วันนี้ (14 พฤษภาคม 2025) ดัชนี HSCEI (หุ้นจีน H-Share) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่ BYD (+4.57%), Baidu (+4.01%), Xiaomi (+3.60%), Alibaba (+3.41%), JD.com (+3.36%) และ Tencent Holdings (+2.96%) หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2025 ที่ออกมาดีกว่าคาด โดย JD.com รายงานรายได้เติบโต 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 43% ขณะที่ Tencent ก็เปิดเผยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยรายได้ขยายตัว 13% YoY และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14% ความแข็งแกร่งของผลประกอบการจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และผลักดันให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นในวันนี้
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 สหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงการลดภาษีชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันหลังการเจรจาที่สวิตเซฮร์แลนด์ โดยล่าสุดสหรัฐฯได้ลดภาษีจาก 145% เหลือ 30% และ จีนได้ลดภาษีสหรัฐฯจาก 125% เหลือ 10% โดยจะมีผลเริ่มต้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2025 ขณะที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังได้ระบุว่า การเจรจากับจีนเป็นไปในทิศทางที่ดี พร้อมทั้งทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งกดลไกเพื่อดำเนินการหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าต่อไป โดยสก็อตต์ เบสเซนต์เป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ขณะที่เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนจากรัฐบาลจีน
Finnomena Funds มองว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในวันนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อผลประกอบการหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนขนาดใหญ่ที่ยังแข็งแกร่ง และสะท้อนถึงความกังวลที่ลดลงของนักลงทุนต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ หลังจากสหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงภาษีได้ ซึ่งส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการเปิดเจรจาการค้ากับหลายประเทศ และเป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้
เราคงมุมมอง Slightly Positive ต่อหุ้นจีน H-shares โดยแนะนำทยอยสะสมกองทุน MEGA10CHINA-A ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นจีน H-shares ขนาดใหญ่ 10 บริษัท
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
รู้จักหุ้นญี่ปุ่นในพอร์ต Warren Buffett ขุมทรัพย์ Value Stock สำหรับเก็บสะสมระยะยาว พร้อมวิเคราะห์โอกาสการลงทุน และแนะนำกองทุน F-Pick หุ้นญี่ปุ่น ASP-NGF
มีหุ้นญี่ปุ่นอยู่ 5 ตัวที่ Warren Buffett เข้าลงทุนมาตั้งแต่ปี 2020 และทยอยเก็บสะสมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ถึงตัวละ 10% ซึ่งคาดว่าปัจจุบัน Berkshire Hathaway มีมูลค่าการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นสูงถึง 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมยืนยันชัดเจนว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ประกอบด้วย
บริษัทการค้าระหว่างประเทศที่มีธุรกิจครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านพลังงาน เครื่องจักร สินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงด้านอสังหาริมทรัพย์ด้วย ถือเป็นองค์กรเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่มีอายุมากกว่า 167 ปี ซึ่งสามารถยืนหยัดเติบโตมาได้อย่างต่อเนื่อง
บริษัทพาณิชย์รายใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า พลังงาน และโลจิสติกส์ โดยเป็นผู้นำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีรายได้จากหลายช่องทาง ครอบคลุมแทบทุกภาคส่วนของญี่ปุ่น และดำเนินธุรกิจมากว่า 167 ปี
หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งมีอายุเกิน 100 ปี ดำเนินกิจการในด้านโลหะ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีการสื่อสาร และทำธุรกิจเทรดดิ้งทั่วโลก รวมถึงเป็นยักษ์ใหญ่ขยายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น
บริษัทพาณิชย์ที่มีการลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี เหมืองแร่ และบริการก่อสร้าง ซึ่งบริษัทได้ขยายธุรกิจมากมาย จนมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและได้รับความเชื่อมั่นจากหุ้นส่วนธุรกิจทั่วโลก
หนึ่งในบริษัทพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ พลังงาน อาหาร การเงิน ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน
ทั้ง 5 บริษัทเป็นที่รู้จักในชื่อ Sogo Shosha หรือบริษัทการค้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น และมีบทบาทสำคัญที่คอยเชื่อมโยงตลาดโลกกับธุรกิจในประเทศ ซึ่งยังมีอีก 2 บริษัทในกลุ่มนี้ คือ Toyota Tsusho และ Sojitz
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ภาพของตลาดหุ้นโลกเป็นช่วงเวลาที่หุ้น Growth กลุ่มเทคโนโลยี AI เติบโตได้ดีมาก แต่ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นไว้หนึ่งแห่ง
Source: Finnomena Funds as of 25/04/2025
ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของผลตอบแทนระหว่างหุ้น Value และหุ้น Growth ใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่ หุ้นญี่ปุ่น หุ้นโลก และหุ้นสหรัฐฯ โดยใช้ดัชนี MSCI เปรียบเทียบกันในช่วง 2 ปี (มกราคม 2023 – เมษายน 2025) ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญ ดังนี้
อัตราส่วนของ MSCI Japan Value Index / MSCI Japan Growth Index สะท้อนว่าหุ้น Value ของญี่ปุ่นมีผลตอบแทนดีกว่าหุ้น Growth ชัดเจน โดยค่า Index ล่าสุดอยู่ที่ 117.55 เพิ่มขึ้นประมาณ 17.55%
แต่ตัวแทนหุ้นโลกอย่าง MSCI World Value Index / MSCI World Growth Index และตัวแทนหุ้นสหรัฐฯ MSCI USA Value Index / MSCI USA Growth Index พบว่าค่า Index อยู่ต่ำกว่า 100 แปลว่าหุ้น Value ให้ผลตอบแทนแพ้หุ้น Growth
เพราะตลาดญี่ปุ่นมีปัจจัยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม การปรับโครงสร้างบริษัท การจ่ายปันผล และแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติ เช่น Warren Buffett
Finnomena Funds คงคำแนะนำ Neutral ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เน้นการลงทุนแบบ Selective ผ่านกองทุน ASP-NGF หรือพอร์ต DR หุ้นนอกด้วยกลยุทธ์ Definit Global Select (DGS)
ASP-NGF หรือ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสนิปปอนโกรท (ความเสี่ยงระดับ 6) มีนโยบายการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น ผ่านกองทุนหลัก Nippon Growth (UCITS) Fund บริหารและจัดการโดย E.I. Sturdza Strategic Management Limited โดยมีเป้าหมายคว้าโอกาสการลงทุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่น
Investment Process ของกองทุนมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มของพอร์ตด้วยความสามารถในการ วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคและอุตสาหกรรมที่ตลาดยังไม่ได้รับรู้ คัดเลือกหุ้นขนาดใหญ่ Large Cap มูลเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ พิจารณาทั้งหุ้น Growth และ Value ประกอบด้วยหุ้นทั้งหมดประมาณ 30 ตัว เน้น Selective สูง ไม่อ้างอิงดัชนี
ตัวอย่าง Top Holdings as of 14/05/2025 ได้แก่ Mitsubishi UFJ Financial Group, Sumitomo Mitsui Financial, Mizuho Financial Group, Itochu Corp และ Isetan Mitsukoshi Holdings เป็นต้น
Source: Finnomena Funds, Morningstar data 17/05/2023 – 23/04/2025
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept Help Center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
การมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะในชีวิตเราอาจพบกับเหตุการณ์ไม่ทันตั้งตัว ที่ทำให้ต้องใช้เงินตั้งรับกับปัญหาต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้น การเตรียมตัวให้พร้อม “เก็บเงินสักก้อน” เพื่อใช้ยามฉุกเฉิน จะช่วยให้เราผ่อนหนักเป็นเบา แม้จะสะดุดก็ยังลุกขึ้นเดินหน้าต่อไปได้
FinSpace
