ฮอนด้าเตรียมขายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโมเดลแรก “Benly e” ในปีนี้ พร้อมเซ็น MOU กับรัฐบาลรับส่วนลดคันละ 18,000 บาท
ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ไทยฮอนด้าพร้อมลุยธุรกิจรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเซ็น MOU กับรัฐบาลเพื่อรับการสนับสนุนในการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะได้รับส่วนลด 18,000 บาทต่อคัน
โดยรุ่นแรก Benly e จะเป็นการนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบภายในประเทศช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ะสำหรับช่วงแรกของการจำหน่ายคาดว่าจะเป็นแบบองค์กรต่อองค์กร (BtoB) ก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการทำโครงการนำร่องให้เช่าใช้งาน เช่น การส่งมอบให้กลุ่ม โออาร์ นำไปให้ไปรษณีย์ไทยได้ทดลองใช้ก่อนแล้ว
นายชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายยอดจดทะเบียนจักรยานยนต์ไฟฟ้าปีนี้ไว้ที่ 40,000 คัน แต่ 7 เดือนแรกยังทำได้เพียงแค่ 5,000 คัน ทางบริษัทอยากให้ภาครัฐออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจจักรยานยนต์ไฟฟ้ามากกว่านี้ เช่น การลดภาษีอากรนำเข้า รวมถึงการขยายจุดชาร์จไฟฟ้าให้มากขึ้นด้วย
สำหรับทิศทางตลาดรถจักรยานยนต์ไทยครึ่งปีแรกมียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 911,162 คัน โตขึ้น 4%จากปีที่แล้ว ขณะที่ฮอนด้ามีตัวเลขอยู่ที่ 705,487 คัน เติบโตขึ้น 3% ใกล้เคียงกับตลาดรวม
โดยเซกเมนท์ที่มีแนวโน้มเติบโตมากที่สุดคือกลุ่มรถ เอ.ที. ซึ่งมียอดรวมอยู่ที่ 397,733 คัน เติบโตขึ้น 6% ซึ่งฮอนด้ามีการเติบโตในกลุ่มนี้มากถึง 12% ด้วยตัวเลข 279,207 คัน เป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าตลาดรวมค่อนข้างมาก
ขณะที่สัดส่วนยอดจดทะเบียนของ Scoopy มียอด 96,679 คัน สูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มแฟชั่น เอ.ที. Click Series มียอด 64,732 คัน สูงที่สุดในกลุ่มสปอร์ต เอ.ที. PCX160 มียอด 77,708 คันสูงสุดในกลุ่มพรีเมียม เอ.ที. และ Forza350 มียอดจดทะเบียนถึง 10,988 คัน
ฮอานด้าคาดว่า ตลาดโดยรวมของปีนี้จะสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1,740,000 คัน เติบโต 8% ส่วนฮอนด้าตั้งเป้าหมายที่ 1,359,000 คัน เติบโต 10% มากกว่าตลาดรวม เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมในการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ สามารถจัดการกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนได้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนและปัญหาระหว่างจีนกับไต้หวัน ยังไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด
อ้างอิง: https://mgronline.com/motoring/detail/9650000078082
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Dow Jones ปิดที่ 33,980.32 จุด -171.69 จุด (-0.5%) S&P500 ปิดที่ 4,274.04 จุด -31.16 จุด (-0.72%) Nasdaq ปิดที่ 12,938.12 จุด -164.43 จุด (-1.25%) Small Cap 2000 ปิดที่ 1,987.31 จุด -33.22 จุด (-1.64%) VIX index ปิดที่ 19.9 จุด (-1.64%)
ตลาดหุ้นยุโรป Euro Stoxx 50 ปิดที่ 3,756.06 จุด -49.16 จุด (-1.29%) Dax เยอรมัน ปิดที่ 13,626.71 จุด -283.41 จุด (-2.04%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 6,528.32 จุด -64.26 จุด (-0.97%)
ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) ดัชนี Nikkei 225 ปิดที่ 29,222.7 จุด +353.86 จุด (+1.23%) ดัชนี CSI 300 ปิดที่ 4,216.95 จุด +39.12 จุด (+0.94%) ดัชนี Hang Seng ปิดที่ 19,922.46 จุด +91.93 จุด (+0.46%) และ SET Index ปิดที่ 1,625.25 จุด +2.99 จุด (+0.18%)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 18 ส.ค. 2565) ทองคำ 1,780.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ Silver 19.733 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 88.01 ดอลลาร์สหรัฐฯ Brent 93.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 18 ส.ค. 2565) Bitcoin 23,440.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 1,850.14 ดอลลาร์สหรัฐฯ Dogecoin 0.080718 ดอลลาร์สหรัฐฯ Binance Coin 305.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ
รายงานประชุม Fed มิ.ย. มีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอยู่ 0.75% ชี้คณะกรรมการสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย จนกว่าเงินเฟ้อลดลง แต่จะขึ้นช้าลงจากเดิม เพื่อประเมินประสิทธิภาพนโยบายที่ผ่านมา
หลังธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยไป 6 ครั้งติดต่อกัน เงินเฟ้ออังกฤษในเดือน ก.ค. ก็ยังพุ่ง 10.1% จุดสูงสุดรอบ 40 ปี ด้าน BOE เตือนเศรษฐกิจถดถอยในไตรมาส 4 สาเหตุสำคัญจากราคาอาหาร และพลังงานปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารอังกฤษคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นไปสูงสุดในเดือน ต.ค. 13.3%
จีนไม่น้อยหน้า นกยาฯ หลี่ เค่อเฉี่ยง ยืนยัน รัฐบาลยังหนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมออกนโยบายกระตุ้นการผลิต – ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้า ด้าน BYD ผู้ผลิตรถยนต์อันดับของประเทศจีน และเป็นอันดับสามของโลกจะได้รับประโยชน์จากนโยบาย
กองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกของนอร์เวย์ มีมูลค่าสินทรัพย์ $1.3 ล้านล้าน เผยผลตอบแทนครึ่งปีแรก -14.4% มูลค่าลดลงถึง $174,000 ล้าน หรือ 6 ล้านล้านบาท สัดส่วนการกองทุนนี้ Equity 72% Fixed Income 25.4% Real Estate 2.5% Renewable Energy 0.1%
Apple เจรจาย้ายฐานการผลิต Apple Watch และ MacBook ไปเวียดนาม เพื่อลดการพึ่งพาจีน และมีแผนในอนาคตในการย้ายการผลิต iPad ไปเวียดนามด้วยเช่นกัน ด้านไอโฟนคาดเปิดตัว iPhone 14 วันที่ 7 ก.ย. นี้
Tencent รายได้หดครั้งแรกโดยรายได้ลดลง 3% ส่วนกำไรปรับลดลงถึง 56% สาเหตุมาจาก มาตราควบคุมโควิดของรัฐบาลจีน และธุรกิจเกมที่ถูกคุมเข้ม
เปิดสถิติ 1 ม.ค. -16 ส.ค. 65 ต่างชาติเที่ยวไทยสะสม ทะลุ 4 ล้านคนแล้ว ในช่วงเดือน ส.ค. มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อวันกว่า 40,000 คน ภาคการท่องเที่ยวฟื้นได้ดี ดันเงินบาทแข็งค่าสุดในเอเชีย คาดการณ์ปีนี้ไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 625,800 ล้านบาท ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อับดับแรก คือ มาเลเซีย 526,051 คน อินเดีย 395,025 คน สปป.ลาว 218,043 คน สิงคโปร์ 213,523 คน และ อังกฤษ 193,003 คน
รายงานการประชุม Fed เดือน ก.ค. ระบุว่า คณะกรรมการ Fed จะยังคงพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงอย่างมาก แต่จะขึ้นช้าลงเพื่อประเมินประสิทธิภาพนโยบายที่ผ่านมา
ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา Fed มีมติขึ้นดอกเบี้ย 75 bps หรืออีก 0.75% พร้อมแสดงความมุ่งมั่นที่จะลดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงและสูงกว่าระดับเป้าหมายของ Fed ที่ 2% ให้ได้ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานและรักษาสเถียรภาพด้านราคา
อย่างไรก็ตาม Fed ไม่ได้บอกว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดๆ ไปที่เท่าไร โดยกล่าวว่าต้องติดตามดูข้อมูลอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจ แต่มองว่ามีสัญญาณที่บ่งบอกว่าเงินเฟ้อกำลังลดลง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทรงตัวในเดือน ก.ค. แต่เพิ่มขึ้น 8.5% จากปีที่แล้ว ขณะที่ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 1% ในเดือน มิ.ย. และเพิ่มขึ้น 6.8% จากปีที่แล้ว
นอกจากนี้คณะกรรมการยังตั้งข้อสังเกตว่า อาจต้องใช้เวลาอีกพอสมควรก่อนที่นโยบายการเงินจะมีประสิทธิผล ขณะที่ตลาดเดิมพันว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 50 bps ในการประชุมเดือน ก.ย.
