ภาพรวมตลาดหุ้นโลกตลอดเดือนพฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา เปรียบเสมือนการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางอารมณ์ของนักลงทุน ตลาดเริ่มต้นเดือนด้วยความกังวลอย่างหนักจนกดดันให้ดัชนี Fear & Greed Index ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 11 จุด ซึ่งอยู่ในโซน “ความกลัวขีดสุด” (Extreme Fear) โดยมีปัจจัยกดดันหลักมาจากกระแสความตื่นตระหนกในเรื่อง “ฟองสบู่ AI” ที่กลับมาหลอกหลอนตลาดอีกครั้ง ภายหลังจากที่มีข่าว SoftBank Group เทขายหุ้น Nvidia ออกมาจำนวนมหาศาล และตัวเลขการประกาศลดตำแหน่งงานของบริษัทในสหรัฐฯ ประจำเดือนตุลาคมที่พุ่งสูงถึง 153,074 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2003 โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและคลังสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการนำ AI มาใช้แทนแรงงานคน สิ่งเหล่านี้กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของเดือน อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนเริ่มพลิกฟื้นกลับมาสดใสได้ในช่วงปลายเดือน เมื่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) กลับมาเป็นพระเอกอีกครั้ง ขานรับข่าวเชิงบวกจากการเปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Gemini 3.0 ของ Google และความก้าวหน้าของ Alibaba Cloud ที่ช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมา
ในมิติของตัวเลขเศรษฐกิจมหภาค สหรัฐฯ ยังคงส่งสัญญาณที่ “ซับซ้อนแต่เป็นใจ” ต่อทิศทางดอกเบี้ย แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) จะออกมาสูงกว่าคาดที่ 119,000 ตำแหน่ง แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดกลับพบสัญญาณความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ คืออัตราการว่างงานที่ขยับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 4.4% ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี ประกอบกับรายงาน Beige Book ของเฟดที่ชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะทรงตัวค่อนไปทางซึม ข้อมูลเหล่านี้ทำให้นักลงทุนตีความในลักษณะ “Bad News is Good News” กล่าวคือ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างพอเหมาะ (Soft Landing) จะเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จำเป็นต้องตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ เพื่อประคองไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งมุมมองดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง
นอกจากประเด็นเรื่องดอกเบี้ยแล้ว พัฒนาการด้านการเมืองระหว่างประเทศและการค้าโลกก็มีทิศทางที่ผ่อนคลายลง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย ที่ใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกเพื่อจัดการเรื่องภาษีตอบโต้ ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นอินเดียและบรรยากาศการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ขณะที่สถานการณ์ในสหรัฐฯ เองก็คลี่คลายลงหลังจากสภาสามารถผ่านร่างงบประมาณเพื่อยุติเหตุการณ์ Government Shutdown ที่ยาวนานเป็นประวัติการณ์ถึง 43 วันลงได้สำเร็จ ทำให้ความเสี่ยงด้านการคลังระยะสั้นหมดไป ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้น ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สะท้อนอุปสงค์ที่ชะลอตัว ขณะที่ราคาทองคำยังคงทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยได้อย่างดีเยี่ยม โดยสามารถยืนเหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ได้อย่างแข็งแกร่งตลอดทั้งเดือน
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในเดือนธันวาคม 2025 เราประเมินว่าตลาดหุ้นโลกยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ (Upside) จากแรงส่งของกระแสเงินทุนไหลเข้าในช่วงท้ายปี (Window Dressing) และความชัดเจนของทิศทางดอกเบี้ยเฟด เรายังคงแนะนำกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบสมดุล (Barbell Strategy) โดยฝั่งสินทรัพย์เติบโต (Growth) เราแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเมื่อราคาย่อตัว โดยเฉพาะบริษัทที่มีพื้นฐานแกร่งและมีนวัตกรรม AI ที่จับต้องได้ ส่วนในฝั่งสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Defensive) เรามองเห็นโอกาสที่น่าสนใจมากในหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ได้รับอานิสงส์ข่าวดีจากการที่รัฐบาลทรัมป์มีแนวโน้มจะต่ออายุเงินอุดหนุนโครงการ Obamacare ออกไปอีก 2 ปี ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลและประกันสุขภาพให้มีความมั่นคง นอกจากนี้ เรายังแนะนำให้จับตามองตลาดหุ้นอินเดียเป็นพิเศษ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มการเจรจาดีลการค้า และความคาดหวังว่าธนาคารกลางอินเดียจะผ่อนคลายนโยบายการเงินตามเฟด ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับตลาดหุ้นภูมิภาคอาเซียนในระยะถัดไป
ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 3 ธ.ค. 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
| โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก
1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น 2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
รีวิวกองทุนลดหย่อนภาษีจาก บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) รวมสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างการเติบโตในระยะยาวท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด ทั้งกองทุน RMF ได้แก่ UGISRMF UOBGARMF UNIRMF UOBGRMF-H รวมถึงกองทุน Thai ESG อย่าง UTSB-THAIESG และ UTSEQ-THAIESG
ปี 2025 เป็นปีที่โลกการลงทุนเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่วางทับกันอยู่หลายชั้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวแบบชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ เทรนด์ของธนาคารกลางทั่วโลกที่จะลดดอกเบี้ย นำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่ง UOBAM Strategy Group คาดการณ์ว่า Fed มีโอกาสจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้
ในอีกด้านหนึ่ง สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นจะยังเติบโตได้จากต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ย) ที่ลดลง แต่ตลาดก็มองว่าหุ้นส่วนใหญ่ตอนนี้มีมูลค่าที่สูงเกินไป ธีมการลงทุนหุ้นต่อจากนี้จึงเป็นการหาหุ้นที่ระดับราคาต่อมูลค่ายังไม่แพง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือ นโยบายการค้า (Tariff Policy) ที่มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม และยังมีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะเร่งตัวขึ้น ตลอดจนแนวทาง De-Dollarization ที่ทรัมป์สนับสนุนให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ เพื่อหนุนการส่งออก
– Source: UOBAM, Bloomberg as of 7 Oct 2025
ดังนั้น ในช่วงปลายปี 2025 นี้ นักลงทุนจึงควรพิจารณาจัดพอร์ตลดหย่อนภาษีด้วยแนวทาง Asset Allocation ภายใต้ตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งในหุ้นทั่วโลก ตราสารหนี้ทั่วโลก และสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ
และนี่คือ 6 กองทุนลดหย่อนภาษีทั้ง RMF และ Thai ESG ที่ทาง บลจ. ยูโอบี คัดมาให้แล้วว่าตอบโจทย์สถานการณ์โลกการลงทุนในปัจจุบัน
กองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วโลกที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก คือ PIMCO GIS Income Fund (Class I) บริหารจัดการโดย PIMCO Global Advisors (Ireland) Limited ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกที่มีความโดดเด่นในเรื่องการลงทุนในตราสารหนี้โดยเฉพาะ
จุดเด่นของกองทุนหลักคือ มีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ทั่วโลกหลากหลายประเภท เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Mortgage-Backed Securities (MBS) โดยใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management) เพื่อสร้างผลตอบแทนพร้อมควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับต่ำ โดยกองทุน UGISRMF มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก
ข้อมูลการลงทุนของ PIMCO GIS Income Fund (Class I) (กองทุนหลัก)
Source: UGISRMF Fund Factsheet as of 30 Sep 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก
กองทุนรวมผสมที่มีกองทุนหลักคือ BGF Global Allocation Fund (Class A) ซึ่งบริหารจัดการโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กองทุนหลักเน้นลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก
จุดเด่นของกองทุนหลักคือ มีการใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตการลงทุนระหว่างตราสารทุนและตราสารหนี้ทั่วโลก เหมาะกับการลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนในห้วงเวลาที่ตลาดมีความซับซ้อน
ข้อมูลการลงทุนของ BGF Global Allocation Fund (Class A) (กองทุนหลัก)
Source: UOBGARMF Fund Factsheet as of 30 Sep 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก
กองทุนรวมตราสารทุนทั่วโลกที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก United Global Innovation Fund (Class A USD Acc) ซึ่งบริหารจัดการโดย UOB Asset Management (Singapore) โดยคัดหุ้นจากทั่วโลกเบื้องต้น 2,000 – 3,000 ตัว นำมาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และคัดเลือกต่อจนเหลือในพอร์ตเน้น ๆ 35 – 65 ตัว
จุดเด่นของกองทุนหลักคือ ใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management) เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่แถวหน้าเรื่องนวัตกรรม (Innovation) ทั่วโลก ภายใต้ความคาดหวังที่ว่าบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่หรือแทนที่อุตสาหกรรมเดิมได้ เพื่อตอบโจทย์การลงทุนในหุ้นระยะยาว
ข้อมูลการลงทุนของ United Global Innovation Fund (Class A USD Acc) (กองทุนหลัก)
Source: UNIRMF Fund Factsheet as of 30 Sep 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก
กองทุนทรัพย์สินทางเลือกที่ลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ SPDR Gold Trust ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) และเน้นลงทุนในทองคำแท่ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำในตลาดโลก
จุดเด่นของกองทุนหลักคือ เป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ระดับโลก เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในทองคำแท่งโดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะปานกลางถึงระยะยาว โดยใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรับ (Passive Management) กองทุนหลักมีนโยบายเป็นการซื้อทองคำแท่งจริง ๆ (99.5% Gold Bullion) เก็บไว้ที่ HSBC Bank สหรัฐฯ
รายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน
ข้อมูลการลงทุนของ SPDR Gold Trust (กองทุนหลัก)
Source: UOBGRMF-H Fund Factsheet as of 30 Sep 2025
คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) ที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยเพื่อความยั่งยืน โดยใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
กองทุนนี้จัดเป็นกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตราสารเพื่อความยั่งยืน หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
จุดเด่นของกองทุน UTSB-THAIESG คือมีกระบวนการคัดกรองตราสารในการลงทุนจากปัจจัยหลากหลาย ทั้งด้าน ESG, ความสามารถในการชำระหนี้, บทวิเคราะห์ทั้งจากภายในและภายนอก, การเยี่ยมชมกิจการ, ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ตลอดจนการวิเคราะห์ทางเครดิต
ข้อมูลการลงทุนของ UTSB-THAIESG
Source: UTSB-THAIESG Fund Factsheet as of 31 Oct 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
กองทุนรวมตราสารทุนและเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) ใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (active management)
กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET ว่ามีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน (ESG) มีการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอย่างครอบคลุม มีกระบวนการบริหารจัดการเพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กร เช่น การบริหารความเสี่ยง การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนานวัตกรรม
จุดเด่นของกองทุน UTSEQ-THAIESG คือกระบวนการคัดเลือกหุ้นไทยที่มีโอกาสเติบโตระยะยาวจากธุรกิจที่ดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบ และต้องการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ข้อมูลการลงทุนของ UTSEQ-THAIESG
Source: UTSEQ-THAIESG Fund Factsheet as of 31 Oct 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
สรุปแล้ว ภายใต้สภาพตลาดการลงทุนที่ซ้อนทับไปด้วยหลากหลายปัจจัย เทรนด์เรื่องดอกเบี้ย นโยบายภาษี แนวทาง De-Dollarization ตลอดจนปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ การกระจายการลงทุนจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการจัดพอร์ตลดหย่อนภาษีสำหรับปีนี้ ซึ่งสามารถใช้กองทุนลดหย่อนภาษีข้างต้นเป็นทางเลือกในการจัดพอร์ต Asset Allocations ได้เลย เพราะแน่นอนว่าหากเริ่มต้นดี วางแผนดี นอกจากจะช่วยประหยัดภาษีแล้ว ยังสามารถสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนในระหว่างทางอีกด้วย
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 0-2786-2222 หรือ www.uobam.co.th
คำเตือน:
ในช่วงที่ผ่านมา บทความแนวผลกระทบ QE ต่อเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ผมจะเน้นไปในสหรัฐและยุโรป บทความนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกๆที่เขียนเกี่ยวกับบทเรียนของการทำ Quantitative Easing (QE) และ Quantitative Tightening (QT) ในอังกฤษโดยตรง
เริ่มจากบทเรียนของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เกี่ยวกับในส่วนของ QE หรือการซื้อพันธบัตรจากแบงก์พาณิชย์ของแบงก์ชาติ มีดังนี้
1. อย่าแบกรับความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยมากโดยไม่จำเป็น
โดย BOE ต้องแบกรับผลขาดทุนกว่า 70% สำหรับการถือครองพันธบัตรอังกฤษ (gilts) สาเหตุเนื่องมาจาก gilts ส่วนใหญ่ที่ BOE ซื้อ เป็นพันธบัตรระยะยาว ซึ่งถึงแม้ว่าสัดส่วนของพันธบัตรอังกฤษจะเป็นแบบระยะยาว ทว่าการซื้อ gilts ของ BOE เป็นทางเลือกของแบงก์ชาติอังกฤษที่สามารถจะเลือกได้ว่าต้องการอายุบอนด์สั้นหรือยาวแค่ไหน หากพิจารณาจากแบงก์ชาติออสเตรเลีย จะพบว่าจำกัดไว้ที่อายุ 2-3 ปี เป็นส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเนื่องจากต้องการลดความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย
ดังนั้น การไม่นำความเสี่ยงด้านการเงินมาพิจารณา ถือว่าไม่น่าใช่วิถีของแบงก์ชาติที่มีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี
2. ควรจะปรับอายุของ QE ให้เข้ากับสินเชื่อหลักในประเทศตนเอง ในกรณีของอังกฤษ BOE มีเหตุผลที่จะตอบสังคมได้ว่าจะซื้อ gilts อายุสั้นๆ ได้ไม่ยาก เนื่องจากสินเชื่อบ้านเกือบทั้งหมดของอังกฤษมีอายุสัญญากู้ต่ำกว่า 5 ปี
3. แบงก์ชาติควรจะทำ QE ให้สอดคล้องกับลักษณะเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยของประเทศตนเอง ตรงนี้ ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าควรเป็นเช่นนั้น ในปี 2011 ตอนนั้น อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นขยับขึ้นมาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่ยิลด์ระยะยาวลดต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น เฟดจึงตัดสินใจซื้อพันธบัตรระยะสั้นและขายพันธบัตรระยะยาว เพื่อดึงให้ยิลด์ระหว่างระยะสั้นและระยะยาวมีความสมดุลมากขึ้น ที่เรียกกันว่า ปฏิบัติการ Operation Twists
4. ตราสารทางการเงินที่ซื้อไม่จำเป็นต้องซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพียงอย่างเดียว โดย BOE เน้นซื้อ gilts เพียงอย่างเดียว ในขณะที่เฟดซื้อหุ้นกู้เอกชนและตราสาร Mortgage-backed ด้วย โดยจากงานวิจัยพบว่าตราสารทางการเงินเหล่านี้ส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าพันธบัตรเสียอีก
สำหรับบทเรียนในส่วนของ QT หรือการขายพันธบัตรของแบงก์ชาติเพื่อลดขนาดงบดุล มีดังนี้
1. Active QT เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ BOE: ด้วยความที่ BOE ถือครองพันธบัตรระยะยาวเป็นหลัก จึงมีความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยมากกว่าเพื่อนๆอย่างเฟดหรือธนาคารกลางยุโรป ทำให้ BOE จำเป็นต้องลดขนาดงบดุลของตนเอง หรือ QT ด้วยการขายพันธบัตรแบบ Active ที่พิจารณาทิศทางการขึ้นหรือลงของอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
2.ให้ความสนใจต่อ Feedback ของตลาดก่อนลงมือทำ QT: หากย้อนไปในเดือนกันยายน 2022 ที่ BOE เริ่มทำ QT แบบ Active มีการสำรวจนักลงทุนโดย BOE ปรากฏว่าเมื่อนักลงทุนทราบว่าจะทำ QT หรือขาย gilts อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ก็ขึ้นไป 15 bps และขึ้นอีก 10 bps เมื่อมีการประกาศการทำ QT แบบเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ทาง BOE กลับประเมินว่าผลจาก QT มีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts เพียง 10 bps โดยไม่ได้คำนึงถึงผลการสำรวจของตนเองเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า
3. BOE ควรเปิดกว้างสำหรับการประเมินผลกระทบของ QT: เมื่อพิจารณาผลการประเมินจากอดีตสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูง ปรากฏว่าคำนวณผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ที่ 70 bps ซึ่งสูงกว่าที่ BOE คำนวณไว้ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ ไม่ควรเน้นวิธีการวิเคราะห์จากฝั่งสหรัฐเพื่อนำมาใช้กับตลาดอังกฤษแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยงานวิจัยของนักวิจัยของอังกฤษเอง พบว่าผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ที่ 35-40 bps
4. ไม่ควรกำหนดเวลาแบบตายตัวไว้ 1 ปีในการทำ QE/QT: ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2020 ที่ BOE ประกาศซื้อ gilts จนถึงเดือนธันวาคม 2021 ปรากฏว่าแค่เดือนพฤษภาคม 2021 อัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษก็สูงกว่าเป้าหมาย โดยในเดือนสิงหาคมขึ้นไปเป็น 3.2% กระนั้นก็ดี การทำ QE ก็ยังทำต่อไป ทำให้มองได้ว่าการทำตามสิ่งที่ประกาศไป ถือว่าดี ทว่าทำให้เกิดความไม่ยืดหยุ่น
ย้อนกลับมาล่าสุด เดือนเมษายน 2025 ตลาดกดดันให้ BOE ยกเลิกการขาย gilts เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทว่าในเดือนกรกฎาคม BOE ก็ประการขาย gilts อีก ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็ยังคงอยู่ในระดับสูงเท่ากับเดือนเมษายน ดังนั้น BOE ไม่ควรจะเคร่งครัดในแผนการขายพันธบัตร และมีความยืดหยุ่นในการทำ QT โดยประเมินสถานการณ์เป็นระยะ ๆ
นอกจากนี้ การทำ QT แบบ Active มีข้อดี ดังนี้
1. การลดขนาดงบดุลของ BOE เป็นการเตรียมพร้อมไว้ให้สามารถรับมือสำหรับวิกฤตรอบหน้า นั่นคือ การลดขนาดงบดุลลง 3.3 แสนล้านปอนด์ ทำให้สามารถทำการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนในช่วง Brexit ด้วยขนาด 6 หมื่นล้านปอนด์ สามารถกระตุ้นเหมือนในช่วงวิกฤตซับไพร์ม 2 แสนล้านปอนด์ หรือหากนับจากอัตราส่วนระหว่างงบดุล BOE ต่อ GDP ยังกระตุ้นด้วยขนาดเท่าช่วงวิกฤตซับไพร์มได้อีก ทว่าเมื่อพิจารณาการขาดทุนมูลค่า 1.33 แสนล้านปอนด์ ของ BOE ก็อาจต้องคิดหนักอยู่เหมือนกัน
2. หากพิจารณาจากความเร็วของ QT ระหว่างแบงก์ชาติต่างๆ จะพบว่า BOE มีความเร็วในการลดขนาดงบดุลสูงกว่าเฟดและแบงก์ชาติยุโรป อย่างไรก็ดี เมื่อดูจากระดับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน จะพบว่า อัตราเงินเฟ้ออังกฤษสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการลด งบดุล BOE ขาย gilts แบบอายุ 30 ปี ในขณะที่สินเชื่อของชาวอังกฤษมีอายุ 3-5 ปีเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การส่งผ่านเพื่อทำการลดเงินเฟ้อจากขนาดงบดุลที่ลดลงแทบไม่เกิดขึ้น
ท้ายสุด การขายพันธบัตรของ BOE หรือ QT นั้น เท่ากับเป็นการช่วยกระทรวงการคลังอังกฤษไปในตัว เนื่องจากการขาดทุนของแบงก์ชาติอังกฤษจากการขายพันธบัตรดังกล่าว จะเป็นผลดีต่อกระทรวงการคลังอังกฤษจากการที่ไม่ต้องขาดทุนจากการขายพันธบัตรเอง
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
ถ้าคุณมีเงิน 500,000 บาทอยู่ในมือ จะทำยังไงกับเงินก้อนนี้?
