FundTalk Call คือคำแนะนำกองทุนรวมโดย Jet – The Contrarian ที่มีมุมมองการลงทุนในรูปแบบ “สวนตลาด” เน้นเฟ้นหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี และมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้
เป้าหมายของการลงทุนในสไตล์นี้ จึงเป็นการมองหาโอกาสเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล และหากคุณเองก็เชื่อในไอเดียการลงทุนแบบ The Contrarian Style นี่คือกองทุนแนะนำทั้งหมดที่เรารวมมาไว้ให้ครบในที่เดียว
อัปเดตมุมมองการลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 27 มีนาคม 2024 โดย Finnomena Funds
MEGA10CHINA-A
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นจีนที่เน้นลงทุน 10 หุ้นจีนแบรนด์ระดับโลก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยจะได้รับประโยชน์จากท่าทีของรัฐบาลที่หันกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจเต็มสูบ
PRINCIPAL GCLEAN-A
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด เน้นลงทุนในบริษัทผู้ผลิตพลังงานทางเลือกทั่วโลก ซึ่งจะเคลื่อนไหวสวนทางกับทิศทางดอกเบี้ย ดังนั้น การที่ Fed คอมเฟิร์มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ จึงเป็นโอกาสลงทุนในหุ้น Clean Energy
KT-ENERGY
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน จากมุมมองเชิงบวกต่อราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น เพราะประเด็นปริมาณการผลิตน้ำมันโลกที่มีโอกาสขาดแคลน ซึ่งเกิดจากประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์
KFSINCFX-A
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนตราสารหนี้โลกที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (unhedged) รับโอกาส Bond Yield ที่สูง พร้อม Capital Gain เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย และกำไรค่าเงินหากเงินบาทอ่อนค่าต่อ
K-SEMQ
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยมองเห็นโอกาสครั้งใหม่ของการเติบโตที่มีอัพไซด์ค่อนข้างสูง หนุนโดยประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย และบราซิล
KFHEALTH-A K-GHEALTH(UH)
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นกลุ่มสุขภาพ Global Health Care เป็นธีม Laggard Play ที่ราคายังขึ้นมาไม่เยอะ และมีโอกาสทะยานต่อจากการเกิด Sector Rotation ซึ่งหมุนจากหุ้นเทคโนโลยี
TISCOHD-A
แนะนำ “ขาย” กองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ที่เน้นจ่ายปันผลสูง หลังพบว่าตลาดยังขาดแรงกระตุ้นและไม่มีสัญญาณการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน จึงแนะนำโยกไปหาสินทรัพย์ใหม่ที่มีความน่าสนใจมากกว่า
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Xiaomi ผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากจีน ประกาศเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รุ่นแรกอย่างเป็นทางการในชื่อ Xiaomi SU7 ที่ราคาเริ่มต้น 215,900 หยวน หรือประมาณ 1 ล้านบาท
CNBC รายงานคำพูดของ Lei Jun, Chairman and CEO ของ Xiaomi ว่าราคาขายดังกล่าว ทำให้บริษัทต้องขาดทุนต่อคัน แต่ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ โดยมีเป้าหมายที่ท้าทาย คือพิสูจน์ให้ตลาดเห็นว่า Xiaomi สามารถเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด EV ที่มีความแข็งแกร่ง
จุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า Xiaomi คือระบบปฏิบัติการที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของ Xiaomi ได้ เรียกว่าเป็นการต่อยอด Ecosystem ของบริษัทให้ครบจบ
Lei Jun ยังเคลมอีกด้วยว่า Xiaomi SU7 มีสเปกที่เหนือกว่า Tesla Model 3 ในบางด้าน เช่น ระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง แต่ก็มีจุดด้อยกว่าในแง่ของระบบขับขี่อัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าใช้เวลาเพียง 3-5 ปี Xiaomi SU7 จะพัฒนาเทคโนโลยีให้ทัดเทียมได้
ทั้งนี้ ตัวรถพร้อมจะส่งมอบในสิ้นเดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะเริ่มขายในจีนเป็นหลัก และอาจใช้เวลา 2-3 ปีก่อนที่จะขยายไปตลาดต่างประเทศ
สำหรับใครที่สนใจกองทุนรวมหุ้นจีนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น Xiaomi เยอะ ๆ
Finnomena Funds แนะนำกองทุน MEGA10CHINA-A ซึ่งเน้นลงทุนแบบโฟกัสในหุ้นจีน H-Share แค่ 10 ตัวหลักที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วว่าดี ซึ่งปัจจุบันลงทุนใน Xiaomi ประมาณ 9.x%
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน Warren Buffett เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า วิธีดูภาพรวมตลาดหุ้นว่าช่วงนั้นถูกหรือแพง ราคามีความสมเหตุสมผลหรือไม่ ทำได้ง่าย ๆ โดยการเปรียบเทียบระหว่าง
สรุปออกมาเป็นสูตร Market Cap. to GDP คือให้นำมูลค่าของหุ้นทั้งหมดในตลาด หารด้วยมูลค่าเศรษฐกิจ เท่านี้เราก็จะพอวิเคราะห์ได้แล้วว่ามูลค่าของตลาดหุ้นสมเหตุสมผลแค่ไหน
Warren Buffett ระบุว่า 100% คือมูลค่าที่เหมาะสม (Fair Valued) หากต่ำกว่านี้ลงไปใกล้ 70% ถือเป็นราคาที่น่าซื้อ (Undervalued) แต่หากขึ้นไปถึงระดับ 200% เป็นสัญญาณว่าหุ้นแพงเกินมูลค่าแล้ว (Overvalued) บ่งชี้ว่านักลงทุนกำลังเล่นกับไฟ และมีโอกาสเกิดฟองสบู่แตก!
