ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณ “ชะลอแต่ยังไม่ทรุด” หลังตัวเลขการจ้างงานเดือนพฤศจิกายนฟื้นตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่โครงสร้างภายในยังเปราะบาง และข้อมูลถูกบิดเบือนบางส่วนจากผลกระทบของการชัตดาวน์รัฐบาล
การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 64,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ดีกว่าที่ตลาดคาด แต่เป็นการฟื้นตัวหลังเดือนตุลาคมที่การจ้างงานหดตัวแรงถึง 105,000 ตำแหน่ง ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการลดพนักงานภาครัฐครั้งใหญ่ จากนโยบายรัดเข็มขัดและโครงการลาออกล่วงหน้าของรัฐบาลทรัมป์
อย่างไรก็ดี อัตราการว่างงานปรับขึ้นเหนือความคาดหมาย สู่ระดับ 4.6% สูงสุดในรอบกว่า 4 ปี โดยภาพที่น่ากังวลคืออัตราว่างงานของชาวผิวดำพุ่งขึ้นถึง 8.3% และจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่าคนตกงานใช้เวลาหางานนานขึ้น แม้ตลาดยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยเต็มรูปแบบ
หากเจาะลึกโครงสร้างการจ้างงาน จะพบว่าการเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่ภาคส่วน โดยเฉพาะ Healthcare และบริการสังคม ซึ่งรวมกันคิดเป็นมากกว่า 70% ของการจ้างงานใหม่ ขณะที่ภาคการผลิตยังไม่เพิ่มตำแหน่งงานเลยตั้งแต่เดือนมีนาคม และอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2022 ส่วนภาคขนส่ง คลังสินค้า และท่องเที่ยว ยังสูญเสียตำแหน่งงานต่อเนื่อง
ข้อมูลยิ่งซับซ้อนขึ้นจากผลของการชัตดาวน์รัฐบาลที่ยืดเยื้อ ทำให้การเก็บข้อมูลจากฝั่งครัวเรือน (household survey) มีความคลาดเคลื่อนสูง นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจึงเลือกดู “การจ้างงานภาคเอกชน” เป็นหลัก ซึ่งแม้จะขยับดีขึ้นเล็กน้อย เฉลี่ยราว 75,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วงหลัง แต่ยังถือว่าต่ำและแคบฐาน
ในแง่นโยบายการเงิน ตัวเลขนี้สนับสนุนมุมมองของ Fed ที่เพิ่งลดดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่สาม แต่ยังไม่มากพอจะกดดันให้ต้องรีบลดต่อในเดือนมกราคม ตลาดยังให้น้ำหนักต่ำกับการลดดอกเบี้ยรอบถัดไป โดยมองว่า Fed จะ “รอดูข้อมูล” มากกว่าตอบสนองทันที
สัญญาณที่ Fed น่าพอใจคือแรงกดดันเงินเฟ้อจากตลาดแรงงานยังไม่ชัด ค่าแรงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนพฤศจิกายน และเติบโต 3.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2021 ตอกย้ำว่าตลาดแรงงานไม่ได้เป็นตัวเร่งเงินเฟ้อในรอบนี้
ภาพรวมแล้ว ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะ “จ้างน้อย–เลิกจ้างน้อย” การฟื้นตัวมีจริงแต่จำกัดวง และความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่การทรุดตัวฉับพลัน หากแต่อยู่ที่การอ่อนแรงสะสม ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของ Fed ในปี 2026 ว่าจะคุมสมดุลระหว่างเศรษฐกิจที่ชะลอ กับเงินเฟ้อที่ยังไม่ยอมลงสู่เป้าหมาย 2% ได้อย่างไร
อ้างอิง: Bloomberg
Finnomena Funds คว้า 4 รางวัล จาก โครงการตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในพิธีมอบรางวัลเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ตอกย้ำถึงบทบาทผู้นำและความมุ่งมั่นของ Finnomena ในการยกระดับความรู้ ความเข้าใจ และทักษะด้านการเงินการลงทุนให้แก่คนไทยอย่างต่อเนื่อง
รางวัลแรกที่ Finnomena Funds ได้รับคือ รางวัลขวัญใจมหาชน (Public Favorite Award) ซึ่งมอบให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่สามารถส่งต่อความรู้ทางการเงินได้อย่างกว้างขวางและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โดย Finnomena มีจำนวนการเข้าถึงและรับชมเนื้อหารวมทุกช่องทางมากกว่า 30 ล้านครั้งต่อเดือน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ธ.ค. 2568) สะท้อนถึงพลังคอนเทนต์ด้านการเงินของ Finnomena ที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ และตอบโจทย์นักลงทุนไทยในทุกระดับ
อีกหนึ่งรางวัลสำคัญคือ รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน (Sustainability Award) เป็นรางวัลที่พิสูจน์ว่า Finnomena สามารถส่งต่อความรู้ทางการเงินสู่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรมที่วัดผลลัพธ์ได้จริง ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และองค์กร อันนำไปสู่การสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแรงให้กับสังคมไทยในระยะยาว
นอกจากนี้ Finnomena Funds ยังได้รับ รางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม (Creativity Awards) ตอกย้ำถึงเอกลักษณ์ของ Finnomena ในการนำเสนอความรู้ด้านการเงินการลงทุนด้วยวิธีที่แตกต่าง ทันสมัย และจดจำได้ง่าย ผ่านการเล่าเรื่อง การออกแบบคอนเทนต์ หรือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมให้คนไทยสามารถนำความรู้ไปปรับใช้และเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินได้จริง
จากการสะสมความสำเร็จครบทั้ง 3 ประเภทรางวัล Finnomena Funds จึงได้รับ รางวัลผู้สร้างพลังความรู้ทางการเงินและการลงทุน (The Financial Empowerment Award) ซึ่งมอบให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนความรู้ทางการเงินอย่างรอบด้านในช่วงปี 2567-2570
คุณชยนนท์ รักษ์กาญจนันท์ CEO และ Co-founder Finnomena Funds กล่าวว่า “เป้าหมายของ Finnomena ไม่เพียงแค่ส่งต่อความรู้ทางการเงิน แต่คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย รางวัลเหล่านี้จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญของ Finnomena ในการพัฒนาคอนเทนต์ เครื่องมือ และแพลตฟอร์มการลงทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาความรู้ทางการเงินของสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับ Finnomena รางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการตอกย้ำบทบาทขององค์กรในฐานะผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะด้านการเงินการลงทุนของประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับนักลงทุนไทยและระบบตลาดทุนไทยในระยะยาว
หมายเหตุ: การได้รับรางวัลดังกล่าวเป็นการยกย่องด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงินและการลงทุน ไม่ได้เป็นการรับรองคุณภาพการให้บริการทางการเงิน หรือรับประกันผลการลงทุนจากสำนักงาน ก.ล.ต. แต่อย่างใด
ข้อมูลติดต่อ: ฝ่ายสื่อสารการตลาด Finnomena
มะลิลา ใจพันธ์ โทร. 089-874-8982 Email: nim.malila@finbroadcasting.com
รีวิวกองทุนลดหย่อนภาษีจาก บลจ. อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความทนทานต่อทุกสภาวะ ควบคู่กับการคัดเลือกหุ้นเชิงรุก ประกอบด้วยกองทุน ES-GINCOMERMF, ES-GAINCOMERMF, ES-TECHRMF, ES-US500RMF และ ES-ESG3070-THAIESG-A
ธีมหลักของการลงทุนในปี 2025 คงหนีไม่พ้นประเด็นของ Trade War ซึ่งสร้างความผันผวนให้กับการลงทุนในปีนี้ เพราะทำให้ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในเศรษฐกิจและการค้าโลก
อย่างไรก็ตาม บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ชี้ว่า สหรัฐฯ จะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอน เห็นได้จากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และตัวเลขการจับจ่ายที่เพิ่มขึ้นแม้ระดับราคาสินค้าจะสูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางของประเทศหลัก ๆ จะลดดอกเบี้ยต่อไป หนุนการเติบโตของสินทรัพย์เสี่ยง
แต่ภายใต้สภาวะตลาดที่ผันผวนแบบนี้ บลจ.อีสท์สปริง แนะนำว่าควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง ด้วยการมุ่งเน้นกลุ่มหุ้นที่มีความทนทานต่อทุกสภาวะ (Defensive Sectors) และมีการคัดเลือกหุ้นเชิงรุก (Active Stock Selection)
– Source: Eastspring Investment 2025 Mid-Year Outlook
และนี่คือกองทุนลดหย่อนภาษีทั้งแบบ RMF และ Thai ESG ซึ่งคัดมาแล้วเน้น ๆ ตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนระยะยาวเพื่อลดหย่อนภาษีในสถานการณ์ตลาดปัจจุบัน
ES-GINCOMERMF เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้โลกที่มีกองทุนหลักคือ PIMCO GIS Income Fund ซึ่งมีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ทั่วโลกหลากหลายประเภททั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก เช่น Mortgage-Backed Securities (MBS) หรือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
กองทุนหลักบริหารจัดการโดย PIMCO Global Advisors (Ireland) Limited ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกที่มีความโดดเด่นในเรื่องการลงทุนในตราสารหนี้โดยเฉพาะ โดยกองทุนหลักมีการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) เพื่อสร้างผลตอบแทนพร้อมควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับต่ำ
จุดเด่นของกองทุนหลัก คือ นโยบายที่สามารถปรับ Duration ได้ทั้งสั้น กลาง ยาว ทำให้ปรับพอร์ตได้ทันสถานการณ์ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ยังอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มได้ปัจจัยหนุนจากการลดดอกเบี้ย
สินทรัพย์ที่ PIMCO GIS Income Fund ลงทุนมากที่สุด
Source: pimco.com.sg as of September 2025
