ชมรมหุ้นกู้ – รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลินิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
ติดตามรายการชมรมหุ้นกู้ได้ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Youtube & Facebook Finnomena
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2025 ดัชนี HSCEI (หุ้นจีน H-Share) พุ่งขึ้นกว่า 2% หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง จัดประชุมร่วมกับผู้นำภาคเอกชนชั้นนำของจีน โดยเฉพาะผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับแนวหน้า อาทิ แจ๊ก หม่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง Deepseek เหลย จุน ผู้ก่อตั้ง Xiaomi และหวัง ชวนฟู่ ผู้ก่อตั้ง BYD การประชุมครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น นำโดย Xiaomi (+5.87%) Alibaba (+4.34%) Meituan (+3.91%) และ Tencent (+3.42%) โดยวัตถุประสงค์หลักของการประชุมคือการสนับสนุนให้บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากการประชุมดังกล่าวส่งสัญญาณให้เห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะสนับสนุนภาคเอกชนมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากช่วงปี 2020 ที่ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ดำเนินนโยบายปราบปรามภาคอินเทอร์เน็ตและภาคเอกชน เพื่อควบคุมทั้งในด้านเศรษฐกิจและกลุ่มมหาเศรษฐีของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่ารัฐบาลจีนจะปรับเปลี่ยนนโยบายต่อภาคเอกชนมากน้อยเพียงใด แต่การประชุมและท่าทีที่เป็นมิตรของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ในครั้งนี้ ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจึงส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันนี้
Finnomena Funds มองว่าการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้เป็น Sentiment ระยะสั้น และต้องจับตาการพัฒนา AI ของจีน โดยเรามองว่าเป็นโอกาสลงทุนในระยะสั้น ตามคำแนะนำระยะสั้นของ FundTalk Contrarian ในกองทุน MEGA10CHINA-A ซึ่งเน้นลงทุนใน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ H-Share
อย่างไรก็ดีในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมที่ฟื้นตัวบ้าง แต่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจีนในอนาคตระยะยาว ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่อาจเพิ่มขึ้น
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
‘สี จิ้นผิง’ รวมทัพมันสมองเทคโนโลยีจีน นำทีมโดย ‘แจ็ค หม่า’ แห่ง Alibaba ‘เหริน เจิ้งเฟย’ Huawei ‘เหลย จวิน’ Xiaomi ‘หวัง ฉวนฝู’ BYD ‘โพนี่ หม่า’ Tencent ‘หวัง ซิง’ Meituan รวมทั้ง ‘เหลียง เหวินเฟิง’ จาก DeepSeek เป็นสัญญาณอันทรงพลังว่ารัฐบาลจีนกำลังเปลี่ยนท่าที พร้อมสนับสนุนเทคโนโลยี AI
เป็นประเด็นใหญ่ในโลกการลงทุนที่ต้องจับตาใกล้ชิด เมื่อประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง จัดประชุมสัมมนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่กรุงปักกิ่ง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง และซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วแดนมังกร เช่น Alibaba, BYD, Huawei, CATL, Xiaomi, Tencent, Meituan รวมถึง DeepSeek
ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การมาของ ‘แจ็ค หม่า’ แห่ง Alibaba หลังก่อนหน้านี้เขาหายหน้าไปอย่างไร้ร่องรอย และเพิ่งกลับมาปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ในงานฉลองครบรอบ 20 ปี ของ Ant Group เมื่อปลายปี 2024
แต่การที่ ‘แจ็ค หม่า’ ได้เผชิญกับหน้ากับ ‘สี จิ้นผิง’ ในครั้งนี้ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่ารัฐบาลจีนกำลังเปลี่ยนท่าทีหันมาสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเต็มที่
สี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์ว่า เราต้องขจัดอุปสรรคทุกประเภทที่ขัดขวางการใช้ทรัพยากรการผลิตอย่างเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมในการแข่งขันทางการตลาดอย่างเป็นธรรม พร้อมเน้นการส่งเสริมที่เปิดกว้างของโครงสร้างพื้นฐานให้กับทุกภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และพยายามแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยากลำบากของบริษัทเอกชน
ช่วงหลายปีมานี้ นับตั้งแต่ปี 2020 บริษัทเอกชนในจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี เจอกับแรงกดดันอย่างมากจากภาครัฐ ด้วยมาตรการกำกับดูแลที่เข้มข้น ไล่มาตั้งแต่การสกัดกั้น Ant Group ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบกระทันหัน, คุมเข้มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, กวาดล้างสถาบันกวดวิชา และบริษัทเกมต่างๆ
ทำให้บรรยากาศของวงการเทคโนโลยีจีนเข้าสู่ยุคมืดตั้งแต่นั้นมา มูลค่าหุ้นและผลประกอบการได้รับผลกระทบหนัก เช่นเดียวกับซีอีโอหลายคนที่พยายามถอยห่างออกไปจากหน้าสื่อ ซึ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ แจ็ค หม่า
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลจีนเรียกเหล่าบิ๊กเทคจีนเข้าพบ ถือเป็นสัญญาณผ่อนคลายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และมาในจังหวะเวลาที่ดัชนี Hang Seng Tech พุ่งขึ้นรุนแรงพอดี
ถือเป็นสัญญาณที่ทรงพลังว่า รัฐบาลจีนกำลังเปลี่ยนท่าที? พร้อมสนับสนุนเอกชนมากขึ้น และมองว่าเทคโนโลยี AI อาจเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการพัฒนาประเทศรอบใหม่
คำแนะนำการลงทุน FundTalk Call มองว่ายังมีโอกาสเก็งกำไรหุ้นจีน H-Shares ผ่านกองทุน MEGA10CHINA-A แม้ราคาจะปรับตัวขึ้นมามากแล้ว แต่ยังมีโมเมนตัมที่ไปต่อ และลุ้นผ่านแนวต้านสำคัญ ในขณะที่ PE ของหุ้นหลายตัวยังไม่แพง เมื่อเทียบกับหุ้นบิ๊กเทคในสหรัฐฯ
ที่มา: Bloomberg
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
Finnomena Funds ถึงเวลาเปลี่ยนตัวผู้เล่นในสนามแข่ง AI เมื่อต้นทุนการสร้าง AI ถูกลง! เป็นโอกาสของหุ้นเทคโนโลยีกลุ่มปลายน้ำ และหุ้นเทคโนโลยีฝั่งเอเชีย พร้อมกับการอ่อนกำลังลงของ Magnificent-7
พัฒนาการด้าน AI อันรวดเร็ว ยังคงเป็นลมกระแสหลักที่กระทบต่อทิศทางการลงทุนในสัปดาห์นี้ เนื่องจากต้นทุนการสร้าง AI ของจีนที่ถูกลงมหาศาล กลายเป็นก้าวสำคัญสู่ยุคของ Agentic AI ทำให้หุ้นกลุ่มปลายน้ำอย่าง Software Cloud Computing ได้รับประโยชน์
ในขณะเดียวกันก็ส่งผลบวกต่อผู้ผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูง หรือ High Bandwidth Memory (HBM) เช่น Samsung และ Sk Hynix จากแนวโน้มความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น
แต่กลุ่มที่โดนกดดันและเริ่มอ่อนกำลังลงชัดเจนกลับเป็นหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ฝั่งสหรัฐฯ อย่าง Magnificent-7 ซึ่งถูกกำไรถูก Downgrade ลงมาหนักตั้งแต่ต้นปี และ EPS Growth กำลังโตในอัตราที่ลดลง