ในเวลาต่อมาจึงมีคนหยิบไอเดียนี้มาช่วยประเมินมูลค่าตลาดหุ้นของประเทศต่าง ๆ และเรียกจนติดปากว่า “Buffett Indicator”
Source: longtermtrends.net as of 28/03/2024
ตัวอย่างการใช้ Buffett Indicator ประเมินมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักนำดัชนี Wilshire 5000 เป็นดัชนีอ้างอิงในการวัดผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เพราะครอบคลุมบริษัทกว่า 70% ของมูลค่าตลาดรวม
จะเห็นว่า Buffett Indicator เคยขึ้นไปสูงมาก ๆ ในช่วงปี 2000 ซึ่งหลังจากนั้นได้เกิด Dot-Com Crisis และสัญญาณกระตุกขึ้นอีกครั้งเมื่อปี 2007 แล้วจึงเกิด Subprime Crisis
ส่วนปีที่เป็นจุดสูงสุดของ Buffett Indicator เกิดขึ้นเมื่อปี 2020 ที่ทะลุ 200% ก่อนที่ดัชนี S&P 500 จะถูกเทลงกว่า -20% ในปีถัดไป
ปัจจุบัน (28/03/2024) ดัชนีขึ้นไปแตะเกือบ 190% แล้ว เป็นสัญญาณอันตรายของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่น่าจับตามองทีเดียว เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่าความพีคของกระแส AI กำลังจะหายไป และถึงเวลาที่หุ้นสหรัฐฯ น่าจะเริ่มพักฐานบ้างแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่า Buffett Indicator จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นโดยเทียบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่ก็เป็นตัวบ่งชี้ที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่นขาดปัจจัยสำคัญ ๆ อาทิ อัตราดอกเบี้ย, ภาวะเงินเฟ้อ, ผลประกอบการบริษัท, ปัจจัยทางการเมือง เป็นต้น ดังนั้น จึงควรใช้เป็นหนึ่งใน Indicator ควบคู่กับการวิเคราะห์ด้านอื่น ๆ ด้วย
แหล่งอ้างอิง
ที่มา: บลจ. ทิสโก้ วันที่: 20 มีนาคม 2024
ผลตอบแทนพอร์ตกองทุนนับจากวันที่ 16 ก.พ จนถึง 20 มี.ค. 2024 ปรับเพิ่มขึ้น +1.56%
บลจ. ทิสโก้
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Finnomena Funds มีการทบทวนกองทุนแนะนำสำหรับการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และมีคำแนะนำเปลี่ยนแปลงกองทุนในหมวดหุ้นเอเชีย จากเดิมกองทุน B-ASIA เป็นกองทุนใหม่ UOBSA
UOBSA ลงทุนในกองทุนหลัก United Asia Fund ซึ่งที่ผ่านมากองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่ากองทุนในกลุ่มเดียวกันมาก และที่มาของผลตอบแทนที่โดดเด่น มาจากการกลยุทธ์การเลือกหุ้นด้วย Artificial Intelligence (AI) ซึ่ง United Asia Fund เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2021 ทำให้ผลตอบแทนหลังจากนั้นมีความโดดเด่นมาก
โดย AI มีบทบาทอย่างมากในการคัดเลือกหุ้น ยกตัวอย่างเช่น จากเดิมที่ต้องใช้นักวิเคราะห์ 5 คน ในการวิเคราะห์หุ้น 250 ตัว (ซึ่งเท่ากับเพียง 1% ของตลาด) AI สามารถวิเคราะห์หุ้นในเอเชียได้มากกว่า 25,000 ตัว (100% ของตลาด) เป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการลงทุนในหุ้นใหม่ๆ ที่ถึงแม้ยังไม่ได้รับความสนใจจากตลาดมาก แต่มีศักยภาพสูง
ในรายละเอียดกระบวนการการคัดเลือก AI จะแสกนหุ้นที่มีพื้นฐานดีที่สุด 100 ตัว โดยใช้ตัวแปรในการวิเคราะห์มากกว่า 33,000 ตัวแปร โดยหุ้นทั้ง 100 ตัวจะเป็นหุ้นที่มี Upside Potential สูงที่สุด จากนั้นนักวิเคราะห์จะคัดเลือกให้เหลือเพียง 50 ตัว และนำมาจัดพอร์ต โดย AI จะช่วยในการจัดส่วนการลงทุน ให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่เหมาะสมที่สุด โดยกระบวนการทั้งหมดจะทำทุกเดือน เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีความเหมาะสมกับสถานการ์ณปัจจุบันมากที่สุด
Source: Finnomena Funds, Morningstar as of 13/03/2024
โดยจาก Track Record ที่ผ่านมา AI มีการจัดสัดส่วนได้อย่างแม่นยำ โดยมีการแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศจีนในช่วงปี 2021 และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในประเทศอินเดียเข้ามาแทน ส่งผลให้ United Asia Fund สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นใน 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การปรับสัดส่วนรายเดือนยังสามารถทำได้อย่างรวดเร็วเมื่อเที่ยบกับกองทุนที่ไม่ใช่ AI
เราเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนที่กล่าวมาเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่มีโอกาสสูงที่จะทำซ้ำต่อได้ในอนาคต จึงแนะนำซื้อ UOBSA
กองทุน UOBSA เป็นกองทุนความเสี่ยงสูงระดับ 6 ปัจจุบันป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Fx Hedge ration) ที่ 0.00% มีดัชนีชี้วัดเป็น ดัชนี MSCI AC Asia (ex Japan) net TR USD
Source: uobam.co.th as of 19/03/2024
อ่านบทความ รีวิวกองทุน UOBSA คัดบริษัทหมื่นแห่งทั่ว Emerging Asia ด้วยพลัง AI
ดู Fund Fact Sheet กองทุนแนะนำ
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
จัดทำโดยบลป. เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ว่ากันว่านี่จะเป็นโอกาสสำคัญของตลาดหุ้นเวียดนามที่จะยกระดับตัวเองจาก “ตลาดชายขอบ” เลื่อนชั้นขึ้นสู่ Emerging Market ลบภาพ “ปลาใหญ่ในบ่อเล็ก” กระโดดเข้าไปเป็น “ปลาเล็กในบ่อใหญ่”
ปกติแล้วการจัดเกรดของหุ้นโลก จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
Source: Finnomena Funds, Investing.com as of 25/03/2024
เวียดนามถูกจัดให้อยู่ใน Frontier Market มาตั้งแต่ปี 2008 และในปี 2018 ถูกเพิ่มเข้ามาใน Watch List ที่มีโอกาสขึ้นสู่ Emerging Market
แต่ว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เวียดนามยังไม่สามารถสอบผ่านได้สักที เนื่องจากติดกฎเกณฑ์บางอย่างที่ยังทำไม่สำเร็จ เช่น เรื่อง Clearing & Settlement T+2/T+3, เรื่อง Settlement Cycle (DvP) เป็นต้น
รัฐบาลเวียดนามก็มีความพยายามอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายขึ้นสู่ Emerging Market (FTSE Secondary EM) ในเดือนกันยายน 2025 ด้วยการเร่งปรับหลักเกณฑ์สำคัญ
หนึ่งคือ… ประกาศร่างเกณฑ์ Non Prefunding สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติสามารถซื้อหุ้นเวียดนามได้โดยไม่ต้องมีเงิน Good Fund 100% ในบัญชีก่อนการส่งคำสั่งซื้อ (คล้ายบัญชี Cash Balance ในไทย)
สองคือ… กระทรวงการคลังเสนอให้บริษัทหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2025
การอัปเกรดเวียดนามเข้า EM จะส่งผลดีหลายประการ อันดับแรกเลยคือเพิ่มอัพไซส์จากเงินไหลเข้าของกองทุน EM ทั้งหลายที่มีขนาดใหญ่กว่า Frontier มหาศาล
Source: Finnomena Funds, Morningstar as of 25/03/2024
ทุกวันนี้เวียดนามเปรียบเสมือนปลาใหญ่ในบ่อเล็กที่แทบจะกินส่วนแบ่งทั้งหมดใน Frontier แต่การย้ายขึ้นไปบน EM จะทำให้ภาพของเวียดนามกำลังจะกลายเป็นปลาเล็กในบ่อใหญ่ ซึ่งตลาดหุ้นเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.5% ของ Market Cap EM
Source: Finnomena Funds, Morningstar as of 25/03/2024
ดังนั้น คาดจะมี Flow ไหลเข้าเวียดนามจากกอง Passive Funds 5 พันล้านเหรียญ Active Funds 8 พันล้านเหรียญ และหักออกด้วยกอง Frontier ที่คาดมีเงินไหลออก 4 พันล้านเหรียญ ทำให้สุทธิแล้วประเมินว่าจะมีเงินไหลเข้า 9 พันล้านเหรียญ
Source: Finnomena Funds, FTSE and MSCI report as of 25/03/2024
– อ่านเพิ่มเติม สรุปความเห็นจาก บลจ. เกี่ยวกับการอัปเกรดเข้า FTSE EM Market ของเวียดนาม
มุมมองกองทุนเวียดนาม Finnomena Funds ยังคงแนะนำ PRINCIPAL VNEQ-A ตามกรอบการลงทุน MEVT Call สำหรับเป้าหมายระยะกลาง-ยาว โดยยังชื่นชอบตลาดหุ้นเวียดนาม เพราะระยะยาวได้อานิสงส์จาก China+1 และมี Catalyst จากการถูก upgrade เข้าสู่ดัชนี FTSE Emerging market Index
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อยู่ประเทศไหน?