สัปดาห์นี้ ข่าวดีจากการชะลอ Tariff War ระหว่างจีนกับสหรัฐ ออกไป 90 วัน น่าจะทำให้ Sentiment ของตลาดหุ้นโลกโดยรวมดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ดี ผลโพลจากผู้จัดการด้านการลงทุนสหรัฐในเดือนเมษายน 2025 ที่จัดทำโดยสำนักข่าวดาวน์โจนส์ ที่มีผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นผู้จัดการด้านการลงทุน 119 ราย ปรากฎว่า โทนออกมาแบบ Bearish ที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 32% จากทั้งหมด มีความเห็นในเชิงลบหรือ Bearish ต่อตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 12 เดือนถัดไป ซึ่งถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997
หากพิจารณาถึง วิกฤตต่าง ๆ ที่เราได้เผชิญผ่านมานับจากวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง เหตุการณ์ 9/11 วิกฤตซับไพร์ม และวิกฤตโควิด จะเห็นได้ว่าผู้คนในวงการการลงทุนดูจะกังวลต่อวิกฤต Tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์มากกว่า
ในทางกลับกัน สัดส่วนของผู้ที่มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะสดใส หรือ Bullish ก็ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบเกือบ 30 ปีเช่นเดียวกัน อยู่ที่เพียง 26% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ซึ่งสวนทางกับช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อน ที่ผลออกมา 50% Bullish และมีเพียง 18% Bearish โดยความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดจากผลกระทบของมาตรการ Tariff ของทรัมป์ที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนและต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าโทนในช่วงหลังของทรัมป์จะดูไม่ดุดันอย่างในช่วงต้น ๆ ก็ตาม
โดยผลโพลด้าน Valuation ของตลาด ท่ามกลางการรีบาวนด์ของตลาดหุ้นสหรัฐหลังจากลงไปเกือบ 20% ในช่วงวัน Liberation Day ของทรัมป์ ปรากฎว่า 58% ของโพลมองว่าตลาดยัง overvalued ในขณะที่ 38% มองว่าอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม โดยมีเพียง 4% ที่มองว่ายัง undervalued
สำหรับด้านเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปีนี้ ปรากฎว่ากลุ่ม Bullish มองดัชนีจะสูงขึ้น 4-7% จากระดับปัจจุบัน ส่วนกลุ่ม Bearish มองจะลดลง 7% สำหรับดัชนีดาวน์โจนส์ และลดลงราว 11-12% สำหรับดัชนี S&P500 ในขณะที่ 42% ของทั้งหมดมองว่าจะอยู่ในระดับปัจจุบัน
หันมาพิจารณาความนิยมต่อมาตรการ Tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์กันบ้าง ปรากฎว่า 80% ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ 20% เห็นด้วย ด้านโอกาสการเกิด Recession นั้น ปรากฎว่าราว 80% ของทั้งหมดมองว่ามีโอกาสเกิด Recession อยู่ 40% หรือมากกว่านั้น อย่างไรก็ดี ราว 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มองว่าการลดลงของตลาดถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนควรเข้าซื้อ
เมื่อพิจารณานโยบายต่าง ๆ โดยรวม ปรากฎว่าหลายท่านมองว่าทรัมป์ไม่ได้โฟกัสนโยบายที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตในช่วงต้น ๆ โดย 38% ของทั้งหมด ต้องการให้ Deregulation เป็นนโยบายอันดับหนึ่งที่ทรัมป์ควรให้ความสำคัญ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ความคาดหวังเชิงบวกต่อทรัมป์ขึ้นสูงสุดหลังจากตอนที่ชนะการเลือกตั้งใหญ่ ๆ หมาด ๆ จากนั้น ความคาดหวังดังกล่าวก็ค่อยๆลดลงมาเป็นลำดับ โดยเน้นนโยบาย Tariff มากจนเกินไป
สำหรับในมุมความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 6 เดือนถัดจากนี้ ปรากฎว่า 24% เห็นว่าคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ, 19% ชี้ไปที่ Recession และ 14% มองว่าเป็นความวุ่นวายทางการเมือง โดยผลสำรวจส่วนใหญ่ประเมินว่า Tariff จะทำให้เกิดการหยุดนิ่งของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงกลางปีนี้ แม้ว่าจะมีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงเพียงหนึ่งรายเท่านั้นที่มองในแง่ดีว่า Recession จะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากพลังของการบริโภคของชาวสหรัฐที่ถึงตรงนี้ก็ปรากฎว่าแรงยังไม่ตก
ด้วยเหตุนี้ ทองคำ จึงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมถึง 58% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดในครั้งนี้ โดยเชื่อว่าอุปสงค์ที่สูงขึ้นจากการเข้ามาซื้อทองคำของบรรดาธนาคารกลางของโลก ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย หรือประเทศในตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์ จะส่งผลดีต่อราคาทองคำ รวมถึงราคาทองคำมักสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์
ด้านการกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ปรากฎว่า ผลโพลในครั้งนี้ มีถึง 70% ที่มีความเห็นเชิง Bullish ต่อตลาดหุ้นนอกสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตลาดของประเทศพัฒนาแล้วหรือตลาดเกิดใหม่ โดยมีหลายท่านชื่นชอบ iShares MSCI EAFE Value ETF และ Vanguard FTSE Emerging Markets ETF โดยมองว่าค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนและค่าเงินยูโรที่แข็ง จะเป็นปัจจัยช่วยตลาดหุ้นนอกสหรัฐ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหุ้นจีนซึ่งมีบางท่านในผลโพลชื่นชอบ รวมถึงหุ้น Alibaba ที่ราคาขึ้นไปกว่า 40% ในปีนี้ แม้ว่าจะเทรดที่ค่า P/E เพียง 13 เท่าของกำไรสุทธิที่คาดการณ์ใน 12 เดือนข้างหน้า และหุ้นที่เน้นปันผลในกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มยารักษาโรค
ท้ายสุด กว่า 70% ของทั้งหมดในรอบนี้ ชื่นชอบการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากมองว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ คาดว่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ต่ำกว่า 4% ในอีก 1 ปีนับจากนี้
โดยสรุป ปี 2025 คาดว่าจะเป็นปีที่การลงทุนมีความผันผวนสูงมากๆ ซึ่งทุกคนต้องเตรียมตัวรับมือแบบระมัดระวังให้ดีกว่าทุกปี
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
Microsoft บริษัทผู้พัฒนาซอฟแวร์รายใหญ่ของโลก ประกาศปลดพนักงานอีกกว่า 6,000 ตำแหน่งทั่วโลก หรือคิดเป็นราว 3% ของพนักงานทั้งหมด ถือเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในรอบกว่า 2 ปี
นับตั้งแต่ปี 2023 บริษัทเคยปลดพนักงานไปแล้วกว่า 10,000 คน ซึ่งครอบคลุมทุกระดับองค์กรทั้งสำนักงานใหญ่ สาขาในต่างประเทศ และส่วนของ LinkedIn ด้วย
โดยให้เหตุผลว่าบริษัทจำเป็นต้องปรับโครงสร้างองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยการมุ่งลดชั้นการบริหารจัดการให้ทีมทำงานได้คล่องตัวขึ้น รวมถึงลดพนักงานที่ทำผลงานที่ไม่เข้าเกณฑ์
Microsoft มีจำนวนพนักงานราว 228,000 คน และมักจะมีการปลดพนักงานเป็นระยะ เพื่อปรับจำนวนบุคลากรให้ตรงกับลำดับความสำคัญของธุรกิจในแต่ละช่วงเวลา
ทั้งนี้ ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 1/2025 (ม.ค. – มี.ค.) Microsoft มีรายได้ 2,338,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% กำไร 861,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 36.9% ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เพราะการเติบโตของธุรกิจ AI Cloud
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม AI Cloud ของ Microsoft มีตั้งแต่ Azure, SQL Server, Windows Server, Nuance, GitHub ซึ่งในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 559,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI
Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft กล่าวว่า มีแผนที่จะใช้เงินกว่า 2.7 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 2025 เพื่อลงทุนด้าน Data Center รองรับการเติบโตของ AI ที่ยังคงแข็งแกร่ง พร้อมคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ระหว่าง 2.44 – 2.48 ล้านล้านบาท ในไตรมาสหน้า สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.41 ล้านล้านบาท
Source: Bloomberg
คืนวานนี้ (13/05/2025) ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า +5.6% หลังมีรายงานว่าดีลชิป AI ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กำลังจะเกิดขึ้น และทรัมป์จ่อเปิดทางให้ UAE สั่งชิป AI ขั้นสูงจาก Nvidia กว่า 1 ล้านชิ้น!
