ข่าวดังในแวดวงการลงทุนสัปดาห์ที่แล้ว เห็นจะไม่พ้นการประกาศปิดกองทุน Scion Asset Management ของไมเคิล เบอร์รี ตำนานการทำกำไรจากวิกฤตซับไพร์ม ที่โด่งดังในภาพยนตร์ The Big Short ซึ่งรอบนี้เก็งว่าหุ้น Palentir และ Nvidia จะมีราคาลดลง โดยเขาหันมาเปิดบริการ Newsletter และยังถือหุ้น Fannie และ Freddie ซึ่งกำลังเตรียม IPO ในสัดส่วนที่ไม่น้อย นอกจากนี้ยังให้ความเห็นต่อบิตคอยน์ว่าจะไม่มีมูลค่าในที่สุด แถมยังฟันธงว่า OpenAI จะจบเหมือนเบราวเซอร์ Netscape ในยุค Dotcom Bubble บทความนี้ จึงขอเจาะลึกนิสัยของยอดนักลงทุนของไมเคิล เบอร์รี และกลุ่มนักลงทุนจากภาพยนตร์ The Big Short ดังนี้
ผมน่าจะเป็นคนหนึ่งที่อาจจะถือว่าไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุการณ์วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์มากเท่าไร เนื่องจากเคยทำงานอยู่ที่ AIG จึงขอทำตัวเป็นนักวิเคราะห์ภาพยนตร์สักครั้งกับภาพยนตร์ “The Big Short” ที่เขียนจากหนังสือของไมเคิล ลิวอิส
เค้าโครงเรื่องของหนังเรื่องนี้ มาจากเหตุการณ์จริงโดยโฟกัสไป ณ ช่วงเวลาระหว่างปี 2004-2008 อย่างที่ทราบกันว่าระหว่างปี 2004 ถึงต้นปี 2007 ไม่มีใครคาดคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้จะประสบภาวะวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 70 ปี ไม่ว่าจะเป็นอดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้งอลัน กรีนสแปน และเบน เบอร์นันเก้ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐในตอนนั้นไม่มีอะไรน่ากังวล แม้จะว่าหนี้เสียของสินเชื่อบ้านจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากความเคยชินที่มองเศรษฐกิจเฉพาะจากตัวเลขมหภาคเพียงไม่กี่ตัว อย่างเช่นอัตราเงินเฟ้อ จีดีพี โดยไม่ดูถึงไส้ในว่าจริง ๆ แล้วมีการบิดเบือนของกลไกระบบการเงินจากบริษัทการเงินต่าง ๆ และบริษัทจัดอันดับเครดิต
ทว่ามีนักลงทุนอย่างน้อย 4 กลุ่มที่เห็นความไม่ชอบมาพากลนี้ และลงทุนด้วยการพนันว่าราคาของตราสารทางการเงินที่ผูกกับสินเชื่อซับไพร์มจะตกต่ำลงอย่างรุนแรง โดยอดัม แมคเคย์ ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ เลือกให้ 2 นักลงทุน นามว่า ไมเคิล เบอร์รี ผู้บริหารกองทุน Scion Capital ในขณะนั้น และ สตีฟ ไอส์แมน ผู้บริหารกองทุน FrontPoint ในขณะนั้น เป็นตัวเอกของเรื่อง ผมได้ข้อคิดจากหนังเรื่องนี้ว่านิสัยของนักลงทุนที่น่าจะมีอยู่ เพื่อให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงขึ้น ดังนี้
หนึ่ง นิสัย ‘ช่างสังเกตว่าได้เห็นช่องที่ทำให้สามารถเชื่อได้ว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากลในระบบ’ นี่เป็นจุดกำเนิดแรกของการสร้างกำไรหลายหมื่นล้านของไมเคิล เบอร์รี่ ที่แสดงโดยคริสเตียน เบลล์ ซึ่งเป็นอดีตแพทย์ทางสมองที่เห็นความผิดปกติของความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพสินเชื่อบ้านกับอันดับตราสารซับไพร์มที่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้มั่นใจว่าราคาตราสารทางการเงินนี้อย่างไรเสีย ต้องดิ่งลงในที่สุด แม้จะต้องรอคอยผลลัพธ์ดังกล่าวให้เกิดขึ้นอยู่หลายปี
ทว่าท้ายสุด เขาก็โกยกำไรไปให้ตนเองกว่า 100 ล้านดอลลาร์ และให้กับลูกค้ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ รวมถึงกองทุน Scion Capital ก็ทำกำไรร้อยละ 489.34 ระหว่างเดือน พ.ย. 2000 ถึง มิ.ย. 2008 ในเชิงสัญลักษณ์ ผมชอบหนังเรื่องนี้ตอนที่เกรก ลิปเปอร์แมน นายแบงก์จาก Deutsch Bank ที่แสดงโดยไรอัน กรอสสิ่ง บอกกับทีมของสตีฟ ไอส์แมน ว่าเขากำลังได้กลิ่นของเงินอยู่แถวนี้ นั่นคือเขาได้สังเกตและมองเห็นโอกาสในการทำกำไรจากความไม่สมดุลของระบบการเงินในสหรัฐ
สอง นิสัย ‘สืบเสาะไปให้ถึงที่สุด เพื่อตรวจสอบความเชื่อหรือสมมติฐานของตนเองอย่างจริงจัง’ โดย สตีฟ ไอส์แมน หรือ มาร์ค บาม ตามชื่อในหนังที่แสดงโดยสตีฟ คาร์เรล ได้ออกไปตรวจสอบตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งมีบ้านที่สร้างกันอย่างโครมครามตามหัวเมืองต่าง ๆ ว่าเป็นของจริงหรือลวงโลก เมื่อได้คำตอบจากภาคสนามแล้วจึงลงทุนในรูปแบบที่ตนเองคิดด้วยความมั่นใจมากขึ้น หรือแม้แต่ไปถามหาบริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ว่าทำไมยังให้อันดับเครดิตตราสารซับไพร์มถึง AAA แม้หนี้เสียของสินเชื่อดังกล่าวจะแย่ลงอย่างมากก็ตาม เพื่อบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของนักลงทุนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
สาม นิสัย ‘กัดไม่ปล่อยเพื่อให้ได้ตัวช่วยที่ถูกทาง โดยเฉพาะตอนที่คุณยังตัวเล็กอยู่’ โดย เจมี่ มาย และชาลี รีดลีย์ 2 นักลงทุนที่เปิดกองทุนเล็กๆอย่าง Cornwall Capital ไว้หลังโรงรถ ไม่สามารถที่จะเปิดบัญชีเพื่อทำธุรกิจกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินในวอลล์ สตรีทได้จึงต้องทำการหาตัวช่วยที่อุดช่องว่างดังกล่าว โดยในที่สุดก็ได้เบน ฮ็อคเก็ตต์ ที่แสดงโดยแบรด พิตต์มาช่วยให้สามารถซื้อขายตราสารทางการเงินกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้
สี่ นิสัย ‘อดทนและรอคอยวันนั้นให้มาถึง ถ้าคุณมั่นใจในสมมติฐานของคุณจริง ๆ’ แน่นอนว่ากำไรที่สูงเกือบพันล้านดอลลาร์ไม่ได้มาง่าย ๆ ทั้งไมเคิล เบอร์รี่ ผู้บริหารกองทุน Scion Capital ที่ต้องทนเสียงก่นด่าจากลูกค้า และสตีฟ ไอส์แมน ผู้บริหารกองทุน FrontPoint ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่อคงสถานะการทำ Short ตราสารซับไพร์ม โดยทั้งคู่ต้องรอเป็นเวลากว่า 2 ปีจึงจะสามารถได้กำไรอย่างมหาศาลได้
ห้า นิสัย ‘ทำงานหรือบริหารเงินด้วยสไตล์ที่คุณถนัด’ จะเห็นได้ว่า ไมเคิล เบอร์รี่ ชอบทำงานอยู่คนเดียวด้วยการอ่าน ทำการวิเคราะห์ และตัดสินใจในห้องด้วยตัวเอง ด้านสตีฟ ไอส์แมน ชอบมีทีมที่ถนัดกันคนละอย่างมาช่วยเสริมซึ่งกันและกัน ส่วนเกรก ลิปเปอร์แมน ชอบเป็นตัวกลางเพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตนเอง ขณะที่เจมี่ มาย และชาลี รีดลีย์ แห่ง Cornwall Capital ก็ชอบทำงานแบบรีแลกซ์โดยมีเบน ฮ็อคเก็ตต์คอยกำกับอยู่ห่าง ๆ ทุกคนมีความชอบในสไตล์ของตนเองเพื่อจะประสบผลสำเร็จ
หลังดู The Big Short จบ ผมอยากดูหนังใหม่ที่สร้างให้จอห์น พอลสัน นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 เป็นตัวเอกจังครับ
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
แนะนำกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี KT-GESG RMF จาก บลจ. กรุงไทย ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างโลกให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความคาดหวังว่าทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาลง โดยเฉพาะในฝั่งของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จากนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และหนุนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก
บลจ. กรุงไทย มองว่าจากนี้จะเกิดภาวะ Bond-to-stock rotation หรือพูดง่าย ๆ คือกระแสเงินลงทุนหมุนเวียนออกจากตลาดตราสารหนี้ไปเข้าสู่ตลาดหุ้น
ประกอบกับในยุคที่มีกฎเกณฑ์ด้านความยั่งยืนเข้มงวดขึ้น บริษัทที่แข็งแกร่งจึงไม่ได้หมายถึงแค่การสร้างผลกำไรได้ดี แต่ยังหมายถึงบริษัทที่มีกระบวนการผลิตสินค้าและบริการที่มีความยั่งยืน ไม่สร้างผลกระทบต่อสังคม และมีธรรมาภิบาลในการบริหารงาน ซึ่งช่วยคัดกรองว่าบริษัทดังกล่าวจะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว ไม่ถูกโลกทิ้งไว้ข้างหลังในอนาคต
ดังนั้น KT-GESG RMF กองทุนหุ้นโลกที่มีศักยภาพในการเติบโต ‘อย่างยั่งยืน’ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกน่าสนใจสำหรับคนที่มองหาทางเลือกเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี 2025 ไปพร้อมกับการสร้างความเติบโตของพอร์ตในอนาคตระยะยาว
KT-GESG RMF หรือ กองทุนเปิดเคแทม Global Sustainable Growth Equity เพื่อการเลี้ยงชีพ (ความเสี่ยงระดับ 6) เป็นกองทุน RMF ประเภทกองทุนรวมตราสารทุนโลก (Global Equity) ลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ Schroder International Selection Fund Global Sustainable Growth ที่มีผู้บริหารกองทุนชื่อดังอย่าง Schroder Investment Management (Europe) S.A. จากฝั่งยุโรปที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 200 ปี
กองทุนหลักมีนโยบายการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (MSCI ACWI NR) ส่วน KT-GESG RMF มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก (Passive Management)
สินทรัพย์หลัก ๆ ที่กองทุนหลักเข้าไปลงทุนคือตราสารทุนของบริษัททั่วโลก ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานความยั่งยืนที่ผู้จัดการการลงทุนกำหนดไว้ โดยไม่จำกัดอุตสาหกรรมที่ลงทุน ซึ่งกองทุนมุ่งหวังการเติบโตในระยะยาวด้วยการใช้กลยุทธ์ที่น่าสนใจหลายอย่างด้วยกัน
จุดที่น่าจับตาอย่างแรกของกองทุนหลักคือการกระจายการลงทุนไปทั่วโลกเพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ อย่างที่จะเห็นได้ว่ากองทุนนี้มีการลงทุนในสหรัฐฯ เพียง 50% น้อยกว่าดัชนีชี้วัดที่ลงทุนกระจุกในสหรัฐฯ ถึง 65%
เท่ากับว่ากองทุนสามารถเข้าไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ ได้มากขึ้น เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ไต้หวัน รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ซึ่งกองทุนหลักเข้าไปลงทุนในสัดส่วนมากกว่าดัชนีชี้วัด
สัดส่วนการลงทุนของ Schroder ISF Global Sustainable Growth แยกตามประเทศที่ลงทุน ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก
Source: schroders.com as of 31 October 2025
กองทุนหลักมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 10 อันดับแรก เป็นสัดส่วน 40% ของพอร์ต โดยประกอบด้วยหุ้นจากหลากหลายธุรกิจทั่วโลก ดังนี้
สินทรัพย์ที่ Schroder ISF Global Sustainable Growth ลงทุนมากที่สุด
Source: schroders.com as of 31 October 2025
แน่นอนว่า ด้วยการที่กองทุนนี้เน้นความยั่งยืน จึงมีกรอบในการคัดหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลหรือบรรษัทภิบาล (ESG) มาประกอบการวิเคราะห์ในการลงทุน