ES-GAINCOMERMF เป็นกองทุนรวมผสม (Mixed Fund) ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลัก คือ Amundi Funds – Income Opportunities โดย Amundi Luxembourg S.A. มีกลยุทธ์การลงทุนแบบยืดหยุ่นในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงตลาดในประเทศกำลังพัฒนา มีความยืดหยุ่นในการจัดสรรสินทรัพย์
เช่น ปัจจุบันแม้มีจะสัดส่วนในตราสารทุนมากกว่า 50% ลงทุนใน US Equity, Developed International Equity และ Emerging Market Equity และมีสัดส่วนตราสารหนี้ประมาณ 30% แต่ก็มี Investment Universe ที่หลากหลาย อาทิ Equity-Linked Note (ELN) หรือสินทรัพย์ที่ไม่อ้างอิงกับตลาดทุน เช่น ตราสารหนี้ Securitization เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดที่ซับซ้อน
จะเห็นว่ากลยุทธ์การกระจายรายได้จากหลายแหล่งผ่านหลายสินทรัพย์คือความโดดเด่น ของกองทุนหลัก ซึ่งบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ทำให้ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ดี ประกอบกับปัจจุบันอัตราผลตอบแทนฝั่งตราสารหนี้ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับในอดีต และเงินปันผลทั่วโลกทำจุดสูงสุดใหม่และคาดว่าจะเติบโตต่อในปี 2026 สามารถช่วยสร้างฐานรายได้ของพอร์ตหลายสินทรัพย์ให้เสถียรขึ้น
สินทรัพย์ที่ Amundi Funds – Income Opportunities ลงทุนมากที่สุด
Source: amundi.com as of September 2025
ES-TECHRMF เป็นกองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) ที่มีกองทุนหลักคือ Eastspring Investments – Global Technology Fund เน้นลงทุนในหุ้นและหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือบริการที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวในหุ้น
นโยบายของกองทุนหลักจะมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) บริหารโดยทีมงานที่เชี่ยวชาญใน 11 อุตสาหกรรมเฉพาะ โดยมีการคัดหุ้นโดยเน้นวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อเลือกหุ้นที่โดดเด่นด้านนวัตกรรม เข้าพอร์ตราว 60 – 85 ตัว
ทั้งนี้ กองทุนหลักมีการลงทุนใน AI และ Data Center ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้และปีหน้า ส่วนการเติบโตของกำไรกลุ่มเทคโนโลยียังอยู่ในระดับสูง และยังคงเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งจะได้รับประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed
สินทรัพย์ที่ Eastspring Investments – Global Technology Fund ลงทุนมากที่สุด
Source: eastspring.com as of September 2025
ES-US500RMF เป็นกองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลักชื่อดังอย่าง iShares Core S&P 500 ETF โดย BlackRock Fund Advisors ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
กองทุนหลักได้รับเรตติ้ง 5 ดาว จาก Morningstar ประกอบด้วยหุ้นบริษัทสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ 500 แห่ง กองทุนนี้มีกลยุทธ์มุ่งหวังให้ได้รับผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี S&P 500 ที่เป็นเหมือนภาพแทนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มั่นคง
จุดเด่นของการลงทุนตามดัชนี S&P 500 ภาพรวมกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังหนุนดัชนี โดยนักวิเคราะห์คาด EPS ปี 2025 และปี 2026 ยังเติบโตได้ในระดับ 2 หลัก โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ที่กำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง จากการลงทุนมหาศาลใน AI
สินทรัพย์ที่ iShares Core S&P 500 ETF ลงทุนมากที่สุด
Source: BlackRock as of 10 Dec 2025
ES-ESG3070-THAIESG-A เป็นกองทุนรวมผสม (Mixed Fund) และเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund / SRI Fund) มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทไทยที่เป็นองค์ประกอบของ SETESG TRI ซึ่งโดดเด่นด้าน ESG และตราสารหนี้ภาครัฐไทย รวมถึงตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) หรือตราสารเพื่อความยั่งยืน (sustainability bond)
กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนโดยเฉลี่ยไม่เกิน 30% ของ NAV และในตราสารหนี้โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV
โดยมีปัจจัยหนุนจากการที่แบงก์ชาติมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งเพื่อประคองเศรษฐกิจ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ อีกทั้งหุ้นไทยยังคงมี Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
สินทรัพย์ที่ ES-ESG3070-ThaiESG-A ลงทุนมากที่สุด
Source: eastspring.co.th as of September 2025
สุดท้ายนี้ การลงทุนในพอร์ตระยะยาวที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม อาจช่วยลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และสามารถรองรับความผันผวนของตลาดได้อีกด้วย
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 1725 หรือ www.eastspring.co.th
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG มีเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะตามที่กรมสรรพากรกำหนด | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
วันที่ 16 ธันวาคม 2025 ดัชนี KOSPI ปรับตัวลง -2.24% มาปิดที่ระดับ 3,999.13 จุด จากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนเชิงป้องกันความเสี่ยงของตลาดโลก หลังนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ในปีถัดไป
แรงกดดันหลักของตลาดมาจากหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ โดย SK Hynix ร่วงแรงถึง -3.79% ขณะที่ Samsung Electronics ปรับตัวลง -1.86% สะท้อนแรงขายทำกำไรในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงมาก่อนหน้า โดยเฉพาะหุ้นที่มีลักษณะ Long-duration ซึ่งอ่อนไหวต่อความผันผวนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และการประเมินเส้นทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป
ในภาพรวม ตลาดเอเชียเผชิญแรงขายพร้อมกัน โดยนักลงทุนลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงหลังตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปส่งสัญญาณอ่อนตัว ขณะที่ฟิวเจอร์ส Nasdaq ปรับตัวลงแรง ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีในเอเชียถูกกดดันเป็นลำดับแรก สะท้อนพฤติกรรม “Tech-first sell-off” ในช่วงที่ตลาดเข้าสู่โหมดระมัดระวัง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังคงแข็งแรงในระยะกลาง โดยภาคการส่งออกชิปยังเติบโตต่อเนื่องจากอุปสงค์ด้าน AI และ Data Center ขณะที่ประมาณการกำไรของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Samsung และ SK Hynix ยังมีแนวโน้มถูกปรับขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลยังคงสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและ AI อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแรงหนุนเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในระยะยาว
Finnomena Funds ประเมินว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นเกาหลีในครั้งนี้เป็นการพักฐานระยะสั้นตามบรรยากาศ Risk-off ของตลาดโลก มากกว่าการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเชิงโครงสร้าง โดยเราคงมุมมอง Slightly Positive ต่อหุ้นเกาหลีใต้ จากการฟื้นตัวของกำไรกลุ่มเทคโนโลยีและการส่งออกที่ยังแข็งแกร่ง กลยุทธ์แนะนำคือทยอยสะสมในช่วงตลาดผันผวน
โดยกองทุนแนะนำคือ SCBKEQTG ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นเกาหลีคุณภาพสูงที่ได้ประโยชน์จากวัฏจักรเทคโนโลยีและ AI
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Nasdaq ยื่นขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) เพื่อขยายเวลาซื้อขายหุ้นในวันทำการเป็นสูงสุด 23 ชั่วโมงต่อวัน โดยเพิ่มรอบการซื้อขายช่วงกลางคืนตั้งแต่เวลา 21.00–04.00 น. ตามเวลาสหรัฐฯ นอกเหนือจากช่วง pre-market, ช่วงปกติ และ after-hours ที่มีอยู่แล้ว
หากได้รับไฟเขียว Nasdaq คาดว่าจะพร้อมเปิดซื้อขายขยายเวลาได้ในช่วงต้นไตรมาส 3 ปี 2026 โดยต้องรอการอนุมัติด้านกฎระเบียบ และการปรับระบบให้สอดคล้องกับผู้เล่นหลักทั้งตลาด รวมถึงระบบข้อมูลราคาและระบบชำระบัญชี
Chuck Mack ผู้บริหารฝ่ายตลาดอเมริกาเหนือของ Nasdaq ระบุว่า การขยายเวลาซื้อขายสะท้อนความต้องการของนักลงทุนทั่วโลกที่ต้องการเข้าถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงเวลาของตนเอง โดยไม่กระทบต่อความน่าเชื่อถือและความเป็นธรรมของตลาด
แนวคิดนี้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดหลักทรัพย์อื่น เช่น NYSE ที่มีแผนขยายเวลาซื้อขายเป็น 22 ชั่วโมงต่อวัน และได้รับการอนุมัติเบื้องต้นจาก SEC แล้ว ขณะที่หน่วยงานสำคัญอย่าง Depository Trust & Clearing Corp. (DTCC) เตรียมขยายการชำระบัญชีหุ้นเป็น 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ภายในปี 2026
การซื้อขายนอกเวลาปกติได้รับความนิยมมากขึ้นตั้งแต่ช่วงโควิด เปิดโอกาสให้นักลงทุนตอบสนองต่อเหตุการณ์สำคัญได้ทันที แพลตฟอร์มอย่าง Robinhood และ Interactive Brokers ก็เปิดให้ซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ เกือบตลอด 24 ชั่วโมงผ่านตลาดทางเลือกไปก่อนแล้ว
