธุรกิจรับจ้างต่อคิวซื้อของ ต่อคิวร้านอาหาร
ผู้บริโภคยุคนี้ชอบหาวิธีหรือทางลัดต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ออกแรงน้อยที่สุด จึงมักเลือกใช้สินค้าหรือบริการที่ช่วยทุ่นแรงหรือให้คนมาทำแทนได้
เช่น บริการทำความสะอาดบ้าน ย้ายบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง
เพราะลำพังชีวิตประจำวันก็มีเรื่องให้คิดให้ตัดสินใจเต็มไปหมด ผู้บริโภคจึงชอบที่จะอยู่ในสภาวะทิ้งตัว และมองหาสินค้าและบริการที่ช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น
เช่น บริการจัดงานแต่งงาน บริการจัดส่งสินค้าไปให้ทดลองใส่ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือสินค้าที่จัดเป็น Set สินค้าสำเร็จรูปพร้อมใช้ เช่น ชุดอาหารพร้อมปรุง (Meal Kit)
ซึ่งถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 ความขี้เกียจนี้ไม่ได้เพียงแต่ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย แต่ยังช่วยให้เราเสียเวลาน้อยลง และมีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญในชีวิตได้มากขึ้น ดังนั้นธุรกิจเหล่านี้จึงกลายเป็นความคุ้มค่าที่เรายอมจ่ายเพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/lazy-economic/
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเข้าถึงได้ง่าย ช่องทางในการออมเงินก็มีให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะบัญชีเงินฝากที่มีหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ “บัญชีเงินฝากประจำ” และ “บัญชีเงินฝากออนไลน์” ซึ่งทั้งสองแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ ว่าแบบไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายทางการเงินของคุณมากที่สุด!
*อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกำหนด (อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี สำหรับยอดฝากส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท)
หากคุณกำลังมองหาบัญชีเงินฝากที่จะทำให้ชีวิตการเงินของคุณสะดวกขึ้น จัดการทั้งเงินฝากและเงินลงทุนได้ครบจบในที่เดียว บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คือคำตอบ! ดาวน์โหลดแอปฯ Finnomena และเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP ได้เลย
หากพบปัญหาเกี่ยวกับการเปิดบัญชีไม่สำเร็จหรือบริการทางบัญชีเพิ่มเติม โปรดติดต่อ KKP Contact Center โทร 02-165-5555 กด 5 ต่อจากนั้น กด 1 เวลา 07.00-20.00 ของทุกวัน
หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Finnomena Application โปรดติดต่อ 02-026-5100 เวลา 09.00 – 17:00 ทุกวันทำการ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
คำเตือน:
วงเงินฝาก | อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี) |
ไม่เกิน 500,000 บาท (A) | 0.40% |
ส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท (B) | 1.60% |
ส่วนที่เกิน 2,000,000 (C) | 0.40% |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย (A) = 0.40%, (B) = 0.40%-1.30%, (C) 0.40%-1.30%
กรณีที่ 1: ฝากเงิน 1,500,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
กรณีที่ 2: ฝากเงิน 3,000,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
วันนี้ (14 มีนาคม 2025) ตลาดหุ้นจีน (CSI 300) ปรับตัวขึ้น 2.4% และดัชนี HSCEI (หุ้นจีน H-Share) ปรับตัวขึ้นกว่า 3% หลังมีรายงานว่าทางการจีนนำโดย กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารกลางจีน เตรียมแถลงข่าวในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2025 เพื่อประกาศมาตรการกระตุ้นการบริโภค
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในวันนี้สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อหุ้นจีนอีกครั้ง หลังรัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% สำหรับปี 2025 ในที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ที่ผ่านมา ทั้งนี้ยังคงจับตาการแถลงข่าวในวันจันทร์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นต่อไป