คณะกรรมการบางส่วนมองว่า อัตราดอกเบี้ย Fed ในช่วง 2.25% -2.50% เป็นระดับปานกลางที่ไม่สนับสนุนหรือจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่คณะกรรมการบางคนมองว่า นโยบายที่เข้มงวดขึ้นน่าจะเหมาะสมกว่า ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการขึ้นดอกเบี้ยอีกในอนาคต
รายงานยังระบุว่า คณะกรรมการพร้อมหนุนขึ้นดอกเบี้ย แต่จะขึ้นช้าลง หากเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยต้องประเมินผลกระทบของการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/17/fed-minutes-july-2022-.html
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
Tencent รายได้หดตัวครั้งแรกในประวัติการณ์ สูญกำไรกว่า 56% ผลกระทบจากการถูกคุมเข้มธุรกิจเกม และการระบาดของโอมิครอนในจีน
📊 Tencent รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Tencent เทียบกับคาดการณ์โดย Refinitiv
➢ รายได้: 134,030 ล้านหยวน หรือประมาณ 19,780 ล้านดอลลาร์ (-3% YoY) ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 134,600 ล้านหยวน
➢ กำไรสุทธิ: 18,620 ล้านหยวน (-56% YoY) ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 25,280 ล้านหยวน
🦠 ไตรมาสที่ผ่านมา Tencent เผชิญกับความท้าทายจากการกลับมาระบาดอีกครั้งของโควิด-19 นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีนนำไปสู่การล็อกดาวน์ในหลายเมืองใหญ่ รวมถึงศูนย์กลางทางการเงินอย่างเซี่ยงไฮ้ แม้จะมีผู้ติดเชื้อน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นก็ตาม
🎮ขณะที่อุตสาหกรรมเกมในจีนได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบที่เข้มงวดของรัฐบาลจีน นี่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Tencent ที่รายได้ 1 ใน 3 ของบริษัทมาจากธุรกิจเกม
เมื่อปีที่แล้ว ทางการจีนออกมาตรการควบคุมเวลาเล่นเกมในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เหลือเพียง 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเวลาที่กำหนดเท่านั้น นอกจากนี้ในเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว และในเดือน เม.ย. ปีนี้ รัฐบาลจีนยังได้ชะลอการอนุมัติเกมใหม่ ซึ่งปกติแล้วเกมในจีนต้องได้รับการอนุมัติจากทางการก่อนที่จะปล่อยออกมา
รายได้ของธุรกิจเกมในประเทศของ Tencent ลดลงมา 1% จากปีที่แล้ว เหลือ 31,800 ล้านหยวน ขณะที่รายได้ของธุรกิจเกมในต่างประเทศลดลงมาในระดับเดียวกันเหลือ 10,700 ล้านหยวน
Tencent กล่าวว่า ตลาดเกมต่างประเทศกำลังได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไปหลังเปิดเมืองอีกครั้ง ผู้คนใช้เวลาน้อยลงในการเล่นเกม และนี่จะส่งผลให้รายได้เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) ลดลงอย่างมาก
สำหรับตลาดในประเทศ Tencent มองว่า ตลาดเกมก็ต้องเผชิญกับพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไปเช่นกัน จากการอนุมัติเกมน้อยลง การลดค่าใช้จ่ายของผู้เล่นเกม รวมถึงกฎระเบียบที่ออกมาปกป้องเยาวชน
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ในช่วงอายุ 20-30 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงที่สำคัญของชีวิต เป็นช่วงที่จะได้พบเจอและลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น การเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัวและเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเอง การได้เจอสังคมใหม่ ๆ สัมผัสแรงกดดันและความท้าทายจากการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ฯลฯ
บทความนี้เราจึงรวบรวม “10 เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ควรทำก่อนอายุ 30” มาให้ทุกคนได้ลองเช็กตัวเองกัน จะมีอะไรบ้าง? ติดตามไปพร้อมได้เลย!
บางคนอาจจะคิดว่าช่วงอายุ 20-30 ปียังเป็นช่วงที่อายุน้อยอยู่ เหลือเวลาอีกเยอะ เดี๋ยวค่อยเริ่มวางแผนการเงินก็ได้ แต่หากใครได้อ่านบทความนี้แล้วก็อยากให้รีบหยุดความคิดนี้ไว้เสียก่อน เพราะการวางแผนการเงิน ยิ่งเราเริ่มเร็วเท่าไร ก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้น เพราะเราไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในแต่ละปีเนื่องจากยังเหลือเวลาลงทุนอีกมาก สามารถรับความเสี่ยงได้มากจึงสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ และยังได้ลองผิดลองถูก เสริมสร้างประสบการณ์การลงทุนไปเรื่อย ๆ ทำให้เราแข็งแกร่งในตลาดมากขึ้น ในทางกลับกัน หากเราไปเริ่มต้นวางแผนการเงินช่วงอายุ 40-50 ปี ก็จะเหลือเวลาอีกไม่มากก่อนถึงวัยเกษียณ ทำให้กดดันตัวเองมากขึ้น ไม่สามารถลองผิดลองถูกได้ เพราะหากพลาดไปก็เท่ากับว่าเรามีเวลาเริ่มต้นใหม่น้อยลงไปอีก
นอกจากนี้ ในวัยหนุ่มสาวยังมีค่าใช้จ่ายไม่มาก เพราะหากอายุเพิ่มขึ้นก็จะมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นตาม เช่น บางคนอาจจะมีครอบครัวต้องแบ่งรายได้ไว้ใช้จ่ายในครัวเรือน หรือแม้แต่กระทั่งค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นมาเนื่องจากอายุที่มากขึ้น ดังนั้นควรเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อเป็นการฝึกวินัยทางการเงิน และสามารถใช้ชีวิตวัยเกษียณได้อย่างสุขสำราญนะ
สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ไม่รู้ไม่ไหว! 5 เหตุผล ทำไมเรื่องลงทุน “เริ่มเร็ว” ชนะ “เงินเยอะ”
เงินสำรองฉุกเฉินคือเงินที่เราสามารถหยิบมาใช้ได้ทันทีเมื่อมีเหตุจำเป็น อย่างที่ทราบกันดีว่าชีวิตของคนเราไม่แน่นอน วันหนึ่งเราอาจตกงาน เกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เราไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราไม่สามารถรู้อนาคตได้ ดังนั้นควรเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้ประมาณ 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพื่อไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน เช่น หากเรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่เดือนละ 20,000 บาท เราควรเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้ 120,000 – 240,000 บาท
สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ เงินสำรองฉุกเฉิน ต้องมีเท่าไรถึงจะพอ
ประกันมีหลายประเภท ทั้งประกันออมทรัพย์ ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ลองพิจารณาดูว่าประกันแบบใดเหมาะกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเรา หรือหากใครยังไม่มีประกันสุขภาพก็ลองเลือกซื้อแผนที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด เพราะไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าในอนาคตเราจะเจ็บป่วยเมื่อใด การซื้อประกันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในอนาคตได้
อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทราบไว้ก่อนการซื้อประกันคือ “ยิ่งอายุเยอะ เบี้ยประกันยิ่งสูง” ดังนั้นควรทำประกันไว้ตั้งแต่อายุยังไม่มากจะดีที่สุด โดยควรศึกษารายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขการรับประกันทุกครั้งก่อนซื้อประกันเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเราด้วย
การวางแผนค่าใช้จ่ายนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายแต่ก็ทำได้ยากอยู่เหมือนกัน เพราะในแต่ละเดือนอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมา แนะนำว่าให้ลองเริ่มวางแผนกำหนดงบประมาณรายจ่ายในแต่ละหมวดเท่าที่สามารถทำได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร ค่าของใช้ส่วนตัว ฯลฯ จะช่วยให้เราประเมินและวางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ดียิ่งขึ้น
บางคนอาจจะมีความฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถสปอร์ตคันหรูขับ มีเงินล้านแรกในชีวิต หรือได้ออกไปเที่ยวรอบโลก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกความฝันนั้นต้องใช้เงิน ดังนั้นลองเอาความฝันของเรามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเป้าหมายและวินัยในการออมเงิน โดยอาจจะเริ่มออมจากจำนวนไม่มาก แล้วค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ ทีละ 10% หรือ 20% ก็จะช่วยทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
สำหรับผู้ที่อยากสร้างแผนล้านแรกเป็นของตัวเองผ่าน “FINNOMENA 1st Million” แผนการลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความต้องการเก็บเงินล้านแรกในชีวิต สามารถ สมัครสมาชิก FINNOMENA เพื่อทดลอง สร้างแผน 1st Million ได้เลย ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
อย่างที่ทราบกันดีว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในยุคนี้ค่อนข้างต่ำ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแค่การฝากเงินอาจจะไม่เพียงพอ เราจึงต้องหาวิธีอื่นเพื่อต่อยอดเงินและทำให้เงินของเรางอกเงยได้ ‘การลงทุน’ จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถต่อยอดเงินของเราได้ ทั้งนี้ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราเพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ โดยสิ่งที่สำคัญคือเราต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เสมอ
การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 120,000 บาท ขึ้นไป การวางแผนภาษีจะช่วยให้เราสามารถกำหนดแนวทางการเสียภาษีได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา นอกจากนี้ยังทำให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ ได้อย่างคุ้มค่า เพื่อช่วยในการประหยัดภาษี และมีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นได้อีกด้วย โดยการวางแผนเพื่อประหยัดภาษีสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การบริจาค การลงทุนในกองทุน SSF-RMF การซื้อประกัน ฯลฯ
สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ลดหย่อนภาษี ปี 2565: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!