เช่น กองทุนจะไม่ลงทุนในบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้บางส่วนจากธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน เช่น พลังงานฟอสซิล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ การค้าอาวุธ การพนัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กองทุนยังมีนโยบายอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
1. ลงทุนแบบกระจุกตัว (High Conviction) จะถือหุ้นไม่เกิน 30-50 ตัว เพื่อสร้างผลตอบแทนแบบเน้น ๆ ระยะยาว ในหุ้นที่คัดมาแล้วว่ามีคุณภาพ
2. วิเคราะห์หุ้นแบบ Bottom-Up ไม่คัดหุ้นโดยมองลงมาจากธีมใหญ่ ซึ่งจะจำกัดตัวเองไว้ในบางอุตสาหกรรม แต่กองทุนจะมองหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี จึงทำให้ลงทุนได้อย่างยืดหยุ่น
ถ้าดูสัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรมจะเห็นได้เลยว่า หน้าตาของกองทุนค่อนข้างต่างจากดัชนีชี้วัด เช่น เน้นการลงทุนในธุรกิจ IT, อุตสาหกรรม และการดูแลสุขภาพ ในสัดส่วนที่สูงกว่า
สัดส่วนการลงทุนของ Schroder ISF Global Sustainable Growth แยกตามอุตสาหกรรม ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก Source: schroders.com as of October 2025
3. SQ Framework ซึ่งเป็นกรอบคิดของ Schroders มาใช้ในการประเมินความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด (Stakeholders) รวมถึงใช้ประเมินคุณลักษณะด้านความยั่งยืนของธุรกิจ
4. การมีส่วนร่วม (Engagement) ทีมผู้จัดการการลงทุนจะเข้าไปมีส่วนร่วมในบริษัทที่กำลังลงทุนอยู่ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้มีความยั่งยืน รวมถึงช่วยพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดี
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
ที่มา
คำเตือน: กองทุนนี้มีความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนที่ต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
วันที่ 12 ธันวาคม 2025 ดัชนี VN-Index ปรับตัวลง -3.06% มาที่ระดับ 1,646.89 จุด จากแรงขายต่อเนื่องในตลาดที่กดดันดัชนีหลุดระดับ 1,700 จุดเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ แม้ก่อนหน้าเริ่มมีสัญญาณพยายามประคองตลาดในภาคเช้า แต่แรงขายเร่งตัวอย่างรุนแรงในช่วงบ่าย ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเข้าสู่ภาวะ Risk-off ชัดเจน
แรงกดดันหลักมาจากหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งถูกเทขายพร้อมกันทั้งกลุ่ม โดย Vinhomes (VHM) ปรับตัวลงแรงถึง -6.92% ขณะที่ Vincom Retail (VRE) และ Vingroup (VIC) ต่างอ่อนตัวตาม ด้านหุ้นบริโภคและเทคโนโลยีอย่าง MWG -4.62% และ FPT -2.40% ถูกแรงขายกดดันต่อเนื่อง สร้างแรงฉุดสำคัญต่อดัชนี ขณะที่ความพยายามรักษาระดับของหุ้นบางตัวไม่เพียงพอต่อการดูดซับแรงขายในภาพรวมของตลาด
กลุ่มธนาคารยังเป็นตัวถ่วงหลักของตลาด โดย MBB -3.42% ขณะที่หุ้นธนาคารขนาดกลางอย่าง VCB, CTG และ BID ต่างอ่อนตัวราว -1% ต่อเนื่อง ทั้งนี้ตลาดมองว่าการอ่อนตัวของกลุ่มธนาคารเกิดจากความกังวลด้านสภาพคล่องและแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในหลายธนาคาร นอกจากนี้ความกดดันจากภาคต่างประเทศและกระแสเงินทุนไหลออกทำให้ภาพรวมกลุ่มการเงินขาดปัจจัยหนุนในระยะสั้น
Finnomena Funds ประเมินว่า การปรับฐานแรงครั้งนี้เป็นผลจากแรงขาย Panic Sell ของนักลงทุนระยะสั้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานระยะกลางของเวียดนามยังแข็งแรง โดยเราคงมุมมอง Positive ต่อเวียดนาม จากปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ การอัปเกรดสู่ Emerging Market การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่เร่งตัว การขยายตัวของสินเชื่อ และต้นทุนเงินกู้ที่เริ่มผ่อนคลาย รวมถึง Valuation ที่ยังอยู่ในระดับถูก จึงยังเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว
ทั้งนี้กองทุนแนะนำคือ PRINCIPAL VNEQ-A ซึ่งเหมาะสำหรับทยอยสะสมในช่วงตลาดผันผวน พร้อมมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตระยะยาวของตลาดเวียดนาม
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
วันที่ 12 ธันวาคม 2025 ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้น +1.40% มาที่ระดับ 50,851.49 จุด และ Topix +2.02% นำตลาดเอเชียเช้านี้ หลังนักลงทุนตอบรับบรรยากาศเชิงบวกจากวอลล์สตรีท และความคาดหวังว่าการประชุม BoJ ในวันที่ 19 ธันวาคมจะส่งสัญญาณนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยดัชนี Topix ปรับขึ้น +2.09% แตะระดับ 3,427.29 จุด หลังทำสถิติระดับสูงสุดระหว่างวันใหม่ที่ 3,420.57 จุด นักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นวัฏจักร แม้ตลาดจะสะดุดชั่วคราวจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น แต่ผลกระทบต่อตลาดการเงินจำกัดมาก
ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นอุตสาหกรรมและวัตถุดิบ โดย Sumitomo Metal Mining บวก +6.7% ขณะที่ Toray Industries กระโดด +5.9% ส่วนกลุ่มชิปกลับถูกขายหลังผลประกอบการของ Oracle ผิดคาด ทำให้หุ้น Disco Corp ร่วง -2.9% และ Tokyo Electron ลง -2.3% แต่ทิศทางรวมยังเป็นบวกจาก Fund Flow ต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามา ขณะที่แรงซื้อกระจายในหุ้นกว่า 200 ตัวบนกระดาน
ทางฝั่งจีนและฮ่องกง ดัชนีปรับขึ้นตามความหวังนโยบายกระตุ้น โดย HSCEI เพิ่มขึ้น +1.62% แตะระดับ 9,079.46 จุด และ HSTECH ขยับขึ้น +2.01% แตะ 5,646.05 จุด หลังผู้นำจีนส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุกในปี 2026 เพื่อรักษาการเติบโต GDP ใกล้ 5% พร้อมคำมั่นในการประคองภาคอสังหาริมทรัพย์และสนับสนุนเสถียรภาพทางการเงิน นักวิเคราะห์มองว่าถ้อยแถลงล่าสุด “pro-growth มากขึ้น” เมื่อเทียบกับการประชุมโปลิตบูโรก่อนหน้า และช่วยลดแรงกังวลตลาด แม้หุ้นเทคโนโลยีบางส่วน เช่น Moore Threads ร่วงแรงกว่า 10% จากคำเตือนด้านความเสี่ยง แต่ดัชนี AI onshore ยังบวก 1.1% สะท้อนแรงซื้อเชิงโครงสร้าง
ตลาดเกาหลีใต้ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย KOSPI ปรับขึ้น +1.32% มาที่ 4,164.91 จุด และทำสถิติบวก 3 สัปดาห์ติดจากโมเมนตัมบวกในหุ้นชั้นนำ โดย Samsung Electronics บวก +1.07% และ SK Hynix เพิ่ม +0.71% ขณะที่กลุ่มรถยนต์ Hyundai และ Kia ปรับขึ้น 1.78% และ 1.63% ตามลำดับ Steelmaker POSCO ขยับ +3.73% รวมถึงหุ้น Biologics ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิราว 102.1 พันล้านวอน แต่เม็ดเงินภายในประเทศยังคงเป็นแรงพยุงหลัก ขณะที่ค่าเงินวอนอ่อนลงเล็กน้อยแตะ 1,473.5 ต่อดอลลาร์
Finnomena Funds ประเมินว่า ตลาดเอเชียเหนือได้แรงส่งจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความคาดหวังนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจาก Fed และ BoJ, มาตรการกระตุ้นจากจีนในด้านการคลัง–เครดิตที่ชัดเจนขึ้น และ ความแข็งแกร่งในกลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะ Semiconductor เกาหลีใต้และอุตสาหกรรมระดับสูงของญี่ปุ่น โดยมีมุมมอง Slightly Positive สำหรับหุ้นญี่ปุ่น, เกาหลี และจีน จากทั้ง EPS revision ที่ฟื้นตัว ความคืบหน้าในนโยบายภาครัฐ และ Fund Flow ที่มีโอกาสกลับเข้าตลาดในระยะถัดไป
แนะนำทยอยสะสมผ่านกองทุน ASP-NGF (Japan), MEGA10CHINA-A (China), SCBKEQTG (Korea) ซึ่งสอดคล้องกับธีมการลงทุนระยะกลางของภูมิภาคนี้
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ทองคำ Spot ปรับขึ้น 1.2% สู่ระดับ 4,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ ช่วงค่ำวันพฤหัสบดี ตามเวลาสหรัฐฯ ทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 21 ตุลาคม ส่วนสัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนกุมภาพันธ์ปิดบวก 2.1% ที่ 4,313 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การปรับขึ้นครั้งนี้เกิดขึ้นหลัง Fed มีมติลดดอกเบี้ย 0.25% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มแรงซื้อทองคำจากนักลงทุนต่างประเทศ
ขณะที่แร่เงิน (Silver) กลายเป็นจุดสนใจหลักของตลาด โดยราคาทะยานเกือบ 4% แตะ 64.22 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเคยทำจุดสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 64.31 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์ชี้ว่าการพุ่งแรงของแร่เงินกำลังดึงราคาทอง แพลตินัม และพัลลาเดียมให้ปรับขึ้นตาม สัญญาณนี้สะท้อนแรงโมเมนตัมที่แข็งแกร่งในตลาดโลหะมีค่า
ปัจจัยสนับสนุนฝั่งทองและแร่เงินยังรวมถึงภาวะเงินเฟ้อสหรัฐที่ยังไม่กลับสู่กรอบ 2% ของ Fed อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้การลดดอกเบี้ยในสภาพแวดล้อมเงินเฟ้อสูงยังเป็นบวกต่อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ไร้ผลตอบแทน ขณะที่ตลาดกำลังรอรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรวันที่ 16 ธันวาคมเพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินระยะต่อไป
ฝั่งแร่เงิน CNBC รายงานว่า ราคาโลหะเงินได้ปรับขึ้นกว่า 114% ตั้งแต่ต้นปี ทำสถิติใหม่หลายครั้งและวิ่งแซงทองอย่างชัดเจน สาเหตุหลักมาจากบทบาท “สองสถานะ” ของแร่เงิน ทั้งในฐานะสินทรัพย์อุตสาหกรรมและสินทรัพย์ปลอดภัย แร่เงินถูกใช้เป็นส่วนสำคัญของเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI จึงเพิ่มความต้องการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝั่งอุปทานยังตึงตัว
ผู้เชี่ยวชาญบางราย เช่น Solomon Global และ BNP Paribas Fortis ประเมินว่าราคาโลหะเงินอาจทะลุระดับ 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ภายในปีหน้า ขับเคลื่อนโดยการขาดแคลนอุปทานยาวนาน ความต้องการภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และสถานะของแร่เงินในฐานะตัวเลือกทางเลือกแทนทองคำซึ่งทำราคาใหม่ต่อเนื่องเช่นกัน
ราคาทองคำปีนี้แม้โดนแร่เงินแซง แต่ยังปรับขึ้นกว่า 60% และทำสถิติสูงสุดหลายครั้ง ส่งผลให้ค่า Gold/Silver Ratio ลดลงมาอยู่แถว 68 ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2021 ใกล้ค่าเฉลี่ยหลังปี 1971 ที่ระดับ 66 บ่งชี้ว่าส่วนต่างราคาทอง-เงินกำลังแคบลงอย่างต่อเนื่อง
Source: CNBC
รีวิวกองทุน RMF ในธีม China Play จากกลุ่ม MEGA10 Series ของ บลจ. ทาลิส สรุปมาให้ครบทั้ง MEGA10CHINARMF MEGA10AICHINARMF MEGA10CHINATECHRMF และ MEGA10CHINAPOPRMF ลดหย่อนภาษีปี้นี้ เลือกกองทุนไหนดี ?
