แหล่งข่าว Bloomberg เปิดเผยว่าผู้นำเวียดนาม ยังไม่พอใจกับดีลภาษีนำเข้าอเมริกา เพราะตอนแรกตกลงกันไว้ที่ 10-15% เท่านั้น แต่ Donald Trump มาเพิ่มตัวเลขเป็น 20% ในนาทีสุดท้าย !
กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องจับตา เมื่อล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลเวียดนามยังไม่ยอมรับข้อตกลงอัตราภาษีใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งสหรัฐอเมริกาประกาศออกมาที่ 20% ผ่าน Trust Social ของ Trump เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2025
ข้อความดังกล่าวระบุว่าสินค้าส่งออกจากเวียดนามต้องถูกเก็บภาษี 20% ลดลงมากจากอัตราเดิม 46% ที่ประกาศไว้ในเดือนเม.ย. ส่วนสินค้าที่ถูกส่งผ่านมาจากประเทศอื่นจะถูกเก็บภาษี 40% ขณะที่เวียดนามจะเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ โดยลดภาษีนำเข้าเป็น 0%
แหล่งข่าวระบุอีกว่าผู้นำเวียดนามรู้สึกประหลาดใจกับข้อความของ Trump พร้อมได้สั่งให้ทีมเจรจาเดินหน้าต่อรองลดอัตราภาษีลงทันที ซึ่งอัตราที่พวกเขายอมรับได้อยู่ในช่วง 10-15% เท่านั้น
นอกจากนี้ สื่อในเวียดนามก็แทบไม่มีการพูดถึงเรื่องภาษี 20% กับสหรัฐฯ เลยด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามยังไม่ให้ความเห็นจากการสอบถามของ Bloomberg ในประเด็นนี้
เวียดนามถือเป็นประเทศผู้ส่งออกสำคัญที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 3 ของโลก และในเดือนม.ค. – เม.ย. 2025 ได้ส่งสินค้าเข้าไปขายในสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนถึง 4.5% จากการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณการเติบโตทางการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกันเวียดนามก็ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของจีน ทำให้พวกเขาอยู่ระหว่างการพยายามประคับประคองความสัมพันธ์กับทั้งคู่ เนื่องจากฝั่งสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามควบคุมสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนที่เปลี่ยนฉลากเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
อย่างไรก็ดี ตลอดช่วงสัปดาห์นี้ดัชนีหุ้นเวียดนามพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี จากการที่นักลงทุนต่างชาติตีความว่าภาษี 20% ถือเป็นข้อตกลงที่ยอดเยี่ยมแล้วสำหรับเวียดนาม
Source: Bloomberg
เคยคิดเล่น ๆ ไหมว่า ถ้าเรามีโอกาสย้อนเวลากลับไปในยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มต้น เราจะลงทุนอะไร? ในยุคนั้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นเคยอย่าง Google, Amazon หรือ Microsoft กำลังเริ่มต้นจากศูนย์ และใครที่จะมองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างง่ายดาย
จำได้ไหมว่าครั้งหนึ่งอินเทอร์เน็ตเคยเป็นเทคโนโลยีที่ดูลึกลับและเข้าถึงยาก? วันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว บล็อกเชนก็กำลังก้าวตามรอยอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น และยังมีศักยภาพที่จะปฏิวัติระบบเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมของเราในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโอกาสในการลงทุนของบล็อกเชน และทำความเข้าใจถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่น่าจับตามองที่สุดในยุคนี้
บล็อกเชน คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ โดยข้อมูลแต่ละชิ้นจะถูกบันทึกใน “บล็อก” และบล็อกเหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงกันเป็น “เชน” ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูงและตรวจสอบย้อนกลับได้ยาก เนื่องจากการแก้ไขข้อมูลในบล็อกเชนต้องได้รับการยืนยันจากสมาชิกในเครือข่ายทั้งหมด
ทำไมโลกถึงต้องการบล็อกเชน?
บล็อกเชนแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
ในอดีต ระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์มักประสบปัญหาเรื่องความซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูง และการขาดความโปร่งใส บล็อกเชนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยเฉพาะในด้านการเงิน ธุรกรรม และการจัดการเอกสาร
คาดการณ์ขนาดตลาดบล็อกเชนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2022 – 2032 | ที่มา: market.us | ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2024
นึกถึงตอนที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเป็นที่นิยม ทุกคนต่างตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ แต่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนโลกได้มากขนาดไหน
บล็อกเชนเองก็เช่นกัน มันไม่ใช่แค่เทคโนโลยีธรรมดา แต่คือโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกดิจิทัล เหมือนกับที่อินเทอร์เน็ตเคยทำมาแล้วในช่วงปี 2000 เรียกได้ว่าบล็อกเชนคือเส้นทางสายไหม (Silk Road) ในโลกไซเบอร์ที่จะเชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกันอย่างปลอดภัยและโปร่งใส
ตอนนี้บล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เหมือนกับอินเทอร์เน็ตในยุค Y2K ที่หลายคนยังสงสัยว่ามันจะไปรอดหรือไม่? จะเป็นแค่ของเล่นสำหรับสาย IT หรือเปล่า? แต่เราก็รู้กันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับอินเทอร์เน็ตหลังจากช่วงปี 2000 เป็นต้นมา
นี่คือโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล เพราะในอนาคตเรามีโอกาสได้เห็นการเติบโตแบบพุ่งทะยานของเทคโนโลยีบล็อกเชน เหมือนกับที่เราเคยเห็นบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ร่างกฎหมาย GENIUS Act ในสหรัฐฯ ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยหนุนตลาดคริปโต โดยเฉพาะ Stablecoin ให้ก้าวสู่การยอมรับในวงกว้างยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมาการขาดกฎหมายกำกับดูแลที่ชัดเจน ทำให้หลายบริษัทดำเนินงานแบบกึ่งเทากึ่งขาว นักลงทุนก็ไม่มั่นใจ กลุ่มสถาบันการเงินใหญ่ก็ไม่กล้าเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ GENIUS Act จึงถูกเสนอขึ้น เพื่อสร้าง “กฎพื้นฐาน” สำหรับ Stablecoin ที่จะทำให้ระบบมีเสถียรภาพ ปลอดภัย และน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยไม่ปิดกั้นการเติบโตของเทคโนโลยี
เนื้อหาหลักของกฎหมายนี้ ได้แก่
Digital Asset คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่แทนสินทรัพย์ที่มีอยู่จริงในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่ายและรวดเร็ว ผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น ธนาคาร
ทั้งนี้ Digital Asset แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
2.1) Investment Token หรือโทเคนเพื่อการลงทุน สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการร่วมลงทุน เช่น สิทธิในส่วนแบ่งรายได้ สิทธิในผลกำไรจากการลงทุน
2.2) Utility Token หรือโทเคนเพื่อการใช้ประโยชน์ สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการได้รับสินค้าและบริการที่เฉพาะเจาะจง เช่น บัตรโดยสารรถไฟฟ้า คูปองในศูนย์อาหาร หรือชิปในคาสิโน
ส่วนแบ่งตลาดของบล็อกเชน แบ่งตามภาคอุตสาหกรรม | ที่มา: Grand View Research | ข้อมูล ณ ปี 2022
แม้จะถือกำเนิดมาเพื่อสร้างสกุลเงินดิจิทัล แต่ปัจจุบันบล็อกเชนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายอุตสาหกรรมนำไปใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การแพทย์ หรือแม้แต่การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทำให้โอกาสในการเติบโตของบล็อกเชนยังมีอีกมาก
เทคโนโลยีบล็อกเชนได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการปฏิวัติรูปแบบการดำเนินงานในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของกระบวนการทางธุรกิจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการนำบล็อกเชนไปประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ ดังนี้
จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต
การลงทุนในกองทุนดัชนีที่ติดตามสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน (Digital Asset & Blockchain ETF) นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างมีระบบ
โดยการลงทุนลงในบริษัทที่ถือสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนมาก หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนผ่าน Digital Asset & Blockchain ETF มีข้อดีดังนี้
กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ดิจิทัล บล็อกเชน (ASP-DIGIBLOC) เป็นกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active) โดยลงทุนในบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน
โดย ASP-DIGIBLOC มีกลยุทธ์ลงทุนในบริษัทที่อยู่เบื้องหลังโลกคริปโต และเป็นบริษัทชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เหมืองขุดชั้นนำ หรือบริษัทที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกดิจิทัล ลงทุนกับผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้เพื่อร่วมสร้างอนาคตของโลกดิจิทัล
ASP-DIGIBLOC ลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ VanEck Digital Transformation ETF ที่มีวัตถุประสงค์การลงทุนโดยพยายามสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MVIS Global Digital Assets Equity Index มากที่สุด