สืบเนื่องจากข้อที่ 6 กองทุน SSF และ RMF เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการวางแผนภาษี ซึ่งนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีแล้ว ยังเป็นการสร้างวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาอีกด้วย ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำศึกษาเงื่อนไขและนโยบายของแต่ละกองทุนให้ดีก่อน ว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต
ใครอยากมี “ผู้แนะนำการลงทุนส่วนตัวมืออาชีพ” ช่วยคุณวางแผนภาษีด้วยกองทุน SSF-RMF แบบคุ้ม ๆ พร้อมให้คำปรึกษา ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://finno.me/taxplanner-services
ใครที่ยังมีภาระหนี้บ้าน หรือกู้ซื้อคอนโด ซื้อรถไว้ แนะนำให้เริ่มบริหารจัดการหนี้ด้วยการรวบรวมหนี้ทั้งหมดที่เรามี โดยอาจจะบันทึกไว้ในสมุดสักเล่ม หรือบันทึกไว้ในโปรแกรม Excel / Google Sheet ก็จะทำให้เรารู้ว่าหนี้ทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้มีเท่าไร และช่วยให้สามารถวางแผนชำระหนี้ได้ดีขึ้น และหากได้เงินก้อนมา เช่น ได้โบนัสจากการทำงาน เราอาจนำเงินแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อมาโปะหนี้เพิ่ม ก็จะช่วยลดเงินต้นและดอกเบี้ยไปได้เช่นกัน แถมเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอีกอย่างด้วย
หลังจากที่เราทำงานมาอย่างขยันขันแข็ง แน่นอนว่าในวัยเกษียณเราก็ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะที่จะสร้างความสุขให้กับวัยเกษียณของเรา ดังนั้นเราควรเริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าชะล่าใจคิดว่าการวางแผนเกษียณเป็นเรื่องของคนสูงอายุ เพราะอย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่ายิ่งเราเริ่มวางแผนเร็ว เราก็จะยิ่งได้เปรียบเพิ่มขึ้น
ใครอยากลองสร้างแผนการลงทุนสำหรับวางแผนเกษียณเป็นของตัวเองผ่าน “FINNOMENA PORT GOAL” แผนการลงทุนกองทุนรวมที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการวางเป้าหมายการลงทุน เพื่อเก็บเงินก้อนหรือเกษียณ สามารถ สมัครสมาชิก FINNOMENA เพื่อทดลอง สร้างแผน GOAL ได้เลย ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
ประสบการณ์ชีวิตจะทำให้เรามองเห็นโลกได้กว้างขึ้น ได้เห็นโลกในมุมมองที่แตกต่างไปจากจุดที่ยืนอยู่ปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่จะได้รับกลับมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตและไม่มีสอนในห้องเรียนแน่นอน ดังนั้นลองออกไปใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำดูบ้าง โดยอาจจะเริ่มจากประสบการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากก่อน เช่น การออกไปท่องเที่ยวในประเทศจังหวัดใกล้ ๆ การปีนเขา ล่องเรือ หรือการทำกิจกรรม Workshop ที่ใช้เวลาไม่นาน เช่น การวาดรูป จัดดอกไม้ ทำอาหาร ทำขนม เป็นต้น
และนี่ก็เป็น Checklist 10 เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ต้องทำก่อนอายุ 30 ที่เรานำมาฝากกัน ใครทำข้อไหนสำเร็จแล้วก็มาแชร์กันได้นะ ส่วนใครที่รู้สึกว่าบางข้อดูทำยาก อยากมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคุณก็ลองให้ผู้แนะนำการลงทุนส่วนตัวช่วยคุณวางแผนการเงินแบบตัวต่อตัวกับ “FINNOMENA Exclusive” บริการที่จะช่วยคุณวางแผนและทำให้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นเรื่องง่าย ด้วยการออกแบบการลงทุนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด พาคุณมุ่งสู่ทุกเป้าหมายบนโลกการลงทุน
รับบริการได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท ใครสนใจรับบริการสุด Exclusive แบบนี้ สามารถกรอกข้อมูลเพื่อขอรับบริการได้เลยที่
https://finno.me/finnomena-x-service
— planet 46.
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับแฟนหุ้นและหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐที่ ณ ตรงนี้ ดัชนี S&P500 ดีดกลับมาขึ้นถึงครึ่งทางแล้ว จากจุดต่ำสุด ณ ตรงนี้ ลองมาส่องหากองทุนแนวที่คิดว่าน่าจะโดน ในช่วงที่เหลือของปีนี้กันครับ
ขอเริ่มจากแนวที่เป็น Market Call ในตอนนี้กันก่อน นั่นคือ กองทุนแนว Healthcare ที่เน้นตลาด Global อย่างสหรัฐ หรือยุโรป แม้ว่าที่ผ่านมากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาโดยเฉลี่ยจะขึ้นมาราวกว่าร้อยละ 10 ทว่าหากพิจารณาจากความถูกแพงจากอัตราส่วน P/E ก็ไม่ถือว่าแพง แถมได้ตัวช่วยจากกฎหมายใหม่ของสหรัฐว่าด้วยการเน้นลดเงินเฟ้อที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรสขนาด 7 แสนล้านดอลลาร์โดย โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐมาหมาด ๆ ด้วย หากพิจารณาเป็นรายกองทุน ก็ยังชอบแนว House Fund อย่าง BCARE หรือ K-GHEALTH มากกว่ากองทุนที่เน้นเซกเมนท์แบบเฉพาะทางมากกว่า
กองทุนแนวที่สองที่ผมมองว่าน่าสนใจ คือ กองทุนแนว Global Infrastructure ที่เน้นลงทุนในฮาร์ดแวร์หรือ Facility ที่เกี่ยวกับภาคโทรคมนาคมและพลังงานแบบทั้งต้นน้ำและกลางน้ำ รวมถึงลงทุนในหุ้นพลังงานทางเลือกตัวใหญ่ในสหรัฐ ซึ่งยังมองว่ากองทุนแนวนี้ได้รับผลดีจากกฎหมายใหม่ของสหรัฐว่าด้วยการเน้นลดเงินเฟ้อที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรสมา รวมถึงสามารถยังพอจะยืนได้ภายใต้ตลาดที่อาจจะมีการแกว่งแรง ๆ ในอนาคตได้ค่อนข้างดี
กองทุนแนวถัดไปที่ผมมองว่าน่าสนใจในมุม Trading Buy แต่อาจต้องซื้อตอนที่ราคาย่อลงแล้วขายตอนหรือก่อนที่แบงก์ชาติประกาศขึ้นดอกเบี้ยนั่นคือ กองทุนหุ้นแบงก์ไทย
จากการวิเคราะห์ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐกับไทยในอดีต พบว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ จากร้อยละ 0.5 ในวันนี้ น่าจะขึ้นไปสู่ระดับร้อยละ 2.5 ในช่วงกลางปีหน้า
คำถามคือ เมื่อเข้าซื้อแล้วเราควรจะขายกองทุนหุ้นแบงก์ไทยออกในช่วงใดดี? คำตอบในเชิงอุดมคติ คือ ขายตอน Interest Margin สูงสุด และ อัตราการเพิ่มปริมาณสินเชื่อสูงสุด ซึ่งถือว่าไม่ง่ายที่จะหาช่วงเวลานั้นแบบตรงพอดิบพอดี
อย่างไรก็ดี คำตอบแบบในเชิงปฏิบัติ คือ ควรจะขายหุ้นแบงก์ในช่วงเวลาครั้งหนึ่งครั้งใด ดังต่อไปนี้ คือ หนึ่ง ขายตอนแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก หรือ สอง ขายตอนแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่เป็นช่วงกลาง ๆ ของการขึ้นดอกเบี้ย หรือ สาม ขายตอนแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยครั้งท้าย ๆ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ดังนี้
โดยช่วงเวลาที่คาดว่าแบงก์ชาติจะขึ้นดอกเบี้ย น่าจะกินเวลาทั้งหมดประมาณ 1 ปี เริ่มจากเดือนสิงหาคม 2022 โดยสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณว่าจะขึ้นอีกร้อยละ 2 ซึ่ง ณ ตอนนี้ ถ้าซื้อแล้วก็น่าจะขายออกภายใน 1 ปีนับจากนี้ ดัง timing ที่ 2 และ 3 จากคำอธิบายข้างต้น
อย่างไรก็ดี อาจต้องระวังนิดนึงในการลงทุนแบบระยะยาว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว มีโอกาสสูงที่จะจะทำให้อัตราการเติบโตของสินเชื่อของไทยอาจจะไม่สามารถเติบโตได้ดีกว่าชาติอื่นในอาเซียนเหมือนอย่างเคยในปีหน้า นอกจากนี้ NPL ของไทยในปีหน้า ก็อาจจะขยับสูงขึ้นทั้งจากภาระหนี้ของผู้กู้ที่สูงขึ้นในบางส่วน รวมถึงดอกเบี้ยที่สูงจะไปชะลอการเติบโตของจีดีพีในบางส่วน
กองทุนแนวสุดท้าย ที่ผมมองว่าน่าสนใจคือ กองทุนพลังงานสีเขียว (Green Energy) ของสหรัฐ ซึ่งได้ประโยชน์จากจากกฎหมายใหม่ของสหรัฐว่าด้วยการเน้นลดเงินเฟ้อที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรสมา ทว่าความยากของการลงทุนแนวนี้ คือ การเลือกจังหวะที่จะเข้าซื้อ เนื่องจากราคาขึ้นไปมากพอสมควรแล้วในตอนนี้ ทว่าผมมองว่าก็ยังพอมีช่องว่างในการขึ้นไปอีก ทว่าจุดที่อาจจะเป็นความเสี่ยงคือ มีความเป็นไปได้ว่า น่าจะมีความผันผวนในช่วงเดือนกันยายนหรืออาจจะนานกว่านั้น ซึ่งกระนั้นก็ดี แนวโน้มที่ราคาจะขึ้นไปจากตรงนี้ก็น่าจะยังมีอยู่พอสมควรในความเห็นของผม
แล้วก็อย่าลืมว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจในการลงทุน
MacroView
หมายเหตุ: สนใจแนวทางการสแกนกองทุนผ่านปัจจัยเชิง Macro ความเสี่ยง (Risk) และการวิเคราะห์แบบ Induction (MRI) จาก MacroView คลิกที่ลิงก์นี้ได้เลย
https://finno.me/macroview-blog-2022
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
เงินเฟ้ออังกฤษเดือน ก.ค. พุ่ง 10.1% แตะระดับสูงสุดรอบ 40 ปี หลังราคาอาหารและพลังงานพุ่งต่อเนื่อง กระทบรายได้ครัวเรือนแม้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นก็ตาม
วันนี้ (17 ส.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 10.1% จากปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือน มิ.ย. ที่ 9.4% และสูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 9.8%
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงาน (Core CPI) อยู่ที่ 6.2% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือน มิ.ย. ที่ 5.8% และสูงกว่ากวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 5.9%
ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินเฟ้อของอังกฤษเพิ่มขึ้นระหว่างเดือน มิ.ย. และ ก.ค. คือ “ราคาอาหารที่สูงขึ้น” โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจะสูงขึ้นต่อเนื่องใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในปี 1982 แต่คาดการณ์ลดลงจากระดับ 11% ในเดือน ม.ค. เหลือประมาณ 6.5% ในเดือน ธ.ค.