หลายคนที่เจอคำถามนี้อาจจะนึกถึง เยอรมนี ที่เป็นเศรษฐกิจพี่ใหญ่ของยุโรป หรือ ฝรั่งเศส ที่มีบริษัทแบรนด์หรูอันดับ 1 อย่าง LVMH … ส่วนบางคนน่าจะนึกไปถึง อังกฤษ ที่เป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจด้านการเงิน
แต่คำตอบที่ว่ามาก็ยังไม่ถูก บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปแท้จริงแล้วแฝงกายเร้นลับอยู่ในประเทศเล็ก ๆ เหนือขึ้นไปจากเยอรมนี ทอดตัวอยู่ระหว่างผืนน้ำที่สำคัญสองแห่งคือทะเลเหนือและทะเลบอลติก นี่คือประเทศที่เล็กที่สุดในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ประเทศเขตอบอุ่นตอนเหนือที่มีประชากรเบาบางเพียง 1 ใน 10 ของไทย
เดนมาร์ก คือบ้านหลังเล็ก ๆ ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่าง Novo Nordisk บริษัทยาผู้ครอบครองตลาดยารักษาเบาหวานได้เกือบครึ่งโลก เจ้าของผลิตภัณฑ์ปากกาฉีดรักษาเบาหวาน Ozempic® โดยปัจจุบัน Novo Nordisk มีมูลค่าบริษัทไล่เลี่ยกับ Visa, TSMC และ J.P. Morgan
Market Capitalization ของหุ้นยุโรปในดัชนี STOXX 600 | Source: Tradingview as of 21/3/2024
จุดเริ่มต้นของ Novo Nordisk เริ่มขึ้น 2 ปีหลังจากที่ August Krogh (เอากุสต์ โครก์ห) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี 1920 จากการค้นพบกลไกควบคุมการสั่งการของหลอดเลือดฝอย เขาได้รับเชิญให้เดินทางข้ามทะเลแอตแลนติกเพื่อไปบรรยายให้กับมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ
แต่จุดที่ทำให้เรื่องราวของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาลคือในทริปนั้นเขาได้แวะขึ้นเหนือไปยังมหาวิทยาโทรอนโต ประเทศแคนาดา ณ ที่แห่งนั้น เขาได้พบนักวิจัย 2 ท่านที่คิดค้นการผลิต Active Insulin ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (พวกเขาได้รับรางวัล Nobel หลังจากนั้น) และยังได้เข้าพบคณะกรรมการอินซูลินของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิบัตร ข่าวดีคือ Krogh ได้รับอนุญาตให้กลับไปผลิตอินซูลินในประเทศนอร์ดิก
อีก 1 ปีให้หลัง August Krogh ได้ก่อตั้ง Nordisk Insulinlaboratorium ทว่าต่อมาเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นจนทำให้ 2 พนักงานคนสำคัญต้องระเห็จออกไปและก่อตั้งบริษัทซึ่งต่อมามีชื่อว่า Novo Terapeutisk Laboratorium และทั้ง 2 บริษัทนี้ก็ได้ขับเคี่ยวกันต่อไปในอีกหลายทศวรรษต่อจากนั้น
มหกรรมการแข่งขันระหว่างสองบริษัทดำเนินไปต่อเนื่องจนถึงปลายทศวรรษที่ 1980 จนถึงจุดที่ทั้งคู่ตระหนักว่าทั้งคู่ “เป็นบริษัทใหญ่ของเดนมาร์ก แต่เป็นบริษัทเล็กบนเวทีโลก” อ้างอิงจากแถลงการณ์ร่วมในภายหลัง
เดิมที สองบริษัทต่างดำเนินการภายใต้ตลาดเดียวกัน ใช้ทีมวิจัยและบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ทับซ้อนกัน แถมยังอยู่ห่างกันไม่กี่กิโลเมตร จึงตัดสินใจยุติการแข่งขันอันยาวนาน และควบรวมกันเป็น Novo Nordisk ที่เรารู้จักกัน และขยายไลน์สินค้าออกไปอย่างหลากหลาย
ต่อจากนั้น บริษัทได้ผลิตสินค้าออกมาหลากหลายมากขึ้นตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโรคเรื้อรังอย่างเบาหวานและโรคอ้วน ไปจนถึงโรคที่พบได้ยากเกี่ยวกับเลือด ต่อมไร้ท่อ และอื่น ๆ
Novo Nordisk มีการจ้างพนักงานมากกว่า 47,000 คน ในสํานักงานกว่า 80 แห่งทั่วโลก และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใน 168 ประเทศ โดยแบ่งธุรกิจออกมาได้เป็น 5 ส่วน คือ
สัดส่วนรายได้ของ Novo Nordisk ปี 2023 | Source: Novo Nordisk – Investor Presentation Full year 2023
ปีที่ผ่านมา Novo Nordisk มีรายได้สูงถึง 232,261 ล้านโครเนอ เติบโต 31% จุดที่เป็นไฮไลต์คือการเติบโตของกำไรที่สูงแม้ทุ่มงบทำ R&D เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า
ธุรกิจที่เป็นแรงส่งสำคัญของ Novo Nordisk ในปีที่ผ่านมามี 2 ส่วนคือ
ผลประกอบการของ Novo Nordisk ปี 2023 | Source: Novo Nordisk – Annual Report 2023
สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่าง Novo Nordisk ทาง Finnomena Funds แนะนำกองทุนหุ้นยุโรป 2 กองทุน ได้แก่ ABEG และ ONE-EUROEQ เพื่อรับโอกาสในช่วงเงินเฟ้อขาลงและการเข้าสู่ช่วงการลดดอกเบี้ยของยุโรป ซึ่งช่วยหนุนเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในภูมิภาค
สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนในระยะสั้นตามกรอบ Mr.Messenger Call เราขอแนะนำกองทุน ABEG เพื่อลงทุนตามโมเมนตัม รับดัชนีตลาดหุ้นยุโรปทำจุดสูงสุดใหม่ และเกิดสัญญาณปรับตัวเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง
โดย ABEG คือกองทุนรวมหุ้นยุโรปบริหารโดย adrdn Investment ที่เน้นส่งเสริมบริษัทที่มีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมหรือสังคม แต่กองทุนหลักไม่ได้มีนโยบายการลงทุนที่จัดเป็นประเภทการลงทุนที่ยั่งยืน กองทุน ABEG จะมีความกระตุ้นมากกว่า ONE-EUROEQ
📍 มีสัดส่วนการลงทุนใน Novo Nordisk 7.75% (อันดับ 2 ของพอร์ต)
สัดส่วนการลงทุนของกองทุนหลัก | Source: Fund Fact Sheet as of 29/2/2024
*ข้อมูลบริษัทอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และการลงทุนของกองทุน ABEG มิได้ลงทุนในบริษัทข้างต้นนี้เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทใด จะเข้าเงื่อนไขตรงกับนโยบายของกองทุน
อีกหนึ่งกองทุนที่เราแนะนำคือ ONE-EUROEQ สามารถลงทุนได้ทั้งระยะสั้นตามกรอบ Mr. Messenger Call และลงทุนระยะยาวตามกรอบ MEVT Call ซึ่งการลงทุนระยะยาวจะจับโอกาสเข้าลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นยุโรปยัง laggard มูลค่าน่าสนใจ แต่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตจากเงินเฟ้อที่คลายตัวและการลดดอกเบี้ย