การลงทุนในธีม China Play ที่คาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังการพบกันระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” และผู้นำจีน “สี จิ้นผิง” เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งประกาศความตกลงสงบศึกภาษีทางการค้า และกลายเป็น Catalyst หนุนหุ้นจีน
ประกอบกับเมื่อมองในกลยุทธ์ระยะยาว (Long-Term Growth) ตลาดจีนยังคงมีศักยภาพสูง เนื่องจากตลาดผู้บริโภคชนชั้นกลางที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันมีประมาณ 400-500 ล้านคนจากประชากร 1.4 พันล้านคน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนความต้องการบริโภคในประเทศ
อีกทั้งจีนยังมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากนโยบายรัฐบาล ได้แก่ การเร่งพัฒนา AI ผ่านการสนับสนุนงานวิจัย สร้างบุคลากร และผลักดันการใช้งานในภาคส่วนต่าง ๆ พร้อมกับนโยบาย Dual Circulation ที่มองการบริโภคภายในประเทศเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมองการไหลเวียนจากภายนอกประเทศเป็นส่วนเสริม (Source: World Economic Forum as of 1 Jul 2025)
นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นจีน และได้สิทธิลดหย่อนภาษี พร้อมคาดหวังการเติบโต ซึ่งทาง บลจ. ทาลิส คัดมาให้ถึง 4 ธีมการลงทุนในซีรีส์ MEGA10 Series RMF ตระกูลหุ้นจีน ดังนี้
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
*เป็นกองทุน feeder fund ซึ่งกองทุนหลักบริหารจัดการโดย บลจ. ทาลิส
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
นโยบายกองทุน: คัดเลือก 10 หุ้นที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX) ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นความเป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value) ในกลุ่ม TOP/BEST CHINESE BRANDS จากการจัดอันดับโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในเรื่องของการจัดอันดับดังกล่าว และไม่มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทโดยรัฐบาลรวมถึงที่ รัฐบาลมีอำนาจควบคุมกิจการ อย่างมีนัยสำคัญ (Non-State Owned)
กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Rules-based มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัดในระยะยาว ที่สำคัญกองทุนจะพิจารณาเฉพาะบริษัทที่ไม่ใช่ State-Owned และจะลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันไม่เกินกว่า 4 หลักทรัพย์
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
กองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด MEGA 10 ARTIFICIAL INTELLIGENCE CHINA ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10AICHINA-A) (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
กองทุนหลักลงทุนในตราสารทุน และ/หรือ หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX) ที่ดำเนินธุรกิจ และ/หรือ กิจกรรมที่มีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่า (value chain) กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)
ทั้งนี้ แนวทางการลงทุนของกองทุนหลัก จะเลือกลงทุนในตราสารทุนของ 10 บริษัทขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง และผ่านการคัดเลือกด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
กองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด MEGA 10 CHINA TECHNOLOGY ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10CHINATECH-A) (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ทั้งนี้ กองทุนหลักลงทุนในตราสารทุน และ/หรือ หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทเทคโนโลยี และ/หรือ ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจในธีมเทคโนโลยี (Technology Themes) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX)
โดยกองทุนหลักมีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นของธุรกิจในธีมเทคโนโลยี (Technology Themes) เช่น อินเทอร์เน็ต, ฟินเทค (FinTech), คลาวด์ (Cloud), อีคอมเมิร์ซ (E-commerce), หรือระบบอัตโนมัติ (Autonomous) คัดเลือกหลักทรัพย์ 10 บริษัทที่เป็นส่วนประกอบใน Hang Seng Tech Index (HSTECH) และผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณาปัจจัยเพิ่มเติม เช่น อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin), อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) หรือ ผลสำรวจความเห็นจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Analyst Consensus)
Source: TALISAM, Data as of 12 Nov 2025
กองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund) ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน MEGA 10 CHINA POPULAR CONSUMER BRAND ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10CHINAPOP-A) (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ทั้งนี้ กองทุนหลักลงทุนในตราสารทุน และ/หรือ หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทที่ดําเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้า และ/หรือ ให้บริการ อันเกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันที่เจ้าของตราสินค้า (Brand) และบริการเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเป็นอย่างดีทั้งในประเทศจีนรวมถึงในระดับสากล ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX)
ทั้งนี้ กองทุนหลัก MEGA10CHINAPOP-A จะเน้นลงทุนในบริษัทใน HKEX ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และส่วนใหญ่เป็นเจ้าของตราสินค้าและบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ทั้งในประเทศจีนรวมถึงในระดับสากล เช่น POPMART หรือ Mixue
กองทุนหลักลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
สรุปสำหรับกอง feeder fund ดูรายละเอียดกองทุนหลัก: www.talisam.co.th
สรุปแล้ว สำหรับผู้ที่กำลังมองหาการลงทุนและใช้สิทธิลดหย่อนภาษี พร้อมคาดหวังการเติบโต ผ่านหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange; HKEX)
ภาคเศรษฐกิจจีนกำลังขับเคลื่อนด้วยนโยบายด้านเทคโนโลยีของรัฐบาล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานยุคดิจิทัล และกำลังซื้อจากชนชั้นกลางที่มีขนาดใหญ่ ปัจจัยเหล่านี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงหลายมิติของการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ธุรกิจออนไลน์ และการบริโภคภายในประเทศผ่านกองทุนในตระกูล MEGA10 Series (China)
กองทุนจีนในตระกูล MEGA10 ของบลจ. ทาลิส ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยการคัดเลือกบริษัทแบบ Rule-based มีกรอบการคัดเลือกชัดเจน และคัดหุ้นเพียง 10 บริษัทตามธีมที่มีให้เลือกตามธีมเฉพาะทางที่ชื่นชอบ
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของสรรพากร ตลอดจนผู้ลงทุนจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับ หรือ อาจจะต้องชำระเงินเพิ่มและเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนนี้มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | การลงทุนในกองทุนรวมตราสารแห่งทุนอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน หรือหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
Finnomena ในฐานะ Wealthtech Platform แพลตฟอร์มบริหารเงินลงทุนแบบครบวงจรชั้นนำของไทย ได้เข้าร่วมโครงการ “PanyaThAI” (ปัญญาไท) กับ Google Cloud สำหรับการนำนวัตกรรม AI มาใช้ยกระดับศักยภาพองค์กรอย่างจริงจัง และสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจได้จริง
Finnomena ถือเป็น 1 ใน 15 องค์กรชั้นนำของไทยที่ได้รับคัดเลือกจาก Google ให้เข้าร่วมโครงการนำร่องนี้ โดยมีเป้าหมายมุ่งสร้าง AI Use Cases จริงในภาคธุรกิจไทย ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่การเงิน, ประกัน, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการศึกษา เพื่อเดินหน้าผลักดันประเทศไทยสู่ยุค AI Economy ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 730,000 ล้านบาท ภายในปี 2030
ทั้งนี้ Finnomena จะได้เข้าถึง Full-Stack AI ของ Google ตั้งแต่โมเดล Gemini, แพลตฟอร์ม Vertex AI ตลอดจนทีมผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรระดับโลก เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งใช้เทคโนโลยียกระดับประสบการณ์การลงทุนของคนไทย พร้อมยังเป็นก้าวสำคัญในการนำเดินหน้าสู่การเป็น Comprehensive Wealthtech Platform อย่างเต็มรูปแบบ
Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ 3.50–3.75% เป็นครั้งที่ 3 ของปี แต่เป็นการลดที่ “เสียงแตกหนักสุดในรอบ 6 ปี” เมื่อกรรมการ FOMC ถึง 3 คนไม่เห็นด้วย และให้ความเห็นต่างกันสุดขั้ว สะท้อนภาวะลังเลระหว่างเงินเฟ้อที่ยังสูง 2.8% กับสัญญาณอ่อนแรงของเศรษฐกิจ หลังข้อมูลหลายชุดสะดุดจากชัตดาวน์รัฐบาล 6 สัปดาห์ ขณะที่ Dot plot ใหม่ชี้ว่าปี 2026–2027 อาจลดดอกเบี้ยรวมเพียงสองครั้ง และเจ้าหน้าที่ถึง 7 คนไม่ต้องการลดเลย
แม้ลดดอกเบี้ย แต่ Fed ส่งสัญญาณว่ารอบลดอาจชะลอ พร้อมเดินเกม “ซื้อพันธบัตรคืน” 40,000 ล้านดอลลาร์เพื่อพยุงสภาพคล่อง หลัง QT ทำให้ระบบเงินตึงตัวขึ้น แม้ Fed ไม่ใช้คำว่า QE แต่ตลาดมองเป็นสัญญาณว่าธนาคารกลางจำเป็นต้องอาศัยมาตรการเสริมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวเตรียมดัน Kevin Hassett เป็นประธาน Fed คนใหม่ ยิ่งเพิ่มคำถามต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางในจังหวะวิกฤตศรัทธา
ด้านเสถียรภาพตลาดโลก ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) เตือน “ฟองสบู่คู่” ครั้งแรกในรอบ 50 ปี เมื่อหุ้น (โดยเฉพาะเทค + AI) และทองคำ พุ่งทำ New High พร้อมกัน ทองคำขึ้นกว่า 60% และเริ่มถูกซื้อในเชิงเก็งกำไรมากขึ้น ทั้งจาก ETF ที่เทรดเหนือ NAV และจากหลายประเทศที่เร่งสะสมทองเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์ ด้านหุ้นก็อยู่ในโหมด Risk-on จัดเต็ม แม้ ECB และ BOE เตือนว่ามูลค่าอาจวิ่งนำปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้าธุรกิจชิปและดาต้าเซนเตอร์ที่ยังต้องพิสูจน์ผลตอบแทนจริง
BIS ตั้งคำถามใหญ่ หากวันหนึ่งหุ้นและทองคำปรับฐานพร้อมกัน โลกจะเหลือที่หลบภัยใด เมื่อหลายประเทศถือทองในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และเงินทุนจำนวนมากไหลตามโมเมนตัมมากกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจจริง
ภาพรวมสะท้อนสัญญาณเดียวกันว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเปราะบางใหม่ แม้เศรษฐกิจดูแข็งแรงกว่าเดิม แต่เสถียรภาพตลาดการเงินกลับสั่นคลอน ดอกเบี้ยยังสูง เงินเฟ้อยังไม่ลง และสินทรัพย์เสี่ยง–ปลอดภัยกลับพุ่งพร้อมกันอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ประวัติศาสตร์เตือนเสมอว่า “ความผันผวนใหญ่กำลังรออยู่ข้างหน้า”
อ้างอิง: CNBC, กรุงเทพธุรกิจ
แนะนำกองทุนลดหย่อนภาษี LHCYBERRMF จาก บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งลงทุนใน Thematic แห่งอนาคตอย่าง Cybersecurity เน้นบริษัทดิจิทัลเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยเฉพาะ
กระแส Digital Transformation และการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ Smart Devices ที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงจากการโจมตีของอาชญากรไซเบอร์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้องค์กรทั่วโลกจำเป็นต้องเร่งหาโซลูชันด้านความปลอดภัยมาป้องกันอย่างเร่งด่วน
อุตสาหกรรม Cybersecurity จึงยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตตามไปด้วย โดยคาดว่าอุตสาหกรรมนี้ทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ย 14.3% ต่อปี ตลอดปี 2024-2032 และคาดว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 562.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2032
Source: LH Fund as of Nov 2025
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในกระแสเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นอีกธีมเมกะเทรนด์ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีที่จะต้องถือหน่วยลงทุนนาน ๆ
กองทุน RMF อย่าง LHCYBERRMF จึงถือเป็นอีกทางเลือกที่ บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คัดขึ้นมานำเสนอเพื่อสร้างความเติบโตของพอร์ตการลงทุนไปพร้อม ๆ กับการจัดการภาษีในปี 2025 นี้
Source: LH Fund as of Nov 2025
กองทุนเปิด แอล เอช โกลบอล ไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ LHCYBERRMF เป็นกองทุนหุ้นโลกในกลุ่ม Technology Equity มีกองทุนหลักคือ First Trust Nasdaq Cybersecurity UCITS ETF บริหารจัดการโดย First Trust Global Portfolios Management Limited ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่อง Thematic Investing พร้อมทั้งยังไดรับการจัดอันดับ Morningstar ระดับ 4 ดาว (สำหรับระยะเวลา 5 ปี)
กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัดคือ Nasdaq CTA Cybersecurity Index ซึ่งติดตามล้อไปกับผลการดำเนินงานของบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์
หุ้นที่กองทุนหลักให้ความสนใจมีอยู่ 3 กลุ่ม คือ
Source: LH Fund as of Nov 2025
กองทุนกระจายการลงทุนในบริษัทชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจหลักด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยตรง โดยคัดเลือกหุ้นตามเกณฑ์ที่เข้มงวดของดัชนีอ้างอิง และใช้กลยุทธ์การถ่วงน้ำหนักแบบ Modified Market-Cap Weighting เพื่อให้น้ำหนักกับบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันก็จำกัดน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
Source: LH Fund as of Nov 2025
หุ้นตัวเด่น ๆ ที่กองทุนหลักลงทุน เช่น
ความน่าสนใจ คือ การลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Pure-Plays) ในกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและมีศักยภาพเติบโตสูง ครอบคลุมทั้ง Value Chain ของอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงผู้นำแพลตฟอร์มและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั้งหมด
เกณฑ์ในการเลือกหุ้นเข้าสู่จักรวาลการลงทุนของกองทุนหลัก นั้นจะต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และถูกจัดว่าเป็นบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์โดย Consumer Technology Association (CTA)
นอกจากนี้ ต้องมี Market Capitalization ขั้นต่ำ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (ในช่วงสามเดือน) ขั้นต่ำ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสัดส่วน Free Float ขั้นต่ำ 20%
กองทุนใช้การถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์แต่ละตัวแบบ Modified Market-Cap Weighting โดยอิงตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดแบบ Free Float
โดยจะจำกัดน้ำหนักสูงสุดของหุ้นแต่ละตัวเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว แต่ก็ต้องลงทุนในหลักทรัพย์แต่ละตัวไม่น้อยกว่า 0.25% เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยในหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนคัดมา
รายละเอียดสำคัญอื่น ๆ
สรุปแล้ว LHCYBERRMF เป็นกองทุน Cybersecurity ที่ครอบคลุมไปทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพียงแค่บริษัทเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจการเงิน โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา และองค์กรภาครัฐ ซึ่งต่างต้องพึ่งพาโซลูชันความปลอดภัยดิจิทัล และสอดคล้องไปกับเทรนด์แห่งอนาคต ทำให้ตลาดนี้ยังมี Upside สูงต่อเนื่อง เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนในระยะยาวผ่านกองทุน RMF
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
ที่มา:
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต| ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศและความมั่นคง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังจับตาญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2007 ขณะที่พันธบัตรอายุ 30 ปี ก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.43%
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากความย้อนแย้งทางนโยบายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่กำลังก่อตัวเป็นปัญหาหลักของระบบการเงินประเทศ
Source: CNBC, Datawrapper as of 20 Nov 2025
แรงกดดันเริ่มจากเงินเฟ้อที่ยืนสูงราว 3% ติดต่อกัน ส่งผลให้ตลาดเริ่มคาดว่าแบงก์ชาติญี่ปุ่น (BOJ) อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยจากระดับนโยบายปัจจุบันที่เพียง 0.5%
ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นกลับเดินหน้าเหยียบคันเร่งผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินมหาศาล 135,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องใช้การออกพันธบัตรเพิ่มในตลาด
การเหยียบเบรกทางการเงิน และเหยียบคันเร่งทางการคลังพร้อมกัน จึงสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และนำไปสู่การเทขายพันธบัตร ทำให้ Yield พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด
Source: Finnomena Funds, TradingView as of 9 Dec 2025
ความย้อนแย้งนี้ยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับ GDP ระบบการคลังจึงแทบไม่มีช่องให้พลาด
เดิมทีญี่ปุ่นอยู่รอดได้เพราะดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ แต่วันนี้ทั้งดอกเบี้ยและ Bond Yield กลับเป็นขาขึ้นพร้อมกัน ทำให้ต้นทุนหนี้ของรัฐบาลพุ่งขึ้นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเริ่มเข้าใกล้ภาวะ “Debt Spiral” ที่ยิ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเฟ้อยิ่งขึ้น BOJ ยิ่งต้องขึ้นดอกเบี้ย ภาระดอกเบี้ยยิ่งบาน และรัฐบาลจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อนำไปจ่ายดอกเบี้ย วนเป็นวงจรที่เสี่ยงคุมไม่อยู่
สิ่งที่ทำให้ทั่วโลกต้องจับตาคือ เมื่อตลาดบอนด์ญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนสูงขึ้น นักลงทุนญี่ปุ่นซึ่งถือสินทรัพย์ต่างประเทศมหาศาล เริ่มขายพันธบัตรต่างประเทศและย้ายเงินกลับบ้าน เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่ 2% กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มความเสี่ยงกว่าเดิม
Source: Finnomena Funds, TradingView as of 8 Dec 2025
ปรากฏการณ์นี้คือ “ฟันด์โฟลว์ไหลย้อนกลับ” ซึ่งเริ่มเห็นชัดแล้วในหลายตลาด โดย Bond Yield สหรัฐฯ และเยอรมนีต่างปรับขึ้น ทั้งที่ปกติควรลดลงตามภาวะดอกเบี้ยขาลงของ Fed และ ECB เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในช่วงปลายยุค 90 แต่ไม่เคยชัดเจนเท่านี้มาหลายสิบปี