ถ้าอยากให้เงินก้อนนี้มีโอกาสเติบโตมากกว่าดัชนีทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง ต้องมองหา “Alpha” หรือผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่มากกว่าแค่ค่าเฉลี่ยตลาด
แล้วจะทำยังไงให้เงิน 500,000 บาทนี้กลายเป็นพอร์ตที่สร้าง Alpha ได้? คำตอบอยู่ที่การจัดพอร์ตให้วิ่งทันจังหวะตลาด และมองหาโอกาสจากธีมที่มีอนาคต เพื่อไม่ใช่แค่ลงทุน แต่เป็นการลงทุนที่สร้างโอกาสให้พอร์ตโตมากกว่าตลาดให้ได้
ในบทความนี้ Finnomena Funds จะพาไปรู้จักกับพอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ ว่าจะทำอย่างไรให้เงินก้อน 500,000 บาท สร้าง Alpha ในระยะยาวได้
All Weather Alpha Focus พอร์ตการลงทุนที่พัฒนา โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds มุ่งเน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ในระยะยาว ทั้งในสภาวะตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง ดูรายละเอียดและทดลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
Alpha ไม่ใช่แค่ตัวอักษรกรีก หรือคำที่ใช้เรียกผู้นำผู้มีอิทธิพล แต่ในโลกการลงทุน Alpha คือ ผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่มากกว่าดัชนีชี้วัด (Benchmark) เป็นเหมือนการวิ่งแข่งที่ไม่เพียงแค่เข้าเส้นชัย แต่เข้าเส้นชัยเร็วกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน
การสร้าง Alpha คือการเลือกสินทรัพย์ จังหวะการลงทุน และการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การลงทุนแบบกระจายหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset) ปรับสัดส่วนแบบ Tactical Allocation ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด และค้นหาธีมการลงทุนที่มีศักยภาพเติบโตเหนือกว่าค่าเฉลี่ยตลาด
พูดง่าย ๆ คือ หากตลาดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี แต่พอร์ตของคุณทำได้ 12% ส่วนต่าง 4% นั่นแหละคือ Alpha ที่บอกว่าพอร์ตของคุณกำลังสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มอยู่ และนี่คือเป้าหมายสูงสุดที่นักลงทุนส่วนใหญ่เฝ้าตามหา
หากคุณกำลังมองหาพอร์ตการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้เหนือตลาด วันนี้เราขอแนะนำให้ได้รู้จักกับพอร์ต ‘All Weather Alpha Focus (AWAF)’ ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ ดร. Andrew Stotz จับมือร่วมกับทีมงาน Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยเป็นพอร์ตการลงทุนที่เน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ระยะยาวทั้งในสภาวะขาขึ้นและขาลงของตลาดหุ้น ผ่านกลยุทธ์ในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มอุตสาหกรรม ภูมิภาค และธีมการลงทุนต่าง ๆ ตามสภาวะตลาด (Tactical Allocation) เพื่อสร้างโอกาสการทำกำไรและช่วยบริหารความเสี่ยงในภาวะตลาดขาลง
พอร์ต All Weather Alpha Focus เน้นลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มอุตสาหกรรม ภูมิภาค และธีมการลงทุนตามสภาวะตลาด โดยลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้น ด้วยสัดส่วน 93% และที่เหลืออีก 7% กระจายลงทุนไปในตราสารหนี้และทองคำอย่างละ 3% และ 4% ตามลำดับ (ข้อมูลสัดส่วน ณ เดือนธันวาคม 2568)
สัดส่วนการลงทุน 25%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (CIS) และ/หรือกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่ซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ และมีลักษณะดังนี้ การลงทุนแบบเน้นประเทศเดียว (Single Country) รวมถึงกลุ่มกลุ่มยูโรโซน (Eurozone) การลงทุนที่เน้นอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน (Global Sector Equity) หรือการลงทุนตามธีมต่าง ๆ (Thematic Investment) เช่น Robotics และ AI โดยกองทุน TLA-GEQ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: ครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 22%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Templeton Latin America Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน KF-LATAM จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จัดตั้งและมีธุรกิจหลักอยู่ในประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 500 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 22%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 20%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Franklin Gold and Precious Metals Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน KT-PRECIOUS จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7
กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่ดําเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นทองคําและโลหะมีค่า
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 2%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Janus Global Life Sciences Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ES-HEALTHCARE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7
กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่ผู้จัดการกองทุนเห็นว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences orientation) โดยทั่วไป Life Sciences จะเกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งหมายรวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยพัฒนา ผลิต หรือ จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ที่เพื่อการดูแลตนเอง (Personal Care) ซึ่งรวมถึง Health care ยา การเกษตร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ที่เพื่อการดูแลตนเอง (Personal Care) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 2%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Lazard Global Listed Infrastructure Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน KKP GINFRAEQ-H จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นต่างประเทศของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Infrastructure Companies)
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 3%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน PIMCO FUNDS : GLOBAL INVESTORS SERIES PLC – Global Bond Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 4
กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนรวมให้ได้มากที่สุด และสอดคล้องกับการรักษาเงินทุนและการบริหารเงินลงทุนอย่างรอบคอบ กองทุนจะลงทุนอย่างน้อยสองในสามของสินทรัพย์ของกองทุน โดยกระจายพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ในสกุลเงินหลักของโลก
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 4%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน โดยกองทุน K-GOLD-A(A) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
All Weather Alpha Focus พอร์ตการลงทุนที่พัฒนา โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds มุ่งเน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ในระยะยาว ทั้งในสภาวะตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง ดูรายละเอียดและทดลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
Bank of America (BofA) มองว่าแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังมีโอกาสเติบโตในปี 2026 แต่จังหวะขาขึ้นจะเริ่มจำกัดมากขึ้น หลัง S&P 500 พุ่งแรงต่อเนื่อง 3 ปีจนมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 19% ทำให้การเก็งขึ้นแรงแบบเดิมอาจไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป แม้ฐานกำไรของบริษัทอเมริกายังแข็งแรง แต่ผลตอบแทนรวมของตลาดอาจชะลอลงเหลือแค่ระดับปานกลาง
ถึงอย่างนั้น ความร้อนแรงของตลาดในปัจจุบันยังสร้างแรงกดดันมหาศาลให้ฝั่งชอร์ต เพราะเพียงสัปดาห์เดียวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน นักชอร์ตหุ้นสหรัฐฯ สูญกำไร mark-to-market กว่า 80,000 ล้านดอลลาร์ ลบแทบหมดผลตอบแทนที่สะสมไว้ก่อนหน้า สะท้อนว่ากระแสเงินฝั่งบวกรั้งตลาดขึ้นไว้แน่นกว่าที่หลายคนคาดคิด
นักกลยุทธ์ของ 22V Research ชี้ว่าคนที่คิดจะเปิดชอร์ตในตอนนี้ต้อง “มั่นใจเกินเหตุ” ว่าเศรษฐกิจจะชะลอกว่าคาด หรือว่ากระแสลงทุนด้าน AI จะสะดุดลงจริง เพราะปัจจัยพื้นฐานยังขับเคลื่อนตลาดอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการบริโภคที่ยังแข็งแรง และการลงทุนด้าน AI ที่ยังผลักดันผลิตภาพและกำไรของบริษัทใหญ่ให้เติบโต
ความผันผวนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งดึง S&P 500 ลงแรงกว่า 5% ก่อนดีดกลับเร็วในสัปดาห์ท้าย ทำให้นักชอร์ตถูก “Whipsaw” หนักจนต้องปิดสถานะพร้อมกันทั้งรายย่อยและเฮดจ์ฟันด์ ข้อมูลจาก S3 Partners ยังระบุว่าแค่สัปดาห์เดียวก็ล้างกำไรชอร์ตแทบหมด ขณะที่ฝ่ายไพรม์โบรกเกอร์ของ Goldman Sachs บอกตรงกันว่าการซื้อคืนสถานะชอร์ตพุ่งสูงสุดในรอบ 5 เดือน
แรงหนุนตลาดยังมาจากฤดูกาลในเดือนธันวาคม ซึ่งตามสถิติมักปิดบวกราว 1.4% และปิดบวกใน 73% ของกรณี ขณะเดียวกันหุ้นรายตัวอย่าง Beyond Meat ที่ดีดเกือบ 37% โดยแทบไม่มีข่าวรองรับ ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าความเสี่ยงฝั่งชอร์ตกำลัง “แพงขึ้นเรื่อย ๆ” เพราะตลาดตอบสนองต่อแรงซื้อไวเป็นพิเศษ
แม้ภาพรวมปีหน้า BofA ยังมอง S&P 500 มีโอกาสขึ้นต่อถึงราว 7,100 จุด แต่เตือนความเสี่ยงสองด้านยังสูง หากกำไรบริษัทออกมาดีกว่าคาดมาก ดัชนีอาจพุ่งถึง 8,500 แต่ถ้าเศรษฐกิจสะดุดหรือกระแส AI ชะลอเร็วกว่าที่ตลาดหวัง ก็อาจเห็นการถอยกลับลงสู่ย่าน 5,500 ได้เช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าปี 2026 อาจไม่ใช่ปีที่ตลาดเดินหน้าแบบไร้แรงต้านอีกต่อไป
อ้างอิง: Bloomberg
เพราะการวางแผนลดหย่อนภาษี คือ ภารกิจการเงินในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีที่ทุกคนต้องจัดการให้เรียบร้อย ซึ่งมีให้เลือกทั้ง RMF เส้นทางวางแผนการเงินที่มั่นคงสู่วัยเกษียณ และ Thai ESG เส้นทางสู่การลงทุนที่เติบโตอย่างยั่งยืน
แต่หากใครยังไม่มีแผนในใจ SCBAM ได้รวมกองทุนลดหย่อนภาษีมาให้เลือกลงทุนแบบง่าย ๆ ในช่วงโค้งสุดท้าย ด้วย 5 ธีมการลงทุนที่คัดสรรมาแล้ว ดังนี้
กองทุน SCBRMS&P500 และ SCBTM(THAIESG)
กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ คือ SCBRMS&P500 เน้นลงทุนหุ้นใหญ่สหรัฐฯ สุดแกร่ง ตามดัชนี S&P500 เพื่อโอกาสเติบโตตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ
กองทุน SCBRMMONEY และ SCBTB(THAIESGA)
กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ คือ SCBRMMONEY ลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพทั้งภาครัฐและเอกชน อายุเฉลี่ย 1-3 เดือน
กองทุน SCBRMNDQ(A) และ SCBRMCTECH
กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ คือ SCBRMCTECH ลงทุนหุ้นเทคจีนชั้นนำตามดัชนี FTSE China Incl A 25% Technology Capped
กองทุน SCBRMWORLD(A) และ SCBTP(THAIESG)
กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ คือ SCBRMWORLD(A) ลงทุนในหุ้นชั้นนำจากประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก ตามดัชนี MSCI World
กองทุน SCBRMUSA(A) SCBTA(THAIESG) และ SCBTD(THAIESG)
กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ SCBRMUSA(A) เห้นหุ้นสหรัฐฯ ศักยภาพสูงแบบเชิงรุก
สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้ที่ www.finnomena.com/fund
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG มีเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะตามที่กรมสรรพากรกำหนด | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
คุณกำลังมองหาวิธีจัดพอร์ตที่จะช่วยให้ผ่านพ้นทุกสภาวะตลาดได้อย่างมั่นใจอยู่หรือเปล่า? หากใช่บทความนี้ถูกสร้างมาเพื่อคุณ! เพราะเราจะมาเผยเคล็ดลับการจัดพอร์ตที่ไม่ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหนก็ช่วยให้พอร์ตของคุณเอาชนะตลาดได้มาฝากกัน รายละเอียดพอร์ตจะเป็นอย่างไร? ติดตามไปพร้อมกันได้ในบทความนี้
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ หากพูดในความหมายของโลกการลงทุน ประโยคนี้ก็หมายความว่า ‘การกระจายความเสี่ยง’ นั่นเอง คงไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในทุกช่วงเวลา และเราก็ไม่อาจรู้อนาคตแน่นอนได้ว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางคนพอร์ตมีแต่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นอยู่เต็มพอร์ต แต่พอเกิดขึ้นสถานการณ์ที่ทำให้หุ้นปรับตัวลดลงกลายเป็นว่าเปิดพอร์ตมาแดงแจ๋ติดดอย หรือบางคนพอร์ตมีแต่สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ในช่วงที่ตลาดขึ้นก็อาจจะเสียโอกาสที่จะทำให้พอร์ตของเราเติบโตไปได้อีก
ดังนั้น ‘Asset Allocation’ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการลงทุน หากคุณกำลังมองหาพอร์ตการลงทุนที่จะช่วยให้คุณสามารถเอาชนะได้ในทุกสภาวะตลาดได้ วันนี้เราขอแนะนำให้ได้รู้จักกับพอร์ต ‘All Weather Strategy (AWS)’ ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ ดร. Andrew Stotz จับมือร่วมกับทีมงาน Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาวให้ได้มากที่สุด สัดส่วนหุ้นในพอร์ตสามารถปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 25-85% ตามสถานการณ์ พร้อมลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยปกป้องพอร์ตในสภาวะตลาดผันผวน โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง
อย่างที่บอกไปว่าพอร์ต ‘All Weather Strategy’ จะเน้นกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก โดยเน้นลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้น ด้วยสัดส่วน 70% ผ่านกองทุน TEMxCH เป็นตัวแทนหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ไม่รวมประเทศจีนในสัดส่วน 25% กองทุน TLA-GEQ เป็นตัวแทนหุ้นโลกในสัดส่วน 15% กองทุน K-US500X-A(A) เป็นตัวแทนหุ้นสหรัฐฯ ในสัดส่วน 15% กองทุน FP CNGLOV เป็นตัวแทนหุ้นจีนในสัดส่วน 10% กองทุน TLFVMR-ASIAX เป็นตัวแทนกองทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นและจีนในสัดส่วน 5%
สำหรับตราสารหนี้ พอร์ต AWS ลงทุนด้วยสัดส่วน 5% โดยเลือกใช้กองทุน KT-BOND เป็นตัวแทนตราสารหนี้ทั่วโลก และสัดส่วนที่เหลืออีก 25% กระจายการลงทุนไปในทองคำผ่านกองทุน K-GOLD-A(A)
เจาะลึกกองทุนในพอร์ต All Weather Strategy
สัดส่วนการลงทุน 25%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Invesco Emerging Markets ex-China Equity Fund Class C-AD เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน TEMxCH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งไม่รวมประเทศจีน หรือบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งนอกกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่มีการดําเนินธุรกิจหลักอยู่ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งไม่รวมประเทศจีน
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 15%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (CIS) และ/หรือกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่ซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ และมีลักษณะดังนี้ การลงทุนแบบเน้นประเทศเดียว (Single Country) รวมถึงกลุ่มกลุ่มยูโรโซน (Eurozone) การลงทุนที่เน้นอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน (Global Sector Equity) หรือการลงทุนตามธีมต่าง ๆ (Thematic Investment) เช่น Robotics และ AI โดยกองทุน TLA-GEQ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: ครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 15%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน iShares Core S&P 500 ETF (กองทุนหลัก) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน K-US500X-A(A) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักเป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น NYSE Arca และมีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนี S&P 500
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 500 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 10%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทจีนซึ่งจัดตั้งในประเทศจีนหรือมีการดำเนินธุรกิจ และ/หรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีน รวมถึงหน่วยลงทุน CIS และ/หรือ ETF ที่มีนโยบายการลงทุนในลักษณะดังกล่าว ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน FP CNGLOV จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท (ครั้งถัดไป 1 บาท)
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 5%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน (ซึ่งรวมถึงเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน) โดยกองทุน TLFVMR-ASIAX จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท (ครั้งถัดไป 1 บาท)
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 5%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน PIMCO FUNDS : GLOBAL INVESTORS SERIES PLC – Global Bond Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 4
กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนรวมให้ได้มากที่สุด และสอดคล้องกับการรักษาเงินทุนและการบริหารเงินลงทุนอย่างรอบคอบ กองทุนจะลงทุนอย่างน้อยสองในสามของสินทรัพย์ของกองทุน โดยกระจายพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ในสกุลเงินหลักของโลก
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
สัดส่วนการลงทุน 25%
นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน โดยกองทุน K-GOLD-A(A) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก
.