Finnomena Funds มองว่า ต้องจับตามองการแถลงข่าวที่จะเกิดขึ้นว่าจะมีมาตรการกระตุ้นใดออกมาเพื่อทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนบรรลุเป้าหมายตามที่รัฐบาลได้ตั้งเอาไว้ โดยเรามองว่าการปรับตัวขึ้นในวันนี้เป็นโอกาสลงทุนในระยะสั้น ตามคำแนะนำ FundTalk Contrarian ซึ่งแนะนำการลงทุนระยะสั้นในกองทุน MEGA10CHINA-A ที่เน้นลงทุนใน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ H-Share
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมที่ฟื้นตัวบ้าง แต่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจีนในระยะยาว ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นจีน (Valuation) ในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วิกฤตแห่งศรัทธาของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla จากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมและความทันสมัยที่ครองใจคนทั่วทั้งโลก
แต่ในวันนี้ Tesla ภายใต้การนำของ Elon Musk กำลังตกอยู่ค่ำคืนอันมืดมิด จากกระแสการคว่ำบาตรในสหรัฐอเมริกา
กระแสไม่เอา Tesla ที่ดังกระหึ่มทั่วสหรัฐ มีต้นตอเกิดขึ้นมาจากการที่ Elon Musk เข้ามาเล่นการเมืองแบบเต็มตัวด้วยการชักชวนของ Donald Trump ทว่าการ Musk เข้ามาขลุกตัวอยู่ในทำเนียบขาวมากเกินไป กลับกลายเป็นดาบสองคมที่หันกลับมาทิ่มแทงธุรกิจที่เขาปั้นมากับมือ
บทบาทของ Elon Musk คือเข้ามาในฐานะหัวหน้ากระทรวง DOGE ที่มีหน้าที่หลัก ๆ คือการลดต้นทุนของรัฐบาล
สิ่งแรกที่เขาลงมือทำก็คือการไล่ปลดพนักงานของรัฐบาลกลางจำนวนหลายหมื่นชีวิตแบบไม่ทันได้ตั้งตัว พีคสุดก็คือใช้วิธีการส่งอีเมลให้พนักงานรัฐเขียนระบุผลงานตนเองในสัปดาห์นั้น หากใครไม่ตอบกลับ ถือเข้าใจกันว่า “สมัครใจลาออก”
มีรายงานว่าชาวอเมริกันจำนวนมาก ไม่พอใจไปจนถึงโกรธแค้นต่อการกระทำของซีอีโอ Tesla เกิดการประท้วงและคว่ำบาตรการใช้รถยนต์ Tesla
ซึ่งไม่ใช่แค่สาเหตุของจากการที่เขามีบทบาทในการปลดพนักงานของรัฐบาลกลางเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการที่ Musk เริ่มเข้ามาแทรกแซงกิจการต่างประเทศ และมีการแสดงท่าทีที่ถูกมองว่าคล้ายสัญลักษณ์นาซี ด้วยการชูมือขวาขึ้นฟ้า 2 ครั้ง หลังพิธีสาบานตนของทรัมป์
มีผู้เข้าประท้วงให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันรู้สึกอายที่จะให้ใครเห็นว่าขับรถ Tesla คันนั้น” พร้อมแปะสติ๊กเกอร์ที่ท้ายรถว่าฉันซื้อมันก่อนที่มัสก์จะเป็นบ้า (I bought this before Elon went crazy)
Source: Visual Capitalist as of 10/03/2025
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ Tesla มากทีเดียว JPMorgan Chase มองว่า Tesla ได้รับความเสียหายด้านภาพลักษณ์ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยพยายามนึกหาตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ไม่พบกรณีใดที่แบรนด์สูญเสียมูลค่ามหาศาลได้รวดเร็วเช่นนี้
กระแสต่อต้าน Tesla เป็นระดับนานาชาติ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง เรียกได่ว่าเป็นช่วงเวลาของการดำดิ่งสู่ความมืดมิดของ Elon Musk และ Tesla ก็ว่าได้
สถานการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มีรายงานออกมา ลดลงอย่างหนักในหลาย ๆ ตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรปและออสเตรเลีย
ตลาดในยุโรป ยอดขายลดลงไปถึง 50% เทียบกับช่วงปีก่อน หนักสุดคือเยอรมนีที่ยอดขายลดลงไปถึง 76% เหลือจำนวนยอดขายเพียง 1,429 คัน จากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ที่มียอดขาย 6,000 คัน
ยอดขายในสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มตกต่ำ สมาคมตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานว่า ปีที่ผ่านมา ยอดจดทะเบียนรถ Tesla ลดลงไป 12%
แม้แต่ตลาดในเมืองจีนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ยอดขาย Tesla ก็เหือดแห้งไม่ต่างกัน โดยมียอดขายต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง สวนทางกับคู่แข่งอย่าง BYD อย่างสิ้นเชิง ที่ยอดขายเติบโตถึง 161%
Source: Bloomberg as of 12/03/2025
จริงอยู่ว่าปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากของหุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐ แต่ Tesla ดูจะหนักหนากว่าใครเพื่อน แถมเป็นที่โหล่ของ 7 นางฟ้า นับตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นร่วงลงกว่า 35% มูลค่าตลาดของบริษัทยังตกชั้น Trillion Dollar Club ไปแล้ว
หันมามองราคาปัจจุบันตกลงจาก 500 มาแถวบริเวณ 200 ต้น ๆ แน่นอนแหละว่าถ้ามองแค่ราคาหุ้นดูเหมือนจะถูกทิ้งดิ่งตกเหวลึก แต่ราคาหุ้นยังเทรดที่ PE ระดับ 120 เท่า ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าถูก และยังดูน่ากลัวพอสมควร
แต่ถ้าใครเห็นว่าจังหวะปรับฐานครั้งนี้ เป็นโอกาสในหุ้น Tesla และมองไปถึง Growth Story ข้างหน้าที่ Tesla คงไม่ใช่แค่ผู้ผลิต EV แต่จะขยายไปสู่ AI & Robotics ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง และอาจยังไม่ถูกสะท้อนในมูลค่าหุ้นปัจจุบัน
ซึ่งถ้าว่ากันจริง ๆ Tesla ก็เริ่มแสดงให้เห็นว่าจากการเปิดตัว Robotaxi ที่ประกาศให้ชาวโลกรู้ว่ากำลังลุยเต็มกำลังสู่ยุครถไร้คนขับ
สุดท้ายนี้… คิดยังไงกันบ้าง จะเท Tesla หรือหาโอกาสในค่ำคืนในมืดมิดนี้
โครงการสลากออมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือ “หวยเกษียณ” คืออะไร ใครซื้อได้บ้าง รางวัลใหญ่เท่าไหร่ จะมีเงินออมตอนเกษียณจริงไหม
1. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จะออกสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท เพื่อขายให้กับประชาชนทุกคนที่มีสัญชาติไทย และมีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
2. ซื้อได้คนละไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน และสามารถซื้อสลากได้ทุกวัน
3. ออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17:00 น.
4. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันทีผ่านพร้อมเพย์ (PromptPay) ส่วนเงินค่าซื้อสลากจะถูกนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. และเมื่อผู้ออมอายุครบ 60 ปี จะคืนเงินทั้งหมดทุกบาท ทุกสตางค์ที่ซื้อสลากมาทั้งชีวิต บวกกับผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย
5. เงินออมจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน โดยการบริหารจัดการของกอช. ในอัตราความเสี่ยงที่ต่ำ ในกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market)
6. เงินออมทรัพย์ดังกล่าว สามารถถอนได้เมื่อผู้ซื้อสลากอายุครบ 60 ปี โดยถอนเงินได้ทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์
7. ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ก็สามารถซื้อหวยเกษียณได้เช่นกัน แต่ต้องออมไว้ 5 ปีนับจากวันที่ซื้อวันแรก จึงจะสามารถถอนเงินออกมาได้ เช่น ซื้อตอนอายุ 63 ปี เงินที่ซื้อทั้งหมดจะได้รับคืนตอนอายุ 68 ปี และซื้อต่อตอนอายุ 70 ปี ก็จะได้เงินที่ซื้อทั้งหมดคืนเมื่ออายุ 75 ปี
8. นโยบายหวยเกษียณ เป็นกลไกสร้างแรงจูงใจในการออม โดยรัฐช่วยใส่เงินสมทบในการออกรางวัล ถือเป็นนวัตกรรมเชิงนโยบาย ซึ่งรวมเอาความชอบลุ้นโชคของคนไทย มาเป็นแรงจูงใจในการเก็บออมตอนเกษียณ
9. ความคืบหน้าโครงการหวยเกษียณ ผ่านการแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ (หวยเกษียณ)และได้เห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจร่างเสร็จแล้ว และจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ภายในเดือนมีนาคมนี้
10. แนวคิด “หวยเกษียณ” ตั้งใจทำให้เงินซื้อหวยทุกบาทกลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ซื้อมาก ได้ลุ้นมาก มีเงินออมมาก และมีเงินล้านยามแก่
ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์จากแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯและยุโรปที่แข็งแกร่ง ร่วมกับตัวเลขเศรษฐกิจประจำไตรมาส 4Q/24 ที่สดใส ก่อนจะปรับตัวลงรุนแรงในช่วงที่เหลือของเดือนหลัง ปธน. ทรั้มป์เริ่มก่อสงครามการค้ากับทั่วโลกรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าหลายประเทศจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายระหว่างเดือนเพื่อช่วยชดเชยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กับสหรัฐฯ ตลาดหุ้นโลกยังคงปิดเดือนในแดนลบที่ -0.57% ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปและจีนกลุ่ม H-share สามารถปรับตัวขึ้นสวนทางหุ้นโลกจากปัจจัยเฉพาะตัวอย่างการเมืองในฝรั่งเศสและเยอรมนีที่มีพัฒนาการในเชิงบวก ผลประกอบการที่ดีกว่าคาด และแนวโน้มธุรกิจที่สดใสจากผู้บริหารกลุ่มเทคโนโลยีจีน
หุ้นจีนในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังจากกระแสที่ร้อนแรงของ AI จากบริษัท Start-up DeepSeek ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยประเด็นที่สนับสนุนตลาดไม่ได้มีเพียงปัจจัยเชิง sentiment จาก DeepSeek เพียงอย่างเดียว แต่ได้ปัจจัยบวกจากทั้งการประกาศแนวโน้มธุรกิจของหุ้นเทคโนโลยีและ e-commerce ขนาดใหญ่ที่ให้ความเชื่อมั่นถึงการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในจีนเอง ร่วมกับท่าทีของภาครัฐจีนที่เรียกประชุมกับผู้นำธุรกิจภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพื่อหารือแนวทางสร้างการเติบโตร่วมกัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐบาลจีนไม่ได้ขอหารือมากนักตั้งแต่เริ่มการเข้มงวดกฎระเบียบช่วงปลายปี 2020 นอกจากนั้นแหล่งข่าวภายในยังมีรายงานว่าการประชุมใหญ่ NPC ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนั้น ภาครัฐจีนจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 5% เท่ากับปีก่อนหน้าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและสงครามการค้า โดยจะยอมขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วยเหตุนี้เราจึงมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นจีนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม H-share ที่มีน้ำหนักของเทคโนโลยีและมีน้ำหนักในดัชนี EM ซึ่งจะเป็นที่ต้องการของผู้จัดการกองทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามเรายังแนะนำให้นักลงทุนเริ่มทยอยสะสมจากกลุ่มหุ้นเอเชียเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่สงครามการค้ากับทรั้มป์ที่อาจรุนแรงกว่าที่คาด โดยนักลงทุนที่กังวลความเสี่ยงสามารถกระจายการลงทุนไปยังหุ้นเอเชียแบบ Low Volatility ควบคู่ไปด้วย
สงครามการค้าบวกด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังคงก่อกวนตลาดการลงทุน โดยในเดือนที่ผ่านมา ปธน. ทรั้มป์ยังเล่นบทดุดันในสงครามทั้งสองรูปแบบ ด้านสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทรั้มป์ได้เริ่มเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพโดยยื่นเงื่อนไขการปลดคว่ำบาตรให้กับรัสเซีย และยื่นข้อตกลงซื้อแร่กับยูเครน อย่างไรก็ตามข้อตกลงยังคงไม่สามารถหาข้อยุติได้ ในมุมมองของเรายังเชื่อว่าการยุติสงครามคือเป้าหมายหาเสียงสำคัญของทรั้มป์ที่จะเร่งให้สิ้นสุดในระยะสั้น ขณะที่ด้านสงครามการค้าทรั้มป์เปิดฉากตั้งกำแพงภาษีสินค้ากับเม็กซิโก แคนาดา และจีน รวมไปถึงขู่จะตั้งกำแพงภาษีชุดใหญ่ในเดือนเมษายน ประกอบไปด้วยกำแพงภาษียานยนต์ semi-conductor ยา ทองแดง และภาษีศุลกากรตอบโต้เป็นรายประเทศ ในมุมมองของเรายังเชื่อว่าการเดินหมากของทรั้มป์ในสงคามการค้า 2.0 จะพุ่งไปที่การตั้งกำแพงภาษีให้มาก ให้เร็ว และเจรจาให้จบไว เนื่องจากทรั้มป์รู้ดีว่าการตั้งกำแพงภาษีในประเทศคู่ค้าทั่วโลกไม่เพียงแต่จีนอย่างเดียวอีกต่อไป จะส่งผลกระทบเชิงลบกับเงินเฟ้อในสหรัฐฯที่ยังเปราะบาง สุดท้ายเราเชื่อว่าสหรัฐฯจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ ขณะที่ประเทศอื่นอาจต้องติดตามท่าทีของทรั้มป์เป็นรายประเทศ เราเชื่อว่าสงครามทั้งสองจะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนในระยะสั้น จึงยังแนะนำเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่นักลงทุนกังวลให้กับพอร์ตการลงทุน ประกอบไปด้วยทองคำ หุ้นกลุ่มการแพทย์ และตราสารหนี้ Credit Rating สูง
แนวโน้มนโยบายดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากที่หลายประเทศตัดสินใจชะลอการลดดอกเบี้ยตามสหรัฐฯในช่วงปลายปี 24 แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อของทั่วโลกนอกเหนือจากสหรัฐฯปรับตัวลงอย่างรุนแรงจากแรงกดดันของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ร่วมกับความกังวลผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศใหญ่ตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยยอมให้ค่าเงินอ่อนค่า ทั้งธนาคารกลางยุโรป อินเดีย อินโดฯ รวมไปถึงไทยต่างปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจหลังจากนี้ เมื่อรวมกับสมมุติฐานของเราที่ว่าสงครามการค้าของทรั้มป์รอบนี้จะกินเวลาไม่นาน ทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นกับหุ้นในภูมิภาคอื่นๆและแนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะการย่อตัวในช่วงนี้ กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆนอกเหนือจากหุ้นสหรัฐฯเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของตราสารหนี้โลกซึ่งมีน้ำหนักมากในสหรัฐฯยังอาจเผชิญกับการปรับตัวขึ้นของ Yield จากความกังวลเงินเฟ้อ เราจึงแนะนำกองทุนที่มีกลยุทธ์ Absolute Return เพื่อลดความผันผวนลง
ภาพรวมการลงทุนประจำเดือนมีนาคม 2025 คาดว่าตลาดหุ้นโลกจะเผชิญกับความผันผวนในวงกว้าง หลังจากทั้งสงครามการค้าและสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงร้อนแรงภายใต้การนำของ ปธน. ทรั้มป์ เรายังชอบหุ้นสหรัฐฯจากสมมุติฐานที่ว่าสุดท้าย ทรั้มป์จะมุ่งเน้นประโยชน์กับสหรัฐฯโดยไม่ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอย่างที่นักลงทุนกังวล เรามีมุมมองเชิงบวกกับยุโรปและภูมิภาคเอเชีย เรายังแนะนำลดความผันผวนด้วยสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและกลุ่มการแพทย์
ตารางแสดงสัดส่วนการลงทุนพอร์ต Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 13 มีนาคม 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก
1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น 2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Trump 2.0 กลับมาพร้อมนโยบายที่จริงจังและเข้มข้นกว่าเดิม โดยหนึ่งในจุดสนใจที่ทำให้ทั่วโลกจับตาคือการกลับมาของนโยบายที่มุ่งมั่นพยุงตลาดการเงินให้มั่นคง ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
คำว่า “Trump Put” จึงถูกพูดถึงอีกครั้งในฐานะสัญญาณแห่งความหวัง ว่าการแทรกแซงจากรัฐบาลจะช่วยหนุนให้ตลาดไม่ตกต่ำเกินไป
แต่ครั้งนี้ “Trump Put” จะยังคงมีพลังเหมือนเดิมหรือไม่? หรือจะเป็นแค่ภาพลวงตา? มาทำความเข้าใจกันเลย
“Trump Put” เป็นศัพท์แสลงในวงการการเงินที่หมายถึงความเชื่อของนักลงทุนว่ารัฐบาลของ Donald Trump จะออกนโยบายเพื่อพยุงตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจในยามวิกฤต
คำนี้มาจาก “Put Option” ซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในตลาดการเงิน โดยให้สิทธิ์ในการขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดล่วงหน้า แม้ว่าราคาตลาดจะลดลง ผสมกับชื่อของ Trump ซึ่งสื่อถึงการแทรกแซงของรัฐบาลเพื่อป้องกันความเสี่ยงเมื่อเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นเริ่มสั่นคลอน
ก่อนหน้านี้เคยเกิดคำว่า “Fed Put” ซึ่งหมายถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ใช้เครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ เพื่อพยุงตลาดการเงินเมื่อเกิดวิกฤต ซึ่งเป็นการแทรกแซงเพื่อให้ความมั่นคงกลับคืนสู่ตลาด คล้ายกับ “Trump Put” ที่มุ่งหวังให้การแทรกแซงจากรัฐบาลช่วยลดความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดกำลังตกต่ำ
ตั้งแต่ทรัมป์กลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 เขาได้ออกนโยบายมากมายที่ส่งผลต่อตลาดการเงินและถูกมองว่าเป็น “Trump Put” เพราะช่วยหนุนความเชื่อมั่น ป้องกันความเสียหายรุนแรง และกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวน โดยต่อไปนี้คือนโยบายที่ถูกมองว่าเป็น “Trump Put”
นโยบายเหล่านี้สะท้อนถึงแนวคิด “Trump Put” ที่มุ่งมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและป้องกันวิกฤต เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในตลาด การปรับท่าทีให้เหมาะสมในช่วงเวลาที่ตลาดสั่นคลอน แม้บางครั้งอาจทำให้เกิดความสับสน แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับคือการรักษาความมั่นคงในระบบเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและตลาดโดยรวม
อ้างอิง: Purpose Investments
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
ในสัปดาห์นี้ตัวชี้วัดส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นถึงอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ FED การลดอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสได้เห็นเร็วขึ้น ถือว่าเป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะยาว แต่ในระยะสั้นก็ยังคงมีความผันผวนอยู่เช่นเดิม ในสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนควรเลือกลงทุนในกลยุทธ์ที่มี Bitcoin เป็นหลัก และควรเลือกเวลาการทำธุรกรรมเพื่อไม่ให้ต้นทุนนั้นสูงเกินไปและเพื่อไม่ต้องแบกรับ Drawdown ที่มาก
ตัวเลขการสำรวจการจ้างงานทุกตำแหน่ง (ที่ยังว่างอยู่) ในทุกวันสุดท้ายของเดือน เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจ “Job Openings and Labor Turnover Survey (JOLTS)” การสำรวจนี้จะรวบรวมข้อมูลจาก 16,400 หน่วยงานนอกภาคเกษตรกรรม ซึ่งรวมถึงร้านค้า และ โรงงาน รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลระดับกลาง ภาครัฐ และท้องถิ่นใน 50 รัฐ และ ดิสทริคต์ออฟคอลัมเบีย
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: JOLTs Job Opening มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 7.6M เป็น 7.5M
https://tradingeconomics.com/united-states/inflation-rate-mom
ส่งผลอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์การลดตัวลงของ JOLTs Job Opening แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม การลดตัวลงของดัชนีอาจแสดงให้เห็นถึง FED ที่สามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง
Core CPI หรือ Core Consumer Price Index จะสามารถใช้ชื่อเรียกอีกอย่างได้คือ Core Inflation Rate หรือแปลว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ที่หักสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานออก เนื่องจากเป็นหมวดที่มีความเคลื่อนไหวขึ้นลงตามฤดูกาล และอยู่นอกเหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน เหลือแต่รายการสินค้าที่ราคาเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core CPI MoM มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 0.4 เป็น 0.3
Core PPI หรือ Core Producer Price Index คือ จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาขายสำหรับสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตได้ขายโดยที่ไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน ดัชนีราคาผู้ผลิตจะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาจากมุมองของผู้ขาย เมื่อผู้ผลิตมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับการผลิตสินค้าและบริการนั้นก็น่าจะเป็นไปได้มากว่าผู้ผลิตจะให้ผู้บริโภคแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นแทน ดังนั้นดัชนีราคาผู้ผลิตนี้จึงเชื่อว่าเป็นดัชนีสำคัญที่จะชี้วัดภาวะเงินเฟ้อของผู้บริโภค
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core PPI MoM มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 0.3 เป็น 0.2
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์การลดลงของ Core PPI MoM แสดงให้เห็นถึงการที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง และอีกทั้งยังบ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ FED แต่ในระยะสั้นการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวนอยู่
Credit from LayerGG
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
12 มีนาคม
13 มีนาคม
14 มีนาคม
ส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้ยังค่อนข้างต่ำ หลายเหรียญมี Funding rate ติดลบ แสดงถึงตลาดที่นักลงทุนต่างพากันลดความเสี่ยง นักลงทุนมีมุมมองเชิงลบต่อตลาด และทำการเปิดสถานะชอร์ตมากกว่าสถานะลอง
ในฝั่งของ Bitcoin Open Interest อยู่ในแนวโน้มขาลง บ่งบอกถึงการลดความเสี่ยงของนักลงทุนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ อาจจะมาจากเหตุผลเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและกำลังรอปัจจัยบวก
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสเงินไหลออกสุทธิที่ 739.2 ล้านเหรียญ นับว่าเป็นสัปดาห์ที่สามที่มี outflow ไหลค่อนข้างมากหลังจากเกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นมากกว่าสองครั้ง
https://insights.glassnode.com/the-week-onchain-week-23-2024/
จากข้อมูล Realized Cap HODL Waves ที่มีการแบ่ง bitcoin ที่มีระยะเวลาการถือน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 เดือน ซึ่งจะแสดงถึงจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ ส่วนใหญ่ตลาดจะถึงจุดพีคเมื่อตัวเลขนี้มากกว่า 70% แต่ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 41% ทำให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของตลาดในอนาคต
by Cryptomind Advisory
$BTC ยังมีภาพรวมเป็นขาลง อย่างไรก็ตามในระยะสั้นอาจเด้งตัวจากแนวรับในกรอบขาลงได้ แต่อาจเป็นเพียงการเด้งเพื่อลงต่อในช่วงนี้ เพราะยังไม่มีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน โดยแนวรับสำคัญของราคาจะอยู่ที่บริเวณ $73,000
แนวต้าน : $83,500 | $92,000 | $100,000
แนวรับ : $78,000 | $73,000 | $67,000
$ETH ยังคงเป็นขาลงชัดเจนและยังไม่มีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน ระยะสั้นอาจมีการปรับตัวขึ้นมาได้โดยมีแนวต้านอยู่บริเวณ $2,150 ที่ถ้าราคาไปยืนอยู่ได้ อาจจะมีโอกาสกลับตัวขึ้นไปได้แต่หากไม่ผ่านก็อาจจะเป็นการปรับตัวลงต่อไปได้เช่นกันโดยแนวรับถัดไปจะอยู่บริเวณ $1,950
แนวต้าน : $$2,150 | $2,400 | $2,880
แนวรับ: $1,950 | $1,500 | $1,200
by Cryptomind Advisory
Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้และสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังไม่สู้ดีนัก จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดี และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 60%
SELECTIVE LARGE MARKET CAP 10%
STABLECOIN 30%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-10-14%20March-2025
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล