แจ้งเตือน

รีวิวกองทุน KT-GESG RMF โอกาสเติบโตระยะยาว ไปพร้อมกับโลกที่ยั่งยืน – Copy

Finnomena Funds
KFCHINA-T10PLUS-A

แนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A ค้นหาหุ้นเทคโนโลยีจีนชั้นนำเพียง 10-11 บริษัท แล้วจัดสัดส่วนการลงทุนแบบ Equal Weighting พร้อมทบทวนพอร์ตทุกไตรมาส เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสเติบโตไปกับเทคโนโลยีจีนที่กำลังเขย่าโลก

ภาพรวมด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังดูมีทิศทางที่ดีขึ้น จากการเจรจาล่าสุดที่เกิดขึ้น ณ ประเทศเกาหลีใต้ สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าสำคัญในหลายด้าน เช่น จีนจะกลับมาซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ, สหรัฐฯ จะลดภาษี Fentanyl, จีนจะยกเลิกการควบคุมการส่งแร่ธาตุห Rare Earths และหลังจากการเจรจา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าผลลัพธ์การเจรจาออกมาดีกว่าคาด และกล่าวว่าอาจมีการเจรจาเพิ่มเติมอีกในอนาคต

เมื่อแรงกดดันเริ่มคลาย ความคาดหวังในตลาดจีนก็เริ่มฟื้นตัว

ตลาดเทคโนโลยีขนาดใหญ่เริ่มมีสัญญาณบวกชัดเจน โดยเฉพาะหุ้นที่เคยถูกกดราคาเกินพื้นฐาน (Valuation) จนแตะจุดต่ำสุด แต่ยังมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแรง การฟื้นตัวครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียง “รีบาวด์ตามข่าวดี” แต่สะท้อนโมเมนตัมที่เปลี่ยนฝั่งอย่างแท้จริง

สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือ “บริบทมหภาค” ที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จีนไม่เพียงแต่ได้รับอานิสงส์จากบรรยากาศการค้าที่ยืดหยุ่นขึ้น แต่ยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งฝั่งผู้บริโภคและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ใน Hang Seng Tech Index ซึ่งครอบคลุมบริษัทตั้งแต่ชิป รถยนต์ไฟฟ้า เกม ค้าปลีกออนไลน์ ไปจนถึงแพลตฟอร์มท่องเที่ยว ต่างเริ่มกลับมามีโมเมนตัมอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค เช่น E-Commerce และบริการออนไลน์ รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลดีตรงจากการปลดล็อก Rare Earth เช่น Semiconductor และอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพรวมของ “หุ้นเทคโนโลยีจีน” ดูแข็งแรงขึ้นกว่าที่ตลาดเคยประเมิน

โอกาสลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีน ผ่านกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A

KFCHINA-T10PLUS-A

KFCHINA-T10PLUS-A หรือ กองทุนเปิดกรุงศรี China Tech 10 Plus หน่วยลงทุนชนิดสะสมมูลค่า เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) โดยเน้นเฉพาะธุรกิจมีความเกี่ยวข้องกับธีมเทคโนโลยี 

กองทุนใช้วิธีคัดหุ้นแบบเน้นคุณภาพ เลือกหุ้นเทคโนโลยีจีนตั้งแต่ 10 ถึง 11 บริษัทในดัชนี Hang Seng Tech Index โดยให้ความสำคัญกับบริษัทที่มี Market Cap สูง สภาพคล่องดี และมีศักยภาพเติบโต ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น Consumer Tech, EV, ผู้พัฒนาเกม และหุ้นผู้ผลิตชิป

Rule-based Portfolio

Source: เอกสารแนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A บลจ.กรุงศรี

กองทุนใช้วิธีการลงทุนแบบ Rules-based Approach คือคัดเลือกและจัดพอร์ตตามเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีวินัย เพื่อมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่เติบโตเหนือดัชนีอ้างอิงในระยะยาว (Active Management) โดยยึดแนวทางสำคัญดังนี้

  1. เกณฑ์การคัดเลือก

คัดเลือกหุ้น ประมาณ 10-11 อันดับแรกจากดัชนี โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านมูลค่าตลาดเป็นหลัก ยกเว้นกรณีหุ้นไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาต่าง ๆ ช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีหลักการ ไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกหรืออารมณ์ของผู้จัดการกองทุน

  1. รักษาสัดส่วนอย่างสม่ำเสมอ

ใช้หลักการ Cash Flow Rebalance เพื่อรักษาน้ำหนักในแต่ละหลักทรัพย์ให้ใกล้เคียงพอร์ตการลงทุนเป้าหมาย เพื่อเข้าถึงศักยภาพของแต่ละหลักทรัพย์อย่างเท่าเทียม เสริมโอกาสการลงทุนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์

  1. ทบทวนพอร์ตตามรอบของดัชนี

ปรับพอร์ตการลงทุนเป็นรายไตรมาส ซึ่งเป็นความถี่เดียวกับการทบทวนหลักทรัพย์ของดัชนีอ้างอิง ช่วยให้มั่นใจว่ากองทุนยังคงมีสัดส่วนในหุ้นชั้นนำ สอดคล้องตามเป้าหมายการลงทุนอยู่เสมอ

เสริมความแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่าง

KFCHINA-T10PLUS-A กลยุทธ์

Source: เอกสารแนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A บลจ.กรุงศรี

หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ KFCHINA-T10PLUS-A แตกต่างจากกองทุนธีมเทคโนโลยีจีนทั่วไป คือการออกแบบพอร์ตที่มี “ความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ และโอกาสเติบโต” มากกว่าเดิม ผ่าน 3 กลยุทธ์หลักที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการสร้างผลตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรม

  1. เพิ่มความยืดหยุ่น

กองทุนขยายจำนวนหุ้นที่ถือเป็น 10–11 บริษัท ทำให้ไม่ต้องอัดน้ำหนักไว้แค่ไม่กี่ตัว และเปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีจีนที่เปลี่ยนเร็ว การมีพอร์ตที่ยืดหยุ่นจึงช่วยรับมือกับความผันผวน และเพิ่มโอกาสเลือกหุ้นที่ใช่ในจังหวะที่เหมาะสม

  1. เพิ่มประสิทธิภาพ

อีกจุดที่น่าสนใจคือการลงทุนใน Hang Seng Tech  ETF บางส่วน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแทนเงินสด ทำให้กองทุนสามารถรักษาความสอดคล้องกับจังหวะตลาดได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสเข้าร่วมโมเมนตัมของตลาดเทคจีนในช่วงที่มีแรงหนุน

  1. เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน

กองทุนลดสัดส่วนเงินสดลง เพื่อให้เงินลงทุนทำงานเต็มประสิทธิภาพ ช่วยขยายโอกาสรับผลตอบแทน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกลับมาไหลเข้าในหุ้นเติบโตและหุ้นเทค ซึ่งมักดีดตัวแรงเมื่อความเชื่อมั่นเริ่มฟื้นตัว

เข้าถึงโอกาสลงทุนในหุ้นจีนชั้นนำ

หุ้นเทคจีน

Source: เอกสารแนะนำกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A บลจ.กรุงศรี | Hang Seng Indexes ณ สิ้นเดือน เมษายน 2025

หากใครกำลังมองหาโอกาสลงทุนในหุ้นจีนศักยภาพสูง กองทุน KFCHINA-T10PLUS-A ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเน้นลงทุนในหุ้นเทคไม่ต่ำกว่า 10 และไม่ถึง 15 บริษัทที่อยู่ภายใต้ Hang Seng Tech Index ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนไว้

หากคุณกำลังมองหาโอกาสลงทุนในหุ้นจีนที่มีศักยภาพ การเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่เน้นหุ้นในดัชนี Hang Seng Tech Index ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ ดัชนีนี้รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกงไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นคุณภาพที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนได้ในครั้งเดียว โดยกองทุนจะกระจายการลงทุนไปยังหุ้นเด่นหลายกลุ่ม ทั้งอีคอมเมิร์ซ คลาวด์ เกมออนไลน์ รถยนต์ไฟฟ้า และบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยของจีน ช่วยให้พอร์ตเข้าถึงโอกาสเติบโตของตลาดจีนที่ยังมีศักยภาพอีกมากในระยะยาว

ดัชนี Hang Seng Tech Index คืออะไร

Hang Seng Tech Index เป็นดัชนีที่ออกแบบมาเพื่อเป็นตัวชี้วัดสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีน โดยคัดสรรหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่สุด 30 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ซึ่งรวมถึงยักษ์ใหญ่ที่หลายอาจรู้จัก เช่น Alibaba, Tencent, Meituan, JD.com และ Xiaomi ที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของจีน

ทำไม Hang Seng Tech Index ถึงน่าสนใจ

ดัชนีนี้แม้จะโฟกัสที่หุ้นเทคโนโลยี แต่ก็กระจายการลงทุนไปในหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น

  • การขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous) ที่กำลังพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ 
  • Cloud Computing ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจยุคใหม่
  • Digital Transformation ที่เปลี่ยนวิธีการทำงานของทุกอุตสาหกรรม
  • E-Commerce ที่ครองตลาดค้าปลีกออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
  • FinTech ที่ปฏิวัติระบบการเงินและการชำระเงิน 
  • รวมถึงอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารที่เชื่อมโยงผู้คนหลายพันล้านคน

อีกหนึ่งศักยภาพคือขนาดของตลาด จีนมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 1,000 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนมีตลาดในประเทศที่ใหญ่มหาศาล 

นอกจากนี้ พวกเขายังขยายธุรกิจไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ละตินอเมริกา และแอฟริกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

หุ้น Top 10 ของ Hang Seng Tech Index

*ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2025: รายชื่อหุ้นอาจมีการเปลี่ยนแปลง

  1. Xiaomi

หนึ่งในแบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก Xiaomi ไม่ได้ขายแค่มือถือ แต่สร้างอีโคซิสเต็มอุปกรณ์อัจฉริยะที่เชื่อมถึงกันทั่วบ้าน ทำให้บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดทั้งในจีนและต่างประเทศ ด้วยสินค้าราคาเข้าถึงง่ายและเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

  1. Tencent

บริษัทที่เปลี่ยนวิธีสื่อสารและเล่นเกมของคนจีน Tencent คือเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง WeChat และผู้พัฒนาเกมระดับโลกหลายเกม รายได้ของบริษัทมาจากทั้งเกมออนไลน์ โฆษณา และบริการด้านคลาวด์ ทำให้ Tencent กลายเป็นแกนกลางของเศรษฐกิจดิจิทัลในจีน

  1. Alibaba

ยักษ์ใหญ่ที่เป็นหัวใจของ E-Commerce จีน Alibaba สร้างระบบโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศและเป็นผู้นำในธุรกิจ Cloud Computing ผ่าน Alibaba Cloud ทำให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมเติบโตตามการใช้จ่ายออนไลน์และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของธุรกิจจีน

  1. SMIC

หนึ่งในผู้ผลิตชิปที่สำคัญที่สุดของจีน SMIC มีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์เพราะช่วยลดการพึ่งพาต่างชาติในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม้เผชิญข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี แต่ความต้องการชิปภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตระยะยาว

  1. Meituan

แพลตฟอร์มสั่งอาหารและบริการไลฟ์สไตล์เบอร์หนึ่งของจีน Meituan ช่วยให้คนเมืองใช้ชีวิตสะดวกขึ้น ตั้งแต่สั่งอาหาร ส่งของ จองร้าน ไปจนถึงจองโรงแรม ด้วยจำนวนคำสั่งซื้อระดับมหาศาล บริษัทจึงมีฐานข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง

  1. JD.com

หนึ่งในบริษัท E-Commerce ชั้นนำที่เน้นด้านการค้าปลีกคุณภาพสูง JD.com มีความโดดเด่นด้านระบบคลังสินค้าและการจัดส่งที่รวดเร็วแม่นยำ ทำให้แบรนด์ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคจีน ธุรกิจนี้เติบโตควบคู่กับพฤติกรรมซื้อของออนไลน์ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

  1. Kuaishou

แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่เป็นคู่แข่งสำคัญของ Douyin (TikTok) Kuaishou เติบโตจากการเข้าถึงเมืองรองและผู้ใช้นอกเมืองใหญ่ ด้วยคอนเทนต์ที่จับต้องได้ง่าย ทำให้บริษัทมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและกลายเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นหลักของเศรษฐกิจครีเอเตอร์ในจีน

  1. Li Auto

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นเทคโนโลยีใช้งานจริง Li Auto โดดเด่นด้วยรถครอบครัวที่มีพื้นที่กว้าง เทคโนโลยีล้ำสมัย และราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าคู่แข่งระดับพรีเมียม ทำให้บริษัทได้รับความนิยมสูงในกลุ่มครอบครัวเมืองใหญ่ของจีน

  1. Xpeng

ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลักดันเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ Xpeng มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และดีไซน์ที่เน้นความล้ำสมัย บริษัทจึงถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สามารถแข่งกับ Tesla ในตลาดจีนได้

  1. NetEase

หนึ่งในบริษัทเกมรายใหญ่ที่สุดของโลก NetEase มีจุดแข็งทั้งด้านเกมออนไลน์ เพลงดิจิทัล และระบบคลาวด์ บริษัทสร้างเกมคุณภาพสูงที่ได้รับความนิยมทั้งในจีนและต่างประเทศ ทำให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากฐานผู้เล่นมหาศาล

จุดเด่นกองทุน KFCHINA-T10PLUS-A

  1. High Conviction – ลงทุนเน้นหุ้นเทคจีนตัวท็อป

กองทุนเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีจีนชั้นนำที่มีศักยภาพเติบโตสูงและเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น Meituan, Kuaishou, Li Auto, Xiaomi และ Alibaba

  1. Rule-based Portfolio – คัดเลือกหุ้นด้วยเกณฑ์ชัดเจน

ใช้วิธี Rules-based Approach ในการคัดเลือกหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ช่วยลดอคติของผู้จัดการกองทุนและสร้างความสม่ำเสมอในการลงทุน

  1. High-quality Focus – ลงทุนโฟกัสแบบเน้นคุณภาพ

คัดเลือกหุ้นเทคโนโลยีจีนชั้นนำจำนวน 10–11 บริษัทจาก Hang Seng Tech Index โดยให้ความสำคัญกับบริษัทที่มี Market Cap สูง สภาพคล่องดี และศักยภาพเติบโตแข็งแรง

เหมาะกับใคร

1. ผู้ที่มองเห็นศักยภาพในธีมเทคโนโลยีจีน

กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนคุณภาพสูง เช่น Meituan, Kuaishou, Li Auto, Xiaomi และ Alibaba ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็วและมีนวัตกรรมขั้นสูง สอดรับกับเมกะเทรนด์อย่าง Digitalization, AI, EV และ IoT

2. ผู้ที่มองหาโอกาสในหุ้นผู้นำอุตสาหกรรม

กองทุนคัดเลือกหุ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด (Rules-based Approach) เน้นหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์สูงและสภาพคล่องดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

3. ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดเทคโนโลยีจีน

กองทุนคัดเลือกหุ้นจีนคุณภาพสูงที่อยู่ใน Hang Seng Tech Index ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงโอกาสเติบโตของตลาดเทคโนโลยีจีน 

รายละเอียดสำคัญอื่น ๆ

  • ความเสี่ยงระดับ 6 (กองทุนรวมตราสารทุน)
  • นโยบายปันผล ไม่จ่าย
  • ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกและครั้งถัดไป 500 บาท
  • ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee) 1.00%
  • ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back-end Fee) ยังไม่เรียกเก็บ
  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) 1.6050% ต่อปี
  • รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 1.7976% ต่อปี
  • ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 31/10/2025

ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ Finnomena Funds


อ้างอิง: Reuters, China Briefing, Krungsri Asset Management

คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน RMF ตามคู่มือการลงทุนและข้อกำหนดของกรมสรรพากร กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด| ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299


อ้างอิง: Reuters, China Briefing, Krungsri Asset Management

คำเตือน: กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน RMF ตามคู่มือการลงทุนและข้อกำหนดของกรมสรรพากร กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด| ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

รีวิวกองทุน A-RING ขุดความมั่งคั่งจากหุ้นเหมืองทอง

Finnomena Funds
รีวิวกองทุน A-RING ขุดความมั่งคั่งจากหุ้นเหมืองทอง

สรุปกองทุนหุ้นเหมืองทอง A-RING ในซีรีส์ ATrackers จาก บลจ. แอสเซท พลัส ที่มีคอนเซ็ปต์การลงทุนแบบ Passive Global Thematic ขุดความมั่งคั่งไปกับธีมเหมืองทอง Pure-play Gold Miners กองทุนแรกในไทย

Highlights


สรุปกองทุน A-RING

ราคาทองคำโลกวิ่งเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2023 ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมของประวัติศาสตร์ทองคำ ซึ่งสามารถเอาชนะตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก รวมถึงหุ้นอเมริกา S&P 500

เหตุผลเพราะทองคำมีปัจจัยหนุนจากโลกที่เผชิญความผันผวนรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) สงครามภาษีของอเมริกา (Trump Tariffs) ความกังวลดอลลาร์ด้อยค่า (De-Dollarization) รวมถึงมุมมองต่อการลดดอกเบี้ย (Rate Cuts) ทำให้นักลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางหลายประเทศที่เปลี่ยนโครงสร้างทุนสำรอง หันมาถือครองทองมากกว่าพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี

ทั้งนี้ การเกาะเทรนด์เติบโตไปกับราคาทอง ไม่ได้มีแค่การซื้อทองคำโดยตรงเท่านั้น แต่ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ที่น่าสนใจอย่างเช่น “ลงทุนในหุ้นเหมืองทอง” กับกลุ่มบริษัทที่มีรายได้จากการขุดเหมืองแร่ทองคำ เป็นผู้ผลิตทองคำ และแปรรูปทองคำนั่นเอง

สรุปข้อมูลกองทุน A-RING

A-RING กองทุนเปิด เอแทรคเกอร์ส โกลบอล โกลด์ ไมเนอร์ส อิควิตี้ (Atrackers Global Gold Miners Equity Fund) คือ กองทุนหุ้นเหมืองทองคำ มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ซึ่งเป็น Passive ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี MSCI ACWI Select Gold Miners Investable Market Index

โดยเป็นกองทุนหุ้นเหมือง Pure-play Gold Miners กองทุนแรกในไทย ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเข้าถึงโอกาสเติบโตไปกับธีมเหมืองทอง ด้วยการลงทุนในบริษัทขุดเหมืองทองคำชั้นนำทั่วโลก

กองทุนหลักของ A-RING บริหารจัดการโดย BlackRock Fund Advisors ผู้จัดการกองทุนรายใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมกับได้รับ Morningstar 4 ดาว สำหรับกองทุนในหมวด Equity Precious Metals (as of 31 Oct 2025)

รายละเอียดต่าง ๆ ของกองทุน

  • กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับ 7 – เสี่ยงสูง ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับทองคำ
  • นโยบายปันผล: ไม่จ่าย
  • มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกและครั้งถัดไป 500 บาท
  • ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee) 1.25% 
  • ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back-end Fee) ไม่มี
  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) 1.61% ต่อปี
  • รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 1.90% ต่อปี
  • ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 12/11/2025
  • ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/A-RING

กองทุน A-RING ลงทุนอะไรบ้าง ?

Source: Asset Plus Fund Management, iShares as of 31 Oct 2025

สินทรัพย์ที่เข้าลงทุนจะประกอบไปด้วยบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับเหมืองแร่ทองคำ อย่างน้อย 30 แห่งทั่วโลก เน้นหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก ทั้งจากตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ 

บริษัทที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาจะต้องมีรายได้จากทองคำเป็นหลักอย่างน้อย 50% โดยต้องดำเนินธุรกิจเองโดยตรง และห้ามทำการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ในราคาทองเกิน 10% เพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตไปพร้อมกับราคาทองคำที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อตอบเป้าหมายของการลงทุนใน Pure-play Gold Miners อย่างแท้จริง

กระบวนการคัดเลือกหลักทรัพย์ จะให้น้ำหนักสัดส่วนการลงทุนอิงตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ปรับด้วย Free Float และทำการ Rebalance ทุกไตรมาส (Quarterly) นอกจากนี้ กองทุนกำหนดเพดานการลงทุนในหุ้นตัวหนึ่ง (Single Issuer Limit) ไม่เกิน 25% และหุ้นที่มีสัดส่วนมากกว่า 5% ห้ามมีสัดส่วนรวมกันเกินกว่า 50% ของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

ตัวอย่างหุ้นในพอร์ต A-RING

หุ้นเหมืองทองส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นแคนาดา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเหมืองแร่โลหะระดับโลก โดย Top 10 Holdings ในปัจจุบันประกอบด้วย (as of 31 Oct 2025)

  1. Newmont 15.15%
  2. Agnico Eagle Mines LTD 13.61%
  3. Barrick Mining CORP 8.62%
  4. Wheaton Precious Metals CORP 6.41%
  5. Gold Fields LTD 4.74%
  6. Anglo gold Ashanti PLC 4.58%
  7. Kinross Gold CORP 4.49%
  8. Zijin Mining 4.21%
  9. Alamos Gold 2.85%
  10. Coeur Mining INC 2.80%

 

Source: Asset Plus Fund Management, Newmont & Bloomberg as of 3 Nov 2025

สำหรับหุ้นที่มีสัดส่วนสูงสุด คือ Newmont Corporation (NEM US) บริษัทเหมืองทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทำธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่การสำรวจ พัฒนา ผลิต ไปจนถึงการฟื้นฟูพื้นที่

Source: Asset Plus Fund Management, Berrick & Bloomberg as of 3 Nov 2025

รองลงมา คือ Barrick Mining Corp (ABX CN) หนึ่งในบริษัทเหมืองทองคำขนาดใหญ่ของประเทศแคนาดา โดยมีโครงการสำรวจและพัฒนาเหมืองทองคำและทองแดงขั้นสูงกระจายอยู่ 5 ทวีป ครอบคลุมกว่า 18 ประเทศทั่วโลก

Source: Asset Plus Fund Management, Goldman Sachs as of 21 Oct 2025, Bloomberg as of 3 Nov 2025

อีกทั้งยังมีการลงทุนในผู้ผลิตทองคำและทองแดงรายใหญ่ที่สุดของจีน Zijin Mining Group (2899 HK) ซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งเพิ่มการผลิตอย่างรวดเร็ว จนมีจำนวนเหมืองมากสุดในโลกกว่า 30 โครงการ

หุ้นเหมืองทอง ทำไมถึงน่าสนใจ

Source: Asset Plus Fund Management, Bloomberg as of 30 Sep 2025

1. หุ้นเหมืองทองมีโอกาสสร้างผลตอบแทนมากกว่าทองคำแท่งในช่วงขาขึ้น

สถิติย้อนหลังในอดีตช่วง Gold Bull Market พบว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหมืองทองมักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2 เท่าของราคาทองคำ 

2. มูลค่าหุ้นเหมืองทอง Undervalue เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร 

หุ้นกลุ่ม Pure-play Gold Miners ยังคงมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปี และ Laggard ราคาทองอีกมาก แต่ด้านอัตรากำไรกำลังแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะต้นทุนการขุดเหมืองค่อนข้างคงที่ ในขณะที่ราคาทองพุ่งแรง 

3. หุ้นเหมืองทองมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง หนี้น้อย เงินสดล้นมือ 

หลังผ่านการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในช่วงปี 2015 ภาพของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเหมืองทองเปลี่ยนไป หันมาเน้นการควบคุมต้นทุน และสร้างกระแสเงินสด ทำให้ปัจจุบันหุ้นเหมืองทองมีวินัยการเงินที่เข้มแข็งขึ้นมาก

Source: Asset Plus Fund Management, Bloomberg as of 20 Oct 2025

นอกจากนี้ เทรนด์ราคาทองที่ถือว่าอยู่ในช่วงต้นของวัฏจักรขาขึ้น พร้อมทั้งมีโอกาสสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในอนาคต ก็เป็นปัจจัยหนุนสำคัญให้การลงทุนหุ้นเหมืองทองคำน่าสนใจขึ้นไปอีก ซึ่งเมื่อเทียบกับสถิติในอดีตของรอบขาขึ้น จะเห็นว่าราคาทอง +343%* ในระยะเวลาเฉลี่ย 1,096 วัน (*ข้อมูลจาก Bloomberg as of 20 Oct 2025)

กองทุนนี้เหมาะกับใคร ?

กองทุน A-RING และกองทุนอื่น ๆ ในซีรีส์ ATrackers เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในธีมเฉพาะกลุ่ม อยากเข้าถึงเทรนด์การลงทุนมาแรงผ่าน Passive Global Thematic ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต และสามารถใช้เป็นส่วนเสริม (Satellite Portfolio) จับจังหวะระยะสั้นในธีมที่คุณเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับทองคำ

สนใจกองทุน A-RING ขุดความมั่งคั่งจากหุ้นเหมืองทอง 

สามารถลงทุนได้แล้วบน Finnomena

คลิกที่นี่เพื่อซื้อกองทุน 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้กับผู้แนะนำการลงทุนของคุณ หรือติดต่อบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด โทร 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort ในช่วงเวลาวันทำการ 09:00-17:00 น.


อ้างอิงข้อมูลจาก: เอกสารแนะนำกองทุน Asset Plus Fund Management

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ปรับพอร์ต All Weather ธันวาคม 2025: ขายหุ้นยุโรป-ญี่ปุ่น ย้ายเข้าหุ้นโลก สหรัฐฯ และตลาดเกิดใหม่

Andrew Stotz
ปรับพอร์ต All Weather ธันวาคม 2025: ขายหุ้นยุโรป-ญี่ปุ่น ย้ายเข้าหุ้นโลก สหรัฐฯ และตลาดเกิดใหม่

All Weather Strategy by A. Stotz Investment Research ประจำเดือนธันวาคม 2025

สรุปมุมมองการลงทุน

  • ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ลดลงจากระดับก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับสูง ดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่า และตลาดคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในวันที่ 10 ธันวาคม 2025 ซึ่งดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเป็นแรงสนับสนุนต่อสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) จึงปรับเพิ่มสัดส่วนหุ้นตลาดเกิดใหม่ยกเว้นจีน (Emerging Markets ex China) เป็น 25% จาก 5%
  • คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 70% และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหุ้นโลก (Core Global Equity) อีก 15% ผ่านการลดน้ำหนักตลาดที่มีมุมมองน่าสนใจลดลง โดยปิดการลงทุนในยุโรปพัฒนาและญี่ปุ่น ซึ่งเดิมถือสัดส่วนตลาดละ 5%
  • สหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งกว่าตลาดพัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น โดยมีคาดการณ์การเติบโตกำไรที่ดี ขณะที่จีนยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้มากนัก แต่เรายังมองว่า ทั้งสหรัฐฯ และจีน สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดได้ หากความตึงเครียดทางการค้าคลี่คลายลง จึงเพิ่มสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ เป็น 15% จาก 5% และแม้จะลดสัดส่วนหุ้นจีนลงจาก 25% แต่ยังคงสัดส่วน 10%
  • หุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นและจีน (Asia ex Japan ex China) ทำผลงานได้ดีในไตรมาสที่ผ่านมาและยังมีความน่าสนใจอยู่ จึงทยอยล็อกกำไรบางส่วน และลดสัดส่วนลงเหลือ 5%
  • ภายใต้ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงสัดส่วนทองคำระดับสูงที่ 25% และสัดส่วน Global Bonds ที่ 5% เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม

 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเอกสารด้านล่างนี้ ซึ่งเป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษ หากมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อผู้แนะนำการลงทุนของท่าน

กดที่นี่เพื่อดาวน์โหลด

Andrew Stotz

สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้

ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena

**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลยครับ


ฃ

อย่าลืมเปิดฟังก์ชันปรับพอร์ตอัตโนมัติ! Automatic Allocation ช่วยบริหารพอร์ตตามสภาวะตลาด สะดวก ใช้งานง่าย ให้คุณปรับสมดุลพอร์ตอยู่ในสถานะที่เหมาะสมอยู่เสมอ

สามารถเปิดใช้งานได้แล้ววันนี้ที่พอร์ตการลงทุนของคุณ หรือดูวิธีการได้ที่ Finnomena Funds Automatic Allocation


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) อัปเดตมุมมองเดือนธันวาคม 2025 หุ้นโลก Upside รับอานิสงค์ Window Dressing

Eastspring Thailand

ภาพรวมตลาดหุ้นโลกตลอดเดือนพฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา เปรียบเสมือนการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางอารมณ์ของนักลงทุน ตลาดเริ่มต้นเดือนด้วยความกังวลอย่างหนักจนกดดันให้ดัชนี Fear & Greed Index ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 11 จุด ซึ่งอยู่ในโซน “ความกลัวขีดสุด” (Extreme Fear) โดยมีปัจจัยกดดันหลักมาจากกระแสความตื่นตระหนกในเรื่อง “ฟองสบู่ AI” ที่กลับมาหลอกหลอนตลาดอีกครั้ง ภายหลังจากที่มีข่าว SoftBank Group เทขายหุ้น Nvidia ออกมาจำนวนมหาศาล และตัวเลขการประกาศลดตำแหน่งงานของบริษัทในสหรัฐฯ ประจำเดือนตุลาคมที่พุ่งสูงถึง 153,074 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2003 โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและคลังสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการนำ AI มาใช้แทนแรงงานคน สิ่งเหล่านี้กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของเดือน อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนเริ่มพลิกฟื้นกลับมาสดใสได้ในช่วงปลายเดือน เมื่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) กลับมาเป็นพระเอกอีกครั้ง ขานรับข่าวเชิงบวกจากการเปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Gemini 3.0 ของ Google และความก้าวหน้าของ Alibaba Cloud ที่ช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมา

ในมิติของตัวเลขเศรษฐกิจมหภาค สหรัฐฯ ยังคงส่งสัญญาณที่ “ซับซ้อนแต่เป็นใจ” ต่อทิศทางดอกเบี้ย แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) จะออกมาสูงกว่าคาดที่ 119,000 ตำแหน่ง แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดกลับพบสัญญาณความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ คืออัตราการว่างงานที่ขยับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 4.4% ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี ประกอบกับรายงาน Beige Book ของเฟดที่ชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะทรงตัวค่อนไปทางซึม ข้อมูลเหล่านี้ทำให้นักลงทุนตีความในลักษณะ “Bad News is Good News” กล่าวคือ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างพอเหมาะ (Soft Landing) จะเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จำเป็นต้องตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ เพื่อประคองไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งมุมมองดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง

นอกจากประเด็นเรื่องดอกเบี้ยแล้ว พัฒนาการด้านการเมืองระหว่างประเทศและการค้าโลกก็มีทิศทางที่ผ่อนคลายลง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย ที่ใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกเพื่อจัดการเรื่องภาษีตอบโต้ ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นอินเดียและบรรยากาศการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ขณะที่สถานการณ์ในสหรัฐฯ เองก็คลี่คลายลงหลังจากสภาสามารถผ่านร่างงบประมาณเพื่อยุติเหตุการณ์ Government Shutdown ที่ยาวนานเป็นประวัติการณ์ถึง 43 วันลงได้สำเร็จ ทำให้ความเสี่ยงด้านการคลังระยะสั้นหมดไป ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้น ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สะท้อนอุปสงค์ที่ชะลอตัว ขณะที่ราคาทองคำยังคงทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยได้อย่างดีเยี่ยม โดยสามารถยืนเหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ได้อย่างแข็งแกร่งตลอดทั้งเดือน

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในเดือนธันวาคม 2025 เราประเมินว่าตลาดหุ้นโลกยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ (Upside) จากแรงส่งของกระแสเงินทุนไหลเข้าในช่วงท้ายปี (Window Dressing) และความชัดเจนของทิศทางดอกเบี้ยเฟด เรายังคงแนะนำกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบสมดุล (Barbell Strategy) โดยฝั่งสินทรัพย์เติบโต (Growth) เราแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเมื่อราคาย่อตัว โดยเฉพาะบริษัทที่มีพื้นฐานแกร่งและมีนวัตกรรม AI ที่จับต้องได้ ส่วนในฝั่งสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Defensive) เรามองเห็นโอกาสที่น่าสนใจมากในหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ได้รับอานิสงส์ข่าวดีจากการที่รัฐบาลทรัมป์มีแนวโน้มจะต่ออายุเงินอุดหนุนโครงการ Obamacare ออกไปอีก 2 ปี ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลและประกันสุขภาพให้มีความมั่นคง นอกจากนี้ เรายังแนะนำให้จับตามองตลาดหุ้นอินเดียเป็นพิเศษ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มการเจรจาดีลการค้า และความคาดหวังว่าธนาคารกลางอินเดียจะผ่อนคลายนโยบายการเงินตามเฟด ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับตลาดหุ้นภูมิภาคอาเซียนในระยะถัดไป

ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 3 ธ.ค. 2025

สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน

โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก

1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น

2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ

หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด

Finnomena Funds

Weekly Market Insight

ประจำสัปดาห์ 8 – 12 พฤศจิกายน 2025

พิเศษ! สำหรับสมาชิก Finnomena

This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้

Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน

ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”

ตลาดแบบนี้ ลงทุนยังไง? กางกลยุทธ์ 6 กองทุนลดหย่อนภาษีปี 2025 จาก บลจ. ยูโอบี

Finnomena Funds
ตลาดแบบนี้ ลงทุนยังไง? กางกลยุทธ์ 6 กองทุนลดหย่อนภาษีปี 2025 จาก บลจ. ยูโอบี

รีวิวกองทุนลดหย่อนภาษีจาก บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) รวมสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างการเติบโตในระยะยาวท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด ทั้งกองทุน RMF ได้แก่ UGISRMF UOBGARMF UNIRMF UOBGRMF-H รวมถึงกองทุน Thai ESG อย่าง UTSB-THAIESG และ UTSEQ-THAIESG

ปี 2025 เป็นปีที่โลกการลงทุนเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่วางทับกันอยู่หลายชั้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวแบบชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ เทรนด์ของธนาคารกลางทั่วโลกที่จะลดดอกเบี้ย นำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่ง UOBAM Strategy Group คาดการณ์ว่า Fed มีโอกาสจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้ 

ในอีกด้านหนึ่ง สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นจะยังเติบโตได้จากต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ย) ที่ลดลง แต่ตลาดก็มองว่าหุ้นส่วนใหญ่ตอนนี้มีมูลค่าที่สูงเกินไป ธีมการลงทุนหุ้นต่อจากนี้จึงเป็นการหาหุ้นที่ระดับราคาต่อมูลค่ายังไม่แพง

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือ นโยบายการค้า (Tariff Policy) ที่มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม และยังมีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะเร่งตัวขึ้น ตลอดจนแนวทาง De-Dollarization ที่ทรัมป์สนับสนุนให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ เพื่อหนุนการส่งออก

– Source: UOBAM, Bloomberg as of 7 Oct 2025

ดังนั้น ในช่วงปลายปี 2025 นี้ นักลงทุนจึงควรพิจารณาจัดพอร์ตลดหย่อนภาษีด้วยแนวทาง Asset Allocation ภายใต้ตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งในหุ้นทั่วโลก ตราสารหนี้ทั่วโลก และสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ 

และนี่คือ 6 กองทุนลดหย่อนภาษีทั้ง RMF และ Thai ESG ที่ทาง บลจ. ยูโอบี คัดมาให้แล้วว่าตอบโจทย์สถานการณ์โลกการลงทุนในปัจจุบัน 


UGISRMF กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ

กองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วโลกที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก คือ PIMCO GIS Income Fund (Class I) บริหารจัดการโดย PIMCO Global Advisors (Ireland) Limited ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกที่มีความโดดเด่นในเรื่องการลงทุนในตราสารหนี้โดยเฉพาะ

จุดเด่นของกองทุนหลักคือ มีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ทั่วโลกหลากหลายประเภท เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Mortgage-Backed Securities (MBS) โดยใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management) เพื่อสร้างผลตอบแทนพร้อมควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับต่ำ โดยกองทุน UGISRMF มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก 

รายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน

  • ระดับความเสี่ยง: 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง)
  • ประเภทกองทุน: Feeder Fund, RMF, กองทุนมีความเสี่ยงต่างประเทศ, Global Bond Discretionary F/X Hedge or Unhedge
  • สินทรัพย์ที่ลงทุน: ตราสารหนี้หลายประเภททั่วโลก เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐ, ตราสารหนี้สถาบันการเงิน หรือตราสารหนี้ภาคเอกชน
  • นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน: ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
  • สนใจซื้อกองทุนคลิก www.finnomena.com/fund/UGISRMF

 

ข้อมูลการลงทุนของ PIMCO GIS Income Fund (Class I) (กองทุนหลัก)
Source: UGISRMF Fund Factsheet as of 30 Sep 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก


UOBGARMF กองทุนเปิด ยูโอบี โกลบอล แอลโลเคชั่น เพื่อการเลี้ยงชีพ

กองทุนรวมผสมที่มีกองทุนหลักคือ BGF Global Allocation Fund (Class A) ซึ่งบริหารจัดการโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กองทุนหลักเน้นลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก 

จุดเด่นของกองทุนหลักคือ มีการใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตการลงทุนระหว่างตราสารทุนและตราสารหนี้ทั่วโลก เหมาะกับการลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนในห้วงเวลาที่ตลาดมีความซับซ้อน

รายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน

  • ระดับความเสี่ยง: 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง)
  • ประเภทกองทุน: Feeder Fund, RMF, กองทุนมีความเสี่ยงต่างประเทศ, Foreign Investment Allocation
  • สินทรัพย์ที่ลงทุน: ลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ในต่างประเทศทั่วโลก เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตลอดจนหุ้นเทคโนโลยีอย่าง Nvidia และ Microsoft
  • นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน: ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน 
  • สนใจซื้อกองทุนคลิก www.finnomena.com/fund/UOBGARMF

 

ข้อมูลการลงทุนของ BGF Global Allocation Fund (Class A) (กองทุนหลัก)
Source: UOBGARMF Fund Factsheet as of 30 Sep 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก


UNIRMF กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินโนเวชั่น ฟันด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ

กองทุนรวมตราสารทุนทั่วโลกที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก United Global Innovation Fund (Class A USD Acc) ซึ่งบริหารจัดการโดย UOB Asset Management (Singapore) โดยคัดหุ้นจากทั่วโลกเบื้องต้น 2,000 – 3,000 ตัว นำมาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และคัดเลือกต่อจนเหลือในพอร์ตเน้น ๆ 35 – 65 ตัว

จุดเด่นของกองทุนหลักคือ ใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management) เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่แถวหน้าเรื่องนวัตกรรม (Innovation) ทั่วโลก ภายใต้ความคาดหวังที่ว่าบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่หรือแทนที่อุตสาหกรรมเดิมได้ เพื่อตอบโจทย์การลงทุนในหุ้นระยะยาว

รายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน

  • ระดับความเสี่ยง: 6 (เสี่ยงสูง)
  • ประเภทกองทุน: Feeder Fund, RMF, กองทุนมีความเสี่ยงต่างประเทศ, Global Equity
  • สินทรัพย์ที่ลงทุน: ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับนวัตกรรมทั่วโลก เช่น TSMC และ Uber เป็นต้น
  • นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน: ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • สนใจซื้อกองทุนคลิก www.finnomena.com/fund/UNIRMF

 

ข้อมูลการลงทุนของ United Global Innovation Fund (Class A USD Acc) (กองทุนหลัก)
Source: UNIRMF Fund Factsheet as of 30 Sep 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก


UOBGRMF-H กองทุนเปิด ยูโอบี โกลด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ – H

กองทุนทรัพย์สินทางเลือกที่ลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ SPDR Gold Trust ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) และเน้นลงทุนในทองคำแท่ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำในตลาดโลก

จุดเด่นของกองทุนหลักคือ เป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ระดับโลก เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในทองคำแท่งโดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะปานกลางถึงระยะยาว โดยใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรับ (Passive Management) กองทุนหลักมีนโยบายเป็นการซื้อทองคำแท่งจริง ๆ (99.5% Gold Bullion) เก็บไว้ที่ HSBC Bank สหรัฐฯ

รายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน

  • ระดับความเสี่ยง: 8 (เสี่ยงสูงมาก)
  • ประเภทกองทุน: Feeder Fund, RMF, Commodities Precious Metals
  • สินทรัพย์ที่ลงทุน: ลงทุนในทองคำแท่งผ่านการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลักที่เป็น Gold ETF ในต่างประเทศ
  • นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน: ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ 
  • สนใจซื้อกองทุนคลิก www.finnomena.com/fund/UOBGRMF-H

 

ข้อมูลการลงทุนของ SPDR Gold Trust (กองทุนหลัก)
Source: UOBGRMF-H Fund Factsheet as of 30 Sep 2025
คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต 


UTSB-THAIESG กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ตราสารหนี้ไทย ซัสเทนเนเบิล ชนิดหน่วยลงทุนไทยเพื่อความยั่งยืนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่จ่ายเงินปันผล

กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) ที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยเพื่อความยั่งยืน โดยใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) 

กองทุนนี้จัดเป็นกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตราสารเพื่อความยั่งยืน หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV 

จุดเด่นของกองทุน UTSB-THAIESG คือมีกระบวนการคัดกรองตราสารในการลงทุนจากปัจจัยหลากหลาย ทั้งด้าน ESG, ความสามารถในการชำระหนี้, บทวิเคราะห์ทั้งจากภายในและภายนอก, การเยี่ยมชมกิจการ, ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ตลอดจนการวิเคราะห์ทางเครดิต 

รายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน

  • ระดับความเสี่ยง: 3 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ)
  • ประเภทกองทุน: Thailand ESG Fund, กองทุนที่ลงทุนแบบมีความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ, Long Term General Bond
  • สินทรัพย์ที่ลงทุน: มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยเพื่อความยั่งยืน เงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก รวมถึงธุรกรรมการให้ยืมหลักทรัพย์
  • สนใจซื้อกองทุนคลิก www.finnomena.com/fund/UTSB-THAIESG

 

ข้อมูลการลงทุนของ UTSB-THAIESG
Source: UTSB-THAIESG Fund Factsheet as of 31 Oct 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน


UTSEQ-THAIESG กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล ชนิดหน่วยลงทุนไทยเพื่อความยั่งยืนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่จ่ายเงินปันผล

กองทุนรวมตราสารทุนและเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) ใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (active management)  

กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET ว่ามีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน (ESG) มีการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอย่างครอบคลุม มีกระบวนการบริหารจัดการเพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กร เช่น การบริหารความเสี่ยง การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนานวัตกรรม

จุดเด่นของกองทุน UTSEQ-THAIESG คือกระบวนการคัดเลือกหุ้นไทยที่มีโอกาสเติบโตระยะยาวจากธุรกิจที่ดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบ และต้องการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

รายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน

  • ระดับความเสี่ยง: 6 (เสี่ยงสูง)
  • ประเภทกองทุน: Thailand ESG Fund, กองทุนที่ลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ, Equity General
  • สินทรัพย์ที่ลงทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai
  • สนใจซื้อกองทุนคลิก www.finnomena.com/fund/UTSEQ-THAIESG

 

ข้อมูลการลงทุนของ UTSEQ-THAIESG
Source: UTSEQ-THAIESG Fund Factsheet as of 31 Oct 2025
คำเตือน: Portfolio และสัดส่วนการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

สรุปแล้ว ภายใต้สภาพตลาดการลงทุนที่ซ้อนทับไปด้วยหลากหลายปัจจัย เทรนด์เรื่องดอกเบี้ย นโยบายภาษี แนวทาง De-Dollarization ตลอดจนปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ การกระจายการลงทุนจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการจัดพอร์ตลดหย่อนภาษีสำหรับปีนี้ ซึ่งสามารถใช้กองทุนลดหย่อนภาษีข้างต้นเป็นทางเลือกในการจัดพอร์ต Asset Allocations ได้เลย เพราะแน่นอนว่าหากเริ่มต้นดี วางแผนดี นอกจากจะช่วยประหยัดภาษีแล้ว ยังสามารถสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนในระหว่างทางอีกด้วย

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 0-2786-2222 หรือ www.uobam.co.th


คำเตือน:

  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
  • การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงินและไม่สามารถรับรองผลตอบแทนได้
  • การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก
  • กองทุน UGISRMF, UOBGRMF-H มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
  • กองทุน UOBGARMF, UNIRMF มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุน RMF และ Thai ESG ด้วย กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษีจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุนรวม
  • ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดข้อมูลต่างๆ ในหนังสือชี้ชวนของ SRI Fund ก่อนการลงทุน เพื่อให้รับทราบถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ ก่อนการลงทุน อาทิ นโยบายการลงทุน หลักทรัพย์ที่กองทุนนั้นได้ไปลงทุน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตลอดจนค่าธรรมเนียม รวมถึงสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อของกองทุน SRI Fund ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ทุกครั้ง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

 

บทเรียนว่าด้วย QE & QT ของแบงก์ชาติอังกฤษ

MacroView
บทเรียนว่าด้วย QE & QT ของแบงก์ชาติอังกฤษ

ในช่วงที่ผ่านมา บทความแนวผลกระทบ QE ต่อเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ผมจะเน้นไปในสหรัฐและยุโรป บทความนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกๆที่เขียนเกี่ยวกับบทเรียนของการทำ Quantitative Easing (QE) และ  Quantitative Tightening (QT) ในอังกฤษโดยตรง

เริ่มจากบทเรียนของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เกี่ยวกับในส่วนของ QE หรือการซื้อพันธบัตรจากแบงก์พาณิชย์ของแบงก์ชาติ มีดังนี้

1. อย่าแบกรับความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยมากโดยไม่จำเป็น

โดย BOE ต้องแบกรับผลขาดทุนกว่า 70% สำหรับการถือครองพันธบัตรอังกฤษ (gilts) สาเหตุเนื่องมาจาก gilts ส่วนใหญ่ที่ BOE ซื้อ เป็นพันธบัตรระยะยาว ซึ่งถึงแม้ว่าสัดส่วนของพันธบัตรอังกฤษจะเป็นแบบระยะยาว ทว่าการซื้อ gilts ของ BOE เป็นทางเลือกของแบงก์ชาติอังกฤษที่สามารถจะเลือกได้ว่าต้องการอายุบอนด์สั้นหรือยาวแค่ไหน หากพิจารณาจากแบงก์ชาติออสเตรเลีย จะพบว่าจำกัดไว้ที่อายุ 2-3 ปี เป็นส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเนื่องจากต้องการลดความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย

ดังนั้น การไม่นำความเสี่ยงด้านการเงินมาพิจารณา ถือว่าไม่น่าใช่วิถีของแบงก์ชาติที่มีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี

2. ควรจะปรับอายุของ QE ให้เข้ากับสินเชื่อหลักในประเทศตนเอง ในกรณีของอังกฤษ BOE มีเหตุผลที่จะตอบสังคมได้ว่าจะซื้อ gilts อายุสั้นๆ ได้ไม่ยาก เนื่องจากสินเชื่อบ้านเกือบทั้งหมดของอังกฤษมีอายุสัญญากู้ต่ำกว่า 5 ปี

3. แบงก์ชาติควรจะทำ QE ให้สอดคล้องกับลักษณะเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยของประเทศตนเอง ตรงนี้ ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าควรเป็นเช่นนั้น ในปี 2011 ตอนนั้น อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นขยับขึ้นมาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่ยิลด์ระยะยาวลดต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น เฟดจึงตัดสินใจซื้อพันธบัตรระยะสั้นและขายพันธบัตรระยะยาว เพื่อดึงให้ยิลด์ระหว่างระยะสั้นและระยะยาวมีความสมดุลมากขึ้น ที่เรียกกันว่า ปฏิบัติการ Operation Twists

4. ตราสารทางการเงินที่ซื้อไม่จำเป็นต้องซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพียงอย่างเดียว โดย BOE เน้นซื้อ gilts เพียงอย่างเดียว ในขณะที่เฟดซื้อหุ้นกู้เอกชนและตราสาร Mortgage-backed ด้วย โดยจากงานวิจัยพบว่าตราสารทางการเงินเหล่านี้ส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าพันธบัตรเสียอีก

สำหรับบทเรียนในส่วนของ QT หรือการขายพันธบัตรของแบงก์ชาติเพื่อลดขนาดงบดุล มีดังนี้

1. Active QT เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ BOE: ด้วยความที่ BOE ถือครองพันธบัตรระยะยาวเป็นหลัก จึงมีความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยมากกว่าเพื่อนๆอย่างเฟดหรือธนาคารกลางยุโรป ทำให้ BOE จำเป็นต้องลดขนาดงบดุลของตนเอง หรือ QT ด้วยการขายพันธบัตรแบบ Active ที่พิจารณาทิศทางการขึ้นหรือลงของอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด

2.ให้ความสนใจต่อ Feedback ของตลาดก่อนลงมือทำ QT: หากย้อนไปในเดือนกันยายน 2022 ที่ BOE เริ่มทำ QT แบบ Active มีการสำรวจนักลงทุนโดย BOE ปรากฏว่าเมื่อนักลงทุนทราบว่าจะทำ QT หรือขาย gilts อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ก็ขึ้นไป 15 bps และขึ้นอีก 10 bps เมื่อมีการประกาศการทำ QT แบบเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ทาง BOE กลับประเมินว่าผลจาก QT มีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts เพียง 10 bps โดยไม่ได้คำนึงถึงผลการสำรวจของตนเองเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า

3. BOE ควรเปิดกว้างสำหรับการประเมินผลกระทบของ QT: เมื่อพิจารณาผลการประเมินจากอดีตสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูง ปรากฏว่าคำนวณผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ที่ 70 bps ซึ่งสูงกว่าที่ BOE คำนวณไว้ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ ไม่ควรเน้นวิธีการวิเคราะห์จากฝั่งสหรัฐเพื่อนำมาใช้กับตลาดอังกฤษแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยงานวิจัยของนักวิจัยของอังกฤษเอง พบว่าผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ที่ 35-40 bps

4. ไม่ควรกำหนดเวลาแบบตายตัวไว้ 1 ปีในการทำ QE/QT: ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2020 ที่ BOE ประกาศซื้อ gilts จนถึงเดือนธันวาคม 2021 ปรากฏว่าแค่เดือนพฤษภาคม 2021 อัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษก็สูงกว่าเป้าหมาย โดยในเดือนสิงหาคมขึ้นไปเป็น 3.2% กระนั้นก็ดี การทำ QE ก็ยังทำต่อไป ทำให้มองได้ว่าการทำตามสิ่งที่ประกาศไป ถือว่าดี ทว่าทำให้เกิดความไม่ยืดหยุ่น

ย้อนกลับมาล่าสุด เดือนเมษายน 2025 ตลาดกดดันให้ BOE ยกเลิกการขาย gilts เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทว่าในเดือนกรกฎาคม BOE ก็ประการขาย gilts อีก ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็ยังคงอยู่ในระดับสูงเท่ากับเดือนเมษายน ดังนั้น BOE ไม่ควรจะเคร่งครัดในแผนการขายพันธบัตร และมีความยืดหยุ่นในการทำ QT โดยประเมินสถานการณ์เป็นระยะ ๆ

นอกจากนี้ การทำ QT แบบ Active มีข้อดี ดังนี้

1. การลดขนาดงบดุลของ BOE เป็นการเตรียมพร้อมไว้ให้สามารถรับมือสำหรับวิกฤตรอบหน้า นั่นคือ การลดขนาดงบดุลลง 3.3 แสนล้านปอนด์ ทำให้สามารถทำการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนในช่วง Brexit ด้วยขนาด 6 หมื่นล้านปอนด์ สามารถกระตุ้นเหมือนในช่วงวิกฤตซับไพร์ม 2 แสนล้านปอนด์ หรือหากนับจากอัตราส่วนระหว่างงบดุล BOE ต่อ GDP ยังกระตุ้นด้วยขนาดเท่าช่วงวิกฤตซับไพร์มได้อีก ทว่าเมื่อพิจารณาการขาดทุนมูลค่า 1.33 แสนล้านปอนด์ ของ BOE ก็อาจต้องคิดหนักอยู่เหมือนกัน

2. หากพิจารณาจากความเร็วของ QT ระหว่างแบงก์ชาติต่างๆ จะพบว่า BOE มีความเร็วในการลดขนาดงบดุลสูงกว่าเฟดและแบงก์ชาติยุโรป อย่างไรก็ดี เมื่อดูจากระดับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน จะพบว่า อัตราเงินเฟ้ออังกฤษสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการลด งบดุล BOE ขาย gilts แบบอายุ 30 ปี ในขณะที่สินเชื่อของชาวอังกฤษมีอายุ 3-5 ปีเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การส่งผ่านเพื่อทำการลดเงินเฟ้อจากขนาดงบดุลที่ลดลงแทบไม่เกิดขึ้น

ท้ายสุด การขายพันธบัตรของ BOE หรือ QT นั้น เท่ากับเป็นการช่วยกระทรวงการคลังอังกฤษไปในตัว เนื่องจากการขาดทุนของแบงก์ชาติอังกฤษจากการขายพันธบัตรดังกล่าว จะเป็นผลดีต่อกระทรวงการคลังอังกฤษจากการที่ไม่ต้องขาดทุนจากการขายพันธบัตรเอง

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com

มีเงิน 500,000 บาท จัดพอร์ตยังไงให้มีโอกาสโตมากกว่าตลาดระยะยาว

Finnomena Funds

ถ้าคุณมีเงิน 500,000 บาทอยู่ในมือ จะทำยังไงกับเงินก้อนนี้?

ถ้าอยากให้เงินก้อนนี้มีโอกาสเติบโตมากกว่าดัชนีทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง ต้องมองหา “Alpha” หรือผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่มากกว่าแค่ค่าเฉลี่ยตลาด

แล้วจะทำยังไงให้เงิน 500,000 บาทนี้กลายเป็นพอร์ตที่สร้าง Alpha ได้? คำตอบอยู่ที่การจัดพอร์ตให้วิ่งทันจังหวะตลาด และมองหาโอกาสจากธีมที่มีอนาคต เพื่อไม่ใช่แค่ลงทุน แต่เป็นการลงทุนที่สร้างโอกาสให้พอร์ตโตมากกว่าตลาดให้ได้

ในบทความนี้ Finnomena Funds จะพาไปรู้จักกับพอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ ว่าจะทำอย่างไรให้เงินก้อน 500,000 บาท สร้าง Alpha ในระยะยาวได้

All Weather Alpha Focus พอร์ตการลงทุนที่พัฒนา โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds มุ่งเน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ในระยะยาว ทั้งในสภาวะตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง ดูรายละเอียดและทดลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws

จัดพอร์ตยังไงให้มีโอกาสโตมากกว่าตลาดในระยะยาว

Alpha ไม่ใช่แค่ตัวอักษรกรีก หรือคำที่ใช้เรียกผู้นำผู้มีอิทธิพล แต่ในโลกการลงทุน Alpha คือ ผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่มากกว่าดัชนีชี้วัด (Benchmark) เป็นเหมือนการวิ่งแข่งที่ไม่เพียงแค่เข้าเส้นชัย แต่เข้าเส้นชัยเร็วกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน

การสร้าง Alpha คือการเลือกสินทรัพย์ จังหวะการลงทุน และการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การลงทุนแบบกระจายหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset) ปรับสัดส่วนแบบ Tactical Allocation ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด และค้นหาธีมการลงทุนที่มีศักยภาพเติบโตเหนือกว่าค่าเฉลี่ยตลาด

พูดง่าย ๆ คือ หากตลาดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี แต่พอร์ตของคุณทำได้ 12% ส่วนต่าง 4% นั่นแหละคือ Alpha ที่บอกว่าพอร์ตของคุณกำลังสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มอยู่ และนี่คือเป้าหมายสูงสุดที่นักลงทุนส่วนใหญ่เฝ้าตามหา 

หากคุณกำลังมองหาพอร์ตการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้เหนือตลาด วันนี้เราขอแนะนำให้ได้รู้จักกับพอร์ต ‘All Weather Alpha Focus (AWAF)’ ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ ดร. Andrew Stotz จับมือร่วมกับทีมงาน Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยเป็นพอร์ตการลงทุนที่เน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ระยะยาวทั้งในสภาวะขาขึ้นและขาลงของตลาดหุ้น ผ่านกลยุทธ์ในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มอุตสาหกรรม ภูมิภาค และธีมการลงทุนต่าง ๆ ตามสภาวะตลาด (Tactical Allocation) เพื่อสร้างโอกาสการทำกำไรและช่วยบริหารความเสี่ยงในภาวะตลาดขาลง

จุดเด่นพอร์ต All Weather Alpha Focus

  • เน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง ด้วยการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
  • จัดสรรสินทรัพย์แบบเชิงรุก กระจายลงทุนครอบคลุมหลากหลายสินทรัพย์ อุตสาหกรรม ภูมิภาค และธีมการลงทุน เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการทำกำไร
  • ใช้โมเดล FVMR เพื่อวิเคราะห์สินทรัพย์จากปัจจัย 4 ด้าน ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐาน มูลค่า โมเมนตัม และความเสี่ยง เพื่อคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ
  • เน้นสร้างผลตอบแทนเทียบความเสี่ยง (Sharpe ratio) ในระดับที่สูงกว่าพอร์ต All Weather Strategy
  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการจัดพอร์ตลงทุน

 

มีเงิน 500,000 บาท จัดพอร์ตยังไงให้มีโอกาสโตมากกว่าตลาดระยะยาว

สัดส่วนการลงทุนของพอร์ต All Weather Alpha Focus

พอร์ต All Weather Alpha Focus เน้นลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มอุตสาหกรรม ภูมิภาค และธีมการลงทุนตามสภาวะตลาด โดยลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้น ด้วยสัดส่วน 93% และที่เหลืออีก 7% กระจายลงทุนไปในตราสารหนี้และทองคำอย่างละ 3% และ 4% ตามลำดับ (ข้อมูลสัดส่วน ณ เดือนธันวาคม 2568)

เจาะลึกกองทุนในพอร์ต All Weather Alpha Focus

TLA-GEQ

สัดส่วนการลงทุน 25%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (CIS) และ/หรือกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่ซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ และมีลักษณะดังนี้ การลงทุนแบบเน้นประเทศเดียว (Single Country) รวมถึงกลุ่มกลุ่มยูโรโซน (Eurozone) การลงทุนที่เน้นอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน (Global Sector Equity) หรือการลงทุนตามธีมต่าง ๆ (Thematic Investment) เช่น Robotics และ AI โดยกองทุน TLA-GEQ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: ครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

KF-LATAM

สัดส่วนการลงทุน 22%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Templeton Latin America Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน KF-LATAM จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จัดตั้งและมีธุรกิจหลักอยู่ในประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 500 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

PRINCIPAL VNEQ-A

สัดส่วนการลงทุน 22%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

KT-PRECIOUS

สัดส่วนการลงทุน 20%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Franklin Gold and Precious Metals Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน KT-PRECIOUS จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7

กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่ดําเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นทองคําและโลหะมีค่า

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

ES-HEALTHCARE

สัดส่วนการลงทุน 2%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Janus Global Life Sciences Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน ES-HEALTHCARE จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7

กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่ผู้จัดการกองทุนเห็นว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences orientation) โดยทั่วไป Life Sciences จะเกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งหมายรวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยพัฒนา ผลิต หรือ จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ที่เพื่อการดูแลตนเอง (Personal Care) ซึ่งรวมถึง Health care ยา การเกษตร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ที่เพื่อการดูแลตนเอง (Personal Care) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

KKP GINFRAEQ-H

สัดส่วนการลงทุน 2%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Lazard Global Listed Infrastructure Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน KKP GINFRAEQ-H จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นต่างประเทศของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Infrastructure Companies)

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

KT-BOND

สัดส่วนการลงทุน 3%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน PIMCO FUNDS : GLOBAL INVESTORS SERIES PLC – Global Bond Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 4

กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนรวมให้ได้มากที่สุด และสอดคล้องกับการรักษาเงินทุนและการบริหารเงินลงทุนอย่างรอบคอบ กองทุนจะลงทุนอย่างน้อยสองในสามของสินทรัพย์ของกองทุน โดยกระจายพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ในสกุลเงินหลักของโลก

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

K-GOLD-A(A)

สัดส่วนการลงทุน 4%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน โดยกองทุน K-GOLD-A(A) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

All Weather Alpha Focus พอร์ตการลงทุนที่พัฒนา โดย Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ ร่วมกับ Finnomena Funds มุ่งเน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ในระยะยาว ทั้งในสภาวะตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง ดูรายละเอียดและทดลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

BoA เตือน S&P 500 ปีหน้า ขึ้นต่อได้ “จำกัด” หลังขึ้นแรง 3 ปีติด แต่ 22V เตือน “ห้ามชอร์ตหุ้นสหรัฐฯ”

Finnomena
S&P 500

Bank of America (BofA) มองว่าแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังมีโอกาสเติบโตในปี 2026 แต่จังหวะขาขึ้นจะเริ่มจำกัดมากขึ้น หลัง S&P 500 พุ่งแรงต่อเนื่อง 3 ปีจนมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 19% ทำให้การเก็งขึ้นแรงแบบเดิมอาจไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป แม้ฐานกำไรของบริษัทอเมริกายังแข็งแรง แต่ผลตอบแทนรวมของตลาดอาจชะลอลงเหลือแค่ระดับปานกลาง

ถึงอย่างนั้น ความร้อนแรงของตลาดในปัจจุบันยังสร้างแรงกดดันมหาศาลให้ฝั่งชอร์ต เพราะเพียงสัปดาห์เดียวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน นักชอร์ตหุ้นสหรัฐฯ สูญกำไร mark-to-market กว่า 80,000 ล้านดอลลาร์ ลบแทบหมดผลตอบแทนที่สะสมไว้ก่อนหน้า สะท้อนว่ากระแสเงินฝั่งบวกรั้งตลาดขึ้นไว้แน่นกว่าที่หลายคนคาดคิด

นักกลยุทธ์ของ 22V Research ชี้ว่าคนที่คิดจะเปิดชอร์ตในตอนนี้ต้อง “มั่นใจเกินเหตุ” ว่าเศรษฐกิจจะชะลอกว่าคาด หรือว่ากระแสลงทุนด้าน AI จะสะดุดลงจริง เพราะปัจจัยพื้นฐานยังขับเคลื่อนตลาดอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการบริโภคที่ยังแข็งแรง และการลงทุนด้าน AI ที่ยังผลักดันผลิตภาพและกำไรของบริษัทใหญ่ให้เติบโต

ความผันผวนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งดึง S&P 500 ลงแรงกว่า 5% ก่อนดีดกลับเร็วในสัปดาห์ท้าย ทำให้นักชอร์ตถูก “Whipsaw” หนักจนต้องปิดสถานะพร้อมกันทั้งรายย่อยและเฮดจ์ฟันด์ ข้อมูลจาก S3 Partners ยังระบุว่าแค่สัปดาห์เดียวก็ล้างกำไรชอร์ตแทบหมด ขณะที่ฝ่ายไพรม์โบรกเกอร์ของ Goldman Sachs บอกตรงกันว่าการซื้อคืนสถานะชอร์ตพุ่งสูงสุดในรอบ 5 เดือน

แรงหนุนตลาดยังมาจากฤดูกาลในเดือนธันวาคม ซึ่งตามสถิติมักปิดบวกราว 1.4% และปิดบวกใน 73% ของกรณี ขณะเดียวกันหุ้นรายตัวอย่าง Beyond Meat ที่ดีดเกือบ 37% โดยแทบไม่มีข่าวรองรับ ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าความเสี่ยงฝั่งชอร์ตกำลัง “แพงขึ้นเรื่อย ๆ” เพราะตลาดตอบสนองต่อแรงซื้อไวเป็นพิเศษ

แม้ภาพรวมปีหน้า BofA ยังมอง S&P 500 มีโอกาสขึ้นต่อถึงราว 7,100 จุด แต่เตือนความเสี่ยงสองด้านยังสูง หากกำไรบริษัทออกมาดีกว่าคาดมาก ดัชนีอาจพุ่งถึง 8,500 แต่ถ้าเศรษฐกิจสะดุดหรือกระแส AI ชะลอเร็วกว่าที่ตลาดหวัง ก็อาจเห็นการถอยกลับลงสู่ย่าน 5,500 ได้เช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าปี 2026 อาจไม่ใช่ปีที่ตลาดเดินหน้าแบบไร้แรงต้านอีกต่อไป


อ้างอิง: Bloomberg

ปีนี้ บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) คัด 5 ธีมกองทุน RMF & Thai ESG ให้การลดหย่อนภาษี ลงทุนแบบไม่หลงทาง !

Finnomena Funds
กองทุนลดหย่อนภาษี SCBAM

เพราะการวางแผนลดหย่อนภาษี คือ ภารกิจการเงินในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีที่ทุกคนต้องจัดการให้เรียบร้อย ซึ่งมีให้เลือกทั้ง RMF เส้นทางวางแผนการเงินที่มั่นคงสู่วัยเกษียณ และ Thai ESG เส้นทางสู่การลงทุนที่เติบโตอย่างยั่งยืน

แต่หากใครยังไม่มีแผนในใจ SCBAM ได้รวมกองทุนลดหย่อนภาษีมาให้เลือกลงทุนแบบง่าย ๆ ในช่วงโค้งสุดท้าย ด้วย 5 ธีมการลงทุนที่คัดสรรมาแล้ว ดังนี้

1.) มั่นใจทุกก้าวกับกองทุน Flagship ที่นักลงทุนไว้วางใจ สร้างอนาคตการลงทุนมั่นคง 

กองทุน SCBRMS&P500 และ SCBTM(THAIESG)

กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ คือ SCBRMS&P500 เน้นลงทุนหุ้นใหญ่สหรัฐฯ สุดแกร่ง ตามดัชนี S&P500 เพื่อโอกาสเติบโตตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ

2.) เดินอย่างมั่นคงกับกองทุนสายเซฟ เน้นความมั่นคง และปลอดภัย อุ่นใจได้ทุกช่วงชีวิต

กองทุน SCBRMMONEY และ SCBTB(THAIESGA)

กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ คือ SCBRMMONEY ลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพทั้งภาครัฐและเอกชน อายุเฉลี่ย 1-3 เดือน

3.) พุ่งสู่อนาคตกับมหาอำนาจนวัตกรรม หุ้นสหรัฐฯ และจีน ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก

กองทุน SCBRMNDQ(A) และ SCBRMCTECH

กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ คือ SCBRMCTECH ลงทุนหุ้นเทคจีนชั้นนำตามดัชนี FTSE China Incl A 25% Technology Capped

4.) ก้าวตามดัชนีชั้นนำ ทั้งระดับโลกและไทย เติบโตตามตลาดชั้นนำ

กองทุน SCBRMWORLD(A) และ SCBTP(THAIESG)

กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ คือ SCBRMWORLD(A) ลงทุนในหุ้นชั้นนำจากประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก ตามดัชนี MSCI World

5.) ลุยอย่างเหนือชั้นกับกองทุน Active คุณภาพ เน้นเชิงรุก คัดสรรหุ้นเด่นโดยมืออาชีพ

กองทุน SCBRMUSA(A) SCBTA(THAIESG) และ SCBTD(THAIESG)

กองทุนเด่นธีมนี้ที่เราอยากแนะนำ SCBRMUSA(A) เห้นหุ้นสหรัฐฯ ศักยภาพสูงแบบเชิงรุก

สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้ที่ www.finnomena.com/fund


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG มีเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะตามที่กรมสรรพากรกำหนด | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

มีเงิน 500,000 บาท จัดพอร์ตยังไงให้ชนะทุกสภาวะตลาด

Finnomena Funds

คุณกำลังมองหาวิธีจัดพอร์ตที่จะช่วยให้ผ่านพ้นทุกสภาวะตลาดได้อย่างมั่นใจอยู่หรือเปล่า? หากใช่บทความนี้ถูกสร้างมาเพื่อคุณ! เพราะเราจะมาเผยเคล็ดลับการจัดพอร์ตที่ไม่ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหนก็ช่วยให้พอร์ตของคุณเอาชนะตลาดได้มาฝากกัน รายละเอียดพอร์ตจะเป็นอย่างไร? ติดตามไปพร้อมกันได้ในบทความนี้

พอร์ต All Weather Strategy โดย Andrew Stotz อดีตนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยร่วมกับ Finnomena Funds ใช้ FVMR Framework ในการวิเคราะห์การลงทุน มุ่งหวังเพิ่มพูนและปกป้องความมั่งคั่งระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws

จัดพอร์ตอย่างไรให้ชนะทุกสภาวะตลาด

หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ หากพูดในความหมายของโลกการลงทุน ประโยคนี้ก็หมายความว่า ‘การกระจายความเสี่ยง’ นั่นเอง คงไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในทุกช่วงเวลา และเราก็ไม่อาจรู้อนาคตแน่นอนได้ว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางคนพอร์ตมีแต่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นอยู่เต็มพอร์ต แต่พอเกิดขึ้นสถานการณ์ที่ทำให้หุ้นปรับตัวลดลงกลายเป็นว่าเปิดพอร์ตมาแดงแจ๋ติดดอย  หรือบางคนพอร์ตมีแต่สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ในช่วงที่ตลาดขึ้นก็อาจจะเสียโอกาสที่จะทำให้พอร์ตของเราเติบโตไปได้อีก

ดังนั้น ‘Asset Allocation’ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการลงทุน หากคุณกำลังมองหาพอร์ตการลงทุนที่จะช่วยให้คุณสามารถเอาชนะได้ในทุกสภาวะตลาดได้ วันนี้เราขอแนะนำให้ได้รู้จักกับพอร์ต ‘All Weather Strategy (AWS)’ ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนที่ทางทีมงานของ ดร. Andrew Stotz จับมือร่วมกับทีมงาน Finnomena Funds สรรค์สร้างขึ้นมา โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาวให้ได้มากที่สุด สัดส่วนหุ้นในพอร์ตสามารถปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 25-85% ตามสถานการณ์ พร้อมลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยปกป้องพอร์ตในสภาวะตลาดผันผวน โดยลงทุนในกองทุน Passive เสริมด้วยการคัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสชนะกองทุน Passive เพิ่มเติม และมีการปรับพอร์ต (Rebalance) ปีละ 4 ครั้ง

จุดเด่นพอร์ต All Weather Strategy

  • ใช้ ‘FVMR Framework’ เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วย Fundamental (พื้นฐานของสินทรัพย์), Valuation (มูลค่าของสินทรัพย์), Momentum (โมเมนตัมของสินทรัพย์) และ Risk (ความเสี่ยง)
  • กระจายการลงทุนไปทั่วโลก ไม่จำกัดเพียงแค่ในประเทศไทย
  • มีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยลดความผันผวน พร้อมเฟ้นหาโอกาสลงทุนใหม่ ๆ ตามสภาวะตลาดอยู่เสมอเพื่อให้ผลตอบแทนเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
  • สร้างผลตอบแทนระยะยาวจากหุ้น และจำกัดการขาดทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นพักฐาน
  • ใช้หลักการวิเคราะห์ทั้งเชิงประมาณ (Quantitative) ที่ใช้สูตรและโมเดลทางคณิตศาสตร์ และเชิงคุณภาพ (Qualitative) ที่ใช้ประสบการณ์และความรู้ของทีมงาน เพื่อให้ได้พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด
  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการจัดพอร์ตลงทุน

 

มีเงิน 500,000 บาท จัดพอร์ตยังไงให้ชนะทุกสภาวะตลาด

สัดส่วนการลงทุนของพอร์ต All Weather Strategy

อย่างที่บอกไปว่าพอร์ต ‘All Weather Strategy’ จะเน้นกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก โดยเน้นลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้น ด้วยสัดส่วน 70% ผ่านกองทุน TEMxCH เป็นตัวแทนหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ไม่รวมประเทศจีนในสัดส่วน 25% กองทุน TLA-GEQ เป็นตัวแทนหุ้นโลกในสัดส่วน 15% กองทุน K-US500X-A(A) เป็นตัวแทนหุ้นสหรัฐฯ ในสัดส่วน 15% กองทุน FP CNGLOV เป็นตัวแทนหุ้นจีนในสัดส่วน 10% กองทุน TLFVMR-ASIAX เป็นตัวแทนกองทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นและจีนในสัดส่วน 5%

สำหรับตราสารหนี้ พอร์ต AWS ลงทุนด้วยสัดส่วน 5% โดยเลือกใช้กองทุน KT-BOND เป็นตัวแทนตราสารหนี้ทั่วโลก และสัดส่วนที่เหลืออีก 25% กระจายการลงทุนไปในทองคำผ่านกองทุน K-GOLD-A(A)

เจาะลึกกองทุนในพอร์ต All Weather Strategy

TEMXCH

สัดส่วนการลงทุน 25%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน Invesco Emerging Markets ex-China Equity Fund Class C-AD เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน TEMxCH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งไม่รวมประเทศจีน หรือบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งนอกกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่มีการดําเนินธุรกิจหลักอยู่ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งไม่รวมประเทศจีน

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

TLA-GEQ

สัดส่วนการลงทุน 15%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (CIS) และ/หรือกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่ซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ และมีลักษณะดังนี้ การลงทุนแบบเน้นประเทศเดียว (Single Country) รวมถึงกลุ่มกลุ่มยูโรโซน (Eurozone) การลงทุนที่เน้นอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน (Global Sector Equity) หรือการลงทุนตามธีมต่าง ๆ (Thematic Investment) เช่น Robotics และ AI โดยกองทุน TLA-GEQ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: ครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

K-US500X-A(A)

สัดส่วนการลงทุน 15%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน iShares Core S&P 500 ETF (กองทุนหลัก) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน K-US500X-A(A) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กองทุนหลักเป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น NYSE Arca และมีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนี S&P 500

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 500 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

FP CNGLOV

สัดส่วนการลงทุน 10%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทจีนซึ่งจัดตั้งในประเทศจีนหรือมีการดำเนินธุรกิจ และ/หรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีน รวมถึงหน่วยลงทุน CIS และ/หรือ ETF ที่มีนโยบายการลงทุนในลักษณะดังกล่าว ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน FP CNGLOV จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท (ครั้งถัดไป 1 บาท)

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

TLFVMR-ASIAX

สัดส่วนการลงทุน 5%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน (ซึ่งรวมถึงเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน) โดยกองทุน TLFVMR-ASIAX จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท (ครั้งถัดไป 1 บาท)

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

KT-BOND

สัดส่วนการลงทุน 5%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน PIMCO FUNDS : GLOBAL INVESTORS SERIES PLC – Global Bond Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 4

กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนรวมให้ได้มากที่สุด และสอดคล้องกับการรักษาเงินทุนและการบริหารเงินลงทุนอย่างรอบคอบ กองทุนจะลงทุนอย่างน้อยสองในสามของสินทรัพย์ของกองทุน โดยกระจายพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ในสกุลเงินหลักของโลก

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

K-GOLD-A(A)

สัดส่วนการลงทุน 25%

นโยบายกองทุน: ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน โดยกองทุน K-GOLD-A(A) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 8

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี (Passive Management)

มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวน คลิก

.

สามารถติดตามมุมมองการลงทุนรายละเอียดการปรับพอร์ตอย่างใกล้ชิดได้ที่
https://www.finnomena.com/tag/guruport-aws/


สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้

ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >>  เว็บไซต์ Finnomena

**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย A. Stotz Investment Research ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลย


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

7 บาปการวางแผนภาษี ปีศาจที่ทำให้พลาดเซฟภาษีไม่รู้ตัว

Finnomena Funds
7 บาปการวางแผนภาษี ปีศาจที่ทำให้พลาดเซฟภาษีไม่รู้ตัว

ในการวางแผนภาษี ศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่กรมสรรพากร แต่คือ “จิตใต้สำนึก” ของคุณเอง! ความโลภ ความกลัว และอคติส่วนตัว อาจทำให้พลาดใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เต็มที่

บทความนี้ขอชวนมาร่วมสำรวจจิตใจไปพร้อมกันกับ “7 บาปการวางแผนภาษี” ที่ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหน้าใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ก็อาจเคยตกหลุมพรางเหล่านี้มาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง หรืออาจจะทั้งหมดพร้อมกัน

ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESG

พิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท

📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws

7 บาปการวางแผนภาษี ปีศาจที่ทำให้พลาดเซฟภาษีไม่รู้ตัว

1. ความโลภ: อยากได้ผลตอบแทนเยอะจนลืมเป้าหมายภาษี

หลายคนเลือกลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีเพราะกำลังขึ้นแรง โดยไม่ดูเงื่อนไข ไม่ดูความเสี่ยง สุดท้ายก็ต้องนั่งมองพอร์ตแดงแล้วเกลียดตัวเองปีถัดไป การลงทุนลดหย่อนภาษีควรเริ่มจากเป้าหมายภาษี ควบคู่ไปกับเป้าหมายกำไร เพื่อให้ทั้งสองเป้าหมายสอดคล้องไปด้วยกัน

2. ความกลัว: กลัวขาดทุนจนไม่กล้าลดหย่อนอะไรเลย

ตลาดผันผวนเป็นเรื่องปกติ แต่การกลัวจนไม่ทำอะไรเลย คือบาปอันดับต้น ๆ ของการวางแผนภาษี เพราะคุณกำลังปล่อยให้เงินไหลไปสรรพากรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งที่สามารถนำเงินตรงนั้นไปต่อยอดหรือใช้จ่ายได้ การทยอยซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีด้วยเทคนิค DCA ตลอดทั้งปี ช่วยกระจายความเสี่ยง และความกลัวได้มากกว่าไปอัดซื้อทีเดียวตอนปลายปี

3. ความหยิ่งทะนง: คำนวณภาษีเองโดยไม่ใช้เครื่องมือ

หลายคนมั่นใจในความจำของตัวเอง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้สิทธิลดหย่อนตามที่หวัง หรือแย่กว่านั้นคือโดนเรียกคืนภาษี การลดหย่อนภาษีไม่ใช่เรื่องของความมั่นใจ แต่เป็นเรื่องของความแม่นยำ การใช้เครื่องมือคำนวณภาษี ตรวจสอบเพดานภาษีและสิทธิลดหย่อนที่ยังเหลืออยู่ จะช่วยให้แผนภาษีของคุณไม่พัง และใช้สิทธิได้เต็มที่

“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที

ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี

4. ความริษยา: เห็นคนอื่นซื้อกองไหน ก็อยากมีด้วย

เพื่อนบอกว่ากองนี้กำไรดี พี่ที่ทำงานบอกว่า Thai ESG โตแรง ผู้เชี่ยวชาญบอก RMF ปีนี้มาแน่ แต่คุณไม่ได้เช็กเลยว่าตัวเองต้องการลดหย่อนเท่าไร รับความเสี่ยงได้แค่ไหน หรือกองนั้นเหมาะกับเป้าของคุณหรือไม่ เพราะการวางแผนภาษีไม่ใช่การแข่งขันกับใคร แต่เป็นการออกแบบแผนให้สอดคล้องกับรายได้และภาระภาษีของตัวเอง

5. ความเกียจคร้าน: รอจนถึงสิ้นปีแล้วค่อยทำ

นี่คือบาปยอดนิยมอันดับหนึ่งของการวางแผนภาษี เพราะพอปล่อยเวลาไปทั้งปี สุดท้ายต้องรีบซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีแบบฉุกละหุก ไม่เช็กเงื่อนไข ไม่ตรวจพอร์ต ไม่ดูเพดานภาษี ผลลัพธ์มักออกมาเป็นซื้อผิดกอง ผิดเวลา ผิดจำนวน และผิดแผนแทบทุกอย่าง การทยอยลงทุนตลอดทั้งปี จะช่วยกระจายความเสี่ยง ลดแรงกดดันได้

6. ความโกรธ: ปีที่แล้วโดนภาษีหนัก ปีนี้เลยซื้อแก้แค้น

หลายคนพอเห็นยอดภาษีปีที่แล้วแล้วหัวร้อน คิดว่า “ปีนี้จะอัดกองทุนลดหย่อนภาษีให้หนัก เอาให้สรรพากรถอนหายใจ!” แต่การลงทุนเพื่อล้างแค้นภาษี ใช้อารมณ์นำเหตุผล ผลลัพธ์มักจบไม่สวย เพราะสุดท้ายอาจได้ทั้งพอร์ตที่สะเปะสะปะ และลดหย่อนได้ไม่เต็มสิทธิ การวางแผนภาษีที่ดีไม่ใช่การเอาชนะสรรพากร แต่คือการใช้เหตุผลจัดการเงินให้ตรงเป้าหมาย

7. ความตะกละ: ซื้อทุกกอง แต่ไม่มีแผน

บางคนซื้อทุกอย่าง RMF ก็เอา Thai ESG ก็เติม Thai ESGX ก็อยากได้อีก เน้นซื้อไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยจัดพอร์ตทีหลัง สุดท้ายกลายเป็นพอร์ตกระจัดกระจาย ประเภทสินทรัพย์ทับซ้อน และไม่ได้ผลตอบแทนอย่างที่หวัง ยิ่งแย่คือบางส่วนดันไม่ได้สิทธิลดหย่อนเพราะซ้ำเงื่อนไขกันอีกต่างหาก การวางแผนพอร์ตลดหย่อนที่ดีต้องเริ่มจากคำถามว่า “ปีนี้ต้องการลดหย่อนเท่าไร?” “เป้าหมายการเงินระยะยาวคืออะไร?”

อย่าปล่อยให้แผนภาษีของคุณถูกขับเคลื่อนด้วยบาปทั้ง 7

บาปเหล่านี้ไม่ได้ผิด แต่การไม่ตระหนักและไม่ปรับปรุงจะนำไปสู่ความเสียหายในการวางแผนภาษี การวางแผนภาษีที่ดีเริ่มจากเข้าใจรายได้ ภาระภาษี และพฤติกรรมของตัวเอง หากคุณเริ่มเห็นบาปเหล่านี้ในตัวเองแล้ว นั่นคือก้าวแรกของการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน

“Tax Saving Fund Planner” บริการวางแผนการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีจาก Finnomena Funds บริการวางแผนกองทุนลดหย่อนภาษีแบบ Exclusive สำหรับลูกค้าฟินโนมีนา พร้อมช่วยดูแลและให้คำแนะนำการลงทุนใน SSF RMF Thai ESG โดยไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน รับคำแนะนำการลงทุน ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย บริการพิเศษเฉพาะลูกค้าฟินโนมีนา

ลงทะเบียน คลิก 👉 https://finno.me/taxplanner-services


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน และอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ | ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้ยืนยันผลในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ปลายปีนี้ ลงทุนกองทุนรวม รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท กับบัญชี FIN SAVE by KKP

Finnomena Funds
ปลายปีนี้ ลงทุนกองทุนรวม รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท กับบัญชี FIN SAVE by KKP

ปลายปีนี้ อย่าปล่อยสิทธิ์เงินคืนหลุดมือ! เพราะทุกการลงทุนกองทุนรวมกับ Finnomena Funds ผ่านบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP เมื่อกดรับ E-Coupon ก่อนทำรายการ คุณจะได้รับ Cash Back สูงสุดถึง 300 บาท**

ปลายปีนี้ ลงทุนกองทุนรวม รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท กับบัญชี FIN SAVE by KKP

ทำไมต้องบัญชี FIN SAVE by KKP?

  • รับดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 1.6% ต่อปี* มากกว่าค่าเฉลี่ยบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปประมาณ 5 เท่า*** (อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 8 ส.ค. 2568) สูงสุด 1.6% ต่อปี* คำนวณดอกเบี้ยทุกวัน
  • ใช้เป็นบัญชีหลักสำหรับลงทุนกับ Finnomena Funds ตั้งค่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP เป็น “บัญชีทำธุรกรรมหลัก” (Main Settlement Bank)  เพื่อให้สามารถตัดเงินลงทุนผ่าน Finnomena Funds ได้อัตโนมัติ สะดวก ไม่ต้องโอนเงินเข้าออกให้ยุ่งยาก
  • ปลอดภัย อุ่นใจในทุกบาทที่ฝาก เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารเกียรตินาคินภัทร หนึ่งในธนาคารชั้นนำของประเทศไทย
  • จัดการเงินได้ง่ายขึ้น แยกบัญชีสำหรับลงทุนออกจากบัญชีใช้จ่ายประจำวันอย่างชัดเจน ช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้เป็นระบบมากขึ้น หมดปัญหาใช้เงินลงทุนไปกับค่าใช้จ่ายจิปาถะ

 

ปลายปีนี้ ลงทุนกองทุนรวม รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท กับบัญชี FIN SAVE by KKP

ยิ่งลงทุนมาก ยิ่งได้เงินคืนมาก

เพียงซื้อกองทุนรวมที่ร่วมรายการ และตัดเงินค่าซื้อกองทุนรวมผ่านบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท**

✅ ลงทุน 30,000 – 99,999 บาท รับ Cashback 30 บาท**
✅ ลงทุน 100,000 – 299,999 บาท รับ Cashback 100 บาท**
✅ ลงทุน 300,000 บาทขึ้นไป รับ Cashback 300 บาท**

ปลายปีนี้ ลงทุนกองทุนรวม รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท กับบัญชี FIN SAVE by KKP

3 Step รับ Cashback ง่าย ๆ

Step 1: กดรับ E-Coupon 👉 https://www.finnomena.com/coupon-book/kkppromooct2025

Step 2: ลงทุนกองทุนรวมที่ร่วมรายการ และตัดเงินผ่านบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP

ดูกองทุนรวมที่ร่วมรายการ 👉 https://www.finnomena.com/promotions/condition/fund-list

Step 3: รับเงินคืนสูงสุด 300 บาท** หลังทำรายการสำเร็จ (คูปอง 1 ใบ ต่อการทำรายการซื้อเพียง 1 ครั้งเท่านั้น)

📅 โปรโมชันดี ๆ แบบนี้มีตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2568 – 31 ม.ค. 2569 เท่านั้น

💡 อย่ารอช้า รีบเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP ตั้งเป็นบัญชี Settlement หลักสำหรับการลงทุน และเริ่มลงทุนกับ Finnomena Funds เพื่อรับโปรโมชันนี้ได้เลย! 👉 https://partner.finnomena.com/kkp/landing

 

* อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นตามที่ธนาคาร เกียรตินาคินภัทรกำหนด

** สิทธิพิเศษนี้เป็นกิจกรรมส่งเสริมการขาย ไม่ใช่ผลตอบแทนจากการลงทุนหรือดอกเบี้ยเงินฝาก ของสมนาคุณเทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ย 0.03% – 0.10% ต่อปี เมื่อฝากเงินตั้งแต่ 30,000 บาท ถึง 300,000 บาท เป็นเวลา 12 เดือน

*** ข้อมูลดังกล่าวคิดมาจากการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์จำนวน 19 แห่ง โดยอ้างอิงจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2568


คำเตือน: อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกำหนด | บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP เป็นผลิตภัณฑ์ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร | เงื่อนไขผลิตภัณฑ์ ให้บริการเฉพาะประเภทลูกค้า (1) บุคคลธรรมดา สัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 20 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป มีบัตรประชาชนแบบ Smart Card | ผู้ฝากสามารถขอเปิดบัญชีได้เฉพาะบัญชีที่มีชื่อบุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของบัญชี และผู้ฝาก 1 ราย เปิดได้ 1 บัญชี โดยไม่จำกัดรายการฝาก | ผู้ฝากสามารถเปิดบัญชีได้ด้วยตนเองผ่านแอปฯ Finnomena ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. โดยทำการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่านบริการ NDID | การคำนวณดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คิดแบบขั้นบันได (Step Up) ตามอัตราที่กำหนดในแต่ละวงเงิน ธนาคารจะคำนวณจากยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นวัน โดยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินฝากของลูกค้า | ธนาคารจะคำนวณและหักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากดอกเบี้ยเงินฝากตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด | หากพบปัญหาเกี่ยวกับการเปิดบัญชีไม่สำเร็จหรือบริการทางบัญชีเพิ่มเติม โปรดติดต่อ KKP Contact Center โทร 02-165-5555 กด 5 ต่อจากนั้น กด 1 เวลา 07.00-20.00 น. ของทุกวัน | หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Finnomena Application โปรดติดต่อ 02-026-5100 เวลา 09.00 – 17:00 น. ทุกวันทำการ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวม ไม่ใช่การฝากเงิน

ปรับพอร์ต Dynamic Contrarian Portfolio: ลงทุนเหมืองทอง รับอานิสงส์ทองคำเตรียมกลับเป็นขาขึ้น

Jet - The Contrarian Investor
DCM Portfolio

พอร์ตการลงทุนย่อ-ซื้อ ขึ้น-ขาย สไตล์ FundTalk The Contrarian แนะนำเพิ่มน้ำหนัก A-RING ลงทุนเหมืองทอง รับอานิสงส์ทองคำเตรียมกลับเป็นขาขึ้น

Dynamic Contrarian Portfolio

สนใจลงทุน Dynamic Contrarian Model Portfolio
คลิกเลย


แนะนำซื้อกองทุน A-RING

A-RING

Source: Finnomena Funds, Tradingview as of 02/12/2025

ราคาบิทคอยน์ในช่วงต้นเดือนธันวาคมปรับตัวลงแรง และยังคงเคลื่อนไหวสวนทางกับราคาทองคำ รูปแบบดังกล่าวมักเกิดขึ้นในช่วงก่อนการประชุม Fed และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยในปัจจุบันตลาดมีความกังวลต่อความผันผวนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงขึ้น จึงมีเงินบางส่วนไหลออกจากคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง และไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำที่เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าหลังทำ Pattern Double Top ยิ่งช่วยหนุนแรงซื้อในทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติมในระยะสั้น

ราคาทอง

Source: Finnomena Funds, Tradingview as of 02/12/2025

แม้ราคาทองคำจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเทียบกับแร่เงิน (Silver) แล้ว ทองคำยังถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ Laggard  โดยราคาแร่เงินทำ All Time High ไปแล้วในปีนี้ ขณะที่ราคาทองคำยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา การที่ราคาแร่เงินปรับตัวขึ้นแรงกว่าราคาทองคำมักสะท้อนแรงส่งของกลุ่มโลหะมีค่า (Precious Metals) ในภาพรวมและเปิดโอกาสให้ทองคำปรับตัวขึ้นในอนาคต

ราคาทอง

Source: Finnomena Funds, Tradingview as of 02/12/2025

ในเชิงเทคนิค ราคาทองคำกำลังเคลื่อนตัวเบรกเหนือกรอบ Flag Pattern หลังจบรอบปรับฐานสั้น ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเนื่องของขาขึ้น ขณะเดียวกันค่า RSI ฟื้นตัวเข้าสู่โซนบวก แสดงถึงแรงซื้อที่กลับมาเด่นชัด เมื่อเทียบกับบิทคอยน์ซึ่ง RSI ยังอ่อนแรงและกำลังอยู่ในเทรนด์ขาลง (Descending Channel) สอดคล้องกับความสัมพันธ์ในอดีตที่บิทคอยน์มักเคลื่อนไหวสวนทางราคาทองคำในช่วงความเสี่ยงตลาดเพิ่มสูง

หุ้นเหมืองทอง

Source: Finnomena Funds,  Asset Plus as of 31/10/2025

ภายใต้บริบทนี้ หุ้นเหมืองทอง (Gold Miners) ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวและตอบสนองต่อราคาทองคำในเชิงบวกมากกว่า โดยข้อมูลย้อนหลังยาวนานกว่า 20 ปี พบว่าหุ้นเหมืองทองแบบ Pure Play มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย ประมาณ 2 เท่า ของการปรับขึ้นของราคาทองคำในช่วงขาขึ้น สาเหตุสำคัญมาจากโครงสร้างต้นทุนคงที่ของเหมือง เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการขุดทองคำคงที่ ทำให้บริษัทเหมืองทองคำมีกำไรที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาหุ้นมีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนสูงกว่าตัวทองคำเองในรอบเชิงวัฏจักร

FundTalk จึงมีแนะนำเข้าซื้อกองทุน A-RING (Atrackers Global Gold Miners Equity Fund) ซึ่งเป็นกองทุน Passive ที่ลงทุนผ่าน iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ครอบคลุมหุ้นเหมืองทองคำรายใหญ่ระดับโลก เช่น Newmont, Agnico Eagle Mines, Barrick Gold และ Wheaton Precious Metals ซึ่งมีโครงสร้างรายได้อ้างอิงกับราคาทองคำโดยตรง กองทุนมีสัดส่วนลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วที่มีเสถียรภาพ เช่น แคนาดาและสหรัฐฯ รวมกันกว่า 70% โดยมีความกระจุกตัวในบริษัทที่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรระยะยาวแม้ในช่วงราคาทองผันผวน


Dynamic Contrarian Model Portfolio แนะนำขายกองทุน 1AM-TG บางส่วน และลงทุนในกองทุน A-RING

DCM

  • กองทุนพันธบัตรรัฐบาล 1AM-TG สัดส่วน 20%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ SCBCOMP สัดส่วน 10%
  • หุ้นเหมืองทองคำ A-RING สัดส่วน 15%
  • หุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A สัดส่วน 15%
  • หุ้นเทคโนโลยีจีน KFCHINA-T10PLUS-A สัดส่วน 20%
  • หุ้นโลกผันผวนต่ำ K-GPINUH-A(A) สัดส่วน 20%
  • RIETs สหรัฐฯ TUSREIT สัดส่วน 20%

สนใจลงทุน Dynamic Contrarian Model Portfolio
คลิกเลย

จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน


ปรับพอร์ตอัตโนมัติ Automatic Allocation

อย่าลืมเปิดฟังก์ชันปรับพอร์ตอัตโนมัติ! Automatic Allocation ช่วยบริหารพอร์ตตามสภาวะตลาด สะดวก ใช้งานง่าย ให้คุณปรับสมดุลพอร์ตอยู่ในสถานะที่เหมาะสมอยู่เสมอ

สามารถเปิดใช้ Automatic Allocation ได้แล้ววันนี้ที่พอร์ตการลงทุนของคุณ หรือดูวิธีการได้ที่ Finnomena Funds Automatic Allocation


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

จัดพอร์ตสไตล์ Andrew Stotz ออกแบบครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย กับ 3 พอร์ตให้เลือกลงทุน

Finnomena Funds
จัดพอร์ตสไตล์ Andrew Stotz ออกแบบครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย กับ 3 พอร์ตให้เลือกลงทุน

ถ้าจะถามว่ากูรูท่านใดที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากโครงการ GURUPORT ก็คงจะหนีไม่พ้น Dr.Andrew Stotz ซึ่งตอนนี้ได้ออกพอร์ตมาทั้งหมดถึง 3 พอร์ตด้วยกัน ได้แก่ AWS, AWAF และ AWIG

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้ว 3 พอร์ตนี้แตกต่างกันอย่างไร? แบบไหนเหมาะกับใครบ้าง? Finnomena Funds ขอพาทุกท่านไปเจาะลึกพอร์ตตระกูล All Weather ทั้ง 3 พอร์ตในบทความนี้

จัดพอร์ตสไตล์ Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำของประเทศไทย ออกแบบครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย กับ 3 พอร์ตให้เลือกลงทุน ทั้ง AWAF, AWS และ AWIG เริ่มต้นลงทุนง่าย ๆ ผ่าน Finnomena Funds ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws

ลงทุนตามระดับความเสี่ยงนั้นสำคัญไฉน?

ในโลกแห่งการลงทุน สินทรัพย์แต่ละประเภทนั้นมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน  ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนที่สูงขึ้นย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย (high risk high return) ถ้าเราลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ อาจทำให้เราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนตามที่ตั้งใจไว้ หรืออาจไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนเท่าที่ควรเป็น ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ในที่สัดส่วนมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอย่างน่าเสียดาย หรือหากคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูงในสัดส่วนที่มาก อาจทำให้คุณต้องกุมหัวคิดไม่ตกเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง

ดังนั้น ควรประเมินความเสี่ยงของตัวเองก่อนลงทุนเสมอ และจัดสรรพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในโลกการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “ไม่มีสินทรัพย์ใดที่สามารถเอาชนะตลาดได้ตลอดไป”

เลือกลงทุนในความเสี่ยงที่เหมาะสมตามสไตล์ Andrew Stotz

อย่างที่บอกไปในช่วงต้นว่า Andrew Stotz ได้ออกพอร์ตมาทั้งหมด 3 พอร์ตแล้ว ได้แก่ AWS, AWAF และ AWIG โดยทั้ง 3 พอร์ตนี้มีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • ความเสี่ยงสูง: All Weather Alpha Focus (AWAF) 
  • ความเสี่ยงกลาง: All Weather Strategy (AWS)
  • ความเสี่ยงต่ำ: All Weather Inflation Guard (AWIG)

สร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มด้วยพอร์ต All Weather Alpha Focus (AWAF)

พอร์ต All Weather Alpha Focus (AWAF) คือพอร์ตการลงทุนที่เน้นการสร้างโอกาสในการได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) ระยะยาวทั้งในสภาวะขาขึ้นและขาลงของตลาดหุ้น ผ่านกลยุทธ์ในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มอุตสาหกรรม ภูมิภาค และธีมการลงทุนต่าง ๆ ตามสภาวะตลาด (Tactical Allocation) เพื่อสร้างโอกาสการทำกำไรและช่วยบริหารความเสี่ยงในภาวะตลาดขาลง

  • ระดับความเสี่ยง: สูง
  • แนวทางการปรับพอร์ต: Rebalance ทุกไตรมาส หรือเมื่อต้องการลดความเสี่ยงสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ
  • เงินลงทุนขั้นต่ำ: 500,000 บาท

กลยุทธ์การลงทุนของพอร์ต AWAF

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของพอร์ต AWAF จะอ้างอิงจากโมเดล “FVMR Framework” ที่ถูกนำมาทดสอบอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • F (Fundamental) วิเคราะห์ผ่านปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผู้บริหารที่เปรียบเสมือนหัวใจหลักในการดำเนินกลยุทธ์และขับเคลื่อนกำไรของบริษัท
  • V (Valuation) วิเคราะห์มูลค่าเพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนนั้น ๆ มีความได้เปรียบในการเข้าลงทุน เช่น วิเคราะห์ผ่านสัดส่วนทางการเงิน PE, PEG, PB
  • M (Momentum) มองหาโมเมนตัมกำไรและราคาเพื่อให้แน่ใจว่าสินทรัพย์นั้น ๆ มีคุณภาพในการขับเคลื่อนไม่จมไปกับมูลค่าและสามารถเข้าลงทุนได้
  • R (Risk) เลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและเสถียร รวมถึงมีความเสี่ยงทางด้านการเงินและกำไรของบริษัทที่ต่ำ

 

พร้อมวิเคราะห์ผ่านปัจจัยมหภาค (Macro) โดยใช้โมเดล FVMR เพื่อทำให้แน่ใจว่าคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจมากที่สุดตามสภาวะตลาด

สัดส่วนการลงทุนของพอร์ต AWAF

  • หุ้น – 93%
  • ตราสารหนี้ – 3%
  • ทองคำ – 4%

พร้อมลุยทุกสภาวะตลาดด้วยพอร์ต All Weather Strategy (AWS)

พอร์ต All Weather Strategy (AWS) เป็นพอร์ตการลงทุนที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาวให้ได้มากที่สุด สัดส่วนหุ้นในพอร์ตสามารถปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 25-85% ตามสถานการณ์ พร้อมลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ เพื่อช่วยปกป้องพอร์ตในสภาวะตลาดผันผวน

  • ระดับความเสี่ยง: กลาง
  • แนวทางการปรับพอร์ต: Rebalance ทุกไตรมาส หรือเมื่อต้องการลดความเสี่ยงสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ
  • เงินลงทุนขั้นต่ำ: 500,000 บาท

กลยุทธ์การลงทุนของพอร์ต AWS (ณ เดือนกันยายน 2568)

เน้นสัดส่วน (Conviction) 25% ไปที่สินทรัพย์ 3 สินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดในแต่ละช่วงเวลา เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ผ่านหลักแนวคิด FVMR เช่นเดียวกับพอร์ต AWAF ที่ช่วยให้นักวิเคราะห์ไม่พลาดตกหล่นปัจจัยที่เกี่ยวข้องไป

สัดส่วนการลงทุนของพอร์ต AWS (ณ เดือนกันยายน 2568)

  • หุ้น – 70%
  • ตราสารหนี้ – 5%
  • ทองคำ – 25%

ตั้งการ์ดรับเงินเฟ้อด้วยพอร์ต All Weather Inflation Guard (AWIG)

พอร์ต All Weather Inflation Guard (AWIG) เป็นพอร์ตการลงทุนระยะยาวเพื่อตอบสนองต่อสภาวะเงินเฟ้อโดยเฉพาะ เน้นลงทุนในพันธบัตรเป็นกลยุทธ์หลัก และลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วนปานกลาง พร้อมควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพอร์ตอื่น ๆ ของ Andrew Stotz โดยมีการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงไปยังพันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และน้ำมัน เป็นพอร์ตที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเอาชนะเงินเฟ้อ และต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงิน

  • ระดับความเสี่ยง: ต่ำ
  • แนวทางการปรับพอร์ต: Rebalance ทุกไตรมาส หรือเมื่อต้องการลดความเสี่ยงสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ
  • เงินลงทุนขั้นต่ำ: 500,000 บาท

กลยุทธ์การลงทุนของพอร์ต AWIG

สำหรับพอร์ต All Weather Inflation Guard (AWIG) จะใช้กลยุทธ์ “FVMR” เช่นเดียวกับพอร์ต All Weather Alpha Focus (AWAF) และพอร์ต All Weather Strategy (AWS) โดยเป็นโมเดลที่ออกแบบโดย Andrew Stotz และทีมงาน ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีการทดสอบปัจจัยต่าง ๆ ย้อนหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริงและเข้ากับสถานการณ์ตลาดในแต่ละช่วงเวลา มีการวิจัยและทดสอบอย่างสม่ำเสมอ พร้อมตัดอคติออกจากการวิเคราะห์ในทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยยึดการลงทุนในระยะยาวเป็นหัวใจสำคัญ

สัดส่วนการลงทุนของพอร์ต AWIG (ณ เดือนกันยายน 2568)

  • หุ้น – 25%
  • ตราสารหนี้ – 65%
  • ทองคำ – 10%

ประชันผลตอบแทน 3 พอร์ตตระกูล All Weather

จัดพอร์ตสไตล์ Andrew Stotz ออกแบบครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย กับ 3 พอร์ตให้เลือกลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผลการดำเนินงานของดัชนีอ้างอิงและกลยุทธ์ถูกคำนวณจากมูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) ของกองทุน ซึ่งเป็นตัวเลขหลังหักค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) แล้ว แต่ไม่รวมค่าธรรมเนียมการขาย เช่น front-end fees

ผลการดำเนินงานจริงของพอร์ต AWAF, AWS และ AWIG
ที่มา: A. Stotz Investment Research ณ วันที่ 30 พ.ย. 2568

จากภาพด้านบนเป็นกราฟเส้นแสดงผลตอบแทนจริงของพอร์ต AWAF (สีแดง) พอร์ต AWS (สีฟ้า) และพอร์ต AWIG (สีเขียว) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2025 จะเห็นได้ว่า พอร์ต AWS และ AWAF แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2023 ที่กราฟผลตอบแทนของทั้งสองพอร์ตพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2025 พอร์ต AWS สร้างผลตอบแทนได้ 39.2% และพอร์ต AWAF สร้างผลตอบแทนได้ 37.3%*

ในขณะเดียวกัน พอร์ต AWIG ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ แม้ผลตอบแทนโดยรวมจะไม่ได้สูงเท่าสองพอร์ตแรก แต่การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและควบคุมความผันผวนให้อยู่ในระดับต่ำถือเป็นจุดแข็งสำคัญของกลยุทธ์นี้ โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2025 พอร์ต AWIG สร้างผลตอบแทนอยู่ได้ 17.9%* ซึ่งบ่งชี้ว่าพอร์ตนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง

*ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

สรุปรวม 3 พอร์ตตระกูล All Weather

จัดพอร์ตสไตล์ Andrew Stotz ออกแบบครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย กับ 3 พอร์ตให้เลือกลงทุน

ทั้ง 3 พอร์ตใช้หลัก Asset Allocation ในการลงทุนเป็นหลัก ซึ่งมีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และตราสารทางเลือก โดยจะจัดสรรสัดส่วนการลงทุนแต่ละประเภทสินทรัพย์ตามกลยุทธ์ของแต่ละพอร์ต มีการวิเคราะห์ผ่านโมเดล FVMR ที่ออกแบบโดย Andrew Stotz และทีมงาน ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้จริง

ทั้ง 3 พอร์ต ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท โดยทุกพอร์ตไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการจัดพอร์ตลงทุน พร้อมมีบริการ Rebalance ปรับพอร์ตตามความสมควรและสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 พอร์ตนั้น มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ผลตอบแทนคาดการณ์โดยเฉลี่ยมีความต่างกันตามไปด้วย พอร์ต AWAF ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นมากที่สุดในบรรดา 3 พอร์ต ในสัดส่วน 93% และลงทุนในตราสารหนี้เพียง 3% ในขณะที่พอร์ต AWIG ซึ่งเป็นพอร์ตที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ให้น้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ถึง 65% ดังนั้น ลองสำรวจตัวเองและเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้

.

หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสัดส่วนการลงทุนแนะนำ หรือรายละเอียดพอร์ต สามารถปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนของ Finnomena Funds ก่อนเริ่มลงทุนได้ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม กรอกข้อมูลเพื่อรับบริการได้ที่ https://finno.me/wtg-ws

จัดพอร์ตสไตล์ Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำของประเทศไทย ออกแบบครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย กับ 3 พอร์ตให้เลือกลงทุน ทั้ง AWAF, AWS และ AWIG เริ่มต้นลงทุนง่าย ๆ ผ่าน Finnomena Funds ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลองสร้างแผนได้ที่ https://finno.me/plan-guruport-aws-ws


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

อัปเกรดมุมมองตราสารหนี้ไทย ทยอยเก็บสะสมกองทุนอะไรดี ?

Finnomena Funds
อัปเกรดมุมมองตราสารหนี้ไทย ทยอยเก็บสะสมกองทุนอะไรดี ?

Finnomena Funds ปรับเพิ่มมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ไทย เมื่อความผันผวนคลี่คลาย Fund Flow หยุดไหลออก ส่วน Bond Yield 10 ปี ต่ำกว่าระดับ 1.8% เป็นโอกาสทยอยเก็บสะสมกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง แนะนำ KFAFIX-A และลดหย่อนภาษี K-ESGBF-ThaiESG

อัปเกรดมุมมองตราสารหนี้ไทย ทยอยเก็บสะสมกองทุนอะไรดี ?


จากกรณีที่เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 ที่ผ่านมา ได้เกิดความผันผวนต่อตลาดตราสารหนี้ไทย จากแรงขายทำกำไรจำนวนมาก โดยเฉพาะในตราสารหนี้อายุยาว ส่งผลให้ Bond Yield ไทย 10 ปี เด้งแรงในเวลาอันสั้น และกดดันต่อ NAV กองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยระยะยาวปรับตัวร่วงแรง

ในเวลานั้น Finnomena Funds แนะนำให้นักลงทุน “รอจังหวะ” Wait & See พักเงินในกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อรอให้ Bond Yield 10 ปี แตะไปถึงระดับ 1.80% เพราะเป็นจุดที่ผลตอบแทนเริ่มชดเชยความเสี่ยงได้เหมาะสม รวมทั้งรอวันที่แนวโน้ม Fund Flow เริ่มหยุดไหลออก แล้วค่อยพิจารณากลับเข้าลงทุนใหม่อีกครั้ง

ง Bond Yield ไทย อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1.8%

Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 24/11/2025

ทั้งนี้ ล่าสุดความเคลื่อนไหวของ Bond Yield ไทย อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1.8% ที่เราเคยกำหนดกลยุทธ์ไว้ และเริ่มย่อลงมาได้แล้ว

Fund Flow ของกองทุนตราสารหนี้ไทยระยะกลาง-ยาว

Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/11/2025

ประกอบกับทิศทาง Fund Flow ของกองทุนตราสารหนี้ไทยระยะกลาง-ยาว ก็เริ่มเห็นเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาแล้วเช่นกัน 

ดังนั้น Finnomena Funds จึงมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อตราสารหนี้ไทย โดยปรับเพิ่มมุมมองจาก Neutral ขึ้นเป็น Slightly Positive เนื่องจาก Bond Yield อายุ 10 ปี ทดสอบ 1.8% และย่อลงมาได้ รวมทั้งเริ่มเห็น Fund Flow ไหลกลับเข้ามาแล้ว

แนะนำสะสมกองทุนตราสารหนี้ไทย KFAFIX-A จาก บลจ. กรุงศรี ที่มี Duration ประมาณ 2 ปี 6 เดือน และเป็นโอกาสเข้าซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG อย่าง K-ESGBF-THAIESG จาก บลจ. กสิกรไทย ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ไทยยั่งยืนอายุเฉลี่ยปานกลาง

เหตุผลที่รอบนี้เราชอบกองทุนตราสารหนี้ไทยอายุเฉลี่ยปานกลาง มากกว่ากองทุนที่มีตราสารอายุยาว ๆ เพราะว่า Upside ต่อการปรับลดดอกเบี้ยเริ่มน้อยลงแล้ว นอกจากนี้ ตราสารอายุปานกลางยังมีความยืดหยุ่นสูงกว่า และช่วยลดกระทบความเสี่ยงหากตลาดการเงินเกิดความผันผวนรุนแรง

Bloomberg Consensus ระบุว่านักวิเคราะห์คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะลดลงเหลือ 1% ภายในไตรมาส Q1/2026 เช่นเดียวกับตลาดการเงินที่สะท้อนคาดการณ์ดอกเบี้ยที่ระดับใกล้ 1% ในอีก 1 ปี (ปัจจุบันดอกเบี้ยไทยอยู่ที่ 1.50%)


กองทุนแนะนำ ตราสารหนี้ไทย

KFAFIX-A กองทุนเปิดกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้ ชนิดสะสมมูลค่า

  • ระดับความเสี่ยง: 4
  • นโยบายกองทุน: บริหารเชิงรุกด้วยการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางหลากหลายประเภท และมีความยืดหยุ่นในการจัดสรรพอร์ตการลงทุน โดยปัจจุบันเน้นลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีคุณภาพดี ซึ่งมีศักยภาพในการลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด อีกทั้งยังกระจายลงทุนในตราสารภาครัฐ เพื่อรักษาสภาพคล่อง และหาโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
  • กรอบอายุตราสารหนี้ (Target Duration): 2 – 3 ปี
  • อันดันความน่าเชื่อถือเฉลี่ย (Average Credit Rating): A+
  • อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (Yield to Maturity): ประมาณ 1.89%
  • การลงทุนในต่างประเทศ: กำหนดน้ำหนัก 0 – 30% ของ NAV ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนที่ 22.67% จากตราสารหนี้ต่างประเทศระดับ A พร้อมป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
  • รายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมที่ www.finnomena.com/fund/KFAFIX-A

 

K-ESGBF-THAIESG กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน

  • นโยบายกองทุน: กองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG ที่ลงทุนผสมผสานระหว่างตราสารหนี้ไทยยั่งยืนภาครัฐอายุเฉลี่ยยาว 10-12 ปี และภาคเอกชน อายุสั้นกว่า (2-7 ปี) ทำให้อายุเฉลี่ยโดยรวมของกองทุนต่ำลง เน้นกลุ่ม Investment Grade ขึ้นไป และยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนให้เหมาะกับสถานการณ์ตลาด
  • กรอบอายุตราสารหนี้ (Target Duration): 3 – 7 ปี
  • อันดันความน่าเชื่อถือเฉลี่ย (Average Credit Rating): A- หรือสูงกว่า
  • อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (Yield to Maturity): ประมาณ 2.00%
  • การลงทุนในต่างประเทศ: ตั้งใจจะไม่ลงทุนในต่างประเทศ แต่หากมีความจำเป็น จะทำการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
  • รายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมที่ www.finnomena.com/fund/K-ESGBF-ThaiESG

 

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/fund


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

Finnomena Funds
วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

สอนยื่นภาษีออนไลน์ปี 2568 ทำตามง่าย ๆ Step-by-Step พร้อมเคลียร์ทุกข้อสงสัย ใครต้องยื่นภาษี ยื่นภาษีได้ถึงวันไหน ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง ช่องทางการจ่ายภาษี และยื่นภาษียังไงให้ได้เงินคืน มาเตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษีปีนี้กันเลย

สำหรับคนไทยทุกคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือชาวฟรีแลนซ์ หน้าที่ที่ต้องทำเป็นประจำทุกปีคือการ “ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” 

บทความนี้เราจึงสรุป “วิธียื่นภาษีออนไลน์ ฉบับมือใหม่ทำตามได้ง่ายสุด ๆ” มาฝากทุกคนเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษีในช่วงต้นปี 2569 ที่จะถึงนี้กัน จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ติดตามไปพร้อมกันได้เลย!

“Tax Cal” เครื่องมือวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณรู้ภาษีที่ต้องจ่าย เห็นวงเงินลดหย่อนที่เหลือ และวางแผนลงทุนลดหย่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่นาที

ลองใช้ฟรี! 👉 www.finnomena.com/tax/คำนวณภาษี

สารบัญ

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร?

กรมสรรพากรได้นิยามความหมายของคำว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ไว้ว่า

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ ตามที่กฎหมายกำหนด และมีรายได้เกิดขึ้น ตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยปกติจัดเก็บเป็นรายปี รายได้ที่เกิดข้ึนในปีใด ๆ ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเอง ตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนดภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป

ใครมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีบ้าง?

คนไทยทุกคนที่มีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบ่งเกณฑ์ตามสถานะโสดและสมรส โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. คนโสดที่มีรายได้เป็นเงินเดือนตั้งแต่ 10,000 บาท ต่อเดือน (ภ.ง.ด. 91) หรือ 120,000 บาท ต่อปี รวมถึงคนโสดที่มีรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน (ภ.ง.ด. 90) ตั้งแต่ 5,000 บาท ต่อเดือน หรือ 60,000 บาท ต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นภาษี
  2. คนที่สมรสแล้วที่มีรายได้เป็นเงินเดือน (ภ.ง.ด. 91) ตั้งแต่ 18,333 บาท ต่อเดือน หรือ 220,000 บาท ต่อปี รวมถึงคนที่สมรสแล้วที่มีรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน (ภ.ง.ด. 90) ตั้งแต่ 10,000 บาท ต่อเดือน หรือ 120,000 บาท ต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นภาษี

 

อ่านเพิ่มเติม สรุปวิธีคำนวณภาษี: รายได้เท่าไรต้องเสียภาษีเท่าไร?

ยื่นภาษีได้ถึงวันไหน?

ปกติการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะยื่นปีละ 1 ครั้ง ภายในวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม ของปีถัดไป เช่น รายได้เกิดขึ้นในปี 2568 (ปีภาษี 2568) ต้องยื่นภาษีภายในวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2569

หากเป็นเงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น จะต้องยื่นภาษีตอนกลางปี ภายในเดือนกันยายนของทุกปี

เอกสารที่ต้องเตรียมตอนยื่นภาษีออนไลน์

การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ภ.ง.ด. 91 สำหรับผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว และ ภ.ง.ด. 90 สำหรับผู้ที่มีรายได้อื่น ๆ นอกเหนือจากเงินเดือน โดยมีเอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับยื่นภาษีดังนี้

  • หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) โดยเป็นเอกสารที่แสดงถึงรายได้รวมทั้งปี หลังจากหักชำระกองทุน หรือเงินทุนสำรองต่าง ๆ – อ่านเพิ่มเติม ใบทวิ 50 คืออะไร ขอได้ที่ไหน? I TAX เพื่อนๆ EP7
  • รายการลดหย่อนภาษีที่รวบรวมไว้ทั้งปี เช่น ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา ค่าเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น
  • เอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีเพื่อประกอบการกรอกแบบฟอร์มยื่นภาษี เช่น จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน เบี้ยประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการ เป็นต้น

สอนยื่นภาษีออนไลน์ ฉบับมือใหม่ทำตามได้ง่ายสุด ๆ

ขั้นตอนที่ 1: เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร 

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://efiling.rd.go.th/ และเลือก “ยื่นแบบออนไลน์”

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2565 ฉบับมือใหม่ทำตามได้ง่ายสุด ๆ

หากท่านใดยังไม่มีบัญชีให้กด “สมัครสมาชิก” ก่อน โดยระบบจะให้กรอกข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ เช่น เลขบัตรประจำตัวประชาชน (เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร) วันเดือนปีเกิด เลขหลังบัตรประชาชน ที่อยู่ อีเมล พร้อมสร้างรหัสผ่านเพื่อใช้ในการเข้าสู่ระบบ E-filing สำหรับยื่นภาษีออนไลน์

ขั้นตอนที่ 2: เข้าสู่ระบบ E-filing ของกรมสรรพากร

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

เข้าสู่ระบบ E-filing โดยการกรอกเลขบัตรประชาชนในช่องชื่อผู้ใช้งาน พร้อมกรอกรหัสผ่าน และกด “ตกลง” จากนั้นยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP 6 หลัก ผ่านเบอร์โทรศัพท์มือถือ

ขั้นตอนที่ 3: เลือกยื่นแบบภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 90/91

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

อ่านและยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขในการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร จากนั้นกด “เข้าสู่ระบบ” และเลือก “ยื่นแบบ” ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90/91

ขั้นตอนที่ 4: กรอกข้อมูลผู้เสียภาษี

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

ตรวจสอบข้อมูลผู้เสียภาษี ได้แก่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด และสถานที่ติดต่อ จากนั้นเลือกสถานะ และกด “ถัดไป”

ขั้นตอนที่ 5: กรอกเงินได้

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

กรอกข้อมูลรายได้จากเงินเดือน โดยนำข้อมูลมาจากหนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) พร้อมกรอกเลขผู้จ่ายเงินได้ (เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัทที่เราทำงานอยู่)

ทั้งนี้สำหรับคนที่เปลี่ยนที่ทำงานระหว่างปีให้ขอหนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) กับที่ทำงานเก่าเพื่อนำมากรอกข้อมูลยื่นภาษีเงินได้

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2565 ฉบับมือใหม่ทำตามได้ง่ายสุด ๆ

และหากใครมีรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือน เช่น รายได้จากฟรีแลนซ์ รับจ้างทั่วไป และวิชาชีพอิสระ, รายได้จากทรัพย์สิน และการทำธุรกิจ, รายได้จากการลงทุน และรายได้จากมรดกหรือได้รับมา ให้กรอกข้อมูลลงไปด้วย

หลังจากกรอกข้อมูลเงินได้เรียบร้อยแล้วให้กด “ถัดไป”

ขั้นตอนที่ 6: กรอกค่าลดหย่อน

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

กรอกข้อมูลค่าลดหย่อนต่าง ๆ ที่มี เช่น ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา-มารดา ค่าลดหย่อนบุตร เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม เบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันสุขภาพ จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน RMF กองทุน Thai ESG และเงินบริจาค เป็นต้น

หลังจากกรอกข้อมูลค่าลดหย่อนเรียบร้อยแล้วให้กด “ถัดไป”

อ่านเพิ่มเติม ลดหย่อนภาษี: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!

ขั้นตอนที่ 7: ตรวจสอบข้อมูล

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

ตรวจสอบข้อมูลเงินได้และค่าลดหย่อนทั้งหมดที่ได้กรอกไป โดยระบบจะทำการคำนวณภาษีที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ซึ่งหากมีการชำระภาษีไปแล้วระบบจะแจ้งยอดที่ชำระเกิน โดยสามารถขอคืนภาษีที่ชำระเกินได้ รวมถึงนำเงินภาษีที่ชำระเกินไปอุดหนุนพรรคการเมืองได้

หลังจากตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเรียบร้อยแล้วให้กด “ถัดไป”

ขั้นตอนที่ 8: ยืนยันการยื่นแบบ

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 สรุปให้เข้าใจง่ายทุกขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้ด้วยตัวเอง

เมื่อตรวจสอบข้อมูลครบถ้วนแล้ว กด “ยืนยันการยื่นแบบ” เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านช่องทางออนไลน์

ผลการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

กรณีไม่มีภาษีต้องชำระ หรือมีภาษีชำระไว้เกิน

ในกรณีไม่มีภาษีต้องชำระ ระบบจะแจ้งผลการยื่นแบบและหมายเลขอ้างอิง พร้อมออกเอกสารแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและใบเสร็จรับเงินเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบ

กรณีมีภาษีชำระไว้เกิน กรมสรรพากรจะทำการอนุมัติคืนภาษีให้ทันที โดยสามารถเลือกรับคืนเงินภาษีที่ชำระเกินได้ทั้งช่องทางพร้อมเพย์ และบัญชีของธนาคารกรุงไทย พร้อมติดตามสถานะคืนเงินภาษีได้ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://www.rd.go.th/

กรณีมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติม

ในกรณีมีภาษีต้องชำระเพิ่มสามารถเลือกชำระภาษีได้หลายช่องทาง ได้แก่ QR Code, E-Payment, Internet Credit Card, ATM on Internet, บัตรภาษี และชำระผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น Pay-In Slip ผ่านช่องทาง Counter Service, Tele-Banking และอื่น ๆ

ทั้งนี้หากมียอดภาษีที่ต้องชำระตั้งแต่ 3,000 บาท ขึ้นไป สามารถเลือกผ่อนชำระภาษีได้สูงสุด 3 งวดเท่า ๆ กัน โดยไม่มีดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่ชำระเงินภายในวันที่กำหนด (หากไม่ชำระภายในวันที่กำหนดจะคิดดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีงวดที่เหลือ) โดยระบบจะคำนวณยอดชำระพร้อมกำหนดวันที่ต้องชำระให้ทั้ง 3 งวด และจะมี SMS จากกรมสรรพากรแจ้งเตือนเมื่อครบกำหนดวันที่ต้องชำระภาษี

ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2568 ต้องซื้ออย่างมีกลยุทธ์!
ซื้อที่ Finnomena Funds ซื้อได้ครบทั้ง 21 บลจ. ไม่ว่าจะเป็นกองทุน RMF และ Thai ESG

พิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ กดรับสิทธิ์คูปองก่อนเปิดบัญชี
รับฟรี หน่วยลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน K-CASH มูลค่า 100 บาท

📌 ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/Taxtactic25-ws


คำเตือน

  • ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน
  • การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน
  • กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

 

Michael Burry ฟาดแรง “Tesla แพงไร้เหตุผล” หุ้นเทรด Forward P/E 200 เท่า ย้ำฟองสบู่เทคใกล้แตก

Finnomena
Michael Burry Tesla

Michael Burry นักลงทุนชื่อดังเจ้าของฉายา The Big Short ออกมาเตือนแรงว่า Tesla ของ Elon Musk อยู่ในสถานะ “แพงเกินจริง” และกำลังทำให้ผู้ถือหุ้นถูกเจือจาง (Dilute) อย่างต่อเนื่อง 

โดยเขาเขียนใน Substack ว่า Tesla ไม่มีนโยบายซื้อหุ้นคืน ขณะที่แผนการให้ค่าตอบแทน Musk มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และอาจทำให้ Musk ได้รับหุ้นมากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้าน Dilution ที่สูงอยู่แล้ว

มูลค่าสูงเกินจริงมานาน

Burry ชี้ว่าหุ้น Tesla เทรดที่กว่า 200 เท่าของกำไรล่วงหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีของบริษัทเองเกือบเท่าตัว และสูงกว่า S&P 500 ที่ราว 22 เท่าแบบคนละระดับ เมื่อเทียบกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่อยู่เพียงหลักเดียวถึงหลักสิบต้น ๆ 

เขายังเหน็บว่า Tesla มักเปลี่ยน “เรื่องเล่า” เพื่อขายความหวัง ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบขับขี่อัตโนมัติ และล่าสุดคือหุ่นยนต์ ซึ่งเขาเชื่อว่าเกิดขึ้นทุกครั้งที่ “คู่แข่งเริ่มไล่ทัน” ด้าน

แม้ Tesla ยังไม่ได้ตอบกลับต่อคำวิจารณ์ครั้งนี้ แต่ Burry เองก็ไม่ใช่มือใหม่ในฝั่งขาลง เพราะเขาเคยถือสถานะ Short ต่อ Tesla มูลค่า 530 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 ก่อนที่เขาจะปิดสถานะ โดยระบุว่าเป็นเพียง “การเทรดระยะสั้น” เท่านั้น

ความเชื่อเริ่มล้น ความเสี่ยงขยายตัว

นอกจากนี้ ความเห็นรอบใหม่ของเขายังเกิดขึ้นต่อเนื่องจากการที่ Burry เพิ่งออกมาวิจารณ์ Nvidia และ Palantir ว่ากำลังโหนกระแส AI จนเกินจริง พร้อมตั้งคำถามว่ากำไรส่วนหนึ่งอาจมาจาก “การบัญชีเชิงรุก” ที่โยกต้นทุนฮาร์ดแวร์ไปซ่อนในรายการอื่นเพื่อทำให้ตัวเลขออกมาดูดีเกินจริง

ในภาพรวม Burry เชื่อว่ากระแส AI และหุ้นเทคขนาดใหญ่เริ่มมีลักษณะคล้ายฟองสบู่ ซึ่งสร้างความคล้ายคลึงกับสัญญาณก่อนวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 ที่ทำให้เขาโด่งดังในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Tesla ยังฟื้นตัวได้ราว 11% ในปีนี้ จากแรงหนุนความหวังเกี่ยวกับ Robotaxi หุ่นยนต์ Optimus และการคาดการณ์ว่า Tesla จะเป็นผู้นำโลกในยุคยานยนต์อัตโนมัติ แต่เส้นทางข้างหน้าก็ยังไม่ง่าย เพราะการแข่งขันเริ่มดุเดือดขึ้น ทั้งจาก Waymo ในสหรัฐฯ และสตาร์ทอัพจีนที่กำลังก้าวหน้าในเทคโนโลยีหุ่นยนต์อย่างรวดเร็ว

ด้าน Elon Musk เองยังคงเชื่อมั่นว่า Tesla ถูกประเมินต่ำ และจะก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่ความคาดหวังเหล่านี้จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยผลประกอบการจริง ในยุคที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มอิ่มตัว และกฎระเบียบก็กำลังเข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


อ้างอิง: Reuters

กองทุนแนะนำ Santa Claus Rally คว้าโอกาสลงทุนโค้งสุดท้ายของปี [อัปเดต 2 ธ.ค. 2025]

Finnomena Funds
กองทุนแนะนำ Santa Claus Rally

อัปเดตคำแนะนำล่าสุดของ FundTalk, Mr.Mesenger และ MEVT Call คว้าโอกาสเข้าลงทุนก่อน Santa Claus Rally พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ! ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการ รับ Cashback รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท

Santa Claus Rally ปี 2025Source: Finnomena Funds, Macrobond, S&P Global as of 1/12/2025

Santa Claus Rally เป็นปรากฏการณ์ในโลกการลงทุนที่เชื่อกันว่าตลาดหุ้นมักมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ซึ่งจะตรงกับเทศกาลวันคริสต์มาสไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่ 

นี่ถือเป็นอีกหนึ่ง Timing ที่ดีในการเข้าทะยอยลงทุน เพื่อรับโอกาสที่ตลาดจะทะยานขึ้น โดยกราฟแสดงผลตอบแทนย้อนหลังระหว่างปี 2014-2023 ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ในช่วง 15-20 วันก่อนถึงวันคริสมาสต์ (25 ธ.ค.) พบว่าตลาดมักจะอ่อนตัวลง แล้วจึงค่อย ๆ ไต่ขึ้นจนกลับเป็นบวกจากแรงซื้อตอนปลายปี 

และหลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักมีแนวโน้มเป็นบวกต่อเนื่อง จนไปพุ่งขึ้นสูงสุดประมาณวันที่ 35 ถึง 40 วันทำการหลังคริสต์มาส แปลว่าหากปี 2025 นี้ การเคลื่อนไหวของ S&P500 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต เราก็ไม่ควรพลาดจังหวะการลงทุนผ่านกองทุนแนะนำที่ Finnomena Funds คัดมาให้แล้ว


สรุปกองทุนแนะนำ Finnomena Funds

กองทุนแนะนำ Santa Claus Rally

อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2025 โดย Finnomena Funds

ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena

1. ES-GTECH กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Technology

  • ระดับความเสี่ยง 7
  • ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีผ่านกองทุนหลัก Polar Capital Funds Plc Global Technology Fund โดยจะคัดเลือกหุ้นที่มีความเป็นผู้นำ ได้รับประโยชน์จาก AI และธุรกิจกำลังสร้าง New S-curve
  • มีปัจจัยหนุนจากการประกาศผลประกอบการหุ้น Big Tech ในสหรัฐฯ และข้อมูลความต้องการใช้ AI ที่เติบโตต่อเนื่อง
  • รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/ES-GTECH

2. A-RING กองทุนเปิด เอแทรคเกอร์ส โกลบอล โกลด์ ไมเนอร์ส อิควิตี้

  • ระดับความเสี่ยง 7
  • ลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำ ผ่านกองทุนหลัก iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ซึ่งเป็น Passive ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี MSCI ACWI Select Gold Miners Investable Market Index
  • ได้ลงทุนในหุ้น Pure-play Gold Miners ซึ่งสถิติย้อนหลังในอดีตช่วงรอบทองคำขาขึ้น พบว่าราคาหุ้นเหมืองทองมักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2 เท่าของราคาทองคำแท่ง
  • รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/A-RING

3. B-BHARATA กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก Nippon India Equity Fund เน้นหุ้นอินเดียที่เติบโตระยะยาว
  • คว้าประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐภิจภายในประเทศ โดยมองว่าอินเดียยังคงมีปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่ง และราคาหุ้นอินเดียยังคง Laggard กลุ่ม Emerging Markets
  • รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/B-BHARATA

4. PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนในหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพเติบโตสูง ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนแรกของไทยที่เข้าไปลงทุนตรงในหลักทรัพย์ของประเทศเวียดนาม
  • เหมาะกับการเก็บสะสมระยะยาว เพื่อรอรับ Fund Flow ขนาดใหญ่ที่กำลังไหลเข้าตลาดตั้งแต่ปีหน้า หลังถูกยกระดับสู่ FTSE EM Market 
  • รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/PRINCIPAL VNEQ-A

5. X-NUCTECH กองทุนเปิดเอ็กซ์สปริงเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียม

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนผ่านกองทุนหลัก VanEck Uranium and Nuclear Technologies UCITS ETF (NUCL) ที่มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียม
  • มีแรงสนับสนุนระยะยาวจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในยุคปัจจุบัน ทั้งจากการเติบโตของ Cloud Data, Data Center, EV และเทรนด์พลังงานสะอาด
  • รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/X-NUCTECH

6. KKP GINFRAEQ-H กองทุนเปิดเคเคพี โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ อิควิตี้ เฮดจ์ ชนิดทั่วไป

  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ลงทุนในหุ้นโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกผ่านกองทุนหลัก Lazard Global Listed Infrastructure Fund
  • เป็นธีมที่น่าสนใจในรอบดอกเบี้ยขาลง ประกอบกับ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง สะท้อนโอกาสการปรับตัวขึ้นได้ ในระยะต่อไป
  • รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/KKP GINFRAEQ-H

7. KT-BOND กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ บอนด์ ฟันด์

  • ระดับความเสี่ยง 4
  • ลงทุนในตราสารหนี้โลกอายุยาว ผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Global Bond Fund ปัจจุบันมี Duration ประมาณ 7 ปี และให้ Yield to Maturity ที่ประมาณ 6.42%
  • รับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงจากแนวโน้มที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต
  • รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/KT-BOND

8. ES-GAINCOME-A กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Multi Asset Income ชนิดสะสมมูลค่า

  • ระดับความเสี่ยง 5
  • กองทุนที่มีกลยุทธ์ Global Multi-Asset Allocation กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก 
  • เน้นสร้างกระแสเงินสด ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และช่วยลดความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง ด้วยการทำ Headging 
  • รายละเอียดเพิ่มเติม → www.finnomena.com/fund/ES-GAINCOME-A

พิเศษโปรโมชั่น ! แจกหนัก จัดเต็ม แจก E-Coupon เพื่อรับ Cashback เป็นหน่วยลงทุน K-CASH* (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) รวมมูลค่าสูงสุด 40,000 บาท ซื้อกองทุนที่เข้าร่วมรายการบนแอป Finnomena ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 ธันวาคม 2025

กดรับคูปองก่อนซื้อกองทุน www.finnomena.com/promotions

เช็กกองทุนที่เข้าร่วม www.finnomena.com/promotions/e-coupon/fund-list

ข้อกำหนดและเงื่อนไข:

  • การใช้คูปองจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อลูกค้าได้ยืนยันการใช้งานเรียบร้อยแล้ว
  • คูปอง 1 ใบ สามารถใช้ได้กับการทำรายการซื้อเพียง 1 ครั้งเท่านั้น
  • ยอดเงินลงทุนจะคำนวณจากมูลค่าการซื้อและสับเปลี่ยนเข้าสู่กองทุนที่ร่วมรายการเท่านั้น
  • บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไม่นำรายการลงทุนในกองทุนที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการซื้อหน่วยลงทุนหรือค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนมาคำนวณเพื่อรับ Cashback
  • คูปองไม่สามารถจำหน่าย โอนสิทธิ์ แลกเปลี่ยน หรือแลกเป็นเงินสดได้
  • คูปองไม่สามารถใช้กับการปรับพอร์ตการลงทุน (PRA) และการลงทุนแบบทยอยสะสมมูลค่า (DCA)
  • ลูกค้าจะได้รับของรางวัลภายใน 21 วัน นับจากวันที่หน่วยลงทุนถูกจัดสรรเข้าสู่พอร์ตของลูกค้าเรียบร้อยแล้ว
  • ลูกค้าสามารถยกเลิกการใช้งานคูปองได้ภายในวันที่ใช้ โดยต้องดำเนินการก่อนเวลา 23:59 น. และจะได้รับคูปองคืนภายใน 3 วันทำการ
  • ในกรณีที่คำสั่งซื้อหน่วยลงทุนถูกยกเลิก คูปองจะถูกคืนกลับให้กับลูกค้าภายใน 3 วันทำการ
  • มูลค่า Cashback ที่ลูกค้าได้รับ จะไม่เกิน 0.2% ของมูลค่าการลงทุนตามที่บริษัทกำหนด ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort

ประกัน + กองทุนรวม = คู่หูทางการเงินที่ผู้แนะนำการลงทุนขาดไม่ได้

Finnomena Funds
ประกัน + กองทุนรวม = คู่หูทางการเงินที่ผู้แนะนำการลงทุนขาดไม่ได้

กองทุนรวมกับประกัน ทำไมต้องแยกกัน ทั้ง ๆ ที่เราสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างนี้ไปพร้อมกันได้ และทำให้เราสามารถดูแลเงินของลูกค้าได้แบบครบทุกแง่มุม

อาชีพที่เราเห็นในปัจจุบัน คนที่เป็นตัวแทนประกันก็จะชัดเจนในงานของตัวเองว่า มีหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์ประกันให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพ หรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่เป็นที่นิยมกัน ส่วนคนที่ทำงานในสายแนะนำการลงทุนในกองทุนรวม หรือที่เรียกว่าเป็น ผู้แนะนำการลงทุน ก็จะแนะนำเรื่องการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งไปเลย เน้นการลงทุนในกองทุนรวมและตราสารหนี้ ไม่ได้พูดถึงความสำคัญของเรื่องประกัน

จากภาพที่เราเห็นสองเรื่องนี้มักถูกแยกออกจากกัน แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งประกันและกองทุนรวมมีความสำคัญต่อการบริหารเงินในแง่มุมที่ต่างกัน เรื่องเงินเหมือนจะง่ายแต่ก็มีความซับซ้อน ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะแก้ปัญหาเรื่องเงินได้ทุกเรื่อง ดังนั้นจึงต้องมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายที่แตกต่างกัน เปรียบเทียบให้เห็นภาพเหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่มีการใช้งานที่แตกต่างกัน แต่ก็กลมกลืนกันอย่างลงตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน

ประกัน + กองทุนรวม = คู่หูทางการเงินที่ผู้แนะนำการลงทุนขาดไม่ได้

กองทุนรวม & ประกัน แต่ละอย่างตอบโจทย์เรื่องอะไร

กองทุนรวม

กองทุนรวมตอบโจทย์เรื่อง “ทำให้เงินงอกเงย”

ทั้งนี้การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดไว้ จึงควรทำความเข้าใจข้อมูลกองทุนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

โดยเมื่อซื้อหน่วยลงทุน และ NAV ของกองทุนที่เราซื้อมีมูลค่าสูงขึ้น มูลค่าเงินของเราก็มากขึ้น เมื่อขายออกมาก็จะได้ผลตอบแทนเป็นส่วนต่างกำไร (Capital Gain) หรือเมื่อถือไปเรื่อย ๆ บางกองก็จะจ่ายผลตอบแทนเป็นเงินปันผล (Dividend) ออกมาอย่างสม่ำเสมอ

โดยทั่วไปในระยะยาว กองทุนรวมมักให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าอัตราดอกเบี้ยบัญชีเงินฝาก แต่ผลตอบแทนไม่ได้การันตีและขึ้นกับนโยบายการลงทุนและความผันผวนของตลาด ถึงแม้ว่าจะไม่สูงเท่ากับการลงทุนในหุ้นด้วยตัวเอง แต่กองทุนรวมก็มีกลไกในการปกป้องผู้ลงทุนซึ่งตลาดหุ้นไม่มี เช่น การมีผู้จัดการกองทุนคอยติดตามตลาดและลงทุนให้ บางกองทุนมีนโยบายอ้างอิง benchmark เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงาน แต่ผลการดำเนินงานในอดีตหรือเป้าหมายไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทนในอนาคต

ประกัน

ประกันตอบโจทย์เรื่อง “คุ้มครองเงินให้ปลอดภัย”

จุดนี้อาจจะมีคนสงสัยว่า ประกันทำขึ้นมาเพื่อคุ้มครองชีวิต คุ้มครองสุขภาพ เกี่ยวอย่างไรกับการคุ้มครองเงิน ขอยกตัวอย่างกรณีสมมุติว่า ถ้าเราทำงานเก็บเงินมาเรื่อย ๆ เก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่ง อยู่ดี ๆ เกิดป่วยขึ้นมาและต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก จึงต้องนำเงินที่เก็บออมมาจ่ายไปก่อน สุดท้ายต้องกลับไปเริ่มเก็บเงินใหม่ตั้งแต่ต้น กรณีนี้แสดงว่าเงินของเรายังไม่ถูก “คุ้มครอง” ยังมีโอกาสที่เราจะสูญเสียเงินที่พยายามเก็บออมมาไปกับเหตุการณ์สุดวิสัยเหล่านี้อยู่

หลักการของประกันเริ่มแรก คือ การจ่ายเงินที่เรียกว่า “เบี้ยประกัน” เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์บางอย่าง เช่น การได้รับเงินชดเชยเมื่อเสียชีวิต หรือสิทธิ์การช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลตามเงื่อนไขการเจ็บป่วย เป็นต้น ประกันบางประเภทการจ่ายเบี้ยประกันจะเป็นการจ่ายทิ้งไปเลย เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ส่วนประกันบางประเภทเราจะได้รับเบี้ยประกันคืนเมื่อครบกำหนด เช่น ประกันชีวิตตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ รวมถึง Unit Link ที่เป็นประกันชีวิตควบการลงทุนด้วย

สำหรับประกันประเภทจ่ายทิ้ง สิ่งที่เราต้องแลกในการคุ้มครองเงินของเราให้ปลอดภัย คือ ค่าเบี้ยประกันที่เราต้องเสียทุกปี ส่วนประกันที่คืนเบี้ยประกันเมื่อครบเงื่อนไข สิ่งที่ต้องแลก คือ สภาพคล่องของเงินที่ต้องแช่อยู่ในนั้น

เหตุผลที่ประกันและการลงทุนต้องอยู่คู่กัน

โมเดลด้านการวางแผนการเงิน มีอยู่โมเดลหนึ่งที่เข้าใจง่ายและใช้งานได้ดี คือ “ปิรามิดทางการเงิน”

โมเดลนี้อธิบายว่า การวางแผนทางการเงินต้องเริ่มบริหารจากฐานด้านล่างปิรามิด แล้วค่อยขึ้นไปสู่ยอดปิรามิด ถ้าแต่ละขั้นยังไม่แข็งแรง ก็ยังไม่ควรข้ามไปสู่ขั้นต่อไป

จากโมเดลนี้จะสังเกตว่า ขั้นตอน Protection นั้นมาก่อนขั้นตอน Investment ซึ่งการ Protection หรือ การป้องกันความเสี่ยง ส่วนนี้หมายถึงการทำประกันนั่นเอง สาเหตุที่เวลาวางแผนการเงินควรคิดเรื่องประกันก่อนเรื่องลงทุนเป็นเพราะว่า ถ้าหากเรายังไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงหรือคุ้มครองเงินของเราไว้ก่อน เมื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดแล้วเราจำเป็นต้องใช้เงิน ทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดก็จะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ เริ่มเก็บออมหรือเริ่มลงทุนใหม่ ดังนั้นขั้นตอนของ Protection ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนหลงลืม ควรทำควบคู่ไปกับการลงทุน

สำหรับประโยชน์ในส่วนของ Investment หรือการลงทุน ทำไปเพื่อให้เงินงอกเงยและทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้ไวขึ้น ปัจจุบันการลงทุนในกองทุนรวมเป็นที่นิยมขึ้นมาก เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ความต้องการเงินมากขึ้น บวกกับดอกเบี้ยเงินฝากที่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เราต้องหาช่องทางที่ทำให้เงินงอกเงยช่องทางอื่น บทสรุปก็เลยมาลงที่กองทุนรวม และตามมาด้วยกระแสของอาชีพยุคใหม่ คือ ผู้แนะนำการลงทุน ซึ่งมีหน้าที่หลักในการช่วยวางแผนการเงินให้ลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าไปถึงเป้าหมายที่ตนเองต้องการ

ผู้แนะนำการลงทุนยุคปัจจุบันต้อง “รู้รอบด้าน”

จากนิยามการทำงานของผู้แนะนำการลงทุนที่ต้องยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง คนที่เป็นผู้แนะนำการลงทุนจะยึดติดแต่เรื่องที่ตนเองถูกใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าชอบกองทุนรวมก็แนะนำแต่กองทุนรวม ชอบประกันก็แนะนำแต่ผลิตภัณฑ์ประกัน แต่การเป็นผู้แนะนำการลงทุนต้องแนะนำได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องเงิน ตั้งแต่การจดบันทึกบัญชีรายรับรายจ่าย ไปจนถึงการวางแผนเกษียณและส่งต่อมรดกให้กับลูกหลาน เพราะเป้าหมายคือการดูแลเงินของลูกค้าให้ดีที่สุด

ตัวแทนประกันที่อยากเสริมการแนะนำกองทุนรวมให้กับลูกค้าต้องทำอย่างไร

สำหรับตัวแทนประกันที่ต้องการจะดูแลลูกค้าของตนเองให้ครบทุกด้าน นอกจากผลิตภัณฑ์ประกันที่คุ้มครองเงินของลูกค้าแล้ว ก็ต้องการแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อให้เงินของลูกค้างอกเงยด้วย Finnomena Funds ยินดีที่จะซัพพอร์ตในจุดนี้

จากบทความที่แล้ว Finnomena Funds ให้สิทธิประโยชน์อะไรกับผู้แนะนำการลงทุนบ้าง? พูดถึง Benefit ต่าง ๆ ที่ Finnomena Funds มีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้แนะนำการลงทุน ทั้งเรื่องการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เรื่องการอัปเดตสถานการณ์ตลาด และเรื่องการแผนการลงทุนที่มีให้เลือกหลากหลาย จะช่วยให้การแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมกับลูกค้าเป็นเรื่องง่าย และสามารถทำควบคู่ไปกับการเป็นตัวแทนประกันได้

ท่านใดสนใจสมัครเป็นผู้แนะนำการลงทุนกับ Finnomena Funds สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ 

finnomena.com/fa/


หมายเหตุ: การเป็นผู้แนะนำการลงทุนต้องมีคุณสมบัติและขึ้นทะเบียนตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ก่อนจึงจะสามารถประกอบอาชีพได้”

คำเตือนการลงทุน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

คำชี้แจง: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับอาชีพผู้แนะนำการลงทุน ไม่ได้เป็นการชักชวนหรือแนะนำให้ลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด ๆ