ตัวเลขนี้สูงกว่าข้อจำกัดเดิมในยุคไบเดนถึง 4 เท่า และจะเปลี่ยนทิศทางนโยบายสหรัฐอเมริกา ต่อพันธมิตรตะวันออกกลางอย่างมาก ถือเป็นการยกเลิกกฎ “AI diffusion rule” ที่เคยจำกัดการขายชิปยุคไบเดน
นอกจากนี้ ยังมีไฮไลท์สำคัญอื่น ๆ คือ UAE อาจได้รับอนุญาตให้นำเข้าชิป AI ปีละ 500,000 ชิ้น จนถึงปี 2027 โดย 100,000 ชิ้น จะถูกจัดสรรให้กับบริษัท G42 (พันธมิตรของ UAE ที่มีความสัมพันธ์กับ Huawei)
ส่วนที่เหลือจะกระจายให้บริษัทสหรัฐฯ ที่สร้าง Data Center ในอาบูดาบี และอาจรวมถึง OpenAI
นับเป็นเปลี่ยนโฉมนโยบายควบคุมการส่งออกชิปของสหรัฐฯ เป็นดีลเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับตะวันออกกลาง ในการแข่งขัน AI กับจีน “AI Sovereign Infrastructure” กำลังถูกปักหมุดทั่วตะวันออกกลาง และ Nvidia คือผู้เล่นตัวจริงของเกมนี้
เมื่อคืนวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) และ ดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 3.26% และ 4.02% ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) +1.24% ตลาดหุ้นไทย (SET Index) +1.09% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) +0.38% และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) +0.1% ขณะที่ดัชนี HSCEI หรือ หุ้นจีน H-Shares ปรับตัวลง -1.76%
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงการลดภาษีชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันหลังการเจรจาที่สวิตเซฮร์แลนด์ โดยล่าสุดสหรัฐฯได้ลดภาษีจาก 145% เหลือ 30% และ จีนได้ลดภาษีสหรัฐฯจาก 125% เหลือ 10% โดยจะมีผลเริ่มต้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2025 ขณะที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังได้ระบุว่า การเจรจากับจีนเป็นไปในทิศทางที่ดี พร้อมทั้งทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งกลไกเพื่อดำเนินการหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าต่อไป โดยสก็อตต์ เบสเซนต์เป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ขณะที่เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนจากรัฐบาลจีน นอกจากนี้มีรายงานว่าสัปดาห์นี้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มีกำหนดหารือกับคู่ค้าราว 20 ราย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม
Finnomena Funds มองว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในวันนี้ สะท้อนถึงความคลายกังวลของนักลงทุนต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐฯและจีนบรรลุข้อตกลงภาษีได้ ซึ่งส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการเปิดเจรจาการค้ากับหลายประเทศ และเป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้ว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์มีเป้าหมายเพื่อการ “เจรจา (make deal)” มากกว่าการจะต้องการเก็บภาษีในระดับสูงสุดตามที่เคยประกาศไว้ในวันที่ 2 เมษายน เราเริ่มเห็นแรงต้านจากสังคมในสาธารณะต่อนโยบายการค้าของทรัมป์ ทั้งจากคะแนนนิยมของทรัมป์ที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง จนไปถึงความขัดแย้งที่เริ่มเกิดขึ้นภายในระหว่างผู้สนับสนุนและทีมงานของทรัมป์เอง
เราจึงแนะนำเป็น “เข้าลงทุน” ในสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากที่เราแนะนำ Wait and See เพื่อเตรียมลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2025
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
ข้อตกลงลดภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน (Temporary Tariff Rollback) เป็นเวลา 90 วัน จากแถลงการณ์ร่วมที่จัดขึ้นใน เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ถ้อยแถลงจาก Scott Bessent รมว. คลังสหรัฐฯ บอกว่า “เราได้บรรลุข้อตกลงในการหยุดพักภาษี 90 วัน และลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพกันในการเจรจา ถือเป็นการหารือที่แข็งแกร่งและสร้างสรรค์ ยืนยันว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องการตัดความสัมพันธ์จากจีน”
ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทันที ทำให้ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงกลับตัวพุ่งขึ้นรุนแรง ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบกับเยนและยูโร โดยที่ US Dollar Index วิ่งเหนือระดับ 100 จุดแล้ว ปรับเพิ่มขึ้น 1.05% ส่วนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี Yield ขึ้นสูงสุดในรอบ 1 เดือน
การเจรจาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อลดความตึงเครียดทางการค้า และเปิดทางให้เจรจาโครงสร้างในรอบต่อไป โดยมีการจัดตั้ง “กลไกการปรึกษาหารือ” (Consultation Mechanism) เพื่อพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จีนเน้นย้ำการต้องการ “ความเคารพซึ่งกันและกัน” และไม่เห็นด้วยกับการข่มขู่
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายเตือนว่านี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว และอาจยังไม่ใช่สัญญาณการยุติสงครามการค้าโดยถาวร ควรจับตาผลกระทบระยะรอง (secondary effects) ที่อาจตามมา ทั้งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
Source: Bloomberg
สรุปกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน Finnomena Funds แนะนำ Reiterate Buy เข้าสะสมในสินทรัพย์ที่มีโอกาสฟื้นตัวจากสัญญาณ Trade War ที่มีท่าทีผ่อนคลายสู่ Trade Deal โดยให้น้ำหนัก Positive ต่อหุ้นอินเดีย พร้อมอัปเกรดหุ้นเกาหลีใต้เป็น Slightly Positive
*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Bill Gates (บิล เกตส์) มอบ 99% ของทรัพย์สินให้มูลนิธิ Gates Foundation ภายในเวลา 20 ปี! โดยย้ำว่าแม้จะให้ไปเกือบหมดตัว เขาและครอบครัวก็ยัง “กินอยู่สุขสบาย” และไม่ขอ “ตายทั้งที่ยังรวย”
Bill Gates (บิล เกตส์) นักธุรกิจและมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้ง Microsoft หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินสุทธิราว 113 พันล้านดอลลาร์ ติดอันดับ 13 ของมหาเศรษฐีโลก
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ชายผู้นี้ไม่เคยหลุดท็อป 10 ของคนที่ร่ำรวยระดับโลก ทว่าหลายปีมานี้ความมั่งคั่งของเขาหายไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ได้เกิดจากราคาหุ้นที่ลดลง แต่มาจากการบริจาคทรัพย์สินจำนวนมากให้มูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ไปแล้วประมาณ 60–70% ของทรัพย์สินทั้งหมด
ล่าสุด Bill Gates ในวัย 70 ปี เปิดเผยว่า มีแผนจะบริจาค 99% ของทรัพย์สินที่เหลืออยู่ให้กับ Gates Foundation คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ ในระยะเวลาอีก 20 ปีข้างหน้า ก่อนที่เงินจะหมดและปิดมูลนิธิอย่างถาวรในวันที่ 31 ธันวาคม 2045
Gates Foundation เป็นผลงานสุดภาคภูมิใจของ Bill Gates ซึ่งตลอด 25 ปีที่ผ่านมา เขาและ Warren Buffett ร่วมบริจาคเงินไปแล้วกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อภารกิจสำคัญในการช่วยมนุษยชาติ โดยมีเป้าหมาย คือ ต้องไม่มีแม่และเด็ก ตายจากเหตุที่ป้องกันได้, คนรุ่นใหม่เติบโตในโลกที่ไม่มีโรคติดต่ออันตรายถึงตาย, คนหลายร้อยล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน
อีกหนึ่งเจตนารมณ์ของ Bill Gates คือความตั้งใจว่าจะไม่เสียชีวิตในฐานะคนร่ำรวย เนื่องจากตระหนักดีว่ามีปัญหาอีกมากมายในโลกที่ต้องการเงินไปช่วยแก้ไข พร้อมย้ำว่าถึงแม้จะบริจาคทรัพย์สินไปเกือบทั้งหมด ครอบครัวก็ยังกินอยู่อย่างสุขสบาย
ทั้งนี้ เขาตั้งใจจะมอบทรัพย์สินที่เหลือเพียง 1% ให้กับลูกทั้ง 3 คน เพื่อเป็นทุนสำหรับสร้างเส้นทางชีวิตของตนเองแบบไม่ยากลำบากจนเกินไป
Source: Gates Notes
หลายคนตั้งเป้าว่า “เกษียณ” คือเส้นชัยของชีวิตการทำงาน เป็นช่วงเวลาที่จะได้พักผ่อน ใช้เงินที่เก็บสะสมมาตลอดชีวิตอย่างสบายใจ แต่เมื่อถึงวันที่นาฬิกาไม่ปลุกอีกต่อไป ไม่มีเสียงเตือนให้รีบไปประชุม หรือไม่มีงานด่วนให้ทำ หลายคนกลับพบว่า ความว่างเปล่าในแต่ละวันทำให้รู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
งานวิจัยจาก Harvard ชี้ว่า “ความเหงา” หรือ Loneliness เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพที่รุนแรงเทียบเท่าการสูบบุหรี่วันละ 15 มวน (อ้างอิงจาก Our Epidemic of Loneliness and Isolation) โดยเฉพาะในวัยหลังเกษียณที่สังคมค่อย ๆ หดตัว บทบาทในสังคมลดลง ความเหงาจึงกลายเป็นศัตรูเงียบที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งทั้งทางกายและจิตใจ
การเกษียณคือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต หลายคนสูญเสียบทบาทสำคัญในสังคม เช่น เคยเป็นหัวหน้าหรือผู้นำในองค์กร ขาดการปฏิสัมพันธ์ประจำวันกับเพื่อนร่วมงานหรือสังคมรอบตัว และไม่มีเป้าหมายรายวันที่ชัดเจน จึงเกิดคำถามในใจว่า “ฉันยังมีประโยชน์อยู่ไหม?”
จากมุมมองทางจิตวิทยา วัยเกษียณต้องการความรู้สึกว่า “ฉันยังมีคุณค่า ยังมีคนเห็นฉันอยู่” หากขาดสิ่งนี้ไป ก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและความเหงาเรื้อรังได้ง่าย
งานศึกษาของ National Institute on Aging พบว่า ผู้สูงวัยที่ขาดความสัมพันธ์ทางสังคมมีแนวโน้มเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้นถึง 29% และมีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมสูงขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับผู้ที่มีสังคมที่ดี (อ้างอิงจาก National Institute on Aging)
ความเหงาจึงไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องเริ่มวางแผนชีวิตอย่างแท้จริง เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณไม่ใช่แค่การอยู่รอด แต่เป็นการมีชีวิตที่มีความหมาย
แม้การมีเงินพอใช้หลังเกษียณจะเป็นเรื่องจำเป็น แต่ก็ไม่เพียงพอ หากไม่มี “เป้าหมายชีวิต” ที่ชัดเจน การมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ทำให้เราตื่นมาแล้วรู้สึกอยากทำ คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจและเติมพลังชีวิตอย่างต่อเนื่อง
แนวคิด “อิคิไก” จากญี่ปุ่น ช่วยให้เราค้นหา สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราทำได้ดี และสร้างคุณค่าให้กับทั้งตนเองและผู้อื่นได้ อาจเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้เงินมากแต่ช่วยเติมใจ เช่น การเป็นอาสาสมัครในชุมชน ถ่ายทอดความรู้ เปิดคลาสเล็ก ๆ หรือทำโปรเจกต์ชีวิตอย่างเขียนหนังสือ ทำช่อง YouTube หรือเข้าร่วมชมรม ล้วนช่วยสร้างความรู้สึกว่าเรายังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
การมีเป้าหมายไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แค่มีบางสิ่งที่ทำให้รู้ว่า “ฉันยังสำคัญ” ก็เพียงพอแล้ว
การมีกิจกรรมอย่างยืดหยุ่นในแต่ละวัน จะช่วยให้ชีวิตไม่รู้สึกว่างเปล่าหรือผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ตัวอย่างกิจวัตรประจำวันที่เรียบง่ายแต่เติมพลัง เช่น
สิ่งสำคัญคืออย่ากดดันตัวเองจนเกินไป ตารางนี้จึงควรเป็นเพียงแนวทางที่ช่วยให้รู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเองมากขึ้น และไม่กลายเป็นภาระใหม่หลังเกษียณ
เมื่อพูดถึงการวางแผนชีวิตหลังเกษียณ สิ่งที่หลายคนปรารถนาคือความสมดุลระหว่างความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ใช่แค่มีเงินมากมาย แต่เป็นการมีทรัพยากรและเวลาที่เพียงพอสำหรับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีความหมาย
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงมีอยู่ 3 ด้านหลัก ได้แก่
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่มีเงินในบัญชีเพียงพอ แต่คือการมี “เป้าหมาย” ที่ปลุกให้หัวใจยังรู้สึกมีคุณค่าในทุกวัน และเช่นเดียวกับใจที่ต้องการแรงผลักดัน การลงทุนเองก็ต้องการ “ใครสักคน” ที่ดูแลอย่างใส่ใจ
Finnomena พร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดดูแลพอร์ตการลงทุนของคุณ ด้วยบริการพิเศษจาก Wealth Connect ที่จะเชื่อมโอกาสการลงทุนให้เป็นจริง พร้อมคำปรึกษาและดูแลอย่างใส่ใจ เพื่อให้คุณไม่ต้องเดินทางคนเดียวบนเส้นทางถนนลงทุน
ดูรายละเอียดและลงทะเบียนรับบริการ
https://www.finnomena.com/wealth-connect/
อ้างอิง: United States Department of Health and Human Services, National Institute on Aging, The Pinnacle Gazette, PBS News
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน l สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00 -17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @Finnomenaport
สรุปหุ้น Xiaomi (1810.HK) ที่สามารถลงทุนผ่าน DR ในชื่อย่อ XIAOMI19, XIAOMI13 และ XIAOMI80 บริษัทชื่อดังสัญชาติจีนที่ไม่ได้ขายแค่สมาร์ทโฟน แต่เป็นจักรวาลเทคโนโลยีที่ครอบคลุมชีวิตประจำวันแบบรอบด้าน เจาะผลประกอบการเป็นอย่างไร น่าลงทุนหรือไม่? วิเคราะห์ผ่านกลยุทธ์ Definit Global Select (DGS)
ถ้าพระเจ้ามี Smart Home ก็คงเป็นของ Xiaomi ทั้งหลัง ตั้งแต่หัวชาร์จยันรถยนต์ไฟฟ้า ก็มีครบแทบทุกอย่าง ประโยคที่ว่า Xiaomi สร้างทุกอย่างก็คงไม่เกินจริงนัก ไม่แน่ว่าในบ้านคุณตอนนี้… อาจมีสินค้า Xiaomi ซ่อนอยู่สักชิ้น โดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
Xiaomi Corp คือบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็วในเวทีโลก ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน และฮาร์ดแวร์อัจฉริยะที่เชื่อมต่อผ่านแพลตฟอร์ม IoT แบบครบวงจร ปัจจุบันวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และกลายเป็นแบรนด์ที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก
จุดแข็งของ Xiaomi คือการผสาน “ความฉลาดของเทคโนโลยี” เข้ากับ “ราคาที่เข้าถึงได้”
– อ่านเพิ่มเติม Xiaomi บริษัทสมาร์ตโฟน อันดับ 3 ของโลก
ทั้งนี้ Xiaomi เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้ Ticker: 1810 และมีทางเลือกที่ลงทุนได้ง่ายขึ้นผ่าน DR ในชื่อ XIAOMI19, XIAOMI13 และ XIAOMI80 ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สัดส่วนรายได้ในแต่ละสินค้าปี 2024
Source : ir.mi.com
*เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าได้ แต่จะเห็นได้ว่าธุรกิจใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวไป ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต
Source: Pop Mart Investor-Relations, Finnomena Stock as of 08/05/2025
ในปี 2024 ที่ผ่านมา Xiaomi สร้างสถิติ “รายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์” พร้อมกำไรเติบโตกว่า 35% YOY
ถึงแม้ว่าปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งภาวะเศรษฐกิจและสงครามการค้ายังเป็นแรงกดดันต่อหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก แต่ท่ามกลางความผันผวนเหล่านี้ Xiaomi ยังคงเดินหน้าต่อ พร้อมแผนที่น่าจับตามองในหลายมิติผ่านกลยุทธ์ 3 แกนหลัก ได้แก่
ยกระดับ Smartphone
ด้วยสัดส่วนยอดขายสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมในจีนที่เพิ่มขึ้นเป็น 23.3% ของยอดขายทั้งหมด Xiaomi จึงเดินหน้ากลยุทธ์ “Premiumization” อย่างจริงจัง
โดยเฉพาะการเปิดตัว Xiaomi 15 Ultra ที่มาพร้อมกล้อง Leica ระดับมืออาชีพ เสริมด้วย Photography Kit สำหรับมือถือเรือธง ที่มอบประสบการณ์ถ่ายภาพแบบกล้อง DSLR โดยทำงานร่วมกับ HyperOS 2.0 ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อทุกอุปกรณ์ของ Xiaomi ได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต รถยนต์ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ภายในบ้านทั้งหมด เพื่อสร้างประสบการณ์ Ecosystem ที่ครบวงจรในชีวิตประจำวัน
เปิดตัวรถไฟฟ้า
Xiaomi วางเป้าหมายส่งมอบรถถึง 350,000 คันในปีนี้ และเพิ่งเปิดตัวรุ่น SU7 Ultra ที่มีกำลัง 1,548 แรงม้า เร่ง 0–100 กม./ชม. ภายใน 1.98 วินาที พร้อมยอดจองกว่า 19,000 คันใน 3 วันแรก
แม้ Xiaomi จะเพิ่งเข้าสู่สนาม EV ได้ไม่นาน แต่กลับถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดไม่แพ้ Tesla, BYD หรือ Xpeng โดยรุ่นถัดไปที่จะวางขายคือ YU7 รถยนต์ไฟฟ้า SUV ที่เตรียมเปิดตัวกลางปี 2025 นี้
Ecosystem บ้านอัจฉริยะ
Xiaomi ไม่ได้หยุดที่แอร์หรือเครื่องซักผ้า แต่กำลังพัฒนา “Mijia Smart Home” ให้เป็นบ้านอัจฉริยะที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์ผ่าน HyperOS โดยล่าสุดเพิ่งเปิดตัว Central Air Conditioner Pro และระบบ AI Assistant รุ่นใหม่ที่สั่งงานได้ทั่วทั้งบ้าน
Source: Definit, Finnomena, Bloomberg as of 19/03/2025
การวิเคราะห์ DR หุ้นนอก ผ่านกลยุทธ์การลงทุน Definit Global Select (DGS) โดยพิจารณา Earnings-Momentum (EMO) Framework ซึ่งผสมผสานระหว่างการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและโมเมนตัมของราคาหุ้น เพื่อคัดเลือกหุ้นต่างประเทศคุณภาพสูง
Xiaomi เริ่มถูกนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรตั้งแต่ต้นปี 2023 จากความสามารถในการแข่งขัน ทั้งตลาดที่เป็นผู้นำอยู่แล้วในสินค้ากลุ่ม electronics อัจฉริยะหลากหลายประเภท เช่น Smartphone, Smart Home Devices และตลาดสินค้าใหม่อย่างเช่นรถยนต์ไฟฟ้า ที่นักวิเคราะห์หลายแห่งให้น้ำหนักกับรถ Xiaomi และปรับประมาณการกำไรขึ้นจากสาเหตุนี้
กระแสเชิงบวกนี้ยังคงต่อเนื่องในปี 2024 มาถึงปี 2025 สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของบริษัท โดยในไตรมาส 4 ปี 2024 Xiaomi มี Global Smartphone Market Share อยู่ที่ 13% ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียง Apple และ Samsung เท่านั้น
โอกาสลงทุนหุ้น Xiaomi ผ่าน Definit Global Select กลยุทธ์ลงทุน DR คัดหุ้นนอกคุณภาพ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ ไม่ต้องจับจังหวะลงทุนเอง
Source: Definit, Finnomena, Bloomberg as of 19/03/2025
Definit Global Select กลยุทธ์ลงทุนหุ้นนอกคุณภาพ พัฒนาขึ้นโดยทีมงานจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (Definit By Finnomena) ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อจัดการพอร์ต DR แบบอัตโนมัติในรูปแบบ Managed Portfolio ได้ทำการคัดเลือกหุ้น Xiaomi ผ่าน DR คือ XIAOMI80 เข้ามาในพอร์ต DGS ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 และเป็นหนึ่งในหุ้นที่ Outperform ทำผลตอบแทนโดดเด่น
– อ่านเพิ่มเติม ทำความรู้จัก Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก
นักลงทุนที่สนใจสามารถเปิดบัญชีลงทุน Definit Global Select กับ บล.หยวนต้า คลิกที่นี่เลย หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้
คำเตือน: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com
ตลาดหุ้นโลกปรับตัวผันผวนอย่างมากในเดือนเมษายน ดัชนีร่วงลงแรงในช่วงต้นเดือนสู่ภาวะ Extreme Fear หลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้คู่ค้าทั่วโลกด้วยอัตราที่สูงกว่าคาด โดยเฉพาะกับจีนที่ถูกขู่เรียกเก็บในอัตราสูงถึง 145% ในเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม ตลาดฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งหลังของเดือน หลังจากทรัมป์ประกาศชะลอการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศส่วนใหญ่ออกไป 90 วัน (แต่ยังคงภาษีขั้นต่ำ 10% และอัตราภาษีในระดับสูงกับจีน) รวมถึงมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้นในการเจรจาการค้ากับหลายประเทศ เช่น อินเดีย เกาหลีใต้ เวียดนาม และส่งสัญญาณผ่อนปรนภาษีสำหรับสินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และรถยนต์ ปัจจัยเหล่านี้ ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรปฟื้นตัวได้ แต่โดยรวมความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงเปราะบางจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า
แม้เศรษฐกิจจีนจะแสดงสัญญาณฟื้นตัว โดย GDP ไตรมาส 1/2568 เติบโตดีกว่าคาดที่ 5.4% YoY ได้แรงหนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการบริโภคที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ตลาดยังเผชิญความเสี่ยงสำคัญจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจีนได้ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และจำกัดการส่งออกแร่หายาก แม้ภายหลังจะมีท่าทีพร้อมเจรจา และมีรายงานว่าอาจมีการยกเว้นภาษีให้สินค้าสหรัฐฯ บางรายการอย่างเงียบๆ ความไม่แน่นอนที่สูงทำให้เรายังคงแนะนำ Wait-and-see สำหรับตลาดหุ้นจีน แม้จะเห็นพัฒนาการเชิงบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคมากขึ้น
สงครามการค้าและการเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดในเดือนเมษายน ทรัมป์ใช้กลยุทธ์กดดันทางการค้าอย่างหนักในช่วงต้นเดือน ก่อนจะผ่อนท่าทีลงและหันมาเน้นการเจรจา โดยมีการเปลี่ยนตัวแทนเจรจาหลักเป็น รมว. คลัง Scott Bessent ซึ่งส่งสัญญาณบวกไปยังคู่ค้าที่ไม่ใช่จีน การเจรจามีความคืบหน้ากับหลายประเทศ โดยเฉพาะอินเดียที่ดูเหมือนจะเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในการคานอำนาจจีน แม้สหรัฐฯจะประกาศเก็บภาษีแผงโซลาร์เซลล์จาก 4 ประเทศอาเซียนรวมถึงไทย แต่ภาพรวมผลกระทบต่อ GDP ประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ (ยกเว้นจีน) ดูผ่อนคลายลงจากการประเมินในตอนแรก ขณะที่การเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนมีความคืบหน้าแต่ยังคาดเดาผลลัพธ์ได้ยาก ความไม่แน่นอนเหล่านี้ยังสนับสนุนการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ, หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่มการแพทย์
แนวโน้มดอกเบี้ยทั่วโลกยังมีความแตกต่าง เฟดเผชิญแรงกดดันโดยตรงจากทรัมป์ให้ลดดอกเบี้ย แต่ผู้ว่าการพาวเวลล์ยังส่งสัญญาณไม่รีบปรับเปลี่ยนนโยบายท่ามกลางความผันผวนของนโยบายการค้า แม้ข้อมูลเงินเฟ้อ PCE ล่าสุดจะออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อยก็ตาม ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวลงเล็กน้อยในเดือนเมษายนแต่ยังผันผวน ขณะที่ ECB ดำเนินการลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาดหลังเงินเฟ้อปรับตัวลงต่อเนื่อง จากความผันผวนของ Bond Yield ที่ยังอยู่ในระดับสูง เราจึงยังคงแนะนำกองทุนตราสารหนี้ที่มีกลยุทธ์ Absolute Return เช่น ES-ALPHABONDS เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต
ภาพรวมการลงทุนในเดือนพฤษภาคม 2568 คาดว่าตลาดจะยังคงผันผวนต่อไปจากประเด็นสงครามการค้าที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้จะมีสัญญาณผ่อนคลายลงบ้างในช่วงปลายเดือนเมษายน เราเริ่มมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ในระยะกลางถึงยาว จากความเชื่อที่ว่าท้ายที่สุดทรัมป์จะดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนสหรัฐฯ ประกอบกับผลประกอบการบริษัทเทคโนโลยีที่ยังแข็งแกร่ง เราแนะนำให้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ใช้จังหวะย่อตัวทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ และกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นที่มีความเสี่ยงจากสงครามการค้าจำกัด หรือมีความคืบหน้าในการเจรจา เช่น ยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย ขณะเดียวกัน การคงสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ, หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่มการแพทย์ ยังคงจำเป็นเพื่อบริหารความผันผวน สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย การลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนที่มีกลยุทธ์ Absolute Return ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอยู่
ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง วันที่ 7 พ.ค. 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Eastspring Dynamic Opportunities (ES-DO) คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน Finnomena Port และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notificationในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก
1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น 2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT |
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนการลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรงหลังประธานาธิบดีสหรัฐประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ ในขณะที่จีนมีมาตรการตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ถึงแม้สหรัฐประกาศยกเว้นภาษีตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน ให้กับทุกประเทศที่ไม่มีมาตรการตอบโต้สหรัฐเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจา แต่อัตราภาษีพื้นฐานที่ 10% และภาษีอื่นๆที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ยังคงมีผลบังคับใช้ และนักลงทุนยังคงกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก อีกทั้งมีความสำคัญต่อการค้าโลกทั้งในแง่ของผู้บริโภคและผู้ผลิต
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนมีสัญญาณคลี่คลายลงบ้าง หลังมาตรการภาษีเริ่มส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ โดยผู้บริโภคของสหรัฐเริ่มชะลอการใช้จ่ายเนื่องจากราคาสินค้ามีราคาแพงขึ้น และผู้บริโภคมีมุมมองที่แย่ลงต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคต โดยมีการประเมินว่าสหรัฐจะประสบปัญหาขาดแคลนสินค้าในเร็วๆนี้ เพราะสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ในสหรัฐผลิตจากจีน นอกจากนี้ นักลงทุนเทขายพันธบัตรและดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประเมินว่ามีความเสี่ยงมากขึ้น ทางด้านจีน ถึงแม้รัฐบาลมีการเตรียมมาตรการไว้ในหลายๆด้าน เช่น การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ การหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ ฯลฯ แต่สินค้าบางประเภทยังคงจำเป็นต้องนำเข้าจากสหรัฐ ดังนั้น ทั้งจีนและสหรัฐจึงมีการผ่อนปรนมาตรการนำเข้าสินค้าบางรายการ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
สำหรับตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก และค่อยๆฟื้นตัวตามตลาดหุ้นทั่วโลกหลังประธานาธิบดีสหรัฐส่งสัญญาณผ่อนคลายมาตรการภาษี และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนมีความตึงเครียดน้อยลง ทางด้าน ตลาดตราสารหนี้ไทยได้ประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่าตลาดตราสารหนี้สหรัฐมีความเสี่ยงมากขึ้น ในขณะที่ประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังสามารถลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ การปรับลดมุมมองเครดิตไทยของมูดี้ส์จากระดับ “มีเสถียรภาพ” ลงสู่ “เชิงลบ” อาจส่งผลกระทบในระยะสั้น
บลจ. กรุงศรี ประเมินว่ามาตรการภาษีของสหรัฐน่าจะผ่านจุดที่ส่งผลกระทบสูงสุดไปแล้ว แต่การเจรจาการค้ากับจีนน่าจะยังไม่ได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ในขณะที่ผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจจะเริ่มเห็นผลในรายงานตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเมษายน ดังนั้น คาดว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะทยอยฟื้นตัว โดยได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากผลประกอบการในไตรมาส 1/68 ที่กำลังทยอยประกาศออกมา รวมถึงการให้แนวโน้มต่อผลประกอบการในอนาคต และการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับสถานการณ์ต่างๆ อย่างไรก็ดี เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูง จึงเห็นควรให้คงการลงทุนในตราสารหนี้ในระดับสูงกว่าปกติ
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สรุปการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เมื่อคืนนี้ 7 พฤษภาคม 2025 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ไว้ที่ 4.25% ถึง 4.5% เป็นการคงดอกเบี้ยต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
Source: CNBC
Fed ให้เหตุผลว่าต้องการรอดูทิศทางเศรษฐกิจให้ชัดเจนขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวน ประกอบกับเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูง
ขณะที่เศรษฐกิจภาพรวมถือว่ายังแข็งแกร่ง ตลาดแรงงานฟื้นตัวดี แม้อัตราว่างงานขยับขึ้น ส่วนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังทรงตัวในหลายกลุ่ม แต่ยอมรับว่าผู้บริโภคเริ่มระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
Jerome Powell บอกว่า “เรารอได้ ไม่ต้องรีบตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย ขอใช้เวลาดูสถานการณ์ให้ชัดเจน” เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในหลายปัจจัย ขณะทีต้นทุนของการรอคอยก็ค่อนข้างต่ำ แม้จะโดนกดดันอย่างต่อเนื่องจาก Donald Trump
ทั้งนี้ ต้องเฝ้าระวัง Stagflation โดยยอมรับว่า Fed กำลังจับตาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับ 2 เป้าหมายหลัก คือ
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมามีผลกระทบจากเงินเฟ้อสูง จากแรงกดดันต้นทุน เช่น ภาษีนำเข้า รวมถึงเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวจาก GDP Q1/2025 หดตัว -0.3%
ความคาดหวังของตลาด (CME FedWatch) อาจมีการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ เริ่มครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2025 หากตัวเลขเงินเฟ้อปรับลดลงได้ต่อเนื่อง แต่ Powell ยังไม่ให้คำมั่นใด ๆ ว่าจะขยับลดดอกเบี้ยได้ในเร็ว ๆ นี้
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2025) ตลาดหุ้นไทยพุ่งแรงกว่า 2.37% หนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวขึ้นอย่าง PTTEP +6% TOP+6% และหุ้นกลุ่ม China Play อย่าง PTTGC +10.18% IRPC+9.20% IVL+7.49% และ SCC +2.38% หลังจากธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศมาตรการผ่อนคลายทางการเงินชุดใหญ่ เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ โดยมาตรการหลักประกอบด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Reverse Repo 7 วัน) จาก 1.5% เหลือ 1.4% และปรับลดอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratio) ลงอีก 0.5%
นอกจากนี้ PBOC ยังประกาศอีก 10 มาตรการเสริม เช่น ลด RRR ของบริษัทไฟแนนซ์รถยนต์และบริษัทลีสซิ่งจาก 5% เหลือ 0% เพื่อส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อ, ลดดอกเบี้ยสินเชื่อกองทุนซื้อบ้าน (Housing Provident Fund) ลงอีก 0.25% และการเพิ่มโควต้าสินเชื่อเพื่อสนับสนุนภาคเทคโนโลยีอีก 3 แสนล้านหยวน รวมเป็น 8 แสนล้านหยวน รวมถึงขยายวงเงินสนับสนุนภาคเกษตรและ SMEs เพิ่มอีก 3 แสนล้านหยวน
Finnomena Funds มองว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในวันนี้เป็นเพียงการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีซึ่งได้ Sentiment บวกจากมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ในเชิงปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังถูกปรับลดประมาณการกำไรลงต่อเนื่อง แต่ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นไทยถูกมาก
เราจึงแนะนำ Selective buy และ “ทยอยสะสม” กองทุน TISCOHD-A ซึ่งเน้นลงทุนหุ้นปันผลสูง
เนื่องจาก Dividend Yield ของ SETHD อยู่ในระดับที่สูงมากที่ 5.9% เทียบกับ SET อยู่ที่ 4.4% นอกจากนี้ที่ผ่านมาทั้งภาครัฐบาลกำกับพยายามออกมาตรการพยุงตลาดหุ้น อาทิ การย้าย LTF ไป ThaiESGX ซึ่งจะช่วยให้ภาพรวมตลาดหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
Definit SET Select พลิกกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย ช่วยคัดเลือกหุ้นไทยเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว พิจารณา 3 ปัจจัย
Earnings หุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
Valuation หุ้นที่มูลค่าถูกกว่าอุตสาหกรรม
Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกของราคาในระยะสั้นสนใจรับบริการ 👉 https://finno.me/dss-moment
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
รวมรายละเอียดให้ครบจบในที่เดียว 37 กองทุน Thai ESGX จาก 19 บลจ. ทั่วไทย กลยุทธ์และนโยบายการลงทุน ค่าธรรมเนียม กองทุนไหนน่าสนใจ พร้อมคัดเลือกกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESGX ที่ Finnomena Funds แนะนำในปี 2025
กองทุน Thai ESGX หรือ Thai ESG Extra กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ ทางเลือกใหม่ในการลดหย่อนภาษีปี 2568 พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังถือหน่วยลงทุนของ LTF หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว “สับเปลี่ยน” จาก LTF มาเป็น Thai ESGX เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีในปีนี้อีกด้วย ในระยะเวลา 2 เดือน คือ พฤษภาคม-มิถุนายนนี้เท่านั้น วงเงินลดหย่อนภาษีรวมสูงสุดสุด 800,000 บาท ได้แก่
1. วงเงินสำหรับการลงทุนใหม่ใน Thai ESGX ปี 2025 ลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
2. วงเงินสำหรับผู้ที่ถือ LTF และสับเปลี่ยนมา Thai ESGX ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็น
– Thai ESGX คืออะไร? อยากรู้รายละเอียดกองทุนเพิ่มเติม อ่านต่อคลิกเลย
Finnomena Funds สรุปรายละเอียดและข้อมูลสำคัญของกองทุน Thai ESGX จาก บลจ. ต่าง ๆ ที่สามารถลงทุนแล้ว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจและพิจารณการลงทุน ไปดูกันเลย
[คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่]
รวบรวมข้อมูลโดย Finnomena Funds ณ วันที่ 01/05/2025
กลุ่มที่ 1 เน้นลงทุนหุ้นไทยล้วน 100% เชื่อว่าหุ้นไทยลงมาเยอะแล้ว เป็นโอกาสในการเก็บของดีเข้าพอร์ตในจังหวะนี้
กลุ่มที่ 2 ลงทุนหุ้นไทย 80% แบ่งไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ 20% อยากลดหย่อนภาษีครั้งพิเศษ พร้อมเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน และกระจายความเสี่ยงในหุ้นทั่วโลก ด้วยผลงานย้อนหลังอันเป็นประจักษ์
กลุ่มที่ 3 กองทุนผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ยั่งยืน ไม่อยากพลาดโอกาสรับผลประโยชน์ทางภาษี แต่ขอกองทุนที่เสี่ยงต่ำ ไม่ผันผวนระหว่างทาง เสริมความมั่นคงด้วยตราสารหนี้คุณภาพดี
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF Thai ESG และ Thai ESGX กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ณ กลางปี 2025 ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด กำลังก้าวเข้าสู่จุดที่ถือว่า Dark ที่สุดในรอบกว่า 40 ปี แน่นอนว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญกับสภาวะของเงินเฟ้อที่ไม่แน่ว่าจะเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ได้หรือไม่ หนำซ้ำยังต้องเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการ Tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์อีก ในอีกฟากหนึ่ง การแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหากว่าจำเป็น ก็ได้สร้างความเสี่ยงให้สูงขึ้นในการที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในทางกลับกัน อย่างที่ตลาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในปีนี้ ก็ต้องเจอกับปัญหาเงินเฟ้อที่ยังไม่แน่ว่าจะนิ่งจริงไหม
ผมมองว่ามีอยู่ 3 แนวทางที่เฟดจะใช้จัดการกับ Stagflation หรือสภาวะที่มีทั้งเงินเฟ้อและสภาพเศรษฐกิจถดถอยพร้อม ๆ กัน ซึ่งแปรผันตามระดับการเน้นหรือโฟกัสของเฟดว่า
เริ่มจากแนวทางแรก Sado-Monetarism ที่เฟดเน้นขึ้นดอกเบี้ยและทำนโยบายการคลังแบบเข้มงวด ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไรก็ตาม โดยศัพท์คำนี้ ใช้เป็นครั้งแรกในสมัยมาร์กาเร็ต แธทเชอร์ อดีตผู้นำอังกฤษ ที่อังกฤษ ในต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งมีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มจาก 1 ล้านคนเป็น 3 ล้านคน ทว่าแธทเชอร์ก็ยังใช้นโยบายการคลังแบบเข้มงวดต่อไป
ข้ามมาสมัยปัจจุบัน ที่เฟดได้รับแรงกดดันจากทรัมป์ (ซึ่งทั้งขู่ทั้งปลอบผ่านโซเชียลมีเดียของตนเอง) ที่อยากให้เจย์ พาวเวล ประธานเฟดลดดอกเบี้ยต่อไปอีก แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะต้องเผชิญกับผลกระทบต่อเงินเฟ้อจากมาตรการ Tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์ก็ตามที เนื่องจากมองว่าความน่าเชื่อถือหรือ ‘ภาพลักษณ์’ ของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อเป็นสิ่งจำเป็นในการรับมือกับสภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูงขึ้นอยู่ โดยยกเหตุผลในสมัยยุคทศวรรษ 70 ที่พอล โวลก์เกอร์ อดีตประธานเฟดใช้ภาพลักษณ์ว่าจริงจังในการสู้กับเงินเฟ้อในการแก้ปัญหาดังกล่าว
ทว่ามีอยู่ 3 สิ่งที่ยุคนี้ต่างจากยุค 70 คือ
แนวทางสอง Forward Guidance หรือทำตามแผนที่วางไว้แบบตรงไปตรงมา: เฟดจะมุ่งเยียวยาทั้งเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอยแบบใกล้เคียงกัน ตามสไตล์ดีเอโก้ มาราโดน่าที่เลี้ยงบอลแบบเกือบเป็นเส้นตรงจากกลางสนาม โดยกองหลังทีมชาติอังกฤษถึง 6 คนในฟุตบอลโลกปี 1986 ต่างมองว่ามาราโดน่าจะเลี้ยงหลบจริงพุ่งพรวดเข้ามาสกัดทางซ้ายหรือขวาของมาราโดน่า ทว่ามาราโดน่าเลี้ยงบอลแบบแนวเส้นตรงผ่านกองหลังทั้งหกจนยิงเข้าประตูได้ เปรียบเหมือนที่พาวเวลอาจจะใช้วิธีการลดดอกเบี้ยแบบเท่ากับใน Dot plot โดยปล่อยให้ตลาดหรือสื่อมวลชนเชียร์หรือสร้างกระแส Dove และ Hawk เมื่อตัวเลขเงินเฟ้อต่ำหรือสูงกว่าคาด โดยที่พาวเวลก็ลดดอกเบี้ยตามแนวทาง Dot plot ที่เขาส่งสัญญาณผ่าน Forward Guidance ที่ให้ระหว่างการประชุมเฟดในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นตามตารางการประชุม
แนวทางสาม Masquerade from Dove: เฟดจะแอบมุ่งป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอยหากสถานการณ์เงินเฟ้อไม่แย่จนเกินไป ตามสไตล์ของเชอร์ล็อคที่แกล้งว่าตนเองตายจากการโดดตึก หลังถูก Blackmail จากตัวร้ายว่าหากไม่ยอมโดดตึกจะให้มือปืนสังหารเพื่อนรักในตอน The Reichenbach Fall จากซีรีส์ดัง Sherlock ของ BBC ในปี 2012
โดยที่พาวเวลอาจจะใช้วิธีของเชอร์ล็อคที่ทำทีว่าจะยังไม่ลดดอกเบี้ยแม้เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทว่าเอาเข้าจริงก็เปลี่ยนใจยอมทำการลดดอกเบี้ยเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแม้จะอยู่ในช่วงที่เงินเฟ้อยังไม่จางก็ตามที เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ Stagflation ในเศรษฐกิจสหรัฐที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากนโยบายต่างๆของทรัมป์ในขณะนี้และในอนาคต
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com