ONE-EUROEQ คือกองทุนรวมหุ้นยุโรป ที่บริหารจัดการโดย ELEVA Capital ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความชำนาญในการลงทุนในหุ้นยุโรป มีกระบวนวิเคราะห์หุ้นลักษณะ Bottom up โดยลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตระยะยาวและมีความสามารถในการแข่งขัน
📍 มีสัดส่วนการลงทุนใน Novo Nordisk 5.88% (อันดับ 1 ของพอร์ต)
สัดส่วนการลงทุนของกองทุนหลัก | Source: Fund Fact Sheet as of 31/1/2024
*ข้อมูลบริษัทอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และการลงทุนของกองทุน ONE-EUROEQ มิได้ลงทุนในบริษัทข้างต้นนี้เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทใด จะเข้าเงื่อนไขตรงกับนโยบายของกองทุน
Finnomena Funds แนะนำ ทยอยสะสม ONE-EUROEQ
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
อ้างอิง
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
พอร์ตการลงทุน GMAI ปรับพอร์ตรอบใหม่ คัดเลือก 5 กองทุนโมเมนตัมเด่น ทีมงาน Deepscope GURUPORT แนะนำปรับสัดส่วนการลงทุน และ Rebalance ตามคำแนะนำด้านล่างนี้
จากประเด็นข้างต้น บวกกับการวิเคราะห์โมเมนตัมโดย AI ทำให้รอบการปรับพอร์ตรอบนี้ พอร์ตโฟลิโอ Growth Momentum AI (GMAI) คัดเลือกกองทุนที่ผลงานดี โมเมนตัมเด่น โดยเน้นไปที่กองทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มที่นำเทคโนโลยีไปใช้ในงานด้านต่างๆที่ยังอยู่ใน trend การเติบโต ทั้ง Blockchain, Semiconductor, ธุรกิจเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตรูปแบบใหม่ และ Fintech รวมถึงกองทุนที่โฟกัสในตลาดหุ้นฝั่ง US ที่กำลังร้อนแรง
ที่มา: Deepscope ณ วันที่ 28 มีนาคม 2024
ล้วงลึกทุกกองทุนจากพลัง AI ที่ไร้ขีดจำกัด ด้วยพอร์ต Growth Momentum AI (GMAI) โดย Deepscope
ดูรายละเอียดพอร์ต >>> https://finno.me/guruport-deepscope
ดู Fund Fact Sheet กองทุนแนะนำ
บทความโดย Deepscope สำหรับพอร์ต Growth Momentum AI (GMAI) ที่ Finnomena Funds เท่านั้น ข้อมูล ณ วันที่ 28 มีนาคม 2024
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทําให้ผู้ลงทุน ขาดทุนหรือได้รับกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | บางกองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
FundTalk Call คือคำแนะนำกองทุนรวมโดย Jet – The Contrarian ที่มีมุมมองการลงทุนในรูปแบบ “สวนตลาด” เน้นเฟ้นหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี และมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้
เป้าหมายของการลงทุนในสไตล์นี้ จึงเป็นการมองหาโอกาสเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล และหากคุณเองก็เชื่อในไอเดียการลงทุนแบบ The Contrarian Style นี่คือกองทุนแนะนำทั้งหมดที่เรารวมมาไว้ให้ครบในที่เดียว
อัปเดตมุมมองการลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 27 มีนาคม 2024 โดย Finnomena Funds
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นจีนที่เน้นลงทุน 10 หุ้นจีนแบรนด์ระดับโลก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยจะได้รับประโยชน์จากท่าทีของรัฐบาลที่หันกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจเต็มสูบ
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด เน้นลงทุนในบริษัทผู้ผลิตพลังงานทางเลือกทั่วโลก ซึ่งจะเคลื่อนไหวสวนทางกับทิศทางดอกเบี้ย ดังนั้น การที่ Fed คอมเฟิร์มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ จึงเป็นโอกาสลงทุนในหุ้น Clean Energy
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน จากมุมมองเชิงบวกต่อราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น เพราะประเด็นปริมาณการผลิตน้ำมันโลกที่มีโอกาสขาดแคลน ซึ่งเกิดจากประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนตราสารหนี้โลกที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (unhedged) รับโอกาส Bond Yield ที่สูง พร้อม Capital Gain เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย และกำไรค่าเงินหากเงินบาทอ่อนค่าต่อ
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยมองเห็นโอกาสครั้งใหม่ของการเติบโตที่มีอัพไซด์ค่อนข้างสูง หนุนโดยประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย และบราซิล
แนะนำ “ซื้อ” กองทุนหุ้นกลุ่มสุขภาพ Global Health Care เป็นธีม Laggard Play ที่ราคายังขึ้นมาไม่เยอะ และมีโอกาสทะยานต่อจากการเกิด Sector Rotation ซึ่งหมุนจากหุ้นเทคโนโลยี
แนะนำ “ขาย” กองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ที่เน้นจ่ายปันผลสูง หลังพบว่าตลาดยังขาดแรงกระตุ้นและไม่มีสัญญาณการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน จึงแนะนำโยกไปหาสินทรัพย์ใหม่ที่มีความน่าสนใจมากกว่า
กองทุนไหนดี ดูคำแนะนำทั้งหมด คลิกเลย
ไหน ๆ จะลงทุนทั้งที การไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเต็มเนี่ย ออกจะฟินสุดๆ ทีมงานมัดรวม FINT Cashback ตามลิงก์ข้างล่างเลย 👇🏻👇🏻👇🏻
1️⃣ อยากใช้ FINT Cashback ต้องเข้าตรงไหน?
💡 Link : https://www.finnomena.com/fint/cashback2️⃣ สอนใช้ FINT Cashback แบบจับมือทำ
💡 Link : https://youtu.be/Zsrs7URDUwM?si=uROVCvLFIvA_Au0f3️⃣ กองทุนที่เราจะลงทุน เข้าร่วม Cashback ไหม?
💡 Link : https://www.finnomena.com/fint/cashback/fund-list4️⃣ อยากรู้ลึกๆ ว่า FINT Cashback คืออะไร?
💡 Link : https://docs.fint.finance/fint-token/use-fint-fint/cashback-from-fee
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ปีนี้เอเชียกลับมาอยู่ในเส้นทางการเติบโตที่น่าสนใจ คาดการณ์ GDP โตอยู่ที่ 4.6% ในปีนี้ และ 4.7% ในปีหน้า หากนับเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (เช่น จีน ไต้หวัน อินเดีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้) ซึ่งถือว่าเหนือกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ในโลก
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น …
สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดที่มีพลังการเติบโตและอยู่ใน Valuation ที่น่าสนใจอย่าง Emerging Asia กองทุน UOBSA กองทุน Asia ex Japan ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์สินทรัพย์คือหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
UOBSA หรือ กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย เป็นกองทุนหุ้น Asia ex Japan ลงทุนในกองทุนหลัก United Asia Fund บริหารแบบ active โดยใช้ AI ช่วยคัดเลือกหุ้นจากทั้งหมดหลายหมื่นตัว พิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ คือ Fundamental, Macro และ Technical หลังจากนั้น นักวิเคราะห์จะทำการวิเคราะห์เชิงลึกต่อเพื่อคัดเลือกหุ้นเหลือเพียง 50 บริษัท
สัดส่วนการลงทุนของกองทุนหลัก | Source: UOBAM United Asia Fund Update Slide as of Feb 2024
*ข้อมูลบริษัทอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และการลงทุนของกองทุน UOBSA มิได้ลงทุนในบริษัทข้างต้นนี้เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทใด จะเข้าเงื่อนไขตรงกับนโยบายของกองทุน
ผลการดำเนินงานของกองทุนหลักย้อนหลังในช่วง 1-5 ปี | Source: UOBAM United Asia Fund Update Slide as of Feb 2024
*ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
สไตล์ของหุ้นในพอร์ตของกองทุนหลัก UOBSA | Source: UOBAM United Asia Fund Update Slide as of Feb 2024
รายละเอียดอื่น ๆ ของ UOBSA (ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 31 มกราคม 2567)
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
อ้างอิง
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
FundTalk Contrarian Call แนะนำเข้าลงทุนในหุ้น Clean Energy กองทุน PRINCIPAL GCLEAN-A ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง พร้อมแนะนำสับเปลี่ยนออกกองทุน TISCOHD-A หลัง Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามตลาดคาดที่ระดับ 5.25%- 5.5% พร้อมเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) บ่งชี้ถึงสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ FundTalk มีมุมมองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Energy) จะมีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีหาก Fed ลดดอกเบี้ย
3 เหตุผลหลักที่ทำไมหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดจะกลับมาโดย Fidelity
S&P Global Clean Energy Index
Source: Bloomberg as of 21/03/2024
หุ้นกลุ่ม Clean Energy มีแนวโน้มที่ Earnings จะโดดเด่นใน 2 ปี ข้างหน้า โดย EPS คาดว่าจะเติบโต 39.40% ในปี 2025 และ 19.24% ในปี 2026 ขณะที่ P/E อยู่ที่ระดับประมาณ 18 เท่า ซึ่งต่ำกว่า S&P 500 index จึงอยู่ในระดับที่ถูก เนื่องจากราคาที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลง จากดอกเบี้ยที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น
iShares Global Clean Energy (INRG) – Top 10 Holdings
Source: iShares Global Clean Energy (INRG) as of 16/03/2024
หน้าพอร์ตของกองทุนแม่ของ iShares Global Clean Energy (INRG) ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ PRINCIPAL GCLEAN-A ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่มผู้ผลิตพลังงานทางเลือก, Utilities, Industrial, และ Information Technology โดยเน้นการลงทุนในประเทศสหรัฐฯ จีน และเดนมาร์ก
โดยถ้าหากพิจารณาราคา INRG จะพบว่า ราคาจะปรับตัวขึ้น เมื่อ Bond yield อยู่ในทิศทางลดลง ในขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ราคาจะปรับตัวลดลงมา ดังนั้นเมื่อ Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้จึงเป็นโอกาสในการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Clean Energy
กราฟราคา PRINCIPAL GCLEAN
Source: FINNOMENA Funds as of 21/03/2024
FundTalk มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Clean Energy จึงแนะนำลงทุนในกองทุน PRINCIPAL GCLEAN-A ซึ่งลงทุนใน iShares Global Clean Energy
นอกจากนี้ FundTalk แนะนำสับเปลี่ยนออกกองทุน TISCOHD-A ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นในดัชนี SET High Dividend 30 Total Return Index เนื่องจาก Fund Flow ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องอาจกดดันต่อตลาดหุ้นไทย ดังนั้นควรเลือกสินทรัพย์อื่นที่มีความน่าสนใจมากกว่า
ดู Fund Fact Sheet กองทุนแนะนำ
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
จัดทำโดยบลป. เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
State Securities Commission (SSC) ได้ประกาศร่าง Non-Prefunding สำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยร่างเสนอนี้ทำให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติที่มีเงินทุนเพียงพอสามารถลงทุนซื้อหุ้นได้โดยไม่ต้องมีเงิน Good Fund 100% ในบัญชีก่อนการส่งคำสั่งซื้อ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของเวียดนามเสนอให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลทางการเงินทั้งภาษาเวียดนามและภาษาอังกฤษ โดยบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่จะต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์นี้ในภายวันที่ 1 มกราคม 2025 และบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดจะต้องปฏิบัติตามภายในปี 2028 ขณะที่ SSC และ Vietnam Securities Depository and Clearing Corporation (VSDC) จะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งภาษาเวียดนาม และภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลเวียดนามที่พยายามผลักดันตลาดหุ้นเวียดนามให้อยู่ในสถานะ Secondary Emerging market ของ FTSE ภายในปี 2025
อย่างไรก็ตาม ทาง Finnomena Funds ได้สอบถามและรวบรวมมุมมองจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกี่ยวกับความเป็นไปในการ upgrade สู่ Secondary Emerging market ของตลาดหุ้นเวียดนาม ดังนี้
บลจ. | ความเห็น/มุมมอง | ช่วงเวลาที่จะเกิดการ upgrade สู่ Secondary Emerging market | ความมั่นใจต่อการ upgrade (1 ถึง 5) โดย 5 คือมั่นใจมากสุด |
KSAM
(KFVIET-A) |
คาดว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาสที่จะได้รับ upgrade จาก Frontier ขึ้นมาเป็น EM จาก FTSE และจะดึงดูด flow นักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น | การ upgrade เป็น EM ของ FTSE อาจจะเป็นในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 | 4 |
JPMorgan (กองทุนหลักของ KFVIET-A) | ในแง่ของการพัฒนาเศรษฐกิจ ขนาดตลาดหุ้น และเกณฑ์สภาพคล่องเวียดนามทำได้ดี แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่อง FOL, Pre-Funding และการเปิดเผยข้อมูล แต่ล่าสุดเวียดนามเตรียมปรับปรุงเรื่อง Pre-funding แล้ว | ระยะเวลาอาจยังไม่ชัดเจน | 4 |
PRINCIPAL
(PRINCIPAL VNEQ-A) |
มีผลดีหลายประการ เช่นการ P/E re-rating และมีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าเพิ่มมากขึ้น | การ upgrade เข้าสู่ EM Market ของ FTSE จะเกิดขึ้นในปี 2025 หลังข้อจำกัด pre-funding ถูกแก้ไข | N/A |