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) TCLOUD (ความเสี่ยงระดับ 7)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี AI กลุ่มปลายน้ำ โดยเน้นลงทุนหุ้นในกลุ่ม Software Cloud Computing ซึ่งมองว่ามีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากต้นทุน AI ที่ถูกลงมหาศาล และหลายบริษัทเทคโนโลยีเริ่มสร้าง Agentic AI มาให้บริการ
1.) MEGA10CHINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นจีน 10 ตัวใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยรวมเอาหุ้น Big Tech จีนมาไว้ด้วยกัน อาทิ Tencent, Alibaba, Meituan, NetEase และ JD.com ซึ่งต่างทยอยทำราคา New High จากกระแส AI Boom ในจีน ทั้งนี้ สัญญาณทางเทคนิคกำลังลุ้นผ่านแนวต้านสำคัญ เพื่อทะยานตัวขึ้นสู่ Wave ถัดไป
3.) DAOL-KOREAEQ (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ วกกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง โดยมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ประกอบกับความต้องการ High Bandwidth Memory ในยุค Low-Cost AI ซึ่งความน่าสนใจคือหุ้นผู้นำทั้ง Samsung และ SK Hynix ยังมี Valuation ที่ถูก ปัจจุบัน P/E อยู่ที่ 11.8 เท่า และ 14 เท่า ตามลำดับ
โดย Bank – The Trend Follower คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติเพื่อนำมาคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้หาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) DAOL-KOREAEQ (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ แนะนำเข้าลงทุนในจังหวะที่ดัชนี KOSPI เริ่มมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้น ทำจุดสูงสุดในรอบ 3 เดือน ปรับตัวขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน พร้อมทะลุระดับ 38.2 ของ Fibonacci retracement ซึ่งเป็น Golden Ratio นอกจากนี้ ยังเกิด Buy Signal จาก MACD และ RSI อยู่เหนือ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มราคาเชิงบวก
2.) ASP-DIGIBLOC (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ยังมีแนวโน้มกลับมาทะยานต่อได้จากนโยบายสนับสนุนของ Trump ที่เตรียมนำคริปโตมาเป็นเงินทุนสำรอง และท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการส่งเสริมสินทรัพย์ดิจิทัล
3.) ABGFIX-A และ SCBFST (ความเสี่ยงระดับ 4)
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินดอลลาร์ น่าสนใจในช่วงนี้เนื่องจากเงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่า เนื่องจากแบงก์ชาติส่งสัญญาณไม่อยากลดดอกเบี้ย เพราะปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสแข็งค่าต่อ จากนโยบาย Trump ที่เน้นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ รวมถึงรับโอกาสจาก Bond Yield สหรัฐฯ ระยะสั้น ที่อยู่ในระดับสูง โดย Bond Yield อายุ 3 เดือน อยู่ที่ 4.3% และอายุ 1 ปี อยู่ที่ 4.2%
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical ปัจจัยอื่น ๆ เช่น Fund Flow, Sentiment, Seasonal Statistic และ Technical Analysis
1.) B-INNOTECH (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี เน้นคัดเลือกหุ้น Value Play โดยการเข้าซื้อหุ้นเติบโตในราคาไม่แพง ขณะเดียวกันปัจจัยเชิงพื้นฐานเฉพาะตัวยังคงดี และช่วงที่ผ่านมาก็มีการปรับพอร์ต โดยลดสัดส่วน Mag-7 หันมาเก็บหุ้น AI ปลายน้ำ และบิ๊กเทคในจีน เช่น Alibaba สะท้อนถึงการเป็น Active Fund ที่ทันต่อกระแสตลาด
2.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนาม เป็นตลาดที่ถูกและดี ประกอบกับการมาของ Trump เร่งให้เกิด China+1 ในการย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนเร็วขึ้น ซึ่งเวียดนามคือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ รวมทั้งยังมีปัจจัยหนุนอื่น ๆ เช่น ความคืบหน้าเตรียมเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปี 2025 และการถูกปรับประมาณกำไรเพิ่มเติม
3.) SCBKEQTG (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ ได้แรงหนุนจากกรณีที่ของ Samsung Electronics ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในดัชนี KOSPI ได้มีการประกาศซื้อหุ้นคืนวงเงินรวม 10 ล้านล้านวอน ซึ่งสิ้นสุดแล้วจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และจะพิจารณาจัดสรรเงินอีก 7 ล้านล้านวอนในการซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก การประกาศนี้ส่งผลให้ราคาหุ้น Samsung เริ่มทรงตัวได้ และมองว่าผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
พอร์ตการลงทุนของกองประกันสังคม มูลค่ารวม 2.65 ล้านล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 2.59% เตรียมทบทวนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เพิ่มสินทรัพย์เสี่ยง 60:40 หันลงทุนหุ้นนอก แต่ไม่ทิ้งหุ้นไทย
Source: sso.go.th as of 31/12/2024
เงินลงทุนของกองทุนประกันสังคม ณ 31 ธันวาคม 2567 มูลค่าทั้งสิ้น 2,657,245 ล้านบาท แบ่งเป็น หลักทรัพท์มั่นคงสูง 71.58% และหลักทรัพย์เสี่ยง 28.42%
โดยมีการกระจายการลงทุนในประเทศ จำนวน 1,800,064 ล้านบาท คิดเป็น 67.74% และลงทุนต่างประเทศ จำนวน 857,181 คิดเป็นสัดส่วน 32.26%
กองทุนประกันสังคม มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ 2.29% ส่วนอัตราผลตอบแทนปี 2567 อยู่ที่ 5.34%
เงินสมทบสะสม และผลประโยชน์สะสมจากการลงทุน ย้อนหลัง 10 ปี (2558-2567)
Source: sso.go.th as of 31/12/2024
ปัจจุบันเงินลงทุนรวมของกองทุน #ประกันสังคม มูลค่ารวม 2,657,245 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินจาก 2 ส่วนหลัก คือ
1.) เงินสมทบสะสมจากนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล จำนวน 1,666,556 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 62.72%
2.) เงินผลประโยชน์สะสมที่ได้รับจากการลงทุน จำนวน 990,689 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37.28%
ผลตอบแทนที่รับรู้แล้ว ย้อนหลัง 10 ปี (2558-2567)
Source: sso.go.th as of 31/12/2024
ในปี 2567 กองทุน ประกันสังคม มีผลประโยชนจากการลงทนที่รับรู้แล้ว จำนวน 71,960 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.) ดอกเบี้ยรับและกำไรจากการขายตราสารหนี้ 42,774 ล้านบาท
2.) เงินปันผลรับและกำไรจากการขายหุ้น นวน 29,186 ล้านบาท
จะเห็นว่าผลกำไรส่วนใหญ่ของประกันสังคมนั้นยังคงมาจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน และตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากกรอบนโยบายการลงทุนยังคงจำกัดอยู่ที่สินทรัพย์มั่นคง (เสี่ยงต่ำ) มากถึง 60% แต่ในอีกแง่ก็เป็นเกราะกำบังให้กองทุนประกันสังคมไม่เคยลงทุนแล้ว “ขาดทุน” มาตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา
สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า กองทุนประกันสังคม เตรียมปรับยุทธศาสตร์พอร์ตลงทุนครั้งใหญ่ ในปี 2568-2570 โดยการเพิ่มลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเป็น 60% และสินทรัพย์มั่นคง 40%
วางเป้าหมายพอร์ตการลงทุนต้องสร้าง “ผลตอบแทน” หรือ “Return Income” พร้อมปรับสัดส่วนการลงทุนใน ต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น