ทั้งนี้ ดัชนี MVIS Global Digital Assets Equity Index มีวัตถุประสงค์ในการติดตามผลประกอบการของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุดในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล และรวมเฉพาะบริษัทที่มีรายได้อย่างน้อย 50% จากบริการและผลิตภัณฑ์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น ศูนย์แลกเปลี่ยน (Exchange) เกตเวย์การชำระเงิน เหมืองขุด (Miner) บริการซอฟต์แวร์ อุปกรณ์และเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัล และการอำนวยความสะดวกทางการค้าด้วยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล
Finnomena 3D Diagram | ที่มา: Finnomena Funds | ข้อมูล ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 202ถ
กองทุน VanEck Digital Transformation ETF (DAPP) มีนโยบายการลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เกินกว่าร้อยละ 50 หรือมีศักยภาพในอนาคตที่จะสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล สัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 50
ทั้งนี้ กองทุนมีการกระจายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Digital Assets คลอบคลุมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านธุรกิจการขุดเหมืองคริปโต การทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ธนาคารตัวกลางด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจด้านซอฟแวร์อื่น ๆ
7 ธีมหลักที่ VanEck Digital Transformation ETF (DAPP) ลงทุน | ที่มา: VanEck | ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2022
บริษัทที่ให้บริการดำเนินการชำระเงินบนเว็บไซต์ แพลตฟอร์มการซื้อขาย รวมถึงร้านค้าแบบดั้งเดิม ด้วย
การใช้สินทรัพย์ดิจิทัล ตัวอย่างบริษัท เช่น Block (เดิมชื่อ Square), GreenBox POS
บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับการขุดหรือจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บริษัท Semiconductor อย่าง Canaan และ Ebang
บริษัทที่ทำหน้าที่ประมวลผลธุรกรรมระหว่างผู้ใช้บัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ หรือนักขุด เช่น Marathon, Riot Blockchain, Bitfarm
บริษัทที่ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตัวอย่างบริษัท เช่น Coinbase, Voyager Digital
บริษัทที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลใน Balance Sheet หรือมีการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนสูง เช่น Microstrategy, Coinshares
บริษัทที่สร้างซอฟต์แวร์หรืออำนวยความสะดวกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Northern Data
บริษัทที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างระบบการให้บริการทางการเงินแบบดั้งเดิม และระบบการให้บริการสำหรับ
สินทรัพย์ดิจิทัลยุคใหม่ อาจอยู่ในรูปแบบของการให้บริการชำระเงิน และการดูแลลูกค้า ตัวอย่างบริษัท เช่น Silvergate, BC Technology Group (Brokerage service)
*ข้อมูล ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2025 สัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลง
Coinbase เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 2012
Coinbase ไม่ใช่แค่ตลาดแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลธรรมดา แต่เป็นอาณาจักรคริปโตครบวงจร ตั้งแต่ซื้อขายแลกเปลี่ยน ไปจนถึงการเป็นตู้เซฟดิจิทัลให้กับนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบัน
นอกจากนี้ Coinbase ยังเป็นผู้พัฒนา USDC เหรียญ Stablecoin ยอดนิยม ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ผูกติดกับมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ เรียกได้ว่าเป็น “เงินดอลลาร์ในโลกคริปโต” เลยทีเดียว
Circle เป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ระดับโลกที่มุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับสกุลเงินดิจิทัล จุดเด่นสำคัญของ Circle คือการเป็น ผู้ออกเหรียญ Stablecoin (คริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าคงที่) ที่สำคัญอย่าง USDC (USD Coin) ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แบบ 1:1 และมีการสำรองสินทรัพย์เต็มจำนวน (ส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น)
Circle ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 โดยเริ่มต้นจากการเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการชำระเงินดิจิทัลและกระเป๋าเงิน Bitcoin ก่อนจะขยับมาเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรม Stablecoin และให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยเชื่อมโยกโลกการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้การโอนเงินข้ามประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ
เดิมที MicroStrategy เป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ ซึ่งอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในวงกว้าง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา MicroStrategy ได้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในฐานะ “บริษัทที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลก”
ถ้าถามว่ามากแค่ไหน? จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 MicroStrategy เป็นเจ้าของ Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 597,325 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.1 ล้านล้านบาท (เมื่อคิดจากราคา 1 BTC = 108,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
Block (เดิมชื่อว่า Square) เป็นผู้ให้บริการด้านการเงิน ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ และผู้ประมวลผลการชำระเงินที่ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มรายได้ผ่านการใช้โซลูชันที่เข้าถึงได้ง่าย
สิ่งที่น่าสนใจคือ Block เป็นการร่วมมือกันของบริษัทต่าง ๆ อย่าง Cash App, Spiral, TIDAL และ TBD โดยเป้าหมายหลักของบริษัทคือทำให้คนทั่วไปเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือลูกค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin
Block เป็นบริษัทใหญ่ที่สนับสนุน Bitcoin อย่างจริงจัง พวกเขารับชำระเงินด้วย Bitcoin มาตั้งแต่ปี 2014 ผ่านแอปพลิเคชัน Cash ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ส่งและรับการชำระเงินด้วย Bitcoin
Metaplanet Inc. เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในฐานะ “MicroStrategy แห่งเอเชีย” เนื่องจากมีกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันในการถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์หลักในคลังของบริษัท
เดิมที Metaplanet (หรือเคยรู้จักกันในชื่อ Red Planet Japan) ทำธุรกิจหลักเกี่ยวกับการ พัฒนาและบริหารจัดการโรงแรม แต่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้บริษัทต้องหันมาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่การถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อป้องกันเงินเฟ้อและสร้างผลตอบแทน
นอกจากนี้ ยังลงทุนและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี Web3, Blockchain และ NFT ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ยังคงดำเนินงานอยู่บ้าง
ไม่ได้ลงทุนในเหรียญคริปโตโดยตรง แต่ลงทุนในบริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน หรือบริษัทที่ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ
กองทุนนี้จะเติบโตไปพร้อม ๆ กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับ Bitcoin อีกด้วย
แม้จะเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ความผันผวนของกองทุนนี้จะน้อยกว่าการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีโดยตรง
แม้ว่าโลกของบล็อกเชนจะเต็มไปด้วยโอกาสที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องตระหนักเสมอ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง และตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ และทำความเข้าใจถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างถ่องแท้
ที่มา: Financial Times, MicroStrategy, VanEck, VanEck, VanEck
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
9 กรกฎาคม 2025 – Finnomena Funds (ฟินโนมีนา ฟันด์) จัดงานแถลงข่าว Looking Ahead Together The Trump Effect on 2025 Market เปิดกลยุทธ์การลงทุนเมื่อโลกการเงินอยู่ใต้เงานโยบายของทรัมป์ เตรียมรับมือความผันผวน หลังไทยโดนสหรัฐฯ จ่อเก็บภาษีนำเข้า 36% พร้อมชูแนวคิด “Better Together” เป็นเพื่อนร่วมทางที่พร้อมพานักลงทุนสู้ทุกวิกฤตไปด้วยกัน
นายกรณ์ จาติกวณิช ในฐานะประธานกรรมการและกรรมการอิสระ Finnomena เปิดเผยว่า จากกรณีที่สหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศไทยที่อัตรา 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ถือเป็น Worst Case Scenario จากผลการเจรจาทางการค้า เพราะเป็นระดับที่ไม่ได้ลดหย่อนหลังจากที่ Donald Trump ประกาศ Reciprocal Tariff ครั้งแรก ซึ่งได้สร้างความท้าทายอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจไทย ความผันผวนของตลาดทุน รวมถึงกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ
“ถ้าผมอยู่ในทีมเจรจาเศรษฐกิจ จะตัดสินใจเจรจาแบบเชิงรุก ร่วมมือกับกลุ่มประเทศในอาเซียน เปิดโต๊ะเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ผ่านเวทีการประชุมองค์การค้าโลก WTO เพื่อเพิ่มพลังการต่อรอง ขยายความร่วมมือทางการค้า และหาทางออกในรูปแบบที่ยั่งยืน พร้อมแสดงความจริงใจด้วยการสื่อสารข้อมูลที่ครบถ้วนกับคนไทย เพราะสุดท้ายแล้วผลของการเจรจาต้องมีผู้ที่เสียผลประโยชน์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ Win-Win ทุกฝ่าย” นายกรณ์ จาติกวณิช กล่าว
นายวศิน ปริธัญ Managing Director บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในเครือของ Finnomena Group กล่าวถึงผลกระทบของ Trump Tariff ว่าในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยเชิงลบต่อประเทศที่โดนภาษีในอัตราที่สูง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอการเติบโต และคาดว่าจะเห็นความผันผวนของตลาดหุ้นแบบ Sideway อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดคงไม่ถึงขั้นปรับฐานแบบลงลึก แต่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะยาว
ดังนั้น จึงแนะนำเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากความผันผวนอย่างกองทุนที่มีนโยบายกระจายความเสี่ยงแบบ Multi Asset เช่น ES-GAINCOME หรือกองทุนหุ้นโลกสาย Defensive ที่หาประโยชน์จากความผันผวน และมี Option Strategy เช่น K-GPINUH โดยเตรียมสภาพคล่องบางส่วนเพื่อเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเมื่อตลาดปรับฐาน นอกจากนี้ สินทรัพย์ทางเลือกประเภท Alternative Assets เช่น Hedge Fund ถือว่าตอบโจทย์ในการกระจายความเสี่ยง ด้วยความผันผวนที่ต่ำ และมีโอกาสทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและลง (Long-Short)
นายกสิณ สุธรรมนัส Chief Strategy Officer, Finnomena Group ระบุว่า วิกฤตและความผันผวนเป็นเรื่องที่พบเจอได้ตลอดในโลกการลงทุน ในทุก ๆ ปี เราจะเจอเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาด ซึ่งสถิติในอดีตก็ชี้ว่าเราผ่านมาได้ทุกครั้ง และแน่นอนว่าการมีเพื่อนร่วมทางที่เดินไปพร้อมกับคุณ คือหนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนก้าวผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้ พร้อมเดินหน้าสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ Finnomena Group มีเป้าหมายสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนมีความมั่นคงทางการเงินตลอดชีวิต ด้วยผู้แนะนำการลงทุนและแพลตฟอร์มการลงทุนชั้นนำระดับสากล ช่วยให้นักลงทุนไทยกว่า 1 ล้านคน ได้พบกับผู้แนะนำการลงทุนที่เข้าใจยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่เดินไปพร้อมกับคุณในทุกจังหวะสำคัญของชีวิต ภายใต้แคมเปญ Better Together – Wealth Together by Finnomena
Better Together คือความตั้งใจที่อยากให้ทุกก้าวของการลงทุน เริ่มต้นจากความเข้าใจและเดินไปพร้อมกัน เพราะการลงทุนไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขหรือกลยุทธ์ แต่คือการจัดการอารมณ์ ความไม่แน่ใจ และช่วงเวลาที่ต้องเลือก ซึ่งการมีผู้แนะนำการลงทุนจะช่วยให้ทุกคนเดินหน้าสู่ความสำเร็จ ผ่านระบบ Wealth Together บริการที่ให้คุณมี “ผู้แนะนำการลงทุน” จาก Finnomena Funds คอยดูแลแบบใกล้ชิด ตั้งแต่การแนะนำพอร์ตลงทุนในกองทุนรวม หุ้น ตราสารหนี้ ไปจนถึงการปรับกลยุทธ์และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินมากขึ้น
ลงทะเบียนรับบริการ Wealth Together by Finnomena ได้ฟรีที่ www.finnomena.com/wtg-wealth-together เริ่มก้าวแรกกับผู้แนะนำการลงทุนที่เข้าใจคุณ เพียงเริ่มต้นลงทุนผ่าน Finnomena แล้วคุณจะได้รับประสบการณ์การแนะนำการลงทุนครบวงจร ที่ผสานข้อมูล คำแนะนำ และเครื่องมือเพื่อช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างมีเป้าหมาย
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort
ในวันที่ตลาดเต็มไปด้วยความผันผวนพอร์ต All Weather Strategy (AWS) สร้างผลตอบแทนสะสมได้กว่า 54.8% นับตั้งแต่จัดตั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2025, ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) สะท้อนแนวทางการออกแบบเพื่อช่วยรับมือกับความผันผวนในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) คือพอร์ตกองทุนที่พร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด ใช้โมเดล FVMR Framework เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน มีการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลงทุนอย่างมั่นคง พร้อมแนวทางบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ เพราะมีนักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำอย่างคุณ Andrew Stotz เป็นผู้ออกแบบกลยุทธ์การจัดพอร์ตในเชิงวิเคราะห์ข้อมูลและความเสี่ยง
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ Dr. Andrew Stotz จับมือร่วมกับ Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยพอร์ต AWS นี้ มุ่งหวังที่จะเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยให้พอร์ตพร้อมรับมือทุกสภาวะตลาด (All Weather) โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผลตอบแทนของพอร์ต AWS ตั้งแต่จัดตั้ง เทียบกับพอร์ต 60/40
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2025
จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนสะสม (Total Return) นับตั้งแต่จัดตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ถึงเดือนพฤษภาคม 2025 ของพอร์ต All Weather Strategy (AWS) กับพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีสัดส่วนหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% (60/40 Portfolio) จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ 54.8% ขณะที่พอร์ต 60/40 ทำผลตอบแทนได้ 35.2% หรือสูงกว่า 19.6% โดยหลังช่วงกลางปี 2023 เป็นต้นมา ผลตอบแทนของพอร์ต AWS เริ่มแซงหน้าพอร์ต 60/40 อย่างชัดเจน และยังคงมีผลตอบแทนที่มากกว่าพอร์ต 60/40 ในช่วงที่ผ่านมา
ความผันผวนของสินทรัพย์ต่าง ๆ
ที่มา: All Weather Strategy Presentation ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568
นอกจาก All Weather Strategy (AWS) จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าพอร์ตดั้งเดิม 60/40 ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นคือระดับความผันผวนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า เมื่อเทียบกับพอร์ตการลงทุนหรือสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ในตลาด
จากกราฟเป็นการเปรียบเทียบความผันผวนรายปี (Annualized Volatility) ของพอร์ต AWS กับพอร์ต 60/40 และสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่พันธบัตรทั่วโลก ไปจนถึงหุ้นยุโรปที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จะเห็นได้ว่าพอร์ต AWS มีความผันผวนต่ำกว่าพอร์ต 60/40 ประมาณ 1.4% และเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทองคำ ความผันผวนของพอร์ต AWS อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบกลยุทธ์ที่ให้ความสมดุลระหว่างเป้าหมายผลตอบแทนและการบริหารความเสี่ยง
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
การลงทุนผ่าน Passive Fund ซึ่งล้อตามความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นการลงทุนที่เหมาะกับมือใหม่ เพราะเข้าใจง่าย ค่าธรรมเนียมต่ำ และยังเป็นตัวช่วยในการจัดพอร์ตระยะยาว
ปัจจุบันมีดัชนีหุ้นไทยให้เลือกลงทุนอยู่หลากหลายดัชนี โดยวันนี้เราขอหยิบยกดัชนีสำคัญ ๆ มาฝาก ดังนี้
SET: หุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนภาพรวมหุ้นทั้งตลาด
SET50: หุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวในตลาด ซึ่งมีมูลค่า Market Cap. สูง และมีสภาพคล่องที่สูง
SET100: หุ้นขนาดใหญ่-กลาง 100 ตัวในตลาด ซึ่งมีมูลค่า Market Cap. สูง มีสภาพคล่องที่สูง
SETHD: หุ้น 30 ตัวในตลาดที่มีอัตราผลตอบแทนจากปันผลที่สูง และมีนโยบายจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง
mai: หุ้นบริษัทขนาดเล็ก SME และสตาร์ทอัพ ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ
FTSE SET: สะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นไทยในระดับสากล ซึ่งมีสูตรคำนวนตามมาตรฐานสากล สอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุนต่างประเทศ
SET ESG Rating: หุ้นยั่งยืนที่ผ่านเกณฑ์การประเมินด้าน ESG ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล
Sector Index: สะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน (ENERG) และ ธนาคาร (BANK) เป็นต้น
สำหรับใครที่สนใจลงทุนให้เงินเติบโตตามหุ้นในดัชนีดังกล่าว สามารถลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่านกองทุนรวมประเภท Passive Fund ทั้งที่อ้างอิงตามความเคลื่อนไหวดัชนี (Index) และกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) ซึ่งมีให้เลือกมากมายจากหลากหลาย บลจ. ชั้นนำในประเทศไทย
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort
เวลามีข่าวว่า ค่าเงินบาท “แข็งขึ้น” หรือ “อ่อนลง” หลายคนอาจสงสัยว่ามันส่งผลยังไงกับชีวิตเรา แล้วแบบไหนดีกว่ากัน? วันนี้ FinSpace สรุปมาให้เห็นภาพแบบเข้าใจง่าย พร้อมเทียบให้เห็นชัด ๆ ใครได้ ใครเสีย!
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid02fjLvmD76aiNUAUjWpZppxvuBqu6d1HeaE4VHyMjdrzxSuQ69kNYpB4XCZJ7qrjfBl
ประเด็นฮ็อตของสัปดาห์นี้ คงจะหนีไม่พ้นสงครามภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ประจวบเหมาะกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนาว่าด้วยวิกฤตภาษีทรัมป์ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงขอนำเนื้อหาบางส่วนมาถ่ายทอดในคอลัมน์นี้
บทความนี้ จะขอพูดถึงความเป็นไปได้ของหน้าตาการเจรจา Tariff Rate ดังกล่าว รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนตลาดหุ้นในบ้านเรา
โดยที่สหรัฐได้ประกาศออกไปเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศส่วนใหญ่ Tariff rate ยังคงเดิม โดยมีที่ลดลงได้แก่ กัมพูชา จาก 49% เหลือ 36% ส่วนที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ญี่ปุ่นและมาเลเซียที่เพิ่มจาก 24% เป็น 25% ทว่ายังมีอีกกลุ่มหนึ่งอันประกอบด้วย ยุโรป อินเดีย และ ไต้หวัน ที่มีโอกาสจะประกาศดีลการค้าในช่วงระหว่างวันนี้ถึง 1 สิงหาคม
ผมขอประเมินภาพรวมของสถานการณ์บ้านเรา ท่ามกลางบรรยากาศการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ ดังนี้
หนึ่ง ผมมองในแง่ที่ดีว่าไทยไม่ได้ตามหลังชาติอื่นในอาเซียน สำหรับการเจรจารอบนี้ ยกเว้นเวียดนาม ซึ่งถูกบีบด้วยสถานการณ์บังคับเนื่องจากส่งออกไปสหรัฐถึงราว 47% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ทำให้ต้องรีบเจรจาลดภาษีการค้าโดยด่วนแล้วมาจบที่ 20% โดยที่ต้องยกเว้นภาษีการนำเข้าทั้งหมดให้สหรัฐ นอกจากนี้ มาเลเซียก็ถูกเพิ่มอัตราภาษีการค้าจาก 24% เป็น 25% อีกต่างหาก ทำให้มองว่าบ้านเราน่าจะยัง On Par กับชาติอื่นในอาเซียนสำหรับการประกาศ Tariff Rate ใหม่ ภายใน 1 สิงหาคมนี้ โดยหากมีการประกาศสำหรับชาติอาเซียน เราก็น่าจะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
สอง โอกาสที่ไทยจะได้รับอัตราภาษีใหม่ น่าจะอยู่ที่ 20-25% โดยโอกาสที่จะได้ 20-22% น่าจะราวร้อยละ 90 อย่างไรก็ดี เราอาจจะได้รับอัตรา 25% ทว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นน่าจะราวร้อยละ 10 โดยหัวใจสำคัญของการจะได้มาซึ่งอัตราภาษีใหม่ที่ 20% คือการเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้กับสหรัฐ ซึ่งในประเด็นนี้ อินเดียก็มีปัญหาคล้ายคลึงกับบ้านเราที่ต้องพยายามปกป้องผลประโยชน์ต่อเกษตรกรของตนเอง ทำให้เราต้องรอผลลัพธ์การเจรจาระหว่างสหรัฐกับอินเดียที่คาดว่าน่าจะออกมาภายในสัปดาห์หน้า เพื่อที่จะใช้แนวทางการเปิดตลาดภาคเกษตรกรรมของอินเดีย เป็นต้นแบบต่อการเจรจาสินค้าเกษตรของบ้านเรากับสหรัฐ โดยอย่างน้อยเราควรต้องได้เงื่อนไขที่ไม่ด้อยกว่าของอินเดียที่ได้รับมา
สาม ความเสี่ยงที่การเจรจาจะไม่ลงตัวในการซื้อผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานจากสหรัฐสำหรับการเจรจาของไทยกับสหรัฐ น่าจะถือว่าอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณพิชัย ชุณหวชิร มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานเป็นลำดับต้น ๆ ของเมืองไทย รวมถึงด้านหมวดสินค้าภาคอุตสาหกรรมด้วย
นอกจากนี้ เจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และ สก็อตต์ เบสเสนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ น่าจะถือได้ว่าเป็นทีมที่แม้จะดูเขี้ยวลากดินด้านการเจรจา ทว่าก็พอจะมีความสมเหตุสมผลและค่อนข้างมีวินัยในการเจรจาในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี ผมมองว่าตัวตัดสินว่าเราจะได้อัตราภาษีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐจะเข้มกับอินเดีย สำหรับผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรมากน้อยแค่ไหน
สี่ ผมประเมินว่าผลกระทบต่อภาคการส่งออกต่อเศรษฐกิจของบ้านเรา เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐต่อมูลค่าการส่งออกทั้งหมดที่ 18%โดยประเมินว่าหากเราได้ Tariff Rate จากทางการสหรัฐที่ 20% ในท้ายที่สุด น่าจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทยอยู่ประมาณ 1.1% โดยอาจจะสูงหรือต่ำจากระดับนี้ ขึ้นอยู่กับว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมืองของบ้านเราจะดีหรือไม่ดีมากแค่ไหน
ด้านตลาดหุ้นไทย ผมประเมินโดยใช้วิธีการ Simulation จากข้อมูลที่ได้จาก Market Reaction เมื่อวันที่ 2 และ 9 เมษายน หรือ Liberation Day ที่ผ่านมา ปรากฏว่า หากเราได้รับ Tariff Rate 20% ในวันที่ 1 สิงหาคม ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะทรง ๆ หากได้รับ 21-25% ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะลดลง -1.74% และ หากได้รับ 36% ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะลดลง -2.12%
นอกจากนี้ หากทรัมป์ตัดสินใจลด Tariff Rate ให้กับทุกประเทศ ในวันที่ 1 สิงหาคมมาอยู่ในระดับ 10-20% ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะเพิ่มขึ้น +2.80% ในทางกลับกัน หากทรัมป์ไม่ยอมลด Tariff Rate ให้กับประเทศใด ๆ เลยหนำซ้ำยังประกาศเงื่อนไขที่แย่ลงอีกในวันที่ 1 สิงหาคม ประเมินว่า SET ในวันถัดไป น่าจะลดลง -4.54%
ท้ายสุด Tariff War น่าจะอยู่กับเราไปตลอดที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสหรัฐ โดยจะกลับมาให้เจรจากันเป็นระยะๆ จึงถือเป็นความเสี่ยงและโอกาสสำหรับการลงทุน รวมถึงตลาดหุ้นในบ้านเราด้วย
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวเป็นส่วนใหญ่ในเดือนมิถุนายน หลังจากที่ ปธน.ทรัมป์ของสหรัฐฯ เริ่มการเจรจาการค้ากับประเทศพันธมิตรหลักๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน แม้ทรัมป์จะพยายามข่มขู่คู่ค้าตามสื่อต่างๆ อยู่เป็นระยะ แต่แหล่งข่าวส่วนใหญ่ให้ข้อมูลตรงกันว่าทีมงานที่เจรจาการค้าจริงระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ มีพัฒนาการในเชิงบวก นอกจากนั้นสหรัฐฯ ยังชะลอการตั้งภาษีศุลกากรจำนวนมหาศาลกับจีนออกไป และเริ่มนับหนึ่งในการเจรจาการค้ากับจีนอีกด้วย ด้วยพัฒนาการเชิงบวกของการเจรจาการค้า ทำให้เรายังแนะนำเน้นการลงทุนในหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุน อย่างไรก็ดี มีเพียงตลาดหุ้นไทยและอินโดนีเซียที่ปรับตัวลงสวนทิศทางตลาดหุ้นโลกและยังคงต้องระมัดระวังการลงทุน จากแรงกดดันด้านการเมืองเฉพาะตัว ฝั่งของไทยถูกกดดันจากประเด็นความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชาซึ่งกดดันความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ขณะที่อินโดฯ ถูกกดดันจากประเด็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติซึ่งมีการถอนตัวของผู้บริหารกองทุนระดับชาติจากคณะกรรมการ เป็นแรงกดดันเชิงความเชื่อมั่นเช่นกัน
ในระหว่างเดือน เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างการเปิดฉากสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างรุนแรง ตามมาด้วยการเข้าร่วมสงครามของสหรัฐฯ พร้อมกันกับที่สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ไม่บรรเทาอย่างที่นักลงทุนคาดคิด ในมุมมองของเราเชื่อว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง แม้สหรัฐฯ หรือชาติตะวันตกจะมีส่วนร่วม จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในระยะสั้น ขณะที่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นจากสถิติในอดีตไม่ได้มีนัยยะสำคัญ มากไปกว่านั้นอิหร่านยังแสดงท่าทีโอนอ่อนลงให้หลังจากการเข้าร่วมสงครามของสหรัฐฯ อีกด้วย ทำให้ในภาพรวมเราไม่ได้กังวลกับประเด็นสงครามมากนัก นักลงทุนสามารถผสมสินทรัพย์กลุ่ม Defensive อย่างตราสารหนี้โลกและหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น
การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ประจำเดือนมิถุนายนที่ตลาดจับตา จบลงไปโดยไม่ได้มีข้อมูลใหม่ให้กับนักลงทุนมากนัก Dot Plot ของธนาคารกลาง (Fed) ยังคงคาดหวังการลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี 2025 ขณะที่ถ้อยแถลงของ Fed เองยังคงย้ำถึงการไม่เร่งรีบปรับนโยบายการเงินเพื่อรอดูผลกระทบจากนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ ในมุมมองของเรา เราเริ่มมั่นใจว่า Fed ไม่ได้กังวลเงินเฟ้อ ภาคแรงงาน หรือเศรษฐกิจที่อาจมีทิศทางเชิงลบจากนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ แต่ Fed เพียงสับสนการเปลี่ยนแปลงไปมาของนโยบาย ปธน. ทรัมป์ เรามีสมมุติฐานว่า Fed พร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจหากสหรัฐฯ เจรจาการค้ากับนานาชาติสิ้นสุดลง และยังต้องการปรับลดดอกเบี้ยต่อไป ขณะที่เราคาดว่าสหรัฐฯ จะไม่ปล่อยให้การเจรจาการค้ายืดเยื้อและกระทบเศรษฐกิจเช่นกัน
ภาพรวมการลงทุนประจำเดือนกรกฎาคม 2025 คาดว่าตลาดหุ้นโลกจะเผชิญกับทางแยกสำคัญ จากเส้นตายระยะผ่อนผันภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 9 ก.ค. พร้อมกับกฎหมายลดภาษีและลดค่าใช้จ่ายชุดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่รู้จักกันในชื่อ One Big Beautiful Act ที่ล่าสุดได้ผ่านการอนุมัติจากสภาแล้ว หากทั้งสองเหตุการณ์มีพัฒนาการในทางที่ดี อาจเป็นจุดที่ทำให้หุ้นโลกโดยเฉพาะภูมิภาคอื่นๆ นอกจากสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัว เรายังคงแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตแบบบาร์เบล ผสมระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นโลก หุ้นสหรัฐฯ กับสินทรัพย์กลุ่ม Defensive อย่างตราสารหนี้โลกและหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และหาโอกาสสะสมประเทศที่เศรษฐกิจภายในแข็งแกร่งหรือฟื้นตัวได้ดี เช่น เอเชีย อินเดีย เวียดนาม และยุโรป หากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯมีทิศทางในเชิงบวก
ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 7 ก.ค. 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก
1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น 2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ Morningstar กลับมอง “หุ้นเกาหลีใต้” เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดในบรรดาตลาดเกิดใหม่
โดย มาร์ค เพรสเก็ตต์ (Mark Preskett) ผู้จัดการกองทุนอาวุโสของ Morningstar Wealth จากลอนดอน เผยว่าเขากำลังลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนและญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มพอร์ตในหุ้นเกาหลีใต้ ซึ่งเขาคาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11–12% ต่อปี (คิดเป็นดอลลาร์) ตลอด 10 ปีข้างหน้า
เขามองว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้โดดเด่นคือ
บริษัทเกาหลีใต้เป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำ High-Bandwidth Memory (HBM) ที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SK Hynix Inc. และ Samsung Electronics Co. ซึ่งเพรสเก็ตต์มองว่ายังคงมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
การที่ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ได้รับเลือกตั้งและเร่งผลักดันการปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กร รวมถึงโครงการ “Value-Up” ของรัฐบาล และการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อแก้ไขข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิผู้ถือหุ้นส่วนน้อยและการครอบงำของบริษัทในเครือตระกูล (Chaebols) สิ่งเหล่านี้กำลังทำให้ตลาดน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับจีน
แม้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศเก็บภาษีนำเข้า 25% ต่อเกาหลีใต้ แต่เพรสเก็ตต์มองว่าเป็น “เหตุการณ์ชั่วคราว” และคาดว่าจะมีการเจรจาบรรลุข้อตกลงภายใน 2 สัปดาห์ อีกทั้งอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง “อิเล็กทรอนิกส์และยา” ก็ไม่อยู่ในรายการภาษี ทำให้ผลกระทบจำกัด
ผลงานของตลาดหุ้นเกาหลีใต้เองก็สะท้อนมุมมองเชิงบวกนี้ ดัชนี Kospi ได้พุ่งขึ้นถึง 30% ในปีนี้ ทำให้เป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีผลงานดีที่สุดในโลกของปี 2025
นอกจากนี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างเทเม็ดเงินกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่หุ้นเกาหลีใต้ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีอี แจ-มยอง
เพรสเก็ตต์ยังมองว่าหุ้นเกาหลีใต้ตอนนี้ “น่าซื้อ” เพราะราคายังไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพของบริษัทที่ดี และที่สำคัญคือ ตลาดเกาหลีใต้ไม่มีความกังวลเรื่องปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเป็นปัญหาในบางตลาด รวมถึงเรื่องธรรมาภิบาลผู้ถือหุ้นที่ชัดเจนกว่าประเทศอื่น
ถึงแม้จะมีแนวโน้มเชิงบวก แต่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง นอกจากเรื่องภาษีแล้ว ความเสี่ยงหลัก ๆ คือการที่บริษัทใหญ่ ๆ หรือผู้บริหารเก่าแก่ อาจยังไม่ยอมร่วมมือกับการปฏิรูปของรัฐบาลง่าย ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้เงินทุนของบริษัท หรือการปันผลกำไรให้ผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม เพรสเก็ตต์ยังคงเชื่อมั่นว่าเกาหลีใต้เป็นการลงทุนที่ดีในระยะยาว รัฐบาลใหม่ได้ให้คำมั่นที่จะปฏิรูปการคลัง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคผู้บริโภคและภาคธนาคารให้แข็งแกร่งขึ้น เขาเชื่อว่าตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หุ้นเกาหลีใต้ยังมีโอกาสเติบโตและดึงดูดเงินลงทุนได้อีกมากในอนาคต ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของตลาดนี้
อ้างอิง: Bloomberg
แม้ภาษีจะยังเป็นแรงกดดันสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ แต่รายงานล่าสุดจาก NFIB (National Federation of Independent Business) กลับสะท้อนภาพที่น่าสนใจว่าหุ้นกลุ่มนี้อาจเริ่มขยับฟื้นตัว
รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism Index) ประจำเดือนมิถุนายน 2025 อยู่ที่ระดับ 98.6 จุด ลดลงเล็กน้อย 0.2 จุดจากเดือนก่อนหน้า โดย “ภาษี” ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในสายตาของผู้ประกอบการ โดย 19% ระบุว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021
แม้ภาษีจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ตัวเลขอื่น ๆ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว เช่น
นักลงทุนที่ติดตามหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ อาจคุ้นเคยกับความผันผวนในรอบ 1–2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ หรือความไม่แน่นอนด้านนโยบาย แต่จากรายงานล่าสุด สัญญาณหลายอย่างเริ่มพลิกทางบวก โดยเฉพาะปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งหุ้น Small-Cap มักจะอ่อนไหวและตอบสนองได้รวดเร็วกว่า
นโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่รายงานของ NFIB สะท้อนให้เห็นก็คือ “หุ้นขนาดเล็กกำลังเริ่มตั้งหลักได้ท่ามกลางแรงกดดัน”
แม้ภาษีจะยังเป็นปัญหาใหญ่ แต่ดัชนีความไม่แน่นอนที่ลดลง เงินเฟ้อที่ผ่อนคลาย กำไรที่เริ่มฟื้น และยอดขายที่ค่อย ๆ กลับมา ล้วนเป็นสัญญาณบวกที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม Small-Cap ที่มีจุดแข็งคือการปรับตัวไว มุ่งเน้นตลาดในประเทศ และพร้อมเติบโตไปกับการฟื้นตัวของผู้บริโภคอเมริกัน
Mr.Messenger Call แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้นสหรัฐอเมริกาขนาดเล็ก ผ่านกองทุน ABAGS (Active) และ SCBRS2000(A) (Passive) โดยแนะนำเข้าซื้อที่ดัชนี Russell 2000 ไม่เกินระดับ 2,241 จุด สำหรับเป้าหมายเก็งกำไรระยะสั้นแบบ The Trend Follower
คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | กองทุนนี้เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
กอบศักดิ์ ภูตระกูล นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีที่ประเทศไทยถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% โดยมีใจความสำคัญ ดังนี้
จดหมายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงรัฐบาลไทย คือสัญญาณเตือนอย่างเป็นทางการว่า “ข้อเสนอที่ไทยเคยยื่นมา ยังไม่ดีพอ” เพราะสหรัฐฯ ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% มีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคมนี้ และนั่นคืออัตราสูงสุดในบรรดา 14 ประเทศที่โดนพร้อมกัน
ในสายตานักเศรษฐศาสตร์ หลายคนมองว่านี่คือ “Worst Case Scenario” ที่เคยกลัวว่าจะมา และตอนนี้มันมาถึงแล้วจริง ๆ
แม้ทรัมป์จะประกาศตัวเลขภาษีแล้ว แต่ก็ยังเปิดช่องทางให้เจรจาต่อ โดยส่งสัญญาณชัดว่า หากไทย “เปิดตลาดให้สหรัฐฯ มากกว่านี้” หรือยกเลิกกำแพงทางการค้า ทั้งภาษีและมาตรการกีดกันอื่น สหรัฐฯ อาจ “พิจารณาลดภาษี” ให้ได้ในภายหลัง
แต่ในทางกลับกัน ถ้าไทยตอบโต้หรือยังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบาย สหรัฐฯ เตรียม “ฟาดกลับ” ด้วยภาษีเพิ่มอีก 25%
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย คิดเป็น 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด หากภาษี 36% มีผลจริง ผู้ซื้ออาจหันไปหาคู่แข่งอย่าง เวียดนาม (20%) หรือมาเลเซีย (25%) แทนทันที
การตัดสินใจลงทุน (FDI) จะได้รับผลกระทบโดยอาจถูกตั้งคำถามว่า “จะสร้างโรงงานในไทยทำไม ถ้าส่งออกไปแล้วต้นทุนภาษีแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน?” อุตสาหกรรมหลักของไทย อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า ยางพารา อิเล็กทรอนิกส์ อาจถูกซ้ำเติมจากต้นทุนภาษีที่พุ่งสูง
ปัญหาคือ หากไทยยอมเปิดตลาดตามที่สหรัฐต้องการ เช่น เปิดให้สินค้าการเกษตรของอเมริกาเข้ามาได้ง่ายขึ้น ก็จะกระทบกับเกษตรกรและธุรกิจในประเทศ ที่แม้จะไม่ได้มีสัดส่วนเศรษฐกิจมาก แต่ มีเสียงและจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ยังมีประเด็นเรื่อง การสวมสิทธิ์สินค้าจีน ที่ผ่านไทยเพื่อส่งต่อไปสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นการ “เลี่ยงภาษี” และเรียกร้องให้ไทยจัดการให้เด็ดขาด
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เร่งด่วนแบบนี้ คำถามสำคัญคือ ไทยจะตอบโต้หรือร่วมโต๊ะเจรจาอย่างไร? โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงพาณิชย์ คลัง และเกษตร อยู่คนละพรรค ยังไม่มี “เสียงเดียว” ในการตัดสินใจ
นี่อาจเป็นเวลาที่ไทยต้องเร่งตั้ง “War Room” เพื่อวางแผนเจรจาแบบรวดเร็วเด็ดขาด และมีเอกภาพในการส่งสัญญาณไปยังสหรัฐฯ และนักลงทุน
แม้จะดูเหมือนถูกบีบบังคับ แต่อีกด้านหนึ่งนี่คือโอกาสที่ไทยจะ “เร่งปรับตัว” ให้แข่งขันในเวทีโลกได้จริง
ถ้าเรากล้าจัดการกับปัญหาโครงสร้าง เช่น ยกระดับอุตสาหกรรม เพิ่มขีดความสามารถแรงงาน และกระจายตลาดส่งออก ผ่าน FTA กับกลุ่มประเทศอื่น เราอาจไม่ใช่แค่ “รอด” ภาษี 36% แต่ยังเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่มั่นคงกว่าเดิม
Source: Infoquest
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังคงเดินหน้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน โดยใช้ทองคำเป็นหมากสำคัญในเกมเศรษฐกิจโลก เพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน
จีนขึ้นแท่นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ข้อมูลจาก World Gold Council ระบุว่า ในปี 2023 จีนซื้อทองคำเพิ่มขึ้นกว่า 225 ตัน และ 44 ตัน ในปี 2024 โดยคาดว่าธนาคารกลางจีนอาจยังมีการสะสมทองคำแบบ “เงียบ ๆ” ผ่านการนำเข้าทองคำแท่งขนาดใหญ่จากต่างประเทศ โดยไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
เบื้องหลังกลยุทธ์นี้คือความพยายามลดความเสี่ยงจากดอลลาร์ หลังเหตุการณ์สหรัฐฯ อายัดทรัพย์สินของรัสเซียในปี 2022 ทำให้จีนหันมาพึ่ง “ทองคำ” ซึ่งไม่สามารถถูกควบคุมหรืออายัดได้ง่าย ขณะเดียวกัน ทองคำยังเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ และเสริมความมั่นใจต่อค่าเงินหยวนในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง
การที่จีนสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เป็นแค่การเพิ่มทุนสำรองเท่านั้น แต่คือการสร้างอำนาจใหม่ในตลาดทองคำโลก จีนกำลังจะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคา และใช้ทองคำเป็นหลักยึดโยงนโยบายการเงินในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น ยังสอดรับกับเป้าหมายใหญ่ของจีนในการลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในระบบการเงินโลก และ ผลักดันให้เงินหยวนกลายเป็น “สกุลเงินทางเลือก” ที่น่าเชื่อถือและมีบทบาทมากขึ้นในเวทีสากล
การที่ธนาคารกลางจีนเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ ส่งผลให้ราคาทองคำโลกมีแรงหนุนต่อเนื่อง พร้อมช่วยพยุงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงเศรษฐกิจผันผวน หลายฝ่ายมองว่าธนาคารกลางอื่น ๆ อาจเดินตามรอยจีนมากขึ้น โดยใช้ทองคำเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงจากตลาดทุนโลกและดอลลาร์ที่อาจไม่แน่นอนเท่าเดิม
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ดัชนี Dollar Index ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักของโลก ร่วงลงไปแล้วกว่า 11% ถือเป็นการลดลงที่หนักที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก นับตั้งแต่ปี 1973 และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 เกิดเป็นคำถามว่าหรือดอลลาร์กำลังจะเสียภาพลักษณ์ของการเป็น Safe Haven ไปแล้ว
อ้างอิง: Bloomberg, Mr.Messenger Talk Podcast
เจาะรายละเอียด 3 กองทุนแนะนำ รับกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลัง 2025 ในช่วงที่ภาวะตลาดยังคงเต็มไปด้วยความผันผวน พร้อมจับตาเส้นตาย Reciprocal Tariffs ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้
อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2025 โดย Finnomena Funds
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
ภาวะตลาดการลงทุนในขณะนี้อยู่ในจุดที่ค่อนข้างคลุมเครือจากผลของ Tariffs ที่สหรัฐอเมริกาอยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสุดท้ายกับหลายประเทศ ล่าสุด Donald Trump เตรียมส่งจดหมายถึงประเทศคู่ค้าที่ยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจากว่า 100 ประเทศ ภายในวันที่ 9 กรกฎาคม พร้อมเตือนว่าจะนำอัตราภาษีที่เคยประกาศไว้เมื่อวัน Liberation day (2 เม.ย. 2025)กลับมาบังคับใช้จริงในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
แน่นอนว่าในระยะสั้น มีโอกาสสูงที่ Tariffs จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกาและเศรษฐกิจโลกให้ชะลอการเติบโต ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอาจเกิดความผันผวนที่รุนแรง แนะนำปรับกลยุทธ์ลดความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากความผันผวน Sideway
แต่อย่างไรก็ดี ในระยะยาวตลาดหุ้นยังมีความน่าสนใจจากการเติบโตของกำไรที่สูง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการใช้งานด้าน AI มากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากร่างกฎหมายของรัฐบาล Trump ทั้ง One Big Beautiful Bill ที่หนุนธุรกิจในอเมริกัน และ GENIUS Act ที่ส่งเสริมการเติบโตของ Stablecoin
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน ล่าสุดเกิดสัญญาณซื้อ Buy Signal ราคาปรับตัวเหนือระดับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทุกเส้น พร้อมทำ Pattern Higher High นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนสำคัญจากการที่วุฒิสภาสหรัฐฯ เดินหน้าผ่านร่างกฏหมายหนุน Stablecoin โดยมีแนวโน้มที่เงิน Fiat จะถูกแลกเปลี่ยนเข้า Cryptocurrency มากขึ้น
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
กองทุนหุ้นโลกสาย Defensive และมีรายได้ Premium จากการขาย Call Options ในช่วงตลาดขาลง ซึ่งเหมาะกับจังหวะในการสลับจากหุ้นกลุ่ม Growth ไปยังกลุ่มหุ้นตั้งรับ เช่น Health Care, Consumer Staples, Utility ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัว
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical
กองทุนผสมที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Global Multi-Asset Allocation) อาทิ หุ้น, Equity Linked-note, ตราสารหนี้ และ Catastrophe Bond ตลอดจนมีการป้องกันความเสี่ยงขาลง (Hedging) เหมาะกับการลงทุนเพื่อหาประโยชน์จากความผันผวนจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์ปัจจุบัน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Elon Musk มหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพล ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ในสหรัฐฯ ในชื่อ “America Party” ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่เขาเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับประธานาธิบดี Donald Trump
Musk โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X ของเขา โดยระบุว่าพรรค America Party จะเป็นทางเลือกใหม่เพื่อท้าทายระบบการเมืองแบบ 2 พรรค (พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน) ที่เขามองว่านำไปสู่การใช้จ่ายอย่างไร้ประสิทธิภาพและทุจริต จนทำให้ประเทศล้มละลาย
ชนวนสำคัญที่จุดความขัดแย้งระหว่าง Musk กับ Trump และนำไปสู่การก่อตั้งพรรคนี้ คือการที่ Trump ลงนามในร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่ Musk ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ร่างกฎหมายนี้รวมถึงการยุติมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า $7,500 สำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจเทสลา (Tesla) ของ Musk
นอกจากนี้ Musk ยังวิจารณ์การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นมหาศาลภายใต้กฎหมายดังกล่าว โดยมองว่าเป็นการอุดหนุนอุตสาหกรรมเก่า และทำลายอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
แม้ว่า Musk จะประกาศจัดตั้งพรรคแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าพรรค America Party ได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการกับหน่วยงานการเลือกตั้งของสหรัฐฯ หรือไม่ อีกทั้ง Musk ซึ่งเกิดนอกสหรัฐฯ ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และยังไม่ได้ประกาศว่าใครจะเป็นผู้นำพรรค
อย่างไรก็ตาม Musk ได้เปิดเผยผลโพลบน X ที่ระบุว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ต้องการพรรคการเมืองใหม่ เขากล่าวว่า “พวกคุณต้องการพรรคการเมืองใหม่ และพวกคุณจะได้มัน!” โดยตั้งเป้าที่จะกวาดที่นั่งในวุฒิสภา 2-3 ที่นั่ง และในสภาผู้แทนราษฎร 8-10 เขต ซึ่งอาจจะมากพอที่จะมีบทบาทในการควบคุมรัฐสภา หากที่นั่งของสองพรรคใหญ่ไม่ต่างกันมากนัก
นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าการประกาศของ Musk ในครั้งนี้ อาจเป็นกลยุทธ์ขั้นสูงเพื่อสร้างแรงกดดันต่อผู้กำหนดนโยบายมากกว่าการตั้งพรรคการเมืองที่สามที่ยั่งยืน การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องเผชิญอุปสรรคทางกฎหมายและข้อกำหนดในการลงทะเบียนสมาชิกจำนวนมาก เช่น ในแคลิฟอร์เนีย ผู้ก่อตั้งพรรคต้องมีสมาชิกถึง 75,000 คน หรือรวบรวมรายชื่อ 1.1 ล้านรายชื่อเพื่อให้มีสิทธิ์ปรากฏบนบัตรลงคะแนน
การเคลื่อนไหวของ Musk เกิดขึ้นหลังจากที่ Trump ได้ตอบโต้คำวิจารณ์ของ Musk โดยระบุว่า Musk อาจได้รับเงินอุดหนุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และขู่ว่าจะตรวจสอบเงินอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของ Musk ซึ่งรวมถึง SpaceX ที่รับงานปล่อยจรวดให้รัฐบาลสหรัฐฯ และ Starlink ที่ให้บริการดาวเทียมแก่กองทัพ
สรุป 10 หุ้นอเมริกาชั้นนำ ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เติบโตมหาศาลแค่ไหน ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนไทยสามารถลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่าน DR ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือจัดพอร์ตลงทุนด้วยกลยุทธ์ Definit Global Select (DGS) คัดเลือก DR หุ้นต่างประเทศคุณภาพดี สนใจลงทุนคลิกเลย
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกาได้กลายเป็นเวทีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมายผงาดขึ้นมาเป็น “ดาวรุ่งพุ่งแรง” ที่ไม่เพียงพลิกโฉมโลกธุรกิจ แต่ยังสร้างโอกาสการลงทุนมหาศาลให้กับนักลงทุนทั่วโลก
บทความนี้จะพาไปเจาะลึก 10 หุ้นอเมริกาที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมวิเคราะห์เบื้องหลังความสำเร็จ ที่ทำให้หุ้นเหล่านี้เป็นที่สนใจและสร้างผลตอบแทนในอดีตอย่างน่าทึ่งให้กับนักลงทุน
หุ้นบริษัทแม่ของ Google เติบโตจากราคาประมาณ 36 ดอลลาร์ ปัจจุบันราคาพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ราว 176 ดอลลาร์ โตเกือบ 5 เท่า ความแข็งแกร่งของ Alphabet มาจากการครองตลาด Search Engine การโฆษณาออนไลน์ และการพัฒนา AI ที่เพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ราคาหุ้น Amazon เมื่อ 10 ปีก่อน อยู่ที่ประมาณ 22 ดอลลาร์ และปัจจุบันประมาณ 220 ดอลลาร์ เติบโตกว่า 10 เท่า แม้การเติบโตอาจจะไม่หวือหวาเท่าบริษัทเทคฯ อื่น ๆ แต่ความแข็งแกร่งของธุรกิจ E-commerce และระบบ Cloud อย่าง AWS ที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้ Amazon ยังคงเป็นตัวเลือกที่นักลงทุนเชื่อมั่น
จากราคาเกือบ 33 ดอลลาร์ในอดีต สู่ราคาปัจจุบัน 205 ดอลลาร์ เติบโตประมาณ 6 เท่า แม้ไม่หวือหวาเท่าหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ แต่ Apple ยังคงครองใจผู้บริโภคและนักลงทุน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง และการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนสายเก็บระยะยาว
หุ้นของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เติบโตจากราคา 44 ดอลลาร์ในอดีต เป็นประมาณ 144 ดอลลาร์ เติบโตมากกว่า 2 เท่า BRK.B ถือเป็นหุ้นที่เน้นกลยุทธ์ลงทุนแบบคุณค่า เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาว เน้นพื้นฐานแข็งแรง และเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป
หุ้น Broadcom มีราคาประมาณ 13 ดอลลาร์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปัจจุบันพุ่งไปราว 275 ดอลลาร์ เติบโตมากกว่า 20 เท่า ความสำเร็จของ Broadcom มาจากการเป็นผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งในสมาร์ทโฟน เน็ตเวิร์ก และศูนย์ข้อมูล รวมถึงการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
หุ้นน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ เติบโตจากราคาประมาณ 40 ดอลลาร์ในอดีต มาอยู่ที่ 70.75 ดอลลาร์ในปัจจุบัน หรือโตประมาณ 1.7 เท่า เป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสายรับปันผล ด้วยฐานลูกค้าที่แข็งแรงทั่วโลกและแบรนด์ธุรกิจที่มั่นคง
ราคาหุ้นในอดีตอยู่ที่ประมาณ 46 ดอลลาร์ และปัจจุบันพุ่งขึ้นไปถึง 497.41 ดอลลาร์ หรือโตเกือบ 10 เท่า ความสำเร็จของ Microsoft มาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง และการลงทุนใน AI โดยเฉพาะการร่วมมือกับ OpenAI และเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่าง Copilot
หุ้นสตรีมมิ่งที่เติบโตจากราคาประมาณ 110 ดอลลาร์ในอดีต ไปถึง 1,339.13 ดอลลาร์ในปัจจุบัน โดยเติบโตมากกว่า 10 เท่า ความสำเร็จของ Netflix มาจากการเป็นผู้นำตลาดคอนเทนต์ออนไลน์ระดับโลก ที่มีซีรีส์และภาพยนตร์ที่ดึงดูดผู้ชมทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
ราคาหุ้น NVIDIA เคยอยู่ที่ประมาณ 0.5 ดอลลาร์ และปัจจุบันพุ่งสูงถึง 157.99 ดอลลาร์ หรือโตเกือบ 300 เท่า ความสำเร็จของ NVIDIA มาจากการเป็นหัวหอกในวงการ AI และชิปกราฟิก (GPU) ที่ได้รับความนิยมสูง ทำให้กลายเป็น “ราชาแห่ง AI” ที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว Tesla มีราคาหุ้นเพียง 18 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ปัจจุบันราคาพุ่งทะยานไปแตะ 317.66 ดอลลาร์ เติบโตกว่า 17 เท่า การเติบโตครั้งนี้สะท้อนความสำเร็จของ Tesla ในฐานะผู้นำตลาดรถไฟฟ้าและเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะโอกาสโตจากธุรกิจ Robotaxi และพลังงานสะอาดที่ได้รับความสนใจทั่วโลก
หุ้นทั้ง 10 ตัวนี้ ไม่ได้แค่สร้างผลตอบแทนที่น่าทึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่บอกเราว่า “โอกาส” มักจะมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมเสมอ
จาก Alphabet ที่ครองโลก Search Engine ไปจนถึง NVIDIA ที่ผงาดขึ้นเป็น “ราชาแห่ง AI” สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่า การลงทุนในบริษัทที่มองเห็นอนาคต และกล้าที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือกุญแจสำคัญสู่การเติบโต
Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก ช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสในตลาดหุ้นทั่วโลก ด้วยการคัดสรรหุ้นนอกคุณภาพ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ ไม่ต้องจับจังหวะลงทุนเอง
สนใจลงทุน คลิกเลย
คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ผมคิดว่าเต็มไปด้วยความ “กังวล” เหตุเพราะว่ามีเรื่องที่ “เลวร้าย” กับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเกิดขึ้นแทบไม่เว้นวัน
ล่าสุดก็คงต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อ 2-3 วันก่อนที่ดูเหมือนว่าการเจรจาของผู้แทนไทยกับสหรัฐเรื่องภาษีศุลกากรจะไม่สามารถสรุปได้ก่อนเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 หรืออีกแค่ 2-3 วันที่จะถึงนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ไทยอาจจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอเมริกาถึง 36% ซึ่งก็จะเป็นอัตราที่น่าจะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐลดลงมาก และก็จะทำให้การส่งออกโดยรวมของไทยลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการเติบโต GDP ของไทยในปีนี้และปีต่อ ๆ ไปที่มีการคาดมาก่อนหน้านี้ว่าจะโตช้ามากอยู่แล้ว
ว่าที่จริงหน่วยงานระดับธนาคารโลกได้ลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยเหลือเพียง 1.8% ในปีนี้และ 1.7% ในปีหน้าจากที่เคยคาดว่าจะเกิน 2% ในทั้ง 2 ปี และนั่นก็อาจจะยังไม่ได้รวมถึงผลกระทบจากการปรับภาษีของทรัมป์อย่างเต็มที่ด้วย
เรื่องนี้ก็คงจะทำให้นักลงทุนหลายคนกังวลใจและอาจจะนอนไม่ค่อยหลับถ้าถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากโดยเฉพาะที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐเป็นจำนวนมาก
แต่คนที่กังวลใจยิ่งกว่านั้น น่าจะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นหลักหรือเป็นจำนวนมากที่กังวลว่าสินค้าของตนเองจะ “ขายไม่ได้” หรือขายได้น้อยลงมาก เพราะราคาของสินค้าสู้กับคู่แข่งที่ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยกว่าสินค้าจากไทยซึ่งก็รวมถึงสินค้าจากเวียดนามที่ได้ตกลงกับสหรัฐเรียบร้อยแล้วว่าจะเสียภาษีนำเข้าที่ 20% สำหรับหลาย ๆ บริษัทแล้ว นี่อาจจะเป็น “หายนะ”
ผมไม่คิดว่าคนงานที่ทำงานในกิจการส่งออกจะรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา การผลิตและส่งออกดีขึ้นมาก แต่เหตุผลน่าจะมาจากการที่โรงงาน “เร่งผลิต” และส่งออกก่อนที่ “ภาษีทรัมป์” จะถูกบังคับใช้ แต่หลังจากวันที่ 9 ก.ค. ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปเพราะภาษีนำเข้าสหรัฐอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และวันนั้นคนงานจำนวนมากอาจจะต้องกังวลว่าจะตกงานและไม่รู้ว่าจะไปหางานที่ไหน เพราะโรงงานหลายแห่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็อาจจะกำลังปิดตัวลงเพราะไม่สามารถแข่งขันได้และไม่สามารถหาตลาดอื่นมาทดแทนได้
เรื่องที่น่ากังวลที่เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือปัญหาทางการเมืองที่นายกรัฐมนตรีต้องถูก “พักงาน” และไม่รู้ว่าสุดท้ายจะต้องหลุดจากตำแหน่งหรือไม่โดยศาลรัฐธรรมนูญกรณี “คลิปปล่อยของฮุนเซน” ผู้นำของกัมพูชา
ที่น่ากังวลก็เพราะว่ากรณีนี้ทำให้รัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรเกินครึ่งเพียงไม่กี่เสียงเกิดความไม่มั่นคงและอาจจะล้มได้ทุกเมื่อ เพราะนอกจากการแพ้โหวตในสภาแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามลงถนนประท้วงและใช้ “นิติสงคราม” เพื่อล้มรัฐบาลอย่างที่เคยใช้ได้ผลมานานในการเมืองของไทย
การที่รัฐบาลอาจจะล้มนั้น ผลกระทบสำคัญในระยะสั้นก็คือ งบประมาณประจำปีหน้าก็จะออกช้าลงไปอย่างน้อย 6-9 เดือน โครงการที่จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือการแก้ปัญหาสังคมการเมืองก็จะช้าตามกันไป ส่วนในระยะยาวเองนั้น ความสามารถทางการแข่งขันของไทยก็จะยิ่งด้อยลงไป เพราะการลงทุนของไทยที่ช้าลงนั้น ทำให้คู่แข่งพัฒนาไปจนเราตามไม่ทัน และเราจะค่อย ๆ ลดบทบาทลงในเศรษฐกิจและการเมืองของโลก
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อเมริกาเตรียมร่อนจดหมายขึ้นภาษี 100 ประเทศ ยึดเส้นตาย 9 กรกฎาคมนี้ แต่ใจดีขยับวันเก็บภาษีจริงเป็น 1 สิงหาคม 2025 จับตา “ทีมไทย” เร่งเจรจาขอลดภาษีให้ต่ำสุดที่ 10% แลกกับลดเกินดุลการค้าลง 70% และเพิ่มการนำเข้าพลังงานและเครื่องบิน Boeing
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับ Bloomberg ว่า ไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ต่อสหรัฐอเมริกา เพื่อลดผลกระทบจากการโดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% โดยตั้งเป้าให้เหลือภาษีในอัตราต่ำที่สุดราว 10-20%
สำหรับข้อเสนอชุดใหม่ คือไทยจะลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลงถึง 70% ภายในเวลา 5 ปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 46,000 ล้านดอลลาร์ และเสนอที่จะเพิ่มการซื้อพลังงาน และเครื่องบิน Boeing จากสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่าเตรียมจะส่งจดหมายขึ้นอัตราภาษีใหม่กับประเทศคู่ค้ากว่า 100 ประเทศทั่วโลก ภายในวันที่ 9 ก.ค. นี้ แต่จะเลื่อนการบังคับใช้ภาษีไปวันที่ 1 ส.ค. 2025
Source: Bloomberg (1), Bloomberg (2)
รัฐบาลจีนเตรียมออกนโยบายแก้ปัญหาวิกฤตประชากรลด แจกเงิน 16,000 บาทต่อปี ช่วยเลี้ยงลูก 3 ปีเต็ม หลังพบว่าแบบจำลอง UN คาดชาวจีนอาจเหลือน้อยกว่า 800 ล้านคน ในอีก 85 ปีข้างหน้า
Bloomberg รายงานว่า ในปี 2024 ประชากรโดยรวมของจีนยังคงลดลงต่อเนื่อง 3 ติด โดยในปีล่าสุดลดลงกว่า 1.39 ล้านคน เหลือเพียง 1,408 ล้านคน และมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 9.54 ล้านคน ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาทางเศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ล่าสุดสื่อจีนรายงานว่า ทางการจีนกำลังวางแผนแจกเงินอุดหนุนให้กับครอบครัวต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้คู่รักมีบุตร แก้ปัญหาจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวไปนานถึง 10 ปีแล้วก็ตาม
โดยทางการจีนเตรียมมอบเงิน 3,600 หยวน หรือ 16,000 บาทต่อปี แก่เด็กแต่ละคนที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีอายุ 3 ปี
แบบจำลองประชากรของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า จีนอาจมีจำนวนประชากรลดลงสู่ระดับ 1,300 ล้านคนภายในปี 2593 และต่ำกว่าระดับ 800 ล้านคนภายในปี 2100 เนื่องจากอัตราการแต่งงานที่ลดลงอย่างน่าตกใจ ซึ่งแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี
Source: Infoquest, กรุงเทพธุรกิจ