Kien Tan นักกลยุทธ์ด้านค้าปลีกของ PwC วิเคราะห์ว่า ซุปเปอร์มาร์เก็ตมีทางเลือกไม่มากนัก ทำให้ต้องส่งต่อภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค หลังเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดส่งผลต่อราคาต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ
ด้านแบงก์ชาติอังกฤษ (BoE) ที่ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 6 ครั้งติดต่อกันแล้วเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และในเดือนที่แล้วเพิ่งประกาศการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1995
โดย BoE คาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจะพุ่งสู่ระดับสูงสุดที่ 13.3% ในเดือน ต.ค. และในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ อังกฤษจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินโลก
ขณะที่ ค่าจ้างที่แท้จริงของอังกฤษในไตรมาสที่ 2 ลดลง 3% จากปีที่แล้ว แม้ว่าค่าจ้างเฉลี่ยไม่รวมโบนัสจะเพิ่มขึ้น 4.7% ก็ตาม นี่เป็นเพราะต้นทุนค่าครองชีพแซงหน้าการเติบโตของค่าจ้าง
เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องกำลังดันให้วิกฤติค่าครองชีพของอังกฤษแย่ลงเรื่อยๆ นี่เป็นแรงกดดันที่สำคัญต่อ Liz Truss และ Rishi Sunak แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ที่จะมารับตำปหน่งต่อจาก
ดันให้วิกฤติค่าครองชีพของอังกฤษยิ่งแย่ลงกำลังสร้างแรงกดดันต่อ Liz Truss และ Rishi Sunak ที่เป็นแคนดิเดตผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ต่อจากบอริส จอห์นสัน
อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/17/uk-cpi-inflation-july-2022.html
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
หลัง อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกทวีตข้อความว่า “เขากำลังซื้อสโมสร Manchester United” จนทำให้เป็นที่แตกตื่นไปทั่วโลก
ล่าสุด อีลอน มัสก์ ได้ออกมาทวีตข้อความอีกครั้ง ระบุว่าข้อความดังกล่าวเป็นเพียวแค่มุขตลก เขาไม่ได้มีแผนจะซื้อหุ้นสโมสรกีฬาจริง
“ไม่ นี่เป็นแค่การเล่นมุขตลกในทวิตเตอร์เท่านั้น ผมไม่ได้กำลังซื้อสโมสรกีฬาไหนทั้งนั้น”
อีลอน มัสก์ ระบุในทวิตเตอร์ล่าสุด
ปิดฉากกระแสข่าวซื้อสโมสรฟุตบอลแมนยูฯ ในเวลาเพียงแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น
อ้างอิง: Twitter @elonmusk
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Dow Jones ปิดที่ 34,152.01 จุด +239.57 จุด (+0.71%) S&P 500 ปิดที่ 4,305.2 จุด +8.06 จุด (+0.19%) Nasdaq ปิดที่ 13,102.55 จุด -25.5 จุด (-0.19%) Small Cap 2000 ปิดที่ 2,020.53 จุด -0.82 จุด (-0.04%) VIX Index อยู่ที่ 19.69 จุด -0.26 จุด (-1.3%)
ตลาดหุ้นยุโรป Euro Stoxx 50 ปิดที่ 3,805.22 จุด +15.6 จุด (+0.41%) Dax เยอรมัน ปิดที่ 13,910.12 จุด +93.51 จุด (+0.68%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 6,592.58 จุด +22.63 จุด (+0.34%) FTSE 100 อังกฤษ ปิดที่ 7,536.06 จุด +26.91 จุด (+0.36%)
ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Nikkei 225 ญี่ปุ่น ปิดที่ 28,868.91 จุด -2.87 จุด (-0.01%) CSI 300 จีน ปิดที่ 4,177.84 จุด -7.84 จุด -0.19% Hang Seng ฮ่องกง ปิดที่ 19,830.52 จุด -210.34 จุด (-1.05%) SET Index ไทย ปิดที่ SET Index ไทย ปิดที่ 1,629.95 จุด +4.7 จุด (+0.29%) VN30 เวียดนาม ปิดที่ 1,295.10 จุด +1.31 จุด (+0.10%)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ) ราคาทองคำ 1,790.8 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาแร่เงิน 20.078 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 86.69 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ Brent 92.38 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 17 สิงหาคม 2565) Bitcoin 23,928.7 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 1,883.39 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Dogecoin 0.08525 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Binance 316.8 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
โจ ไบเดน ลงนามกฎหมายควบคุมเงินเฟ้อสหรัฐฯ มูลค่า $4.3 แสนล้าน เน้นขึ้นภาษี-ลงทุนพลังงานสะอาด รวมถึงมาตรการที่จะทำให้ยาตามใบสั่งแพทย์มีราคาถูกลง และการเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% สำหรับบริษัทส่วนใหญ่ที่ทำรายได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
ปูตินกล่าวหาสหรัฐฯ กำลังทำให้สงครามในยูเครนยืดเยื้อยาวนานออกไป โดยเป็นความพยายามของวอชิงตันเพื่อรักษาความเป็นเจ้าโลกของอเมริกา นอกจากนี้ยังกล่าวว่าการเดินทางเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี เป็นอีกความพยายามปลุกปั่นบั่นทอนเสถียรภาพโลกของอเมริกา
นายกฯ หลี่ เค่อเฉียง ร้องขอรัฐบาลท้องถิ่นกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยการสนับสนุนมาตรการทางการคลังผ่านการลงทุนในโครงการต่างๆ เเละการปล่อยกู้ให้มากขึ้น โดยยอมรับว่าผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของโควิด-19 มากกว่าที่ประเมินไว้
Tencent วางแผนขายหุ้น Meituan มูลค่าการลงทุนทั้งหมด 24,000 ล้านดอลลาร์ โดย Tencent ถือครอง 17% ของหุ้น Meituan ทั้งหมด เพื่อหวังเอาใจรัฐบาลจีน ลดแรงกดดันด้านกฎระเบียบ ด้านราคา Meituan ดิ่ง 10% ขณะที่ Tencent ลดลงกว่า 2%
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซื้อหุ้นเทคฯ – น้ำมัน เพิ่ม Amazon, Apple และ Occidental แต่ขาย Verizon เกลี้ยงพอร์ต ขายออก 1.38 ล้านหุ้น ขาย General Motors 9 ล้านหุ้น โดยภาพรวมไตรมาสที่ 2 Berkshire Hathaway ซื้อหุ้นสุทธิไปทั้งหมด 3,800 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 41,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสก่อนหน้านี้
Walmart ผลประกอบการไตรมาส 2 ดีเกินคาด แม้เผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยรายงานรายได้ที่ $152.86 พันล้าน มากกว่าที่ตลาดคาดที่ $150.81 พันล้าน EPS ที่ $1.77 มากกว่าที่ตลาดคาดที่ $1.62 โดยผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมซื้อสินค้าที่มีราคาถูกมากขึ้น
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 5 ยี่ห้อ ขอขึ้นราคาเป็น 8 บาท จาก 6 บาท ขึ้นราคาครั้งแรกรอบ 14 ปี โดยเป็นผลจากต้นทุน เช่น แป้งสาลีที่เพิ่มขึ้น 20-30% น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมถึงยังมีบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เพิ่มขึ้น 12-15%
ปธน.โจ ไบเดน ลงนามในร่างกฎหมายควบคุมเงินเฟ้อสหรัฐฯ ด้วยงบประมาณทั้งหมด 430,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะเน้นขึ้นภาษี รวมถึงลงทุนพลังงานสะอาดและเฮลท์แคร์ นี่เป็นการเคลื่อนไหวสำคัญก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือน พ.ย.