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ในการวางแผนภาษี ศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่กรมสรรพากร แต่คือ “จิตใต้สำนึก” ของคุณเอง! ความโลภ ความกลัว และอคติส่วนตัว อาจทำให้พลาดใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เต็มที่
บทความนี้ขอชวนมาร่วมสำรวจจิตใจไปพร้อมกันกับ “7 บาปการวางแผนภาษี” ที่ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหน้าใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ก็อาจเคยตกหลุมพรางเหล่านี้มาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง หรืออาจจะทั้งหมดพร้อมกัน
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESGพิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws
หลายคนเลือกลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีเพราะกำลังขึ้นแรง โดยไม่ดูเงื่อนไข ไม่ดูความเสี่ยง สุดท้ายก็ต้องนั่งมองพอร์ตแดงแล้วเกลียดตัวเองปีถัดไป การลงทุนลดหย่อนภาษีควรเริ่มจากเป้าหมายภาษี ควบคู่ไปกับเป้าหมายกำไร เพื่อให้ทั้งสองเป้าหมายสอดคล้องไปด้วยกัน
ตลาดผันผวนเป็นเรื่องปกติ แต่การกลัวจนไม่ทำอะไรเลย คือบาปอันดับต้น ๆ ของการวางแผนภาษี เพราะคุณกำลังปล่อยให้เงินไหลไปสรรพากรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งที่สามารถนำเงินตรงนั้นไปต่อยอดหรือใช้จ่ายได้ การทยอยซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีด้วยเทคนิค DCA ตลอดทั้งปี ช่วยกระจายความเสี่ยง และความกลัวได้มากกว่าไปอัดซื้อทีเดียวตอนปลายปี
หลายคนมั่นใจในความจำของตัวเอง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้สิทธิลดหย่อนตามที่หวัง หรือแย่กว่านั้นคือโดนเรียกคืนภาษี การลดหย่อนภาษีไม่ใช่เรื่องของความมั่นใจ แต่เป็นเรื่องของความแม่นยำ การใช้เครื่องมือคำนวณภาษี ตรวจสอบเพดานภาษีและสิทธิลดหย่อนที่ยังเหลืออยู่ จะช่วยให้แผนภาษีของคุณไม่พัง และใช้สิทธิได้เต็มที่
“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที
ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี
เพื่อนบอกว่ากองนี้กำไรดี พี่ที่ทำงานบอกว่า Thai ESG โตแรง ผู้เชี่ยวชาญบอก RMF ปีนี้มาแน่ แต่คุณไม่ได้เช็กเลยว่าตัวเองต้องการลดหย่อนเท่าไร รับความเสี่ยงได้แค่ไหน หรือกองนั้นเหมาะกับเป้าของคุณหรือไม่ เพราะการวางแผนภาษีไม่ใช่การแข่งขันกับใคร แต่เป็นการออกแบบแผนให้สอดคล้องกับรายได้และภาระภาษีของตัวเอง
นี่คือบาปยอดนิยมอันดับหนึ่งของการวางแผนภาษี เพราะพอปล่อยเวลาไปทั้งปี สุดท้ายต้องรีบซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีแบบฉุกละหุก ไม่เช็กเงื่อนไข ไม่ตรวจพอร์ต ไม่ดูเพดานภาษี ผลลัพธ์มักออกมาเป็นซื้อผิดกอง ผิดเวลา ผิดจำนวน และผิดแผนแทบทุกอย่าง การทยอยลงทุนตลอดทั้งปี จะช่วยกระจายความเสี่ยง ลดแรงกดดันได้
หลายคนพอเห็นยอดภาษีปีที่แล้วแล้วหัวร้อน คิดว่า “ปีนี้จะอัดกองทุนลดหย่อนภาษีให้หนัก เอาให้สรรพากรถอนหายใจ!” แต่การลงทุนเพื่อล้างแค้นภาษี ใช้อารมณ์นำเหตุผล ผลลัพธ์มักจบไม่สวย เพราะสุดท้ายอาจได้ทั้งพอร์ตที่สะเปะสะปะ และลดหย่อนได้ไม่เต็มสิทธิ การวางแผนภาษีที่ดีไม่ใช่การเอาชนะสรรพากร แต่คือการใช้เหตุผลจัดการเงินให้ตรงเป้าหมาย
บางคนซื้อทุกอย่าง RMF ก็เอา Thai ESG ก็เติม Thai ESGX ก็อยากได้อีก เน้นซื้อไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยจัดพอร์ตทีหลัง สุดท้ายกลายเป็นพอร์ตกระจัดกระจาย ประเภทสินทรัพย์ทับซ้อน และไม่ได้ผลตอบแทนอย่างที่หวัง ยิ่งแย่คือบางส่วนดันไม่ได้สิทธิลดหย่อนเพราะซ้ำเงื่อนไขกันอีกต่างหาก การวางแผนพอร์ตลดหย่อนที่ดีต้องเริ่มจากคำถามว่า “ปีนี้ต้องการลดหย่อนเท่าไร?” “เป้าหมายการเงินระยะยาวคืออะไร?”
บาปเหล่านี้ไม่ได้ผิด แต่การไม่ตระหนักและไม่ปรับปรุงจะนำไปสู่ความเสียหายในการวางแผนภาษี การวางแผนภาษีที่ดีเริ่มจากเข้าใจรายได้ ภาระภาษี และพฤติกรรมของตัวเอง หากคุณเริ่มเห็นบาปเหล่านี้ในตัวเองแล้ว นั่นคือก้าวแรกของการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
“Tax Saving Fund Planner” บริการวางแผนการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีจาก Finnomena Funds บริการวางแผนกองทุนลดหย่อนภาษีแบบ Exclusive สำหรับลูกค้าฟินโนมีนา พร้อมช่วยดูแลและให้คำแนะนำการลงทุนใน SSF RMF Thai ESG โดยไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน รับคำแนะนำการลงทุน ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย บริการพิเศษเฉพาะลูกค้าฟินโนมีนา
ลงทะเบียน คลิก 👉 https://finno.me/taxplanner-services
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน และอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ | ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้ยืนยันผลในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ปลายปีนี้ อย่าปล่อยสิทธิ์เงินคืนหลุดมือ! เพราะทุกการลงทุนกองทุนรวมกับ Finnomena Funds ผ่านบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP เมื่อกดรับ E-Coupon ก่อนทำรายการ คุณจะได้รับ Cash Back สูงสุดถึง 300 บาท**
เพียงซื้อกองทุนรวมที่ร่วมรายการ และตัดเงินค่าซื้อกองทุนรวมผ่านบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท**
✅ ลงทุน 30,000 – 99,999 บาท รับ Cashback 30 บาท**
✅ ลงทุน 100,000 – 299,999 บาท รับ Cashback 100 บาท**
✅ ลงทุน 300,000 บาทขึ้นไป รับ Cashback 300 บาท**
Step 1: กดรับ E-Coupon 👉 https://www.finnomena.com/coupon-book/kkppromooct2025
Step 2: ลงทุนกองทุนรวมที่ร่วมรายการ และตัดเงินผ่านบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
ดูกองทุนรวมที่ร่วมรายการ 👉 https://www.finnomena.com/promotions/condition/fund-list
Step 3: รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท** หลังทำรายการสำเร็จ (คูปอง 1 ใบ ต่อการทำรายการซื้อเพียง 1 ครั้งเท่านั้น)
📅 โปรโมชันดี ๆ แบบนี้มีตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2568 – 31 ม.ค. 2569 เท่านั้น
💡 อย่ารอช้า รีบเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP ตั้งเป็นบัญชี Settlement หลักสำหรับการลงทุน และเริ่มลงทุนกับ Finnomena Funds เพื่อรับโปรโมชันนี้ได้เลย! 👉 https://partner.finnomena.com/kkp/landing
* อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นตามที่ธนาคาร เกียรตินาคินภัทรกำหนด
** สิทธิพิเศษนี้เป็นกิจกรรมส่งเสริมการขาย ไม่ใช่ผลตอบแทนจากการลงทุนหรือดอกเบี้ยเงินฝาก ของสมนาคุณเทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ย 0.03% – 0.10% ต่อปี เมื่อฝากเงินตั้งแต่ 30,000 บาท ถึง 300,000 บาท เป็นเวลา 12 เดือน
*** ข้อมูลดังกล่าวคิดมาจากการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์จำนวน 19 แห่ง โดยอ้างอิงจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2568
คำเตือน: อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกำหนด | บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP เป็นผลิตภัณฑ์ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร | เงื่อนไขผลิตภัณฑ์ ให้บริการเฉพาะประเภทลูกค้า (1) บุคคลธรรมดา สัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 20 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป มีบัตรประชาชนแบบ Smart Card | ผู้ฝากสามารถขอเปิดบัญชีได้เฉพาะบัญชีที่มีชื่อบุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของบัญชี และผู้ฝาก 1 ราย เปิดได้ 1 บัญชี โดยไม่จำกัดรายการฝาก | ผู้ฝากสามารถเปิดบัญชีได้ด้วยตนเองผ่านแอปฯ Finnomena ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. โดยทำการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่านบริการ NDID | การคำนวณดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คิดแบบขั้นบันได (Step Up) ตามอัตราที่กำหนดในแต่ละวงเงิน ธนาคารจะคำนวณจากยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นวัน โดยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินฝากของลูกค้า | ธนาคารจะคำนวณและหักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากดอกเบี้ยเงินฝากตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด | หากพบปัญหาเกี่ยวกับการเปิดบัญชีไม่สำเร็จหรือบริการทางบัญชีเพิ่มเติม โปรดติดต่อ KKP Contact Center โทร 02-165-5555 กด 5 ต่อจากนั้น กด 1 เวลา 07.00-20.00 น. ของทุกวัน | หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Finnomena Application โปรดติดต่อ 02-026-5100 เวลา 09.00 – 17:00 น. ทุกวันทำการ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวม ไม่ใช่การฝากเงิน
พอร์ตการลงทุนย่อ-ซื้อ ขึ้น-ขาย สไตล์ FundTalk The Contrarian แนะนำเพิ่มน้ำหนัก A-RING ลงทุนเหมืองทอง รับอานิสงส์ทองคำเตรียมกลับเป็นขาขึ้น
สนใจลงทุน Dynamic Contrarian Model Portfolio
คลิกเลย
Source: Finnomena Funds, Tradingview as of 02/12/2025
ราคาบิทคอยน์ในช่วงต้นเดือนธันวาคมปรับตัวลงแรง และยังคงเคลื่อนไหวสวนทางกับราคาทองคำ รูปแบบดังกล่าวมักเกิดขึ้นในช่วงก่อนการประชุม Fed และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยในปัจจุบันตลาดมีความกังวลต่อความผันผวนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงขึ้น จึงมีเงินบางส่วนไหลออกจากคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง และไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำที่เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าหลังทำ Pattern Double Top ยิ่งช่วยหนุนแรงซื้อในทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติมในระยะสั้น
Source: Finnomena Funds, Tradingview as of 02/12/2025
แม้ราคาทองคำจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเทียบกับแร่เงิน (Silver) แล้ว ทองคำยังถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ Laggard โดยราคาแร่เงินทำ All Time High ไปแล้วในปีนี้ ขณะที่ราคาทองคำยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา การที่ราคาแร่เงินปรับตัวขึ้นแรงกว่าราคาทองคำมักสะท้อนแรงส่งของกลุ่มโลหะมีค่า (Precious Metals) ในภาพรวมและเปิดโอกาสให้ทองคำปรับตัวขึ้นในอนาคต
Source: Finnomena Funds, Tradingview as of 02/12/2025
ในเชิงเทคนิค ราคาทองคำกำลังเคลื่อนตัวเบรกเหนือกรอบ Flag Pattern หลังจบรอบปรับฐานสั้น ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเนื่องของขาขึ้น ขณะเดียวกันค่า RSI ฟื้นตัวเข้าสู่โซนบวก แสดงถึงแรงซื้อที่กลับมาเด่นชัด เมื่อเทียบกับบิทคอยน์ซึ่ง RSI ยังอ่อนแรงและกำลังอยู่ในเทรนด์ขาลง (Descending Channel) สอดคล้องกับความสัมพันธ์ในอดีตที่บิทคอยน์มักเคลื่อนไหวสวนทางราคาทองคำในช่วงความเสี่ยงตลาดเพิ่มสูง
Source: Finnomena Funds, Asset Plus as of 31/10/2025
ภายใต้บริบทนี้ หุ้นเหมืองทอง (Gold Miners) ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวและตอบสนองต่อราคาทองคำในเชิงบวกมากกว่า โดยข้อมูลย้อนหลังยาวนานกว่า 20 ปี พบว่าหุ้นเหมืองทองแบบ Pure Play มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย ประมาณ 2 เท่า ของการปรับขึ้นของราคาทองคำในช่วงขาขึ้น สาเหตุสำคัญมาจากโครงสร้างต้นทุนคงที่ของเหมือง เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการขุดทองคำคงที่ ทำให้บริษัทเหมืองทองคำมีกำไรที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาหุ้นมีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนสูงกว่าตัวทองคำเองในรอบเชิงวัฏจักร
FundTalk จึงมีแนะนำเข้าซื้อกองทุน A-RING (Atrackers Global Gold Miners Equity Fund) ซึ่งเป็นกองทุน Passive ที่ลงทุนผ่าน iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ครอบคลุมหุ้นเหมืองทองคำรายใหญ่ระดับโลก เช่น Newmont, Agnico Eagle Mines, Barrick Gold และ Wheaton Precious Metals ซึ่งมีโครงสร้างรายได้อ้างอิงกับราคาทองคำโดยตรง กองทุนมีสัดส่วนลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วที่มีเสถียรภาพ เช่น แคนาดาและสหรัฐฯ รวมกันกว่า 70% โดยมีความกระจุกตัวในบริษัทที่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรระยะยาวแม้ในช่วงราคาทองผันผวน
สนใจลงทุน Dynamic Contrarian Model Portfolio
คลิกเลย
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
อย่าลืมเปิดฟังก์ชันปรับพอร์ตอัตโนมัติ! Automatic Allocation ช่วยบริหารพอร์ตตามสภาวะตลาด สะดวก ใช้งานง่าย ให้คุณปรับสมดุลพอร์ตอยู่ในสถานะที่เหมาะสมอยู่เสมอ
สามารถเปิดใช้ Automatic Allocation ได้แล้ววันนี้ที่พอร์ตการลงทุนของคุณ หรือดูวิธีการได้ที่ Finnomena Funds Automatic Allocation
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ถ้าจะถามว่ากูรูท่านใดที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากโครงการ GURUPORT ก็คงจะหนีไม่พ้น Dr.Andrew Stotz ซึ่งตอนนี้ได้ออกพอร์ตมาทั้งหมดถึง 3 พอร์ตด้วยกัน ได้แก่ AWS, AWAF และ AWIG
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้ว 3 พอร์ตนี้แตกต่างกันอย่างไร? แบบไหนเหมาะกับใครบ้าง? Finnomena Funds ขอพาทุกท่านไปเจาะลึกพอร์ตตระกูล All Weather ทั้ง 3 พอร์ตในบทความนี้
จัดพอร์ตสไตล์ Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำของประเทศไทย ออกแบบครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย กับ 3 พอร์ตให้เลือกลงทุน ทั้ง AWAF, AWS และ AWIG เริ่มต้นลงทุนง่าย ๆ ผ่าน Finnomena Funds ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
ในโลกแห่งการลงทุน สินทรัพย์แต่ละประเภทนั้นมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนที่สูงขึ้นย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย (high risk high return) ถ้าเราลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ อาจทำให้เราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนตามที่ตั้งใจไว้ หรืออาจไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนเท่าที่ควรเป็น ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ในที่สัดส่วนมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอย่างน่าเสียดาย หรือหากคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูงในสัดส่วนที่มาก อาจทำให้คุณต้องกุมหัวคิดไม่ตกเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง
ดังนั้น ควรประเมินความเสี่ยงของตัวเองก่อนลงทุนเสมอ และจัดสรรพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในโลกการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “ไม่มีสินทรัพย์ใดที่สามารถเอาชนะตลาดได้ตลอดไป”
อย่างที่บอกไปในช่วงต้นว่า Andrew Stotz ได้ออกพอร์ตมาทั้งหมด 3 พอร์ตแล้ว ได้แก่ AWS, AWAF และ AWIG โดยทั้ง 3 พอร์ตนี้มีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ดังนี้
พอร์ต All Weather Alpha Focus (AWAF) คือพอร์ตการลงทุนที่เน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ระยะยาวทั้งในสภาวะขาขึ้นและขาลงของตลาดหุ้น ผ่านกลยุทธ์ในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มอุตสาหกรรม ภูมิภาค และธีมการลงทุนต่าง ๆ ตามสภาวะตลาด (Tactical Allocation) เพื่อสร้างโอกาสการทำกำไรและช่วยบริหารความเสี่ยงในภาวะตลาดขาลง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของพอร์ต AWAF จะอ้างอิงจากโมเดล “FVMR Framework” ที่ถูกนำมาทดสอบอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
พร้อมวิเคราะห์ผ่านปัจจัยมหภาค (Macro) โดยใช้โมเดล FVMR เพื่อทำให้แน่ใจว่าคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจมากที่สุดตามสภาวะตลาด
พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาวให้ได้มากที่สุด สัดส่วนหุ้นในพอร์ตสามารถปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 25-85% ตามสถานการณ์ พร้อมลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยปกป้องพอร์ตในสภาวะตลาดผันผวน
เน้นสัดส่วน (Conviction) 25% ไปที่สินทรัพย์ 3 สินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดในแต่ละช่วงเวลา เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ผ่านหลักแนวคิด FVMR เช่นเดียวกับพอร์ต AWAF ที่ช่วยให้นักวิเคราะห์ไม่พลาดตกหล่นปัจจัยที่เกี่ยวข้องไป
พอร์ต All Weather Inflation Guard (AWIG) เป็นพอร์ตการลงทุนระยะยาวเพื่อตอบสนองต่อสภาวะเงินเฟ้อโดยเฉพาะ เน้นลงทุนในพันธบัตรเป็นกลยุทธ์หลัก และลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วนปานกลาง พร้อมควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพอร์ตอื่น ๆ ของ Andrew Stotz โดยมีการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงไปยังพันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และน้ำมัน เป็นพอร์ตที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเอาชนะเงินเฟ้อ และต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงิน
สำหรับพอร์ต All Weather Inflation Guard (AWIG) จะใช้กลยุทธ์ “FVMR” เช่นเดียวกับพอร์ต All Weather Alpha Focus (AWAF) และพอร์ต All Weather Strategy (AWS) โดยเป็นโมเดลที่ออกแบบโดย Andrew Stotz และทีมงาน ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีการทดสอบปัจจัยต่าง ๆ ย้อนหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริงและเข้ากับสถานการณ์ตลาดในแต่ละช่วงเวลา มีการวิจัยและทดสอบอย่างสม่ำเสมอ พร้อมตัดอคติออกจากการวิเคราะห์ในทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยยึดการลงทุนในระยะยาวเป็นหัวใจสำคัญ
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผลการดำเนินงานของดัชนีอ้างอิงและกลยุทธ์ถูกคำนวณจากมูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) ของกองทุน ซึ่งเป็นตัวเลขหลังหักค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) แล้ว แต่ไม่รวมค่าธรรมเนียมการขาย เช่น front-end fees
ผลการดำเนินงานจริงของพอร์ต AWAF, AWS และ AWIG
ที่มา: A. Stotz Investment Research ณ วันที่ 30 พ.ย. 2568
จากภาพด้านบนเป็นกราฟเส้นแสดงผลตอบแทนจริงของพอร์ต AWAF (สีแดง) พอร์ต AWS (สีฟ้า) และพอร์ต AWIG (สีเขียว) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2025 จะเห็นได้ว่า พอร์ต AWS และ AWAF แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2023 ที่กราฟผลตอบแทนของทั้งสองพอร์ตพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2025 พอร์ต AWS สร้างผลตอบแทนได้ 39.2% และพอร์ต AWAF สร้างผลตอบแทนได้ 37.3%*
ในขณะเดียวกัน พอร์ต AWIG ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ แม้ผลตอบแทนโดยรวมจะไม่ได้สูงเท่าสองพอร์ตแรก แต่การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและควบคุมความผันผวนให้อยู่ในระดับต่ำถือเป็นจุดแข็งสำคัญของกลยุทธ์นี้ โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2025 พอร์ต AWIG สร้างผลตอบแทนอยู่ได้ 17.9%* ซึ่งบ่งชี้ว่าพอร์ตนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง
*ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ทั้ง 3 พอร์ตใช้หลัก Asset Allocation ในการลงทุนเป็นหลัก ซึ่งมีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และตราสารทางเลือก โดยจะจัดสรรสัดส่วนการลงทุนแต่ละประเภทสินทรัพย์ตามกลยุทธ์ของแต่ละพอร์ต มีการวิเคราะห์ผ่านโมเดล FVMR ที่ออกแบบโดย Andrew Stotz และทีมงาน ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริง
ทั้ง 3 พอร์ต ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท โดยทุกพอร์ตไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการจัดพอร์ตลงทุน พร้อมมีบริการ Rebalance ปรับพอร์ตตามความสมควรและสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 พอร์ตนั้น มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ผลตอบแทนคาดการณ์โดยเฉลี่ยมีความต่างกันตามไปด้วย พอร์ต AWAF ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นมากที่สุดในบรรดา 3 พอร์ต ในสัดส่วน 93% และลงทุนในตราสารหนี้เพียง 3% ในขณะที่พอร์ต AWIG ซึ่งเป็นพอร์ตที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ให้น้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ถึง 65% ดังนั้น ลองสำรวจตัวเองและเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้
.
หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสัดส่วนการลงทุนแนะนำ หรือรายละเอียดพอร์ต สามารถปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนของ Finnomena Funds ก่อนเริ่มลงทุนได้ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม กรอกข้อมูลเพื่อรับบริการได้ที่ https://finno.me/wtg-ws
จัดพอร์ตสไตล์ Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำของประเทศไทย ออกแบบครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย กับ 3 พอร์ตให้เลือกลงทุน ทั้ง AWAF, AWS และ AWIG เริ่มต้นลงทุนง่าย ๆ ผ่าน Finnomena Funds ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
Finnomena Funds ปรับเพิ่มมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ไทย เมื่อความผันผวนคลี่คลาย Fund Flow หยุดไหลออก ส่วน Bond Yield 10 ปี ต่ำกว่าระดับ 1.8% เป็นโอกาสทยอยเก็บสะสมกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง แนะนำ KFAFIX-A และลดหย่อนภาษี K-ESGBF-ThaiESG
จากกรณีที่เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 ที่ผ่านมา ได้เกิดความผันผวนต่อตลาดตราสารหนี้ไทย จากแรงขายทำกำไรจำนวนมาก โดยเฉพาะในตราสารหนี้อายุยาว ส่งผลให้ Bond Yield ไทย 10 ปี เด้งแรงในเวลาอันสั้น และกดดันต่อ NAV กองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยระยะยาวปรับตัวร่วงแรง
ในเวลานั้น Finnomena Funds แนะนำให้นักลงทุน “รอจังหวะ” Wait & See พักเงินในกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อรอให้ Bond Yield 10 ปี แตะไปถึงระดับ 1.80% เพราะเป็นจุดที่ผลตอบแทนเริ่มชดเชยความเสี่ยงได้เหมาะสม รวมทั้งรอวันที่แนวโน้ม Fund Flow เริ่มหยุดไหลออก แล้วค่อยพิจารณากลับเข้าลงทุนใหม่อีกครั้ง
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 24/11/2025
ทั้งนี้ ล่าสุดความเคลื่อนไหวของ Bond Yield ไทย อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1.8% ที่เราเคยกำหนดกลยุทธ์ไว้ และเริ่มย่อลงมาได้แล้ว
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/11/2025
ประกอบกับทิศทาง Fund Flow ของกองทุนตราสารหนี้ไทยระยะกลาง-ยาว ก็เริ่มเห็นเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาแล้วเช่นกัน
ดังนั้น Finnomena Funds จึงมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อตราสารหนี้ไทย โดยปรับเพิ่มมุมมองจาก Neutral ขึ้นเป็น Slightly Positive เนื่องจาก Bond Yield อายุ 10 ปี ทดสอบ 1.8% และย่อลงมาได้ รวมทั้งเริ่มเห็น Fund Flow ไหลกลับเข้ามาแล้ว
แนะนำสะสมกองทุนตราสารหนี้ไทย KFAFIX-A จาก บลจ. กรุงศรี ที่มี Duration ประมาณ 2 ปี 6 เดือน และเป็นโอกาสเข้าซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG อย่าง K-ESGBF-THAIESG จาก บลจ. กสิกรไทย ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ไทยยั่งยืนอายุเฉลี่ยปานกลาง
เหตุผลที่รอบนี้เราชอบกองทุนตราสารหนี้ไทยอายุเฉลี่ยปานกลาง มากกว่ากองทุนที่มีตราสารอายุยาว ๆ เพราะว่า Upside ต่อการปรับลดดอกเบี้ยเริ่มน้อยลงแล้ว นอกจากนี้ ตราสารอายุปานกลางยังมีความยืดหยุ่นสูงกว่า และช่วยลดกระทบความเสี่ยงหากตลาดการเงินเกิดความผันผวนรุนแรง
Bloomberg Consensus ระบุว่านักวิเคราะห์คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะลดลงเหลือ 1% ภายในไตรมาส Q1/2026 เช่นเดียวกับตลาดการเงินที่สะท้อนคาดการณ์ดอกเบี้ยที่ระดับใกล้ 1% ในอีก 1 ปี (ปัจจุบันดอกเบี้ยไทยอยู่ที่ 1.50%)
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สอนยื่นภาษีออนไลน์ปี 2568 ทำตามง่าย ๆ Step-by-Step พร้อมเคลียร์ทุกข้อสงสัย ใครต้องยื่นภาษี ยื่นภาษีได้ถึงวันไหน ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง ช่องทางการจ่ายภาษี และยื่นภาษียังไงให้ได้เงินคืน มาเตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษีปีนี้กันเลย
สำหรับคนไทยทุกคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือชาวฟรีแลนซ์ หน้าที่ที่ต้องทำเป็นประจำทุกปีคือการ “ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา”
บทความนี้เราจึงสรุป “วิธียื่นภาษีออนไลน์ ฉบับมือใหม่ทำตามได้ง่ายสุด ๆ” มาฝากทุกคนเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษีในช่วงต้นปี 2569 ที่จะถึงนี้กัน จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ติดตามไปพร้อมกันได้เลย!
“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที
ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี
กรมสรรพากรได้นิยามความหมายของคำว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ไว้ว่า
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ ตามที่กฎหมายกำหนด และมีรายได้เกิดขึ้น ตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยปกติจัดเก็บเป็นรายปี รายได้ที่เกิดข้ึนในปีใด ๆ ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเอง ตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนดภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป
คนไทยทุกคนที่มีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบ่งเกณฑ์ตามสถานะโสดและสมรส โดยมีรายละเอียดดังนี้
อ่านเพิ่มเติม สรุปวิธีคำนวณภาษี: รายได้เท่าไรต้องเสียภาษีเท่าไร?
ปกติการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะยื่นปีละ 1 ครั้ง ภายในวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม ของปีถัดไป เช่น รายได้เกิดขึ้นในปี 2568 (ปีภาษี 2568) ต้องยื่นภาษีภายในวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2569
หากเป็นเงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น จะต้องยื่นภาษีตอนกลางปี ภายในเดือนกันยายนของทุกปี
การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ภ.ง.ด. 91 สำหรับผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว และ ภ.ง.ด. 90 สำหรับผู้ที่มีรายได้อื่น ๆ นอกเหนือจากเงินเดือน โดยมีเอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับยื่นภาษีดังนี้
เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://efiling.rd.go.th/ และเลือก “ยื่นแบบออนไลน์”
หากท่านใดยังไม่มีบัญชีให้กด “สมัครสมาชิก” ก่อน โดยระบบจะให้กรอกข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ เช่น เลขบัตรประจำตัวประชาชน (เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร) วันเดือนปีเกิด เลขหลังบัตรประชาชน ที่อยู่ อีเมล พร้อมสร้างรหัสผ่านเพื่อใช้ในการเข้าสู่ระบบ E-filing สำหรับยื่นภาษีออนไลน์
เข้าสู่ระบบ E-filing โดยการกรอกเลขบัตรประชาชนในช่องชื่อผู้ใช้งาน พร้อมกรอกรหัสผ่าน และกด “ตกลง” จากนั้นยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP 6 หลัก ผ่านเบอร์โทรศัพท์มือถือ
อ่านและยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขในการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร จากนั้นกด “เข้าสู่ระบบ” และเลือก “ยื่นแบบ” ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90/91
ตรวจสอบข้อมูลผู้เสียภาษี ได้แก่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด และสถานที่ติดต่อ จากนั้นเลือกสถานะ และกด “ถัดไป”
กรอกข้อมูลรายได้จากเงินเดือน โดยนำข้อมูลมาจากหนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) พร้อมกรอกเลขผู้จ่ายเงินได้ (เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัทที่เราทำงานอยู่)
ทั้งนี้สำหรับคนที่เปลี่ยนที่ทำงานระหว่างปีให้ขอหนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) กับที่ทำงานเก่าเพื่อนำมากรอกข้อมูลยื่นภาษีเงินได้
และหากใครมีรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือน เช่น รายได้จากฟรีแลนซ์ รับจ้างทั่วไป และวิชาชีพอิสระ, รายได้จากทรัพย์สิน และการทำธุรกิจ, รายได้จากการลงทุน และรายได้จากมรดกหรือได้รับมา ให้กรอกข้อมูลลงไปด้วย
หลังจากกรอกข้อมูลเงินได้เรียบร้อยแล้วให้กด “ถัดไป”
กรอกข้อมูลค่าลดหย่อนต่าง ๆ ที่มี เช่น ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา-มารดา ค่าลดหย่อนบุตร เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม เบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันสุขภาพ จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน RMF กองทุน Thai ESG และเงินบริจาค เป็นต้น
หลังจากกรอกข้อมูลค่าลดหย่อนเรียบร้อยแล้วให้กด “ถัดไป”
อ่านเพิ่มเติม ลดหย่อนภาษี: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!
ตรวจสอบข้อมูลเงินได้และค่าลดหย่อนทั้งหมดที่ได้กรอกไป โดยระบบจะทำการคำนวณภาษีที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ซึ่งหากมีการชำระภาษีไปแล้วระบบจะแจ้งยอดที่ชำระเกิน โดยสามารถขอคืนภาษีที่ชำระเกินได้ รวมถึงนำเงินภาษีที่ชำระเกินไปอุดหนุนพรรคการเมืองได้
หลังจากตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเรียบร้อยแล้วให้กด “ถัดไป”
เมื่อตรวจสอบข้อมูลครบถ้วนแล้ว กด “ยืนยันการยื่นแบบ” เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านช่องทางออนไลน์
ในกรณีไม่มีภาษีต้องชำระ ระบบจะแจ้งผลการยื่นแบบและหมายเลขอ้างอิง พร้อมออกเอกสารแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและใบเสร็จรับเงินเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบ
กรณีมีภาษีชำระไว้เกิน กรมสรรพากรจะทำการอนุมัติคืนภาษีให้ทันที โดยสามารถเลือกรับคืนเงินภาษีที่ชำระเกินได้ทั้งช่องทางพร้อมเพย์ และบัญชีของธนาคารกรุงไทย พร้อมติดตามสถานะคืนเงินภาษีได้ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://www.rd.go.th/
ในกรณีมีภาษีต้องชำระเพิ่มสามารถเลือกชำระภาษีได้หลายช่องทาง ได้แก่ QR Code, E-Payment, Internet Credit Card, ATM on Internet, บัตรภาษี และชำระผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น Pay-In Slip ผ่านช่องทาง Counter Service, Tele-Banking และอื่น ๆ
ทั้งนี้หากมียอดภาษีที่ต้องชำระตั้งแต่ 3,000 บาท ขึ้นไป สามารถเลือกผ่อนชำระภาษีได้สูงสุด 3 งวดเท่า ๆ กัน โดยไม่มีดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่ชำระเงินภายในวันที่กำหนด (หากไม่ชำระภายในวันที่กำหนดจะคิดดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีงวดที่เหลือ) โดยระบบจะคำนวณยอดชำระพร้อมกำหนดวันที่ต้องชำระให้ทั้ง 3 งวด และจะมี SMS จากกรมสรรพากรแจ้งเตือนเมื่อครบกำหนดวันที่ต้องชำระภาษี
ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESGพิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws
คำเตือน
Michael Burry นักลงทุนชื่อดังเจ้าของฉายา The Big Short ออกมาเตือนแรงว่า Tesla ของ Elon Musk อยู่ในสถานะ “แพงเกินจริง” และกำลังทำให้ผู้ถือหุ้นถูกเจือจาง (Dilute) อย่างต่อเนื่อง
โดยเขาเขียนใน Substack ว่า Tesla ไม่มีนโยบายซื้อหุ้นคืน ขณะที่แผนการให้ค่าตอบแทน Musk มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และอาจทำให้ Musk ได้รับหุ้นมากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้าน Dilution ที่สูงอยู่แล้ว
Burry ชี้ว่าหุ้น Tesla เทรดที่กว่า 200 เท่าของกำไรล่วงหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีของบริษัทเองเกือบเท่าตัว และสูงกว่า S&P 500 ที่ราว 22 เท่าแบบคนละระดับ เมื่อเทียบกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่อยู่เพียงหลักเดียวถึงหลักสิบต้น ๆ
เขายังเหน็บว่า Tesla มักเปลี่ยน “เรื่องเล่า” เพื่อขายความหวัง ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบขับขี่อัตโนมัติ และล่าสุดคือหุ่นยนต์ ซึ่งเขาเชื่อว่าเกิดขึ้นทุกครั้งที่ “คู่แข่งเริ่มไล่ทัน” ด้าน
แม้ Tesla ยังไม่ได้ตอบกลับต่อคำวิจารณ์ครั้งนี้ แต่ Burry เองก็ไม่ใช่มือใหม่ในฝั่งขาลง เพราะเขาเคยถือสถานะ Short ต่อ Tesla มูลค่า 530 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 ก่อนที่เขาจะปิดสถานะ โดยระบุว่าเป็นเพียง “การเทรดระยะสั้น” เท่านั้น
นอกจากนี้ ความเห็นรอบใหม่ของเขายังเกิดขึ้นต่อเนื่องจากการที่ Burry เพิ่งออกมาวิจารณ์ Nvidia และ Palantir ว่ากำลังโหนกระแส AI จนเกินจริง พร้อมตั้งคำถามว่ากำไรส่วนหนึ่งอาจมาจาก “การบัญชีเชิงรุก” ที่โยกต้นทุนฮาร์ดแวร์ไปซ่อนในรายการอื่นเพื่อทำให้ตัวเลขออกมาดูดีเกินจริง
ในภาพรวม Burry เชื่อว่ากระแส AI และหุ้นเทคขนาดใหญ่เริ่มมีลักษณะคล้ายฟองสบู่ ซึ่งสร้างความคล้ายคลึงกับสัญญาณก่อนวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 ที่ทำให้เขาโด่งดังในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Tesla ยังฟื้นตัวได้ราว 11% ในปีนี้ จากแรงหนุนความหวังเกี่ยวกับ Robotaxi หุ่นยนต์ Optimus และการคาดการณ์ว่า Tesla จะเป็นผู้นำโลกในยุคยานยนต์อัตโนมัติ แต่เส้นทางข้างหน้าก็ยังไม่ง่าย เพราะการแข่งขันเริ่มดุเดือดขึ้น ทั้งจาก Waymo ในสหรัฐฯ และสตาร์ทอัพจีนที่กำลังก้าวหน้าในเทคโนโลยีหุ่นยนต์อย่างรวดเร็ว
ด้าน Elon Musk เองยังคงเชื่อมั่นว่า Tesla ถูกประเมินต่ำ และจะก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่ความคาดหวังเหล่านี้จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยผลประกอบการจริง ในยุคที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มอิ่มตัว และกฎระเบียบก็กำลังเข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง: Reuters
อัปเดตคำแนะนำล่าสุดของ FundTalk, Mr.Mesenger และ MEVT Call คว้าโอกาสเข้าลงทุนก่อน Santa Claus Rally พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ! ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการ รับ Cashback รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท

Santa Claus Rally เป็นปรากฏการณ์ในโลกการลงทุนที่เชื่อกันว่าตลาดหุ้นมักมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ซึ่งจะตรงกับเทศกาลวันคริสต์มาสไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่
นี่ถือเป็นอีกหนึ่ง Timing ที่ดีในการเข้าทะยอยลงทุน เพื่อรับโอกาสที่ตลาดจะทะยานขึ้น โดยกราฟแสดงผลตอบแทนย้อนหลังระหว่างปี 2014-2023 ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ในช่วง 15-20 วันก่อนถึงวันคริสมาสต์ (25 ธ.ค.) พบว่าตลาดมักจะอ่อนตัวลง แล้วจึงค่อย ๆ ไต่ขึ้นจนกลับเป็นบวกจากแรงซื้อตอนปลายปี
และหลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักมีแนวโน้มเป็นบวกต่อเนื่อง จนไปพุ่งขึ้นสูงสุดประมาณวันที่ 35 ถึง 40 วันทำการหลังคริสต์มาส แปลว่าหากปี 2025 นี้ การเคลื่อนไหวของ S&P500 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต เราก็ไม่ควรพลาดจังหวะการลงทุนผ่านกองทุนแนะนำที่ Finnomena Funds คัดมาให้แล้ว
อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2025 โดย Finnomena Funds
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
พิเศษโปรโมชั่น ! แจกหนัก จัดเต็ม แจก E-Coupon เพื่อรับ Cashback เป็นหน่วยลงทุน K-CASH* (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการบนแอป Finnomena ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2025
กดรับคูปองก่อนซื้อกองทุน www.finnomena.com/promotions
เช็กกองทุนที่เข้าร่วม www.finnomena.com/promotions/e-coupon/fund-list
ข้อกำหนดและเงื่อนไข:
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort
กองทุนรวมกับประกัน ทำไมต้องแยกกัน ทั้ง ๆ ที่เราสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างนี้ไปพร้อมกันได้ และทำให้เราสามารถดูแลเงินของลูกค้าได้แบบครบทุกแง่มุม
อาชีพที่เราเห็นในปัจจุบัน คนที่เป็นตัวแทนประกันก็จะชัดเจนในงานของตัวเองว่า มีหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์ประกันให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพ หรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่เป็นที่นิยมกัน ส่วนคนที่ทำงานในสายแนะนำการลงทุนในกองทุนรวม หรือที่เรียกว่าเป็น ผู้แนะนำการลงทุน ก็จะแนะนำเรื่องการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งไปเลย เน้นการลงทุนในกองทุนรวมและตราสารหนี้ ไม่ได้พูดถึงความสำคัญของเรื่องประกัน
จากภาพที่เราเห็นสองเรื่องนี้มักถูกแยกออกจากกัน แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งประกันและกองทุนรวมมีความสำคัญต่อการบริหารเงินในแง่มุมที่ต่างกัน เรื่องเงินเหมือนจะง่ายแต่ก็มีความซับซ้อน ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะแก้ปัญหาเรื่องเงินได้ทุกเรื่อง ดังนั้นจึงต้องมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายที่แตกต่างกัน เปรียบเทียบให้เห็นภาพเหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่มีการใช้งานที่แตกต่างกัน แต่ก็กลมกลืนกันอย่างลงตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน
กองทุนรวมตอบโจทย์เรื่อง “ทำให้เงินงอกเงย”
ทั้งนี้การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดไว้ จึงควรทำความเข้าใจข้อมูลกองทุนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
โดยเมื่อซื้อหน่วยลงทุน และ NAV ของกองทุนที่เราซื้อมีมูลค่าสูงขึ้น มูลค่าเงินของเราก็มากขึ้น เมื่อขายออกมาก็จะได้ผลตอบแทนเป็นส่วนต่างกำไร (Capital Gain) หรือเมื่อถือไปเรื่อย ๆ บางกองก็จะจ่ายผลตอบแทนเป็นเงินปันผล (Dividend) ออกมาอย่างสม่ำเสมอ
โดยทั่วไปในระยะยาว กองทุนรวมมักให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าอัตราดอกเบี้ยบัญชีเงินฝาก แต่ผลตอบแทนไม่ได้การันตีและขึ้นกับนโยบายการลงทุนและความผันผวนของตลาด ถึงแม้ว่าจะไม่สูงเท่ากับการลงทุนในหุ้นด้วยตัวเอง แต่กองทุนรวมก็มีกลไกในการปกป้องผู้ลงทุนซึ่งตลาดหุ้นไม่มี เช่น การมีผู้จัดการกองทุนคอยติดตามตลาดและลงทุนให้ บางกองทุนมีนโยบายอ้างอิง benchmark เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงาน แต่ผลการดำเนินงานในอดีตหรือเป้าหมายไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทนในอนาคต
ประกันตอบโจทย์เรื่อง “คุ้มครองเงินให้ปลอดภัย”
จุดนี้อาจจะมีคนสงสัยว่า ประกันทำขึ้นมาเพื่อคุ้มครองชีวิต คุ้มครองสุขภาพ เกี่ยวอย่างไรกับการคุ้มครองเงิน ขอยกตัวอย่างกรณีสมมุติว่า ถ้าเราทำงานเก็บเงินมาเรื่อย ๆ เก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่ง อยู่ดี ๆ เกิดป่วยขึ้นมาและต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก จึงต้องนำเงินที่เก็บออมมาจ่ายไปก่อน สุดท้ายต้องกลับไปเริ่มเก็บเงินใหม่ตั้งแต่ต้น กรณีนี้แสดงว่าเงินของเรายังไม่ถูก “คุ้มครอง” ยังมีโอกาสที่เราจะสูญเสียเงินที่พยายามเก็บออมมาไปกับเหตุการณ์สุดวิสัยเหล่านี้อยู่
หลักการของประกันเริ่มแรก คือ การจ่ายเงินที่เรียกว่า “เบี้ยประกัน” เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์บางอย่าง เช่น การได้รับเงินชดเชยเมื่อเสียชีวิต หรือสิทธิ์การช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลตามเงื่อนไขการเจ็บป่วย เป็นต้น ประกันบางประเภทการจ่ายเบี้ยประกันจะเป็นการจ่ายทิ้งไปเลย เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ส่วนประกันบางประเภทเราจะได้รับเบี้ยประกันคืนเมื่อครบกำหนด เช่น ประกันชีวิตตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ รวมถึง Unit Link ที่เป็นประกันชีวิตควบการลงทุนด้วย
สำหรับประกันประเภทจ่ายทิ้ง สิ่งที่เราต้องแลกในการคุ้มครองเงินของเราให้ปลอดภัย คือ ค่าเบี้ยประกันที่เราต้องเสียทุกปี ส่วนประกันที่คืนเบี้ยประกันเมื่อครบเงื่อนไข สิ่งที่ต้องแลก คือ สภาพคล่องของเงินที่ต้องแช่อยู่ในนั้น
โมเดลด้านการวางแผนการเงิน มีอยู่โมเดลหนึ่งที่เข้าใจง่ายและใช้งานได้ดี คือ “ปิรามิดทางการเงิน”
โมเดลนี้อธิบายว่า การวางแผนทางการเงินต้องเริ่มบริหารจากฐานด้านล่างปิรามิด แล้วค่อยขึ้นไปสู่ยอดปิรามิด ถ้าแต่ละขั้นยังไม่แข็งแรง ก็ยังไม่ควรข้ามไปสู่ขั้นต่อไป
จากโมเดลนี้จะสังเกตว่า ขั้นตอน Protection นั้นมาก่อนขั้นตอน Investment ซึ่งการ Protection หรือ การป้องกันความเสี่ยง ส่วนนี้หมายถึงการทำประกันนั่นเอง สาเหตุที่เวลาวางแผนการเงินควรคิดเรื่องประกันก่อนเรื่องลงทุนเป็นเพราะว่า ถ้าหากเรายังไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงหรือคุ้มครองเงินของเราไว้ก่อน เมื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดแล้วเราจำเป็นต้องใช้เงิน ทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดก็จะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ เริ่มเก็บออมหรือเริ่มลงทุนใหม่ ดังนั้นขั้นตอนของ Protection ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนหลงลืม ควรทำควบคู่ไปกับการลงทุน
สำหรับประโยชน์ในส่วนของ Investment หรือการลงทุน ทำไปเพื่อให้เงินงอกเงยและทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้ไวขึ้น ปัจจุบันการลงทุนในกองทุนรวมเป็นที่นิยมขึ้นมาก เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ความต้องการเงินมากขึ้น บวกกับดอกเบี้ยเงินฝากที่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เราต้องหาช่องทางที่ทำให้เงินงอกเงยช่องทางอื่น บทสรุปก็เลยมาลงที่กองทุนรวม และตามมาด้วยกระแสของอาชีพยุคใหม่ คือ ผู้แนะนำการลงทุน ซึ่งมีหน้าที่หลักในการช่วยวางแผนการเงินให้ลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าไปถึงเป้าหมายที่ตนเองต้องการ
จากนิยามการทำงานของผู้แนะนำการลงทุนที่ต้องยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง คนที่เป็นผู้แนะนำการลงทุนจะยึดติดแต่เรื่องที่ตนเองถูกใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าชอบกองทุนรวมก็แนะนำแต่กองทุนรวม ชอบประกันก็แนะนำแต่ผลิตภัณฑ์ประกัน แต่การเป็นผู้แนะนำการลงทุนต้องแนะนำได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องเงิน ตั้งแต่การจดบันทึกบัญชีรายรับรายจ่าย ไปจนถึงการวางแผนเกษียณและส่งต่อมรดกให้กับลูกหลาน เพราะเป้าหมายคือการดูแลเงินของลูกค้าให้ดีที่สุด
สำหรับตัวแทนประกันที่ต้องการจะดูแลลูกค้าของตนเองให้ครบทุกด้าน นอกจากผลิตภัณฑ์ประกันที่คุ้มครองเงินของลูกค้าแล้ว ก็ต้องการแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อให้เงินของลูกค้างอกเงยด้วย Finnomena Funds ยินดีที่จะซัพพอร์ตในจุดนี้
จากบทความที่แล้ว Finnomena Funds ให้สิทธิประโยชน์อะไรกับผู้แนะนำการลงทุนบ้าง? พูดถึง Benefit ต่าง ๆ ที่ Finnomena Funds มีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้แนะนำการลงทุน ทั้งเรื่องการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เรื่องการอัปเดตสถานการณ์ตลาด และเรื่องการแผนการลงทุนที่มีให้เลือกหลากหลาย จะช่วยให้การแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมกับลูกค้าเป็นเรื่องง่าย และสามารถทำควบคู่ไปกับการเป็นตัวแทนประกันได้
ท่านใดสนใจสมัครเป็นผู้แนะนำการลงทุนกับ Finnomena Funds สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่
หมายเหตุ: การเป็นผู้แนะนำการลงทุนต้องมีคุณสมบัติและขึ้นทะเบียนตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ก่อนจึงจะสามารถประกอบอาชีพได้”
คำเตือนการลงทุน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
คำชี้แจง: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับอาชีพผู้แนะนำการลงทุน ไม่ได้เป็นการชักชวนหรือแนะนำให้ลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด ๆ
สัปดาห์นี้ เฮดจ์ฟันด์ชื่อดังแห่งหนึ่งในสหรัฐ ได้นำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับแนวทางการประเมินมูลค่าดัชนีหุ้น S&P500 ของสหรัฐไว้น่าสนใจมาก ผมจึงขอนำมาแชร์ในบทความนี้ ดังนี้
ก่อนอื่นต้องบอกว่าแนวทางการวิเคราะห์นี้ เน้นการใช้วิธีวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยมองว่าการใช้วิธีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิของหุ้นหรือ P/E นั้น มีจุดอ่อนอยู่ 3 ประการ ได้แก่
ทั้งนี้ บทวิจัยดังกล่าว ได้นำแนวคิด Gordon Growth Model โดยนำกระแสกำไรสุทธิในอนาคตทั้งหมด นำมา Discount ผ่าน อัตราดอกเบี้ยปราศจากความเสี่ยงลบด้วยสเปรดที่สะท้อนความมั่นใจต่อหุ้นดังกล่าว โดยสเปรดดังกล่าวสะท้อนถึงการคาดการณ์ของอัตราการเติบโตระยะยาวของกำไรจากหุ้นนั้น และ ค่า Risk Premium
ยกตัวอย่าง หุ้น Apple จะมีค่า P/E ที่สูงกว่าหุ้น Best Buy เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงกว่าและมีต้นทุนในการกู้ยืมที่ต่ำกว่า โดยอัตราดอกเบี้ยปราศจากความเสี่ยงจะใช้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 30 ปี (Bond Yield) หรือกล่าวโดยย่อคือ มูลค่าของหุ้นใด ๆ จะเท่ากับ อัตราส่วนระหว่าง กำไรต่อหุ้น หารด้วย ผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยปราศจากความเสี่ยงและสเปรดที่สะท้อนความมั่นใจต่อหุ้นดังกล่าว
โดยหากทำการย้ายข้างสมการนี้ จะพบว่า สเปรดที่สะท้อนความมั่นใจต่อหุ้นใด ๆ จะเท่ากับ Bond Yield ลบด้วย อัตราส่วนระหว่างกำไรสุทธิต่อหุ้นหารด้วยราคาหุ้น หรือ Earning Yield
ด้วยวิธีนี้ การหามูลค่าหุ้น ทำได้โดยหาค่าสเปรดดังกล่าว แล้วใส่เข้าไปในสูตร Valuation ของมูลค่าของหุ้นใด ๆ ซึ่งจะเท่ากับ อัตราส่วนระหว่าง กำไรต่อหุ้น หารด้วย ผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 30 ปี และสเปรดที่สะท้อนความมั่นใจต่อหุ้นดังกล่าว
บทวิจัยนี้ เลือก 2 ช่วงเวลาของตลาดหุ้นสหรัฐที่เสมือนขั้วตรงข้ามมาเป็นตัวแทนการวิเคราะห์ คือ ช่วงระหว่างปี 1985-2000 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า techno-optimism นั่นคือ อัตราดอกเบี้ยต่ำ และมีการออมมากขึ้นในบรรดาชาวอเมริกัน ซึ่งค่าสเปรดจะเป็นบวกเนื่องจาก Bond Yield มากกว่า Earning Yield กับ ช่วงระหว่างปี 1971-1985 ซึ่งถือเป็นยุค Pessimism ที่เป็นช่วงที่สหรัฐออกจากระบบ Bretton Woods หรือการผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ พร้อมกับการลาออกของอดีตผู้นำ ริชาร์ด นิกสัน, การไม่ส่งออกน้ำมันของอิหร่าน และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของอดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด พอล โวลก์เกอร์ ซึ่งกลุ่มคน Baby Boomer ยังไม่มีการออมเงินไว้มากนัก ณ ตอนนั้น ส่งผลให้ค่าสเปรดจะเป็นลบเนื่องจาก Bond Yield น้อยกว่า Earning Yield
ว่ากันว่าระหว่างปี 2008 ถึงปี 2019 ก่อนโควิดนั้น ถือเป็นช่วงที่ ไทเลอร์ โคเวน นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เรียกว่า Great Stagnation หรือ ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรมว.คลังสหรัฐ เรียกว่า Secular Stagnation ซึ่งเป็นช่วงที่นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติม (เป็นช่วงหลังยุคอินเทอร์เน็ต และก่อน AI) และทำให้เกิดอุปสงค์ใหม่ ๆ ได้มากพอ เนื่องจากทั้งประชาชนและระบบการเงินมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุนที่สูงมาก กระนั้นก็ดี อัตราผลตอบแทนของ S&P500 ต่อปี ก็เพิ่มขึ้น 9% โดยเฉลี่ยในช่วงนั้น จากฐานของเศรษฐกิจช่วงซับไพร์มที่ต่ำมาก
คราวนี้ มาถึงการประมาณการค่าที่เหมาะสมของดัชนี S&P500 ในรอบนี้กัน โดยหากเชื่อในฉากทัศน์แรกช่วงระหว่างปี 1985-2000 จะพบว่า EPS ตอนนี้ที่ $261 หารด้วย Bond Yield ที่ 4.7% หักด้วยสเปรดสะท้อนความมั่นใจ ที่ +1.8% จะได้ ดัชนี S&P500 ว่ามีระดับเป้าหมาย ที่ $9,000
ในทางกลับกันหากเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมขณะนี้กำลังจะเหมือนฉากทัศน์หลังระหว่างปี 1970-1985 จะพบว่า EPS ตอนนี้ที่ $261 หารด้วย Bond Yield ที่ 4.7% หักด้วยสเปรดสะท้อนความมั่นใจ ที่ -0.3% จะได้ ดัชนี S&P500 ว่ามีระดับเป้าหมาย ที่ $5,200
โดยบทวิจัยนี้ มองว่าด้วยบรรยากาศทางเศรษฐกิจมหภาคสหรัฐในขณะนี้และในช่วงถัดไป รวมถึงการขึ้นมาของ AI ในสหรัฐ ทำให้เชื่อว่า ดัชนี S&P500 น่าจะมีระดับเป้าหมายที่ $9,000 หรือ 9,000 จุดมากกว่าในรอบนี้
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
แรงสั่นสะเทือนทางภูมิรัฐศาสตร์กลับมากระทบตลาดอีกครั้ง เมื่อกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ส่งหนังสือถึงสภาคองเกรสเสนอให้ Alibaba, Baidu, BYD และอีก 5 บริษัทจีน ถูกจัดเข้าบัญชี 1260H List ซึ่งเป็นรายชื่อองค์กรที่ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนและมีการดำเนินกิจการในสหรัฐฯ
แม้บัญชีนี้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ในมุมตลาดถือเป็น “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” ที่นักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิด โดยก่อนหน้านี้ Tencent และ CATL เคยถูกเทขายแรงหลังถูกจัดเข้าบัญชีเดียวกันเมื่อต้นปี สะท้อนผลกระทบด้านบรรยากาศความเชื่อมั่นอย่างชัดเจน
จดหมายลงวันที่ 7 ต.ค. เซ็นโดย Stephen Feinberg รองปลัดกลาโหมสหรัฐฯ ในช่วงก่อนที่ทรัมป์และสีจิ้นผิงจะประกาศพักศึกการค้าไม่กี่สัปดาห์ โดยระบุว่าข้อมูลชุดล่าสุดเข้าข่ายความเป็น “Chinese military companies” ตามเกณฑ์กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ฝั่งปักกิ่งตอบโต้ทันที กล่าวหาว่าสหรัฐฯ “ขยายความมั่นคงเกินเหตุ” และใช้รายชื่อแบบเลือกปฏิบัติเพื่อกดดันบรรษัทจีน
ขณะเดียวกัน Alibaba ยังเจอแรงกระพือหลังรายงานของ Financial Times ที่อ้างว่าบริษัทสนับสนุนเทคโนโลยีแก่กองทัพจีน ซึ่ง Alibaba ปฏิเสธหนักแน่นว่าเป็น “ข้อมูลเท็จ” และเป็นความพยายามบ่อนเซาะบรรยากาศเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวเลขธุรกิจกลับสวนกระแสแรงกดดันอย่างเด่นชัด Alibaba รายงานไตรมาสเดือนก.ย. ดีกว่าคาด โดยธุรกิจคลาวด์โต 34% จากดีมานด์ AI ที่พุ่งขึ้นทั่วจีน ส่งให้รายได้รวมเพิ่ม 5% แตะ 247.8 พันล้านหยวน ขณะที่อีคอมเมิร์ซจีนโต 16% แม้กำไรสุทธิลดลงครึ่งหนึ่งจากต้นทุนส่วนลดและการเร่งลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์
Eddie Wu ซีอีโอ Alibaba ระบุว่าบริษัทจะเดินหน้าลงทุนเชิงรุกเพื่อรักษาความได้เปรียบด้าน AI พร้อมเปิดเผยว่าเซิร์ฟเวอร์ “ตามไม่ทันคำสั่งซื้อ” จน Backlog ขยายต่อเนื่อง ขณะที่แพลตฟอร์ม Qwen เวอร์ชันใหม่ดึงผู้ใช้ 10 ล้านรายภายใน 4 วัน กลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ AI ที่เติบโตเร็วที่สุดในจีน
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังต้องชั่งน้ำหนัก 2 เส้นเรื่องที่เดินคู่กัน 1) Alibaba ที่เร่งเครื่องด้วย AI และคลาวด์ในจังหวะที่จีนกำลังเทงบลงทุนด้านนี้มหาศาล และ 2) Alibaba ที่ถูกจับตาหนักขึ้นบนเวทีภูมิรัฐศาสตร์ หากถูกขึ้นบัญชี 1260H จริง ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ ต้นทุน Compliance และโอกาสความร่วมมือกับบริษัทสหรัฐฯ ที่อาจลดลง อาจเป็นตัวกำหนดทิศทางหุ้นจีนรอบถัดไปมากพอ ๆ กับตัวเลขพื้นฐานที่กำลังเร่งตัวอยู่ในวันนี้
อ้างอิง: Bloomberg
มุ่งหวังผลตอบแทนคาดหวังประมาณ 6% – 8% ในระยะกลาง-ยาว โดยตั้งอยู่บนหลักการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบ และ คงความผันผวนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมรองรับความไม่แน่นอนของภาวะการลงทุน
ที่มา: บลจ. ทิสโก้ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2025
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299