อย่างไรก็ดี วอลล์สตรีทยังมีความเห็นแตกต่าง ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นการตอบโจทย์นักลงทุนทั่วโลก ขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลเรื่องสภาพคล่องที่ต่ำลง ความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้น และคำถามสำคัญว่านักลงทุนสถาบันจะยอมย้ายมาซื้อขายนอกช่วงเปิด–ปิดตลาดหลักหรือไม่
อ้างอิง: Bloomberg
ส่งท้ายปี 2025 โลกการลงทุนยังเต็มไปด้วยความผันผวนรอบด้าน ตั้งแต่เงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า ไปจนถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่กดดันหลายภูมิภาค เพื่อให้พอร์ตของนักลงทุนยังคงแข็งแกร่งและพร้อมรับมือกับความผันผวนเหล่านี้ All Weather Strategy จึงได้ปรับพอร์ส่งท้ายปี 2025 พร้อมวางกลยุทธ์เพื่อเสริมทั้งความแข็งแกร่งของพอร์ตและโอกาสเติบโตในระยะยาว
ในงาน Exclusive Afternoon Tea with Andrew Stotz “Rebalancing for Resilience : Strengthen Your Portfolio Amid Global Shifts” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2025 ที่ผ่านมา จัดขึ้นที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำของไทย ได้นำเสนอทั้งมุมมองเศรษฐกิจโลกล่าสุด ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา และเหตุผลเบื้องหลังการปรับพอร์ต AWS ในครั้งนี้ เพื่อให้พอร์ตพร้อมรับมือกับความผันผวน และเสริมเกราะให้พอร์ตพร้อมรับปี 2026 ที่กำลังมาถึง
พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์ชั้นนำของประเทศไทยร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
All Weather Strategy (AWS) ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตการลงทุน โดยเป็นพอร์ตการลงทุนที่มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว พร้อมปรับสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตทุกไตรมาสตามสภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มตลาด ทำให้พอร์ตสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นับตั้งแต่จัดตั้งในปี 2019 พอร์ต AWS สร้างผลตอบแทนสะสมได้กว่า 71.7% สูงกว่าพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีสัดส่วนหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% (60/40 Portfolio) ถึง 43.0% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย. 2568)* สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือความผันผวนในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงโดยเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ*
*ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผลการดำเนินงานของดัชนีอ้างอิงและกลยุทธ์ถูกคำนวณจากมูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) ของกองทุน ซึ่งเป็นตัวเลขหลังหักค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) แล้ว แต่ไม่รวมค่าธรรมเนียมการขาย เช่น front-end fees
เพื่อเสริมเกราะให้พอร์ต AWS ท่ามกลางโลกที่ผันผวน ในเดือนธันวาคม 2568 ทีมงาน A. Stotz จึงทำการปรับสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ต AWS โดยมีรายละเอียดดังนี้
ฝั่ง สหรัฐฯ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า แต่เศรษฐกิจยังแสดงความแข็งแกร่งเหนือประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ จากพื้นฐานบริษัทแข็งแกร่งและกำไรมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังเป็นผู้นำเทคโนโลยี AI ซึ่งกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นให้โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา
ตรงข้ามกับ ยุโรป ที่ต้องรับมือแรงกดดันทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ตั้งแต่แผนการขึ้นภาษีในสหราชอาณาจักร ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนีที่อ่อนแรง ไปจนถึงความไม่แน่นอนในการเมืองฝรั่งเศส ปัจจัยเหล่านี้กดทับบรรยากาศการลงทุนและชะลอการฟื้นตัวของภูมิภาคโดยรวม
ในขณะที่ ญี่ปุ่น ภาพรวมยังคงเปราะบางจากเงินเยนที่อ่อนค่า แม้รัฐบาลจะกำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่ความผันผวนของค่าเงินและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งขึ้นยังคงกดดันภาคธุรกิจ
ในทางกลับกัน ตลาดเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน) มีแรงหนุนหลายด้าน โดยเฉพาะดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ช่วยลดภาระหนี้สกุลต่างประเทศและดึงดูดเงินทุนไหลเข้า อีกทั้งกระแสความต้องการ AI และ EV ยังช่วยหนุนประเทศผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อย่างเกาหลีใต้และไต้หวัน รวมถึงบราซิลที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับ เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่นและจีน) แม้ต้องจับตาความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่ภูมิภาคนี้ยังมีปัจจัยหนุนหลายด้าน ทั้งการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ที่สูงขึ้นจากเทคโนโลยี AI และ EV ตลอดจนบทบาทสำคัญในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
ส่วน จีน แม้ถูกกดดันจากสงครามการค้า แต่หลังบรรลุข้อตกลงช่วงใยปลายเดือนตุลาคม ก็เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวมากขึ้น หากความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนคลี่คลาย จะมีโอกาสหนุนตลาดหุ้นจีนต่อเนื่อง โดยจีนยังได้เปรียบในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อย่างแบตเตอรี่ EV และ AI ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือเงินฝืดอาจช่วยพยุงตลาดในระยะสั้นได้
ในฝั่ง พันธบัตร ยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ช่วยลดความผันผวนของพอร์ต แม้ผลตอบแทนจริงอาจถูกกดดันจากเงินเฟ้อ แต่ด้วยความสัมพันธ์กับหุ้นที่ต่ำ ทำให้พันธบัตรยังคงมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยง
สุดท้าย ทองคำ ยังคงได้รับแรงหนุนจากความกังวลต่อระดับหนี้ภาครัฐที่สูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน ทำให้ตลาดกังวลเรื่องเงินเฟ้อและความเสี่ยงด้านเครดิต กลงทุนจึงยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่ความไม่แน่นอนยังสูง
หากคุณกำลังมองหากลยุทธ์ที่วางแผนมาเพื่อรับมือทุกฤดูกาลของตลาด All Weather Strategy คือหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ออกแบบมาเพื่อมุ่งสร้างผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว พร้อมช่วยบริหารความเสี่ยงในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://finno.me/plan-guruport-aws-ws
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena
สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/
ข้อมูลติดต่อ: ฝ่ายสื่อสารการตลาด Finnomena
มะลิลา ใจพันธ์ โทร. 089-874-8982 Email: nim.malila@finbroadcasting.com
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวม ไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ข่าวดังในแวดวงการลงทุนสัปดาห์ที่แล้ว เห็นจะไม่พ้นการประกาศปิดกองทุน Scion Asset Management ของไมเคิล เบอร์รี ตำนานการทำกำไรจากวิกฤตซับไพร์ม ที่โด่งดังในภาพยนตร์ The Big Short ซึ่งรอบนี้เก็งว่าหุ้น Palentir และ Nvidia จะมีราคาลดลง โดยเขาหันมาเปิดบริการ Newsletter และยังถือหุ้น Fannie และ Freddie ซึ่งกำลังเตรียม IPO ในสัดส่วนที่ไม่น้อย นอกจากนี้ยังให้ความเห็นต่อบิตคอยน์ว่าจะไม่มีมูลค่าในที่สุด แถมยังฟันธงว่า OpenAI จะจบเหมือนเบราวเซอร์ Netscape ในยุค Dotcom Bubble บทความนี้ จึงขอเจาะลึกนิสัยของยอดนักลงทุนของไมเคิล เบอร์รี และกลุ่มนักลงทุนจากภาพยนตร์ The Big Short ดังนี้
ผมน่าจะเป็นคนหนึ่งที่อาจจะถือว่าไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุการณ์วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์มากเท่าไร เนื่องจากเคยทำงานอยู่ที่ AIG จึงขอทำตัวเป็นนักวิเคราะห์ภาพยนตร์สักครั้งกับภาพยนตร์ “The Big Short” ที่เขียนจากหนังสือของไมเคิล ลิวอิส
เค้าโครงเรื่องของหนังเรื่องนี้ มาจากเหตุการณ์จริงโดยโฟกัสไป ณ ช่วงเวลาระหว่างปี 2004-2008 อย่างที่ทราบกันว่าระหว่างปี 2004 ถึงต้นปี 2007 ไม่มีใครคาดคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้จะประสบภาวะวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 70 ปี ไม่ว่าจะเป็นอดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้งอลัน กรีนสแปน และเบน เบอร์นันเก้ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐในตอนนั้นไม่มีอะไรน่ากังวล แม้จะว่าหนี้เสียของสินเชื่อบ้านจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากความเคยชินที่มองเศรษฐกิจเฉพาะจากตัวเลขมหภาคเพียงไม่กี่ตัว อย่างเช่นอัตราเงินเฟ้อ จีดีพี โดยไม่ดูถึงไส้ในว่าจริง ๆ แล้วมีการบิดเบือนของกลไกระบบการเงินจากบริษัทการเงินต่าง ๆ และบริษัทจัดอันดับเครดิต