แต่ก็จะไม่ทิ้งการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพียงแต่ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่คือ หุ้นตัวไหนที่ทำกำไรได้ กองทุนประกันสังคมอาจจะมีการทบทวนขายไป และซื้อเข้าใหม่ได้ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ประกันตน
สำหรับในปี 2568 ตั้งเป้าผลตอบแทนของกองทุนประกันสังคมอยู่ที่ 5% และในปี 2569 คาดผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นเป็น 6%
ประธานคณะกรรมการประกันสังคม ยืนยันว่า “กองทุนประกันสังคมไม่ล้ม” แต่ต้องปรับวิธีคิด เพราะหากยังอยู่ในบริบทแบบเดิม ๆ ในอีก 30 ปี กองทุนประกันสังคมจะเข้าสู่การ Set Zero คือมีเงินเข้า 100 ก็ออก 100 เนื่องจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของสังคมไทย
ที่มา: สำนักงานประกันสังคม, กรุงเทพธุรกิจ
Goldman Sachs ปรับเป้าหมายดัชนี MSCI China ใน 12 เดือนข้างหน้า ขึ้นอีก 16% จากเดิม 75 จุดเป็น 85 จุด นอกจากนี้ยังปรับเป้าดัชนี CSI 300 ขึ้นจาก 4,600 เป็น 4,700 โดยทั้ง 2 ดัชนีได้รับแรงหนุนจากการพัฒนาของ DeepSeek AI ซึ่งช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน
DeepSeek และ AI อื่น ๆ ของจีนกำลังเปลี่ยนมุมมองนักลงทุนต่อศักยภาพเทคโนโลยีจีน โดย Goldman Sachs ประเมินว่าการใช้ AI อย่างแพร่หลายอาจช่วยหนุนกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจีนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.5% ต่อปีในทศวรรษหน้า
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley, JPMorgan Chase & Co. และ UBS Group AG ได้ออกคำแนะนำเชิงบวกเกี่ยวกับตลาดหุ้นจีน ขณะที่หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ Man Group มองว่าหุ้นจีนเป็นหนึ่งใน “โอกาสการลงทุนที่แข็งแกร่งที่สุดในปีนี้”
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในครั้งนี้ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและปัจจัยระดับจุลภาคมากขึ้น จึงอาจทำให้การฟื้นตัวครั้งนี้มีความยั่งยืนกว่าการขับเคลื่อนโดยมาตรการภาครัฐเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการพบกันระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และ แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba Group ในสัปดาห์นี้ โดยมองว่าอาจเป็นสัญญาณจากรัฐบาลจีนที่พร้อมจะสนับสนุนภาคเอกชน
แม้ว่าตลาดหุ้นจีนกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่นักลงทุนบางส่วนยังตั้งคำถามว่า กระแส AI จะเปลี่ยนเป็นกำไรของบริษัทได้จริงหรือไม่? เพราะที่ผ่านมาตลาดจีนเคยฟื้นตัวแรงจากการเปิดประเทศหลังโควิดช่วงปลายปี 2022 แต่ก็กลับมาอ่อนตัวลงในเวลาไม่นาน
อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดจีนมาตลอด แม้ในช่วงที่ตลาดซบเซา โดยล่าสุดคาดว่าหุ้นจีนมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ราว 20% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับทิศทางของตลาด
กองทุน MEGA10CHINA-A เป็นกองทุนหุ้นจีน 10 ตัวใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งรวมเอาหุ้น Big Tech จีนมาไว้ด้วยกัน และส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทเทคโนโลยีแนวหน้า เช่น Tencent, Alibaba, Meituan, NetEase และ JD เป็นต้น โดยคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากกระแส AI Boom ในจีน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ AI ในสหรัฐฯ
อ้างอิง: Yahoo Finance
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
สัปดาห์ที่แล้ว “หุ้นยักษ์” ตัวหนึ่งซึ่งเคยเป็น “เสาหลัก” สำคัญของตลาดหุ้นมีราคาตกลงมาประมาณ 14% หลังจากประกาศงบรายไตรมาสที่ 4 แสดงว่าบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเลข 2 หลัก และกำไรก็เพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้และเป็นเลข 2 หลักเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขทั้งสองนั้นต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้พอสมควรและดูเหมือนว่า “อนาคต” ของบริษัทอาจจะเติบโตไม่ได้ดีเท่ากับที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนเคยประเมินหรือคาดการณ์ไว้
ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้น ทำให้ค่า PE ที่ “สูงลิ่ว” ในระดับ 40 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่น่าจะสูงเกินไปอานิสงค์จากการที่หุ้นน่าจะ “ถูกคอร์เนอร์” มานานเพราะปริมาณหุ้น Free Float ที่อยู่ในมือของนักลงทุนมีน้อยมาก และทำให้หุ้นเคยมีค่า PE สูงถึงเกือบ 100 เท่า ตกลงมาเหลือประมาณ 34 เท่า ซึ่งก็ยังไม่ได้ต่ำนักเมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกันของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศอื่น ๆ
การที่หุ้นตกลงมาสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ ถ้าจะเรียกว่า “คอร์เนอร์แตก” ก็อาจจะยังไม่ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ถ้ามองย้อนหลังไป 3-4 ปี หุ้นก็ถือว่าลดลงมามากในระดับ 40% ขึ้นไป ตรงกับอาการคอร์เนอร์แตกได้ นั่นก็คือ นักลงทุนเลิกเชื่อในสตอรี่และผลประกอบการของบริษัทที่เคยเป็นตอนที่หุ้นถูกคอร์เนอร์ และก็เริ่มขายหุ้นออกมามากกว่าคนที่อยากจะถือหุ้นลงทุนตามพื้นฐานที่ควรเป็นหลังจากมีข้อมูลผลประกอบการล่าสุดที่ไม่โดดเด่นออกมา
เรื่องของหุ้น “คอร์เนอร์แตก” ในตลาดหุ้นไทยนั้น ดำเนินมานานอย่างน้อยน่าจะ 4-5 ปีแล้ว เริ่มต้นก็เป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีการทำคอร์เนอร์โดยนักลงทุนรายใหญ่และ/หรือเจ้าของที่พบว่าทำได้ง่ายและสามารถเพิ่มราคาและมูลค่าของกิจการได้มากมายหลาย ๆ เท่า บางทีในวันเดียวโดยเฉพาะในวันที่หุ้นเข้าเทรดวันแรกหลังจาก IPO ผลก็คือ คนทำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเศรษฐีพันล้านบาทได้ง่าย ๆ โดยที่แทบจะไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย ตรงกันข้าม มีแต่คนชื่นชมว่าเป็นคนที่มีความสามารถสูง จากธุรกิจเล็ก ๆ หรือพอร์ตเล็ก ๆ ก็กลายเป็น “เสี่ย” หรือเป็น “เซียน” ในเวลาอันสั้น
ต่อมาหุ้นระดับกลางหลายตัวก็ถูกคอร์เนอร์ จากมูลค่าหุ้นระดับ “หมื่นล้านเศษ ๆ” ก็กลายเป็นหลายหมื่นล้านบาท และบางตัวก็กลายเป็น “แสนล้านบาท” คนทำคอร์เนอร์กลายเป็นมหาเศรษฐีหรือสุดยอดเซียน ผู้บริหารกลายเป็นเซเล็บนักธุรกิจระดับประเทศ “อาณาจักร” ถูกขยายออกไป “ระดับโลก” ไม่มีใครสนใจว่าหุ้นแพงผิดปกติหรือเปล่าที่ PE บางทีระดับ 70-80 เท่าขึ้นไป แม้แต่นักลงทุนสถาบันก็ต่างแย่งซื้อหุ้นล็อตใหญ่จากเจ้าของ พวกเขาต้องทำตัวเหมือน “เซียนหุ้นรายใหญ่” ที่ร่ำรวยจากหุ้น มิฉะนั้นจะดึงดูดคนที่เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนอย่างไร?
และสุดท้าย แม้แต่หุ้นขนาดใหญ่หรือกลางใหญ่บางตัวก็ถูกคอร์เนอร์ จากบริษัทระดับกลางในแง่ของตัวธุรกิจและ Market Cap. ก็กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดยักษ์ระดับ “Top Ten” ของตลาด และแน่นอน ด้วยสตอรี่ใหญ่ระดับ “เปลี่ยนโลก” บางบริษัทที่อยู่ในธุรกิจพลังงานก็ท้าทายบริษัทระดับ “เทสลา” ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดนางฟ้าของหุ้นโลก บางบริษัทก็ประมาณว่าจะคล้าย ๆ กับ “เอ็นวิเดีย” ซึ่งก็เป็นนางฟ้าแนวหุ้นเท็คอีกบริษัทหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเทสลาด้วยซ้ำ
ถึงวันนี้ หุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์ทั้งเล็ก กลาง และใหญ่ ต่างก็ทยอย “แตก” เป็นระยะมาหลายปีแล้ว โดยที่หุ้นตัวเล็กนั้นแตกไปน่าจะใกล้หมดแล้ว หุ้นระดับกลางเองก็แตกไปมากมายและทำให้คนเจ็บหนักกันทั่วหน้า ส่วนหุ้นตัวใหญ่นั้น เนื่องจากมีจำนวนน้อยกว่าและการคอร์เนอร์เองนั้นย่อมจะแข็งแรงกว่าหุ้นที่มีขนาดเล็กหรือกลาง การแตกจึงยากกว่าและช้ากว่า
สิ่งที่ทำให้หุ้นคอร์เนอร์แตกนั้น ที่มากที่สุดก็คือ การประกาศผลประกอบการที่ “น่าผิดหวัง” ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มว่าอนาคตก็จะยังไม่สดใสต่อ หรือในกรณีที่เลวร้ายก็คือ ผลประกอบการจะแย่ลง “อย่างถาวร” หรืออย่างน้อยอีก 2-3 ปี ข้างหน้า
สถานะของเศรษฐกิจและตลาดหลักทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คอร์เนอร์แตก เพราะในสภาวะแบบนั้น นักเก็งกำไรที่เข้ามาเล่นหุ้นจะน้อยลง เช่นเดียวกับธุรกิจที่ซบเซาลงซึ่งทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทด้อยหรือถดถอยลง ทั้งหมดนั้นมีส่วนทำให้แม้แต่หุ้นยักษ์ที่อยู่ในคอร์เนอร์ก็ประสบกับภาวะหุ้นคอร์เนอร์แตกได้
และหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ไว้ ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน ถึงวันก็จะต้อง “คอร์เนอร์แตก” เป็น “Moment of Truth” ที่จะต้องเผชิญสำหรับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นไว้
ถ้าให้ผมทำนาย ผมคิดว่าภายในปีนี้ หรือบางทีก็อาจจะเร็ว ๆ นี้ หุ้นตัวใหญ่ระดับยักษ์จะประสบกับการ “คอร์เนอร์แตก” เกือบหมด และนั่นน่าจะกระทบกับดัชนีตลาดหุ้นไม่น้อย ซึ่งก็จะทำให้ตลาดหุ้นซบเซาลงมาก แต่ตลาดก็คงจะ “ไม่วาย” และถ้าโชคดีก็จะเป็นโอกาสที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะดีและยั่งยืนขึ้น เข้าทำนอง “ฟ้าหลังฝน” ชีวิต “เริ่มต้นใหม่” หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาเป็นระลอก ๆ
เหตุผลก็เพราะว่า “สิ่งดี ๆ เล็ก ๆ” กำลังกลับมาที่เราอาจจะยังไม่ตระหนัก เริ่มตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มาก แต่ก็ค่อนข้างมั่นคง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ไปทำอะไรใหม่มากมายที่ต้อง “เสียเงิน” พวกเขาน่าจะเรียนรู้แล้วว่า การมีสตอรี่มาก ๆ นั้น สุดท้ายมักจะ “พัง” การ “สร้างอาณาจักร” นั้น นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ต้องการ การสร้างกำไรคือสิ่งที่จะดีต่อหุ้นมากที่สุดในยุคนี้
หน่วยงานที่ดูแลกำกับตลาดหุ้นนั้น ในช่วงเวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสูงสุดเกือบทั้งหมด จากคนที่ “ไม่สนับสนุนตลาดหุ้น” หรือมองว่า “ตลาดหุ้นเป็นของคนรวยที่มีเงินและเห็นแก่ได้” และ “ตลาดหุ้นไม่ได้มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ” เป็นคนที่น่าจะเข้าใจตลาดหุ้นได้ดีกว่า และที่สำคัญ พร้อมที่จะพัฒนาตลาดหุ้นให้เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญแทนที่จะพยายามดูดเงินนักลงทุนผ่านระบบภาษีที่อาจจะทำลายตลาดหุ้นได้
เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นก็คือ การเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดหุ้น จากการเป็น “นักเก็งกำไร” เป็นหลัก ที่เน้นการเทรดหุ้นเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็ว กลายเป็น นักลงทุนที่เน้นผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งมีปันผลเป็นผลตอบแทนที่สำคัญมากหรือมากที่สุดในการเลือกหุ้นลงทุน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หุ้นที่สามารถจ่ายปันผลในระดับ 5% ต่อปีและไม่ลดลงในอนาคตที่เห็นได้นั้นผมคิดว่ามีจำนวนไม่น้อยและมากพอที่จะถือเป็นกองทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้หวังผลเลิศได้
พูดง่าย ๆ นักลงทุนยุคหลังหุ้นยักษ์คอร์เนอร์แตกนั้น จะเป็นการลงทุนในยุคที่ตลาดหุ้นตกต่ำลงไปมากจนมีราคาไม่แพงหรือถูก และมีหุ้นที่มีคุณภาพดีพอใช้ที่มีผลประกอบการค่อนข้างยั่งยืน มีกำไรที่ดีและโตไปช้า ๆ ในระดับอาจจะแค่ 5-6% ต่อปี บริหารโดยผู้บริหารที่ดีมีบรรษัท ภิบาลสูงและรักษาผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยทุกคนเท่าเทียมกัน โดยที่ความคาดหวังก็คือ สร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นหรือคนที่ลงทุนในหน่วยลงทุนได้ปีละประมาณ 7-8% โดยเฉลี่ย โดยมีปีที่ขาดทุนน้อยมาก
การกำกับดูแลตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่าจะต้อง “มีเหตุผล” และ “พอสมควร” ที่จะเป็นที่ยอมรับของนักลงทุน เช่น เรื่องของภาษีทุกชนิดที่เกี่ยวกับหุ้น เช่นเดียวกัน การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเองนั้น ผมคิดว่าจะต้อง “เปิดกว้าง” การห้ามหรือสร้างอุปสรรคไม่ให้ลงทุนนั้น ไม่มีประโยชน์
ต้องทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็น “ทางเลือก” ที่สำคัญของคนไทยทุกคน และผมเองในฐานะนักลงทุนขอตอบเลยว่า เราไม่มีทางทิ้งตลาดหุ้นไทยได้ และเราอยากเลือกลงทุนในตลาดหุ้นไทยถ้าโอกาสได้ผลตอบแทนมีพอสมควรด้วยความเสี่ยงโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการโกงต่ำ
หุ้นที่มีราคาร้อนแรงเกินไปและปรับตัวขึ้นลงแรงในลักษณะของการ “คอร์เนอร์หุ้น” ควรที่จะต้องถูกต่อต้านตั้งแต่เริ่มต้น เพราะนั่นไม่ส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศที่ว่าตลาดหุ้นไทยมีประสิทธิภาพที่ดีในการกำหนดราคาหุ้นทุกตัวให้มีความเหมาะสม การมี “หุ้นปั่น” เต็มไปหมดนั้นอาจจะดึงดูดให้คนเข้ามา “เล่นหุ้น” ในตลาดมาก ๆ แต่มันไม่ยั่งยืน เพราะในที่สุดคนที่เข้าไปเล่นจะเสียหายหนักและจะถอยหนีจากตลาดโดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุนในทรัพย์สินที่เติบโตและปลอดภัยพอสมควรเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเกษียณ
ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ เตรียมตัวรับกับการที่หุ้นขนาดยักษ์คอร์เนอร์แตกที่จะทำให้ดัชนีตลาดตกลงมาแรง แต่ไม่ต้องหนีออกจากตลาดเพราะหุ้นขนาดใหญ่จำนวนมากราคาไม่แพงและสามารถลงทุนได้ โดยหุ้นที่ปันผลดีระดับ 5% ต่อปีและยั่งยืนจะช่วยให้หุ้นลงทุนของเราโดยเฉพาะถ้ามีการกระจายความเสี่ยงดีพอคือถือไว้หลายตัว จะเป็นพอร์ตลงทุนในระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนได้ปีละอาจจะ 6-7% แบบทบต้น โดยแต่ละปีพอร์ตจะไม่ค่อยขาดทุน
พฤติกรรมในตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น โดยภาพใหญ่ก็คือ การเก็งกำไรจะน้อยลงและการลงทุนจะมากขึ้น หุ้นปั่น โดยเฉพาะการคอร์เนอร์หุ้นน่าจะลดน้อยลงถ้าหน่วยงานควบคุมสามารถป้องกันก่อนที่ฟองสบู่จะเกิดขึ้น
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
เราทำงานมาตั้งหลายปี แต่เคยถามตัวเองไหมว่า “เรามีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหรือเปล่า?” ถ้าคำตอบคือ “ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย” บทความนี้จะพาไปเริ่มต้นทบทวนสถานะการเงินแบบง่าย ๆ แค่กระดาษแผ่นเดียวก็ทำได้!
หา กระดาษ A4 หนึ่งแผ่น แล้วแบ่งครึ่งออกเป็น 2 ส่วน
ทรัพย์สินในที่นี้หมายถึง “ทุกอย่างที่เราเป็นเจ้าของและมีมูลค่า” หรือเปลี่ยนเป็นเงินได้ เช่น
ฝั่งขวาของกระดาษให้ใส่รายการหนี้สินทั้งหมด ในที่นี้หมายถึง “จำนวนเงินที่เราต้องชำระให้กับผู้อื่น” เช่น
เมื่อเรามีรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการคำนวณโดยการนำมูลค่าทรัพย์สินรวมมาหักด้วยหนี้สินรวม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) ของเรา หากมูลค่าทรัพย์สินรวมสูงกว่าหนี้สินรวม จะเป็นการบ่งบอกว่าเรามีความมั่งคั่งสุทธิเป็นบวก หรือก็คือสถานะทางการเงินที่ “ทรัพย์สินมีมูลค่ามากกว่าหนี้สิน”
เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ให้หัก หนี้สินรวม ออกจาก ทรัพย์สินรวม โดยใช้สูตรนี้
ความมั่งคั่งสุทธิ = ทรัพย์สินรวม − หนี้สินรวม
ทรัพย์สินรวมของเรามีมูลค่า 5,000,000 บาท (บ้าน 3,000,000 บาท, รถยนต์ 1,000,000 บาท, เงินออม 1,000,000 บาท)
หนี้สินรวมของเรามีมูลค่า 2,000,000 บาท (เงินกู้บ้าน 1,500,000 บาท, หนี้บัตรเครดิต 500,000 บาท)
ความมั่งคั่งสุทธิของเราจะคำนวณได้ดังนี้
ความมั่งคั่งสุทธิ = 5,000,000 − 2,000,000 = 3,000,000 บาท
ผลลัพธ์คือเรามีความมั่งคั่งสุทธิ 3,000,000 บาท ซึ่งแสดงว่าเรามีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินเป็นจำนวน 3,000,000 บาท
ถ้าตัวเลขออกมาเป็นบวก นั่นแปลว่า เรามีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ถ้าเป็นลบหรือลดลงจากปีก่อน ก็ถึงเวลาที่จะต้องวางแผนการเงินให้รัดกุมขึ้น
การคำนวณความมั่งคั่งสุทธิไม่ใช่แค่การดูว่าตัวเลขออกมาเป็นบวกหรือลบ แต่มันช่วยให้เราเห็นว่า เงินของเราเติบโตขึ้นแค่ไหน
ปีใหม่นี้ลองตั้งเป้าหมายการเงินง่าย ๆ ที่ทำได้จริง เช่น
ปีใหม่เป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเอง การทบทวนสถานะทางการเงินก็เหมือนกับการตรวจเช็กสุขภาพ ว่าเราแข็งแรงแค่ไหน และต้องปรับปรุงอะไรบ้าง เพราะความมั่นคงทางการเงินไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นผลจากการวางแผนที่ดีและการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยการทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตั้งเป้าหมายการออม หรือวางแผนการลงทุน อย่าลืมว่าทุกก้าวเล็ก ๆ ที่เราลงมือทำในวันนี้ จะกลายเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
ปีใหม่นี้ มาดูแลการเงินของเราให้แข็งแรงขึ้นไปพร้อมกัน เริ่มจากการรู้จักตัวเองให้มากขึ้น วางแผนให้ชัดเจน และลงมือทำอย่างมีวินัย
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/net-worth-in-one-page/
💸 เบื่อไหมกับการเก็บเงินแบบเดิม ๆ ที่น่าเบื่อ? อยากมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่อยากเครียดกับการวางแผนการเงินมากเกินไป? โพสต์นี้จะพาคุณไปพบกับ “5 ไอเดียเก็บเงินสุดเจ๋ง” ที่จะทำให้การออมเงินกลายเป็นเรื่องสนุก และยังช่วยให้เงินของคุณงอกเงยได้อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นสายชอป สายเที่ยว หรือสายกิน เรามีวิธีการเก็บเงินที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รับรองว่าอ่านจบแล้วคุณจะอยากเริ่มต้นเก็บเงินแน่นอน!
วิธีนี้ง่ายมาก เพียงแค่คุณเตรียมกระปุกหรือกล่องไว้ แล้วหยอดเงินตามวันที่ เช่น วันที่ 1 หยอด 1 บาท วันที่ 2 หยอด 2 บาท ไปเรื่อย ๆ จนถึงสิ้นเดือน แม้จะเป็นจำนวนเงินที่น้อยนิด แต่พอสิ้นปีคุณจะพบว่ามีเงินเก็บจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว
วิธีนี้เป็นที่นิยมมาก เพราะเป็นจำนวนเงินที่ไม่กระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากนัก ทุกครั้งที่ได้แบงก์ 50 บาท มาให้หยอดลงในกระปุกทันที ไม่นานคุณก็จะมีเงินเก็บก้อนโต
สำหรับใครที่เป็นแฟนคลับตัวยง วิธีนี้เหมาะมาก! เช่น ทุกครั้งที่ศิลปินปล่อยเพลงใหม่ จะเก็บเงิน 200 บาท หรือถ้ามีไลฟ์ จะเก็บเงิน 50 บาท หรือจะเก็บตามความถี่ในการอัปเดตโซเชียลมีเดียก็ได้ เช่น อัปรูป 1 รูป เก็บ 10 บาท อัปสตอรี่ 5 บาท
รวบรวมเหรียญบาท เหรียญห้า หรือธนบัตรเล็ก ๆ ที่เหลือจากการใช้จ่ายแต่ละวันมาใส่ในกระปุก หรือกระเป๋าเงินเล็ก ๆ ไว้ต่างหาก พอถึงเวลาที่กำหนดค่อยนำไปนับรวมกัน จะได้เงินก้อนแบบไม่รู้ตัว
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยบริหารจัดการเงินและการออมเงิน เช่น แอปที่ช่วยในการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย แอปที่ช่วยในการตั้งเป้าหมายการออม หรือแอปที่ช่วยเรื่องลงทุน
อยากมีตัวช่วยเก็บเงินให้อยู่แถมเงินงอกเงย ลองให้ ‘FIN SAVE by KKP’ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่จะเชื่อมต่อโลกการลงทุนในที่เดียวบนแอปพลิเคชัน Finnomena ช่วยคุณจัดการชีวิตการเงินให้ง่ายขึ้น แยกบัญชีเงินลงทุนออกจากบัญชีใช้จ่ายประจำวันชัดเจน หมดปัญหาเงินปนกันจนเก็บไม่อยู่ พร้อมให้เงินงอกเงย รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี* ระหว่างพักเงินรอลงทุน สะดวก ปลอดภัย มั่นใจได้ ดูแลเงินฝากของคุณโดยธนาคารเกียรตินาคินภัทร
*อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกำหนด (อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี สำหรับยอดฝากส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท)
หากคุณกำลังมองหาบัญชีเงินฝากที่จะทำให้ชีวิตการเงินของคุณสะดวกขึ้น จัดการทั้งเงินฝากและเงินลงทุนได้ครบจบในที่เดียว บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คือคำตอบ! ดาวน์โหลดแอปฯ Finnomena และเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP ได้เลย
หากพบปัญหาเกี่ยวกับการเปิดบัญชีไม่สำเร็จหรือบริการทางบัญชีเพิ่มเติม โปรดติดต่อ KKP Contact Center โทร 02-165-5555 กด 5 ต่อจากนั้น กด 1 เวลา 07.00-20.00 ของทุกวัน
หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Finnomena Application โปรดติดต่อ 02-026-5100 เวลา 09.00 – 17:00 ทุกวันทำการ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์
คำเตือน:
วงเงินฝาก | อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี) |
ไม่เกิน 500,000 บาท (A) | 0.40% |
ส่วนที่เกิน 500,000 – 2,000,000 บาท (B) | 1.60% |
ส่วนที่เกิน 2,000,000 (C) | 0.40% |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย (A) = 0.40%, (B) = 0.40%-1.30%, (C) 0.40%-1.30%
กรณีที่ 1: ฝากเงิน 1,500,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
กรณีที่ 2: ฝากเงิน 3,000,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP
บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 1 ชุด โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering: PO) และผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 11-13 มี.ค. 2568 นี้ โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้ อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.90-5.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ในระดับ Investment Grade ที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” จากทริสเรทติ้ง
ที่มา: https://www.thaibma.or.th/EN/News/Detail.aspx?id=7ac5c03f-34e5-ef11-a31e-a4821249f081
รายได้ 9M2024 เติบโต 4%YOY ขับเคลื่อนโดยธุรกิจรับซื้อและบริหารหนี้ ที่โต 7%YOY
พอร์ตลูกหนี้ที่ JMT ซื้อมาบริหารเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 534,864 ล้านบาท
ใน 9M2024 JMT ยังคงเก็บเงินสดได้ต่อเนื่อง และมีโอกาสทำได้สูงเท่ากับปี 2023
อัตราการเก็บหนี้เมื่อเทียบกับเงินลงทุนตามแบ่งตามปีที่ลงทุน
การตั้งสำรองหนี้เสีย (ECL) ปรับตัวดีขึ้นใน Q3/2024 ส่งผลให้กำไรใน Q3/2024 ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
กระแสเงินสดสำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดภายใน 1 ปี มาจากธุรกิจติดตามหนี้ที่คาดว่าจะติดตามหนี้ได้จำนวน 4.5 พันล้านบาท ใน Q4/2024 นอกจากนี้ยังมีพอร์ตกองทุนจำนวน 2.3 พันล้านบาท ฯลฯ
Bloomberg Default Probability ของ JMT ยังอยู่ในระดับ HEALTHY ที่ 0.28% และยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่น่ากังวล
📌 สนใจลงทุนหุ้นกู้ สามารถติดต่อที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้ หรือหากยังไม่เคยเปิดบัญชีหุ้นกู้ผ่าน Definit สามารถกรอกแบบฟอร์มรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่ https://www.finnomena.com/bond/
“ชมรมหุ้นกู้” รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลีนิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
🔔 พบกันทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Facebook และ Youtube ของ Finnomena
📌 Facebook Group ชมรมหุ้นกู้ https://www.facebook.com/groups/889975809457489/
🔴 รายการ ชมรมหุ้นกู้ ย้อนหลัง 👉 https://www.youtube.com/playlist?list=PLhZeb_wAvs-flbwxWxZGl0nY14jVSeDSG
วาเลนไทน์นี้ ใครว่าต้องมีคู่? ถึงโสดก็ไม่เศร้า เพราะเรามี “โพยหุ้นกู้ตลาดรอง” มาเสิร์ฟให้ถึงที่! ไม่ต้องกลัวเหงา แถมจ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 4.63% ให้หัวใจพองโต ใครอยากรู้ว่ามีหุ้นกู้ตัวไหนน่าสนใจบ้าง รีบมาเช็กด่วน ๆ ในบทความนี้เลย!
📌 สนใจลงทุนหุ้นกู้ สามารถติดต่อที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้ หรือหากยังไม่เคยเปิดบัญชีหุ้นกู้ผ่าน Definit สามารถกรอกแบบฟอร์มรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่ https://www.finnomena.com/bond/
“ชมรมหุ้นกู้” รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลีนิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
🔔 พบกันทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Facebook และ Youtube ของ Finnomena
📌 Facebook Group ชมรมหุ้นกู้ https://www.facebook.com/groups/889975809457489/
🔴 รายการ ชมรมหุ้นกู้ ย้อนหลัง 👉 https://www.youtube.com/playlist?list=PLhZeb_wAvs-flbwxWxZGl0nY14jVSeDSG
วันนี้ 14 กุมภาพันธ์ 2025 ดัชนี HSCEI หรือ หุ้นจีน H-Share ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% หลังจากความเชื่อมั่นในความสามารถด้าน AI ของจีนเพิ่มขึ้น จึงทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนปรับเพิ่มขึ้น นำโดย BYD +6.37% Xiaomi +6.0 Tencent +5.84% และ Alibaba +5.06%
การปรับตัวขึ้นในวันนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นักลงทุนที่ประเมินศักยภาพการเติบโตในกลุ่มเทคโนยีในจีนต่ำเกินไปให้หันกลับมาสนใจอีกครั้ง หลังจากการเปิดตัวของโมเดล DeepSeek ของจีน ซึ่งเป็น LLM ตัวใหม่ทั้งบน App Store และบนเว็บไซต์
แอปพลิเคชัน DeepSeek สามารถครองอันดับ 1 ในยอดดาวน์โหลดของสหรัฐฯ แซงหน้าคู่แข่งอย่าง ChatGPT โดย Deepseek ถูกขับเคลื่อนด้วยโมเดล Deepseek-V3 ซึ่งเป็นโมเดลแบบ Open Source โดยนักวิจัยของบริษัทเปิดเผยว่า การพัฒนาโมเดลนี้ใช้งบประมาณน้อยกว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าต่ำกว่างบประมาณที่คู่แข่งใช้ในการพัฒนา AI อย่างมาก อีกทั้ง Deepseek ยังมีราคาถูกกว่า ChatGPT ถึง 94%-98% ในขณะที่ Deepseek R1 มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ OpenAI o1 แต่มีต้นทุนการพัฒนาต่ำกว่ามาก
นอกจากนี้ ราคาหุ้นของ Alibaba ได้ปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นนับตั้งแต่ต้นปี โดยเพิ่มขึ้นกว่า 43% หลังจากที่ โจ ไซ ประธานกลุ่มบริษัท Alibaba ได้ประกาศยืนยันความร่วมมือกับ Apple ในการนำเทคโนโลยี AI ของ Alibaba มาพัฒนา iPhone สำหรับตลาดจีน
Finnomena Funds มองการปรับตัวขึ้นครั้งนี้เป็น Sentiment ระยะสั้น และต้องจับตาการพัฒนา AI ของจีน โดยแนะนำเป็นโอกาสลงทุนในระยะสั้น ตามคำแนะนำของ FundTalk Contrarian ในกองทุน MEGA10CHINA-A ซึ่งเน้นลงทุน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ H-Share
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมที่ฟื้นตัวบ้าง แต่ยังต้องใช้เวลาฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจีนในอนาคตระยะยาว ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มขึ้น
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Finnomena Funds แนะนำพอร์ตการลงทุนใหม่ ภายใต้ชื่อ Dynamic Contrarian Model Portfolio (DCM) พอร์ตลงทุนสไตล์ Contrarian คว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ วิเคราะห์แบบอ่านขาดด้วยกลยุทธ์หลักคือ ‘ย่อซื้อ ขึ้นขาย’ เน้นลงทุนในกองทุนรวมหุ้นรายประเทศ หรือกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ราคาปรับตัวลดลง หรือ กำลังกลับเข้าสู่ขาขึ้น รวมถึงใช้หลักการเดียวกันในการเข้าลงทุนตราสารหนี้ และหลักทรัพย์ทางเลือก
กลยุทธ์การลงทุนของ DCM จะเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมา โดยสินทรัพย์ที่จะเข้าซื้อจะต้องเป็นสินทรัพย์มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ราคาในระยะสั้นมีปรับตัวลดลง หรือปรับตัวขึ้นน้อยกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ มี Valuation ในระดับที่ถูก และมีการขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวขึ้น หรือ Valuation มีการตึงตัว และมีการควบคุมความเสี่ยงโดยรวมด้วยการรักษาวินัยในการตัดขาดทุน (Cut Loss) เป็นพอร์ตลงทุนที่มีการปรับพอร์ตรวดเร็ว Dynamic ตามสถานการณ์ มีการรักษาวินัยการลงทุน ทั้ง Take Profit และ Stop Loss เมื่อเห็นว่าภาพรวมของสินทรัพย์นั้น ๆ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ยาก
พอร์ตลงทุนนี้ตอบโจทย์นักลงทุนที่มีกรอบเวลาการลงทุนตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ชอบลงทุนในสไตล์ Contrarian รับความเสี่ยงได้สูง และมีความ Active ในการปรับพอร์ตลงทุนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยพอร์ตนี้จะคาดหวังผลตอบแทนที่ 8% ต่อปี (ไม่ใช่การการันตี) และมีการทบทวนสัดส่วนรายเดือนหรือตามสถานการณ์ มีเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกอยู่ที่ 2 ล้านบาท และครั้งถัดไปอยู่ที่ 25,000 บาท
ในปี 2024 ที่ผ่านมา Finnomena Funds ได้มีการออกคำแนะนำ FundTalk Call ซึ่งใช้แนวคิด “สวนกระแสตลาด” และออกคำแนะนำการลงทุนแบบ FundTalk the Contrarian Portfolio โดยนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดเป็นพอร์ตลงทุนให้กับนักลงทุนของ Finnomena สามารถลงทุนตามได้ด้วยตนเอง ผ่านแผนการลงทุน DIY โดยนับตั้งแต่เริ่มต้นคำแนะนำเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2024 จนถึงวันที่ 12 ธันวาคม 2024 FundTalk the Contrarian Portfolio มีผลตอบแทนอยู่ที่ 11.05%
อ่านมุมมองการลงทุน และสัดส่วนการลงทุนที่อัปเดตล่าสุด คลิกเลย
สนใจลงทุนในพอร์ต Dynamic Contrarian Model Portfolio คลิกเลย
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT
– ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่อไปได้ นำโดยสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ยุโรปและจีนอาจเจอแรงกดดันเรื่องสงครามการค้า และปัญหาภายใน เช่น อสังหาริมทรัพย์ ความมั่นใจของผู้บริโภค และความมั่นใจของนักลงทุน เงินเฟ้อทั่วโลกยังอยู่ในแนวโน้มขาลง โดยเฉพาะในส่วนของประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นขาลง โดยยุโรปอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้แรง และเร็วกว่าสหรัฐฯ
– เราปรับมุมมองหุ้นสหรัฐฯ จากเป็นกลาง (Neutral) ขึ้นสู่เชิงบวกเล็กน้อย (Slightly Positive) จากภาพรวมเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งกว่าคาด โดยเฉพาะภาคแรงงานและภาคการบริโภค ในขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลงในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า จึงทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2025 อีก 2 รอบ ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มประกาศออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯยังอยู่ในระดับตึงตัว เราจึงแนะนำ Selective Buy โดยเน้นไปที่หุ้นเล็ก หุ้นคุณภาพ หรืออุตสาหกรรมที่ยัง Laggard อย่างกองทุน ASP-USSMALL-A AFMOAT-HA
– เรามีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อย (Slightly Positive) ต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยแนะนำทยอยสะสมกองทุน B-INNOTECH และ TISCOAI การมาของ DeepSeek อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนการใช้งาน AI และทำให้การใช้งานขยายตัวมากขึ้น แต่หุ้นกลุ่ม AI ต้นน้ำอย่าง Semiconductor อาจเผชิญแรงกดดัน เนื่องจาก DeepSeek ไม่ต้องใช้ GPU ระดับสูง และแนวโน้มที่ชะลอตัวของกลุ่มนี้ ด้านกลุ่ม AI Platform และเจ้าของ Large Language Model (LLM) สามารถต่อยอดพัฒนาโมเดลใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจ cloud และ AI เติบโต ขณะที่กลุ่ม AI Apps และผู้ใช้งาน LLM จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ถูกลง และอาจพัฒนาโมเดลของตัวเองได้ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจาก AI
– เรายังคงมุมมองเชิงลบเล็กน้อย (Slightly Negative) ต่อหุ้นยุโรปโดยแนะนำทยอยลดสัดส่วน จากการที่เศรษฐกิจภายในยังอ่อนแอ โดยเฉพาะประเทศหลักอย่าง เยอรมันและฝรั่งเศส จึงอาจทำให้เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวช้าโดยเฉพาะภาคการผลิต ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทมีทิศทางทรงตัว สวนทางการดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นปรับขึ้นมาอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี
– เรายังคงมุมมองเชิงลบเล็กน้อย (Slightly Negative) ต่อหุ้นญี่ปุ่นแนะนำทยอยลดสัดส่วน จากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีโอกาสใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นในอนาคตจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีโอกาสแคบลงอาจทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นซึ่งจะส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นญุี่ปุ่น
– เราปรับมุมมองหุ้นจีนจากเชิงลบเล็กน้อย (Slightly Negative) ขึ้นสู่ระดับเป็นกลาง (Neutral) โดยแนะนำเก็งกำไรระยะสั้นผ่านกองทุน MEGA10CHINA-A แม้ภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะราคาบ้านยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่ปริมาณการทำธุรกรรมอสังหาฯ เริ่มฟื้นตัวขึ้นภายช่วง Golden week นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ได้แย่อย่างที่คาดหลังรายงาน GDP 4Q24 สูงกว่าคาด ด้านการปรับประมาณการกำไรตลาดหุ้นจีน H-shares มีทิศทางที่แข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นจีน A-shares ขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับถูก นอกจากนี้ยังมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า ETF หุ้นจีนต่อเนื่อง
– เราปรับคำแนะนำหุ้นอินเดียจากเชิงบวกเล็กน้อย (Slightly positive) ลงสู่ระดับเป็นกลาง (Neutral) โดยแนะนำถือหรือสัดส่วนกองทุน TISCOINA-A และ B-BHARATA หลังทิศทางเศรษฐกิจเริ่มสะดุดในช่วงสั้นๆ จากภาคการบริโภคและการเบิกจ่ายภาครัฐฯ ที่ชะลอลง แต่แนวโน้มระยะยาวเศรษฐกิจอินเดียยังมีศักยภาพเติบโตสูงเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นถูกปรับลงเนื่องจากกลุ่มธนาคารปล่อยสินเชื่อชะลอลงเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน อย่างไรก็ดี Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียเริ่มน่าสนใจมากขึ้น หลัง Valuation กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี
– คงมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อหุ้นเกาหลี โดยแนะนำถือกองทุน SCBKEQTG และ DAOL-KOREAEQ โดยความกังวลจากการเมืองในประเทศที่ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ภาคการส่งออกขยายตัวแต่ชะลอเพื่อเข้าสู๋ระดับปกติมากขึ้น นอกจากนี้มีรายงานระบุว่า Samsung ได้รับการอนุมัติจาก Nvidia ให้จัดหาชิป HBM3E แล้ว ในอนาคตผู้ผลิต memory chip จะได้อานิสงส์จากการประมวลผล Large Language Model (โมเดลภาษาขนาดใหญ่) ที่อาจมี memory requirement ที่เพิ่มสูงขึ้นไปอีก
– คงมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อตลาดหุ้นไทย แนะนำกลยุทธ์แบบ Selective โดยเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญอย่างภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังเน้นการฟื้นฟูภาคการบริโภค ท่าทีนโยบายการเงินยังเป็นกลาง และเน้นย้ำเรื่อง policy space เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต ด้านประมาณการกำไรตลาดหุ้นถูกปรับลงต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับถูกมาก Fund flow ยังไหลออกต่อเนื่องตามทิศทางหุ้น EM แต่เริ่มมีสัญญาณจาก market breadth บ่งชี้ถึงการรีบาวด์ระยะสั้น
– คงมุมมองเชิงบวกเล็กน้อย (Slightly Positive) ต่อหุ้นเวียดนาม โดยแนะนำทยอยสะสม ผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A และ KKP VGF-UI* รัฐบาลมีเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่ชัดเจน รวมถึงมีแผนดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในระยะสั้นทั้งการบริโภค การผลิต และการส่งออกมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นต่อเนื่อง แต่เวียดนามยังมีความท้าทายเรื่องมาตรการกัดกันทางการค้า นอกจากนี้รัฐบาลยังเน้นย้ำเป้าหมายการ upgrade ตลาดหุ้นเป็น Emerging Market ภายในปี 2025 ประมาณการกำไรของตลาดหุ้นยังทรงตัว ขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับถูก Fund flow ของตลาดหุ้นเริ่มกลับมาในช่วงสั้นๆ หลังจากไหลต่อเนื่องตามตลาดหุ้น EM
*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
จีนกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว เมื่อ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple (AAPL) และ BYD (81211) เดินหน้านำ AI จีนมาใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตนเอง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ AI ของจีนที่ไม่เพียงแข่งขันได้ แต่อาจกลายเป็นผู้นำโลกในอนาคต
Apple ตัดสินใจร่วมมือกับ Alibaba เพื่อนำ AI ไปใช้ใน iPhone ที่จะขายในจีน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ Apple สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศที่มีการแข่งขันด้าน AI สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย Joe Tsai ประธาน Alibaba Group กล่าวในงาน World Governments Summit ที่ดูไบว่า
Apple ต้องการใช้ AI ของเราเพื่อเสริมพลังให้กับ iPhone
การจับมือกันครั้งนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Alibaba และ Apple พุ่งขึ้นทันที โดยหุ้น Alibaba ที่จดทะเบียนในฮ่องกงแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2022 โดยทำผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) มากกว่า 40%
ขณะที่ Huawei และแบรนด์สมาร์ทโฟนจีนอื่น ๆ เริ่มเปิดตัวฟีเจอร์ AI ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ Apple กลับมีความล่าช้าในการเปิดตัว Apple Intelligence ในจีน เนื่องจากเผชิญข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ ซึ่งการเป็นพันธมิตรกับ Alibaba อาจช่วยให้ Apple สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐบาลจีนได้ง่ายขึ้น
ขณะที่ AI กำลังถูกนำไปใช้ในสมาร์ทโฟน BYD ก็กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์จีนด้วย AI ขับขี่อัตโนมัติ โดยจับมือกับ DeepSeek บริษัท AI ชั้นนำของจีนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ “God’s Eye” ซึ่งจะถูกติดตั้งในรถทุกระดับ ตั้งแต่รุ่นหรู YangWang ไปจนถึงรถราคาประหยัด
โดยระบบ God’s Eye จะใช้สถาปัตยกรรม Xuanji ซึ่งรวมชิปประมวลผล AI บนรถ, AI บนคลาวด์ และเซ็นเซอร์ขั้นสูงเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบขับขี่อัตโนมัติ
ในทางกลับกัน Tesla (TSLA) กำลังเผชิญอุปสรรคด้านกฎระเบียบในจีน โดย Elon Musk ยอมรับว่า Tesla ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดใช้งานระบบ Full Self-Driving (FSD) ในจีน เนื่องจากข้อจำกัดในการถ่ายโอนข้อมูลวิดีโอออกนอกประเทศ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่อนุญาตให้ทำการฝึก AI ในจีน ทำให้ Tesla ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
การที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ BYD เดินหน้านำ AI จีนมาใช้งานในอุตสาหกรรมของตนเอง ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงศักยภาพของจีนในการแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก แต่ยังเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มรูปแบบ และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจจีนในยุคถัดไป
ไม่ว่าการแข่งขัน AI จะลงเอยอย่างไร แต่แนวโน้มที่ชัดเจนคือ AI จะเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้ และบริษัทที่ปรับตัวได้เร็วอาจกลายเป็นผู้นำในโลกยุค AI ที่กำลังจะมาถึง
กองทุน MEGA10CHINA-A เป็นกองทุนหุ้นจีน 10 ตัวใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งรวมเอาหุ้น Big Tech จีนมาไว้ด้วยกัน และส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทเทคโนโลยีแนวหน้า เช่น Tencent, Alibaba, Meituan, NetEase และ JD เป็นต้น โดยคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากกระแส AI Boom ในจีน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ AI ในสหรัฐฯ
อ้างอิง: CNBC, Yahoo Finance
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ตลาดหุ้นยุโรปทำระดับสูงสุดตลอดกาลได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ แม้จะยังคงมีความท้าทายเกี่ยวกับข้อมูลเงินเฟ้อและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็ตาม
แรงหนุนสำคัญของหุ้นยุโรปมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทบางแห่ง เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นอาหารและเครื่องดื่ม
ทำให้ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (YTD as of 13/02/2025) EURO STOXX 50 ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 10.72%
Source: Finnomena Funds as of 03/02/2025
อย่างไรก็ตาม Finnomena Funds ยังคงมีมุมมอง Slightly Negative และแนะนำให้ทยอยลดสัดส่วนในหุ้นยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ยังมีโอกาสได้รับผลกระทบจากกําแพงภาษี ขณะเดียวกัน ECB เจอความท้าทายเรื่องการลดดอกเบี้ยต่อหรือค้างดอกเบี้ย
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา วงการเทคโนโลยีและการลงทุนทั่วโลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงสำคัญ เมื่อ DeepSeek สตาร์ทอัพจากจีนเปิดตัวโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ ส่งผลให้เกิดการประเมินมูลค่า (Revaluation) หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกครั้งใหญ่
หุ้นเทคในสหรัฐฯ มี่ทั้งปรับตัวขึ้นและลง แต่หนักที่สุด คือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Nvidia ที่มูลค่าตลาดลดลงถึง 17% ในวันเดียว คิดเป็นมูลค่ากว่า 5.9 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าหุ้นไทยทั้งตลาด เป็นบทเรียนแรกที่นักลงทุนไทย ต้องทำความเข้าใจในปี 2025
เรื่องที่ต้องรู้คือ AI เปลี่ยนโลกแน่ แต่การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เป็นเส้นตรง หรือโค้งขึ้น Exponential เหมือนที่ผู้นำในอุตสาหกรรมมักบอกกับเรา
เรื่องเล่าที่เราได้ยินแทบทุกวันคือ AI จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ดังนั้นใครที่มีเครื่องมือ AI ประสิทธิภาพสูงกว่าจะยิ่งได้เปรียบกว่า
คุณ Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft เคยเล่าเพิ่มไปอีกว่า AI จะก่อให้เกิด Jevons Paradox ในอุตสาหกรรมเทคฯ แปลเป็นความหมายที่เข้าใจง่ายได้ว่า แม้เทคโนโลยีทำให้มนุษย์ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ท้ายที่สุด ความต้องการเทคโนโลยีจะสูงมาก จนส่งผลให้ปริมาณความต้องการทรัพยากรโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าที่จะลดลง
แต่ DeepSeek ลบเรื่องเล่าทั้งสองอย่างรวดเร็ว ด้วยการแสดงให้เห็นว่า การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการพัฒนา AI อาจไม่ต้องการทรัพยากรที่สูงขึ้นเสมอไป
ต่อจากนี้ บริษัทผู้นำด้าน AI จึงจะต้องพิจารณาแนวทางใหม่ในการพัฒนาด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะเน้นทุ่มเงินลงทุน และหวังเพียงผลลัพธ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้น
ประเด็นต่อมาคือ DeepSeek เปลี่ยนธุรกิจ AI และทำให้ตลาดต้องปรับแนวคิดใหม่
ผมเคยให้มุมมองเชิงกลยุทธ์สำหรับการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีไว้ว่า
เงินลงทุนจะเริ่มจากการกระจุกตัวใน Pioneers (นักบุกเบิก) ต่อจากนั้นจะเคลื่อนตัวไปยัง Enablers (ผู้เปิดทาง) ก่อนที่จะกระจายตัวไปสู่ Adaptors (นักประยุกต์) และท้ายที่สุดผู้ที่จะทำกำไรต่อขนาดมากที่สุดจะเป็น Performers หรือนักสร้างสรรค์
แต่ปี 2024 เป็นปีที่ตลาดวนเวียนอยู่กับนักบุกเบิกเช่น Nvidia และ OpenAI และผู้เปิดทางยักษ์ใหญ่กลุ่ม Magnificent 7 เป็นหลัก
ส่วนตัวผมมองว่า ต่อให้มีบริษัทเทคฯ ขนาดเล็กในสหรัฐที่ทำประสิทธิภาพได้ดีเหมือน DeepSeek ตลาดก็อาจไม่ถึงกับเคลื่อนตัวไปสู่นักประยุกต์หรือนักสร้างสรรค์ได้
แต่ DeepSeek ไม่ใช่แค่การพัฒนา หรือแค่ประสิทธิภาพ แต่เป็น “AI จากจีน” ที่ตลาดมองเป็นคู่แข่งหลัก จึงจุดชนวนให้ตลาดตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ จนเกิดการเปลี่ยนกลุ่มการลงทุนทันที
ผมมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นจังหวะแผ่นดินไหว ทำให้เปลือกโลก AI เคลื่อนตัวไปอย่างไม่ย้อนกลับและต่อจากนี้
Pioneers จะไม่สามารถตั้งราคาบริการแพงผิดปรกติได้อีก
Enablers จะไม่สามารถลงทุนมหาศาลโดยไม่สนใจการทำกำไรได้
Adaptors จะมีทางเลือกมากขึ้น และจะยิ่งเห็นตลาดที่เปิดกว้างมากขึ้น
ส่วน Performers จะเกิดขึ้นในอัตราเร่งขึ้น สวนทางกับค่าบริการ AI ลดลง
ท้ายที่สุด ปี 2025 อาจถึงเวลาแล้วที่สิ่งสำคัญของการลงทุนจะเปลี่ยนจาก Growth At Any Cost ไปสู่ Growth At Reasonable Price
ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ม.ค. กลุ่มที่ทำผลตอบแทนแย่ที่สุดคือ หุ้นสหรัฐ Semiconductor และ Energy Infrastructure ส่วนกลุ่มที่ผลตอบแทนดีประกอบด้วย หุ้นยุโรป Communication และ Healthcare
เห็นได้ชัดว่าตลาดขายทำกำไรกลุ่มเติบโต (Growth) และกระจายตัวไปหาหุ้นปลอดภัย สายคุณค่า (Value)
อย่างไรก็ดี ผมมองว่า DeepSeek ไม่ใช่เหตุการณ์ที่สามารถตีความได้ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะกลับทิศ ในทางตรงข้าม ผมกลับมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ตลาดเริ่มต้นปีด้วยการใช้เหตุผลและ Valuation ในการตัดสินใจมากขึ้น
เช่นในกรณีของ Nvidia ผมเชื่อว่าการ Sell-off จะไม่เกิดขึ้นแรงขนาดนี้ ถ้าหุ้นไม่ได้ซื้อขายกันบนระดับราคาต่อยอดขาย (P/S) ที่สูงกว่า 20 เท่า หมายความว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงินซื้อหุ้นของ Nvidia ด้วยราคาที่เท่ากับยอดขายในอนาคต 20 ปีแบบไม่มีต้นทุน ในอดีตไม่มีบริษัทไหนสามารถรักษาระดับราคาสูงแบบนี้ได้ในระยะยาว
ขณะเวลาเดียวกัน เราก็เห็นบริษัทเทคฯ ใหญ่อย่าง Meta ที่วางตัวกว้าง ๆ เป็นทั้ง ผู้เปิดทาง นักประยุกต์ และนักสร้างสรรค์ ด้าน AI ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด แม้ Meta จะลงทุนสูงไม่ต่างจากเพื่อนในกลุ่ม Magnificent 7 แต่ด้วยกลยุทธ์การสร้างธุรกิจที่หลากหลายทำให้มี P/S เริ่มต้นที่ต่ำเพียง 9.5 เท่า เป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้กลายเป็นคำตอบ “ถูกทุกข้อ” ที่มักเป็นเป้าหมายของนักลงทุนในช่วงที่มุมมองของตลาดกำลังเปลี่ยนแปลง
DeepSeek เป็นบทเรียนแรกของปีที่กำลังบอกเราว่า การแข่งขันด้านเทคโนโลยียังไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง การแข่งขันจะยิ่งร้อนแรงขึ้น การกระจุกตัวของตลาดจะเปลี่ยนจากโอกาสเป็นความท้าทาย และการประเมินมูลค่าของบริษัทยังมีความสำคัญ
แม้ว่าธุรกิจดีแค่ไหน แต่ระดับราคาสูงเกินไป ก็อาจไม่ใช่การลงทุนที่ดีได้เหมือนกันครับ
ราคาหุ้น Nvidia ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านช่วงเหตุการณ์ DeepSeek
ที่มา: Bloomberg และ FSS
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์