ไบเดนกล่าวว่า กฎหมายนี้จะทำให้ชาวอเมริกันชนะ นี่เป็นการส่งต่อความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองให้กับครอบครัวชาวอเมริกัน
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ร่างกฎหมายดังกล่าวที่เรียกว่า พ.ร.บ.ควบคุมเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ยังไม่เป็นรูปร่าง ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมายในวันที่ 12 ส.ค. ด้วยเสียงโหวต 220 ต่อ 207 เสียง และเมื่อวันที่ 7 ส.ค. วุฒิสภาลงมติอนุมัติ โดยไม่มีสมาชิกรีพับลิกันคนใดโหวตรับรอง
ไบเดนยังกล่าวโจมตีพรรคคู่แข่งด้วยว่า ในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ พรรคเดโมแครตอยู่ข้างชาวอเมริกัน ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันทุกคนเลือกเข้าข้างผลประโยชน์พิเศษ รีพับลิกันต่อต้านการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การลดต้นทุนด้านพลังงาน รวมถึงการสร้างงานที่มีรายได้ดีสำหรับชาวอเมริกัน
แผนดังกล่าวรวมถึงการใช้จ่ายด้านสภาพอากาศและพลังงานครั้งประวัติการณ์ที่ 369,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนของสหรัฐฯ ลงประมาณ 40% ภายในปี 2030 รวมถึงจัดสรรเงิน 64,000 ล้านดอลลาร์ในการขยาย พ.ร.บ.การดูแลด้านสุขภาพเพื่อลดต้นทุนค่าประกันภัย
นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูปการกำหนดราคายาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะช่วยให้โปรแกรมประกันสุขภาพของรัฐบาลสามารถเจรจาราคายา 100 ชนิดในทศวรรษหน้า โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณอยู่ที่ 265,000 ล้านดอลลาร์
ร่างกฎหมายจะกำหนดภาษีทางเลือกนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% มุ่งเป้าไปที่บริษัทที่ร่ำรวยซึ่งสามารถลดภาระภาษีได้ต่ำกว่าอัตรา 21% นอกจากนี้ยังจะใช้เงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ในการบังคับใช้ภาษีและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ IRS ที่ประมาณการว่าจะสร้างรายได้ถึง 124,000 ล้านดอลลาร์
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า Tencent วางแผนขายหุ้นบริษัทฟู้ดเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่อย่าง Meituan ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เพื่อขายล็อคกำไร รวมถึงเอาใจรัฐบาลจีน
ในรายงานระบุว่า ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Tencent บริษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของจีนได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อดำเนินการขายหุ้น Meituan โดย Tencent ถือครอง 17% ของหุ้น Meituan ทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 24,000 ล้านดอลลาร์
ข่าวดังกล่าวส่งผลให้วันนี้ (16 ส.ค.) ราคาหุ้น Meituan ในตลาดฮ่องกงดิ่งลงมามากกว่า 10% โดยหุ้น Tencent ลดลงมากกว่า 2% ขณะที่หุ้น Kuaishou Technology อีกบริษัทเทคโนโลยีอีกแห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก Tencent ก็ลดลงมากกว่า 5%
ตั้งแต่ปลายปี 2020 รัฐบาลจีนได้ดำเนินการควบคุมอิทธิพลของผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Tencent และ Alibaba เนื่องจากทั้ง 2 บริษัท มีอิทธิพลลอย่างมากต่อภาคอินเทอร์เน็ตจีน ผ่านการเป็นเจ้าของบางส่วนในสตาร์ทอัพและบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหุ้นหลายร้อยแห่ง
จากประมาณการของ Bloomberg Intelligence ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2021 พอร์ตการลงทุนของ Tencent มีมูลค่ารวมถึง 185,000 ล้านดอลลาร์
ในปีที่แล้ว Tencent เริ่มเปิดเผยแผนการขายหุ้นทั้ง JD.com และ Sea ซึ่งนั่นทำให้มีการคาดการณ์ว่าบริษัทกำลังพิจารณาลดการลงทุนในบริษัทอื่นๆ อย่าง Meituan และ Bilibili ด้วย
รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า Tencent มีแนวโน้มที่จะขายหุ้น Meituan แบบ Block Trade หรือการซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ 1-2 วันถึงจะเสร็จสมบูรณ์
ด้าน Willer Chen นักวิเคราะห์จาก Forsyth Barr Asia กล่าวว่า หากรายงานดังกล่าวเป็นจริง จะเกิดแรงกดดันเทขาย Meituan อย่างมหาศาล เพราะ Tencent อาจลดการลงทุนทั้งหมดผ่าน Block Trade รวมถึงอาจมีการเทขายในบริษัทอื่นเพิ่มอีกเพื่อลดแรงกดดันด้านกฎระเบียบจากรัฐบาลจีน
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
Berkshire Hathaway ปรับพอร์ตการลงทุนไตรมาส 2 เพิ่มการลงทุนใน Amazon, Apple และ Occidental Petroleum พร้อมหั่นหุ้น Verizon Communications ออกหมดพอร์ต
ตามเอกสารที่ยื่นกับ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 ส.ค.) Berkshire Hathaway ที่ก่อตั้งโดย Warren Buffett ถือหุ้น Amazon ที่ 10.7 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 534,000 หุ้นในไตรมาสก่อน และถือหุ้น Apple อยู่ 895 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นจากประมาณ 150 ล้านหุ้นในไตรมาสก่อน
Berkshire Hathaway ยังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Occidental Petroleum อีกจำนวนมาก แต่ในรายงานที่ยื่นล่าสุดไม่ได้สะท้อนการเดิมพันนั้นทั้งหมด โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานว่า บริษัทถือหุ้นในบริษัทพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 188 ล้านหุ้น
บริษัทยังคงเดิมพันในธุรกิจการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Ally Financial รวมมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ แต่ลดการถือหุ้น US Bancorp ลงไป 6.6 ล้านหุ้น แต่ยังคงถือมากกว่า 119 ล้านหุ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมดในบริษัทโทรคมนาคม Verizon Communications ที่ก่อนหน้านี้ถือไว้ประมาณ 1.38 ล้านหุ้น และยังได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน General Motors เหลือ 53 ล้านหุ้นจาก 62 ล้านหุ้นในไตรมาสก่อนหน้า
ภาพรวมไตรมาสที่ 2 Berkshire Hathaway ซื้อหุ้นสุทธิไปทั้งหมด 3,800 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 41,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสก่อนหน้านี้ รวมถึงใช้จ่ายน้อยลงในการซื้อหุ้นคืนด้วย
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
วันนี้แอดมินมีเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) มาฝากกัน เรียกได้ว่าเทคโนโลยีนี้เป็นที่พูดถึงในหลากหลายวงการ มีการทดลองนำมาปรับใช้กับระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การสาธารณสุข (เก็บข้อมูลผู้ป่วย) หรือในแวดวงธุรกิจ (เก็บบันทึกข้อมูลเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของข้อมูล)
เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักได้แก่ Public Blockchain และ Private Blockchain
ตัวอย่างเช่น Bitcoin, Ethereum
ตัวอย่างเช่น เช่น Hyperledger, Ripple
อ้างอิงจากการศึกษาวิจัยของ TripleA และ Grandview research มากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกเป็นเจ้าของหรือใช้สกุลเงินดิจิทัลในปี 2021 แปลว่าพวกเขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับส่วนหนึ่งที่อยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนนั่นเอง (ส่วนหนึ่งที่ว่านั้นก็คือคริปโตฯ) รายงานจาก Grandview Research ยังเชื่อว่าตลาดของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) นั้นใหญ่กว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้
รายงานจาก Vantage market research ในปี 2022 พบว่าขนาดตลาดโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) ในภาคส่วนของสาธารณสุขนั้นถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะมีมูลค่ากว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2028
จากรายงานพบว่าในช่วงวิกฤติโรคระบาดที่ผ่านมาการเก็บข้อมูลสาธารณสุขนั้นมีช่องโหว่ มีความต้องการให้ระบบข้อมูลมีความโปร่งใสและมีความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) ก็เป็นคำตอบที่ตามหา
นอกจากจะใช้ในวงการ “การเงิน” แล้ว เรายังสามารถนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) มาปรับใช้ในวงการอื่นได้ด้วย เช่น
ใช้ติดตามการขนส่งและที่มาของสินค้า โดยเฉพาะอาหาร ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความโปร่งใสให้กับบริษัท
ผู้บริโภคสามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้อย่างง่ายดายด้วยเงินดิจิทัล มีความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัยและลดค่าใช้จ่าย
ลดค่าใช้จ่าย (ตัวกลาง) และข้อผิดพลาดจากมนุษย์ในการทำงานเอกสารในการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานอีกด้วย
เก็บข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญต่อการระบุตัวตน หรือที่เรียกว่า “Sensitive Information” ช่วยลดการก่ออาชญากรรมจากการขโมยข้อมูลและการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายได้
ยกระดับความโปร่งใส เพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลเลือกตั้งและลดช่องว่างที่นำไปสู่การทุจริต
TechToro
Ref
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
วันนี้ขอเอาใจนักลงทุนคริปโตฯ มือใหม่ด้วย “15 ศัพท์โลกคริปโตฯ ต้องรู้! สำหรับนักลงทุนมือใหม่”
ศัพท์คำแรก ไม่รู้ไม่ได้! คือคำว่า…
Cryptocurrency คือสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้ระบบกระจายศูนย์ (Decentralized System) โดยอาศัยการเข้ารหัส (Cryptography) สิ่งนี้เป็นการเพิ่มความถูกต้องแม่นยำ และความปลอดภัยให้กับธุรกรรมทางการเงิน
Arbitrage คือ กลยุทธ์ในการทำกำไรที่มีความนิยมมากในตลาดคริปโตฯ โดยอาศัยกำไรส่วนต่างของสินค้าเดียวกันเพื่อสร้างกำไรจากส่วนต่างนั้น หรือเป็นการการทำกำไรส่วนต่างราคาของเหรียญชนิดเดียวกันที่อยู่ในตลาดต่างกัน สั้น ๆ คือ “ซื้อถูกขายแพง” นั่นเอง
Crypto Wallet เป็นเครื่องมือหรือโปรแกรมที่มีหน้าที่จัดเก็บคีย์ส่วนตัวเพื่อให้เกิดความปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยในการรับ-โอนเงินดิจิทัลอีกด้วย โดย Crypto Wallet สามารถอยู่ในรูปของโปรแกรมซอฟต์แวร์ เช่น Guarda Waller ก็ได้ หรือจะเป็นรูปแบบของอุปกรณ์ที่จับต้องได้ เช่น Ledger Nano
แพลตฟอร์มซื้อ-ขายสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency)
Altcoin เกิดจากการรวมกันระหว่าง Alternative (ทางเลือก) + coin (เหรียญ) = Altcoin (เหรียญทางเลือก) หมายถึง สกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจาก Bitcoin และทำงานอยู่บนระบบ Blockchain เช่น ETH, SHIB, BNB และ ADA
เงิน Fiat หรือ Fiat Money หมายถึง เงินที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน จับต้องได้ สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามข้อกำหนดของรัฐบาลหรือกฎหมาย เช่น THB, USD และ EURO
All-time high หมายถึง ราคาสูงสุดตลอดกาลนับตั้งแต่สินทรัพย์นั้น ๆ เข้าสู่ตลาด
All-time low หมายถึง ราคาต่ำสุดตลอดกาลนับตั้งแต่สินทรัพย์นั้น ๆ เข้าสู่ตลาด (ตรงข้ามกับ All-time high)
Bull Market หรือ ตลาดกระทิง หมายถึง ภาวะที่สินทรัพย์ในตลาดมีปริมาณการซื้อขายมาก สภาพคล่องสูง และมีความเชื่อมั่นว่าตลาดยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ทำให้ราคาสินทรัพย์มีระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Bear Market หรือ ตลาดหมี หมายถึง ภาวะที่สินทรัพย์ในตลาดมีปริมาณการซื้อขายซบเซา ความเชื่อมั่นในตลาดและสินทรัพย์ต่ำ นักลงทุนมองราคาในแง่ลบ ส่งผลให้ราคาตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
รู้หรือไม่? Bull Market และ Bear Market อาจมีที่มาจากลักษณะการต่อสู้ของสัตว์ชนิดนั้น โดยกระทิงใช้เขาดันขึ้นเพื่อขวิด ขณะที่หมีโจมตีด้วยการใช้กรงเล็บตะปบลง
ค่า Gas หมายถึง ค่าธรรมเนียมหรือมูลค่าราคาในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มบล็อกเชน ซึ่งค่า Gas นี้เป็นหนึ่งต้นทุนของการเทรดที่นักลงทุนห้ามมองข้าม! (อาจขาดทุนไม่รู้ตัว)
Bitcoin halving หมายถึง ระบบของ Bitcoin ที่จะทำการลดจำนวนการผลิตหรือความสามารถในการขุด Bitcoin ลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในทุก ๆ 4 ปี
Hold On to Dear Life หรือ HODL หมายถึงการถือเหรียญคริปโตฯ เอาไว้ในระยะเวลานานโดยไม่สนใจความผันผวนของราคา
NFT (Non-Fungible Token) แปลตรงตัวว่า โทเคนที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ซึ่งแอดมินขอขยายความว่า NFT คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่เก็บข้อมูลไว้บนบล็อกเชน โดยสินทรัพย์ดังกล่าวจะไม่สามารถแลกเปลี่ยนหรือทดแทนกันได้ หรือก็คือมีชิ้นเดียวในโลกนั่นเอง ซึ่งต่อให้สินทรัพย์นั้นหน้าตาเหมือนกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีราคาเท่ากัน
DeFi (Decentralized Finance) หมายถึง บริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง ทำให้เกิดการกระจายอำนาจขึ้น โดยใช้สกุลเงินดิจิทัลและดำเนินระบบด้วย Smart Contract บนเทคโนโลยี Blockchain
Whale หรือ ‘วาฬ’ หมายถึง คำที่ใช้เรียกแทนผู้ถือเหรียญรายใหญ่ซึ่งถือเหรียญไว้เป็นจำนวนมาก การซื้อ-ขายของ ‘วาฬ’ นั้นมักส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาไม่ว่าในทางตรงหรือทางอ้อม เรียกได้ว่าการตัดสินใจของ ‘วาฬ’ อาจเพิ่มหรือลดความผันผวนของตลาดและสภาพคล่องได้
TechToro
Ref
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ประเทศไทยเคยเป็น “ดาวรุ่ง” ของโลกโดยเฉพาะในช่วง “สงครามเย็น” ที่เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 ถึงปี 1991 เป็นเวลา 46 ปี และต่อจากนั้นอีกประมาณ 16 ปี จนถึงปี 2007 ก่อนที่จะเกิดวิกฤติซับไพร์มในอเมริกาในปี 2008
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นและการมี “บทบาทในเวทีโลก” ในช่วงแรกนั้นส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือการที่มหาอำนาจคืออเมริกาต้องต่อสู้ป้องกันการเผยแพร่ของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่นำโดยรัสเซียและจีน โดยที่ไทยเป็นประเทศ “หน้าด่าน” ที่สำคัญในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่อเมริกาต้องการชักชวนให้เข้าเป็นพวกซึ่งในกระบวนการนั้น ได้ช่วยให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยโดยเฉพาะในด้านของสาธารณูปโภคและการใช้จ่ายทางด้านการทหารจำนวนมากของสหรัฐเพื่อต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่กำลังมีอิทธิพลครอบงำประเทศส่วนใหญ่ที่อยู่รอบไทย
หลังจบสงครามเย็นและเริ่มกระบวนการ “Globalization” หรือการที่โลกเน้นการค้าขายระหว่างประเทศ รวมถึงการลงทุนที่มีการเคลื่อนย้ายไปทั่วโลก นั่นทำให้ไทยซึ่งมีความพร้อมกว่าประเทศในย่านอาเซียน สามารถพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วโดยการเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านการผลิต โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น และนั่นทำให้ไทยกลายเป็น “เสือเศรษฐกิจ” ประเทศหนึ่งของเอเชีย และแม้ว่าไทยจะประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 2540 หรือปี 1997 เราก็ยังสามารถฟื้นขึ้นมาได้และเติบโตเร็วต่อมาอีก 10 ปี จนถึงปีวิกฤติ 2008 ที่เศรษฐกิจตกลงมาอย่างหนักและหลังจากนั้นประเทศก็ยังเกิดปัญหาต่อเนื่องมาตลอดรวมถึงปัญหาทางการเมือง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เคยเติบโตสูงต่อเนื่องยาวนานดูเหมือนว่าจะ “ลดลงอย่างถาวร” จนถึงวันนี้เป็นเวลา 13-14 ปีแล้ว
การเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าของประเทศไทยที่โดดเด่นในอดีตเองนั้น ดูเหมือนจะตกต่ำลงมากอานิสงค์จากการที่ประเทศข้างเคียงรวมถึงเวียดนามเริ่ม “เปิดประเทศ” ซึ่งสามารถดึงดูดทุนจากต่างประเทศได้ดีกว่าและมากกว่าไทยที่คนเริ่มขาดแคลนและแรงงานมีราคาแพงขึ้นมากเมื่อเทียบกับศักยภาพ ปัญหาทางการเมืองก็มีส่วนที่ทำให้ความยอมรับของโลกลดต่ำลงเมื่อเทียบกับเวียดนามที่กำลังมีบทบาทเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะในสายตาของอเมริกา กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่สำคัญก็ไม่สนใจที่จะทำสนธิสัญญาทางการค้าด้วย ซึ่งก็ส่งผลให้ประเทศไทยไม่ใช่ทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจอีกต่อไปโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่ปัจจัยต่าง ๆ เอื้ออำนวยมากขึ้นมากเมื่อเทียบกับไทยที่ปัจจัยต่าง ๆ ถดถอยลง
ที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประชากรไทยมีอายุสูงขึ้นมากและอัตราการเกิดต่ำมาก และกำลังเป็น “สังคมคนแก่” ซึ่งจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตนั้นเป็นไปได้ยากนอกเสียจากว่าจะสามารถ “เพิ่มประสิทธิภาพ” การทำงานขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาที่แก้ยาก เหตุผลก็เพราะ “คุณภาพ” ของคนค่อนข้างจะจำกัด เพราะระดับการศึกษาของไทยนั้นมีการพัฒนาขึ้นน้อย เห็นได้จากระดับความก้าวหน้าทางด้านการศึกษาเช่น การวัดและจัดอันดับการทดสอบเช่น PISA Test ของเด็กไทยไม่ได้ดีขึ้นในระยะเวลายาวนาน เช่นเดียวกับดัชนีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
คำถามที่สำคัญก็คืออนาคตของประเทศไทยจะไปทางไหน เปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่ามาก? และผมเองก็อยากจะตอบคำถาม “ยอดฮิต” ที่ว่า เวียดนามจะตามทันไทยไหม? และจะทันเมื่อไร? และนี่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องของเศรษฐกิจ แต่เป็นบทบาททางการเมืองและสังคมระหว่างประเทศซึ่งหลายคนบอกว่าควรจะรวมถึงการเป็นผู้นำทางด้านกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอลที่เป็นกีฬายอดนิยมของทั้งสองประเทศด้วย
ผมจะใช้ข้อมูลผลผลิตมวลรวมประชาชาติหรือ GDP ของ 3 ประเทศหลักในอาเซียนคือไทย ฟิลิปปินส์และเวียดนามเป็นตัววัด โดยที่ไทยจะเป็นประเทศหลักในฐานะที่เจริญเติบโตมาก่อนและมีขนาดใหญ่ที่สุด ในปี 2021 ตัวเลขจากธนาคารโลกบอกว่า GDP ของไทยเท่ากับประมาณ 506 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 18 ล้าน ๆ บาท ในขณะที่ของฟิลิปปินส์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ที่ 394 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 78% ของไทย และเวียดนามเล็กที่สุดที่ 363 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณ 72% ของไทย อย่างไรก็ตาม มองไปในอนาคตระยะยาวจากสถาบันระดับโลกและโดยการปรับตัวเลขที่ผมคิดว่าน่าจะใกล้เคียงนั้นบ่งชี้ว่าเวียดนามจะโตได้ปีละประมาณ 7.2% ต่อปี ฟิลิปปินส์โตปีละ 5.3% และไทยจะโตแค่เพียง 3.6% ต่อปี
ดังนั้น ภายในเวลา 10 ปี หรือปี 2032 เศรษฐกิจเวียดนามก็จะตามทันเศรษฐกิจไทย คือ GDP อยู่ที่ประมาณ 726 พันล้านเหรียญ หรือเศรษฐกิจเวียดนามโตขึ้นเท่าตัว ในขณะที่เศรษฐกิจไทยโตขึ้น 43% นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าตกใจมาก เพราะหลายคนรวมถึงผมเองที่เข้าไปเที่ยวและลงทุนในเวียดนามอาจจะนึกไม่ถึง แต่ผมเองก็คิดว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้สูงเมื่อลองนึกดูว่าครั้งแรกที่ผมไปจีนเมื่อเกือบ 30 ปีก่อนที่ได้เห็น “ความล้าหลัง” ของจีนอย่างสุดกู่ แต่เวลาผ่านมา “ไม่นาน” จีนซึ่งเติบโตเร็วมากกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง
ฟิลิปปินส์เองที่เคยรุ่งเรืองกว่าไทยและแทบทุกประเทศในเอเชียในอดีต ได้กลายเป็น “คนป่วยแห่งเอเซีย” ในสมัย “เผด็จการมาร์กอส” และก็กลับมารุ่งเรืองใหม่อีกครั้งในช่วง “ประชาธิปไตย” ในระยะหลังนี้ ประกอบกับจำนวนประชากรที่สูงถึง 116 ล้านคน ก็จะสามารถไล่ตามไทยทันในอีกประมาณ 15 ปีข้างหน้า โดยที่เศรษฐกิจจะใหญ่เท่ากันที่ 858 พันล้านเหรียญ ถึงวันนั้นประเทศไทยจะใหญ่เป็นอันดับ 4 ถ้ามาเลเซียไม่แซงไปเสียก่อน
คำถามที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งก็คือ ไทยจะเป็นประเทศร่ำรวยหรือพัฒนาแล้วเมื่อไร? ถ้าคิดจากตัวเลขรายได้หรือนิยามในปัจจุบันก็คือรายได้ต่อหัวของคนในประเทศจะอยู่ที่ 20,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 710,000 บาทต่อปี หรือ 59,200 บาทต่อเดือน ในขณะที่ ปัจจุบันรายได้ของเราอยู่ที่ 7,233 เหรียญต่อปีหรือเดือนละ 21,400 บาท นั่นก็หมายความว่าเราต้องใช้เวลาอีก 30 ปีกว่าที่เราจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วถ้าเรายังโตไปเรื่อย ๆ ในอัตราปีละ 3.5%
ผมเองคิดว่าโอกาสที่เราจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วอาจจะน้อย เราคงติดกับ “ประเทศรายได้คนชั้นกลาง” ถ้าไม่เลวร้ายจนกลายเป็น “ประเทศล้มเหลว” เหมือนกับบางประเทศที่เคยรวยมาก่อน เพราะผมดูแล้ว การจะเติบโตปีละ 3.5% ติดต่อไปอีก 30 ปีนั้นคงจะยากเมื่อคำนึงถึงว่าจำนวนคนไทยจะเริ่มลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาทางด้านประสิทธิภาพที่จะยากขึ้นมากเมื่อเราแก่ตัวลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราอยากจะโตต่อไปเรื่อย ๆ สิ่งที่จะทำได้คงต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ “สิ้นเชิง” และโดยคนรุ่นหนุ่มสาวในปัจจุบันที่ยังมีอายุเหลืออยู่เพียงพอที่จะนำประเทศไปสู่การเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและพัฒนาแล้ว
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2022/08/15/2700
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Dow Jones ปิดที่ 33,912.44 +151.39 จุด (+0.45%) S&P500 ปิดที่ 4,297.14 +16.99 จุด (+0.40%) Nasdaq 13,128.05 ปิดที่ +80.87 จุด (+0.62%) Small Cap 2000 ปิดที่ 2,020.40 +3.78 จุด (+0.19%) VIX index อยู่ที่ 19.95 (+2.15%)
ตลาดหุ้นยุโรป (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) EURO STOXX 50 ปิดที่ 3,789.62 +12.81 จุด (+0.34%) Dax เยอรมนี ปิดที่ 13,816.61 +20.76 จุด (+0.15%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 6,569.95 +16.09 จุด (+0.25%) FTSE 100 อังกฤษ ปิดที่ 7,509.15 จุด +8.26 จุด (+0.11%)
ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) Nikkei 225 ญี่ปุ่น ปิดที่ 28,871.78 จุด +324.80 จุด (+1.14%) CSI 300 จีน ปิดที่ 4,185.68 จุด -5.47 จุด (-0.13%) Hang Seng ฮ่องกง ปิดที่ 20,040.86 จุด -134.76 จุด (-0.67%) SET Index ไทย ปิดที่ 1,625.25 จุด +2.99 จุด (+0.18%) VN30 เวียดนาม ปิดที่ 1,293.79 จุด +12.83 จุด (+1.00%)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 16 ส.ค. 2565) ราคาทองคำ 1,796.95 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Silver ราคา 20.215 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 88.88 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Brent 94.25 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 16 ส.ค. 2565) Bitcoin 24,117.8 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 1,887.50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และ Binance Coin 318.20 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
สรุปข่าวประจำวัน
จีนเพิ่มการซ้อมรบรอบไต้หวัน ตอบโต้ผู้แทนสหรัฐฯ เยือนไทเป
เมื่อวานนี้ จีนประกาศตัวเลขยอดค้าปลีก 2.7% ต่ำกว่าที่คาด 5% และต่ำกว่าเดือนมิ.ย. อีกตัวเลข คือ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เติบโต 3.8% ต่ำกว่าคาด ทำให้จีนทำการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การว่างงานของประชาชนจีนช่วงอายุ 16 – 24 ปี ทำจุดสูงสุดใหม่ อยู่ที่ระดับ 20%
นักเศรษฐศาสตร์ Goldman Sachs เตือนสหรัฐฯ ยากที่จะคุมเงินเฟ้อโดยเศรษฐกิจไม่ถดถอย
ตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้รับเหมาก่อสร้างสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงติดต่อกัน 8 เดือน เป็นแนวโน้มที่แย่ที่สุดย้อนกลับไปถึงปี 2007
อินเดียฉลองวันชาติ 75 ปี หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรี คุณโมดี ตั้งเป้าพาอินเดียเป็นประเทศพัฒนาแล้วในเวลา 25 ปี ปัจจุบันอินเดียมีเศรษฐกิจเป็นอันดับ 6 ของโลก แต่มีการเติบโตของ GDP ค่อนข้างสูง ธนาคารโลกยังจัดให้อินเดียเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ค่อนข้างต่ำ
Apple เตรียมเพิ่มโฆษณาบนแอปฯ ใน iPhone เป็นอีกช่องทางการเพิ่มรายได้ ชดเชยผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อและซัพพลายเชน
GDP ไทย ไตรมาส 2 ประกาศออกมาที่ 2.5% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 3.1% ด้านสภาพัฒน์คาดว่าทั้งปี ขยายตัวในช่วง 2.7 – 3.2% และเพิ่มกรอบเงินเฟ้อสู่ระดับ 6.3 – 6.8% การท่องเที่ยวเห็นการฟื้นตัวชัดเจน ภาคการเกษตรเห็นการขยายตัวทั้งผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ปรับขึ้น ความเสี่ยงมาจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงจีน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ หนี้สินของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
ถือเหรียญ FINT แล้วได้อะไร? มีประโยชน์อย่างไร? บทความนี้สรุปมาให้ทุกคนแล้ว!!
