ผ่านไปแค่ครึ่งปี Xiaomi ก็จดทะเบียนบริษัทลูกในชื่อ Xiaomi EV สำหรับทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ถือเป็นการส่งสัญญาณจริงจังของ Xiaomi
พอถึงปลายปี 2023 Xiaomi ก็ประกาศเปิดตัว EV ของตัวเองในชื่อ ก่อนจะเปิดให้จับจองในช่วงต้นปี 2024 ในราคาและสเป็กที่เรียกได้ว่าออกมาเพื่อชน Tesla Model 3 อย่างจริงจัง คือสเป็กเหนือกว่า Model 3 บางด้านในราคาเพียง 1.1 ล้านบาท
ประโยคสุดคลาสสิกที่สะท้อนแนวคิดการลงทุนของ Jim Simons ตำนานนักลงทุนเจ้าของฉายา Quant King ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในระดับสูงแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ผลงานที่โดดเด่นสุดของเขาคือการบริหาร Medallion Fund ของ Hedge fund อย่าง Renaissance Technologies ที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ย 66% ต่อปี (ปี 1988-2018) และตัวเลขหลังหักค่าธรรมเนียมแล้วก็ยังสูงถึง 39% ต่อปี
Medallion Fund Track Record ตั้งแต่ปี 1998-2018
นับเป็นปรากฎการณ์ที่ยากจะมีใครทำได้แบบนี้ในวงการลงทุน แม้แต่ Warren Buffett และ Charlie Munger ยังยกย่องในความอัจฉริยะด้านการลงทุนของ Jim Simon จากการสร้างผลตอบแทนอันโดดเด่น
โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) TISCOAI
กองทุนหุ้นโลกเทคโนโลยี AI & Big Data (ความเสี่ยงระดับ 6) ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรด้าน AI และ Big Data ในตลาด Nasdaq โดยแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากคาดว่าหุ้นโลกสไตล์เติบโตจะกลับมา Outperform
กองทุนหุ้น Asia ex Japan (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” พร้อมรับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคที่ฟื้นตัว และมีอัพไซด์จากดอลลาร์ใกล้อ่อนค่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียชัดเจนมากขึ้น
พอร์ต Next-Generation Global Growth (GGG) เป็นพอร์ตการลงทุนแบบ Fully Invested หรือลงทุนในหุ้น 100% ตลอดเวลา แต่ควบคุมความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในหลากหลายธีม ซึ่งจะถูกจัดหมวดหมู่เป็น 4 มิติการเติบโต (The Four Dimensions of Growth)
The Four Dimensions of Growth
Source: Finnomena Funds as of 30/04/2024
1. Country Growth ประเทศหรือภูมิภาคที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต
รู้จักกับ POP MART บริษัทกล่องสุ่มของเล่นที่กำลังดังสุดๆ ในตอนนี้ และยิ่งดังทวีคูณเข้าไปอีก หลังลิซ่า Blackpink โพสต์ภาพคู่กับ Labubu ที่เป็นหนึ่งในคอลเลคชัน Art Toy ของ POP MART
หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักชื่อ POP MART กันไปแล้ว แต่เรื่องที่หลายคนยังไม่รู้คือ POP MART เป็นบริษัทใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
ทำความรู้จัก POP MART กันให้มากขึ้น ไขทุกซอกหลืบธุรกิจที่น่ารู้ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมา การเงิน และที่มาความมั่งคั่ง มองให้ขาดว่าทำไม POP MART ถึงเข้าไปนั่งในใจคนยุคปัจจุบันได้สำเร็จ”
จุดเริ่มต้นของ POP MART
จุดเริ่มต้นของ POP MART เริ่มขึ้นหลังจาก Wang Ning (หวัง หนิง) เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเจิ้งโจว โดยเริ่มทำงานด้านการตลาดดิจิทัลเป็นเวลา 1 ปี ก่อนตัดสินใจเริ่มธุรกิจของตัวเองในปี 2010
การหันมาจำหน่ายสินค้าที่ขายดีที่สุดแค่อย่างเดียว นั่นคือ กล่องสุ่ม Art Toy
และในปี 2016 สิ่งที่ทำให้ POP MART รุ่งสุดขีดคือ การร่วมมือกับศิลปินดังชาวฮ่องกง Kenny Wong (เคนนี่ หว่อง) ออกแบบคอลเล็กชั่น “Molly” เพื่อขายใต้แบรนด์ POP MART แบบ Exclusive แล้วหลังจากนั้นก็ร่วมมือกับศิลปินอื่น ๆ อีกหลายราย
ยอดขายของ POP MART ก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนปลายปี 2020 Wang Ning ก็สามารถพา POP MART เข้า IPO ในตลาดฮ่องกงได้สำเร็จ
ธุรกิจของ POP MART
ตอนนี้ POP MART เป็นผู้เล่นที่ครองตลาด Art Toy ในจีนได้มากที่สุดที่ 13.6% และยังเข้าถึง 23 ตลาดทั่วโลกผ่านระบบ online หน้าร้าน 350 สาขา และตู้ขายสินค้ากว่า 2,000 แห่ง
รายได้ของ POP MART มาจาก 2 ส่วน คือ
1. Art Toy ที่ศิลปินออกแบบให้ POP MART โดยเฉพาะ (คิดเป็น 5 ใน 6 ของรายได้)
เช่น คอลเล็กชัน Skull Panda, Molly, Dimoo,
The Monster (ที่มี Labubu ในคอลเล็กชัน)
หรือ Crybaby ที่เป็นฝึมือของ Designer ชาวไทย
2. Art Toy ที่ร่วมมือกับแบรนด์ทั่วไป (คิดเป็น 1 ใน 6 ของรายได้)
เช่น คอลเล็กชันที่ออกร่วมกับ Disney
รายได้ของ POP MART
ทีนี้เรามาดูเรื่องรายได้ ปี 2023 POP MART มียอดขายกว่า 6,300 ล้านหยวน (3.3 หมื่นล้านบาท) โตขึ้นจากปีก่อนเกือบ 40% โดยยอดขายกว่า 80% มาจากจีนแผ่นดินใหญ่
สรุปแล้ว POP MART คืออีกหนึ่งธุรกิจจีนที่น่าจับตามอง เพราะถือเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาด Art Toy มากที่สุดในจีน รายได้เติบโตเร็ว มีช่องทางจำหน่ายครบวงจร แถมยังเริ่มตีตลาดสากลได้แล้ว
กล่องสุ่ม Art Toy ที่เกิดจากความร่วมมือกับศิลปินมากมาย คือเบื้องหลังที่ทำให้ Wang Ning ร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในพันของโลก ด้วยความมั่งคั่งเกือบ 3 พันล้านเหรียญ ด้วยวัยเพียง 37 ปี
กองทุนหุ้นโลกเทคโนโลยี AI & Big Data (ความเสี่ยงระดับ 6) ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรด้าน AI และ Big Data ในตลาด Nasdaq โดยแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากคาดว่าหุ้นโลกสไตล์เติบโตจะกลับมา Outperform
กองทุนหุ้น Asia ex Japan (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” พร้อมรับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคที่ฟื้นตัว และมีอัพไซด์จากดอลลาร์ใกล้อ่อนค่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียชัดเจนมากขึ้น