ราคาหุ้น Baidu ในตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งมากกว่า 13% สู่ระดับสูงสุดตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. 2022 หลังบริษัทระบุว่าจะผลิตแชทบอต AI สไตล์ ChatGPT เป็นของตัวเอง
Baidu กล่าวในแถลงการณ์ว่า แชทบอต AI ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเสร็จสิ้นการทดสอบภายในเดือน มี.ค. ก่อนที่จะเผยแพร่สู่สาธารณะในชื่อ ‘Ernie bot’ ที่ย่อมาจากคำว่า Ernie ย่อมาจากคำว่า Enhanced Representation through Knowledge Integration และมีชื่อภาษาจีนคือ ‘Wenxin Yiyan’
ประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลัง ChatGPT ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ขณะที่ Google เพิ่งประกาศเปิดตัว ‘Bard’ ซึ่งเป็นแชทบอต AI เช่นกัน
Baidu กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ ERNIE แตกต่างจากแชทบอตอื่นๆ คือการรวมความรู้ที่กว้างขวางเข้ากับข้อมูลจำนวนมหาศาล ส่งผลให้เกิดความเข้าใจและความสามารถในการสร้างที่ยอดเยี่ยม
Baidu เปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 2019 และได้พัฒนามาเป็นชุดโมเดลขนาดใหญ่ขั้นสูงที่สามารถจัดการงานได้หลากหลาย เช่น การทำความเข้าใจภาษา การสร้างภาษา และการสร้างข้อความเป็นรูปภาพ
ในการนำเสนอเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Haifeng Wang ประธานฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัทได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้เชิงลึกใน AI รวมถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
กองทุนเฮดจ์ฟันด์แบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเตรียมเดิมพันกับ ‘ความพ่ายแพ้’ ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ และมองว่าจะมีแรงเทขายครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นมุมมองที่สวนทางกับหลายสถาบันการเงินของวอลล์สตรีท
Man Group ดูแลสินทรัพย์มูลค่า 138,000 ล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งอยู่ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริการะบุว่า การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงในปีนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และถูกตั้งค่าให้ย้อนกลับ
Guillermo Osses หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ของบริษัทคาดว่า จะได้เห็นการเทขายของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในอีก 2 เดือนข้างหน้า เพราะนักลงทุนได้เพิ่มการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง และพบว่ามีการประเมินมูลค่าที่ตึงตัวมากเมื่อสภาพสภาพคล่องพลิกผัน
ตั้งแต่ต้นปี 2023 หุ้นของ Man Group ในลอนดอนเพิ่มขึ้น 23% เทียบกับ FTSE 100 ที่เพิ่มขึ้น 6%
มุมมองเชิงลบต่อตลาดเกิดใหม่ของ Man Group สวนทางกับผู้จัดการกองทุนชื่อดังอย่าง Morgan Stanley และ Goldman Sachs ที่มองว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม กองทุนตราสารหนี้ EM ที่ Guillermo Osses บริหารอยู่ ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าบริษัทอื่นถึง 99% ในปีที่แล้ว โดยกองทุนเตือนถึงความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้และให้ผลตอบแทน 2.4% เทียบกับการขาดทุนเฉลี่ย 14% ในกลุ่มบริษัทอื่น ตามที่รวบรวมโดย Bloomberg
สำหรับหุ้นจีน Guillermo Osses มองว่า การถอนสภาพคล่องจะทำให้เกิดแรงเทขายที่แย่ลงเรื่อยๆ และไม่เชื่อว่าการเปิดเมืองของจีนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ เพราะระดับเครดิตของจีนใกล้จะต่ำเป็นประวัติการณ์
Man Group ระบุว่า ในขณะที่บางคนบอกว่าความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์จากจีนจะสนับสนุนประเทศกลุ่ม EM แต่เราไม่เห็นข้อมูลที่สอดคล้องกับสมมติฐานดังกล่าว
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยปี 2565 นักธุรกิจชาวไทยแห่ลงทุน ‘ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยง’ เพิ่มขึ้นกว่า 91% เติบโตต่อเนื่องติดต่อกัน 3 ปี
วันนี้ (6 ก.พ.) ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีครอบครัว ครองตัวเป็นโสด สังคมผู้สูงอายุ และการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น การเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญและมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
โดยในปี 2563-2565 ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงมีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น
ปี 2563: จดทะเบียนจัดตั้ง 63 ราย ทุนจดทะเบียน 101.90 ล้านบาท
ปี 2564: จัดตั้ง 68 ราย (เพิ่มขึ้น 5 ราย หรือ 8%) ทุน 119.13 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17.23 ล้านบาท หรือ 17%)
ปี 2565: จัดตั้ง 130 ราย (เพิ่มขึ้น 62 ราย หรือ 91%) ทุน 210.35 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91.22 ล้านบาท หรือ 77%)
ปี 2562 รายได้รวม อยู่ที่ 2,933.51 ล้านบาท กำไร 57.63 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม 3,512.44 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 578.93 ล้านบาท หรือ 20%) กำไร 46.31 ล้านบาท (ลดลง 11.32 ล้านบาท หรือ 20%)
และ ปี 2564 รายได้รวม 4,267.72 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 755.28 ล้านบาท หรือ 22%) กำไร 127.76 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 81.45 ล้านบาท หรือ 176%)
ปัจจุบันธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีจำนวน 562 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.06 ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ และมีมูลค่าทุน 1,359.60 ล้านบาท คิดเป็น 0.006% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 243 ราย (ร้อยละ 43.24) ทุนจดทะเบียน 679.88 ล้านบาท (ร้อยละ 50.01)
ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทย มีมูลค่าการลงทุน 1,334.93 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 98.19 ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุดคือจีน มูลค่า 5.15 ล้านบาท (ร้อยละ 0.38) รองลงมาคือญี่ปุ่น มูลค่า 5.02 ล้านบาท (ร้อยละ 0.37) อังกฤษมูลค่า 3.88 ล้านบาท (ร้อยละ 0.29) และอื่น ๆ มูลค่า 10.62 ล้านบาท (ร้อยละ 0.77)
อ้างอิง: https://www.prachachat.net/economy/news-1196161
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
“แบรนด์เนม” คือ สินค้าที่มีดีไซน์ระดับโลก คุณภาพดีทั้งวัสดุและการผลิต ส่งเสริมรสนิยมของผู้ใช้ และ มีราคาที่สูง สมเหตุสมผลกับตัวสินค้า
กระเป๋าแบรนด์เนม คือ กระเป๋าหรูหราที่มีดีไซน์ระดับโลก ถูกจัดประเภทของใช้-ของสะสม (ขึ้นอยู่กับเหตุผลของผู้ซื้อ) ในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าในตัว ซึ่งได้รับการยอมรับว่าคุ้มค่ากับการลงทุน และ สามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
ได้ลงทุน + ได้สวย = กำไร 2 เด้ง!
การลงทุนในกระเป๋าแบรนด์เนมนั้นเป็นที่นิยมกันอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่ เนื่องจากสามารถเก็บสะสม หรือ ใช้ถ่ายรูปปัง ๆ เสริมลุคให้ดูแพงขึ้นอีกหลายระดับ ไว้อวดลงโซเชียลมีเดียก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถขายทำกำไรเมื่อราคาขึ้นได้อีกด้วย!
ในปี 2021 กระเป๋าแบรนด์เนมมีขนาดตลาด (Market Size) มูลค่าเกือบ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท โดยเมื่อเทียบอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR หรือ Compound Annual Growth Rate) พบว่ามีการเติบโตถึง 5.8%
กระเป๋าถือที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ที่อยู่ในคลังข้อมูลซึ่งถูกนิยามโดยการตีความในรูปทรงกลมของลวดลาย Interlocking G อันเป็นเอกลักษณ์ Gucci Blondie ได้ถูกนำเสนอผ่านแคมเปญตัวใหม่ที่เปรียบเสมือนเป็นจดหมายรักถึงนิวยอร์ก ขณะที่ตัวแสดงในแคมเปญนั้นถูกถ่ายทำโดยมีสถานที่สำคัญที่ต่าง ๆ ของเมืองเป็นฉากหลัง
Fendi Baguette ถือกำเนิดขึ้นในปี 1997 ได้รับการออกแบบให้มีขนาดเล็กและเรียบง่าย เหมาะสำหรับใช้สะพายใต้แขนเช่นเดียวกับขนมปังฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่มาของชื่อกระเป๋านั่นเอง หลังจากเปิดตัวได้ไม่นานก็ได้กลายมาเป็นกระเป๋าสุดไอคอนิกที่ได้รับความนิยมสูงสุดอย่างรวดเร็ว จนทำให้ Fendi ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติสำหรับเครื่องประดับยอดเยี่ยมในปี 2000
หรือชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า “Coco Handle” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2015 ในงานแฟชั่นโชว์ Fall / Winter 2015 collection และได้รับความนิยมจากเหล่าแฟชั่นนิสต้ารวมถึงเหล่าสาวกชาแนลในทันที ความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ Handle Bag ขึ้นแท่นเป็น IT-Bag ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
กระเป๋ารุ่น Crush ซึ่งเป็นการต่อยอดความสำเร็จของกระเป๋ารุ่นฮิตอย่าง Hourglass มาดีไซน์ใหม่ให้มีความทันสมัยและแคชชวลมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถนำมามิกซ์แอนด์แมทช์ได้หลากหลาย โดดเด่นด้วยตัวล็อกโลโก้ B ไอคอนิกของแบรนด์ที่ด้านหน้าของกระเป๋า
กระเป๋ารุ่นนี้นับว่าเป็นผลงานต้นฉบับสุดไอคอนิกในตำนาน ที่ผ่านการออกแบบและตัดเย็บขึ้นอย่างประณีตบรรจงอย่างที่สุด โดยมีรูปทรงและโครงสร้างที่เรียบง่ายแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่ต้องเติมแต่งหรือเพิ่มเติมอะไรเข้าไปให้มากความ เป็นการลดทอนดีไซน์อย่างชาญฉลาด จนนำไปสู่ความสง่างามแบบร่วมสมัย ถ่ายทอดความหรูหรางดงามในแบบเฉพาะตัว
บทความโดย คุณานันต์ TechToro
คนที่คิดถึงความก้าวหน้าและชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคตนั้น ต่างก็จะต้องมี “ความฝัน” ก่อน และหลังจากนั้นก็จะต้องตามด้วยกลยุทธ์และการปฏิบัติตนที่จะทำให้ความฝันนั้น “เป็นจริง” ยิ่งความฝันนั้นแรงกล้าและการปฏิบัติเต็มไปด้วย “ศรัทธา” คือเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำและทำอย่างต่อเนื่องไม่ท้อถอย โอกาสสำเร็จก็จะมากขึ้น
“ความฝัน” ที่กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่เรื่องของการนอนหลับแล้วฝันไปแม้ว่านั่นจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของการคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่ตนเองอยากเห็นอยากเป็นแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้จากสถานะที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ซึ่งบางทีเราก็เรียกว่าเป็น “จินตนาการ” ซึ่งก็เป็นสิ่งที่อยู่ในยีนของมนุษย์ มาช้านานและก็ทำให้มนุษย์เจริญก้าวหน้ามากกว่าสัตว์อื่นมาก ลองมาดู “ความแรงกล้า” ของความฝันในสังคมมนุษย์กัน
“เมื่อมีชีวิต ทุกคนมีสิทธิ์จะฝัน ต่างจิตใจกัน ต่างก็เลือกฝันกันไป ฝันเป็นเศรษฐี ฝันมีคนจ้องเอาใจ ฝันกันจนเหนื่อยไป ชอบฝันเกินกายของตน จิตของมนุษย์ สุดจะสรร ชอบเอาความฝันมาลิขิตชีวิตคน ฝันกลางฤดูฝน ฝนบ้า ฟ้าบ่น พาจิตคน ฝันร้าย.. นรก สวรรค์ ฝันไม่ศักดิ์สิทธิ์ ดังหมาย ฝันเพียงภาพ ลวงใจ เขตฝันเกินกาย ของคน” คือเนื้อร้องของเพลงดัง “ฝันกลางฤดูฝน” ประพันธ์โดย มนัส ปิติสานต์ ขับร้องโดย ดาวใจ ไพจิตร ในปี 2517 ซึ่งผมเองคิดว่าบรรยายเรื่องของความฝันของคนได้ดี แต่ความฝันที่ “เปลี่ยนโลก” ได้จริงนั้น น่าจะเป็นสุนทรพจน์ “I Have a Dream” ของมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ของสหรัฐ ที่กล่าวในปี 1963 ต่อหน้าผู้ประท้วงกว่า 250,000 คน ที่หน้าอนุสาวรีย์ลินคอนประธานาธิบดีผู้ประกาศเลิกทาสของสหรัฐเมื่อ 100 ปีก่อนหน้านั้น
เนื้อหาหลักของสุนทรพจน์ 17 นาทีที่เปลี่ยนสหรัฐและน่าจะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อโลกก็คือ “ผมมีความฝันว่า วันหนึ่ง บนเนินเขาของรัฐจอร์เจียและที่อื่น ๆ ทุกแห่งหนของประเทศ ลูก ๆ ของอดีตทาสและลูก ๆ ของอดีตนายทาส จะสามารถที่จะนั่งด้วยกันบนโต๊ะฉันท์พี่น้อง” ในช่วงเวลาที่สหรัฐยังไม่ได้รับรองสิทธิเสรีภาพอย่างสมบูรณ์แก่คนนิโกรแม้ว่าสหรัฐจะเลิกทาสมาร้อยปีแล้ว
นับจากวันนั้น กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงให้เกิดเสรีภาพและความเท่าเทียมแก่คนผิวสีก็ “พัดแรง” มาก กฎหมายต่าง ๆ ถูกตราขึ้นจนถึงวันนี้ก็ต้องบอกว่าสมบูรณ์แล้วแม้ว่าคนอเมริกันบางส่วนก็ยังไม่ยอมรับความคิดนี้และก็คงเป็นเหตุผลให้ ดร.คิง ถูกลอบฆ่าในปี 1968 คุณูปการของดร.คิงทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1964
และในปี 1983 ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนได้ประกาศยกย่องดร.คิงเป็นบุคคลสำคัญยิ่งและต่อมากำหนดให้มีวันหยุดราชการที่เรียกว่า “วันมาร์ตินลูเทอร์คิง” ในวันจันทร์ที่ 3 ของเดือนม.ค.ของทุกปี เคียงข้างวันของประธานาธิบดีวอชิงตันผู้ก่อตั้งประเทศที่เรียกว่า “วันประธานาธิบดี” ในวันจันทร์ที่ 3 ของเดือนก.พ. ยิ่งไปกว่านั้ สหรัฐก็ก้าวหน้าขึ้นมากในด้านของความเสมอภาคจนคนผิวสีคนแรกคือ บารัก โอบามา สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ในปี 2008
ผมเขียนเสียยืดยาวเกี่ยวกับ “ความฝัน” เพื่อที่จะบอกว่ามันคือ “พลังขับดัน” ที่อาจจะยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ว่าในด้านของบุคคลคนหนึ่งหรือในระดับรัฐหรือประเทศ หรือแม้แต่ในระดับโลก และทุกคนก็ “มีสิทธิ์ที่จะฝัน” ไม่ว่าเขาจะตัวเล็กหรือ “ไร้ค่า” แค่ไหนในสายตาของคนอื่นหรือในสังคม
กลยุทธ์และการปฏิบัติให้ฝันเป็นจริงนั้น คือสิ่งสำคัญและก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละคนหรือแต่ละประเทศ ความฝันที่ไม่ได้รับการปฏิบัตินั้น ก็คงเป็นแค่ “ฝันกลางฤดูฝน” ที่ไม่เกิดอะไรขึ้น และที่ใกล้เคียงกันก็คือการเลือกใช้กลยุทธ์การปฏิบัติที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะกับความสามารถหรือบุคลิกของตนเอง เพราะนั่นมักจะทำให้เราเหนื่อยและไม่คุ้มค่า บางทีก็อาจจะทำให้ท้อและเลิกฝันไปเลย
ด้วยจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เริ่มต้นจากศูนย์และเวลาที่ผ่านมาถึง 70 ปีแล้ว ผมคิดว่าผมก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่พอตัว แม้จะไม่รู้ว่าโอกาสความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก นั่นทำให้ผมต้อง “สู้” ทุกอย่าง ทำงานหนักและมีวินัยสูง เรียกว่าเป็น “นักสู้” ในทุกสนามของชีวิตที่ “สังคมพาไป” แต่ความฝันก็ไม่เคยเป็นจริงแม้แต่ครึ่งเดียว จนแทบจะ “ยอมแพ้” ขอใช้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออย่างสงบตามอัตภาพ
แต่แล้ว “โชคชะตา” ทำให้ต้องเลือก และผมก็เลือกที่จะเป็น “นักลงทุน” แบบ “เน้นคุณค่า” หรือ “Value Investing” และก็พบความจริงว่านั่นคือสิ่งที่เราควรจะเป็น เราเหมาะสมที่จะเป็นเพราะเรามี “ความสามารถเพียงพอ” และ “ความได้เปรียบที่ยั่งยืน” ถ้าเรา “เริ่มก่อน” และเริ่มในเวลาที่เหมาะสมซึ่งก็คือเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์เกิดวิกฤติที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาแบบถล่มทลายในปี 2540 ถึง 2543 ในวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง”
หลังจากการเปลี่ยนแนวทางเป็น “นักเลือก” เพราะความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวรอดและไม่ใช่เปลี่ยนเพราะ “ฝันที่จะรวย” ชีวิตก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชั ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากและเร็ว “เหนือจินตนาการ” เช่นเดียวกับชื่อเสียงและการยอมรับของสังคม และตั้งแต่นั้นมาผมก็กลายเป็น “นักเลือก” ทุกอย่างที่จะทำก็พยายามเลือกก่อนที่จะทำ ลดความเป็น “นักสู้” ลงไปมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะอายุที่มากขึ้นและความฝันที่ลดลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุ
สิ่งที่จะทำในช่วงท้ายๆ ของชีวิตนั้น ผมเลือกที่จะ “ส่งต่อ” ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาให้แก่คนรุ่นหลัง ที่ยังมีความฝันและมีพลังที่จะสู้เพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง และด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ซึ่งสำหรับผมแล้ว ก็คือ “การลงทุน” ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่าเขาคงทำไม่ได้เพราะไม่มีหัวหรือความรู้เพียงพอ ไม่มีความสามารถพอและมีแต่ความเสียเปรียบที่ยั่งยืน แต่นี่อาจจะเป็นความเข้าใจผิด
เพราะการลงทุนในความหมายที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทอง ผมเองเมื่อมองย้อนหลังก็พบความจริงว่าตนเองเป็น “นักลงทุน” อย่างยิ่งยวดมาตั้งแต่เด็กทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ไม่มีเงินเลย แต่อุตส่าห์เรียนจนจบปริญญาเอก เพราะการเรียนหรือการศึกษาวิชาความรู้ทั้งหลายนั้น มักจะเป็นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนดีมากและอาศัยเงินน้อยกว่า “แรงงาน” มาก ถ้าจะว่าไป แนวคิดเรื่องของการลงทุนนั้น ใช้ได้กับชีวิตอย่างกว้างขวาง สิ่งที่ได้คืนอาจจะไม่ใช่เงินแต่เป็นความสุขที่มีค่าเท่า ๆ กับหรือมากกว่าเงินเสียอีก เช่นลงทุนในเรื่องของความสัมพันธ์ ความรัก สุขภาพและอื่นๆเป็นต้น
เรื่องของชีวิต ความฝัน และการลงทุนที่กล่าวทั้งหมดนั้น ผมจึงขอ “ส่งผ่านไป” ให้กับทุกคนที่อยากจะรู้ว่าประสบการณ์ของคนที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้วคนหนึ่ง เป็นอย่างไร และอาจจะมีส่วนช่วยให้ชีวิตตนดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น หรือมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อย ผมก็มีความสุขแล้ว ทั้งหมดนั้นอยู่ในหนังสือที่เพิ่งวางแผงใน 2-3 วันนี้เรื่อง “เด็กวัดดอน” ที่จะ เล่าเรื่อง “ชีวิต ความฝัน และการลงทุน” ของผม
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
IMF ระบุว่า จีนต้องทำมากกว่านี้เพื่อแก้ไขวิกฤติอสังหาฯ ซึ่งตลาดอสังหาฯ คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของ GDP จีน จึงเป็นตัวถ่วงการเติบโตของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รัฐบาลคุมเข้มการพึ่งพาหนี้สูง้กินไปของเหล่าบริษัทในปี 2020
Thomas Helbling รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ IMF กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทางการจีนเริ่มผ่อนปรนข้อจำกัดทางการเงินสำหรับภาคอสังหาฯ แต่ในมุมมองของ IMF จีนต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อยุติวิกฤติอสังหาฯ
ทาง IMF อธิบายเพิ่มว่า มาตรการส่วนใหญ่แก้ไขปัญหาทางการเงินสำหรับนักพัฒนาอสังหาฯ ที่ยังคงมีสถานะทางการเงินค่อนข้างดี แต่ปัญหาของนักพัฒนาอสังหาฯ ที่ประสบปัญหาทางการเงิน รวมถึงที่อยู่อาศัยที่ยังสร้างไม่เสร็จยังไม่ได้รับการแก้ไข
โดยปกติแล้ว อพาร์ทเมนต์ในจีนมักจะขายให้กับผู้ซื้อบ้านก่อนที่จะสร้างเสร็จ แต่โควิดและปัญหาทางการเงินทำให้การก่อสร้างช้าลงมาก จนผู้ซื้อบ้านบางรายหยุดการชำระเงินจำนองเพื่อประท้วง
แม้ทางการจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างอสังหาฯ ให้แล้วเสร็จ แต่ยอดขายพื้นที่ที่อยู่อาศัยในจีนลดลงเกือบ 27% ในปีที่แล้ว ขณะที่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ลดลง 10%
อย่างไรก็ตาม ทางการจีนเคยระบุในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ว่า ปัญหาภาคสังหาฯ ในจีนนั้นไม่ใช่วิกฤติ
Zhengxin Zhang ผู้อำนวยการบริหาร และ Xuefei Bai ที่ปรึกษาอาวุโสของผู้อำนวยการบริหาร กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนโดยทั่วไปดำเนินไปอย่างราบรื่นและไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤติ และนี่เป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ
ทางการจีนกล่าวเสริมว่า ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องของท้องถิ่นและเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่ละแห่งเท่านั้น และผลกระทบต่อส่วนที่เหลือของตลาดค่อนข้างน้อย
ขณะที่ทาง Bloomberg คาดการณ์ว่า ตัวเลขผลประกอบการในปีที่แล้วของบริษัทอสังหาฯ จีนจะเลวร้ายที่สุดในรอบอย่างน้อย 7 ปี
โดยจากการคำนวณของ Bloomberg ใน 60 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่นั้น มีสัดส่วน 60% ที่คาดว่าจะขาดทุนในปีที่แล้ว มีเพียง 5% เท่านั้นที่ทำกำไรได้ อีก 5% มีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ส่วนที่เหลือกำไรลดลง
อ้างอิง:
https://www.cnbc.com/2023/02/03/chinas-real-estate-crisis-isnt-over-yet-imf-says.html
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
Cathie Wood ผู้จัดการกองทุนจาก Ark Invest ให้สัมภาษณ์ในรายการของ Bloomberg และเปรียบเทียบกองทุน ARKK ของบริษัทเป็น ‘ดัชนี Nasdaq ยุคใหม่’ ที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวจนชนะดัชนีหุ้นเติบโตซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
เป็นที่รู้กันดีว่า Cathie Wood มักจะให้คำทำนายการลงทุนที่ใจกล้า โดยก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ผู้จัดการกองทุนชื่อดังมั่นใจว่าราคา Bitcoin จะทะลุ 1 ล้านดอลลาร์ภายในทศวรรษหน้า หรือบวกกว่า 4,200% จากราคาปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม กองทุนที่เคยสร้างชื่อเสียงให้บริษัทอย่าง ARKK ร่วงลงมา 72% จากจุดสูงสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และทำผลตอบแทนได้แย่กว่าดัชนี Nasdaq 100 ถึง 10 เท่า
เมื่อดูผลการดำเนินงาน 5 ปี กองทุน ARKK ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 12% เทียบกับการพุ่งขึ้นของ Nasdaq 100 ที่ 89%
หุ้น 3 อันดับแรกของดัชนี Nasdaq 100 คือ หุ้นเทคโนโลยี Mega-Cap ที่เป็นผู้นำตลาดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้แก่ Microsoft, Apple และ Amazon ส่วน ARKK นั้นถือ Tesla ในสัดส่วนใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ใน Nasdaq 100 เช่นกัน แต่หุ้นอื่นๆ ในพอร์ตคือหุ้นบริษัทนวัตกรรมขนาดเล็กรายใหม่ๆ เช่น Zoom และ Exact Sciences
Cathie Wood กล่าวว่า ปี 2022 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ ‘น่ากลัว’ สำหรับผลตอบแทนของกองทุน Ark ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยระดับสูง อย่างไรก็ตาม ยังมีนักลงทุนเชื่อมั่นในกองทุน ARKK ทำให้มีเงินไหลเข้าสุทธิ 1,300 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว แม้ผลตอบแทนจะลดลง 67% ก็ตาม
“นวัตกรรมตกเป็นหนึ่งในผู้เสียหายในยุคดอกเบี้ยพุ่งสูงที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว พวกเรารู้สึกได้ทุกครั้งเมื่อประธาน Fed พูด” Cathie Wood กล่าวเสริมว่า ผลตอบแทนที่ย่ำแย่ในปีที่แล้วถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวที่มากเกินไป อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และเงินเฟ้อในระดับสูง
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 28 ม.ค. – 3 ก.พ. 2566 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 3 ก.พ. 2566)
1. DAOL-CYBER – กองทุนเปิด ดาโอ เน็กซ์ เจเนอเรชั่น อินเทอร์เน็ต
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +10.69%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -32.57%
2. TMB-ES-INTERNET – กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Next Generation Internet
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +10.26%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -46.72%
ซื้อกองทุน TMB-ES-INTERNET คลิก
3. SCBUSAA – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส แอคทีฟ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +10.02%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -41.57%
ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 5 อันดับเพิ่มเติม: DAOL-CYBER, TMB-ES-INTERNET, SCBUSAA, SCBNEXT(A), TMB-ES-GINNO
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2566 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 3 ก.พ. 2566)
1. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -2.57%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -30.24%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุนเวียดนาม ครบจบในที่เดียว!
ซื้อกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A คลิก
2. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.68%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -27.83%
อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ONE-UGG-RA : กองทุนหุ้นเติบโตทั่วโลก คว้าโอกาสแห่งอนาคต
3. TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +0.69%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: -16.74%
ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : PRINCIPAL VNEQ-A, ONE-UGG-RA, TMBGQG, K-VIETNAM, SCBS&P500, UGIS-N, K-CHINA-A(A), B-INNOTECH, TMBAGLF, KT-ENERGY
ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
Apple รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสเดือนธันวาคม 2022 รายได้รวม 117,154 ล้านดอลลาร์ หรือลดลง 5% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 และเป็นไตรมาสที่ยอดขายต่ำสุดตั้งแต่ปี 2016 ขณะที่ กำไรสุทธิอยู่ที่ 29,998 ล้านดอลลาร์
รายได้แยกตามกลุ่มธุรกิจสะท้อนชัดเจนว่ารายได้ที่ลดลงมาจาก iPhone เป็นหลัก โดยมีรายได้ 65,775 ล้านดอลลาร์ หรือลดลง 8%, Mac ลดลง 29% สู่ 7,735 ล้านดอลลาร์ ส่วน iPad เพิ่มขึ้น 30% เป็น 9,396 ล้านดอลลาร์
ซีอีโอ Tim Cook กล่าวว่าในไตรมาสที่ผ่านมา Apple มีอุปกรณ์ที่เปิดใช้งานรวมมากกว่า 2 พันล้านเครื่องเป็นครั้งแรก ส่วนซีเอฟโอ Luca Maestri บอกว่าธุรกิจ Services ก็เติบโตทำสถิติใหม่สูงสุดอีกไตรมาส มีรายได้ 20,766 ล้านดอลลาร์ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งจะนำมาลงทุนตามแผนการเติบโตระยะยาว
รายได้ iPhone ที่กระทบหนักมาจาก iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ที่ไม่สามารถผลิตให้ทันความต้องการ เป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์ซึ่ง Apple ออกประกาศไปก่อนหน้านี้ และปัญหานี้ก็ลากยาวมาเกือบตลอดเดือนธันวาคม ส่วนปัจจุบันกลับมาเป็นปกติแล้ว
ประเด็นการปลดพนักงานในบริษัท Tech หลายแห่ง Tim Cook บอกว่า สถานการณ์ตอนนี้มีความยากลำบาก แอปเปิลเองก็ตัดค่าใช้จ่ายเช่นกัน โดยลดการรับพนักงานใหม่ และเพิ่มการพิจารณาที่มากขึ้นในการรับพนักงานแต่ละคน
ส่วนประเด็นราคาสินค้าแอปเปิลที่อาจปรับเพิ่มขึ้นอีก แม้เศรษฐกิจไม่ดี Tim Cook บอกว่าเขาไม่ตอบประเด็นราคาสินค้าที่อาจสูงขึ้น แต่มองว่าสมาร์ทโฟน ซึ่งกรณีนี้คือ iPhone เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น ทั้งข้อมูลสุขภาพ การเงิน อุปกรณ์สมาร์ทโฮม คนก็จะพร้อมจ่ายมันด้วยเหตุผลที่มากขึ้น ในราคาที่พวกเขายอมรับ
อ้างอิง:
https://www.blognone.com/node/132480
https://www.cnbc.com/2023/02/02/apple-aapl-earnings-q1-2023.html
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูง การแบ่งขั้วเศรษฐกิจจีน-สหรัฐฯ และความต้องการซื้อที่ถูกอั้นจากการระบาดของ Covid-19 คือภาพใหญ่ของเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา และยังเป็นเหตุสำคัญของ “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ธนาคารกลางทั่วโลกจึงต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว เช่น Fed ที่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจนไปอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ในระดับเป้าหมาย 2% ซึ่งเป็นเรื่องหนักอกหนักใจนักลงทุนไม่น้อย
แต่ยังมีสินทรัพย์บางตัวที่สร้างผลตอบแทนให้เราได้อยู่ในช่วงตลาดขาลง นั่นก็คือ “ตราสารหนี้” ที่มีธรรมชาติคือ เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น อัตราผลตอบแทน (yield) จะสูงขึ้น แต่ก็จะมีราคาต่ำลง เนื่องจากคนหันไปสนใจพันธบัตรออกใหม่ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า กลายเป็นว่าตอนนี้ ด้วยการที่เงินเฟ้อพุ่งสูง เราเลยมาอยู่ในจุดที่พันธบัตรให้อัตราผลตอบแทนสูงในราคาที่กำลังต่ำลงนั่นเอง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ถ้า Fed ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ช้าลง ไปจนถึงหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็จะเป็นปัจจัยให้ “ตราสารหนี้” มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในปี 2023 จาก yield และ capital gain (ถ้าดูประกอบกับเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่เริ่มลดลงต่อเนื่องจากจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2022 ที่ผ่านมาก็มีความเป็นไปได้ว่า Fed อาจมีทีท่าในนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจริงๆ)
ตราสารหนี้ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งโอกาสในยุคดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศ ซึ่ง UGIS-N และ UGIS-A คือกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลกที่ช่วยตอบโจทย์การลงทุนในภาวะดังกล่าว
กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ มี 2 ชนิด คือ UGIS-N (แบบสะสมมูลค่า) และ UGIS-A (แบบรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ) ลงทุนในกองทุนหลักคือ PIMCO GIS Income Fund (Class I) ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้หลายชนิดทั่วโลก เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้สถาบันการเงิน หรือ ตราสารหนี้ภาคเอกชน เป็นต้น
กองทุนหลักดังกล่าวเน้นสร้างผลตอบแทนพร้อมควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับต่ำ ภายใต้การบริหารแบบ Active โดย PIMCO ซึ่งเป็นบลจ. ระดับโลกที่มีความโดดเด่นในเรื่องการลงทุนในตราสารหนี้โดยเฉพาะ
โดยในช่วงที่ผ่านมา สินทรัพย์หลักๆ ที่ PIMCO GIS Income Fund เข้าไปลงทุนมีดังนี้
รูปที่ 1: 10 สินทรัพย์ที่ PIMCO GIS Income Fund เข้าไปลงทุนมากที่สุด
Source: pimco.com.sg as of 31/12/2022
รูปที่ 2: สัดส่วนการลงทุนของ PIMCO GIS Income Fund ในตราสารหนี้แต่ละประเภท แบ่งตามอายุเฉลี่ย
Source: pimco.com.sg as of 31/12/2022
จะเห็นได้ว่า ตัวกองทุนมีการลงทุนทั้งในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ, ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน (Mortgage-Backed Securities: MBS) ทั้งที่ออกโดยหน่วยงานรัฐและสถาบันการเงิน, ตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งแบบ Investment Grade และแบบ High-Yield ไปจนถึงพันธบัตรรัฐบาลในประเทศอื่นๆ เป็นต้น และจุดสังเกตก็คือการลงทุนใน MBS ที่เป็นสินทรัพย์ 5 จาก 6 อันดับแรกที่ PIMCO GIS Income Fund ลงทุนมากที่สุด ซึ่งเราจะเก็บส่วนนี้ไปลงรายละเอียดกันทีหลัง
มาดูตัวบลจ. กันก่อน PIMCO เป็นบลจ. ระดับโลกที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้มากว่า 50 ปี หรือตั้งแต่ปี 1971 จนได้ชื่อว่าเป็นบลจ. ที่เชี่ยวชาญในการลงทุนตราสารหนี้โดยเฉพาะ และที่สำคัญไปกว่านั้น PIMCO ถูกก่อตั้งโดย Bill Gross ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชาพันธบัตร (Bond King) และสิ่งที่จะยืนยันชื่อชั้นเหล่านี้ได้ก็คือผลงานซึ่งเราจะพูดถึงต่อไป
เริ่มกันที่ภาพกว้างๆ ก่อน สินทรัพย์โดยรวมภายใต้การบริหารของ PIMCO กว่า 3 ใน 4 ให้ผลตอบแทนเหนือ benchmark (นับเฉพาะสินทรัพย์ที่ลงทุนเกิน 5 ปี, ข้อมูลจนถึง 31 ธันวาคม 2022) ซึ่งค่อนข้างพิสูจน์ได้ว่าการบริหารกองทุนแบบ active ของ PIMCO ให้ผลตอบแทนที่สมกับชื่อชั้นที่ได้มา
รูปที่ 3: ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์
Source: UOBAM as of 31/12/2022
และถ้าเรามาเจาะดูเฉพาะ UGIS-N และ UGIS-A ก็จะพบว่ากองทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนยืนเหนือ benchmark แทบจะต่อเนื่องตั้งแต่จัดตั้ง แถมชนะกองทุนในกลุ่มเดียวกันโดยเฉลี่ย และแม้จะต้องเจอจุดวัดใจที่การลงทุนในตราสารหนี้ติดลบ กองทุนก็ยังให้ผลตอบแทนติดลบน้อยกว่าคนอื่นๆ
ประเด็นสำคัญเรื่องแรกๆ ของการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ย่อมหนี้ไม่พ้น “ความน่าเชื่อถือ” หรือ Credit ratings โดยตราสารหนี้หลายชนิดที่ PIMCO GIS Income Fund เข้าไปลงทุน มีความน่าเชื่อถือเฉลี่ยที่ระดับ A จัดอยู่ในระดับเกรดลงทุน (Investment Grade) สะท้อนความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ที่ต่ำมาก
นอกจากนี้ อีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ “อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในกองทุน” เพราะยิ่งมีอายุมากก็ยิ่งให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากว่ายิ่งถือนานก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่กระทบราคาตราสารหนี้ โดย PIMCO GIS Income Fund มีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุนโดยรวม 3.48 ปี จัดว่าเป็นตราสารหนี้ระยะกลาง (3-5 ปี) ที่มีผลตอบแทนและความเสี่ยงค่อนข้างสมดุล
รูปที่ 4: Credit ratings และ อายุเฉลี่ย ของตราสารหนี้ที่ PIMCO GIS Income Fund ลงทุน
Source: pimco.com.sg as of 31/12/2022
จากที่ติดค้างกันไปก่อนหน้าเกี่ยวกับ MBS ถึงตรงนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กัน
MBS หรือ ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน คือตราสารทางการเงินแบบหนึ่ง เกิดจากการนำสินเชื่อบ้านที่คัดกรองแล้วมามัดรวมกัน นักลงทุนจะได้ประโยชน์จากการสร้างรายได้ต่อเนื่องผ่านผู้กู้ยืมที่ผ่อนชำระ โดย MBS จะมี 2 แบบ คือแบบที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ (Agency MBS) และออกโดยสถาบันการเงิน (Non-Agency MBS)
โดย MBS มีข้อดีคือ ให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล แถมยังให้ผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่สูงกว่าตราสารหนี้แบบอื่นๆ และที่สำคัญก็คือการที่ MBS มีความปลอดภัยที่สูงขึ้นกว่าตอนปี 2008 หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือและปรับกฎเกณฑ์
ถ้าเราลองดูสัดส่วนตราสารหนี้ในพอร์ตของ PIMCO GIS Income Fund จะเห็นว่ามีสัดส่วนการลงทุนใน Agency MBS ที่สูงทั้งในแง่มูลค่าการลงทุนและอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ ซึ่งหมายถึงการเร่งอัตราผลตอบแทนให้กับกองทุน ตามหลักการที่ว่า อายุตราสารหนี้สูง ผลตอบแทนสูง
รูปที่ 5: สัดส่วนการลงทุนของ PIMCO GIS Income Fund ในตราสารหนี้แต่ละประเภท แบ่งตามอายุเฉลี่ย
Source: pimco.com.sg as of 31/12/2022
พูดกันชัดๆ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ ทั้ง 2 แบบ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในภาวะการลงทุนที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยมีแนวโน้มกลับทิศ จาก yield และ capital gain ของตราสารหนี้ที่มีโอกาสสูงขึ้น โดยคาดหวังผลตอบแทนชนะตลาดด้วยการบริหารจัดการเชิงรุก
นอกจากนี้ ยังเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายไปในการลงทุนในตลาดต่างประเทศหรือสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ เนื่องจากกองทุนแม่มีสัดส่วนการลงทุนใน Agency MBS ในตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยผลตอบแทนที่กองทุนจะได้รับส่วนใหญ่มาจากกําไรส่วนต่างของราคาหน่วยลงทุน
และสำหรับใครที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุนดังกล่าว สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ UGIS-N และ UGIS-A
การลงทุนกองทุน UGIS วันนี้ คือการลงทุนตาม MEVT Call ในกองทุนตราสารหนี้โลก จับโอกาสการลงทุนด้วย MEVT Framework ที่ประกอบด้วยปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค ในระยะกลาง 6-12 เดือน
กองทุน UGIS ตอบโจทย์ MEVT Framework ทั้งในแง่มหภาค (Macro) คืออัตราเงินเฟ้อ และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่านจุดพีค รวมไปถึงความกังวลด้านเศรษฐกิจชะลอตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยปัจจัยเชิงมูลค่า (Valuation) ที่ตราสารหนี้ที่น่าสนใจ จากการปรับตัวลงมามาก จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยข้างต้น ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (yield) อยู่ในระดับที่สูง
นอกจากนี้งบดุลของบริษัทจดทะเบียน (Earnings) ยังมีภาระหนี้ที่ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงปี 2008 ทำให้มีความปลอดภัยที่สูงกว่าแม้ความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวจะเร่งตัวขึ้น และเมื่อประกอบกับสถิติ (Technical) ที่ระบุว่าเมื่อเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้วตราสารหนี้มักมี downside ที่จำกัด
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ MEVT Call ในการลงทุนตราสารหนี้โลกอย่างละเอียดได้ที่นี่: https://www.finnomena.com/finnomena-ic/mevt-call-jan-2023/
พิเศษ! ลงทุน MEVT Call กับ Finnomena ด้วยการซื้อกองทุน UGIS-N และ UGIS-A วันนี้ มีสิทธิได้รับเหรียญ FINT ทันที สามารถนำไปใช้แลกของรางวัลรวมถึงแลก cashback ส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อกองทุน (Front End Fees) สูงสุด 20% หรือ 18,000 บาท สำหรับซื้อกองทุนรวมหุ้น ตราสารทางเลือก ตราสารหนี้โลกทุกชนิด ยกเว้นกองตราสารหนี้ไทย
รับ Cashback คืน สูงสุด 20%!!!
“FINT Cashback” ฟีเจอร์ใหม่จาก FINNOMENA
ลูกค้าจะได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียม “Front-end-fee”
สำหรับ “การซื้อกองทุน” ได้สูงสุด 20%
ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขกิจกรรมได้ที่ https://finno.me/cashback-ac
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
References
https://www.uobam.co.th/th/mutual-fund/00508/UGIS-N
https://www.pimco.com.sg/en-sg/investments/gis/income-fund/inst-acc
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลอยู่ที่ 34.50 บาท/ลิตร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.66 เป็นต้นไป โดยการปรับลดครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนหลังจากที่ขยับราคาน้ำมันดีเซล มาอยู่ที่ 35 บาท/ลิตรตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา
การปรับลดราคาขายปลีกดังกล่าวเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ
1) ปัจจัยด้านสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลดลง โดยมีสัญญาณการลดลงตั้งแต่เดือนพ.ย.65 ที่ผ่านมา โดยในปี 65 ราคาเฉลี่ยน้ำมันดีเซล (Gas Oil) ตลาดโลกอยู่ที่ 135.53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และในเดือนม.ค.66 ราคาน้ำมันดีเซลลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 116.12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
2) ปัจจัยจากการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติปรับอัตราภาษีลดลงประมาณ 5 บาท/ลิตร ต่อไปอีกเป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. – 20 พ.ค.66 โดยเป็นมาตรการต่อเนื่องตั้งแต่ก.พ.65 เป็นต้นมา จึงส่งผลให้การบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ราคาน้ำมันยังคงมีแนวโน้มลดลงอีก ก็คาดว่าจะมีการพิจารณาความเหมาะสมในการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลต่อไป
ปัจจุบันประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วันที่ 29 ม.ค.66 ติดลบอยู่ที่ 113,436 ล้านบาท
อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2023/272572
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
รูปที่ 1 Gold Price vs. 10-year Real Yield
Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 23/01/2023
นับตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมาทองคำปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 19% สอดคล้องกับการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม real yield ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed และการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ทองคำมี upside ที่จำกัด
รูปที่ 2 อัตราผลตอบแทนหุ้นกู้ในสหรัฐฯ ตามอันดับความน่าเชื่อถือ Source: Bloomberg, FINNOMENA as of 19/01/2023
เมื่อพิจารณาไปยังตราสารหนี้ ที่ปรับตัวลงต่ำสุดกว่า 25% (max drawdown) ใกล้เคียงกับตลาดหุ้น จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่าง aggressive เพื่อควบคุมเงินเฟ้อของ Fed ส่งผลให้ yield ของตราสารหนี้อยู่ในระดับที่น่าสนใจ อาทิ หุ้นกู้อันดับความน่าเชื่อถือ Aaa อยู่ในระดับ 4.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยนับตั้งแต่ปี 2012 ที่ 2.7% และ หุ้นกู้อันดับความน่าเชื่อถือ Baa อยู่ที่ระดับ 5.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 20 ปีที่ประมาณ 3.6% ส่งผลให้ตราสารหนี้มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น
รูปที่ 3 อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ Source: Macrobond, FINNOMENA as of 19/01/2023
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาไปยังแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลัก ๆ ของโลก ที่มีแนวโน้มจะผ่านจุดพีคไปแล้ว ส่งผลให้ downside ของการลงทุนในตราสารหนี้อยู่ในระดับที่จำกัด
รูปที่ 4 US Conference Board Leading Economic Index (% YoY Change) & Recession Period
Source: Macrobond, FINNOMENA as of 19/01/2023
เมื่อประกอบกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวพิจารณาจาก Conference Board Leading Economic Index (CB LEI) ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (economic leading indicator) ที่คิดมาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและด้านตลาดการเงิน ปรับตัวมาอยู่ในแดนลบ ซึ่งในอดีต ทุกครั้งที่ดัชนีดังกล่าวปรับตัวลงอยู่ในแดนลบ มักจะตามมาด้วยการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ทำให้ตราสารหนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น
รูปที่ 5 Global Aggregate Bond Return 400 Days around Inflation Peak Since 1990
Source: Macrobond, FINNOMENA as of 19/01/2023
และจากข้อมูลทางสถิตินับตั้งแต่ปี 1990 พบว่าตราสารหนี้ทั่วโลก มักให้ผลตอบแทนที่ดีในระดับมากกว่า 8% หลังจากอัตราเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้วประมาณ 3 เดือน ซึ่ง ณ ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานพบจุดสูงสุดในช่วงเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา หรือคิดเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว ขณะที่เงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มชะลอตัวลงในเดือนล่าสุด ส่งผลให้โอกาสปรับตัวลง (downside) ของตราสารหนี้อยู่ในระดับที่ต่ำ ส่งผลให้ตราสารหนี้มี risk/reward อยู่ในระดับที่น่าสนใจ
รูปที่ 6 Forward P/E by market Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 23/01/2023
ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ถูกกดดันจากปัจจัยลบและพบกับความผันผวนมากมาตลอดทั้งปี 2022 จากปัญหาเรื่องเสถียรภาพของตลาดการเงินเวียดนาม ปัญหาการทุจริตในบางกลุ่มธุรกิจ ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงมากว่า 42% จากจุดสูงสุดในช่วงเมษายน ส่งผลให้ในปัจจุบันหุ้นเวียดนามมี valuation ที่ระดับ PE 9 เท่า และอยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับอดีต และถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ อาทิ ตลาดหุ้นไทยที่ PE 17 เท่า
รูปที่ 7 VN30 earning yield gap Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 23/01/2023
ในขณะที่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนกำไรจากหุ้นกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (earning yield gap) พบว่าส่วนต่างผลตอบแทนสูงถึง 5.96% ซึ่งคิดเป็นระดับ +1.5 S.D. ซึ่งหมายความว่าการลงทุนในหุ้นเวียดนามมีความน่าสนใจขึ้นมากเมื่อเทียบกับตลาดพันธบัตรรัฐบาลเวียดนาม
รูปที่ 8 Vietnam total Factor productivity contribution to GDP
Source: FINNOMENA, Bloomberg Economic (BE) Forecast as of 14/12/2022
เมื่อพิจารณาในระยะยาว พบว่าความสามารถในการผลิตจากปัจจัยของทุนและแรงงานต่อ GDP ของประเทศเวียดนาม จะเห็นว่าในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากทั้งปัจจัยทางด้านประชากรที่ส่วนมากยังอยู่ในวัยแรงงานและมีการลงทุนจากต่างชาติในการมาตั้งฐานการผลิตในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายตัวของสังคมเมืองผ่านตัวเลข Urbanization Rate (%) แสดงให้เห็นว่าเมืองของเวียดนามขยายตัวขึ้นแซงอินเดีย มีประชากรเดินทางเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่มากขึ้นแทนที่จะอยู่ในชนบท เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจ การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ต้องการแรงงานมากขึ้น เป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มการบริโภคให้สูงขึ้นในระยะยาว
รูปที่ 9 Vietnam manufacturing PMI Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 27/01/2023
เมื่อพิจารณาภาพ 6 ถึง 12 เดือนข้างหน้า พบว่าความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมที่สะท้อนผ่านทางดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (manufacturing PMI) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 46.4 จุดในเดือนล่าสุด จากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเวียดนามเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ
รูปที่ 10 Vietnam export destination & 5 years growth Source: OEC world as of 31/12/2020
อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID ของทางการจีนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวได้ ทั้งในแง่ของการท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2023 และ เมื่อการส่งออกที่แม้จีนจะเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของเวียดนาม แต่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าสหรัฐฯ ที่เป็นอันดับที่ 1 ซึ่งสะท้อนว่าจีนกำลังมีอิทธิพลด้านการส่งออกต่อเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 11 MSCI Frontier Index VN Index & VN30 Index Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 26/01/2023
เมื่อพิจารณาไปในดัชนีของตลาดหุ้นเวียดนามพบว่า เวียดนามเป็นดัชนีตลาดหุ้นที่ยังมีน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับวัฏจักรเศรษฐกิจในระดับสูง อาทิ กลุ่มการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้หากการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว มีแนวโน้มผ่อนคลายลงเรื่อย ๆ จะมีโอกาสให้ผลตอบแทนได้สัมพันธ์กับวัฏจักรเศรษฐกิจที่ดีกว่า
รูปที่ 12 EPS Revision 1 เดือนและค่าเฉลี่ย 3 เดือน Source: FINNOMENA, Bloomberg as of 23/01/2023
ด้านการปรับคาดการณ์กำไรของตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งสะท้อนมุมมองของนักวิเคราะห์ ที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มส่งสัญญาณการปรับลดคาดการณ์ที่อ่อนแรงลง สะท้อนการรับรู้ข่าวความกังวลที่เกิดขึ้นไปเป็นจำนวนมากแล้ว ส่งผลให้มี downside ของคาดการณ์กำไรที่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัจจัยด้านการเปิดประเทศของจีนถูกรับรู้ อาจส่งผลให้การปรับคาดการณ์กำไรกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งในอนาคต ซึ่งจะเป็นการเปิด upside ของตลาดหุ้นเวียดนามต่อไป
รูปที่ 13 Cumulative Foreign Equity Flow Source: FINNOMENA,Bloomberg as of 26/01/2023
เมื่อพิจารณา fund flow ของนักลงทุนต่างประเทศ นับตั้งแต่มีการไหลออกในช่วงต้นปีจากข่าวการทุจริตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อปัญหาที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลายลง ทำให้นับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นเวียดนามเติบโตต่อเนื่อง
FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในทองคำบนพอร์ตการลงทุนหลักอย่าง GAR และ GCP จาก upside ที่จำกัดหลัง real yield เร่งตัว เพื่อเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้อย่าง UGIS-N แทน พร้อมกันนั้น ยังแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนหุ้นเวียดนามที่มีโอกาสเติบโตสูง ใน GAR เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี บน risk/reward ที่น่าสนใจ
real yield ที่เร่งตัวขึ้นกดดันให้ทองคำมี upside จำกัด อย่างไรก็ตามทองคำยังคงเหมาะสมแก่การถือครองเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุน SCBGOLDH ลงบางส่วน เพื่อลด downside ที่อาจเกิดขึ้น และรับโอกาสลงทุนในตราสารหนี้ที่ yield น่าสนใจและมี downside จำกัดจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้ผ่านจุดพีคแล้ว
real yield ที่เร่งตัวขึ้นกดดันให้ทองคำมี upside จำกัด อย่างไรก็ตามทองคำยังคงเหมาะสมแก่การถือครองเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุน SCBGOLDH ลงบางส่วน เพื่อลด downside ที่อาจเกิดขึ้น และรับโอกาสลงทุนในตราสารหนี้ที่ yield น่าสนใจและมี downside จำกัดจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้ผ่านจุดพีคแล้ว
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเวียดนามที่ปัจจัยกดดันต่าง ๆ คลายตัวลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลาง valuation ที่น่าสนใจ และปัจจัยด้านการเปิดประเทศของจีนส่งผลให้เวียดนามมี upside ที่น่าสนใจบน downside ที่จำกัด FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเวียดนาม 10%
GIF มีความผันผวนที่ต่ำเมื่อเทียบกับภาวะการลงทุนโดยรวมทั่วโลก อีกทั้งยังสามารถสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอได้ แต่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3-5% เล็กน้อย
อย่างไรก็ตามสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และสภาพคล่องอย่าง KFSPLUS นั้นพร้อมต่อการปรับเข้าสู่สินทรัพย์อื่น ๆ ทำให้หาก FINNOMENA Investment Team ประเมินว่าความเสี่ยงลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อไหร่ พอร์ตจะสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงเป้าหมายทั้งกระแสเงินสด และเงินต้น บนความเสี่ยงที่เหมาะสม จึงยังแนะนำคงสัดส่วนการลงทุน
GGG ซึ่งเป็นพอร์ตที่แนวทางลงทุนหุ้น 100% ตลอดเวลา กระจายการลงทุนหลากหลายธีม ประเทศ และใช้ min.volatility optimization เป็นแนวทางในการจัดสรรน้ำหนักเพื่อลดความเสี่ยง ได้ถูกตรวจสอบทั้งในเชิงโมเดลการลงทุน และ กองทุนรวมที่ถือครอง ซึ่งยังคงมีความเหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุนปัจจุบัน FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำคงสัดส่วนการลงทุนเดิม
All Balance ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนแบบ strategic asset allocation ที่จัดสัดส่วนการลงทุนด้วย Black-Litterman Model หัวใจของ FINNOMENA Robo-Advisor ที่ผสมผสานระหว่างโมเดลทางคณิตศาสตร์ที่ช่วยคำนวณค่าสถิติในอดีตกับมุมมองการลงทุนในอนาคตจากผู้แนะนำการลงทุนถือครองสัดส่วนหุ้นในระดับ 45% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดตามนโยบายการลงทุนแล้ว
เมื่อประกอบกับการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นอย่าง ตราสารหนี้ ทองคำ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมลงมาอีกบางส่วนนั้นมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำคงสัดส่วนการลงทุน
RIS มีความผันผวนที่ต่ำเมื่อเทียบกับภาวะการลงทุนโดยรวมทั่วโลก อีกทั้งยังสามารถสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอได้ แต่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3-3.5% เล็กน้อย
พร้อมด้วยสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และมีสภาพคล่องสูงอย่าง KFSPLUS นั้นพร้อมต่อการปรับเข้าสู่สินทรัพย์อื่น ๆ ทำให้หาก FINNOMENA Investment Team ประเมินว่าความเสี่ยงลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อไหร่ พอร์ตจะสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงเป้าหมายทั้งกระแสเงินสด และเงินต้น บนความเสี่ยงที่เหมาะสม จึงยังแนะนำคงสัดส่วนการลงทุนต่อ
————————————————————————————————————————
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัว ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยยังคงได้แรงหนุนจากการที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐมีทิศทางชะลอลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดคาดหวังว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด และอาจประกาศลดดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเฟดอาจประกาศลดดอกเบี้ยในปีหน้า ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการที่จีนกลับมาเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาด และสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในจีนมีทิศทางดีขึ้น ส่งผลให้ตลาดคาดว่าปัญหาในห่วงโซ่อุปทานจะคลี่คลายลงและช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่เกิดจากปัญหาการขาดแคลนอุปทาน รวมถึงคาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นจากการที่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการที่จีนกลับมาเปิดเศรษฐกิจอาจส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันจากจีนเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาน้ำมัน
สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนฯบางแห่งรายงานผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง ถึงแม้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางฟื้นตัวชัดเจนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่ง
ในส่วนของตราสารหนี้มีการฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน หลังอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอลงมากกว่าที่คาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง
ทั้งนี้มีแนวโน้มที่ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ยังคงมีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังความเสี่ยงจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดี ยังคงมีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ ดังนั้น พอร์ตการลงทุนจึงยังคงเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้น defensive และลงทุนในหุ้นจีนซึ่งจะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 30 มกราคม 2022
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 30 มกราคม 2022
KFHHCARE :
KFUSINDX :
ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 30 มกราคม 2022
คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 0 2657 5757
เราปรับพอร์ตลงทุนให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น สะท้อนมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง เมื่อจีนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 เร็วกว่าคาด และ Fed ส่งสัญญาณชะลออัตราเร่งของการขึ้นดอกเบี้ย
ภาพแสดงการปรับสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนของพอร์ต SCB Grow Together ที่มา: SCBAM วันที่: 30 มกราคม 2022
ภาพแสดงสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนของพอร์ต SCB Grow Together ที่มา: SCBAM วันที่: 30 มกราคม 2022
เริ่มสร้างแผนลงทุนกับ บลจ. ชั้นนำทั่วฟ้าเมืองไทยที่คุณชื่นชอบ ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง
👉 สร้างแผน คลิก >>> https://finno.me/plan-select-playlists-web
คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด โทร 0 2657 5757
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด นับเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกปีนี้ เพื่อสกัดความร้อนแรงของภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงสุดในรอบ 40 ปี
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (1 ก.พ.) คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของระบบธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) มีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.50%-4.75% โดยยืนยันว่า การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในกรอบเป้าหมายมีความเหมาะสมต่อการควบคุมเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ Fed ยังส่งสัญญาณว่า การขึ้นดอกเบี้ยในรอบหน้าอาจอยู่ในระดับ 0.25% เช่นกัน
ในการประชุมครั้งล่าสุดนี้ Fed ไม่ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ระบุเพียงว่าเศรษฐกิจอเมริกันยังมีการเติบโตพอประมาณ และตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง โดยจะยังคงระมัดระวังอย่างมากในด้านความเสี่ยงเงินเฟ้อ
เนื่องจากปัจจัยสงครามยูเครนยังคงผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับโลก
ในการกำหนดขนาดของการปรับขึ้นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยในอนาคตนั้น คณะกรรมการฯ จะพิจารณาถึงการคุมเข้มนโยบายการเงินที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาแล้วหลายครั้ง และพิจารณาถึงประเด็นที่ว่าการชะลอนโยบายการเงินจะมีผลกระทบอย่างไรต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเงิน
นอกจากนี้ คณะกรรมการจะยังคงปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ตามที่ได้อธิบายไว้ในแผนการปรับลดขนาดงบดุลบัญชีของเฟด (Plans for Reducing the Size of the Federal Reserve’s Balance Sheet) ซึ่งมีการประกาศในช่วงก่อนหน้านี้ โดยคณะกรรมการมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
ส่วนในการประเมินแนวทางที่เหมาะสมของนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการจะยังคงจับตาข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯ จะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ของคณะกรรมการฯ โดยคณะกรรมการฯ จะประเมินข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลด้านสาธารณสุข ภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน และสถานการณ์ในต่างประเทศ
อ้างอิง:
https://www.ryt9.com/s/iq27/3394134
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
กองทุนไหนดี? รวบรวม 10 อันดับกองทุนผลตอบแทนดีในแต่ละเดือนของปี 2566 มาไว้ที่นี่แล้ว!
รับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service
คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: ASP-DIGIBLOC, KFINNO-A, TMB-ES-INTERNET, T-ES-GINNO, TMB-ES-GINNO, SCBNEXT(A), SCBINNO(A), ONE-GECOM, SCBFINTECH(A), TMB-ES-FINTECH
สามารถกรองการจัดอันดับได้เอง พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่ FINNOMENA Fund Filter
รับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
อินเตอร์โกลด์มองปี 2023 เป็นโอกาสของทองคำที่จะไปถึงจุ
โดย คุณธีรรัฐ จุฑาวรากุล ผู้บริหาร บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด ได้พูดถึงปัจจัยที่จะหนุ
จากปีก่อนเราจะเห็นว่าเกิดการจั
สาเหตุที่ทำให้ความขัดแย้งจะเกิ
เราอาจจะได้เห็นสงครามการค้าที่
ในช่วงที่ผ่านมามีหลายคนถามว่า เรากำลังจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิ
ผลกระทบที่ตามมาก็เกิดขึ้นอย่
โดยการสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่
จากทั้ง 3 ปัจจัยหลักที่กล่าวไป ล้วนส่งผลดีเป็นปัจจัยหนุ
จีนและสหรัฐฯ สรุปว่าจะทะเลาะกันหรือจะหั
หากความขัดแย่งระหว่
หลังจากมีการเปิดประเทศเป็
แต่ส่วนตัวมองว่าค่าเงินบาทอยู๋
หรือแม้แต่ความไม่แน่นอนระหว่
สุดท้ายแล้วจากความเสี่ยง 3 ข้อ ผมก็มองว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นได้
ซึ่งโดยสรุปแล้วหากไม่มีอะไรผิ
นักลงทุนที่เป็น Value Investor หรือ VI นั้น มีหลาย “ระดับ” ของการเป็น “VI” ซึ่งมีนิยามอย่างสั้นที่สุดก็คือ “การลงทุนซื้อหุ้นจะซื้อเฉพาะหุ้นที่มี Intrinsic Value หรือมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาดของหุ้นมากพอที่จะทำให้มี Margin of Safety หรือส่วนเผื่อของความปลอดภัยในการลงทุน และขายหุ้นเมื่อราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง”
ส่วนรายละเอียดว่าอะไรคือ มูลค่าที่แท้จริง ประเมินอย่างไร และมีความแน่ใจแค่ไหน และมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ควรจะประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน และแต่ละคนก็จะคิดไม่เหมือนกัน นอกจากนั้น กลยุทธ์การถือหรือซื้อขายหุ้น เช่น ถือหุ้นจำนวนมากน้อยแค่ไหนหรือจะถือยาวแค่ไหน เช่นเดียวกับวิธีการค้นหาข้อมูลและประเมินศักยภาพของกิจการ และผู้บริหาร ก็เป็นเรื่องที่มีความแตกต่างกันมากในหมู่ของนักลงทุนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “VI”
จากการเป็น VI มายาวนานในตลาดหุ้นไทย และการศึกษา VI ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวที่มีชื่อเสียงระดับโลกรวมถึงวอร์เรน บัฟเฟตต์ ผมเองรู้สึกว่า “VI ผู้มุ่งมั่น” หรือ VI ที่มีความทุ่มเท หรือยึดถือหลักการทาง VI “อย่างเคร่งครัด” นั้น มักจะตีตัวออกห่างจากสถานการณ์ของตลาดหลักทรัพย์ เช่น ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปแบบ “ไร้เหตุผล” หรือ “บ้าคลั่ง” เช่นเดียวกับการที่ไม่ตกใจหรือไม่กลัวเวลาหุ้นตกลงไปอย่างแรง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นรายตัวหรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนั้น พวกเขาก็ยังไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวหรือสตอรี่หรือ “ราคาคุย” ของผู้บริหาร รวมถึงนักวิเคราะห์และ “เซียน” หรือ “นักลงทุนรายใหญ่” ทั้งหลายที่อยู่ในตลาดหากมองและประเมินแล้วว่าไม่ได้มีตรรกะหรือเหตุผลที่เพียงพอ
โดยปกติแล้ว “ความเป็น VI” ของนักลงทุนนั้น ก็คงคล้ายกับเรื่องอื่น ๆ ที่ว่า ต้องอาศัยการปฏิบัติ และเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะมีความเชี่ยวชาญ มีวินัย มีศรัทธา ที่จะลงทุนในแบบหรือกลยุทธ์แบบ “VI ที่แท้จริง” มากขึ้นเรื่อย ๆ และมี “ข้อยกเว้น” น้อยลงเรื่อย ๆ และต่อไปนี้ก็เป็นนิสัยหรือความคิด และการกระทำของผมที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาของการเป็น VI เพิ่มขึ้น ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้หมายความว่าผมจะลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาเป็น VI ที่มุ่งมั่นมากขึ้น บางทีอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยลงด้วยซ้ำแต่ความเสี่ยงอาจจะลดลง หรือ “ชีวิตโดยรวม” ซึ่งไม่ได้คิดแต่เรื่องการลงทุนเพียงอย่างเดียวอาจจะดีขึ้น อะไรทำนองนี้
เรื่องแรกที่ผมเปลี่ยนไปจากในช่วงแรกที่เป็น VI ก็คือ เรื่องที่กำลังร้อนแรงมากในช่วงเร็ว ๆ นี้นั่นก็คือ การเล่นหรือจองซื้อหุ้น IPO ซึ่งดูเหมือนจะเป็น “ที่รัก” ของนักลงทุนในตลาดหุ้นทุกคน เพราะจากสถิติก็คือ กำไรจากหุ้น IPO ในวันแรกของการเทรดนั้นน่าจะสูงกว่าการขาดทุนมาก-ตลอดกาล ว่าที่จริง ผมเองเริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยการจองซื้อหุ้น IPO ที่ได้รับการจัดสรรจากบริษัทที่เอาหุ้นเข้าตลาดเมื่อหลายสิบปีก่อน ดูเหมือนว่าน้อยครั้งที่คนจะปฏิเสธการจองหุ้น IPO มีแต่อยากจะได้มากที่สุด
แต่ผมเองกลับเลิกจองหุ้น IPO มานานหลายปีแล้ว ทั้ง ๆ ที่บ่อยครั้งก็รู้สึกว่ากำไรมากแน่นอน เพราะดูจากอุตสาหกรรมที่กำลังร้อนแรง ตัวบริษัทที่เป็นผู้นำ และมีขนาดของบริษัทที่เล็กมาก หุ้นมี Free Float ต่ำ ภาวะตลาดหลักทรัพย์มีการเก็งกำไรสูงมาก หุ้นมีโอกาสถูก “Corner” ตั้งแต่เทรดวันแรก
แต่ผมก็ไม่จอง ผมคิดว่า IPO น่าจะเกือบทุกตัวนั้นมักมีราคาที่ตั้งไว้สูงกว่าพื้นฐานของหุ้น หรือที่เขาพูดกันว่า “It Probably Overpriced” และ “VI พันธุ์แท้” ไม่ควรซื้อหุ้นที่ราคาสูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริง และก็ไม่ควรซื้อแม้ว่าในระยะเวลาอันสั้นราคาอาจจะสูงกว่าพื้นฐานมากขึ้นไปอีกมาก ซึ่งจะทำให้เราขายได้กำไรอย่างงดงาม เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมคิดว่าถึงได้กำไร มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงสถานะของพอร์ตหุ้นเราเลย เราอาจจะได้เงิน แต่เราก็อาจจะเสียศรัทธา และความเชื่อของเราต่อหลักการแบบ VI ที่เราสร้างมานาน
ช่วงการเป็น VI ใหม่ ๆ อาจจะเป็นกว่า 10 ปี เมื่อมองย้อนหลังกลับไป ผมน่าจะเป็นนักลงทุนที่เรียกว่า “Value Speculator” หรือนักเก็งกำไรโดยอาศัยหลักการเลือกและเล่นหุ้นที่เป็น “Value Stock” คือ หุ้นที่มีราคาถูกกว่าพื้นฐานของกิจการ แต่จะเป็นการมองระยะสั้น และเน้นที่กำไรของบริษัทในระยะสั้น หุ้นเหล่านี้มักจะไม่ได้มีความเข้มแข็งมากนักแต่กำไรอาจจะกำลังเติบโตดี หุ้นมีขนาดเล็กที่ราคาอาจจะขึ้นไปได้เร็วเมื่อมีคนเข้ามาเล่น บางตัวก็ถูก Corner โดยนักลงทุนรายใหญ่ซึ่งทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปมากมาย อย่างไรก็ตาม เวลาที่กำไรของบริษัทไม่เป็นไปตามคาดหรือเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ราคาก็ลงแรงพอกัน
ในระยะหลัง ๆ โดยเฉพาะที่พอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้น ผมก็เปลี่ยนเป็นการลงทุนแบบ VI ระยะยาวขึ้น และยาวขึ้น ลงทุนในหุ้นของกิจการที่จะอยู่อย่างมั่นคงปลอดภัย และเติบโตเร็วหรืออย่างน้อยก็เติบโตบ้างแบบช้า ๆ โดยไม่ค่อยสนใจว่างวดนี้หรืองวดหน้าหรือปีนี้หรือปีหน้ากำไรบริษัทจะโตพรวดหรือเปล่า เป็นการลงทุนที่ซื้อแล้วไม่มีเวลาที่คิดจะขาย แต่จะขายต่อเมื่อสิ่งที่เราคิดไว้ทีแรกเปลี่ยนไปแล้ว เช่น ธุรกิจหมดความสามารถในการแข่งขันหรือถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีหรือรูปแบบการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป เป็นต้น
การหาข้อมูลแบบ VI คือ ดูกิจการหรือเข้าไป Visit Company คุยกับผู้บริหารโดยตรงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เปลี่ยนไปในอดีตบ่อยครั้ง ก่อนที่จะซื้อหุ้นผมมักจะอยากจะรู้จัก หรือพูดคุยกับผู้บริหารรวมถึงการเข้าไปชมโรงงานหรือกิจการว่าเป็นอย่างไร ดูดีหรือไม่ นอกจากนั้น ถ้าบริษัทขายสินค้าให้กับผู้บริโภค ผมก็จะต้องวนเวียนคอยสังเกตดูว่ามีลูกค้าเข้าชมหรือซื้อสินค้าของบริษัทมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็มักจะได้ผลดี ซื้อแล้วหุ้นก็มักจะขึ้น
ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะมี VI คนอื่นก็เข้าไปพบบริษัท และผู้บริหาร และก็ซื้อหุ้นด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ต่อมาผมพบว่า เวลาเข้าไปพบบริษัท ข่าวก็คงออกมา และทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปก่อนที่เราจะซื้อ ทำให้ผมไม่อยากไป สุดท้าย ผมก็เลิกไปเลยเพราะดูแล้ว การเข้าไปเยี่ยมชม และฟังผู้บริหารก็อาจจะได้ข้อมูลที่ “ลำเอียง” ตอนหลังผมก็เลยดูจาก “ภายนอก” ดูจากข้อมูลทางตัวเลข และการวิเคราะห์ธุรกิจ และอุตสาหกรรมซึ่ง “หลอกไม่ได้”
การวิเคราะห์ “ผู้บริหาร” นั้น ในอดีตผมจะเน้นในเรื่องความซื่อสัตย์มีจรรยาบรรณเป็นประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของฝีมือหรือความสามารถทางการบริหาร ซึ่งผมก็มักจะดูจากการตัดสินใจต่าง ๆ เช่น การลงทุนและการจัดสรรเงินที่ได้จากธุรกิจว่ามีความเหมาะสมแค่ไหน โดยเฉพาะการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในส่วนของฝีมือในการบริหารนั้น บ่อยครั้งผมก็มักจะดูจากการพูดอธิบายกลยุทธ์ทางธุรกิจต่าง ๆ ของผู้บริหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายงาน และการแข่งขันกับคู่แข่ง
บ่อยครั้งผมมักจะประทับใจกับผู้บริหารที่มีโครงการและแผนงานเต็มไปหมดพร้อม ๆ กับการคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าประทับใจ พูดง่าย ๆ ชอบผู้บริหารที่ “ขี้คุย” แต่ในระยะหลัง ๆ ความคิดผมก็เปลี่ยนไป ผมคิดว่าผู้บริหารที่ “โอ้อวดเกินความจริง” นั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อกระตุ้นให้คนซื้อหุ้นมากกว่าความเป็นไปได้ของการเติบโตของธุรกิจ ดังนั้น ผมมักจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่ผู้บริหารคุยโม้มากเกินไป
กลยุทธ์การลงทุนของผมในอดีตนั้น เป็นแบบ “Bottom Up” หรือเน้นแต่การดูตัวบริษัทเป็นหลัก โดยที่ไม่ให้ความสนใจกับภาพใหญ่ทางธุรกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเลย นั่นอาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลดีโดยเฉพาะในประเทศที่กำลังเติบโตระยะยาวไปเรื่อย ๆ อย่างในตลาดหุ้นสหรัฐหรือไทยในช่วงก่อนหน้านี้หลายปี
อย่างไรก็ตามในระยะหลัง ผมก็เริ่มเปลี่ยน ผมคิดว่าหลักการแบบ VI ที่มีกำเนิดจากอเมริกา และประวัติศาสตร์การลงทุนที่เราเรียนรู้จากอเมริกานั้น ถึงปัจจุบันอาจจะใช้ไม่ได้กับตลาดหุ้นไทยที่เศรษฐกิจอาจจะเติบโตช้าลงมาก และถ้าเรายังคิด และวิเคราะห์เฉพาะตัวกิจการ เราอาจจะพลาด และติดหล่มอยู่ใน “หลุมทรายดูด” ได้ เพราะตัวบริษัทอาจจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะเติบโตได้ดีแม้ว่าจะเก่งที่สุดแล้ว
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันนี้ (1 ก.พ. 66) ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ปรับตัวลงแรง 3.29% จากแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคาร อุตสาหกรรม และอสังหาฯ หลังจากหลายบริษัทเริ่มทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2022 รวมถึงการขายเพื่อปิดความเสี่ยงของนักลงทุนก่อนการประชุมเฟดที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้
โดยหุ้นการเงินโดยเฉพาะกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ในภาพรวมรายงานกำไร 4Q22 ลดลง YoY เนื่องจากความผันผวนของตลาดหุ้นเวียดนามในปีที่ผ่านมา และปัญหาด้านสภาพคล่องของระบบการเงินในเวียดนาม นอกจากนี้หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมรายใหญ่อย่าง Hoa Phat, Hoa Sen Group, Nam Kim Group และ VNSteel รายงานผลขาดทุนใน 4Q22 ซึ่งขาดทุนติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง เนื่องจากอุปสงค์เหล็กและราคาเหล็กในประเทศเวียดนามที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ DSC Securities โบรกเกอร์ในประเทศเวียดนามระบุว่าสาเหตุที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงในวันนี้คือ 1) การขายเพื่อปิดความเสี่ยงของนักลงทุนก่อนการประชุมเฟดที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ 2) การขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในเดือนพ.ย. 2022 ที่ผ่านมา และ 3) ข่าวลือต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเป็นตลาดที่มีความผันผวนในระยะสั้นเนื่องจากมีนักลงทุนลงรายย่อยเป็นสัดส่วนใหญ่ แต่หากพิจารณาในระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นเวียดนามมีทิศทางเชิงบวกมากขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. 2023 ฟื้นตัวสู่ 47.40 จากระดับ 46.40 ในเดือนธ.ค. 2022 (แต่ยังอยู่ในโซนหดตัว) และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อหลังจากจีนผ่อนคลายมาตร Zero Covid ด้าน Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 8.53 เท่า หรือ -1.54 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมถึงยังมีแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่าง ๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง เราจึงแนะนำสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวในกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A
——————-