ทว่ามีนักลงทุนอย่างน้อย 4 กลุ่มที่เห็นความไม่ชอบมาพากลนี้ และลงทุนด้วยการพนันว่าราคาของตราสารทางการเงินที่ผูกกับสินเชื่อซับไพร์มจะตกต่ำลงอย่างรุนแรง โดยอดัม แมคเคย์ ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ เลือกให้ 2 นักลงทุน นามว่า ไมเคิล เบอร์รี ผู้บริหารกองทุน Scion Capital ในขณะนั้น และ สตีฟ ไอส์แมน ผู้บริหารกองทุน FrontPoint ในขณะนั้น เป็นตัวเอกของเรื่อง ผมได้ข้อคิดจากหนังเรื่องนี้ว่านิสัยของนักลงทุนที่น่าจะมีอยู่ เพื่อให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงขึ้น ดังนี้
หนึ่ง นิสัย ‘ช่างสังเกตว่าได้เห็นช่องที่ทำให้สามารถเชื่อได้ว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากลในระบบ’ นี่เป็นจุดกำเนิดแรกของการสร้างกำไรหลายหมื่นล้านของไมเคิล เบอร์รี่ ที่แสดงโดยคริสเตียน เบลล์ ซึ่งเป็นอดีตแพทย์ทางสมองที่เห็นความผิดปกติของความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพสินเชื่อบ้านกับอันดับตราสารซับไพร์มที่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้มั่นใจว่าราคาตราสารทางการเงินนี้อย่างไรเสีย ต้องดิ่งลงในที่สุด แม้จะต้องรอคอยผลลัพธ์ดังกล่าวให้เกิดขึ้นอยู่หลายปี
ทว่าท้ายสุด เขาก็โกยกำไรไปให้ตนเองกว่า 100 ล้านดอลลาร์ และให้กับลูกค้ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ รวมถึงกองทุน Scion Capital ก็ทำกำไรร้อยละ 489.34 ระหว่างเดือน พ.ย. 2000 ถึง มิ.ย. 2008 ในเชิงสัญลักษณ์ ผมชอบหนังเรื่องนี้ตอนที่เกรก ลิปเปอร์แมน นายแบงก์จาก Deutsch Bank ที่แสดงโดยไรอัน กรอสสิ่ง บอกกับทีมของสตีฟ ไอส์แมน ว่าเขากำลังได้กลิ่นของเงินอยู่แถวนี้ นั่นคือเขาได้สังเกตและมองเห็นโอกาสในการทำกำไรจากความไม่สมดุลของระบบการเงินในสหรัฐ
สอง นิสัย ‘สืบเสาะไปให้ถึงที่สุด เพื่อตรวจสอบความเชื่อหรือสมมติฐานของตนเองอย่างจริงจัง’ โดย สตีฟ ไอส์แมน หรือ มาร์ค บาม ตามชื่อในหนังที่แสดงโดยสตีฟ คาร์เรล ได้ออกไปตรวจสอบตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งมีบ้านที่สร้างกันอย่างโครมครามตามหัวเมืองต่าง ๆ ว่าเป็นของจริงหรือลวงโลก เมื่อได้คำตอบจากภาคสนามแล้วจึงลงทุนในรูปแบบที่ตนเองคิดด้วยความมั่นใจมากขึ้น หรือแม้แต่ไปถามหาบริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ว่าทำไมยังให้อันดับเครดิตตราสารซับไพร์มถึง AAA แม้หนี้เสียของสินเชื่อดังกล่าวจะแย่ลงอย่างมากก็ตาม เพื่อบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของนักลงทุนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
สาม นิสัย ‘กัดไม่ปล่อยเพื่อให้ได้ตัวช่วยที่ถูกทาง โดยเฉพาะตอนที่คุณยังตัวเล็กอยู่’ โดย เจมี่ มาย และชาลี รีดลีย์ 2 นักลงทุนที่เปิดกองทุนเล็กๆอย่าง Cornwall Capital ไว้หลังโรงรถ ไม่สามารถที่จะเปิดบัญชีเพื่อทำธุรกิจกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินในวอลล์ สตรีทได้จึงต้องทำการหาตัวช่วยที่อุดช่องว่างดังกล่าว โดยในที่สุดก็ได้เบน ฮ็อคเก็ตต์ ที่แสดงโดยแบรด พิตต์มาช่วยให้สามารถซื้อขายตราสารทางการเงินกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้
สี่ นิสัย ‘อดทนและรอคอยวันนั้นให้มาถึง ถ้าคุณมั่นใจในสมมติฐานของคุณจริง ๆ’ แน่นอนว่ากำไรที่สูงเกือบพันล้านดอลลาร์ไม่ได้มาง่าย ๆ ทั้งไมเคิล เบอร์รี่ ผู้บริหารกองทุน Scion Capital ที่ต้องทนเสียงก่นด่าจากลูกค้า และสตีฟ ไอส์แมน ผู้บริหารกองทุน FrontPoint ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่อคงสถานะการทำ Short ตราสารซับไพร์ม โดยทั้งคู่ต้องรอเป็นเวลากว่า 2 ปีจึงจะสามารถได้กำไรอย่างมหาศาลได้
ห้า นิสัย ‘ทำงานหรือบริหารเงินด้วยสไตล์ที่คุณถนัด’ จะเห็นได้ว่า ไมเคิล เบอร์รี่ ชอบทำงานอยู่คนเดียวด้วยการอ่าน ทำการวิเคราะห์ และตัดสินใจในห้องด้วยตัวเอง ด้านสตีฟ ไอส์แมน ชอบมีทีมที่ถนัดกันคนละอย่างมาช่วยเสริมซึ่งกันและกัน ส่วนเกรก ลิปเปอร์แมน ชอบเป็นตัวกลางเพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตนเอง ขณะที่เจมี่ มาย และชาลี รีดลีย์ แห่ง Cornwall Capital ก็ชอบทำงานแบบรีแลกซ์โดยมีเบน ฮ็อคเก็ตต์คอยกำกับอยู่ห่าง ๆ ทุกคนมีความชอบในสไตล์ของตนเองเพื่อจะประสบผลสำเร็จ
หลังดู The Big Short จบ ผมอยากดูหนังใหม่ที่สร้างให้จอห์น พอลสัน นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 เป็นตัวเอกจังครับ
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
แนะนำกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี KT-GESG RMF จาก บลจ. กรุงไทย ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างโลกให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความคาดหวังว่าทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาลง โดยเฉพาะในฝั่งของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จากนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และหนุนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก
บลจ. กรุงไทย มองว่าจากนี้จะเกิดภาวะ Bond-to-stock rotation หรือพูดง่าย ๆ คือกระแสเงินลงทุนหมุนเวียนออกจากตลาดตราสารหนี้ไปเข้าสู่ตลาดหุ้น
ประกอบกับในยุคที่มีกฎเกณฑ์ด้านความยั่งยืนเข้มงวดขึ้น บริษัทที่แข็งแกร่งจึงไม่ได้หมายถึงแค่การสร้างผลกำไรได้ดี แต่ยังหมายถึงบริษัทที่มีกระบวนการผลิตสินค้าและบริการที่มีความยั่งยืน ไม่สร้างผลกระทบต่อสังคม และมีธรรมาภิบาลในการบริหารงาน ซึ่งช่วยคัดกรองว่าบริษัทดังกล่าวจะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว ไม่ถูกโลกทิ้งไว้ข้างหลังในอนาคต
ดังนั้น KT-GESG RMF กองทุนหุ้นโลกที่มีศักยภาพในการเติบโต ‘อย่างยั่งยืน’ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกน่าสนใจสำหรับคนที่มองหาทางเลือกเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี 2025 ไปพร้อมกับการสร้างความเติบโตของพอร์ตในอนาคตระยะยาว
KT-GESG RMF หรือ กองทุนเปิดเคแทม Global Sustainable Growth Equity เพื่อการเลี้ยงชีพ (ความเสี่ยงระดับ 6) เป็นกองทุน RMF ประเภทกองทุนรวมตราสารทุนโลก (Global Equity) ลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ Schroder International Selection Fund Global Sustainable Growth ที่มีผู้บริหารกองทุนชื่อดังอย่าง Schroder Investment Management (Europe) S.A. จากฝั่งยุโรปที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 200 ปี
กองทุนหลักมีนโยบายการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (MSCI ACWI NR) ส่วน KT-GESG RMF มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก (Passive Management)
สินทรัพย์หลัก ๆ ที่กองทุนหลักเข้าไปลงทุนคือตราสารทุนของบริษัททั่วโลก ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานความยั่งยืนที่ผู้จัดการการลงทุนกำหนดไว้ โดยไม่จำกัดอุตสาหกรรมที่ลงทุน ซึ่งกองทุนมุ่งหวังการเติบโตในระยะยาวด้วยการใช้กลยุทธ์ที่น่าสนใจหลายอย่างด้วยกัน
จุดที่น่าจับตาอย่างแรกของกองทุนหลักคือการกระจายการลงทุนไปทั่วโลกเพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ อย่างที่จะเห็นได้ว่ากองทุนนี้มีการลงทุนในสหรัฐฯ เพียง 50% น้อยกว่าดัชนีชี้วัดที่ลงทุนกระจุกในสหรัฐฯ ถึง 65%
เท่ากับว่ากองทุนสามารถเข้าไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ ได้มากขึ้น เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ไต้หวัน รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ซึ่งกองทุนหลักเข้าไปลงทุนในสัดส่วนมากกว่าดัชนีชี้วัด
สัดส่วนการลงทุนของ Schroder ISF Global Sustainable Growth แยกตามประเทศที่ลงทุน ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก
Source: schroders.com as of 31 October 2025
กองทุนหลักมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 10 อันดับแรก เป็นสัดส่วน 40% ของพอร์ต โดยประกอบด้วยหุ้นจากหลากหลายธุรกิจทั่วโลก ดังนี้
สินทรัพย์ที่ Schroder ISF Global Sustainable Growth ลงทุนมากที่สุด
Source: schroders.com as of 31 October 2025
แน่นอนว่า ด้วยการที่กองทุนนี้เน้นความยั่งยืน จึงมีกรอบในการคัดหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลหรือบรรษัทภิบาล (ESG) มาประกอบการวิเคราะห์ในการลงทุน
เช่น กองทุนจะไม่ลงทุนในบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้บางส่วนจากธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน เช่น พลังงานฟอสซิล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ การค้าอาวุธ การพนัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กองทุนยังมีนโยบายอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
1. ลงทุนแบบกระจุกตัว (High Conviction) จะถือหุ้นไม่เกิน 30-50 ตัว เพื่อสร้างผลตอบแทนแบบเน้น ๆ ระยะยาว ในหุ้นที่คัดมาแล้วว่ามีคุณภาพ
2. วิเคราะห์หุ้นแบบ Bottom-Up ไม่คัดหุ้นโดยมองลงมาจากธีมใหญ่ ซึ่งจะจำกัดตัวเองไว้ในบางอุตสาหกรรม แต่กองทุนจะมองหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี จึงทำให้ลงทุนได้อย่างยืดหยุ่น
ถ้าดูสัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรมจะเห็นได้เลยว่า หน้าตาของกองทุนค่อนข้างต่างจากดัชนีชี้วัด เช่น เน้นการลงทุนในธุรกิจ IT, อุตสาหกรรม และการดูแลสุขภาพ ในสัดส่วนที่สูงกว่า
สัดส่วนการลงทุนของ Schroder ISF Global Sustainable Growth แยกตามอุตสาหกรรม ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก Source: schroders.com as of October 2025