ทั้งหมดนี้สะท้อนสัญญาณว่า “บางอย่างกำลังผิดปกติ” ในระบบการเงินของญี่ปุ่น และแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นอาจไม่หยุดอยู่แค่ในประเทศ เพราะถ้า Yield ญี่ปุ่นยังไต่ขึ้นไม่หยุด ค่าเงินเยนอาจผันผวนหนัก และฟันด์โฟลว์ทั่วโลกอาจปรับฐานแบบไม่ทันตั้งตัว
ถ้าความปั่นป่วนในตลาดทุนโลกปะทุขึ้นจริง ทองคำมักเป็นสินทรัพย์แรก ๆ ที่นักลงทุนวิ่งเข้าหา เพราะถือเป็นที่หลบภัยจากความเสี่ยงในตลาด จึงมีโอกาสสูงที่ราคาทองคำจะได้รับแรงหนุนเพิ่มขึ้นตามบรรยากาศความกังวลที่ก่อตัว
Source: Bloomberg as of 28 Oct 2025
ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองทองยังซื้อขายที่ระดับ Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังกว่า 20 ปี (ประมาณ 11 เท่า) และยัง Laggard อีกมากเมื่อเทียบกับราคาทองคำ
A-RING เป็นกองทุนหุ้นเหมืองทองคำที่มีคอนเซ็ปต์การลงทุนแบบ Passive Global Thematic ขุดความมั่งคั่งไปกับธีมเหมืองทอง Pure-play Gold Miners กองทุนแรกในไทย
โดยมีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ซึ่งเป็น Passive ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี MSCI ACWI Select Gold Miners Investable Market Index
ทั้งนี้ จากสถิติย้อนหลังในอดีต พบว่าราคาหุ้นเหมืองทองมักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2 เท่าของราคาทองคำแท่ง
Source: Asset Plus Fund Management, Bloomberg as of 30 Sep 2025
อ้างอิง: เอกสารแนะนำกองทุน Asset Plus Fund Management, Morning Brief
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
อินเดียเคยถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งของเอเชีย เศรษฐกิจโตแรง ประชากรหนุ่มสาว และศักยภาพระยะยาวสูง แต่ในปีนี้กลับเป็นหนึ่งในตลาดที่แย่ที่สุด หุ้นขึ้นน้อย เงินรูปีอ่อนค่าสุดในเอเชีย และตามหลังตลาดเกิดใหม่ในระดับที่ไม่เคยเห็นมานานกว่า 30 ปี
แต่ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Morgan Stanley, Citigroup และ Goldman Sachs ต่างคาดว่าอินเดียมีโอกาสรีบาวด์แรงในปี 2026
หุ้นอินเดียตามหลังตลาดเกิดใหม่มากที่สุดในรอบหลายสิบปี | Source: Bloomberg
สาเหตุที่ผลงานอินเดียย่ำแย่มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กระทบผู้ส่งออกจนการส่งออกร่วงเกือบ 12% ต่อปี เงินรูปีอ่อนค่าลงกว่า 4.3% ทำสถิติต่ำสุดใหม่ และการไหลออกของเงินทุนต่างชาติราว 16,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งถูกหมุนไปลงทุนในจีน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดอินเดีย–จีนติดลบสูงถึง -0.7
ผลลัพธ์คือ MSCI India ขึ้นเพียง 8.2% ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ปรับตัวแรงกว่า ส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างอินเดียและ EM ติดลบ -18.78% หนึ่งในระดับที่แย่ที่สุดตั้งแต่ปี 2000
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, data as of 04/09/2025
แม้ภาพระยะสั้นจะดูไม่ดี แต่หลายสัญญาณเริ่มเปลี่ยนทิศ กำไรบริษัทใหญ่เริ่มฟื้นขึ้น 12% ในไตรมาสล่าสุด และไม่มีการปรับลดประมาณการเหมือนก่อน รัฐบาลและ RBI ออกมาตรการหนุนเศรษฐกิจ ทั้งการลดดอกเบี้ย 100 bps การเข้าซื้อพันธบัตรครั้งใหญ่ และการปฏิรูปภาษี GST เหลือเพียงสองอัตรา ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่ม Nominal GDP ได้ราว 0.6% ในปีหน้า
Source: Reuters as of 28/11/2025
เศรษฐกิจจริงก็แข็งแกร่งกว่าที่มองจากภายนอก GDP ไตรมาสล่าสุดโตถึง 8.2% แม้จะโดนกดดันจากภาษีนำเข้า แต่สัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ต่อ GDP ไม่สูงนัก และอินเดียยังมีตลาดในประเทศมหาศาลกว่า 1,400 ล้านคนเป็นกันชนสำคัญ
ขณะเดียวกัน เงินทุนต่างชาติเริ่มไหลกลับมาราว 1,700 ล้านดอลลาร์ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา สะท้อนว่ามุมมองต่ออินเดียเริ่มเปลี่ยน
อีกแรงหนุนมาจากโอกาส Rotation จากหุ้น AI ที่ร้อนแรงทั้งปี หากกำไรเริ่มไม่สอดคล้องกับราคา นักลงทุนอาจย้ายเงินไปตลาดที่พึ่งพาเทคโนโลยีน้อยกว่าอย่างอินเดีย นักกลยุทธ์หลายรายมองว่าหากกระแส AI เย็นลง ตลาดอินเดียและเอเชียใต้จะยิ่งน่าสนใจขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์กับจีนเป็นลบ และความร้อนแรงของจีนเริ่มชะลอ
สุดท้ายคือเรื่องค่าเงิน รูปีที่อ่อนถึงจุดต่ำสุดอาจใกล้หยุดลง ING มองว่ารูปีเป็นหนึ่งในสกุลเงินเอเชียที่มีแนวโน้มรีบาวด์มากที่สุด ขณะที่ RBI ส่งสัญญาณว่าการอ่อนค่าเฉลี่ย 3–3.5% ต่อปีอาจเป็นกรอบที่เหมาะสม นักลงทุนจึงเริ่มประเมินว่าความเสี่ยงค่าเงินอาจลดลง และตราสารหนี้ท้องถิ่นมีโอกาสได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยโลกที่เสถียรขึ้น
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าผลงานอินเดียที่ตามหลังตลาดเกิดใหม่ในรอบหลายสิบปีอาจกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยน และทำให้อินเดียกลับมาอยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกในปี 2026 ได้อีกครั้ง
Mr.Messenger Call แนะนำสะสมหุ้นอินเดีย ผ่านกองทุน B-BHARATA และ TISCOINA-A ด้วยสัญญาณทางเทคนิคเชิงบวก รวมทั้งความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่ช่วยผลักดันตลาดหุ้นอินเดียในระยะยาว
กองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่ลงทุนผ่านกองทุน RAMS Investment Unit Trust – India Equities Portfolio Fund II ซึ่งเน้นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย
ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่าน 3 กองทุนหลักที่คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up คือ
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
แนวคิดใหม่ปรับปรุงเกณฑ์ลดหย่อนภาษี กำหนดวงเงินลดหย่อนภาษีจากการลงทุนสูงสุด 800,000 บาท รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท หักลดหย่อน 0.7 เท่า รายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท หักลดหย่อน 1.3 เท่า พร้อมเพิ่มบัญชี TISA ซื้อหุ้นไทยได้ลดหย่อนภาษี คาดบังคับใช้ 1 มกราคม 2569
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2025 กระทรวงการคลัง ได้จะเสนอนโยบาย Quick Win ส่งเสริมการออมเงินของคนไทยในระยะยาว โดยมีมาตรการที่สำคัญ คือ ปรับเกณฑ์มาตรการลดหย่อนภาษี และเริ่มใช้บัญชีเพื่อการลงทุน หรือ Thailand individual Saving Account (TISA) ซึ่งได้รับการเห็นชอบ ครม.เศรษฐกิจแล้ว และเตรียมนำเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
(ยังไม่ได้ประกาศเป็นกฎหมาย และยังไม่มีผลบังคับใช้จริง)
1. เพิ่มรูปแบบการลงทุนผ่านบัญชี TISA หรือ Thailand individual Saving Account สำหรับการลงทุนในหุ้นไทย เพื่อได้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
2. กำหนดเพดานวงเงินลดหย่อนภาษีรวมกันไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี ครอบคลุมกองทุนรวม RMF, Thai ESG, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันบำนาญ และบัญชีเพื่อการลงทุนหุ้นไทย โดยแบ่งการคำนวณค่าลดหย่อนตามรายได้ คือ
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เหตุผลว่า ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีประมาณ 300,000 คน ที่นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษี ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ดังนั้น การปรับปรุงโครงสร้างค่าลดหย่อนภาษีครั้งนี้ มีเป้าหมายสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่พึ่งเริ่มทำงาน มนุษย์เงินเดือน หรือผู้ที่มีรายได้ปานกลางให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ เปรียบเสมือนการนำเงินของผู้ที่มีรายได้ต่ำมาช่วยผู้ที่มีรายได้ปานกลางในระยะยาว และยังช่วยสนับสนุนการลงทุนในตลาดทุนด้วย คาดว่าจะทำให้กรมสรรพากรมีรายได้เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการออมภาคประชาชนในระยะยาว ได้แก่ 1.) จำหน่ายพันธบัตร ‘ออม พลัส’ ให้กับประชาชนทุกเดือน ซึ่งจะทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคง โดยมีราคาขั้นต่ำที่ 1,000 บาท ตามราคาตลาด 2.) ยกเว้นอากรให้กับผู้ซื้อประกันวินาศภัย ไม่ว่าจะเป็นประกันน้ำท่วม หรือประกันท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้ซื้อประกันภัยรายย่อย (Micro Insurance) กล้าซื้อประกันมากขึ้น
ว่ากันว่าทุกช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าลดลง เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Santa Claus Rally”
คำถามคือแล้ว Santa Claus Rally คืออะไร ทำไมถึงเกิดขึ้น และนักลงทุนควรเตรียมความพร้อมอย่างไรดี เราสรุปให้แบบเข้าใจง่าย
Santa Claus Rally เป็นปรากฏการณ์ในโลกการลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นมักจะปรับขึ้นได้ดีในช่วงสัปดาห์ท้ายของปี ซึ่งจะตรงกับช่วงหลังเทศกาลวันคริสต์มาสไปจนถึงวันปีใหม่พอดี
โดยมีการเก็บสถิติผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 สัปดาห์สุดท้ายของทุกปี ย้อนหลัง 10 ปี (2014-2024) พบว่าหุ้นขึ้นถึง 8 ครั้ง จากทั้งหมด 10 ครั้ง

กราฟแสดงผลตอบแทนของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ในช่วงก่อนและหลังวันคริสมาสต์ (25 ธ.ค.)
จะเห็นว่าช่วงเวลานี้ถือเป็นอีกหนึ่ง Timing ที่ดีในการเข้าทะยอยลงทุน เพื่อรับโอกาสที่ตลาดจะทะยานขึ้น โดยกราฟแสดงผลตอบแทนย้อนหลังระหว่างปี 2014-2024 ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ในช่วง 15-20 วันก่อนถึงวันคริสมาสต์ (25 ธ.ค.) พบว่าตลาดมักจะอ่อนตัวลง แล้วจึงค่อย ๆ ไต่ขึ้นจนกลับเป็นบวกจากแรงซื้อตอนปลายปี
และหลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักมีแนวโน้มเป็นบวกต่อเนื่อง จนไปพุ่งขึ้นสูงสุดประมาณวันที่ 35 ถึง 40 วันทำการหลังคริสต์มาส แปลว่าหากปี 2025 นี้ การเคลื่อนไหวของ S&P500 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต เราก็ไม่ควรพลาดจังหวะการลงทุน
แม้หลายคนอาจจะมองว่า Santa Claus Rally ดูจะเป็นเหมือนอุปาทานหมู่ซะมากกว่า แต่เอาจริง ๆ แล้ว ปรากฎการณ์นี้ก็ถือว่ามีที่มาที่ไปและเหตุผลของมันอยู่เหมือนกัน ดังนี้
หากใครอยากเข้าไปเก็งกำไรจากปรากฏการณ์ Santa Claus Rally แน่นอนว่าปลายปีนี้ Finnomena Funds ก็ได้คัดกองทุนแนะนำมาฝาก ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โมเมนตัมสดใส พร้อมรอรับ Santa Claus Rally
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
อัปเดตคำแนะนำการลงทุนล่าสุดของ Finnomena Funds จับตา Fed ลดดอกเบี้ย กองทุนอะไรได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ! ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการ รับ Cashback รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท
Source: Finnomena Funds, Macrobond, Fed, BLS as of 7/12/2025
ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้อยู่ที่การประชุม FOMC ในระหว่างวันที่ 11-12 ธันวาคม 2025 ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ และตลาดประเมินว่ามีความเป็นไปได้เกินกว่า 80% ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps เป็น 3.50-3.75%
เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อทั้ง CPI แลละ Core CPI ผ่อนคลายลงมาอยู่ใกล้ระดับ 2.7-2.8% YoY พร้อมทั้งยังเป็นการช่วยพยุงตลาดแรงงานที่อ่อนแรง แม้จะยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% แต่ก็ถือว่าเริ่มทรงตัวได้แล้ว ประกอบกับตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ จากมาตรการกำจัดผู้อพยพ และบริษัทชะลอจ้างงาน ทำให้มีโอกาสขึ้นที่จะเห็น Fed ใช้นโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายมากขึ้น
อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2025 โดย Finnomena Funds
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
1. หุ้นเหมืองทอง (Gold Miners) ที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ขาขึ้นของราคาทอง ซึ่งเมื่อสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ย จะกดให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า หนุนให้ทองคำได้รับความนิยมมากขึ้น
แนะนำกองทุน A-RING (ระดับความเสี่ยง 7) ลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำ Pure-play Gold Miners ผ่านกองทุนหลัก iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ซึ่งสถิติย้อนหลังในอดีต พบว่าราคาหุ้นเหมืองทองมักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2 เท่าของราคาทองคำแท่ง
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/A-RING
2. บิทคอยน์และบล็อกเชน (Bitcoin & Blockchain) สินทรัพย์เสี่ยงที่อ่อนไหวต่อการปรับอัตราดอกเบี้ย และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาลง
แนะนำกองทุน ASP-DIGIBLOC (ระดับความเสี่ยง 6) ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล โดยราคาเริ่มรีบาวด์กลับมาได้ พร้อมเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/ASP-DIGIBLOC
3. ตราสารหนี้โลก (Global Bond) เพราะเมื่อดอกเบี้ยลด Bond Yield จะลง ราคาพันธบัตรจะขึ้นดีต่อกองทุนที่ถือตราสารหนี้อายุยาว (Long Duration)
แนะนำกองทุน KT-BOND (ระดับความเสี่ยง 4) ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Global Bond Fund โดยปัจจุบันมี Duration อายุยาวประมาณ 7 ปี
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/KT-BOND
4. โครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก (Global Infrastructure) เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับอานิสงส์จากรอบดอกเบี้ยขาลง เพราะต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ต่ำลง
แนะนำกองทุน KKP GINFRAEQ-H (ระดับความเสี่ยง 6) ลงทุนในโครงสร้างพื้นทั่วโลก ผ่านกองทุนหลัก Lazard Global Listed Infrastructure Fund ซึ่ง Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง สะท้อนโอกาสการปรับตัวขึ้นได้ ในระยะต่อไป
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/KKP GINFRAEQ-H
5. หุ้นเทคโนโลยีเติบโตสูง (Tech AI Stock) โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งอนาคต เนื่องจากมูลค่าบริษัทในอนาคตถูก Discount Rate ด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำลง
แนะนำกองทุน ES-GTECH (ระดับความเสี่ยง 7) ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีผ่านกองทุนหลัก Polar Capital Funds Plc Global Technology Fund โดยจะคัดเลือกหุ้นที่มีความเป็นผู้นำ ได้รับประโยชน์จาก AI และธุรกิจกำลังสร้าง New S-curve
รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/ES-GTECH
พิเศษโปรโมชั่น ! แจกหนัก จัดเต็ม แจก E-Coupon เพื่อรับ Cashback เป็นหน่วยลงทุน K-CASH* (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการบนแอป Finnomena ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2025
กดรับคูปองก่อนซื้อกองทุน www.finnomena.com/promotions
เช็กกองทุนที่เข้าร่วม www.finnomena.com/promotions/e-coupon/fund-list
ข้อกำหนดและเงื่อนไข:
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort
แนะนำกองทุนลดหย่อนภาษี KF-US-PLUSRMF จาก บลจ.กรุงศรี ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกับเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนี S&P500 บนความผันผวนที่ใกล้เคียงกัน ตอบโจทย์เป้าหมายเติบโตระยะยาวไปกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ในระยะนี้มีปัจจัยการลงทุนที่ต้องพิจารณาด้วยอย่างน้อย 3 เรื่อง ประการแรกคือหุ้นโลกยังคงปรับขึ้นต่อเนื่องจากความคาดหวังที่ว่าเทรนด์เรื่องดอกเบี้ยจะเป็นขาลง สองคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังแกร่ง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้แรงหนุนจากการเติบโตของ AI สามคือประเด็นภาษีการค้าซึ่งคลี่คลายลงแล้ว หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเจรจาหาทางออกที่ลงตัวกับหลายประเทศ
แปลว่าแนวโน้มการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดที่มองข้ามไม่ได้ และบทความนี้เราอยากจะพามารู้จักกับกองทุน KF-US-PLUSRMF กองทุนหุ้นสหรัฐฯ F-Pick ประจำปี 2025 ของ Finnomena Funds และยังเป็นทางเลือกน่าสนใจสำหรับคนที่มองหาการลดหย่อนภาษีช่วงปลายปีนี้
KF-US-PLUSRMF หรือ กองทุนเปิดกรุงศรียูเอสซีเล็คอิควิตี้พลัสเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นกองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ ประเภท Feeder Fund ในกลุ่ม US Equity ที่มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ JPMorgan Funds – US Select Equity Plus Fund ซึ่งมีการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management)
กองทุนหลักมีกลยุทธ์เด่น ๆ คือการคัดเลือกหุ้นรายตัวแบบ Bottom-Up โดยผสานกับกลยุทธ์ Long-Short เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ภายใต้ความผันผวนเท่าเดิม
กองทุนหลักมีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ หลากหลายอุตสาหกรรม ไม่กระจุกตัว โดยในปัจจุบันมีการลงทุนมากสุดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และฮาร์ดแวร์ (23.7%) รองลงมาคือสื่อ (15.3%) และอุตสาหกรรมวัฏจักร (10.4%)
อุตสาหกรรมที่ JPMorgan Funds – US Select Equity Plus Fund ลงทุนมากที่สุด
Source: jpmorgan.com as of 31 October 2025
หุ้น 10 อันดับแรกที่ลงทุนคิดเป็นสัดส่วน 46.6% ของพอร์ต ประกอบด้วยกลุ่มบริษัท ดังนี้สินทรัพย์ที่ JPMorgan Funds – US Select Equity Plus Fund ลงทุนมากที่สุด

ท่ามกลางกองทุนสหรัฐฯ จำนวนมากในตลาด สิ่งที่ทำให้ KF-US-PLUSRMF แตกต่างออกไป นั่นคือการใช้กลยุทธ์ Active Long-Short เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ให้กับ Extension Portfolio
พอร์ตการลงทุนของกองทุนหลักประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ
กลยุทธ์นี้ทำให้พอร์ตการลงทุนรวมมี Net market exposure อยู่ที่ 100% (เสมือนลงทุน Long ธรรมดา) แต่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม เนื่องจากสามารถทำกำไรได้ทั้งจากหุ้นที่ปรับตัวขึ้น (Long) และหุ้นที่ปรับตัวลง (Short)
กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนหลัก
ทั้งนี้ กองทุนมีการระบุสัดส่วนการลงทุนของแต่ละพอร์ตเอาไว้ชัดเจน คือ
อีกหนึ่งไม้เด็ดคือการคัดหุ้นรายตัวแบบ Bottom-Up ด้วยฝีมือของทีมงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะในแต่ละอุตสาหกรรม โดยอาศัยการวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัทต่าง ๆ รวมถึงการประเมินรายได้และกระแสเงินสดในอนาคต (Source: Factsheet JPMorgan Funds – US Select Equity Plus Fund)
การเลือกหุ้นแบบนี้ทำให้กองทุนมีคาแรคเตอร์ที่ต่างออกไปจากดัชนีชี้วัดอย่าง S&P 500 เช่น การให้น้ำหนัก Overweights หุ้น Howmet Aerospace ผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะและอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ และหุ้น Mastercard
รวมถึงการ Underweights หุ้น Berkshire Hathaway, Tesla, JPMorgan Chase & Co และ Visa เป็นต้น
KF-US-PLUSRMF เป็นกองทุน RMF สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ระยะยาว ที่มีจุดเด่นดังนี้
รับเพิ่มหน่วยลงทุน KFCASH-A มูลค่า 100 บาท ต่อยอดเงินลงทุนสะสมทุกๆ 50,000 บาท เมื่อลงทุนตามเงื่อนไขในกองทุน RMF และ Thai ESG ของ บลจ.กรุงศรี ที่ร่วมรายการ ดูข้อมูลกองทุน/โปรโมชัน คลิก https://bit.ly/483D5NC
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
ที่มา
– หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ กองทุนเปิดกรุงศรียูเอสซีเล็คอิควิตี้พลัสเพื่อการเลี้ยงชีพ as of Oct 2025
– JPMorgan Funds – US Select Equity Plus Fund Factsheet as of Oct 2025
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
แนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A ค้นหาหุ้นเทคโนโลยีจีนชั้นนำเพียง 10-11 บริษัท แล้วจัดสัดส่วนการลงทุนแบบ Equal Weighting พร้อมทบทวนพอร์ตทุกไตรมาส เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสเติบโตไปกับเทคโนโลยีจีนที่กำลังเขย่าโลก
ภาพรวมด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังดูมีทิศทางที่ดีขึ้น จากการเจรจาล่าสุดที่เกิดขึ้น ณ ประเทศเกาหลีใต้ สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าสำคัญในหลายด้าน เช่น จีนจะกลับมาซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ, สหรัฐฯ จะลดภาษี Fentanyl, จีนจะยกเลิกการควบคุมการส่งแร่ธาตุห Rare Earths และหลังจากการเจรจา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าผลลัพธ์การเจรจาออกมาดีกว่าคาด และกล่าวว่าอาจมีการเจรจาเพิ่มเติมอีกในอนาคต
ตลาดเทคโนโลยีขนาดใหญ่เริ่มมีสัญญาณบวกชัดเจน โดยเฉพาะหุ้นที่เคยถูกกดราคาเกินพื้นฐาน (Valuation) จนแตะจุดต่ำสุด แต่ยังมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแรง การฟื้นตัวครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียง “รีบาวด์ตามข่าวดี” แต่สะท้อนโมเมนตัมที่เปลี่ยนฝั่งอย่างแท้จริง
สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือ “บริบทมหภาค” ที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จีนไม่เพียงแต่ได้รับอานิสงส์จากบรรยากาศการค้าที่ยืดหยุ่นขึ้น แต่ยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งฝั่งผู้บริโภคและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ใน Hang Seng Tech Index ซึ่งครอบคลุมบริษัทตั้งแต่ชิป รถยนต์ไฟฟ้า เกม ค้าปลีกออนไลน์ ไปจนถึงแพลตฟอร์มท่องเที่ยว ต่างเริ่มกลับมามีโมเมนตัมอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค เช่น E-Commerce และบริการออนไลน์ รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลดีตรงจากการปลดล็อก Rare Earth เช่น Semiconductor และอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพรวมของ “หุ้นเทคโนโลยีจีน” ดูแข็งแรงขึ้นกว่าที่ตลาดเคยประเมิน
KFCHINA-T10PLUS-A หรือ กองทุนเปิดกรุงศรี China Tech 10 Plus หน่วยลงทุนชนิดสะสมมูลค่า เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) โดยเน้นเฉพาะธุรกิจมีความเกี่ยวข้องกับธีมเทคโนโลยี
กองทุนใช้วิธีคัดหุ้นแบบเน้นคุณภาพ เลือกหุ้นเทคโนโลยีจีนตั้งแต่ 10 ถึง 11 บริษัทในดัชนี Hang Seng Tech Index โดยให้ความสำคัญกับบริษัทที่มี Market Cap สูง สภาพคล่องดี และมีศักยภาพเติบโต ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น Consumer Tech, EV, ผู้พัฒนาเกม และหุ้นผู้ผลิตชิป
Source: เอกสารแนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A บลจ.กรุงศรี
กองทุนใช้วิธีการลงทุนแบบ Rules-based Approach คือคัดเลือกและจัดพอร์ตตามเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีวินัย เพื่อมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่เติบโตเหนือดัชนีอ้างอิงในระยะยาว (Active Management) โดยยึดแนวทางสำคัญดังนี้
คัดเลือกหุ้น ประมาณ 10-11 อันดับแรกจากดัชนี โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านมูลค่าตลาดเป็นหลัก ยกเว้นกรณีหุ้นไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาต่าง ๆ ช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีหลักการ ไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกหรืออารมณ์ของผู้จัดการกองทุน
ใช้หลักการ Cash Flow Rebalance เพื่อรักษาน้ำหนักในแต่ละหลักทรัพย์ให้ใกล้เคียงพอร์ตการลงทุนเป้าหมาย เพื่อเข้าถึงศักยภาพของแต่ละหลักทรัพย์อย่างเท่าเทียม เสริมโอกาสการลงทุนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์
ปรับพอร์ตการลงทุนเป็นรายไตรมาส ซึ่งเป็นความถี่เดียวกับการทบทวนหลักทรัพย์ของดัชนีอ้างอิง ช่วยให้มั่นใจว่ากองทุนยังคงมีสัดส่วนในหุ้นชั้นนำ สอดคล้องตามเป้าหมายการลงทุนอยู่เสมอ
Source: เอกสารแนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A บลจ.กรุงศรี
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ KFCHINA-T10PLUS-A แตกต่างจากกองทุนธีมเทคโนโลยีจีนทั่วไป คือการออกแบบพอร์ตที่มี “ความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ และโอกาสเติบโต” มากกว่าเดิม ผ่าน 3 กลยุทธ์หลักที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการสร้างผลตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรม
กองทุนขยายจำนวนหุ้นที่ถือเป็น 10–11 บริษัท ทำให้ไม่ต้องอัดน้ำหนักไว้แค่ไม่กี่ตัว และเปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีจีนที่เปลี่ยนเร็ว การมีพอร์ตที่ยืดหยุ่นจึงช่วยรับมือกับความผันผวน และเพิ่มโอกาสเลือกหุ้นที่ใช่ในจังหวะที่เหมาะสม
อีกจุดที่น่าสนใจคือการลงทุนใน Hang Seng Tech ETF บางส่วน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแทนเงินสด ทำให้กองทุนสามารถรักษาความสอดคล้องกับจังหวะตลาดได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสเข้าร่วมโมเมนตัมของตลาดเทคจีนในช่วงที่มีแรงหนุน
กองทุนลดสัดส่วนเงินสดลง เพื่อให้เงินลงทุนทำงานเต็มประสิทธิภาพ ช่วยขยายโอกาสรับผลตอบแทน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกลับมาไหลเข้าในหุ้นเติบโตและหุ้นเทค ซึ่งมักดีดตัวแรงเมื่อความเชื่อมั่นเริ่มฟื้นตัว
Source: เอกสารแนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A บลจ.กรุงศรี | Hang Seng Indexes ณ สิ้นเดือน เมษายน 2025
หากใครกำลังมองหาโอกาสลงทุนในหุ้นจีนศักยภาพสูง กองทุน KFCHINA-T10PLUS-A ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเน้นลงทุนในหุ้นเทคไม่ต่ำกว่า 10 และไม่ถึง 15 บริษัทที่อยู่ภายใต้ Hang Seng Tech Index ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนไว้
หากคุณกำลังมองหาโอกาสลงทุนในหุ้นจีนที่มีศักยภาพ การเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่เน้นหุ้นในดัชนี Hang Seng Tech Index ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ ดัชนีนี้รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกงไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นคุณภาพที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนได้ในครั้งเดียว โดยกองทุนจะกระจายการลงทุนไปยังหุ้นเด่นหลายกลุ่ม ทั้งอีคอมเมิร์ซ คลาวด์ เกมออนไลน์ รถยนต์ไฟฟ้า และบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยของจีน ช่วยให้พอร์ตเข้าถึงโอกาสเติบโตของตลาดจีนที่ยังมีศักยภาพอีกมากในระยะยาว
Hang Seng Tech Index เป็นดัชนีที่ออกแบบมาเพื่อเป็นตัวชี้วัดสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีน โดยคัดสรรหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่สุด 30 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ซึ่งรวมถึงยักษ์ใหญ่ที่หลายอาจรู้จัก เช่น Alibaba, Tencent, Meituan, JD.com และ Xiaomi ที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของจีน
ดัชนีนี้แม้จะโฟกัสที่หุ้นเทคโนโลยี แต่ก็กระจายการลงทุนไปในหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น
อีกหนึ่งศักยภาพคือขนาดของตลาด จีนมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 1,000 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนมีตลาดในประเทศที่ใหญ่มหาศาล
นอกจากนี้ พวกเขายังขยายธุรกิจไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ละตินอเมริกา และแอฟริกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
*ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2025: รายชื่อหุ้นอาจมีการเปลี่ยนแปลง
หนึ่งในแบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก Xiaomi ไม่ได้ขายแค่มือถือ แต่สร้างอีโคซิสเต็มอุปกรณ์อัจฉริยะที่เชื่อมถึงกันทั่วบ้าน ทำให้บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดทั้งในจีนและต่างประเทศ ด้วยสินค้าราคาเข้าถึงง่ายและเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
บริษัทที่เปลี่ยนวิธีสื่อสารและเล่นเกมของคนจีน Tencent คือเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง WeChat และผู้พัฒนาเกมระดับโลกหลายเกม รายได้ของบริษัทมาจากทั้งเกมออนไลน์ โฆษณา และบริการด้านคลาวด์ ทำให้ Tencent กลายเป็นแกนกลางของเศรษฐกิจดิจิทัลในจีน
ยักษ์ใหญ่ที่เป็นหัวใจของ E-Commerce จีน Alibaba สร้างระบบโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศและเป็นผู้นำในธุรกิจ Cloud Computing ผ่าน Alibaba Cloud ทำให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมเติบโตตามการใช้จ่ายออนไลน์และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของธุรกิจจีน
หนึ่งในผู้ผลิตชิปที่สำคัญที่สุดของจีน SMIC มีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์เพราะช่วยลดการพึ่งพาต่างชาติในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม้เผชิญข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี แต่ความต้องการชิปภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตระยะยาว
แพลตฟอร์มสั่งอาหารและบริการไลฟ์สไตล์เบอร์หนึ่งของจีน Meituan ช่วยให้คนเมืองใช้ชีวิตสะดวกขึ้น ตั้งแต่สั่งอาหาร ส่งของ จองร้าน ไปจนถึงจองโรงแรม ด้วยจำนวนคำสั่งซื้อระดับมหาศาล บริษัทจึงมีฐานข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง
หนึ่งในบริษัท E-Commerce ชั้นนำที่เน้นด้านการค้าปลีกคุณภาพสูง JD.com มีความโดดเด่นด้านระบบคลังสินค้าและการจัดส่งที่รวดเร็วแม่นยำ ทำให้แบรนด์ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคจีน ธุรกิจนี้เติบโตควบคู่กับพฤติกรรมซื้อของออนไลน์ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่เป็นคู่แข่งสำคัญของ Douyin (TikTok) Kuaishou เติบโตจากการเข้าถึงเมืองรองและผู้ใช้นอกเมืองใหญ่ ด้วยคอนเทนต์ที่จับต้องได้ง่าย ทำให้บริษัทมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและกลายเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นหลักของเศรษฐกิจครีเอเตอร์ในจีน
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นเทคโนโลยีใช้งานจริง Li Auto โดดเด่นด้วยรถครอบครัวที่มีพื้นที่กว้าง เทคโนโลยีล้ำสมัย และราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าคู่แข่งระดับพรีเมียม ทำให้บริษัทได้รับความนิยมสูงในกลุ่มครอบครัวเมืองใหญ่ของจีน
ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลักดันเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ Xpeng มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และดีไซน์ที่เน้นความล้ำสมัย บริษัทจึงถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สามารถแข่งกับ Tesla ในตลาดจีนได้
หนึ่งในบริษัทเกมรายใหญ่ที่สุดของโลก NetEase มีจุดแข็งทั้งด้านเกมออนไลน์ เพลงดิจิทัล และระบบคลาวด์ บริษัทสร้างเกมคุณภาพสูงที่ได้รับความนิยมทั้งในจีนและต่างประเทศ ทำให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากฐานผู้เล่นมหาศาล
กองทุนเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีจีนชั้นนำที่มีศักยภาพเติบโตสูงและเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น Meituan, Kuaishou, Li Auto, Xiaomi และ Alibaba
ใช้วิธี Rules-based Approach ในการคัดเลือกหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ช่วยลดอคติของผู้จัดการกองทุนและสร้างความสม่ำเสมอในการลงทุน
คัดเลือกหุ้นเทคโนโลยีจีนชั้นนำจำนวน 10–11 บริษัทจาก Hang Seng Tech Index โดยให้ความสำคัญกับบริษัทที่มี Market Cap สูง สภาพคล่องดี และศักยภาพเติบโตแข็งแรง
กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนคุณภาพสูง เช่น Meituan, Kuaishou, Li Auto, Xiaomi และ Alibaba ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็วและมีนวัตกรรมขั้นสูง สอดรับกับเมกะเทรนด์อย่าง Digitalization, AI, EV และ IoT
กองทุนคัดเลือกหุ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด (Rules-based Approach) เน้นหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์สูงและสภาพคล่องดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
กองทุนคัดเลือกหุ้นจีนคุณภาพสูงที่อยู่ใน Hang Seng Tech Index ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงโอกาสเติบโตของตลาดเทคโนโลยีจีน
ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ Finnomena Funds
อ้างอิง: Reuters, China Briefing, Krungsri Asset Management
คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน RMF ตามคู่มือการลงทุนและข้อกำหนดของกรมสรรพากร กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด| ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
อ้างอิง: Reuters, China Briefing, Krungsri Asset Management
คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน RMF ตามคู่มือการลงทุนและข้อกำหนดของกรมสรรพากร กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด| ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สรุปกองทุนหุ้นเหมืองทอง A-RING ในซีรีส์ ATrackers จาก บลจ. แอสเซท พลัส ที่มีคอนเซ็ปต์การลงทุนแบบ Passive Global Thematic ขุดความมั่งคั่งไปกับธีมเหมืองทอง Pure-play Gold Miners กองทุนแรกในไทย
ราคาทองคำโลกวิ่งเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2023 ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมของประวัติศาสตร์ทองคำ ซึ่งสามารถเอาชนะตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก รวมถึงหุ้นอเมริกา S&P 500
เหตุผลเพราะทองคำมีปัจจัยหนุนจากโลกที่เผชิญความผันผวนรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) สงครามภาษีของอเมริกา (Trump Tariffs) ความกังวลดอลลาร์ด้อยค่า (De-Dollarization) รวมถึงมุมมองต่อการลดดอกเบี้ย (Rate Cuts) ทำให้นักลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางหลายประเทศที่เปลี่ยนโครงสร้างทุนสำรอง หันมาถือครองทองมากกว่าพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
ทั้งนี้ การเกาะเทรนด์เติบโตไปกับราคาทอง ไม่ได้มีแค่การซื้อทองคำโดยตรงเท่านั้น แต่ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ที่น่าสนใจอย่างเช่น “ลงทุนในหุ้นเหมืองทอง” กับกลุ่มบริษัทที่มีรายได้จากการขุดเหมืองแร่ทองคำ เป็นผู้ผลิตทองคำ และแปรรูปทองคำนั่นเอง
A-RING กองทุนเปิด เอแทรคเกอร์ส โกลบอล โกลด์ ไมเนอร์ส อิควิตี้ (Atrackers Global Gold Miners Equity Fund) คือ กองทุนหุ้นเหมืองทองคำ มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ซึ่งเป็น Passive ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี MSCI ACWI Select Gold Miners Investable Market Index
โดยเป็นกองทุนหุ้นเหมือง Pure-play Gold Miners กองทุนแรกในไทย ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเข้าถึงโอกาสเติบโตไปกับธีมเหมืองทอง ด้วยการลงทุนในบริษัทขุดเหมืองทองคำชั้นนำทั่วโลก
กองทุนหลักของ A-RING บริหารจัดการโดย BlackRock Fund Advisors ผู้จัดการกองทุนรายใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมกับได้รับ Morningstar 4 ดาว สำหรับกองทุนในหมวด Equity Precious Metals (as of 31 Oct 2025)
รายละเอียดต่าง ๆ ของกองทุน
Source: Asset Plus Fund Management, iShares as of 31 Oct 2025
สินทรัพย์ที่เข้าลงทุนจะประกอบไปด้วยบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับเหมืองแร่ทองคำ อย่างน้อย 30 แห่งทั่วโลก เน้นหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก ทั้งจากตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่
บริษัทที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาจะต้องมีรายได้จากทองคำเป็นหลักอย่างน้อย 50% โดยต้องดำเนินธุรกิจเองโดยตรง และห้ามทำการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ในราคาทองเกิน 10% เพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตไปพร้อมกับราคาทองคำที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อตอบเป้าหมายของการลงทุนใน Pure-play Gold Miners อย่างแท้จริง
กระบวนการคัดเลือกหลักทรัพย์ จะให้น้ำหนักสัดส่วนการลงทุนอิงตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ปรับด้วย Free Float และทำการ Rebalance ทุกไตรมาส (Quarterly) นอกจากนี้ กองทุนกำหนดเพดานการลงทุนในหุ้นตัวหนึ่ง (Single Issuer Limit) ไม่เกิน 25% และหุ้นที่มีสัดส่วนมากกว่า 5% ห้ามมีสัดส่วนรวมกันเกินกว่า 50% ของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
หุ้นเหมืองทองส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นแคนาดา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเหมืองแร่โลหะระดับโลก โดย Top 10 Holdings ในปัจจุบันประกอบด้วย (as of 31 Oct 2025)
Source: Asset Plus Fund Management, Newmont & Bloomberg as of 3 Nov 2025
สำหรับหุ้นที่มีสัดส่วนสูงสุด คือ Newmont Corporation (NEM US) บริษัทเหมืองทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทำธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่การสำรวจ พัฒนา ผลิต ไปจนถึงการฟื้นฟูพื้นที่
Source: Asset Plus Fund Management, Berrick & Bloomberg as of 3 Nov 2025
รองลงมา คือ Barrick Mining Corp (ABX CN) หนึ่งในบริษัทเหมืองทองคำขนาดใหญ่ของประเทศแคนาดา โดยมีโครงการสำรวจและพัฒนาเหมืองทองคำและทองแดงขั้นสูงกระจายอยู่ 5 ทวีป ครอบคลุมกว่า 18 ประเทศทั่วโลก
Source: Asset Plus Fund Management, Goldman Sachs as of 21 Oct 2025, Bloomberg as of 3 Nov 2025
อีกทั้งยังมีการลงทุนในผู้ผลิตทองคำและทองแดงรายใหญ่ที่สุดของจีน Zijin Mining Group (2899 HK) ซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งเพิ่มการผลิตอย่างรวดเร็ว จนมีจำนวนเหมืองมากสุดในโลกกว่า 30 โครงการ
Source: Asset Plus Fund Management, Bloomberg as of 30 Sep 2025
สถิติย้อนหลังในอดีตช่วง Gold Bull Market พบว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหมืองทองมักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2 เท่าของราคาทองคำ
หุ้นกลุ่ม Pure-play Gold Miners ยังคงมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปี และ Laggard ราคาทองอีกมาก แต่ด้านอัตรากำไรกำลังแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะต้นทุนการขุดเหมืองค่อนข้างคงที่ ในขณะที่ราคาทองพุ่งแรง
หลังผ่านการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในช่วงปี 2015 ภาพของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเหมืองทองเปลี่ยนไป หันมาเน้นการควบคุมต้นทุน และสร้างกระแสเงินสด ทำให้ปัจจุบันหุ้นเหมืองทองมีวินัยการเงินที่เข้มแข็งขึ้นมาก
Source: Asset Plus Fund Management, Bloomberg as of 20 Oct 2025
นอกจากนี้ เทรนด์ราคาทองที่ถือว่าอยู่ในช่วงต้นของวัฏจักรขาขึ้น พร้อมทั้งมีโอกาสสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในอนาคต ก็เป็นปัจจัยหนุนสำคัญให้การลงทุนหุ้นเหมืองทองคำน่าสนใจขึ้นไปอีก ซึ่งเมื่อเทียบกับสถิติในอดีตของรอบขาขึ้น จะเห็นว่าราคาทอง +343%* ในระยะเวลาเฉลี่ย 1,096 วัน (*ข้อมูลจาก Bloomberg as of 20 Oct 2025)
กองทุน A-RING และกองทุนอื่น ๆ ในซีรีส์ ATrackers เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในธีมเฉพาะกลุ่ม อยากเข้าถึงเทรนด์การลงทุนมาแรงผ่าน Passive Global Thematic ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต และสามารถใช้เป็นส่วนเสริม (Satellite Portfolio) จับจังหวะระยะสั้นในธีมที่คุณเชื่อมั่น
อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับทองคำ
สนใจกองทุน A-RING ขุดความมั่งคั่งจากหุ้นเหมืองทอง
สามารถลงทุนได้แล้วบน Finnomena
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้กับผู้แนะนำการลงทุนของคุณ หรือติดต่อบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด โทร 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort ในช่วงเวลาวันทำการ 09:00-17:00 น.
อ้างอิงข้อมูลจาก: เอกสารแนะนำกองทุน Asset Plus Fund Management
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
มุ่งหวังผลตอบแทนคาดหวังประมาณ 6% – 8% ในระยะกลาง-ยาว โดยตั้งอยู่บนหลักการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบ และ คงความผันผวนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมรองรับความไม่แน่นอนของภาวะการลงทุน emxc
บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกในช่วงปลายเดือนพ.ย. กลับมามีทิศทางเป็นบวกอย่างชัดเจน ภายหลังการปรับฐานระยะสั้นของตลาด โดยปัจจัยหนุนสำคัญประกอบด้วยการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และความคาดหวังของตลาดที่เพิ่มขึ้นต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed ในเดือนธ.ค. ซึ่งปัจจัยบวกเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทิศทางตลาดในเดือนธ.ค.
ที่มา: บลจ. ทิสโก้ วันที่ 3 ธันวาคม 2025
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกปรับตัวลงแรงจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) ความกังวลว่าราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI มีราคาสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก และนักวิเคราะห์บางท่านเตือนว่าอาจเกิดภาวะฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มดังกล่าว 2) ความกังวลว่าภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐที่ยาวนานเป็นประวัติการณ์อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมาก 3) ความกังวลว่าเฟดอาจไม่ประกาศลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม เนื่องจากการชัตดาวน์ส่งผลให้เฟดไม่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายท่านประเมินว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ของสหรัฐยังห่างไกลจากภาวะฟองสบู่ เนื่องจากงบดุลของบริษัทต่างๆยังคงแข็งแกร่ง รายได้และผลกำไรเติบโตดีต่อเนื่อง มีอุปสงค์ที่แท้จริงรองรับ และทิศทางการเติบโตชัดเจน ดังนั้นราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจึงสะท้อนถึงผลประกอบการในอนาคต การที่บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ของสหรัฐต่างรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/68 แข็งแกร่งกว่าที่คาด พร้อมให้มุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในอนาคต ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลและมีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นมากขึ้น
ในส่วนของตราสารหนี้ นักลงทุนกลับมาเพิ่มความคาดหวังว่าเฟดจะประกาศลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยรายงานการประชุมของเฟดระบุว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนการลดดอกเบี้ย และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ทยอยประกาศออกมาหลังการชัตดาวน์ยุติลง บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐอ่อนแอลง และเงินเฟ้อไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่คาด ซึ่งช่วยสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟด
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะฟื้นตัวแข็งแกร่งในช่วงเดือนสุดท้ายของปี โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่ปรับตัวดีขึ้น และความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางและยาวจะได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยที่ยังคงเป็นขาลง
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299