BBLAM
(B-VIETNAM) |
มีผลดีต่อเม็ดเงินใหม่ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นใน VN30 Index และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหุ้น รวมถึงเพิ่มความโปร่งใสและมาตรฐานในการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน ในมุมมองของ BBLAM เชื่อว่าการ Upgrade สู่ FTSE Russell Emerging Market จะเกิดขึ้นจริง และเกิดก่อน MSCI Emerging Market เนื่องจาก Requirement ที่เข้มงวดน้อยกว่า | การยกระดับตลาดให้ทันเป้าหมายของรัฐในปี 2025 มีโอกาสมากกว่า 70% ที่จะทันรอบทบทวน FTSE ในเดือน มีนาคม 2025 และมีแนวโน้มเห็นเม็ดเข้ามาจริงในช่วงหลังจากการประกาศ | มีโอกาสมากกว่า 70% ที่จะทันรอบทบทวน FTSE ในเดือน มีนาคม 2025 |
ASP
(ASP-VIET) |
การถูกปรับสถานะเป็น FTSE Emerging market ของเวียดนามมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากการที่ ก.ล.ต. ประกาศร่างแผนการยกเลิก Prefunding จากนักลงทุนสถาบันต่างชาติ และการบังคับให้บริษัทจดทะเบียนที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นเกิน 1.2 แสนล้านดอง ต้องมีการรายงานข้อมูลบริษัทเป็นภาษาอังกฤษ (จากเดิมแสดงเพียงแค่ภาษาเวียดนามได้) โดย Prefunding เป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญในการเข้าสู่สถานะตลาดเกิดใหม่
ทาง บลจ. มีมุมมองบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้นเวียดนามในช่วง 6-12 เดือนต่อจากนี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่าน Passive ETF (FTSE EM และ FTSE World) จากปริมาณเงินจากนักลงทุนต่างชาติที่จะไหลเข้าจากการยกเลิก pre funding และเก็งกำไรในการ upgrade สถานะตลาด |
คาดว่าระยะเวลาในการเข้าสู่ FTSE Emerging market จะเป็นช่วงไตรมาส 1/2025 | 4 |
SCBAM
(SCBVIET(A)) |
การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ Pre-Funding ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ค่อนข้างเป็นบวกในช่วงนี้
แต่ SCBAM เชื่อว่าเร็วเกินไปที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะถูก upgrade สู่ EM ของ FTSE ทันทีในรอบนี้ |
กรณีเร็วสุดคือประกาศผลเดือนก.ย. 2024 และมีผลคำนวนในปี 2025 | 4 โดยค่อนข้างมั่นใจว่าจะเกิด Market Upgrade แม้เรื่องของ Timing อาจจะยังไม่สามารถตอบได้แบบชัดเจนมาก |
Dragon Capital
(กองทุนหลักของ TMB-ES-VIETNAM) จาก EASTSPRING |
ภาครัฐมีความมุ่งมั่นในการยกระดับตลาดหุ้นเวียดนามเข้าสู่ Emerging Market ของ FTSE ในปี 2025 โดย Dragon Capital คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเวียดนามราว $1.4 bn | คาดว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะถูก upgrade เข้า FTSE EM ในปี 2025 | N/A |
Anonymous 1 | มีมุมมองเชิงบวกสำหรับการ Upgrade สู่ EM status ของ FTSE เนื่องจาก EM status จะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดขนาดใหญ่กว่า Frontier status | โดยคาดว่าอย่างเร็วที่สุดจะประกาศในรอบเดือนกันยายน ปี 2025 | 3 (ใน 6-12 เดือนข้างหน้า) |
Anonymous 2 | มีความเป็นไปได้ที่เวียดนามจะได้เปลี่ยนสถานะจาก Frontier Market เป็น Emerging Market (EM) ในการประเมินของ FTSE โดยรัฐบาลเวียดนามวางแผนเข้าสู่ Emerging Market (EM) ให้ได้ภายในปี 2025
โดยในปี 2024 นี้เวียดนามจะยกเลิกการใช้ pre-funding ซึ่งเป็นเกณฑ์ประเมินสำคัญของ FTSE |
FTSE จะประกาศให้ตลาดหุุ้นเวียดนามเข้าสู่ EM market ใน ก.ย. 2024 และถูก upgrade ใน EM market เดือนกันยายน 2025
(source: VNDirect) |
N/A |
Bloomberg รายงานว่า Fund House ระดับโลกหลายแห่ง เช่น PIMCO, BlackRock รวมถึงราชาพันธบัตรอย่าง Bill Gross เริ่มมีมุมมองตรงกันว่าจะเข้าเก็งกำไรในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุต่ำกว่า 5 ปี) หลังมีแนวโน้มที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
เราเรียกกลยุทธ์นี้ว่า Bond Steepener ซึ่ง Fund Manager จะเข้าซื้อตราสารอายุสั้น เพราะเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยมากกว่า เพื่อคาดหวังผลกำไรจากส่วนต่างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นระหว่างตราสารระยะสั้นกับระยะยาว
ปัจจุบันเส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ เคลื่อนไหวในรูปแบบ Inverted Yield Curve แต่หาก Fed มีการลดดอกเบี้ย จะส่งผลให้ Yield ของตราสารหนี้ระยะสั้นลดลงมาก และทำให้เส้นผลตอบแทนมีความชันขึ้น (steepened) กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในแง่ของการลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ Finnomena Funds แนะนำเลือกกองทุนตราสารหนี้โลกที่มี Duration ไม่ยาวจนเกินไป และมีความยืดหยุ่นตามสภาวะตลาด ผ่านกองทุน UGIS-N (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) และ KFSINCFX-A (ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน)
ซึ่งทั้ง 2 กองทุนนั้นมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund โดยมีจุดเด่นด้านการปรับพอร์ตอย่าง Dynamic ตามสภาะวะตลาดและ Yield ที่ผันผวน
Source
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในกรอบระยะเวลาตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกันตามคำแนะนำ | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ |สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE
Finnomena แพลตฟอร์มบริหารการเงินลงทุนอันดับ 1 ของไทย การันตีโดย 6 รางวัลระดับประเทศและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น
1.) รางวัล “องค์กรที่สร้างคุณค่าด้านการให้ความรู้แก่สังคม” มอบโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
2.) รางวัล “Most Innovative WealthTech Firm” จากเวที International Finance Award 2023
3.) Global Private Banker Awards 3 รางวัล ได้แก่
4.) รางวัล Best FinTech Distributor Award จากเวที Principal 2024 Asia Pacific and Middle East Sales Conference Bangkok
สนใจ Subscribe ติดตามข่าวสารการลงทุนฟรี คลิกเลย
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT
ราคาทองคำในประเทศไทยปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราคา 37,650 บาท ในวันที่ 21 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในประเทศไทยสอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำโลกที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ออกมายังอ่อนแอ รวมถึงการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงช่วงเดือน มิ.ย. นี้
แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าการลงทุนในทองคำโดยตรง จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ สำหรับคนที่อยาก “ลงทุนทอง” แต่ต้องการเริ่มต้นลงทุนโดยใช้เงินลงทุนไม่มาก วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับหนึ่งในวิธีการลงทุนทองที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาทเท่านั้น นั่นคือการลงทุนทองผ่าน “กองทุนรวม” จะมีกองทุนใดบ้าง รายละเอียดของแต่ละกองทุนจะเป็นอย่างไร? ลองมาดูกัน
พิเศษ! ติดตามราคาทองคำแบบ Real-Time ทั้งทองไทยและทองโลก บนเว็บไซต์ Finnomena ได้แล้ววันนี้ คลิกเลย https://finno.me/gold-web
กองทุนไทยที่ลงทุนในทองคำ ปัจจุบันมีอยู่กว่า 30 กองทุนด้วยกัน สำหรับนโยบายลงทุนกองทุนจะในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ มีความเสี่ยงระดับ 8 (เสี่ยงสูงมาก) เนื่องจากเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ในบทความนี้เราเลือกมาทั้งหมด 10 กองทุนด้วยกัน โดยเป็นกองทุนที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาทเท่านั้น แต่ละกองทุนมีรายละเอียด ดังนี้
— planet 46.
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ราคาทองคำในประเทศไทยปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราคา 37,650 บาท ในวันที่ 21 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในประเทศไทยสอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำโลกที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ออกมายังอ่อนแอ รวมถึงการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงช่วงเดือน มิ.ย. นี้
แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าการลงทุนในทองคำโดยตรง จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ สำหรับคนที่อยาก “ลงทุนทอง” แต่ต้องการเริ่มต้นลงทุนโดยใช้เงินลงทุนไม่มาก วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับหนึ่งในวิธีการลงทุนทองที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาทเท่านั้น นั่นคือการลงทุนทองผ่าน “กองทุนรวม” จะมีกองทุนใดบ้าง รายละเอียดของแต่ละกองทุนจะเป็นอย่างไร? ลองมาดูกัน
กองทุนไทยที่ลงทุนในทองคำ ปัจจุบันมีอยู่กว่า 30 กองทุนด้วยกัน สำหรับนโยบายลงทุนกองทุนจะในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ มีความเสี่ยงระดับ 8 (เสี่ยงสูงมาก) เนื่องจากเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ในบทความนี้เราเลือกมาทั้งหมด 10 กองทุนด้วยกัน โดยเป็นกองทุนที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาทเท่านั้น แต่ละกองทุนมีรายละเอียด ดังนี้
— planet 46.
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
กองทุน TLFVMR-ASIAX เปิดประตูการลงทุนสู่เอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่นและจีน) ด้วยการพัฒนากลยุทธ์ร่วมกันระหว่าง บลจ. ทาลิส กับ A.Stotz Investment Research ผ่านแนวคิดการลงทุน FVMR สร้างผลตอบแทนชนะตลาด ภายใต้ความผันผวนที่เหมาะสม
กฎง่าย ๆ ของการลงทุน เรามักจะมองหาอะไรที่มี “โอกาส” สร้างผลตอบแทนคุ้มค่ากับ “ความเสี่ยง” หรือที่เรียกกันว่า Risk to Reward และที่สำคัญต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตไปข้างหน้า โดยยังมี Upside เพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคต
คำถามคือเมื่อกวาดตามองไปทั่วแผนที่โลก ภูมิภาคไหนล่ะที่ตอบโจทย์เงื่อนไขแบบนี้ คือยังไม่โตจนอิ่มตัว แต่ก็ไม่ได้เล็กจนขาดพลัง… เชื่อว่า “เอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific)” ต้องเป็นหนึ่งในชื่อที่หลายคนนึกถึง
เอเชียแปซิฟิก เป็นพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ครอบคลุมทวีปเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งกำลังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ เพราะความได้เปรียบในแง่จำนวนประชากรกว่า 4.7 พันล้านคน คิดเป็น 60% ของโลก เต็มไปด้วยวัยแรงงาน และ middle class ที่มีกำลังซื้อ ตลอดจนพลวัตรทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจด้วยการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
จึงเป็นที่มาของกองทุน IPO น้องใหม่ TLFVMR-ASIAX ที่ บลจ. ทาลิส พัฒนาร่วมกับ A.Stotz Investment Research พาเปิดประตูการลงทุนสู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
กองทุนเปิดทาลิส FVMR เอเชียแปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน เอ็กซ์ ไชน่า หรือ TLFVMR-ASIAX เป็นกองทุนรวมประเภท Fund of Funds ที่มีนโยบายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่นและจีน) โดยจะกระจายลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในออสเตรเลีย, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงค์โปร์, ไต้หวัน และไทย
Source: A. Stotz Investment Research, mapchart.net as of 18/03/2024
กองทุนจะใช้กระบวนการวิเคราะห์ทั้งเชิงปริมาณและพื้นฐาน ด้วยหลักการ FVMR ประกอบด้วย Fundamentals, Valuation, Momentum, Risk ควบคู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น ข้อมูลข่าวสาร บทวิเคราะห์ เพื่อพิจารณาเลือกลงทุนและกําหนดสัดส่วนในตลาดหุ้นของแต่ละประเทศ โดยมุ่งหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
รายละเอียดอื่น ๆ ของ TLFVMR-ASIAX
ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 07/03/2024
TLFVMR-ASIAX แตกต่างจากกองทุนหุ้นเอเชียอื่น ๆ ในตลาด นั่นคือแนวคิดว่าควรแยกทั้งญี่ปุ่นและจีนออกจากเอเชียแปซิฟิกไปเลย และกลายมาเป็นกองทุน Asia Pacific ex Japan ex China
เหตุผลเพราะว่าญี่ปุ่นและจีนเป็น 2 ประเทศที่มีมูลค่าตลาดหุ้นใหญ่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค จนมีอิทธิพลเกินไปในการกำหนดทิศทางพอร์ต ซึ่งไม่ค่อย Healthy นัก โดยเฉพาะช่วงตลาดขาลง
Source: A. Stotz Investment Research, mapchart.net as of 18/03/2024
ญี่ปุ่นถือเป็น Developed Market ที่ถูกแยกออกจากดัชนีหุ้น Asia Pacific มานานหลายทศวรรษแล้ว เพราะก่อนหน้านี้หุ้นญี่ปุ่นมีมูลค่ามากกว่าครึ่งหนึ่ง และปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของ Asia Pacific
แต่กรณีของจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในภูมิภาค ปัจจุบันมูลค่าตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 16% ของ Asia Pacific และมีแนวโน้มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต จึงเป็นที่มาว่าทำไมเราควรตัดจีนออกไปจาก Universe นี้เช่นกัน
Source: A. Stotz Investment Research, MSCI, Visual Capitalist as of 18/03/2024
Source: Source: A. Stotz Investment Research, CIA Factbook, IMF, MSCI, Refintitv, World Bank as of 18/03/2024
นอกจากปัจจัยเฉพาะตัวที่โดดเด่นของแต่ละประเทศแล้ว เมื่อมองในภาพรวมจะเห็นว่า Asia Pacific มีจุดแข็งร่วมกันอยู่ 2 ประการ คือ
ประการแรก… ประชากรกว่าครึ่งโลกอยู่ที่นี่
Source: A. Stotz Investment Research, Kharas (2010) The Emerging Middle Class in Developing Countries as of 18/03/2024
การมัดรวมประเทศใน Asia Pacific จะทำให้มีจำนวนประชากรมากกว่า 60% ของโลก เป็นวัยแรงงานในสัดส่วนที่สูง ประกอบกับแนวโน้มการขยายตัวของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูง คาดว่าการใช้จ่ายของชนชั้นกลางในภูมิภาคนี้จะเพิ่มขึ้น 120% เป็น 33 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2030 สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่เติบโต 59%
ประการที่สอง… ศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์
Source: : A. Stotz Investment Research, BCG, SIA as of 18/03/2024
อีกหนึ่งปัจจัยที่ขับเคลื่อนภูมิภาคนี้ ก็คือบทบาทสำคัญของอุตสากรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาเทคโนโลยี AI ซึ่งเราจะเห็นว่าช่วงที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีกลุ่ม Magnificat-7 ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด แต่รู้ไหมว่าเบื้องหลังของ Tech และ AI ล้วนต้องการเซมิคอนดักเตอร์ที่มี ไต้หวัน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย เป็นผู้ผลิตรายใหญ่
Source: บลจ. ทาลิส as of March 2024
กองทุน TLFVMR-ASIAX มีกลยุทธ์การคัดเลือกตลาดโดยใช้ FVMR Framework ซึ่งเป็นรูปแบบวิธีคิดที่ถูกออกแบบเป็นขั้นตอนด้วยฝีมือของ A.Stotz Investment Research ก่อตั้งโดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์และนักวิจัยที่มีประสบการณ์การลงทุนกว่า 20 ปี
FVMR Framework ประกอบด้วย 4 ปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่
คุณษรศักดิ์ ก้องเจริญพาณิชย์ และคุณ Andrew Stotz ผู้ร่วมก่อตั้ง A.Stotz Investment Research
หัวใจสำคัญอยู่ที่กระบวนการลงทุนที่ชัดเจน เป็นระบบ ติดตาม และตรวจสอบกลยุทธ์สม่ำเสมอ พร้อมทั้งร่วมกับทีมผู้จัดการกองทุน บลจ. ทาลิส ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย และจะพิจารณาปรับน้ำหนักพอร์ตโฟลิโอ จำนวน 4 ครั้งต่อปี
A.Stotz Investment Research ได้นำกลยุทธ์ FVMR เปรียบเทียบกับ Asia Pacific ex Japan โดยทำการ Backtesting ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 1997 ถึง 30 พฤศจิกายน 2023 ผ่านการลงทุนในดัชนี และไม่พิจารณาค่าธรรมเนียม
พบว่ากลยุทธ์ FVMR ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า มี Risk-adjusted return ดีกว่า และ Maximum drawdown ก็ลดลงด้วย
Source: A. Stotz Investment Research, Refintitv as of 18/03/2024
ภาพข้างต้นแสดงให้เห็นว่าเมื่อนำเงิน 100 บาทไปลงทุนในหุ้นเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) เวลาผ่านไป 26 ปี เงินก้อนนั้นจะโตเป็น 418 บาท
แต่หากนำเงิน 100 บาทเท่ากันไปลงทุนผ่านกลยุทธ์ FVMR ในหุ้นเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่นและจีน) ใช้เวลาเท่ากัน เงินก้อนนั้นจะโตเป็น 805 บาท
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
กลุ่ม Finnomena เลือก TPIPP เป็น Top Pick หุ้นกู้เด่นประจำเดือนเมษายน 2567 เนื่องจากบริษัทมีรายได้และกระแสเงินสดที่มั่นคงจากการมีสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ. บริษัทถูกจดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ Investment Grade “A-” และจ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 4.00% ต่อปี
อ่านเพิ่มเติม เจาะลึก “หุ้นกู้” ออกใหม่ TPIPP จ่ายดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี Tris Rating A- น่าลงทุนไหม?
📌 นักลงทุนสามารถลงทุนหุ้นกู้ของ TPIPP ผ่านกลุ่ม Finnomena ได้แล้ววันนี้! หากสนใจสามารถติดต่อที่ปรึกษาของท่าน หรือถ้ายังไม่มีที่ปรึกษาสามารถกรอกลิงก์เพื่อรับบริการ https://www.finnomena.com/exclusive/
“ชมรมหุ้นกู้” รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลีนิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
🔔 พบกันทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Facebook และ Youtube ของ Finnomena
สำหรับ EP เจาะลึกหุ้นกู้ของ TPIPP สามารถรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=FH59x0h372Q
THIS ISSUE
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
EYE ON THIS WEEK
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
MARKET
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
FINNOMENA PORT PERFORMANCE
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
วันนี้ (22 มีนาคม 2024) ดัชนีหุ้นฮ่องกง Hang Seng (HSI) และดัชนี HSCEI หรือหุ้นจีน H-Share ปรับตัวลงราว 2% หลังมีรายงานว่า ผู้แทนสหรัฐฯยื่นร่างกฎหมายที่อาจทำให้กองทุนรวมดัชนีในสหรัฐฯ ไม่สามารถลงทุนในตลาดหุ้นจีนได้ โดยยังมีการเสนอร่างกฎหมายอื่นๆ เช่น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯต้องเปิดเผยกับนักลงทุนว่ามีการพึ่งพาจีนในระดับใด และจะยกเลิกการยกเว้น Capital Gain Tax สำหรับการลงทุนในบริษัทจีนอีกด้วย
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่ม EV ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแย่กว่าที่คาด นำโดย หุ้น Sunny Optical Technology และ Li auto ที่ปรับตัวลงกว่า 10% หลังบริษัทประกาศปรับลดการคาดการณ์ส่งมอบรถในไตรมาส 1
Finnomena Funds มองว่าร่างกฎหมายดังกล่าวส่งผลลบต่อตลาดหุ้นจีนซึ่งต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไป อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักกับเรื่องที่ทางการจีนได้ออกนโยบายกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง และตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มดีขึ้น ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงระดับ valuation ของดัชนี CSI 300 ที่มี 12-m forward PE ที่ 10.9 เท่า หรือ -0.8 S.D. ขณะที่ดัชนี Hang Seng มี 12-m forward PE ที่ 7.8 เท่า หรือ -2 S.D. เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และมีการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 ปีและ 10 ปีตามลำดับ เรายังแนะนำทยอยสะสมในกองทุน K-CHINA-A และ ABCA-A สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและยังมีสัดส่วนหุ้นจีนในพอร์ตไม่มาก
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)