3. SQ Framework ซึ่งเป็นกรอบคิดของ Schroders มาใช้ในการประเมินความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด (Stakeholders) รวมถึงใช้ประเมินคุณลักษณะด้านความยั่งยืนของธุรกิจ
4. การมีส่วนร่วม (Engagement) ทีมผู้จัดการการลงทุนจะเข้าไปมีส่วนร่วมในบริษัทที่กำลังลงทุนอยู่ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้มีความยั่งยืน รวมถึงช่วยพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดี
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
ที่มา
คำเตือน: กองทุนนี้มีความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนที่ต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
วันที่ 12 ธันวาคม 2025 ดัชนี VN-Index ปรับตัวลง -3.06% มาที่ระดับ 1,646.89 จุด จากแรงขายต่อเนื่องในตลาดที่กดดันดัชนีหลุดระดับ 1,700 จุดเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ แม้ก่อนหน้าเริ่มมีสัญญาณพยายามประคองตลาดในภาคเช้า แต่แรงขายเร่งตัวอย่างรุนแรงในช่วงบ่าย ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเข้าสู่ภาวะ Risk-off ชัดเจน
แรงกดดันหลักมาจากหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งถูกเทขายพร้อมกันทั้งกลุ่ม โดย Vinhomes (VHM) ปรับตัวลงแรงถึง -6.92% ขณะที่ Vincom Retail (VRE) และ Vingroup (VIC) ต่างอ่อนตัวตาม ด้านหุ้นบริโภคและเทคโนโลยีอย่าง MWG -4.62% และ FPT -2.40% ถูกแรงขายกดดันต่อเนื่อง สร้างแรงฉุดสำคัญต่อดัชนี ขณะที่ความพยายามรักษาระดับของหุ้นบางตัวไม่เพียงพอต่อการดูดซับแรงขายในภาพรวมของตลาด
กลุ่มธนาคารยังเป็นตัวถ่วงหลักของตลาด โดย MBB -3.42% ขณะที่หุ้นธนาคารขนาดกลางอย่าง VCB, CTG และ BID ต่างอ่อนตัวราว -1% ต่อเนื่อง ทั้งนี้ตลาดมองว่าการอ่อนตัวของกลุ่มธนาคารเกิดจากความกังวลด้านสภาพคล่องและแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในหลายธนาคาร นอกจากนี้ความกดดันจากภาคต่างประเทศและกระแสเงินทุนไหลออกทำให้ภาพรวมกลุ่มการเงินขาดปัจจัยหนุนในระยะสั้น
Finnomena Funds ประเมินว่า การปรับฐานแรงครั้งนี้เป็นผลจากแรงขาย Panic Sell ของนักลงทุนระยะสั้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานระยะกลางของเวียดนามยังแข็งแรง โดยเราคงมุมมอง Positive ต่อเวียดนาม จากปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ การอัปเกรดสู่ Emerging Market การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่เร่งตัว การขยายตัวของสินเชื่อ และต้นทุนเงินกู้ที่เริ่มผ่อนคลาย รวมถึง Valuation ที่ยังอยู่ในระดับถูก จึงยังเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว
ทั้งนี้กองทุนแนะนำคือ PRINCIPAL VNEQ-A ซึ่งเหมาะสำหรับทยอยสะสมในช่วงตลาดผันผวน พร้อมมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตระยะยาวของตลาดเวียดนาม
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วันที่ 12 ธันวาคม 2025 ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้น +1.40% มาที่ระดับ 50,851.49 จุด และ Topix +2.02% นำตลาดเอเชียเช้านี้ หลังนักลงทุนตอบรับบรรยากาศเชิงบวกจากวอลล์สตรีท และความคาดหวังว่าการประชุม BoJ ในวันที่ 19 ธันวาคมจะส่งสัญญาณนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยดัชนี Topix ปรับขึ้น +2.09% แตะระดับ 3,427.29 จุด หลังทำสถิติระดับสูงสุดระหว่างวันใหม่ที่ 3,420.57 จุด นักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นวัฏจักร แม้ตลาดจะสะดุดชั่วคราวจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น แต่ผลกระทบต่อตลาดการเงินจำกัดมาก
ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นอุตสาหกรรมและวัตถุดิบ โดย Sumitomo Metal Mining บวก +6.7% ขณะที่ Toray Industries กระโดด +5.9% ส่วนกลุ่มชิปกลับถูกขายหลังผลประกอบการของ Oracle ผิดคาด ทำให้หุ้น Disco Corp ร่วง -2.9% และ Tokyo Electron ลง -2.3% แต่ทิศทางรวมยังเป็นบวกจาก Fund Flow ต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามา ขณะที่แรงซื้อกระจายในหุ้นกว่า 200 ตัวบนกระดาน
ทางฝั่งจีนและฮ่องกง ดัชนีปรับขึ้นตามความหวังนโยบายกระตุ้น โดย HSCEI เพิ่มขึ้น +1.62% แตะระดับ 9,079.46 จุด และ HSTECH ขยับขึ้น +2.01% แตะ 5,646.05 จุด หลังผู้นำจีนส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุกในปี 2026 เพื่อรักษาการเติบโต GDP ใกล้ 5% พร้อมคำมั่นในการประคองภาคอสังหาริมทรัพย์และสนับสนุนเสถียรภาพทางการเงิน นักวิเคราะห์มองว่าถ้อยแถลงล่าสุด “pro-growth มากขึ้น” เมื่อเทียบกับการประชุมโปลิตบูโรก่อนหน้า และช่วยลดแรงกังวลตลาด แม้หุ้นเทคโนโลยีบางส่วน เช่น Moore Threads ร่วงแรงกว่า 10% จากคำเตือนด้านความเสี่ยง แต่ดัชนี AI onshore ยังบวก 1.1% สะท้อนแรงซื้อเชิงโครงสร้าง
ตลาดเกาหลีใต้ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย KOSPI ปรับขึ้น +1.32% มาที่ 4,164.91 จุด และทำสถิติบวก 3 สัปดาห์ติดจากโมเมนตัมบวกในหุ้นชั้นนำ โดย Samsung Electronics บวก +1.07% และ SK Hynix เพิ่ม +0.71% ขณะที่กลุ่มรถยนต์ Hyundai และ Kia ปรับขึ้น 1.78% และ 1.63% ตามลำดับ Steelmaker POSCO ขยับ +3.73% รวมถึงหุ้น Biologics ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิราว 102.1 พันล้านวอน แต่เม็ดเงินภายในประเทศยังคงเป็นแรงพยุงหลัก ขณะที่ค่าเงินวอนอ่อนลงเล็กน้อยแตะ 1,473.5 ต่อดอลลาร์
Finnomena Funds ประเมินว่า ตลาดเอเชียเหนือได้แรงส่งจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความคาดหวังนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจาก Fed และ BoJ, มาตรการกระตุ้นจากจีนในด้านการคลัง–เครดิตที่ชัดเจนขึ้น และ ความแข็งแกร่งในกลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะ Semiconductor เกาหลีใต้และอุตสาหกรรมระดับสูงของญี่ปุ่น โดยมีมุมมอง Slightly Positive สำหรับหุ้นญี่ปุ่น, เกาหลี และจีน จากทั้ง EPS revision ที่ฟื้นตัว ความคืบหน้าในนโยบายภาครัฐ และ Fund Flow ที่มีโอกาสกลับเข้าตลาดในระยะถัดไป
แนะนำทยอยสะสมผ่านกองทุน ASP-NGF (Japan), MEGA10CHINA-A (China), SCBKEQTG (Korea) ซึ่งสอดคล้องกับธีมการลงทุนระยะกลางของภูมิภาคนี้
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ทองคำ Spot ปรับขึ้น 1.2% สู่ระดับ 4,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ ช่วงค่ำวันพฤหัสบดี ตามเวลาสหรัฐฯ ทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 21 ตุลาคม ส่วนสัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนกุมภาพันธ์ปิดบวก 2.1% ที่ 4,313 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การปรับขึ้นครั้งนี้เกิดขึ้นหลัง Fed มีมติลดดอกเบี้ย 0.25% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มแรงซื้อทองคำจากนักลงทุนต่างประเทศ
ขณะที่แร่เงิน (Silver) กลายเป็นจุดสนใจหลักของตลาด โดยราคาทะยานเกือบ 4% แตะ 64.22 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเคยทำจุดสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 64.31 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์ชี้ว่าการพุ่งแรงของแร่เงินกำลังดึงราคาทอง แพลตินัม และพัลลาเดียมให้ปรับขึ้นตาม สัญญาณนี้สะท้อนแรงโมเมนตัมที่แข็งแกร่งในตลาดโลหะมีค่า
ปัจจัยสนับสนุนฝั่งทองและแร่เงินยังรวมถึงภาวะเงินเฟ้อสหรัฐที่ยังไม่กลับสู่กรอบ 2% ของ Fed อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้การลดดอกเบี้ยในสภาพแวดล้อมเงินเฟ้อสูงยังเป็นบวกต่อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ไร้ผลตอบแทน ขณะที่ตลาดกำลังรอรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรวันที่ 16 ธันวาคมเพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินระยะต่อไป
ฝั่งแร่เงิน CNBC รายงานว่า ราคาโลหะเงินได้ปรับขึ้นกว่า 114% ตั้งแต่ต้นปี ทำสถิติใหม่หลายครั้งและวิ่งแซงทองอย่างชัดเจน สาเหตุหลักมาจากบทบาท “สองสถานะ” ของแร่เงิน ทั้งในฐานะสินทรัพย์อุตสาหกรรมและสินทรัพย์ปลอดภัย แร่เงินถูกใช้เป็นส่วนสำคัญของเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI จึงเพิ่มความต้องการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝั่งอุปทานยังตึงตัว
ผู้เชี่ยวชาญบางราย เช่น Solomon Global และ BNP Paribas Fortis ประเมินว่าราคาโลหะเงินอาจทะลุระดับ 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ภายในปีหน้า ขับเคลื่อนโดยการขาดแคลนอุปทานยาวนาน ความต้องการภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และสถานะของแร่เงินในฐานะตัวเลือกทางเลือกแทนทองคำซึ่งทำราคาใหม่ต่อเนื่องเช่นกัน
ราคาทองคำปีนี้แม้โดนแร่เงินแซง แต่ยังปรับขึ้นกว่า 60% และทำสถิติสูงสุดหลายครั้ง ส่งผลให้ค่า Gold/Silver Ratio ลดลงมาอยู่แถว 68 ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2021 ใกล้ค่าเฉลี่ยหลังปี 1971 ที่ระดับ 66 บ่งชี้ว่าส่วนต่างราคาทอง-เงินกำลังแคบลงอย่างต่อเนื่อง
Source: CNBC
รีวิวกองทุน RMF ในธีม China Play จากกลุ่ม MEGA10 Series ของ บลจ. ทาลิส สรุปมาให้ครบทั้ง MEGA10CHINARMF MEGA10AICHINARMF MEGA10CHINATECHRMF และ MEGA10CHINAPOPRMF ลดหย่อนภาษีปี้นี้ เลือกกองทุนไหนดี ?