Utility token หากอธิบายง่าย ๆ ก็คือ เหรียญที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ในด้านของ FINT ก็จะเป็น ส่วนลดค่าธรรมเนียม รับบริการพิเศษ ฯลฯ โดยเหรียญ FINT ของเราถูกออกบนเทคโนโลยีบล็อกเชนของ Ethereum เหรียญที่มี Market cap สูงที่สุดเป็นอันดับ 2*
*ข้อมูลการจัดอันดับตาม Market capitalization ที่มา: coinmarketcap.com วันที่: 28 มิถุนายน 2022
ประโยชน์เน้น ๆ ข้อแรกที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือการนำเหรียญ FINT มาแลกคืนค่าธรรมเนียมเวลาเราซื้อกองทุนผ่านแพลตฟอร์มของ FINNOMENA ซึ่งเราสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมได้ถึง 20% เลยทีเดียว!
ภาพแสดงสัดส่วนเหรียญ FINT ที่ต้องแลกตามจำนวนเงินเพื่อรับส่วนลดค่าธรรมเนียม ที่มา: FINNOMENA
โดยเราจะมอบเป็นกองทุนรวมตลาดเงินให้กับนักลงทุนเมื่อทำรายการเสร็จสิ้น
เหรียญ FINT สามารถนำมาแลกซื้อผลิตภัณฑ์และบริการจาก FINNOMENA บริษัทในเครือรวมถึงบริษัทพันธมิตร ส่วนสินค้าและบริการที่ว่าจะเป็นอะไรรอติดตามได้ ที่นี่ เลย
ผู้ถือเหรียญ FINT ครบตามจำนวนที่กำหนดจะได้รับฟังก์ชันสุดพิเศษก่อนใคร ดังนี้
ส่วนรายละเอียดและบริการพิเศษอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรรอติดตามกันได้เลย
ผู้ถือเหรียญ FINT จะได้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของระบบเหรียญทันที โดย 1 เหรียญของท่านมีค่าเท่ากับ 1 เสียง ในการโหวตนโยบายต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อระบบนิเวศน์ของเหรียญ
เหรียญ FINT คืออะไร?
https://www.finnomena.com/fint/what-is-fint/
HOW-TO ล่าเหรียญ FINT มาไว้ในครอบครองแบบเร็วจี๋
https://docs.fint.finance/fint-token/overview
ข้อสงวนสิทธิ
นายกฯ อินเดีย ‘นเรนทรา โมดี’ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันชาติครบ 75 ปี ที่ป้อมเรดฟอร์ตว่า อินเดียตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 25 ปี ด้วยนโยบายสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ ทั้งด้านพลังงาน กลาโหม และเทคโนโลยีดิจิทัล
นายกฯ โมดี ในวัย 71 ปี ยังชักชวนคนหนุ่มสาวให้ตั้งเป้าหมายใหญ่ และมอบปีที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติ
“เราต้องเปลี่ยนอินเดียให้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอีก 25 ปีข้างหน้า ในช่วงชีวิตของเรา มันเป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่เราควรทำมันอย่างเต็มที่” นายกฯ โมดี สวมผ้าโพกศีรษะสีธงชาติอินเดีย กล่าวสุนทรพจน์ภาษาฮินดียาว 75 นาที
ปัจจุบันธนาคารโลกจัดประเภทอินเดียเป็นเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ ซึ่งหมายถึงประเทศที่มรายได้สุทธิต่อหัวประชากรอยู่ระหว่าง 1,086 – 4,255 ดอลลาร์ ขณะที่ประเทศรายได้สูง เช่น สหรัฐฯ นั้นมีรายได้ต่อหัวประชากรไม่น้อยกว่า 13,205 ดอลลาร์
อินเดียเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 6 ของโลก และคาดว่าในปีงบประมาณปัจจุบันที่สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2023 เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตว่า 7% ซึ่งเร็วที่สุดในบรรดาเขตเศรษฐกิจใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตจนใหญ่อันดับ 3 ของโลกภายในปี 2050 รองจากสหรัฐและจีน แม้รายได้ต่อหัวขณะนี้จะยังต่ำกว่าหลายประเทศอยู่ที่ราว 2,100 ดอลลาร์ก็ตาม
ตอนนี้อินเดียมีประชากรราว 1.4 พันล้านคน และคาดว่าจะกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีนได้ในปีหน้า
หลายประเทศอย่างสหรัฐฯ มองอินเดียเป็นคู่แข่งในอนาคตต่ออิทธิพลที่ครอบงำของจีนในเอเชียและที่อื่นๆ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ส.ค.) ปธน.ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้ แสดงความยินดีกับอินเดียเนื่องในวันชาติ และกล่าวว่า สหรัฐกับอินเดียเป็นพันธมิตรที่ขาดกันไม่ได้ ซึ่งจะร่วมงานกันต่อไปเพื่อแก้ไขความท้าทายของโลกในไม่กี่ปีข้างหน้า
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
สำนักข่าวประชาชาติรายงานว่า ค่ายรถยนต์ปั่นป่วนจากปัญหาชิปขาดแคลนและราคาแพง หวั่นวิกฤติไต้หวันทำปัญหายืดเยื้อขึ้นอีก เนื่องจากไต้หวันเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลกที่ครองส่วนแบ่งในตลาดถึง 63% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตชิปขั้นสูง
สำหรับระยะสั้น บริษัทผู้ผลิตสินค้าที่มีชิปเป็นส่วนประกอบสำคัญ ตั้งแต่รถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และโทรศัพท์ ต่างพากันสั่งซื้อชิปล่วงหน้า เพราะกังวลกันว่าสถานการณ์ชิปขาดแคลนและมีราคาแพงกำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ระยะยาว สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมาย CHIPS+ จัดตั้งกองทุนอุดหนุนผู้พัฒนาชิป มูลค่า 52,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อดึงดูดให้ผู้ผลิตชิปเข้ามาลงทุนพัฒนาและตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ซึ่งนี่อาจส่งผลต่อประเด็นระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในการครอบครองผูกขาดการพัฒนาและผลิตชิปขั้นสูง
จากปัญหาขาดแคลนชิปดังกล่าว ส่งผลให้ “เอ็มจี” ประกาศปรับลดยอดขาย 20% เหลือ 40,000 คัน ด้าน “เกรท วอลล์ฯ” ยังไม่เปิดรับจอง ORA Good Cat ขณะที่ “โตโยต้า” ออกโรงขออภัยส่งมอบรถให้ลูกค้าช้า
🚗“เอ็มจี” หั่นเป้าส่งมอบเหลือ 40,000 คัน
เอ็มจีได้ปรับเป้าหมายยอดขายรถยนต์ จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 50,000 คันในปีนี้ เหลือเพียง 40,000 คัน หรือลดลง 20% โดยหลักๆ จะเป็นรถยนต์ในกลุ่ม EV อย่าง MG ZS ev ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มียอดจองกว่า 3,000 คัน แต่ขณะนี้บริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ไปได้แค่ 80 คันเท่านั้น
บริษัทตัดสินใจปรับเป้าหมายยอดขายทั้งปีให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด โดยตอนนี้ไม่ใช่แค่ประเภทรถยนต์ไฟฟ้าที่เผชิญปัญหา เพราะรถยนต์ทุกคันต่างมีการใช้ชิปในการผลิต โดยเฉพาะรถที่มีระบบพวกอัตโนมัติเยอะ อย่าง MG EP และ MG ZS ev เราเองก็ต้องประกาศหยุดรับจองไปก่อน
🚗“เกรท วอลล์ฯ” ยังไม่เปิดรับจอง ORA Good Cat
ด้านเกรท วอลล์ ยอมรับว่า หลังจากปิดรับจอง ORA Good Cat ไปตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา กระแสของรถยนต์รุ่นนี้ยังคงได้รับความนิยมอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนจะเปิดให้จองได้อีกครั้งจะเป็นเมื่อไรนั้น บริษัทต้องวิเคราะห์ว่าจะสามารถส่งมอบรถยนต์ที่มีคำสั่งซื้ออยู่ในมือในปัจจุบันกว่า 2,200 คัน ได้เสร็จสิ้นเมื่อไร
โดยบริษัทกำลังทำงานกับบริษัทแม่อย่างใกล้ชิด เพื่อขอโควตารถแก่ชาวไทยให้ได้มากที่สุด หากประเมินได้แล้วจึงจะสามารถบอกได้ว่าจะสามารถเปิดจองอีกทีได้เมื่อไหร่ แต่คิดว่าจะไม่ให้เกินภายในปีนี้อย่างแน่นอน
🚗 “โตโยต้า” ออกโรงขออภัยส่งมอบรถล่าช้า แต่เพิ่มเป้าส่งมอบ 28.3%
ขณะที่โตโยต้ากล่าวว่า บริษัทอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาชิปและทำให้ลูกค้าต้องรับรถยนต์ล่าช้ากว่าที่กำหนด ซึ่งต้องขออภัยไว้ก่อน แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ของโลกได้ ดังนั้นจึงพูดได้ไม่เต็มปากว่าจะไม่เกิดปัญหา แต่โตโยต้าจะพยายามส่งมอบรถให้กับลูกค้าเร็วที่สุด
ทั้งนี้โตโยต้าถือเป็นค่ายรถยนต์ที่ได้ผลกระทบน้อยที่สุดจากปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่มีเครือข่าย การบริหารจัดการทั่วโลก ก่อนหน้านี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ได้ประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยขึ้นอีก 28.3% จาก 647,000 คันในปี 2564 ที่ผ่านมา เป็น 659,000 คันในปีนี้
อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1013137
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน