พอร์ตการลงทุนของกองประกันสังคม มูลค่ารวม 2.65 ล้านล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 2.59% เตรียมทบทวนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เพิ่มสินทรัพย์เสี่ยง 60:40 หันลงทุนหุ้นนอก แต่ไม่ทิ้งหุ้นไทย
Source: sso.go.th as of 31/12/2024
เงินลงทุนของกองทุนประกันสังคม ณ 31 ธันวาคม 2567 มูลค่าทั้งสิ้น 2,657,245 ล้านบาท แบ่งเป็น หลักทรัพท์มั่นคงสูง 71.58% และหลักทรัพย์เสี่ยง 28.42%
โดยมีการกระจายการลงทุนในประเทศ จำนวน 1,800,064 ล้านบาท คิดเป็น 67.74% และลงทุนต่างประเทศ จำนวน 857,181 คิดเป็นสัดส่วน 32.26%
กองทุนประกันสังคม มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ 2.29% ส่วนอัตราผลตอบแทนปี 2567 อยู่ที่ 5.34%
เงินสมทบสะสม และผลประโยชน์สะสมจากการลงทุน ย้อนหลัง 10 ปี (2558-2567)
Source: sso.go.th as of 31/12/2024
ปัจจุบันเงินลงทุนรวมของกองทุน #ประกันสังคม มูลค่ารวม 2,657,245 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินจาก 2 ส่วนหลัก คือ
1.) เงินสมทบสะสมจากนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล จำนวน 1,666,556 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 62.72%
2.) เงินผลประโยชน์สะสมที่ได้รับจากการลงทุน จำนวน 990,689 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37.28%
ผลตอบแทนที่รับรู้แล้ว ย้อนหลัง 10 ปี (2558-2567)
Source: sso.go.th as of 31/12/2024
ในปี 2567 กองทุน ประกันสังคม มีผลประโยชนจากการลงทนที่รับรู้แล้ว จำนวน 71,960 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.) ดอกเบี้ยรับและกำไรจากการขายตราสารหนี้ 42,774 ล้านบาท
2.) เงินปันผลรับและกำไรจากการขายหุ้น นวน 29,186 ล้านบาท
จะเห็นว่าผลกำไรส่วนใหญ่ของประกันสังคมนั้นยังคงมาจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน และตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากกรอบนโยบายการลงทุนยังคงจำกัดอยู่ที่สินทรัพย์มั่นคง (เสี่ยงต่ำ) มากถึง 60% แต่ในอีกแง่ก็เป็นเกราะกำบังให้กองทุนประกันสังคมไม่เคยลงทุนแล้ว “ขาดทุน” มาตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา
สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า กองทุนประกันสังคม เตรียมปรับยุทธศาสตร์พอร์ตลงทุนครั้งใหญ่ ในปี 2568-2570 โดยการเพิ่มลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเป็น 60% และสินทรัพย์มั่นคง 40%
วางเป้าหมายพอร์ตการลงทุนต้องสร้าง “ผลตอบแทน” หรือ “Return Income” พร้อมปรับสัดส่วนการลงทุนใน ต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น
แต่ก็จะไม่ทิ้งการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพียงแต่ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่คือ หุ้นตัวไหนที่ทำกำไรได้ กองทุนประกันสังคมอาจจะมีการทบทวนขายไป และซื้อเข้าใหม่ได้ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ประกันตน
สำหรับในปี 2568 ตั้งเป้าผลตอบแทนของกองทุนประกันสังคมอยู่ที่ 5% และในปี 2569 คาดผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นเป็น 6%
ประธานคณะกรรมการประกันสังคม ยืนยันว่า “กองทุนประกันสังคมไม่ล้ม” แต่ต้องปรับวิธีคิด เพราะหากยังอยู่ในบริบทแบบเดิม ๆ ในอีก 30 ปี กองทุนประกันสังคมจะเข้าสู่การ Set Zero คือมีเงินเข้า 100 ก็ออก 100 เนื่องจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของสังคมไทย
ที่มา: สำนักงานประกันสังคม, กรุงเทพธุรกิจ
Goldman Sachs ปรับเป้าหมายดัชนี MSCI China ใน 12 เดือนข้างหน้า ขึ้นอีก 16% จากเดิม 75 จุดเป็น 85 จุด นอกจากนี้ยังปรับเป้าดัชนี CSI 300 ขึ้นจาก 4,600 เป็น 4,700 โดยทั้ง 2 ดัชนีได้รับแรงหนุนจากการพัฒนาของ DeepSeek AI ซึ่งช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน
DeepSeek และ AI อื่น ๆ ของจีนกำลังเปลี่ยนมุมมองนักลงทุนต่อศักยภาพเทคโนโลยีจีน โดย Goldman Sachs ประเมินว่าการใช้ AI อย่างแพร่หลายอาจช่วยหนุนกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจีนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.5% ต่อปีในทศวรรษหน้า
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley, JPMorgan Chase & Co. และ UBS Group AG ได้ออกคำแนะนำเชิงบวกเกี่ยวกับตลาดหุ้นจีน ขณะที่หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ Man Group มองว่าหุ้นจีนเป็นหนึ่งใน “โอกาสการลงทุนที่แข็งแกร่งที่สุดในปีนี้”
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในครั้งนี้ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและปัจจัยระดับจุลภาคมากขึ้น จึงอาจทำให้การฟื้นตัวครั้งนี้มีความยั่งยืนกว่าการขับเคลื่อนโดยมาตรการภาครัฐเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการพบกันระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และ แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba Group ในสัปดาห์นี้ โดยมองว่าอาจเป็นสัญญาณจากรัฐบาลจีนที่พร้อมจะสนับสนุนภาคเอกชน
แม้ว่าตลาดหุ้นจีนกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่นักลงทุนบางส่วนยังตั้งคำถามว่า กระแส AI จะเปลี่ยนเป็นกำไรของบริษัทได้จริงหรือไม่? เพราะที่ผ่านมาตลาดจีนเคยฟื้นตัวแรงจากการเปิดประเทศหลังโควิดช่วงปลายปี 2022 แต่ก็กลับมาอ่อนตัวลงในเวลาไม่นาน
อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดจีนมาตลอด แม้ในช่วงที่ตลาดซบเซา โดยล่าสุดคาดว่าหุ้นจีนมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ราว 20% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับทิศทางของตลาด
กองทุน MEGA10CHINA-A เป็นกองทุนหุ้นจีน 10 ตัวใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งรวมเอาหุ้น Big Tech จีนมาไว้ด้วยกัน และส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทเทคโนโลยีแนวหน้า เช่น Tencent, Alibaba, Meituan, NetEase และ JD เป็นต้น โดยคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากกระแส AI Boom ในจีน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ AI ในสหรัฐฯ
อ้างอิง: Yahoo Finance
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สัปดาห์ที่แล้ว “หุ้นยักษ์” ตัวหนึ่งซึ่งเคยเป็น “เสาหลัก” สำคัญของตลาดหุ้นมีราคาตกลงมาประมาณ 14% หลังจากประกาศงบรายไตรมาสที่ 4 แสดงว่าบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเลข 2 หลัก และกำไรก็เพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้และเป็นเลข 2 หลักเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขทั้งสองนั้นต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้พอสมควรและดูเหมือนว่า “อนาคต” ของบริษัทอาจจะเติบโตไม่ได้ดีเท่ากับที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนเคยประเมินหรือคาดการณ์ไว้
ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้น ทำให้ค่า PE ที่ “สูงลิ่ว” ในระดับ 40 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่น่าจะสูงเกินไปอานิสงค์จากการที่หุ้นน่าจะ “ถูกคอร์เนอร์” มานานเพราะปริมาณหุ้น Free Float ที่อยู่ในมือของนักลงทุนมีน้อยมาก และทำให้หุ้นเคยมีค่า PE สูงถึงเกือบ 100 เท่า ตกลงมาเหลือประมาณ 34 เท่า ซึ่งก็ยังไม่ได้ต่ำนักเมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกันของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศอื่น ๆ
การที่หุ้นตกลงมาสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ ถ้าจะเรียกว่า “คอร์เนอร์แตก” ก็อาจจะยังไม่ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ถ้ามองย้อนหลังไป 3-4 ปี หุ้นก็ถือว่าลดลงมามากในระดับ 40% ขึ้นไป ตรงกับอาการคอร์เนอร์แตกได้ นั่นก็คือ นักลงทุนเลิกเชื่อในสตอรี่และผลประกอบการของบริษัทที่เคยเป็นตอนที่หุ้นถูกคอร์เนอร์ และก็เริ่มขายหุ้นออกมามากกว่าคนที่อยากจะถือหุ้นลงทุนตามพื้นฐานที่ควรเป็นหลังจากมีข้อมูลผลประกอบการล่าสุดที่ไม่โดดเด่นออกมา
เรื่องของหุ้น “คอร์เนอร์แตก” ในตลาดหุ้นไทยนั้น ดำเนินมานานอย่างน้อยน่าจะ 4-5 ปีแล้ว เริ่มต้นก็เป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีการทำคอร์เนอร์โดยนักลงทุนรายใหญ่และ/หรือเจ้าของที่พบว่าทำได้ง่ายและสามารถเพิ่มราคาและมูลค่าของกิจการได้มากมายหลาย ๆ เท่า บางทีในวันเดียวโดยเฉพาะในวันที่หุ้นเข้าเทรดวันแรกหลังจาก IPO ผลก็คือ คนทำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเศรษฐีพันล้านบาทได้ง่าย ๆ โดยที่แทบจะไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย ตรงกันข้าม มีแต่คนชื่นชมว่าเป็นคนที่มีความสามารถสูง จากธุรกิจเล็ก ๆ หรือพอร์ตเล็ก ๆ ก็กลายเป็น “เสี่ย” หรือเป็น “เซียน” ในเวลาอันสั้น
ต่อมาหุ้นระดับกลางหลายตัวก็ถูกคอร์เนอร์ จากมูลค่าหุ้นระดับ “หมื่นล้านเศษ ๆ” ก็กลายเป็นหลายหมื่นล้านบาท และบางตัวก็กลายเป็น “แสนล้านบาท” คนทำคอร์เนอร์กลายเป็นมหาเศรษฐีหรือสุดยอดเซียน ผู้บริหารกลายเป็นเซเล็บนักธุรกิจระดับประเทศ “อาณาจักร” ถูกขยายออกไป “ระดับโลก” ไม่มีใครสนใจว่าหุ้นแพงผิดปกติหรือเปล่าที่ PE บางทีระดับ 70-80 เท่าขึ้นไป แม้แต่นักลงทุนสถาบันก็ต่างแย่งซื้อหุ้นล็อตใหญ่จากเจ้าของ พวกเขาต้องทำตัวเหมือน “เซียนหุ้นรายใหญ่” ที่ร่ำรวยจากหุ้น มิฉะนั้นจะดึงดูดคนที่เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนอย่างไร?
และสุดท้าย แม้แต่หุ้นขนาดใหญ่หรือกลางใหญ่บางตัวก็ถูกคอร์เนอร์ จากบริษัทระดับกลางในแง่ของตัวธุรกิจและ Market Cap. ก็กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดยักษ์ระดับ “Top Ten” ของตลาด และแน่นอน ด้วยสตอรี่ใหญ่ระดับ “เปลี่ยนโลก” บางบริษัทที่อยู่ในธุรกิจพลังงานก็ท้าทายบริษัทระดับ “เทสลา” ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดนางฟ้าของหุ้นโลก บางบริษัทก็ประมาณว่าจะคล้าย ๆ กับ “เอ็นวิเดีย” ซึ่งก็เป็นนางฟ้าแนวหุ้นเท็คอีกบริษัทหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเทสลาด้วยซ้ำ
ถึงวันนี้ หุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์ทั้งเล็ก กลาง และใหญ่ ต่างก็ทยอย “แตก” เป็นระยะมาหลายปีแล้ว โดยที่หุ้นตัวเล็กนั้นแตกไปน่าจะใกล้หมดแล้ว หุ้นระดับกลางเองก็แตกไปมากมายและทำให้คนเจ็บหนักกันทั่วหน้า ส่วนหุ้นตัวใหญ่นั้น เนื่องจากมีจำนวนน้อยกว่าและการคอร์เนอร์เองนั้นย่อมจะแข็งแรงกว่าหุ้นที่มีขนาดเล็กหรือกลาง การแตกจึงยากกว่าและช้ากว่า
สิ่งที่ทำให้หุ้นคอร์เนอร์แตกนั้น ที่มากที่สุดก็คือ การประกาศผลประกอบการที่ “น่าผิดหวัง” ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มว่าอนาคตก็จะยังไม่สดใสต่อ หรือในกรณีที่เลวร้ายก็คือ ผลประกอบการจะแย่ลง “อย่างถาวร” หรืออย่างน้อยอีก 2-3 ปี ข้างหน้า
สถานะของเศรษฐกิจและตลาดหลักทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คอร์เนอร์แตก เพราะในสภาวะแบบนั้น นักเก็งกำไรที่เข้ามาเล่นหุ้นจะน้อยลง เช่นเดียวกับธุรกิจที่ซบเซาลงซึ่งทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทด้อยหรือถดถอยลง ทั้งหมดนั้นมีส่วนทำให้แม้แต่หุ้นยักษ์ที่อยู่ในคอร์เนอร์ก็ประสบกับภาวะหุ้นคอร์เนอร์แตกได้
และหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ไว้ ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน ถึงวันก็จะต้อง “คอร์เนอร์แตก” เป็น “Moment of Truth” ที่จะต้องเผชิญสำหรับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นไว้
ถ้าให้ผมทำนาย ผมคิดว่าภายในปีนี้ หรือบางทีก็อาจจะเร็ว ๆ นี้ หุ้นตัวใหญ่ระดับยักษ์จะประสบกับการ “คอร์เนอร์แตก” เกือบหมด และนั่นน่าจะกระทบกับดัชนีตลาดหุ้นไม่น้อย ซึ่งก็จะทำให้ตลาดหุ้นซบเซาลงมาก แต่ตลาดก็คงจะ “ไม่วาย” และถ้าโชคดีก็จะเป็นโอกาสที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะดีและยั่งยืนขึ้น เข้าทำนอง “ฟ้าหลังฝน” ชีวิต “เริ่มต้นใหม่” หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาเป็นระลอก ๆ
เหตุผลก็เพราะว่า “สิ่งดี ๆ เล็ก ๆ” กำลังกลับมาที่เราอาจจะยังไม่ตระหนัก เริ่มตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มาก แต่ก็ค่อนข้างมั่นคง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ไปทำอะไรใหม่มากมายที่ต้อง “เสียเงิน” พวกเขาน่าจะเรียนรู้แล้วว่า การมีสตอรี่มาก ๆ นั้น สุดท้ายมักจะ “พัง” การ “สร้างอาณาจักร” นั้น นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ต้องการ การสร้างกำไรคือสิ่งที่จะดีต่อหุ้นมากที่สุดในยุคนี้
หน่วยงานที่ดูแลกำกับตลาดหุ้นนั้น ในช่วงเวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสูงสุดเกือบทั้งหมด จากคนที่ “ไม่สนับสนุนตลาดหุ้น” หรือมองว่า “ตลาดหุ้นเป็นของคนรวยที่มีเงินและเห็นแก่ได้” และ “ตลาดหุ้นไม่ได้มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ” เป็นคนที่น่าจะเข้าใจตลาดหุ้นได้ดีกว่า และที่สำคัญ พร้อมที่จะพัฒนาตลาดหุ้นให้เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญแทนที่จะพยายามดูดเงินนักลงทุนผ่านระบบภาษีที่อาจจะทำลายตลาดหุ้นได้
เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นก็คือ การเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดหุ้น จากการเป็น “นักเก็งกำไร” เป็นหลัก ที่เน้นการเทรดหุ้นเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็ว กลายเป็น นักลงทุนที่เน้นผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งมีปันผลเป็นผลตอบแทนที่สำคัญมากหรือมากที่สุดในการเลือกหุ้นลงทุน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หุ้นที่สามารถจ่ายปันผลในระดับ 5% ต่อปีและไม่ลดลงในอนาคตที่เห็นได้นั้นผมคิดว่ามีจำนวนไม่น้อยและมากพอที่จะถือเป็นกองทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้หวังผลเลิศได้
พูดง่าย ๆ นักลงทุนยุคหลังหุ้นยักษ์คอร์เนอร์แตกนั้น จะเป็นการลงทุนในยุคที่ตลาดหุ้นตกต่ำลงไปมากจนมีราคาไม่แพงหรือถูก และมีหุ้นที่มีคุณภาพดีพอใช้ที่มีผลประกอบการค่อนข้างยั่งยืน มีกำไรที่ดีและโตไปช้า ๆ ในระดับอาจจะแค่ 5-6% ต่อปี บริหารโดยผู้บริหารที่ดีมีบรรษัท ภิบาลสูงและรักษาผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยทุกคนเท่าเทียมกัน โดยที่ความคาดหวังก็คือ สร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นหรือคนที่ลงทุนในหน่วยลงทุนได้ปีละประมาณ 7-8% โดยเฉลี่ย โดยมีปีที่ขาดทุนน้อยมาก
การกำกับดูแลตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่าจะต้อง “มีเหตุผล” และ “พอสมควร” ที่จะเป็นที่ยอมรับของนักลงทุน เช่น เรื่องของภาษีทุกชนิดที่เกี่ยวกับหุ้น เช่นเดียวกัน การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเองนั้น ผมคิดว่าจะต้อง “เปิดกว้าง” การห้ามหรือสร้างอุปสรรคไม่ให้ลงทุนนั้น ไม่มีประโยชน์
ต้องทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็น “ทางเลือก” ที่สำคัญของคนไทยทุกคน และผมเองในฐานะนักลงทุนขอตอบเลยว่า เราไม่มีทางทิ้งตลาดหุ้นไทยได้ และเราอยากเลือกลงทุนในตลาดหุ้นไทยถ้าโอกาสได้ผลตอบแทนมีพอสมควรด้วยความเสี่ยงโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการโกงต่ำ
หุ้นที่มีราคาร้อนแรงเกินไปและปรับตัวขึ้นลงแรงในลักษณะของการ “คอร์เนอร์หุ้น” ควรที่จะต้องถูกต่อต้านตั้งแต่เริ่มต้น เพราะนั่นไม่ส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศที่ว่าตลาดหุ้นไทยมีประสิทธิภาพที่ดีในการกำหนดราคาหุ้นทุกตัวให้มีความเหมาะสม การมี “หุ้นปั่น” เต็มไปหมดนั้นอาจจะดึงดูดให้คนเข้ามา “เล่นหุ้น” ในตลาดมาก ๆ แต่มันไม่ยั่งยืน เพราะในที่สุดคนที่เข้าไปเล่นจะเสียหายหนักและจะถอยหนีจากตลาดโดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุนในทรัพย์สินที่เติบโตและปลอดภัยพอสมควรเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเกษียณ
ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ เตรียมตัวรับกับการที่หุ้นขนาดยักษ์คอร์เนอร์แตกที่จะทำให้ดัชนีตลาดตกลงมาแรง แต่ไม่ต้องหนีออกจากตลาดเพราะหุ้นขนาดใหญ่จำนวนมากราคาไม่แพงและสามารถลงทุนได้ โดยหุ้นที่ปันผลดีระดับ 5% ต่อปีและยั่งยืนจะช่วยให้หุ้นลงทุนของเราโดยเฉพาะถ้ามีการกระจายความเสี่ยงดีพอคือถือไว้หลายตัว จะเป็นพอร์ตลงทุนในระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนได้ปีละอาจจะ 6-7% แบบทบต้น โดยแต่ละปีพอร์ตจะไม่ค่อยขาดทุน
พฤติกรรมในตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น โดยภาพใหญ่ก็คือ การเก็งกำไรจะน้อยลงและการลงทุนจะมากขึ้น หุ้นปั่น โดยเฉพาะการคอร์เนอร์หุ้นน่าจะลดน้อยลงถ้าหน่วยงานควบคุมสามารถป้องกันก่อนที่ฟองสบู่จะเกิดขึ้น
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
เราทำงานมาตั้งหลายปี แต่เคยถามตัวเองไหมว่า “เรามีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหรือเปล่า?” ถ้าคำตอบคือ “ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย” บทความนี้จะพาไปเริ่มต้นทบทวนสถานะการเงินแบบง่าย ๆ แค่กระดาษแผ่นเดียวก็ทำได้!
หา กระดาษ A4 หนึ่งแผ่น แล้วแบ่งครึ่งออกเป็น 2 ส่วน
ทรัพย์สินในที่นี้หมายถึง “ทุกอย่างที่เราเป็นเจ้าของและมีมูลค่า” หรือเปลี่ยนเป็นเงินได้ เช่น
ฝั่งขวาของกระดาษให้ใส่รายการหนี้สินทั้งหมด ในที่นี้หมายถึง “จำนวนเงินที่เราต้องชำระให้กับผู้อื่น” เช่น
เมื่อเรามีรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการคำนวณโดยการนำมูลค่าทรัพย์สินรวมมาหักด้วยหนี้สินรวม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) ของเรา หากมูลค่าทรัพย์สินรวมสูงกว่าหนี้สินรวม จะเป็นการบ่งบอกว่าเรามีความมั่งคั่งสุทธิเป็นบวก หรือก็คือสถานะทางการเงินที่ “ทรัพย์สินมีมูลค่ามากกว่าหนี้สิน”
เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ให้หัก หนี้สินรวม ออกจาก ทรัพย์สินรวม โดยใช้สูตรนี้
ความมั่งคั่งสุทธิ = ทรัพย์สินรวม − หนี้สินรวม
ทรัพย์สินรวมของเรามีมูลค่า 5,000,000 บาท (บ้าน 3,000,000 บาท, รถยนต์ 1,000,000 บาท, เงินออม 1,000,000 บาท)
หนี้สินรวมของเรามีมูลค่า 2,000,000 บาท (เงินกู้บ้าน 1,500,000 บาท, หนี้บัตรเครดิต 500,000 บาท)
ความมั่งคั่งสุทธิของเราจะคำนวณได้ดังนี้
ความมั่งคั่งสุทธิ = 5,000,000 − 2,000,000 = 3,000,000 บาท
ผลลัพธ์คือเรามีความมั่งคั่งสุทธิ 3,000,000 บาท ซึ่งแสดงว่าเรามีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินเป็นจำนวน 3,000,000 บาท
ถ้าตัวเลขออกมาเป็นบวก นั่นแปลว่า เรามีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ถ้าเป็นลบหรือลดลงจากปีก่อน ก็ถึงเวลาที่จะต้องวางแผนการเงินให้รัดกุมขึ้น
การคำนวณความมั่งคั่งสุทธิไม่ใช่แค่การดูว่าตัวเลขออกมาเป็นบวกหรือลบ แต่มันช่วยให้เราเห็นว่า เงินของเราเติบโตขึ้นแค่ไหน
ปีใหม่นี้ลองตั้งเป้าหมายการเงินง่าย ๆ ที่ทำได้จริง เช่น
ปีใหม่เป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเอง การทบทวนสถานะทางการเงินก็เหมือนกับการตรวจเช็กสุขภาพ ว่าเราแข็งแรงแค่ไหน และต้องปรับปรุงอะไรบ้าง เพราะความมั่นคงทางการเงินไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นผลจากการวางแผนที่ดีและการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยการทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตั้งเป้าหมายการออม หรือวางแผนการลงทุน อย่าลืมว่าทุกก้าวเล็ก ๆ ที่เราลงมือทำในวันนี้ จะกลายเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
ปีใหม่นี้ มาดูแลการเงินของเราให้แข็งแรงขึ้นไปพร้อมกัน เริ่มจากการรู้จักตัวเองให้มากขึ้น วางแผนให้ชัดเจน และลงมือทำอย่างมีวินัย
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/net-worth-in-one-page/
💸 เบื่อไหมกับการเก็บเงินแบบเดิม ๆ ที่น่าเบื่อ? อยากมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่อยากเครียดกับการวางแผนการเงินมากเกินไป? โพสต์นี้จะพาคุณไปพบกับ “5 ไอเดียเก็บเงินสุดเจ๋ง” ที่จะทำให้การออมเงินกลายเป็นเรื่องสนุก และยังช่วยให้เงินของคุณงอกเงยได้อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นสายชอป สายเที่ยว หรือสายกิน เรามีวิธีการเก็บเงินที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รับรองว่าอ่านจบแล้วคุณจะอยากเริ่มต้นเก็บเงินแน่นอน!
วิธีนี้ง่ายมาก เพียงแค่คุณเตรียมกระปุกหรือกล่องไว้ แล้วหยอดเงินตามวันที่ เช่น วันที่ 1 หยอด 1 บาท วันที่ 2 หยอด 2 บาท ไปเรื่อย ๆ จนถึงสิ้นเดือน แม้จะเป็นจำนวนเงินที่น้อยนิด แต่พอสิ้นปีคุณจะพบว่ามีเงินเก็บจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว
วิธีนี้เป็นที่นิยมมาก เพราะเป็นจำนวนเงินที่ไม่กระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากนัก ทุกครั้งที่ได้แบงก์ 50 บาท มาให้หยอดลงในกระปุกทันที ไม่นานคุณก็จะมีเงินเก็บก้อนโต
สำหรับใครที่เป็นแฟนคลับตัวยง วิธีนี้เหมาะมาก! เช่น ทุกครั้งที่ศิลปินปล่อยเพลงใหม่ จะเก็บเงิน 200 บาท หรือถ้ามีไลฟ์ จะเก็บเงิน 50 บาท หรือจะเก็บตามความถี่ในการอัปเดตโซเชียลมีเดียก็ได้ เช่น อัปรูป 1 รูป เก็บ 10 บาท อัปสตอรี่ 5 บาท
รวบรวมเหรียญบาท เหรียญห้า หรือธนบัตรเล็ก ๆ ที่เหลือจากการใช้จ่ายแต่ละวันมาใส่ในกระปุก หรือกระเป๋าเงินเล็ก ๆ ไว้ต่างหาก พอถึงเวลาที่กำหนดค่อยนำไปนับรวมกัน จะได้เงินก้อนแบบไม่รู้ตัว
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยบริหารจัดการเงินและการออมเงิน เช่น แอปที่ช่วยในการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย แอปที่ช่วยในการตั้งเป้าหมายการออม หรือแอปที่ช่วยเรื่องลงทุน
อยากมีตัวช่วยเก็บเงินให้อยู่แถมเงินงอกเงย ลองให้ ‘FIN SAVE by KKP’ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่จะเชื่อมต่อโลกการลงทุนในที่เดียวบนแอปพลิเคชัน Finnomena ช่วยคุณจัดการชีวิตการเงินให้ง่ายขึ้น แยกบัญชีเงินลงทุนออกจากบัญชีใช้จ่ายประจำวันชัดเจน หมดปัญหาเงินปนกันจนเก็บไม่อยู่ พร้อมให้เงินงอกเงย รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี* ระหว่างพักเงินรอลงทุน สะดวก ปลอดภัย มั่นใจได้ ดูแลเงินฝากของคุณโดยธนาคารเกียรตินาคินภัทร
*อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกำหนด (อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี สำหรับยอดฝากส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท)
หากคุณกำลังมองหาบัญชีเงินฝากที่จะทำให้ชีวิตการเงินของคุณสะดวกขึ้น จัดการทั้งเงินฝากและเงินลงทุนได้ครบจบในที่เดียว บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คือคำตอบ! ดาวน์โหลดแอปฯ Finnomena และเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP ได้เลย
หากพบปัญหาเกี่ยวกับการเปิดบัญชีไม่สำเร็จหรือบริการทางบัญชีเพิ่มเติม โปรดติดต่อ KKP Contact Center โทร 02-165-5555 กด 5 ต่อจากนั้น กด 1 เวลา 07.00-20.00 ของทุกวัน
หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Finnomena Application โปรดติดต่อ 02-026-5100 เวลา 09.00 – 17:00 ทุกวันทำการ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
คำเตือน:
วงเงินฝาก | อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี) |
ไม่เกิน 500,000 บาท (A) | 0.40% |
ส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท (B) | 1.60% |
ส่วนที่เกิน 2,000,000 (C) | 0.40% |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย (A) = 0.40%, (B) = 0.40%-1.30%, (C) 0.40%-1.30%
กรณีที่ 1: ฝากเงิน 1,500,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
กรณีที่ 2: ฝากเงิน 3,000,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 1 ชุด โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering: PO) และผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 11-13 มี.ค. 2568 นี้ โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้ อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.90-5.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ในระดับ Investment Grade ที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” จากทริสเรทติ้ง
ที่มา: https://www.thaibma.or.th/EN/News/Detail.aspx?id=7ac5c03f-34e5-ef11-a31e-a4821249f081
รายได้ 9M2024 เติบโต 4%YOY ขับเคลื่อนโดยธุรกิจรับซื้อและบริหารหนี้ ที่โต 7%YOY
พอร์ตลูกหนี้ที่ JMT ซื้อมาบริหารเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 534,864 ล้านบาท
ใน 9M2024 JMT ยังคงเก็บเงินสดได้ต่อเนื่อง และมีโอกาสทำได้สูงเท่ากับปี 2023
อัตราการเก็บหนี้เมื่อเทียบกับเงินลงทุนตามแบ่งตามปีที่ลงทุน
การตั้งสำรองหนี้เสีย (ECL) ปรับตัวดีขึ้นใน Q3/2024 ส่งผลให้กำไรใน Q3/2024 ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
กระแสเงินสดสำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดภายใน 1 ปี มาจากธุรกิจติดตามหนี้ที่คาดว่าจะติดตามหนี้ได้จำนวน 4.5 พันล้านบาท ใน Q4/2024 นอกจากนี้ยังมีพอร์ตกองทุนจำนวน 2.3 พันล้านบาท ฯลฯ
Bloomberg Default Probability ของ JMT ยังอยู่ในระดับ HEALTHY ที่ 0.28% และยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่น่ากังวล
📌 สนใจลงทุนหุ้นกู้ สามารถติดต่อที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้ หรือหากยังไม่เคยเปิดบัญชีหุ้นกู้ผ่าน Definit สามารถกรอกแบบฟอร์มรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่ https://www.finnomena.com/bond/
“ชมรมหุ้นกู้” รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลีนิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
🔔 พบกันทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Facebook และ Youtube ของ Finnomena
📌 Facebook Group ชมรมหุ้นกู้ https://www.facebook.com/groups/889975809457489/
🔴 รายการ ชมรมหุ้นกู้ ย้อนหลัง 👉 https://www.youtube.com/playlist?list=PLhZeb_wAvs-flbwxWxZGl0nY14jVSeDSG
วาเลนไทน์นี้ ใครว่าต้องมีคู่? ถึงโสดก็ไม่เศร้า เพราะเรามี “โพยหุ้นกู้ตลาดรอง” มาเสิร์ฟให้ถึงที่! ไม่ต้องกลัวเหงา แถมจ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 4.63% ให้หัวใจพองโต ใครอยากรู้ว่ามีหุ้นกู้ตัวไหนน่าสนใจบ้าง รีบมาเช็กด่วน ๆ ในบทความนี้เลย!
📌 สนใจลงทุนหุ้นกู้ สามารถติดต่อที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้ หรือหากยังไม่เคยเปิดบัญชีหุ้นกู้ผ่าน Definit สามารถกรอกแบบฟอร์มรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่ https://www.finnomena.com/bond/
“ชมรมหุ้นกู้” รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลีนิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
🔔 พบกันทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Facebook และ Youtube ของ Finnomena
📌 Facebook Group ชมรมหุ้นกู้ https://www.facebook.com/groups/889975809457489/
🔴 รายการ ชมรมหุ้นกู้ ย้อนหลัง 👉 https://www.youtube.com/playlist?list=PLhZeb_wAvs-flbwxWxZGl0nY14jVSeDSG
วันนี้ 14 กุมภาพันธ์ 2025 ดัชนี HSCEI หรือ หุ้นจีน H-Share ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% หลังจากความเชื่อมั่นในความสามารถด้าน AI ของจีนเพิ่มขึ้น จึงทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนปรับเพิ่มขึ้น นำโดย BYD +6.37% Xiaomi +6.0 Tencent +5.84% และ Alibaba +5.06%
การปรับตัวขึ้นในวันนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นักลงทุนที่ประเมินศักยภาพการเติบโตในกลุ่มเทคโนยีในจีนต่ำเกินไปให้หันกลับมาสนใจอีกครั้ง หลังจากการเปิดตัวของโมเดล DeepSeek ของจีน ซึ่งเป็น LLM ตัวใหม่ทั้งบน App Store และบนเว็บไซต์
แอปพลิเคชัน DeepSeek สามารถครองอันดับ 1 ในยอดดาวน์โหลดของสหรัฐฯ แซงหน้าคู่แข่งอย่าง ChatGPT โดย Deepseek ถูกขับเคลื่อนด้วยโมเดล Deepseek-V3 ซึ่งเป็นโมเดลแบบ Open Source โดยนักวิจัยของบริษัทเปิดเผยว่า การพัฒนาโมเดลนี้ใช้งบประมาณน้อยกว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าต่ำกว่างบประมาณที่คู่แข่งใช้ในการพัฒนา AI อย่างมาก อีกทั้ง Deepseek ยังมีราคาถูกกว่า ChatGPT ถึง 94%-98% ในขณะที่ Deepseek R1 มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ OpenAI o1 แต่มีต้นทุนการพัฒนาต่ำกว่ามาก
นอกจากนี้ ราคาหุ้นของ Alibaba ได้ปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นนับตั้งแต่ต้นปี โดยเพิ่มขึ้นกว่า 43% หลังจากที่ โจ ไซ ประธานกลุ่มบริษัท Alibaba ได้ประกาศยืนยันความร่วมมือกับ Apple ในการนำเทคโนโลยี AI ของ Alibaba มาพัฒนา iPhone สำหรับตลาดจีน
Finnomena Funds มองการปรับตัวขึ้นครั้งนี้เป็น Sentiment ระยะสั้น และต้องจับตาการพัฒนา AI ของจีน โดยแนะนำเป็นโอกาสลงทุนในระยะสั้น ตามคำแนะนำของ FundTalk Contrarian ในกองทุน MEGA10CHINA-A ซึ่งเน้นลงทุน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ H-Share
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมที่ฟื้นตัวบ้าง แต่ยังต้องใช้เวลาฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจีนในอนาคตระยะยาว ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มขึ้น
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Finnomena Funds แนะนำพอร์ตการลงทุนใหม่ ภายใต้ชื่อ Dynamic Contrarian Model Portfolio (DCM) พอร์ตลงทุนสไตล์ Contrarian คว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ วิเคราะห์แบบอ่านขาดด้วยกลยุทธ์หลักคือ ‘ย่อซื้อ ขึ้นขาย’ เน้นลงทุนในกองทุนรวมหุ้นรายประเทศ หรือกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ราคาปรับตัวลดลง หรือ กำลังกลับเข้าสู่ขาขึ้น รวมถึงใช้หลักการเดียวกันในการเข้าลงทุนตราสารหนี้ และหลักทรัพย์ทางเลือก
กลยุทธ์การลงทุนของ DCM จะเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมา โดยสินทรัพย์ที่จะเข้าซื้อจะต้องเป็นสินทรัพย์มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ราคาในระยะสั้นมีปรับตัวลดลง หรือปรับตัวขึ้นน้อยกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ มี Valuation ในระดับที่ถูก และมีการขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวขึ้น หรือ Valuation มีการตึงตัว และมีการควบคุมความเสี่ยงโดยรวมด้วยการรักษาวินัยในการตัดขาดทุน (Cut Loss) เป็นพอร์ตลงทุนที่มีการปรับพอร์ตรวดเร็ว Dynamic ตามสถานการณ์ มีการรักษาวินัยการลงทุน ทั้ง Take Profit และ Stop Loss เมื่อเห็นว่าภาพรวมของสินทรัพย์นั้น ๆ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ยาก
พอร์ตลงทุนนี้ตอบโจทย์นักลงทุนที่มีกรอบเวลาการลงทุนตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ชอบลงทุนในสไตล์ Contrarian รับความเสี่ยงได้สูง และมีความ Active ในการปรับพอร์ตลงทุนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยพอร์ตนี้จะคาดหวังผลตอบแทนที่ 8% ต่อปี (ไม่ใช่การการันตี) และมีการทบทวนสัดส่วนรายเดือนหรือตามสถานการณ์ มีเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกอยู่ที่ 2 ล้านบาท และครั้งถัดไปอยู่ที่ 25,000 บาท
ในปี 2024 ที่ผ่านมา Finnomena Funds ได้มีการออกคำแนะนำ FundTalk Call ซึ่งใช้แนวคิด “สวนกระแสตลาด” และออกคำแนะนำการลงทุนแบบ FundTalk the Contrarian Portfolio โดยนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดเป็นพอร์ตลงทุนให้กับนักลงทุนของ Finnomena สามารถลงทุนตามได้ด้วยตนเอง ผ่านแผนการลงทุน DIY โดยนับตั้งแต่เริ่มต้นคำแนะนำเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2024 จนถึงวันที่ 12 ธันวาคม 2024 FundTalk the Contrarian Portfolio มีผลตอบแทนอยู่ที่ 11.05%
อ่านมุมมองการลงทุน และสัดส่วนการลงทุนที่อัปเดตล่าสุด คลิกเลย
สนใจลงทุนในพอร์ต Dynamic Contrarian Model Portfolio คลิกเลย
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT
– ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่อไปได้ นำโดยสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ยุโรปและจีนอาจเจอแรงกดดันเรื่องสงครามการค้า และปัญหาภายใน เช่น อสังหาริมทรัพย์ ความมั่นใจของผู้บริโภค และความมั่นใจของนักลงทุน เงินเฟ้อทั่วโลกยังอยู่ในแนวโน้มขาลง โดยเฉพาะในส่วนของประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นขาลง โดยยุโรปอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้แรง และเร็วกว่าสหรัฐฯ
– เราปรับมุมมองหุ้นสหรัฐฯ จากเป็นกลาง (Neutral) ขึ้นสู่เชิงบวกเล็กน้อย (Slightly Positive) จากภาพรวมเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งกว่าคาด โดยเฉพาะภาคแรงงานและภาคการบริโภค ในขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลงในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า จึงทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2025 อีก 2 รอบ ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มประกาศออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯยังอยู่ในระดับตึงตัว เราจึงแนะนำ Selective Buy โดยเน้นไปที่หุ้นเล็ก หุ้นคุณภาพ หรืออุตสาหกรรมที่ยัง Laggard อย่างกองทุน ASP-USSMALL-A AFMOAT-HA
– เรามีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อย (Slightly Positive) ต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยแนะนำทยอยสะสมกองทุน B-INNOTECH และ TISCOAI การมาของ DeepSeek อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนการใช้งาน AI และทำให้การใช้งานขยายตัวมากขึ้น แต่หุ้นกลุ่ม AI ต้นน้ำอย่าง Semiconductor อาจเผชิญแรงกดดัน เนื่องจาก DeepSeek ไม่ต้องใช้ GPU ระดับสูง และแนวโน้มที่ชะลอตัวของกลุ่มนี้ ด้านกลุ่ม AI Platform และเจ้าของ Large Language Model (LLM) สามารถต่อยอดพัฒนาโมเดลใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจ cloud และ AI เติบโต ขณะที่กลุ่ม AI Apps และผู้ใช้งาน LLM จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ถูกลง และอาจพัฒนาโมเดลของตัวเองได้ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจาก AI
– เรายังคงมุมมองเชิงลบเล็กน้อย (Slightly Negative) ต่อหุ้นยุโรปโดยแนะนำทยอยลดสัดส่วน จากการที่เศรษฐกิจภายในยังอ่อนแอ โดยเฉพาะประเทศหลักอย่าง เยอรมันและฝรั่งเศส จึงอาจทำให้เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวช้าโดยเฉพาะภาคการผลิต ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทมีทิศทางทรงตัว สวนทางการดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นปรับขึ้นมาอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี
– เรายังคงมุมมองเชิงลบเล็กน้อย (Slightly Negative) ต่อหุ้นญี่ปุ่นแนะนำทยอยลดสัดส่วน จากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีโอกาสใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นในอนาคตจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีโอกาสแคบลงอาจทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นซึ่งจะส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นญุี่ปุ่น
– เราปรับมุมมองหุ้นจีนจากเชิงลบเล็กน้อย (Slightly Negative) ขึ้นสู่ระดับเป็นกลาง (Neutral) โดยแนะนำเก็งกำไรระยะสั้นผ่านกองทุน MEGA10CHINA-A แม้ภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะราคาบ้านยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่ปริมาณการทำธุรกรรมอสังหาฯ เริ่มฟื้นตัวขึ้นภายช่วง Golden week นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ได้แย่อย่างที่คาดหลังรายงาน GDP 4Q24 สูงกว่าคาด ด้านการปรับประมาณการกำไรตลาดหุ้นจีน H-shares มีทิศทางที่แข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นจีน A-shares ขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับถูก นอกจากนี้ยังมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า ETF หุ้นจีนต่อเนื่อง
– เราปรับคำแนะนำหุ้นอินเดียจากเชิงบวกเล็กน้อย (Slightly positive) ลงสู่ระดับเป็นกลาง (Neutral) โดยแนะนำถือหรือสัดส่วนกองทุน TISCOINA-A และ B-BHARATA หลังทิศทางเศรษฐกิจเริ่มสะดุดในช่วงสั้นๆ จากภาคการบริโภคและการเบิกจ่ายภาครัฐฯ ที่ชะลอลง แต่แนวโน้มระยะยาวเศรษฐกิจอินเดียยังมีศักยภาพเติบโตสูงเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นถูกปรับลงเนื่องจากกลุ่มธนาคารปล่อยสินเชื่อชะลอลงเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน อย่างไรก็ดี Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียเริ่มน่าสนใจมากขึ้น หลัง Valuation กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี
– คงมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อหุ้นเกาหลี โดยแนะนำถือกองทุน SCBKEQTG และ DAOL-KOREAEQ โดยความกังวลจากการเมืองในประเทศที่ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ภาคการส่งออกขยายตัวแต่ชะลอเพื่อเข้าสู๋ระดับปกติมากขึ้น นอกจากนี้มีรายงานระบุว่า Samsung ได้รับการอนุมัติจาก Nvidia ให้จัดหาชิป HBM3E แล้ว ในอนาคตผู้ผลิต memory chip จะได้อานิสงส์จากการประมวลผล Large Language Model (โมเดลภาษาขนาดใหญ่) ที่อาจมี memory requirement ที่เพิ่มสูงขึ้นไปอีก
– คงมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อตลาดหุ้นไทย แนะนำกลยุทธ์แบบ Selective โดยเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญอย่างภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังเน้นการฟื้นฟูภาคการบริโภค ท่าทีนโยบายการเงินยังเป็นกลาง และเน้นย้ำเรื่อง policy space เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต ด้านประมาณการกำไรตลาดหุ้นถูกปรับลงต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับถูกมาก Fund flow ยังไหลออกต่อเนื่องตามทิศทางหุ้น EM แต่เริ่มมีสัญญาณจาก market breadth บ่งชี้ถึงการรีบาวด์ระยะสั้น
– คงมุมมองเชิงบวกเล็กน้อย (Slightly Positive) ต่อหุ้นเวียดนาม โดยแนะนำทยอยสะสม ผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A และ KKP VGF-UI* รัฐบาลมีเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่ชัดเจน รวมถึงมีแผนดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในระยะสั้นทั้งการบริโภค การผลิต และการส่งออกมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นต่อเนื่อง แต่เวียดนามยังมีความท้าทายเรื่องมาตรการกัดกันทางการค้า นอกจากนี้รัฐบาลยังเน้นย้ำเป้าหมายการ upgrade ตลาดหุ้นเป็น Emerging Market ภายในปี 2025 ประมาณการกำไรของตลาดหุ้นยังทรงตัว ขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับถูก Fund flow ของตลาดหุ้นเริ่มกลับมาในช่วงสั้นๆ หลังจากไหลต่อเนื่องตามตลาดหุ้น EM
*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
จีนกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว เมื่อ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple (AAPL) และ BYD (81211) เดินหน้านำ AI จีนมาใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตนเอง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ AI ของจีนที่ไม่เพียงแข่งขันได้ แต่อาจกลายเป็นผู้นำโลกในอนาคต
Apple ตัดสินใจร่วมมือกับ Alibaba เพื่อนำ AI ไปใช้ใน iPhone ที่จะขายในจีน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ Apple สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศที่มีการแข่งขันด้าน AI สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย Joe Tsai ประธาน Alibaba Group กล่าวในงาน World Governments Summit ที่ดูไบว่า
Apple ต้องการใช้ AI ของเราเพื่อเสริมพลังให้กับ iPhone
การจับมือกันครั้งนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Alibaba และ Apple พุ่งขึ้นทันที โดยหุ้น Alibaba ที่จดทะเบียนในฮ่องกงแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2022 โดยทำผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) มากกว่า 40%
ขณะที่ Huawei และแบรนด์สมาร์ทโฟนจีนอื่น ๆ เริ่มเปิดตัวฟีเจอร์ AI ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ Apple กลับมีความล่าช้าในการเปิดตัว Apple Intelligence ในจีน เนื่องจากเผชิญข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ ซึ่งการเป็นพันธมิตรกับ Alibaba อาจช่วยให้ Apple สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐบาลจีนได้ง่ายขึ้น
ขณะที่ AI กำลังถูกนำไปใช้ในสมาร์ทโฟน BYD ก็กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์จีนด้วย AI ขับขี่อัตโนมัติ โดยจับมือกับ DeepSeek บริษัท AI ชั้นนำของจีนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ “God’s Eye” ซึ่งจะถูกติดตั้งในรถทุกระดับ ตั้งแต่รุ่นหรู YangWang ไปจนถึงรถราคาประหยัด
โดยระบบ God’s Eye จะใช้สถาปัตยกรรม Xuanji ซึ่งรวมชิปประมวลผล AI บนรถ, AI บนคลาวด์ และเซ็นเซอร์ขั้นสูงเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบขับขี่อัตโนมัติ
ในทางกลับกัน Tesla (TSLA) กำลังเผชิญอุปสรรคด้านกฎระเบียบในจีน โดย Elon Musk ยอมรับว่า Tesla ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดใช้งานระบบ Full Self-Driving (FSD) ในจีน เนื่องจากข้อจำกัดในการถ่ายโอนข้อมูลวิดีโอออกนอกประเทศ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่อนุญาตให้ทำการฝึก AI ในจีน ทำให้ Tesla ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
การที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ BYD เดินหน้านำ AI จีนมาใช้งานในอุตสาหกรรมของตนเอง ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงศักยภาพของจีนในการแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก แต่ยังเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มรูปแบบ และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจจีนในยุคถัดไป
ไม่ว่าการแข่งขัน AI จะลงเอยอย่างไร แต่แนวโน้มที่ชัดเจนคือ AI จะเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้ และบริษัทที่ปรับตัวได้เร็วอาจกลายเป็นผู้นำในโลกยุค AI ที่กำลังจะมาถึง
กองทุน MEGA10CHINA-A เป็นกองทุนหุ้นจีน 10 ตัวใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งรวมเอาหุ้น Big Tech จีนมาไว้ด้วยกัน และส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทเทคโนโลยีแนวหน้า เช่น Tencent, Alibaba, Meituan, NetEase และ JD เป็นต้น โดยคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากกระแส AI Boom ในจีน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ AI ในสหรัฐฯ
อ้างอิง: CNBC, Yahoo Finance
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ตลาดหุ้นยุโรปทำระดับสูงสุดตลอดกาลได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ แม้จะยังคงมีความท้าทายเกี่ยวกับข้อมูลเงินเฟ้อและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็ตาม
แรงหนุนสำคัญของหุ้นยุโรปมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทบางแห่ง เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นอาหารและเครื่องดื่ม
ทำให้ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (YTD as of 13/02/2025) EURO STOXX 50 ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 10.72%
Source: Finnomena Funds as of 03/02/2025
อย่างไรก็ตาม Finnomena Funds ยังคงมีมุมมอง Slightly Negative และแนะนำให้ทยอยลดสัดส่วนในหุ้นยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ยังมีโอกาสได้รับผลกระทบจากกําแพงภาษี ขณะเดียวกัน ECB เจอความท้าทายเรื่องการลดดอกเบี้ยต่อหรือค้างดอกเบี้ย
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา วงการเทคโนโลยีและการลงทุนทั่วโลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงสำคัญ เมื่อ DeepSeek สตาร์ทอัพจากจีนเปิดตัวโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ ส่งผลให้เกิดการประเมินมูลค่า (Revaluation) หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกครั้งใหญ่
หุ้นเทคในสหรัฐฯ มี่ทั้งปรับตัวขึ้นและลง แต่หนักที่สุด คือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Nvidia ที่มูลค่าตลาดลดลงถึง 17% ในวันเดียว คิดเป็นมูลค่ากว่า 5.9 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าหุ้นไทยทั้งตลาด เป็นบทเรียนแรกที่นักลงทุนไทย ต้องทำความเข้าใจในปี 2025
เรื่องที่ต้องรู้คือ AI เปลี่ยนโลกแน่ แต่การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เป็นเส้นตรง หรือโค้งขึ้น Exponential เหมือนที่ผู้นำในอุตสาหกรรมมักบอกกับเรา
เรื่องเล่าที่เราได้ยินแทบทุกวันคือ AI จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ดังนั้นใครที่มีเครื่องมือ AI ประสิทธิภาพสูงกว่าจะยิ่งได้เปรียบกว่า
คุณ Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft เคยเล่าเพิ่มไปอีกว่า AI จะก่อให้เกิด Jevons Paradox ในอุตสาหกรรมเทคฯ แปลเป็นความหมายที่เข้าใจง่ายได้ว่า แม้เทคโนโลยีทำให้มนุษย์ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ท้ายที่สุด ความต้องการเทคโนโลยีจะสูงมาก จนส่งผลให้ปริมาณความต้องการทรัพยากรโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าที่จะลดลง
แต่ DeepSeek ลบเรื่องเล่าทั้งสองอย่างรวดเร็ว ด้วยการแสดงให้เห็นว่า การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการพัฒนา AI อาจไม่ต้องการทรัพยากรที่สูงขึ้นเสมอไป
ต่อจากนี้ บริษัทผู้นำด้าน AI จึงจะต้องพิจารณาแนวทางใหม่ในการพัฒนาด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะเน้นทุ่มเงินลงทุน และหวังเพียงผลลัพธ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้น
ประเด็นต่อมาคือ DeepSeek เปลี่ยนธุรกิจ AI และทำให้ตลาดต้องปรับแนวคิดใหม่
ผมเคยให้มุมมองเชิงกลยุทธ์สำหรับการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีไว้ว่า
เงินลงทุนจะเริ่มจากการกระจุกตัวใน Pioneers (นักบุกเบิก) ต่อจากนั้นจะเคลื่อนตัวไปยัง Enablers (ผู้เปิดทาง) ก่อนที่จะกระจายตัวไปสู่ Adaptors (นักประยุกต์) และท้ายที่สุดผู้ที่จะทำกำไรต่อขนาดมากที่สุดจะเป็น Performers หรือนักสร้างสรรค์
แต่ปี 2024 เป็นปีที่ตลาดวนเวียนอยู่กับนักบุกเบิกเช่น Nvidia และ OpenAI และผู้เปิดทางยักษ์ใหญ่กลุ่ม Magnificent 7 เป็นหลัก
ส่วนตัวผมมองว่า ต่อให้มีบริษัทเทคฯ ขนาดเล็กในสหรัฐที่ทำประสิทธิภาพได้ดีเหมือน DeepSeek ตลาดก็อาจไม่ถึงกับเคลื่อนตัวไปสู่นักประยุกต์หรือนักสร้างสรรค์ได้
แต่ DeepSeek ไม่ใช่แค่การพัฒนา หรือแค่ประสิทธิภาพ แต่เป็น “AI จากจีน” ที่ตลาดมองเป็นคู่แข่งหลัก จึงจุดชนวนให้ตลาดตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ จนเกิดการเปลี่ยนกลุ่มการลงทุนทันที
ผมมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นจังหวะแผ่นดินไหว ทำให้เปลือกโลก AI เคลื่อนตัวไปอย่างไม่ย้อนกลับและต่อจากนี้
Pioneers จะไม่สามารถตั้งราคาบริการแพงผิดปรกติได้อีก
Enablers จะไม่สามารถลงทุนมหาศาลโดยไม่สนใจการทำกำไรได้
Adaptors จะมีทางเลือกมากขึ้น และจะยิ่งเห็นตลาดที่เปิดกว้างมากขึ้น
ส่วน Performers จะเกิดขึ้นในอัตราเร่งขึ้น สวนทางกับค่าบริการ AI ลดลง
ท้ายที่สุด ปี 2025 อาจถึงเวลาแล้วที่สิ่งสำคัญของการลงทุนจะเปลี่ยนจาก Growth At Any Cost ไปสู่ Growth At Reasonable Price
ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ม.ค. กลุ่มที่ทำผลตอบแทนแย่ที่สุดคือ หุ้นสหรัฐ Semiconductor และ Energy Infrastructure ส่วนกลุ่มที่ผลตอบแทนดีประกอบด้วย หุ้นยุโรป Communication และ Healthcare
เห็นได้ชัดว่าตลาดขายทำกำไรกลุ่มเติบโต (Growth) และกระจายตัวไปหาหุ้นปลอดภัย สายคุณค่า (Value)
อย่างไรก็ดี ผมมองว่า DeepSeek ไม่ใช่เหตุการณ์ที่สามารถตีความได้ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะกลับทิศ ในทางตรงข้าม ผมกลับมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ตลาดเริ่มต้นปีด้วยการใช้เหตุผลและ Valuation ในการตัดสินใจมากขึ้น
เช่นในกรณีของ Nvidia ผมเชื่อว่าการ Sell-off จะไม่เกิดขึ้นแรงขนาดนี้ ถ้าหุ้นไม่ได้ซื้อขายกันบนระดับราคาต่อยอดขาย (P/S) ที่สูงกว่า 20 เท่า หมายความว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงินซื้อหุ้นของ Nvidia ด้วยราคาที่เท่ากับยอดขายในอนาคต 20 ปีแบบไม่มีต้นทุน ในอดีตไม่มีบริษัทไหนสามารถรักษาระดับราคาสูงแบบนี้ได้ในระยะยาว
ขณะเวลาเดียวกัน เราก็เห็นบริษัทเทคฯ ใหญ่อย่าง Meta ที่วางตัวกว้าง ๆ เป็นทั้ง ผู้เปิดทาง นักประยุกต์ และนักสร้างสรรค์ ด้าน AI ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด แม้ Meta จะลงทุนสูงไม่ต่างจากเพื่อนในกลุ่ม Magnificent 7 แต่ด้วยกลยุทธ์การสร้างธุรกิจที่หลากหลายทำให้มี P/S เริ่มต้นที่ต่ำเพียง 9.5 เท่า เป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้กลายเป็นคำตอบ “ถูกทุกข้อ” ที่มักเป็นเป้าหมายของนักลงทุนในช่วงที่มุมมองของตลาดกำลังเปลี่ยนแปลง
DeepSeek เป็นบทเรียนแรกของปีที่กำลังบอกเราว่า การแข่งขันด้านเทคโนโลยียังไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง การแข่งขันจะยิ่งร้อนแรงขึ้น การกระจุกตัวของตลาดจะเปลี่ยนจากโอกาสเป็นความท้าทาย และการประเมินมูลค่าของบริษัทยังมีความสำคัญ
แม้ว่าธุรกิจดีแค่ไหน แต่ระดับราคาสูงเกินไป ก็อาจไม่ใช่การลงทุนที่ดีได้เหมือนกันครับ
ราคาหุ้น Nvidia ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านช่วงเหตุการณ์ DeepSeek
ที่มา: Bloomberg และ FSS
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
กลยุทธ์การลงทุนแบบโมเมนตัม (Momentum Investing) เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานดีเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์อื่น ๆ (ผู้ชนะ) โดยมีแนวโน้มที่จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีต่อไป และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานไม่ดีเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์อื่น ๆ (ผู้แพ้) โดยมีแนวโน้มที่จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีต่อไป
ยกตัวอย่าง
ช่วง 90 วัน
Price Change ของ หุ้น A คือ 15%
Price Change ของ หุ้น B คือ 20%
Price Change ของ หุ้น C คือ -20%
Momentum ของหุ้น B เป็นผู้ชนะ
ส่วนของ C คือผู้แพ้
=================================
กลยุทธ์นี้มีลักษณะเฉพาะตัวที่อาจเหมาะสมกับนักลงทุนบางประเภทมากกว่านักลงทุนอื่น ๆ
1.1 นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง:
เนื่องจากกลยุทธ์โมเมนตัมมีความผันผวนสูงกว่ากลยุทธ์อื่น ๆ และอาจมีช่วงเวลาที่ขาดทุนอย่างมากดังนั้น นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์นี้ควรมีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้สูง และไม่รู้สึกกังวลมากเกินไปเมื่อพอร์ตการลงทุนมีมูลค่าลดลงในระยะสั้น
1.2 นักลงทุนที่มองการลงทุนในระยะยาว:
แม้ว่ากลยุทธ์โมเมนตัมอาจมีความผันผวนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว กลยุทธ์นี้มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ดังนั้น นักลงทุนที่มองการลงทุนในระยะยาว และไม่ต้องการที่จะซื้อขายบ่อย ๆ อาจเหมาะสมกับกลยุทธ์นี้มากกว่านักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนอย่างรวดเร็ว
1.3 นักลงทุนที่เข้าใจกลยุทธ์และปัจจัยพื้นฐาน:
นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์โมเมนตัมควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานของกลยุทธ์นี้ รวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่อาจมีผลต่อผลตอบแทนนอกจากนี้ ควรมีความเข้าใจว่าทำไมกลยุทธ์นี้อาจมีช่วงเวลาที่ขาดทุน และไม่ควรตื่นตระหนกเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
1.4 นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด:
กลยุทธ์โมเมนตัมมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดในระยะยาว ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น อาจพิจารณาใช้กลยุทธ์นี้ได้
1.5 นักลงทุนที่สามารถปรับตัวและมีวินัย:
กลยุทธ์โมเมนตัมต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนตามผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์ ดังนั้น นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์นี้ควรมีความสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์ และมีวินัยในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่วางไว้โดยสรุปแล้ว กลยุทธ์การลงทุนแบบโมเมนตัม อาจเหมาะสมกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง มีความเข้าใจในกลยุทธ์ และต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดในระยะยาว
กลยุทธ์การลงทุนแบบโมเมนตัม (Momentum Investing) และกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) เป็นสองกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมในการลงทุนซึ่งแต่ละกลยุทธ์มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
2.1) ผลตอบแทน:
Momentum ที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าทั้งกลยุทธ์เน้นคุณค่าและกลยุทธ์ขนาด (size) ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนของโมเมนตัมสูงกว่าเมื่อเทียบกับกลยุทธ์เน้นคุณค่าเน้นคุณค่า มีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวเช่นกัน
แต่โดยทั่วไปแล้ว ผลตอบแทนเฉลี่ยจะต่ำกว่ากลยุทธ์โมเมนตัมจากภาพเป็นหุ้น USA โดยแยกแต่ละ Factor จะเห็นได้ว่าตลอด 15 ปีที่ผ่านมา Factor แบบคุณภาพให้ผลตอบแทนดีที่สุด
รองลงมาคือ Momentum โดยความสัมพันธ์ของคุณภาพและ momentum มีความสัมพันธ์ไปทิศด้วยกันอย่างมากแต่ Factor แบบเน้นคุณค่าผลตอบแทนจะสู้ Momentum ไม่ได้
2.2) ความผันผวน:
Momentum : มีความผันผวนสูงกว่ากลยุทธ์เน้นคุณค่า และอาจมีช่วงเวลาที่ขาดทุนอย่างมากมีแนวโน้มที่จะเกิด “momentum crashes” ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังตลาดหมีและตามด้วยการฟื้นตัวของตลาดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์โมเมนตัมยังมี Sharpe ratio ที่ดีกว่ากลยุทธ์เน้นคุณค่า
Value : มีความผันผวนต่ำกว่ากลยุทธ์โมเมนตัม แต่ก็อาจมีช่วงเวลาที่ผลตอบแทนต่ำหรือขาดทุนได้เช่นกัน
2.3) ความสม่ำเสมอของผลตอบแทน:
Momentum: มีความสม่ำเสมอของผลตอบแทนในระยะสั้น (1 ปี) สูงกว่ากลยุทธ์เน้นคุณค่าแต่ในระยะยาว (5 ปี) อาจมีความสม่ำเสมอต่ำกว่า
Value : มีความสม่ำเสมอของผลตอบแทนในระยะยาว (5 ปี) สูงกว่ากลยุทธ์โมเมนตัม
2.4) การซื้อขาย:
Momentum มีอัตราการหมุนเวียนของพอร์ตสูงกว่ากลยุทธ์เน้นคุณค่า ซึ่งอาจส่งผลให้มีต้นทุนการซื้อขายที่สูงกว่าอย่างไรก็ตาม การศึกษาพบว่า ต้นทุนการซื้อขายของโมเมนตัมไม่ได้สูงจนเกินไป และยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย
Value : มีอัตราการหมุนเวียนของพอร์ตต่ำกว่า
ซึ่งอาจทำให้มีต้นทุนการซื้อขายที่ต่ำกว่า แต่กลยุทธ์เน้นคุณค่ามีความเสี่ยงด้านภาษีจากเงินปันผลมากกว่า
2.4) ความสัมพันธ์:
กลยุทธ์โมเมนตัมและกลยุทธ์เน้นคุณค่ามีความสัมพันธ์กันในเชิงลบ การรวมกลยุทธ์ทั้งสองนี้เข้าด้วยกันสามารถช่วยลดความผันผวนและเพิ่ม ความเสถียรภาพของพอร์ตการลงทุนได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน
2.5) ความเหมาะสม:
Momentum: อาจเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง มีความเข้าใจในกลยุทธ์ และต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดในระยะยาว
Value: อาจเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความเสถียรภาพและเน้นการลงทุนในระยะยาว
โดยสรุป:
สนใจลงทุน Global Aggressive Hybrid Portfolio สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/guruport-hyb
WealthGuru
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
สัปดาห์นี้มีตัวชี้วัดที่น่าจับตามองอย่างมาก คือตัวของ Core CPI และ Core PPI ซึ่งบ่งบอกในฝั่งของอัตราเงินเฟ้อที่กดไม่ลง ส่งผลตลาดคาดการณ์ในปี 2025 จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 เหลือเพียงครั้งเดียวจาก 2 ครั้ง สำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ช่วงนี้ควรให้ความสำคัญในการเฝ้าดูตลาดอย่างใกล้ชิด และรอเวลาในการทำธุรกรรมในช่วงเวลาถัดไป
Core CPI หรือ Core Consumer Price Index จะสามารถใช้ชื่อเรียกอีกอย่างได้คือ Core Inflation Rate หรือแปลว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ที่หักสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานออก เนื่องจากเป็นหมวดที่มีความเคลื่อนไหวขึ้นลงตามฤดูกาล และอยู่นอกเหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน เหลือแต่รายการสินค้าที่ราคาเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core CPI MoM มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 0.2% เป็น 0.3%
การคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของ Core CPI MoM เป็นการแสดงให้เห็นถึงอัตราเงินเฟ้อที่กดลงไม่ลง ทำให้ตลาดการลงทุนนั้นมีการชะลอตัว และนักลงทุนเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าในการลงทุน
Core PPI หรือ Core Producer Price Index คือ จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาขายสำหรับสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตได้ขายโดยที่ไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน ดัชนีราคาผู้ผลิตจะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาจากมุมองของผู้ขาย เมื่อผู้ผลิตมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับการผลิตสินค้าและบริการนั้นก็น่าจะเป็นไปได้มากว่าผู้ผลิตจะให้ผู้บริโภคแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นแทน ดังนั้นดัชนีราคาผู้ผลิตนี้จึงเชื่อว่าเป็นดัชนีสำคัญที่จะชี้วัดภาวะเงินเฟ้อของผู้บริโภค
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core PPI MoM มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 0.1%
การคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของ Core PPI MoM มีผลกระทบคล้ายคลึงกับ Core CPI โดยที่ส่วนใหญ่แล้ว อัตราเงินเฟ้อที่กดไม่ลงจะส่งผลเสียต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องด้วยการที่นักลงทุนต่างต้องการให้ FED ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนในฝั่งของสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
Core Retail Sales หรือ ดัชนียอดค้าปลีก เป็นการวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายอดขายทั้งหมดในระดับการค้าปลีก ซึ่งเป็นดัชนีที่สำคัญมากที่สุดที่บ่งชี้ถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นส่วนสำคัญมากที่สุดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม สำหรับ Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Core Retail Sales MoM มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 0.3% เป็น 0.2%
การคาดการณ์การลดตัวลงของ Core Retail Sales แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงโดยส่วนใหญ่มากจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจที่ลดตัวลงอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม Core Retail Sales ไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงต่อสินทรัพย์ดิจิทัล
Credit from LayerGG
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
10 กุมภาพันธ์
11 กุมภาพันธ์
12 กุมภาพันธ์
13 กุมภาพันธ์
14 กุมภาพันธ์
Source : https://www.coinglass.com/FundingRateHeatMap
ในส่วนของ Funding Rate สำหรับอาทิตย์นี้มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย และ Altcoins บางเหรียญตัวเริ่มกลับมาบวกหลังจาก ติดลบครั้งก่อน ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพตลาดที่ Risk off สืบเนื่องจากสงครามการค้าและความกังวลของนักลงทุน
Source : https://www.coinglass.com/BitcoinOpenInterest
ในฝั่งของ Bitcoin Futures Open Interest หลังจากการล้าง Liquidation ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกถึงการเปิดความเสี่ยงของนักลงทุนที่ทะยอยเพิ่มขึ้นมา แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่น้อย สามารถตีความได้ว่า นักลงทุนอาจเฝ้ารอปัจจัยบางอย่างเพื่อความแน่ชัด ก่อนที่จะกลับมาเปิดความเสี่ยงอีกครั้ง
Source : https://farside.co.uk/?p=997
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิ 238.8 ล้านเหรียญ นับว่าเป็นสัปดาห์ที่มี Inflow ปานกลาง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวล และ Risk off ต่อสินทรัพย์เสี่ยง หลังมีสงครามการค้าและการโต้กลับของจีน ซึ่งคาดว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
Source : https://farside.co.uk/?p=1518
ในส่วนของ Ethereum ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสเงินไหลออกสุทธิที่ 420.3 ล้านเหรียญ แสดงถึงแนวโน้มเชิงบวกต่อ Ethereum หลังจากการที่ World Liberty Financial และ Blackrock ได้ซื้อ ETH ในจำนวนมาก
ตลาดกระทิง (Bull Market) มักมีลักษณะการถ่ายโอนสินทรัพย์จากนักลงทุนระยะยาวไปสู่นักลงทุนรายใหม่ ซึ่งมักจะเป็นนักลงทุนที่เป็นเก็งกำไรมากกว่า โดยที่ นักลงทุนเก็งกำไรเหล่านี้มักจะเป็นนักลงทุนรายย่อยที่ถูกดึงดูดด้วยราคาสินทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้นและโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว โดยประเมินจาก (Hot Realized Cap) ซึ่งเป็นการประเมินมูลค่าทุนที่ถือครองโดยบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวในช่วง 7 วันที่ผ่านมา
ในช่วงที่ราคา Bitcoin พุ่งแตะจุดสูงสุดที่ $100,000 นักลงทุนกลุ่มใหม่ถือครองทุนในเครือข่าย Bitcoin มูลค่ารวม $99.6 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 13.7% ของมูลค่าเครือข่ายทั้งหมด ในขณะที่รอบก่อนนั้น นักลงทุนใหม่ถือครองอยู่ที่ $45.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 22.5% ของเครือข่าย โดยการเพิ่มขึ้นของตัวชี้วัด Hot Realized Cap นี้แสดงถึงความต้องการในตลาดที่เพิ่มขึ้นและการกลับเข้ามาของนักลงทุนรายย่อย พร้อมทั้งบ่งบอกถึงโอกาสในการเติบโตที่ยังมีอยู่ในตลาด
เป็นครั้งแรกที่ Solana มีนักลงทุนรายย่อยถือครองสูงกว่า Ethereum เป็นครั้งแรก สะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับการไหลเข้าของทุนใหม่ที่แซงหน้า Ethereum แสดงถึงความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาด
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามีการไหลเข้าของทุนที่ใช้งานมากกว่าใน Solana เมื่อเทียบกับ Ethereum ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า โดยกระแสเงินทุนที่เข้ามาใน Solana เริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2023 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้อัตราส่วน SOL/ETH มีแนวโน้มสูงขึ้น
Solana มีความโดดเด่นในด้านเครือข่ายที่สูง โดยจำนวนของ Active addresses, ปริมาณการโอน,และค่าธรรมเนียมทั้งหมดสูงกว่าบล็อกเชนอื่น ๆ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 เป็นต้นมา จำนวนที่อยู่ที่ใช้งานในเครือข่าย Solana ได้แซงหน้า Bitcoin และ Ethereum โดย Solana มีผู้ใช้งานรายวันถึง 12.3 ล้านที่อยู่ มากกว่าของ Bitcoin 16.2 เท่า และ Ethereum 24.6 เท่า ซึ่งบ่งบอกถึงความสนใจและความต้องการที่เพิ่มขึ้น
by Cryptomind Advisory
$BTC ยังอยู่ในรูปแบบ Sideway Down ในตอนนี้ โดยจุดที่น่าสนใจคือการปรับฐานของ $BTC หากราคานั้นสามารถยก Low ได้โดยมาอยู่บริเวณ $96,000 ก็มีโอกาสที่การเคลื่อนที่จะออกเป็นรูป Ascending Triangle โดยมีแนวต้านสำคัญบริเวณ $108,000 ซึ่งก็จะเป็นมุมมองที่ Bullish กับราคาว่าจะขึ้นต่อได้ อย่างไรก็ตามการเกิด Pattern ชุดสะสมดังกล่าวไม่ได้แปลว่า Breakout ด้านบนอย่างเดียว ก็ยังมีโอกาส Breakout ข้างล่างได้เช่นกัน
แนวต้าน : $100,000 | $108,000 | $120,000
แนวรับ : $96,000 | $91,500 | $84,000
$ETH นั้นยังมีการปรับตัวลงหลังจากหลุดจากกรอบ Falling Wedge ในระยะสั้นราคานั้นยังไม่มีรูปแบบกลับตัว หรือสัญญาณการกลับตัวใน RSI เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม RSI Timeframe 1D ก็ได้เข้าไปอยู่ในโซน Oversold แล้วซึ่งก็อาจมีการกลับตัวของราคาในบริเวณนี้เกิดขึ้นได้ สำหรับแนวรับสำคัญจะอยู่ที่บริเวณ $2,400
แนวต้าน : $2,870 | $3,350 | $3,700
แนวรับ : $2,400 | $2,200 | $1,870
by Cryptomind Advisory
Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% ผนวกกับการมาของ Ethereum และ Bitcoin spot ETF / Options และมุมมองเชิงบวกมากๆต่อตลาดคริปโทโดยโดนัล ทรัมป์ และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้และสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังไม่สู้ดีนัก จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดีรับสัญญาณของ Altcoins season และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 50%
SELECTIVE LARGE MARKET CAP 30%
SELECTIVE SMALL-MID MARKET CAP ALTCOINS 10%
STABLECOINS 10%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-10-14-February-2025
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
ข้อมูลจาก Morningstar as of 31/01/2025
Performance as 31 มกราคม 2025 ได้ที่ระดับ 3.3% โดยในภาพเปรียบกับ peer ของกลุ่มคือ Aggressive Allocation โดยกองทุนที่เลือกมาเป็น Morningstar 5 ดาวในแต่ละ บลจ.
ข้อมูลจาก WealthGuru as of 10/02/2025
จากกลยุทธ์ Stay Defensive Stay Value Stay Hedged ตอนที่ปรับพอร์ตไป ตอนเดือนธันวาคม 2024 จะเห็นได้ว่ากองทุนที่เป็น Defensive และ Value จะทำได้ดีกว่ากองทุนแบบ Growth ในขณะเดียวกันกองทุนที่เอาไว้ Hedge ก็ทำงานดีในการกระจายความเสี่ยง
ข้อมูลจาก Seeking Alpha as of 4/02/2025
จาก Global Sector Performance จะเห็นได้ว่า Value Sector แบบ Basic Materials, Industrials และ Financial Services และ Defensive Sector จะทำผลงานเหนือกว่า Growth Sector แบบ Technology
ข้อมูลจาก WealthGuru as of 10/02/2025
สัดส่วนการลงทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคง Stay Defensive Stay Value Stay Hedged ต่อไป
Global Aggressive Hybrid Portfolio พอร์ตการลงทุนที่ผสมผสานกองทุนแบบ Active และ Passive กระจายลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/guruport-hyb
บทความโดย WealthGuru สำหรับพอร์ต Global Aggressive Hybrid ที่ Finnomena Funds เท่านั้น ข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทําให้ผู้ลงทุน ขาดทุนหรือได้รับกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | บางกองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ในปี 2025 สหรัฐฯ มีหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจเปลี่ยนทิศทางของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
นั่นก็คือหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 36.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 120% ของ GDP ซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯ มีหนี้มากกว่าขนาดเศรษฐกิจของตัวเอง
แต่ที่น่าสนใจมากกว่าคือข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าในปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีหนี้ครบกำหนด 9.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 25% ของหนี้ทั้งหมด ซึ่งถือว่าสูงมาก และอาจเป็นปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield)
คำถามก็คือ จะทำอย่างไรกับหนี้ดังกล่าว เมื่อสหรัฐฯ มีหนี้มากกว่ารายได้ถึง 120%
สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องทำก็คือการ “รีไฟแนนซ์” ด้วยการออกพันธบัตรใหม่ แต่นั่นก็คือความเสี่ยง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน “แพง” กว่าในอดีต
ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตรที่ออกในปี 2020 มีอัตราผลตอบแทน 10 ปี อยู่ที่ 0.6% แต่หากพันธบัตรดังกล่าวต้องรีไฟแนนซ์ในปี 2025 อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ซึ่งหมายถึงต้นทุนหนี้ของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นมากถึง 3.8%
ด้วยปริมาณหนี้ที่สูงและภาระหนี้ที่แพงขึ้น ทำให้ Scott Bessent รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ระบุว่า สิ่งที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการจริง ๆ ก็คือการลด Bond Yield อายุ 10 ปี เพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถ “รีไฟแนนซ์” หนี้จำนวนมหาศาลได้โดยมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง
การที่สหรัฐฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ เพราะการออกพันธบัตรจำนวนมากเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้ อาจทำให้ธนาคารกลางหรือรัฐบาลต่างประเทศไม่สนใจซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เหมือนเดิม
โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เดินหน้าทำ Trade War เพื่อลดการขาดดุลการค้า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจึงอาจมีความต้องการถือเงินดอลลาร์น้อยลงไปด้วย
ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมราคาทองคำจึงปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้
หลายสถาบันการเงิน เช่น Goldman Sachs และ Bank of America เตือนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มี Valuation สูงเกินไป โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ซึ่งมีมูลค่าพุ่งขึ้นมหาศาลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณอย่างการที่ Warren Buffett ขายหุ้นและถือเงินสดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ Howard Marks ตำนานนักลงทุน VI ก็ออกมาเตือนสัญญาณฟองสบู่ ด้าน Ray Dalio นักลงทุนที่เน้นการวิเคราะห์เศรษฐกิจก็ออกมาบอกว่าตอนนี้ Valuation หุ้นแพงเกินไป
เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะเห็นวิกฤตฟองสบู่หลายครั้งมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือการพุ่งขึ้นสูงก่อนที่ฟองสบู่จะแตก เช่น
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ได้เติบโตถึง 30 เท่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และล่าสุดก็มีสัญญาณที่น่าสนใจจากกรณีของ DeepSeek ที่สามารถพัฒนา AI ด้วยงบประมาณเพียง 6 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 200 ล้านบาท)
ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนา AI ที่มีประสิทธิภาพอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลอีกต่อไป ปัจจัยนี้อาจส่งผลให้บริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ต้องทบทวนและปรับลดการลงทุนด้าน AI ในอนาคต
สหรัฐฯ กำลังเผชิญความท้าทายในการจัดการหนี้สาธารณะที่ครบกำหนดในปี 2025 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 9.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 25% ของหนี้ทั้งหมด ในสถานการณ์นี้รัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องลด Bond Yield ลงเพื่อควบคุมต้นทุนการรีไฟแนนซ์
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นก็มีความเสี่ยงจาก Valuation ที่สูงเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่ม Magnificent 7 ที่เติบโตถึง 30 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหันไปมองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “กองทุนตราสารหนี้โลก” มากขึ้น เนื่องจากสามารถซื้อพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูงในปัจจุบัน และมีโอกาสทำกำไรจากราคาพันธบัตรที่อาจปรับตัวสูงขึ้น หากผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีลดลงอย่างที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการ
อ้างอิง: Mr.Messenger Talk Podcast
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สำหรับการประชุมนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ในเดือนมกราคม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คงดอกเบี้ยตามที่ตลาดและเราคาดการณ์ โดย Fed ให้มุมมองในเชิงผสมและดูเหมือนจะมีสัญญาณเชิง Dovish ว่า Fed ยังต้องการลดดอกเบี้ยต่อหลังจากนี้ แต่อาจต้องปรับหาจังหวะใหม่จากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ โดยในเดือนมกราคมหลังการเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงแรกรัฐบาลใหม่ยังเน้นการประกาศคำสั่งผู้บริหารเพื่อผ่อนคลายกฎระเบียบทางธุรกิจ ยกเลิกกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และเข้มงวดประเด็นผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นหลัก โดยยังไม่มีการตั้งกำแพงภาษีประเทศอื่น อย่างไรก็ตามเรายังมีมุมมองว่า Fed อาจเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อรอดูนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ควบคู่กับข้อมูลเงินเฟ้อ แรงงาน เศรษฐกิจสหรัฐฯไปด้วย โดยเรามองว่ามีโอกาสที่ครึ่งปีหลังหากทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีประเทศต่างๆไม่มากอย่างที่กังวล
ในฝั่งของตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวได้อย่างร้อนแรงโดยได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลาง ECB ร่วมกับผลประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่สดใส ขณะที่นักลงทุนชะลอความกังวลจากการตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯชั่วคราวเนื่องจาก ปธน. ทรัมป์ ยังไม่ได้กล่าวโจมตีฝั่งของประเทศยุโรปมากนัก และทำให้หุ้นยานยนต์ในเยอรมนีฟื้นตัวได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตามเรายังคงกังวลประเด็นการเมืองทั้งในประเทศยุโรปเองและการเมืองระหว่างประเทศกับสหรัฐฯและจีนที่อาจเข้ามากดดันได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ดีปัจจัยสนับสนุนของหุ้นยุโรปคือการลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง ต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ดัชนีเศรษฐกิจล่วงหน้าเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ราคาหุ้นไม่ได้สูงมากนัก เรามองว่านักลงทุนสามารถกลับมาสะสมหุ้นยุโรปติดไว้ในพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงได้ในสัดส่วนที่ไม่มากนัก
ภูมิภาคเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่แม้ว่ายักษ์ใหญ่อย่างจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP 5%ในปี 2024 ก็ตาม แต่นักลงทุนยังกังวลว่าการชนะเป้าหมายเกิดจากการเร่งส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯและประเทศอื่นๆก่อนโดนตั้งกำแพงภาษีกับสหรัฐฯ ขณะที่การบริโภคภายในประเทศยังคงอ่อนแอ โดยระหว่างเดือนตลาดฟื้นตัวเป็นระยะหลังทรัมป์เริ่มต้นรัฐบาลใหม่โดยยังไม่ได้พุ่งเป้าโจมตีจีนเป็นประเทศแรกๆอย่างที่ตลาดกังวล ทำให้นักลงทุนต่างชาติซึ่งซื้อขายหุ้นฮ่องกงเป็นหลักผ่อนคลายความกังวลและกลับเข้าสะสมหุ้นจีนในฮ่องกงเป็นระยะและทำให้ดัชนีหุ้นเอเชียปิดเดือนในแดนบวกเล็กน้อย แม้หุ้นเกือบทุกประเทศในภูมิภาคจะหดตัวก็ตาม อย่างไรก็ดีรัฐบาลสหรัฐฯหันเป้ามาตั้งภาษีนำเข้าจากจีนในช่วงปลายเดือนซึ่งจะสร้างความกังวลให้กับตลาดในเดือนถัดไป ในระดับรายประเทศตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรุนแรงกว่าภูมิภาคเกิดจากปัจจัยเรื่องความมั่นใจต่อบริษัทจดทะเบียน ความกังวลแรงขาย LTF รวมถึงการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ
ภาพรวมการลงทุนประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2025 คาดว่าตลาดหุ้นโลกจะเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้นหลัง ปธน. ทรัมป์เริ่มมุ่งเน้นนโยบายตั้งกำแพงภาษีคู่ค้าเพื่อเจรจา ซึ่งเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่คาดเดาผลลัพธ์ได้ยาก เราจึงแนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตลดความเสี่ยงจากหุ้นกลุ่มเติบโตสูง อาทิ เทคโนโลยี ขณะที่เราแนะนำให้เพิ่มกลุ่มผันผวนต่ำอย่างหุ้น Value หรือกองทุนที่มีกลยุทธ์เลือกหุ้นผันผวนต่ำ (Low Volatility) ซึ่งรวมไปถึงกลุ่ม Defensive อย่าง Healthcare ในระดับรายประเทศเรายังชื่นชอบหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากเชื่อว่าสุดท้ายการตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์จะเป็นเพียงกุศโลบายเพื่อดึงคู่ค้าเข้าเจรจาให้สหรัฐฯได้ประโยชน์สูงสุด โดยเราแนะนำกระจายมายังหุ้น S&P500 ที่มีลักษะ Value เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการคงอยู่ของความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งกำแพงภาษีและสงครามในยูเครนจะเป็นแรงสนับสนุนสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ในฝั่งของตราสารหนี้เราเชื่อว่า Fed จะหยุดรอดูการดำเนินนโยบายต่างๆของทรัมป์ก่อน ซึ่งอาจทำให้ Yield ในตลาดทรงตัว
ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก
1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น 2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัว 6.7% ในปี 2567 โดยคาดว่าจะเติบโต 7.5% ในช่วงครึ่งปีแรก และ 6.1% ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยได้รับแรงหนุนจากกิจกรรมทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและการลงทุนจากต่างประเทศอย่างที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวว่า การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำในระยะสั้น
“อย่างไรก็ตาม เราคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะกลับสู่ภาวะปกติในไตรมาสที่ 2 โดยธนาคารกลางเวียดนามน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ในขณะที่ทิศทางของอัตราเงินเฟ้อ นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และค่าเงินดองเวียดนาม จะมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางเวียดนาม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะรักษาเสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568” นายทิม
โดยในปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนามขยายตัว 7.09% และในปี 2568 นี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างน้อย 8%
ที่มา: https://en.inform.kz/news/vietnams-economy-to-grow-67-pct-in-2025-standard-chartered-228ebf/
อ่านคำแนะนำเพิ่มเติม
MEVT Call: https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mevt/vn30-sep-2023
FundTalk Call: https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/vietnam-nov-2024
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299