การลงทุนในธีม China Play ที่คาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังการพบกันระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” และผู้นำจีน “สี จิ้นผิง” เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งประกาศความตกลงสงบศึกภาษีทางการค้า และกลายเป็น Catalyst หนุนหุ้นจีน
ประกอบกับเมื่อมองในกลยุทธ์ระยะยาว (Long-Term Growth) ตลาดจีนยังคงมีศักยภาพสูง เนื่องจากตลาดผู้บริโภคชนชั้นกลางที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันมีประมาณ 400-500 ล้านคนจากประชากร 1.4 พันล้านคน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนความต้องการบริโภคในประเทศ
อีกทั้งจีนยังมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากนโยบายรัฐบาล ได้แก่ การเร่งพัฒนา AI ผ่านการสนับสนุนงานวิจัย สร้างบุคลากร และผลักดันการใช้งานในภาคส่วนต่าง ๆ พร้อมกับนโยบาย Dual Circulation ที่มองการบริโภคภายในประเทศเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมองการไหลเวียนจากภายนอกประเทศเป็นส่วนเสริม (Source: World Economic Forum as of 1 Jul 2025)
นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นจีน และได้สิทธิลดหย่อนภาษี พร้อมคาดหวังการเติบโต ซึ่งทาง บลจ. ทาลิส คัดมาให้ถึง 4 ธีมการลงทุนในซีรีส์ MEGA10 Series RMF ตระกูลหุ้นจีน ดังนี้
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
*เป็นกองทุน feeder fund ซึ่งกองทุนหลักบริหารจัดการโดย บลจ. ทาลิส
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
นโยบายกองทุน: คัดเลือก 10 หุ้นที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX) ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นความเป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value) ในกลุ่ม TOP/BEST CHINESE BRANDS จากการจัดอันดับโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในเรื่องของการจัดอันดับดังกล่าว และไม่มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทโดยรัฐบาลรวมถึงที่ รัฐบาลมีอำนาจควบคุมกิจการ อย่างมีนัยสำคัญ (Non-State Owned)
กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Rules-based มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัดในระยะยาว ที่สำคัญกองทุนจะพิจารณาเฉพาะบริษัทที่ไม่ใช่ State-Owned และจะลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันไม่เกินกว่า 4 หลักทรัพย์
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
กองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด MEGA 10 ARTIFICIAL INTELLIGENCE CHINA ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10AICHINA-A) (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
กองทุนหลักลงทุนในตราสารทุน และ/หรือ หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX) ที่ดำเนินธุรกิจ และ/หรือ กิจกรรมที่มีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่า (value chain) กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)
ทั้งนี้ แนวทางการลงทุนของกองทุนหลัก จะเลือกลงทุนในตราสารทุนของ 10 บริษัทขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง และผ่านการคัดเลือกด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
กองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด MEGA 10 CHINA TECHNOLOGY ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10CHINATECH-A) (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ทั้งนี้ กองทุนหลักลงทุนในตราสารทุน และ/หรือ หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทเทคโนโลยี และ/หรือ ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจในธีมเทคโนโลยี (Technology Themes) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX)
โดยกองทุนหลักมีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นของธุรกิจในธีมเทคโนโลยี (Technology Themes) เช่น อินเทอร์เน็ต, ฟินเทค (FinTech), คลาวด์ (Cloud), อีคอมเมิร์ซ (E-commerce), หรือระบบอัตโนมัติ (Autonomous) คัดเลือกหลักทรัพย์ 10 บริษัทที่เป็นส่วนประกอบใน Hang Seng Tech Index (HSTECH) และผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณาปัจจัยเพิ่มเติม เช่น อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin), อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) หรือ ผลสำรวจความเห็นจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Analyst Consensus)
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
กองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน MEGA 10 CHINA POPULAR CONSUMER BRAND ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10CHINAPOP-A) (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ทั้งนี้ กองทุนหลักลงทุนในตราสารทุน และ/หรือ หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทที่ดําเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้า และ/หรือ ให้บริการ อันเกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันที่เจ้าของตราสินค้า (Brand) และบริการเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเป็นอย่างดีทั้งในประเทศจีนรวมถึงในระดับสากล ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX)
ทั้งนี้ กองทุนหลัก MEGA10CHINAPOP-A จะเน้นลงทุนในบริษัทใน HKEX ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และส่วนใหญ่เป็นเจ้าของตราสินค้าและบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ทั้งในประเทศจีนรวมถึงในระดับสากล เช่น POPMART หรือ Mixue
กองทุนหลักลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
สรุปสำหรับกอง feeder fund ดูรายละเอียดกองทุนหลัก: www.talisam.co.th
สรุปแล้ว สำหรับผู้ที่กำลังมองหาการลงทุนและใช้สิทธิลดหย่อนภาษี พร้อมคาดหวังการเติบโต ผ่านหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX)
ภาคเศรษฐกิจจีนกำลังขับเคลื่อนด้วยนโยบายด้านเทคโนโลยีของรัฐบาล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานยุคดิจิทัล และกำลังซื้อจากชนชั้นกลางที่มีขนาดใหญ่ ปัจจัยเหล่านี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงหลายมิติของการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ธุรกิจออนไลน์ และการบริโภคภายในประเทศผ่านกองทุนในตระกูล MEGA10 Series (China)
กองทุนจีนในตระกูล MEGA10 ของบลจ. ทาลิส ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยการคัดเลือกบริษัทแบบ Rule-based มีกรอบการคัดเลือกชัดเจน และคัดหุ้นเพียง 10 บริษัทตามธีมที่มีให้เลือกตามธีมเฉพาะทางที่ชื่นชอบ
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของสรรพากร ตลอดจนผู้ลงทุนจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับ หรือ อาจจะต้องชำระเงินเพิ่มและเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนนี้มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | การลงทุนในกองทุนรวมตราสารแห่งทุนอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน หรือหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
Finnomena ในฐานะ Wealthtech Platform แพลตฟอร์มบริหารเงินลงทุนแบบครบวงจรชั้นนำของไทย ได้เข้าร่วมโครงการ “PanyaThAI” (ปัญญาไท) กับ Google Cloud สำหรับการนำนวัตกรรม AI มาใช้ยกระดับศักยภาพองค์กรอย่างจริงจัง และสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจได้จริง
Finnomena ถือเป็น 1 ใน 15 องค์กรชั้นนำของไทยที่ได้รับคัดเลือกจาก Google ให้เข้าร่วมโครงการนำร่องนี้ โดยมีเป้าหมายมุ่งสร้าง AI Use Cases จริงในภาคธุรกิจไทย ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่การเงิน, ประกัน, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการศึกษา เพื่อเดินหน้าผลักดันประเทศไทยสู่ยุค AI Economy ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 730,000 ล้านบาท ภายในปี 2030
ทั้งนี้ Finnomena จะได้เข้าถึง Full-Stack AI ของ Google ตั้งแต่โมเดล Gemini, แพลตฟอร์ม Vertex AI ตลอดจนทีมผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรระดับโลก เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งใช้เทคโนโลยียกระดับประสบการณ์การลงทุนของคนไทย พร้อมยังเป็นก้าวสำคัญในการนำเดินหน้าสู่การเป็น Comprehensive Wealthtech Platform อย่างเต็มรูปแบบ
Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ 3.50–3.75% เป็นครั้งที่ 3 ของปี แต่เป็นการลดที่ “เสียงแตกหนักสุดในรอบ 6 ปี” เมื่อกรรมการ FOMC ถึง 3 คนไม่เห็นด้วย และให้ความเห็นต่างกันสุดขั้ว สะท้อนภาวะลังเลระหว่างเงินเฟ้อที่ยังสูง 2.8% กับสัญญาณอ่อนแรงของเศรษฐกิจ หลังข้อมูลหลายชุดสะดุดจากชัตดาวน์รัฐบาล 6 สัปดาห์ ขณะที่ Dot plot ใหม่ชี้ว่าปี 2026–2027 อาจลดดอกเบี้ยรวมเพียงสองครั้ง และเจ้าหน้าที่ถึง 7 คนไม่ต้องการลดเลย
แม้ลดดอกเบี้ย แต่ Fed ส่งสัญญาณว่ารอบลดอาจชะลอ พร้อมเดินเกม “ซื้อพันธบัตรคืน” 40,000 ล้านดอลลาร์เพื่อพยุงสภาพคล่อง หลัง QT ทำให้ระบบเงินตึงตัวขึ้น แม้ Fed ไม่ใช้คำว่า QE แต่ตลาดมองเป็นสัญญาณว่าธนาคารกลางจำเป็นต้องอาศัยมาตรการเสริมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวเตรียมดัน Kevin Hassett เป็นประธาน Fed คนใหม่ ยิ่งเพิ่มคำถามต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางในจังหวะวิกฤตศรัทธา
ด้านเสถียรภาพตลาดโลก ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) เตือน “ฟองสบู่คู่” ครั้งแรกในรอบ 50 ปี เมื่อหุ้น (โดยเฉพาะเทค + AI) และทองคำ พุ่งทำ New High พร้อมกัน ทองคำขึ้นกว่า 60% และเริ่มถูกซื้อในเชิงเก็งกำไรมากขึ้น ทั้งจาก ETF ที่เทรดเหนือ NAV และจากหลายประเทศที่เร่งสะสมทองเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์ ด้านหุ้นก็อยู่ในโหมด Risk-on จัดเต็ม แม้ ECB และ BOE เตือนว่ามูลค่าอาจวิ่งนำปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้าธุรกิจชิปและดาต้าเซนเตอร์ที่ยังต้องพิสูจน์ผลตอบแทนจริง
BIS ตั้งคำถามใหญ่ หากวันหนึ่งหุ้นและทองคำปรับฐานพร้อมกัน โลกจะเหลือที่หลบภัยใด เมื่อหลายประเทศถือทองในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และเงินทุนจำนวนมากไหลตามโมเมนตัมมากกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจจริง
ภาพรวมสะท้อนสัญญาณเดียวกันว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเปราะบางใหม่ แม้เศรษฐกิจดูแข็งแรงกว่าเดิม แต่เสถียรภาพตลาดการเงินกลับสั่นคลอน ดอกเบี้ยยังสูง เงินเฟ้อยังไม่ลง และสินทรัพย์เสี่ยง–ปลอดภัยกลับพุ่งพร้อมกันอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ประวัติศาสตร์เตือนเสมอว่า “ความผันผวนใหญ่กำลังรออยู่ข้างหน้า”
อ้างอิง: CNBC, กรุงเทพธุรกิจ
แนะนำกองทุนลดหย่อนภาษี LHCYBERRMF จาก บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งลงทุนใน Thematic แห่งอนาคตอย่าง Cybersecurity เน้นบริษัทดิจิทัลเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยเฉพาะ
กระแส Digital Transformation และการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ Smart Devices ที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงจากการโจมตีของอาชญากรไซเบอร์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้องค์กรทั่วโลกจำเป็นต้องเร่งหาโซลูชันด้านความปลอดภัยมาป้องกันอย่างเร่งด่วน
อุตสาหกรรม Cybersecurity จึงยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตตามไปด้วย โดยคาดว่าอุตสาหกรรมนี้ทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ย 14.3% ต่อปี ตลอดปี 2024-2032 และคาดว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 562.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2032
Source: LH Fund as of Nov 2025
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในกระแสเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นอีกธีมเมกะเทรนด์ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีที่จะต้องถือหน่วยลงทุนนาน ๆ
กองทุน RMF อย่าง LHCYBERRMF จึงถือเป็นอีกทางเลือกที่ บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คัดขึ้นมานำเสนอเพื่อสร้างความเติบโตของพอร์ตการลงทุนไปพร้อม ๆ กับการจัดการภาษีในปี 2025 นี้
Source: LH Fund as of Nov 2025
กองทุนเปิด แอล เอช โกลบอล ไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ LHCYBERRMF เป็นกองทุนหุ้นโลกในกลุ่ม Technology Equity มีกองทุนหลักคือ First Trust Nasdaq Cybersecurity UCITS ETF บริหารจัดการโดย First Trust Global Portfolios Management Limited ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่อง Thematic Investing พร้อมทั้งยังไดรับการจัดอันดับ Morningstar ระดับ 4 ดาว (สำหรับระยะเวลา 5 ปี)
กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัดคือ Nasdaq CTA Cybersecurity Index ซึ่งติดตามล้อไปกับผลการดำเนินงานของบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์
หุ้นที่กองทุนหลักให้ความสนใจมีอยู่ 3 กลุ่ม คือ
Source: LH Fund as of Nov 2025
กองทุนกระจายการลงทุนในบริษัทชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจหลักด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยตรง โดยคัดเลือกหุ้นตามเกณฑ์ที่เข้มงวดของดัชนีอ้างอิง และใช้กลยุทธ์การถ่วงน้ำหนักแบบ Modified Market-Cap Weighting เพื่อให้น้ำหนักกับบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันก็จำกัดน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
Source: LH Fund as of Nov 2025
หุ้นตัวเด่น ๆ ที่กองทุนหลักลงทุน เช่น
ความน่าสนใจ คือ การลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Pure-Plays) ในกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและมีศักยภาพเติบโตสูง ครอบคลุมทั้ง Value Chain ของอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงผู้นำแพลตฟอร์มและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั้งหมด
เกณฑ์ในการเลือกหุ้นเข้าสู่จักรวาลการลงทุนของกองทุนหลัก นั้นจะต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และถูกจัดว่าเป็นบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์โดย Consumer Technology Association (CTA)
นอกจากนี้ ต้องมี Market Capitalization ขั้นต่ำ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (ในช่วงสามเดือน) ขั้นต่ำ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสัดส่วน Free Float ขั้นต่ำ 20%
กองทุนใช้การถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์แต่ละตัวแบบ Modified Market-Cap Weighting โดยอิงตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดแบบ Free Float
โดยจะจำกัดน้ำหนักสูงสุดของหุ้นแต่ละตัวเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว แต่ก็ต้องลงทุนในหลักทรัพย์แต่ละตัวไม่น้อยกว่า 0.25% เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยในหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนคัดมา
รายละเอียดสำคัญอื่น ๆ
สรุปแล้ว LHCYBERRMF เป็นกองทุน Cybersecurity ที่ครอบคลุมไปทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพียงแค่บริษัทเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจการเงิน โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา และองค์กรภาครัฐ ซึ่งต่างต้องพึ่งพาโซลูชันความปลอดภัยดิจิทัล และสอดคล้องไปกับเทรนด์แห่งอนาคต ทำให้ตลาดนี้ยังมี Upside สูงต่อเนื่อง เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนในระยะยาวผ่านกองทุน RMF
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
ที่มา:
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต| ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศและความมั่นคง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังจับตาญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2007 ขณะที่พันธบัตรอายุ 30 ปี ก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.43%
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากความย้อนแย้งทางนโยบายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่กำลังก่อตัวเป็นปัญหาหลักของระบบการเงินประเทศ
Source: CNBC, Datawrapper as of 20 Nov 2025
แรงกดดันเริ่มจากเงินเฟ้อที่ยืนสูงราว 3% ติดต่อกัน ส่งผลให้ตลาดเริ่มคาดว่าแบงก์ชาติญี่ปุ่น (BOJ) อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยจากระดับนโยบายปัจจุบันที่เพียง 0.5%
ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นกลับเดินหน้าเหยียบคันเร่งผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินมหาศาล 135,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องใช้การออกพันธบัตรเพิ่มในตลาด
การเหยียบเบรกทางการเงิน และเหยียบคันเร่งทางการคลังพร้อมกัน จึงสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และนำไปสู่การเทขายพันธบัตร ทำให้ Yield พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด
Source: Finnomena Funds, TradingView as of 9 Dec 2025
ความย้อนแย้งนี้ยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับ GDP ระบบการคลังจึงแทบไม่มีช่องให้พลาด
เดิมทีญี่ปุ่นอยู่รอดได้เพราะดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ แต่วันนี้ทั้งดอกเบี้ยและ Bond Yield กลับเป็นขาขึ้นพร้อมกัน ทำให้ต้นทุนหนี้ของรัฐบาลพุ่งขึ้นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเริ่มเข้าใกล้ภาวะ “Debt Spiral” ที่ยิ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเฟ้อยิ่งขึ้น BOJ ยิ่งต้องขึ้นดอกเบี้ย ภาระดอกเบี้ยยิ่งบาน และรัฐบาลจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อนำไปจ่ายดอกเบี้ย วนเป็นวงจรที่เสี่ยงคุมไม่อยู่
สิ่งที่ทำให้ทั่วโลกต้องจับตาคือ เมื่อตลาดบอนด์ญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนสูงขึ้น นักลงทุนญี่ปุ่นซึ่งถือสินทรัพย์ต่างประเทศมหาศาล เริ่มขายพันธบัตรต่างประเทศและย้ายเงินกลับบ้าน เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่ 2% กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มความเสี่ยงกว่าเดิม
Source: Finnomena Funds, TradingView as of 8 Dec 2025
ปรากฏการณ์นี้คือ “ฟันด์โฟลว์ไหลย้อนกลับ” ซึ่งเริ่มเห็นชัดแล้วในหลายตลาด โดย Bond Yield สหรัฐฯ และเยอรมนีต่างปรับขึ้น ทั้งที่ปกติควรลดลงตามภาวะดอกเบี้ยขาลงของ Fed และ ECB เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในช่วงปลายยุค 90 แต่ไม่เคยชัดเจนเท่านี้มาหลายสิบปี
ทั้งหมดนี้สะท้อนสัญญาณว่า “บางอย่างกำลังผิดปกติ” ในระบบการเงินของญี่ปุ่น และแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นอาจไม่หยุดอยู่แค่ในประเทศ เพราะถ้า Yield ญี่ปุ่นยังไต่ขึ้นไม่หยุด ค่าเงินเยนอาจผันผวนหนัก และฟันด์โฟลว์ทั่วโลกอาจปรับฐานแบบไม่ทันตั้งตัว
ถ้าความปั่นป่วนในตลาดทุนโลกปะทุขึ้นจริง ทองคำมักเป็นสินทรัพย์แรก ๆ ที่นักลงทุนวิ่งเข้าหา เพราะถือเป็นที่หลบภัยจากความเสี่ยงในตลาด จึงมีโอกาสสูงที่ราคาทองคำจะได้รับแรงหนุนเพิ่มขึ้นตามบรรยากาศความกังวลที่ก่อตัว
Source: Bloomberg as of 28 Oct 2025
ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองทองยังซื้อขายที่ระดับ Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังกว่า 20 ปี (ประมาณ 11 เท่า) และยัง Laggard อีกมากเมื่อเทียบกับราคาทองคำ
A-RING เป็นกองทุนหุ้นเหมืองทองคำที่มีคอนเซ็ปต์การลงทุนแบบ Passive Global Thematic ขุดความมั่งคั่งไปกับธีมเหมืองทอง Pure-play Gold Miners กองทุนแรกในไทย
โดยมีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ซึ่งเป็น Passive ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี MSCI ACWI Select Gold Miners Investable Market Index
ทั้งนี้ จากสถิติย้อนหลังในอดีต พบว่าราคาหุ้นเหมืองทองมักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2 เท่าของราคาทองคำแท่ง
Source: Asset Plus Fund Management, Bloomberg as of 30 Sep 2025
อ้างอิง: เอกสารแนะนำกองทุน Asset Plus Fund Management, Morning Brief
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
อินเดียเคยถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งของเอเชีย เศรษฐกิจโตแรง ประชากรหนุ่มสาว และศักยภาพระยะยาวสูง แต่ในปีนี้กลับเป็นหนึ่งในตลาดที่แย่ที่สุด หุ้นขึ้นน้อย เงินรูปีอ่อนค่าสุดในเอเชีย และตามหลังตลาดเกิดใหม่ในระดับที่ไม่เคยเห็นมานานกว่า 30 ปี
แต่ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Morgan Stanley, Citigroup และ Goldman Sachs ต่างคาดว่าอินเดียมีโอกาสรีบาวด์แรงในปี 2026
หุ้นอินเดียตามหลังตลาดเกิดใหม่มากที่สุดในรอบหลายสิบปี | Source: Bloomberg
สาเหตุที่ผลงานอินเดียย่ำแย่มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กระทบผู้ส่งออกจนการส่งออกร่วงเกือบ 12% ต่อปี เงินรูปีอ่อนค่าลงกว่า 4.3% ทำสถิติต่ำสุดใหม่ และการไหลออกของเงินทุนต่างชาติราว 16,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งถูกหมุนไปลงทุนในจีน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดอินเดีย–จีนติดลบสูงถึง -0.7
ผลลัพธ์คือ MSCI India ขึ้นเพียง 8.2% ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ปรับตัวแรงกว่า ส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างอินเดียและ EM ติดลบ -18.78% หนึ่งในระดับที่แย่ที่สุดตั้งแต่ปี 2000
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, data as of 04/09/2025
แม้ภาพระยะสั้นจะดูไม่ดี แต่หลายสัญญาณเริ่มเปลี่ยนทิศ กำไรบริษัทใหญ่เริ่มฟื้นขึ้น 12% ในไตรมาสล่าสุด และไม่มีการปรับลดประมาณการเหมือนก่อน รัฐบาลและ RBI ออกมาตรการหนุนเศรษฐกิจ ทั้งการลดดอกเบี้ย 100 bps การเข้าซื้อพันธบัตรครั้งใหญ่ และการปฏิรูปภาษี GST เหลือเพียงสองอัตรา ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่ม Nominal GDP ได้ราว 0.6% ในปีหน้า
Source: Reuters as of 28/11/2025
เศรษฐกิจจริงก็แข็งแกร่งกว่าที่มองจากภายนอก GDP ไตรมาสล่าสุดโตถึง 8.2% แม้จะโดนกดดันจากภาษีนำเข้า แต่สัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ต่อ GDP ไม่สูงนัก และอินเดียยังมีตลาดในประเทศมหาศาลกว่า 1,400 ล้านคนเป็นกันชนสำคัญ
ขณะเดียวกัน เงินทุนต่างชาติเริ่มไหลกลับมาราว 1,700 ล้านดอลลาร์ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา สะท้อนว่ามุมมองต่ออินเดียเริ่มเปลี่ยน
อีกแรงหนุนมาจากโอกาส Rotation จากหุ้น AI ที่ร้อนแรงทั้งปี หากกำไรเริ่มไม่สอดคล้องกับราคา นักลงทุนอาจย้ายเงินไปตลาดที่พึ่งพาเทคโนโลยีน้อยกว่าอย่างอินเดีย นักกลยุทธ์หลายรายมองว่าหากกระแส AI เย็นลง ตลาดอินเดียและเอเชียใต้จะยิ่งน่าสนใจขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์กับจีนเป็นลบ และความร้อนแรงของจีนเริ่มชะลอ
สุดท้ายคือเรื่องค่าเงิน รูปีที่อ่อนถึงจุดต่ำสุดอาจใกล้หยุดลง ING มองว่ารูปีเป็นหนึ่งในสกุลเงินเอเชียที่มีแนวโน้มรีบาวด์มากที่สุด ขณะที่ RBI ส่งสัญญาณว่าการอ่อนค่าเฉลี่ย 3–3.5% ต่อปีอาจเป็นกรอบที่เหมาะสม นักลงทุนจึงเริ่มประเมินว่าความเสี่ยงค่าเงินอาจลดลง และตราสารหนี้ท้องถิ่นมีโอกาสได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยโลกที่เสถียรขึ้น
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าผลงานอินเดียที่ตามหลังตลาดเกิดใหม่ในรอบหลายสิบปีอาจกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยน และทำให้อินเดียกลับมาอยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกในปี 2026 ได้อีกครั้ง
Mr.Messenger Call แนะนำสะสมหุ้นอินเดีย ผ่านกองทุน B-BHARATA และ TISCOINA-A ด้วยสัญญาณทางเทคนิคเชิงบวก รวมทั้งความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่ช่วยผลักดันตลาดหุ้นอินเดียในระยะยาว
กองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่ลงทุนผ่านกองทุน RAMS Investment Unit Trust – India Equities Portfolio Fund II ซึ่งเน้นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย
ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่าน 3 กองทุนหลักที่คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up คือ
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
แนวคิดใหม่ปรับปรุงเกณฑ์ลดหย่อนภาษี กำหนดวงเงินลดหย่อนภาษีจากการลงทุนสูงสุด 800,000 บาท รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท หักลดหย่อน 0.7 เท่า รายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท หักลดหย่อน 1.3 เท่า พร้อมเพิ่มบัญชี TISA ซื้อหุ้นไทยได้ลดหย่อนภาษี คาดบังคับใช้ 1 มกราคม 2569
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2025 กระทรวงการคลัง ได้จะเสนอนโยบาย Quick Win ส่งเสริมการออมเงินของคนไทยในระยะยาว โดยมีมาตรการที่สำคัญ คือ ปรับเกณฑ์มาตรการลดหย่อนภาษี และเริ่มใช้บัญชีเพื่อการลงทุน หรือ Thailand individual Saving Account (TISA) ซึ่งได้รับการเห็นชอบ ครม.เศรษฐกิจแล้ว และเตรียมนำเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
(ยังไม่ได้ประกาศเป็นกฎหมาย และยังไม่มีผลบังคับใช้จริง)
1. เพิ่มรูปแบบการลงทุนผ่านบัญชี TISA หรือ Thailand individual Saving Account สำหรับการลงทุนในหุ้นไทย เพื่อได้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
2. กำหนดเพดานวงเงินลดหย่อนภาษีรวมกันไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี ครอบคลุมกองทุนรวม RMF, Thai ESG, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันบำนาญ และบัญชีเพื่อการลงทุนหุ้นไทย โดยแบ่งการคำนวณค่าลดหย่อนตามรายได้ คือ
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เหตุผลว่า ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีประมาณ 300,000 คน ที่นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษี ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ดังนั้น การปรับปรุงโครงสร้างค่าลดหย่อนภาษีครั้งนี้ มีเป้าหมายสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่พึ่งเริ่มทำงาน มนุษย์เงินเดือน หรือผู้ที่มีรายได้ปานกลางให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ เปรียบเสมือนการนำเงินของผู้ที่มีรายได้ต่ำมาช่วยผู้ที่มีรายได้ปานกลางในระยะยาว และยังช่วยสนับสนุนการลงทุนในตลาดทุนด้วย คาดว่าจะทำให้กรมสรรพากรมีรายได้เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการออมภาคประชาชนในระยะยาว ได้แก่ 1.) จำหน่ายพันธบัตร ‘ออม พลัส’ ให้กับประชาชนทุกเดือน ซึ่งจะทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคง โดยมีราคาขั้นต่ำที่ 1,000 บาท ตามราคาตลาด 2.) ยกเว้นอากรให้กับผู้ซื้อประกันวินาศภัย ไม่ว่าจะเป็นประกันน้ำท่วม หรือประกันท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้ซื้อประกันภัยรายย่อย (Micro Insurance) กล้าซื้อประกันมากขึ้น
ว่ากันว่าทุกช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าลดลง เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Santa Claus Rally”
คำถามคือแล้ว Santa Claus Rally คืออะไร ทำไมถึงเกิดขึ้น และนักลงทุนควรเตรียมความพร้อมอย่างไรดี เราสรุปให้แบบเข้าใจง่าย
Santa Claus Rally เป็นปรากฏการณ์ในโลกการลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นมักจะปรับขึ้นได้ดีในช่วงสัปดาห์ท้ายของปี ซึ่งจะตรงกับช่วงหลังเทศกาลวันคริสต์มาสไปจนถึงวันปีใหม่พอดี
โดยมีการเก็บสถิติผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 สัปดาห์สุดท้ายของทุกปี ย้อนหลัง 10 ปี (2014-2024) พบว่าหุ้นขึ้นถึง 8 ครั้ง จากทั้งหมด 10 ครั้ง

กราฟแสดงผลตอบแทนของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ในช่วงก่อนและหลังวันคริสมาสต์ (25 ธ.ค.)
จะเห็นว่าช่วงเวลานี้ถือเป็นอีกหนึ่ง Timing ที่ดีในการเข้าทะยอยลงทุน เพื่อรับโอกาสที่ตลาดจะทะยานขึ้น โดยกราฟแสดงผลตอบแทนย้อนหลังระหว่างปี 2014-2024 ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ในช่วง 15-20 วันก่อนถึงวันคริสมาสต์ (25 ธ.ค.) พบว่าตลาดมักจะอ่อนตัวลง แล้วจึงค่อย ๆ ไต่ขึ้นจนกลับเป็นบวกจากแรงซื้อตอนปลายปี
และหลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักมีแนวโน้มเป็นบวกต่อเนื่อง จนไปพุ่งขึ้นสูงสุดประมาณวันที่ 35 ถึง 40 วันทำการหลังคริสต์มาส แปลว่าหากปี 2025 นี้ การเคลื่อนไหวของ S&P500 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต เราก็ไม่ควรพลาดจังหวะการลงทุน
แม้หลายคนอาจจะมองว่า Santa Claus Rally ดูจะเป็นเหมือนอุปาทานหมู่ซะมากกว่า แต่เอาจริง ๆ แล้ว ปรากฎการณ์นี้ก็ถือว่ามีที่มาที่ไปและเหตุผลของมันอยู่เหมือนกัน ดังนี้
หากใครอยากเข้าไปเก็งกำไรจากปรากฏการณ์ Santa Claus Rally แน่นอนว่าปลายปีนี้ Finnomena Funds ก็ได้คัดกองทุนแนะนำมาฝาก ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โมเมนตัมสดใส พร้อมรอรับ Santa Claus Rally
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
อัปเดตคำแนะนำการลงทุนล่าสุดของ Finnomena Funds จับตา Fed ลดดอกเบี้ย กองทุนอะไรได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ! ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการ รับ Cashback รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท
Source: Finnomena Funds, Macrobond, Fed, BLS as of 7/12/2025
ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้อยู่ที่การประชุม FOMC ในระหว่างวันที่ 11-12 ธันวาคม 2025 ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ และตลาดประเมินว่ามีความเป็นไปได้เกินกว่า 80% ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps เป็น 3.50-3.75%
เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อทั้ง CPI แลละ Core CPI ผ่อนคลายลงมาอยู่ใกล้ระดับ 2.7-2.8% YoY พร้อมทั้งยังเป็นการช่วยพยุงตลาดแรงงานที่อ่อนแรง แม้จะยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% แต่ก็ถือว่าเริ่มทรงตัวได้แล้ว ประกอบกับตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ จากมาตรการกำจัดผู้อพยพ และบริษัทชะลอจ้างงาน ทำให้มีโอกาสขึ้นที่จะเห็น Fed ใช้นโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายมากขึ้น
อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2025 โดย Finnomena Funds
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
1. หุ้นเหมืองทอง (Gold Miners) ที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ขาขึ้นของราคาทอง ซึ่งเมื่อสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ย จะกดให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า หนุนให้ทองคำได้รับความนิยมมากขึ้น
แนะนำกองทุน A-RING (ระดับความเสี่ยง 7) ลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำ Pure-play Gold Miners ผ่านกองทุนหลัก iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ซึ่งสถิติย้อนหลังในอดีต พบว่าราคาหุ้นเหมืองทองมักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2 เท่าของราคาทองคำแท่ง
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/A-RING
2. บิทคอยน์และบล็อกเชน (Bitcoin & Blockchain) สินทรัพย์เสี่ยงที่อ่อนไหวต่อการปรับอัตราดอกเบี้ย และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาลง
แนะนำกองทุน ASP-DIGIBLOC (ระดับความเสี่ยง 6) ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล โดยราคาเริ่มรีบาวด์กลับมาได้ พร้อมเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/ASP-DIGIBLOC
3. ตราสารหนี้โลก (Global Bond) เพราะเมื่อดอกเบี้ยลด Bond Yield จะลง ราคาพันธบัตรจะขึ้นดีต่อกองทุนที่ถือตราสารหนี้อายุยาว (Long Duration)
แนะนำกองทุน KT-BOND (ระดับความเสี่ยง 4) ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Global Bond Fund โดยปัจจุบันมี Duration อายุยาวประมาณ 7 ปี
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/KT-BOND
4. โครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก (Global Infrastructure) เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับอานิสงส์จากรอบดอกเบี้ยขาลง เพราะต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ต่ำลง
แนะนำกองทุน KKP GINFRAEQ-H (ระดับความเสี่ยง 6) ลงทุนในโครงสร้างพื้นทั่วโลก ผ่านกองทุนหลัก Lazard Global Listed Infrastructure Fund ซึ่ง Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง สะท้อนโอกาสการปรับตัวขึ้นได้ ในระยะต่อไป
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/KKP GINFRAEQ-H
5. หุ้นเทคโนโลยีเติบโตสูง (Tech AI Stock) โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งอนาคต เนื่องจากมูลค่าบริษัทในอนาคตถูก Discount Rate ด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำลง
แนะนำกองทุน ES-GTECH (ระดับความเสี่ยง 7) ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีผ่านกองทุนหลัก Polar Capital Funds Plc Global Technology Fund โดยจะคัดเลือกหุ้นที่มีความเป็นผู้นำ ได้รับประโยชน์จาก AI และธุรกิจกำลังสร้าง New S-curve
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/ES-GTECH
พิเศษโปรโมชั่น ! แจกหนัก จัดเต็ม แจก E-Coupon เพื่อรับ Cashback เป็นหน่วยลงทุน K-CASH* (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการบนแอป Finnomena ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2025
กดรับคูปองก่อนซื้อกองทุน www.finnomena.com/promotions
เช็กกองทุนที่เข้าร่วม www.finnomena.com/promotions/e-coupon/fund-list
ข้อกำหนดและเงื่อนไข:
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort