แจ้งเตือน

รู้จัก Trillion Dollar Club บริษัทล้านล้านเหรียญ

Park Kathawut
Trillion Dollar Club

Trillion Dollar Club คือชื่อเรียกของบริษัทชั้นนำของโลก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) เกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 35 ล้านล้านบาท 

พูดอีกอย่างคือเป็นกลุ่มบริษัทซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของตลาดทุน และเศรษฐกิจโลก เพราะตัวเลข 1 ล้านล้านดอลลาร์ นั้นสูงกว่าทั้งมูลค่า SET Index รวมทั้งมูลค่าเศรษฐกิจไทย ที่อยู่ประมาณ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

วันนี้เราจึงได้สรุป 5 บริษัท Trillion Dollar Club (อัปเดตข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2023) พร้อมเกร็ดข้อมูลธุรกิจสนุก ๆ มาฝากกัน

1. Apple (AAPL)

ผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPhone iPad Mac รวมถึงระบบปฏิบัติการ iOS

Fun Facts

  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq สหรัฐฯ
  • มูลค่าบริษัท ณ ปัจจุบัน $2.83 Trillion
  • มูลค่าบริษัทที่เคยขึ้นจุดสูงสุด $2.94 Trillion
  • เข้าร่วม Trillion Dollar Club ครั้งแรกเมื่อสิงหาคม 2018
  • ใช้เวลา 44 ปีหลัง IPO กว่าจะมีมูลค่าแตะ $1 Trillion

2. Microsoft (MSFT)

ผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายซอฟแวร์สำหรับการทำงาน Microsoft Office และระบบปฏิบัติการ  Windows นอกจากนี้ ยังได้เข้าลงทุนในบริษัท OpenAI เจ้าของ ChatGPT อีกด้วย

Fun Facts

  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq สหรัฐฯ
  • มูลค่าบริษัท ณ ปัจจุบัน $2.47 Trillion
  • มูลค่าบริษัทที่เคยขึ้นจุดสูงสุด $2.94 Trillion
  • เข้าร่วม Trillion Dollar Club ครั้งแรกเมื่อเมษายน 2019
  • ใช้เวลา 33 ปีหลัง IPO กว่าจะมีมูลค่าแตะ $1 Trillion

3. Saudi Aramco (2222 : Tadawul)

บริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยดำเนินธุรกิจปิโตรเลียมครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำอย่างการสำรวจและขุดเจาะ กลางน้ำอย่างโรงกลั่น ไปจนถึงปลายน้ำอย่างปิโตรเคมี

Fun Facts

  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น Tadawul ซาอุดีอาระเบีย
  • มูลค่าบริษัท ณ ปัจจุบัน $2.06 Trillion
  • มูลค่าบริษัทที่เคยขึ้นจุดสูงสุด $2.45 Trillion
  • เข้าร่วม Trillion Dollar Club ครั้งแรกเมื่อธันวาคม 2019
  • มีมูลค่าแตะ $1 Trillion ทันทีหลัง IPO

4. Alphabet (GOOGL)

บริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นในธุรกิจหลักอย่าง Google ผู้ให้บริการเสิร์ชเอนจินเบอร์หนึ่งของโลก แพลตฟอร์มวิดีโอ YouTube และระบบปฏิบัติการ Android

Fun Facts

  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq สหรัฐฯ
  • มูลค่าบริษัท ณ ปัจจุบัน $1.58 Trillion
  • มูลค่าบริษัทที่เคยขึ้นจุดสูงสุด $1.98 Trillion
  • เข้าร่วม Trillion Dollar Club ครั้งแรกเมื่อกรกฎาคม 2020
  • ใช้เวลา 22 ปีหลัง IPO กว่าจะมีมูลค่าแตะ $1 Trillion

5. Amazon (AMZN)

ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอีคอมเมิร์ช และให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง Amazon Web Services (AWS)

Fun Facts

  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq สหรัฐฯ
  • มูลค่าบริษัท ณ ปัจจุบัน $1.26 Trillion
  • มูลค่าบริษัทที่เคยขึ้นจุดสูงสุด $1.88 Trillion
  • เข้าร่วม Trillion Dollar Club ครั้งแรกเมื่อเมษายน 2020
  • ใช้เวลา 26 ปีหลัง IPO กว่าจะมีมูลค่าแตะ $1 Trillion

หมายเหตุ : อ้างอิงมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2023

Trillion Dollar Club

อย่างไรก็ตาม มีหลายบริษัทที่มีโอกาสเข้ามาสัมผัสทำเนียบ Trillion Dollar Club แต่ไม่สามารถยืนระยะได้อย่างมั่นคง 

ล่าสุดก็คือกรณีของ Nvidia (NVDA) ผู้ผลิตชิป GPU ที่มีแรงหนุนจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI จนสร้างปรากฎการณ์มีมูลค่าตลาดเกิน $1 Trillion ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2023 แต่สุดท้ายราคาก็ค่อย ๆ ปรับตัวลดลง จนหลุดตำแหน่งในที่สุด

เช่นเดียวกันบริษัทระดับโลกอีกหลายแห่ง เช่น Tesla (TSLA), Meta Platforms (META) และ Petro China (0857 : HK) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีมูลค่าพีททะลุ $1 Trillion

รวมถึงตัวแทนจากจีนอย่าง Tencent และ Alibaba ครั้งนึงก็เคยมีลุ้นเข้ามาทำเทียบบริษัทล้านล้านเหรียญ แต่ก็ได้เพียงเฉียดไปเฉียดมา พอให้นักลงทุนได้ลุ้นกันเป็นระยะ 

สรุปบริษัทที่เคยเข้าร่วม Trillion Dollar Club ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

บริษัท วันที่เข้าร่วม มูลค่าสูงสุดที่เคยไปถึง
Apple Aug 2018 $2.94
Microsoft Apr 2019 $2.58
Aramco Dec 2019 $2.45
Alphabet Jul 2020 $1.98
Amazon Apr 2020 $1.88
Meta Jun 2021 $1.07
Tesla Oct 2021 $1.23
Nvidia May 2023 $1.02

แหล่งข้อมูล

รวม 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนปี 2023

FINNOMENA
รวม 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนปี 2023

กองทุนไหนดี? รวบรวม 10 อันดับกองทุนผลตอบแทนดีในแต่ละเดือนของปี 2566 มาไว้ที่นี่แล้ว!

สารบัญ

รับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service

10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมกราคม 2023

รวม 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนปี 2023

คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: ASP-DIGIBLOC, KFINNO-A, TMB-ES-INTERNET, T-ES-GINNO, TMB-ES-GINNO, SCBNEXT(A), SCBINNO(A), ONE-GECOM, SCBFINTECH(A), TMB-ES-FINTECH

10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2023

รวม 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนปี 2023

คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: MEGA10-A, BCAP-DISRUPT, KT-WTAI-A, TNEXTGEN-A, SCBFST, ABAG, TCYBER, T-ES-GTECH, KWI EE EURO, KF-EUROPE

อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน MEGA10: โอกาสลงทุนใน 10 บริษัท ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมีนาคม 2023

รวม 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนปี 2023

คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: DAOL-GOLD, LHESPORT-A, LHESPORT-D, DAOL-PLAY, SCBGOLDH, KT-PRECIOUS, UOBSG – H, PRINCIPAL IGOLD-A, K-GOLD-C(A), KF-HGOLD, KT-GOLD

10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนเมษายน 2023

รวม 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนปี 2023

คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: ONE-GLOBFIN-RD, ONE-GLOBFIN-RA, ASP-DIGIBLOC, ASP-OIL, KT-ENERGY, TUSOIL, TOIL6, TFINTECH, KWI EE EURO, I-OIL, KT-OIL

10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนพฤษภาคม 2023

รวม 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนปี 2023

คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: KKP SEMICON-H, SCBSEMI(A), KFGTECH-A, KKP TECH-H, ONE-METAVERSE, ASP-DIGIBLOC, ES-USTECH, M-META, KKP NDQ100-H, K-USXNDQ-A(A), K-USXNDQ-A(D)

สามารถกรองการจัดอันดับได้เอง พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่ FINNOMENA Fund Filter

รับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/finnomena-x-service


คำเตือน

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน  จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

สรุปกองทุนรวมตลาดเงินผลตอบแทนดี ประจำสัปดาห์ (27 พ.ค. – 2 มิ.ย. 66)

premiums
สรุปกองทุนรวมตลาดเงินผลตอบแทนดี ประจำสัปดาห์ (27 พ.ค. - 2 มิ.ย. 66)

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 27 พ.ค. – 2 มิ.ย. 2566 กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) กองไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่นชนะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากบ้าง? บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ

5 อันดับ กองทุนรวมตลาดเงินผลตอบแทนดี ประจำสัปดาห์ (27 พ.ค. – 2 มิ.ย. 66)

สรุปกองทุนรวมตลาดเงินผลตอบแทนดี ประจำสัปดาห์ (27 พ.ค. - 2 มิ.ย. 66)

1. TISCOSTF – กองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรระยะสั้น

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ (เฉลี่ยต่อปี): +1.64%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือน (เฉลี่ยต่อปี): +1.37%

ซื้อกองทุน TISCOSTF คลิก

2. MMGOVMF – กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน ชนิดเพื่อการลงทุน

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ (เฉลี่ยต่อปี): +1.55%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือน (เฉลี่ยต่อปี): +1.38%

ซื้อกองทุน MMGOVMFลิ

3. TCMFENJOY – กองทุนเปิด ไทย แคช แมเนจเม้นท์ เอ็นจอย 

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ (เฉลี่ยต่อปี): +1.50%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือน (เฉลี่ยต่อปี): +1.60%

4. TCMF – กองทุนเปิด ไทย แคช แมเนจเม้นท์ ชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ (เฉลี่ยต่อปี): +1.46%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือน (เฉลี่ยต่อปี): +1.53%

ซื้อกองทุน TCMF คลิก

5. BCAP-MONEY – กองทุนเปิดบีแคป มันนี่ มาร์เก็ต

ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์ (เฉลี่ยต่อปี): +1.46%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือน (เฉลี่ยต่อปี): +1.61%

ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 5 อันดับเพิ่มเติม: TISCOSTF, MMGOVMF, TCMFENJOY, TCMF, BCAP-MONEY

หมายเหตุ: ข้อมูลมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) อัปเดตล่าสุด ณ วันที่ 1 มิ.ย. 2566 จาก Morningstar ทั้งนี้ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) สามารถดูรายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ finnomena.com/fund

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนรวมตลาดเงิน


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้น 2.14% หลัง PMI จีนดีกว่าคาด ฟื้นความมั่นใจ

FINNOMENA Investment Team
FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้น 2.14% หลัง PMI จีนดีกว่าคาด ฟื้นความมั่นใจ

เช้านี้ (2 มิถุนายน 2023) ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นกว่า 2% ตามทิศทางการปรับตัวขึ้นของดัชนี S&P 500 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น 0.99% จากความคาดหวังการผ่านร่างงบประมาณที่คาดว่าจะสิ้นสุดได้ก่อนวันที่ 6 มิถุนายน ขณะที่ดัชนี STOXX50 ตลาดหุ้นยุโรป ปรับตัวขึ้น 0.94% จากตัวเลขเงินเฟ้อ 6.1% YoY ต่ำกว่าคาดการณ์นักวิเคราะห์ที่ 6.3% ช่วยลดแรงกดดันความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป

นอกจากนั้นแล้วยังได้แรงหนุนจาก Caixin Manufacturing PMI ที่ยังอยู่ในโซนขยายตัวที่ 50.9 มากกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 50.3 และกลับมาขยายตัวจากเดือนที่ผ่านมาที่ 49.5 สวนทางดัชนี Manufacturing PMI ที่จัดทำโดยศูนย์ข้อมูลการขนส่งของจีนที่ประกาศออกมาในวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ออกมาที่ระดับ 48.8 ทำให้ตลาดกลับมามีความมั่นใจมากขึ้น

โดยเมื่อพิจารณาในรายอุตสาหกรรม พบว่ากลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดเป็นกลุ่ม Technology ที่ปรับตัวขึ้น 2.81% กลุ่ม Consumer Cyclicals ปรับตัวขึ้น 3.30% และ Financials ปรับตัวขึ้น 1.65%

FINNOMENA Investment Team มองว่าในช่วงสั้นแนวโน้มเศรษฐกิจจีนเริ่มสะดุดจากการฟื้นตัวไม่เต็มของภาคการบริโภค ซึ่งสะท้อนจากความมั่นใจผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐยังไม่มีความชัดเจนเนื่องจากระดับหนี้ของจีนที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่เราคาดว่าในระยะถัดไปเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวได้ต่อหลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางฟื้นตัวมากขึ้นหลังยกเลิกมาตรการ Zero Covid และการฟื้นตัวของการบริโภคในจีนที่จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

โดยดัชนีหุ้น All China มี Valuation ลดลงมาต่ำกว่า -1 S.D. และดัชนี Hang Seng ปรับตัวลงมากว่า -2 S.D. เมื่อเทียบกับหุ้นโลก เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาลงมาในจุดที่ Valuation น่าสนใจ อีกทั้งเศรษฐกิจจีนยังมี upside ให้ฟื้นตัว

——————-

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน

News Update: นักวิเคราะห์มองหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสบวกอีก 10% แม้ทำจุดสูงสุดรอบ 33 ปีแล้ว มองราคายังไม่แพง P/BV แค่ 1.3 เท่า เทียบกับ S&P 500 ที่ 4 เท่า

THE OPPORTUNITY
News Update: นักวิเคราะห์มองหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสบวกอีก 10% แม้ทำจุดสูงสุดรอบ 33 ปีแล้ว มองราคายังไม่แพง P/BV แค่ 1.3 เท่า เทียบกับ S&P 500 ที่ 4 เท่า

หุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสพุ่งขึ้นอีก 10% หลังจากเพิ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ท่ามกลางแรงหนุนจากกำไรที่เติบโต การซื้อหุ้นคืน และการประเมินมูลค่าที่ไม่แพง

มุมมองจาก CLSA Securities Japan และ Monex มองว่า แนวโน้มกำไรบริษัทที่ดี การปรับปรุงบรรษัทภิบาล รวมถึงการสนับสนุนครั้งใหม่ของนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett เป็นตัวเร่งให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งทะยาน

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทในดัชนี Topix จะเพิ่มขึ้นประมาณ 6% ในปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2024  

Takashi Hiroki หัวหน้านักกลยุทธ์ของ Monex โบรกเกอร์ออนไลน์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่นให้สัมภาษณ์ว่า แนวโน้มกำไรของบริษัทญี่ปุ่นดูดี มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวขาเข้าที่เพิ่มขึ้น ส่วนธนาคารขนาดใหญ่ก็มีแนวน้มที่กำไรจะโตอีก 10% หรือมากกว่านั้นภายในสิ้นปีนี้

แม้จะแตะระดับสูงสุดในรอบ 33 ปี แต่นักวิเคราะห์มองว่า ราคาหุ้นญี่ปุ่นถือว่าไม่แพง เมื่อพิจารณาจาก P/BV หรืออัตราส่วนราคาตลาดของหุ้น หารกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นที่ 1.3 เท่า เทียบกับ ดัชนี S&P 500 ที่ 4 เท่า และ Stoxx Europe 600  ที่ 1.8 เท่า

การประเมินมูลค่าที่ถูกคือเหตุผลหลักที่ Nicholas Smith นักยุทธศาสตร์ของ CLSA คาดการณ์ว่า ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นอีก 10%

Bruce Kirk หัวหน้านักยุทธศาสตร์หุ้นของญี่ปุ่นของ Goldman Sachs Group ก็ Bullish ในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเช่นกัน โดยมองว่า ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างผลประโยชน์ของรัฐบาล ผู้กำกับดูแล และตลาดอยู่ในจุดที่เหมาะสม 

หลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงแรงเมื่อวันที่ 15 มี.ค. Topix เป็นดัชนีที่ทำผลตอบแทนได้มากสุดในตลาดหลัก โดย Topix บวกขึ้นมา 8.5% ส่วน S&P 500 +5.6% ส่วน MSCI Asia Pacific เพิ่มขึ้นมา 3.4% 

ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-16/asia-beating-japan-stocks-seen-rising-10-more-on-earnings-boost?sref=e4t2werz

——————-

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน

Global Aggressive Hybrid ปรับพอร์ตประจำเดือนมิถุนายน 2023: ยังคงกลยุทธ์ Blend แต่เพิ่ม hedging recession

WealthGuru
Global Aggressive Hybrid ปรับพอร์ตมิถุนายน

ก่อนจะอ่านบทความนี้ ขอให้อ่านบทความ เปิดเผยผลวิจัยการลงทุน ใครชนะ ใครแพ้ในรอบ 10 ปี !!!!!!!! ก่อน

ผลดำเนินการของ Global Asset ตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2023

Global Aggressive Hybrid ปรับพอร์ตมิถุนายน

Global Aggressive Hybrid ปรับพอร์ตมิถุนายน

Figure 1: ผลทดสอบจาก portfoliovisualizer.com ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2023

ข้อสังเกต

  • กลุ่มยุโรป ฟื้นตัวต่างจากนักวิเคราะห์คาดการณ์
  • กลุ่มจีน ไม่ได้ดีอย่างที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
  • เกิด Sector Rotation โดยกลุ่มหุ้นเติบโต เช่น technology หรือ consumer discretionary จะนำกลุ่ม value เช่น Consumer Staple และ Healthcare 

ผลดำเนินการของ Fund ใน Watch-list ในช่วง 5 ปีที่ผ่าน

Global Aggressive Hybrid ปรับพอร์ตมิถุนายน

Figure 2: จาก Fund Factsheet ของแต่ละกองทุน ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2023

Global Aggressive Hybrid ปรับพอร์ตมิถุนายน

Figure 3: จาก Fund Factsheet ของแต่ละกองทุน ณ วันที่ 20 มิถุนายน  2023

ยังคงกลยุทธ์ Blend แต่เพิ่ม hedging recession

Global Aggressive Hybrid ปรับพอร์ตมิถุนายน

  • ยังเน้นผสม Value Style และ Growth Style เพื่อไม่พลาดโอกาสตอนตลาดฟื้นตัว และไม่เสียหายมากตอนตลาดเกิด Recession โดยสัดส่วน Growth Style (K-USXNDAQ-A, T-PREMIUM BRAND ,SCBSEMI(A), B-INNOTECH ต่อ Value Style (SCBPGF, TISCOGC, KFHEALTH-A) อยู่ที่ 40% ต่อ 40% เท่ากัน
  • เพิ่มการ Hedging Recession  โดย
    • ขาย TMBGINFRA 10% แล้วไปซื้อทองคำ กองทุน SCBGOLD
    • ขาย KFVIET-A 5% ไปซื้อกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare กองทุน KFHEALTH-A เพิ่มจากเดิม 10% เป็น 15%

สนใจลงทุนในพอร์ต Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้เงินสร้างความมั่งคั่งในอนาคต สามารถสร้างแผนได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-wealthguru-hybrid-create/

WealthGuru


โปรดทราบ สำหรับลูกค้าฟินโนมีนาที่ลงทุนใน FINNOMENA PORT และได้รับบทความนี้ แต่ยังไม่ได้รับอีเมลและ/หรือ Notification ในการแจ้งสัดส่วนเงินในการเข้าลงทุน อาจเกิดจาก

1) ท่านอยู่ระหว่างการทำรายการซื้อขายกองทุน ซึ่งทางฟินโนมีนาจะแจ้งเตือนอีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์หลังจากการทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้น
2) ท่านมีจำนวนเงินลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำ

หมายเหตุ หากท่านไม่ประสงค์ที่จะรอรับการแจ้งเตือน ท่านสามารถดูรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนที่แนะนำผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของฟินโนมีนาพร้อมปรับพอร์ตเข้าลงทุนได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @FINNOMENAPORT

คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน  โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน  | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Krungsri The Masterpiece อัปเดตมุมมองประจำเดือนมิถุนายน 2023: เน้นลงทุนในกลุ่มหุ้น Defensive

บลจ.กรุงศรี

มุมมองตลาดปัจจุบัน

ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคมได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐ เนื่องจากการเจรจาขยายเพดานหนี้มีความยืดเยื้อ จึงมีแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการที่นาย James Bullard ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ ให้ความว่า เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งสวนทางกับคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าเฟดใกล้จะยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยมีสาเหตุหลักจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองในประเทศ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่น และนโยบายของรัฐบาลใหม่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมและส่งผลลบต่อบางธุรกิจ

ในส่วนของตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายเดือน หลังเจ้าหน้าที่เฟดบางท่านให้ความเห็นสนับสนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยต่อไป เนื่องจากมองว่ามีโอกาสที่เงินเฟ้อจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ คาดว่าในระยะสั้น ตลาดหุ้นจะยังคงได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปัญหาการเมืองภายในประเทศ  อย่างไรก็ดี การที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐใกล้อยู่ที่จุดสูงสุดหรืออาจจะอยู่ที่จุดสูงสุดแล้ว น่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นโดยรวมในระยะถัดไป  ดังนั้น พอร์ตการลงทุนจึงยังคงเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้น defensive เพื่อรอความชัดเจนของทิศทางการดำเนินนโยบายของเฟด และลงทุนในหุ้นจีนซึ่งมีสัญญาณฟื้นตัวหลังการเปิดประเทศ รวมถึงความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน

พอร์ตการลงทุน

ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 26 พฤษภาคม 2023

ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 26 พฤษภาคม 2023

กองทุนแนะนำสำหรับการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์/ภูมิภาค

กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ

KFAFIX-A:

  • กองทุนกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลาง – ยาว  จะยังคงต้องเผชิญกับความผันผวนในระดับสูงต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 จากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทยอยปรับขึ้นอย่างค่อยเป็ยค่อยไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสู่ระดับ 2.00% – 2.25%  ในปีนี้ในขณะที่มีความเป็นได้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯครั้งล่าสุดของ FED สู่ระดับ 5.00-5.25% ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยในแถลงการณ์ภายหลังการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 3 พ.ค. มิได้มีการระบุว่าคณะกรรมการฯเห็นควรให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป อย่างไรก็ตาม FED ยังคงปฏิเสธมุมมองของตลาดที่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังของปี 66 ดังนี้นเพื่อรองรับความผันผวนดังกล่าว ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนยังคงสามารถช่วยลดความผันผวนของตลาดลงได้ โดยคาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนยังคงมีความน่าสนใจสำหรับเงินลงทุนระยะยาวที่ไม่ต้องการสภาพคล่องในระยะสั้น อาทิเช่น กองทุน KFAFIX-A ขั้นต่ำ 1 ปีขึ้นไป โดยปัจจุบันกรอบ Duration เฉลี่ยของกองทุน KFAFIX-A = 1.9 – 3.0 ปี

กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ

KF-SINCOME/ KF-CSINCOM:

  • เนื่องจากผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นมามาก เมื่อเทียบกับตราสารหนี้ระยะยาว กองทุนจึงเน้นลงทุนบนตราสารหนี้ที่มีอายุสั้นลง เพื่อรับประโยชน์ดังกล่าว และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนด้านราคา หากเส้นโค้งอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นปรับตัวลดลงเมื่อเกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

กองทุนตราสารทุนในประเทศ

KFDYNAMIC

  • กองทุนที่เน้นการเฟ้นหาหุ้นที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละภาวะตลาด มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดีในระยะกลางถึงยาว ตามผลการดำเนินของบริษัทฯที่กองทุนคัดเลือกลงทุน

กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ Developed Market Equity

KFGBRAND-A/KFGBRAND-D:

  • กองทุนมีการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง มีรายได้และกำไรเติบโตสม่ำเสมอ ทำให้กองทุนมีความผันผวน และการปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาด ซึ่งเป็นการลงทุนที่เหมาะกับภาวะที่ตลาดยังคงมีความผันผวน

KF-EUROPE/ KFHEUROP-A:

  • ตลาดยุโรปปรับตัวดีขึ้น หลังจากตลาดคลายความกังวลเรื่องสภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มธนาคาร โดยภาพเศรษฐกิจของยุโรปส่งสัญญาณขยายตัวได้ดีกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตาม ทาง ECB ยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจกดดันต่อหุ้นกลุ่มการเติบโตสูง ทั้งนี้ ยังต้องระวังเรื่องราคาพลังงานที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังกลุ่ม OPEC ตัดสินใจลดการผลิต

KFACHINA-A :

  • ตลาดจีนทยอยปรับตัวดีขึ้น โดยนักลงทุนมองว่าภาพเศรษฐกิจจีนจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งตาม เป้าหมายที่วางไว้ที่ 5% ได้ อีกทั้งแรงกดดันในด้านการควบคุม และกำกับดูแลของรัฐบาลจีนในกลุ่มอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีทยอยหมดลง อย่างไรก็ตามตลาดจีนยังคงมีความผันผวน โดยการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนเป็นไป ได้ช้ากว่าที่หลายฝ่ายคาด ส่วนหนึ่งมาจากการมองว่าจีนอาจไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในปีนี้อีกทั้งภาคอสังหาฯเองยังคงเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอยู่

KFHHCARE :

  • กลุ่ม Healthcare ปรับเพิ่มขึ้น ท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวน สะท้อนลักษณะ เฉพาะตัวของกลุ่ม Healthcare ที่มีความเป็นเชิงรับ ซึ่งช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม

KFUSINDX :

  • ตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นหลัง FED มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 25bps ในการประชุมเดือนพฤษภาคมและส่งสัญญาณว่าอาจมีการหยุดการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสำหรับปีนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นเติบโตสูงที่ได้รับแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยมาต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความผันผวนยังคงมีอยู่จากความกังวลในกลุ่มธนาคารขนาดกลางและเล็กในสหรัฐฯ

ที่มา: เอกสารอัปเดตพอร์ต Krungsri The Masterpiece วันที่: 26 พฤษภาคม 2023

คำเตือน  ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้   กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น   กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้  (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย  เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร  0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

รีวิวกองทุน B-ASIA: เกลียวคลื่นการเติบโตแห่งเอเชีย ลงทุนในมหาอำนาจ ทั่วแดนตะวันออก

Finspace

พูดถึงมหาอำนาจหลายคนอาจจะนึกภาพของชาติตะวันตกอย่างสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ในยุโรป แต่เอาเข้าจริงยังมีประเทศอีกมากที่ถือว่าแข็งแกร่งไม่น้อยเลย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องเป็นชาติตะวันตกเสมอไป

“คุณพูดไม่ได้หรอกว่าคุณเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จระดับโลก หากคุณยังไม่ได้ฝากรอยเท้าที่ยิ่งใหญ่ไว้ในเอเชีย”

Parag Khanna ผู้เขียนหนังสือ The Future Is Asian ให้สัมภาษณ์กับ McKinsey & Company

อนาคตคือเอเชีย

แม้จีนจะเป็นประเทศถัดมาที่หลายคนน่าจะนึกถึง หากเราพูดถึงอำนาจหรือเศรษฐกิจ แต่ Khanna ย้ำว่าเอเชียเป็นทวีปที่กว้างขวางที่สุด และเป็นที่อยู่ของผู้คนเกือบ 3 ใน 5 ของโลก พูดง่าย ๆ ก็คือ ถึงจีนจะเป็นมหาอำนาจในเอเชีย แต่ทวีปที่กว้างใหญ่แห่งนี้ก็ไม่ได้มีแค่จีน

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น เอเชียยังมี เกาหลีใต้ เจ้าของบริษัทระดับโลกและมีการส่งออกวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง, ฮ่องกง ศูนย์กลางการเงินที่แม้แต่บริษัทดัง ๆ จากจีนก็ต้องมาจดทะเบียนในตลาดนี้, อินเดีย ที่ปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแทนจีนและแข็งแกร่งมากในด้าน STEM, อินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียนและในบรรดาประเทศมุสลิมทั้งหมด ไปจนถึงสิงคโปร์ ที่เป็นศูนย์กลางการเงินอีกแห่งในเอเชียและผลิตสตาร์ทอัพออกมามากมาย

โอกาสแห่งอนาคตของเอเชียถูกเน้นย้ำให้ชัดเจนขึ้นไปอีกจากเรื่องราวการเติบโตที่กำลังจะมาถึง เพราะสหรัฐฯ และยุโรปจะโตได้ไม่เกิน 2% ต่อปี ในปี 2023 และ 2024 จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สวนทางจีนและอินเดียที่โตได้มากกว่า 4.5% ต่อปีในช่วง 2 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ ถ้ามองภาพให้ใกล้กับปัจจุบันมากขึ้น เศรษฐกิจในฝั่งตะวันออกเดินหน้าฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะหลังจากที่จีนประกาศเปิดประเทศ ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเติบโตของตลาดหุ้นเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในปีนี้ หลังจากได้ปรับฐานลงจากจุดสูงสุดก่อนการระบาดของ Covid-19 จนมีมูลค่าที่น่าสนใจ ในขณะที่ตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกยังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อสูง แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง และการเข้าสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจยุโรป

กองทุน B-ASIA คืออะไร ลงทุนที่ไหน มีกลยุทธ์อย่างไร

กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเอเชีย หรือ B-ASIA เปิดโอกาสการลงทุนในตลาดเอเชียอันร้อนแรงผ่านหน่วยลงทุนของ Invesco Funds – Invesco Asian Equity Fund, Class C (AD) USD (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุน B-ASIA มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลักที่มีนโยบายการดำเนินงานแบบ Active Management

ทั้งนี้ กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทหรือนิติบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะ ดังนี้

  1. จดทะเบียนในประเทศภูมิภาคเอเชีย
  2. จดทะเบียนในประเทศที่อยู่นอกภูมิภาคเอเชียแต่ดำเนินธุรกิจหลักในประเทศภูมิภาคเอเชีย
  3. บริษัทโฮลดิ้งที่มีการลงทุนหลักในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ การลงทุนในแถบภูมิภาคเอเชียดังกล่าวไม่รวมถึงประเทศ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

กลยุทธ์ของกองทุนหลักซึ่งบริหารจัดการโดย Invesco Management SA คือ การสร้างผลตอบแทนระยะยาวในตลาดเอเชียด้วยการเสาะหาบริษัทที่มีรูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน สร้างเงินสดเก่ง มีงบดุลแข็งแกร่ง แต่อาจอยู่นอกความสนใจของตลาดชั่วครั้งชั่วคราว แล้วเข้าซื้อในราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุด

ชนะขาดด้วยผลงานจับต้องได้

Invesco Asian Equity Fund เป็นกองทุนที่มีผลงานน่าประทับใจ ได้เรตติ้งระดับ 5 ดาวจาก Morningstar นอกจากนี้ กองทุนหลักยังสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าดัชนี MSCI AC Asia ex Japan ซึ่งเป็น benchmark ของกองทุนมาได้อย่างต่อเนื่อง

รูปที่ 1: Invesco Asian Equity Fund Cumulative Performance, Source: Invesco Asian Equity Fund Factsheet as of 30/4/2023

ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

Top 10 Holdings Asian Equity Fund (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 66)

รูปที่ 2: Invesco Asian Equity Fund Top 10 Holdings, Source: Invesco Asian Equity Fund Factsheet as of 30/4/2023

คว้าโอกาสจากบริษัทชั้นนำทั่วเอเชีย

การปรับสัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนหลักสะท้อนให้เราเห็นได้ชัดเจนว่ากองทุนนี้คือกองทุนที่พร้อมรับทุกโอกาสในเอเชีย ไม่จำกัดอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป อย่างล่าสุด Invesco Asian Equity Fund มีการปรับสัดส่วนหุ้นจีนลงจากเมื่อสิ้นเดือนมกราคม 1.6% และให้น้ำหนักในตลาดอินเดียเพิ่มขึ้นผ่านการลงทุนเพิ่มเติมในบริษัท Housing Development Finance Corp (HDFC) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อด้านการเคหะของอินเดีย

ในบรรดา 5 บริษัทที่ทางกองทุนหลักถือหุ้นเอาไว้มากที่สุด ก็มีเพียงกองทุนเดียวที่เป็นบริษัทจีน คือ Tencent บริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีทั้งแพลตฟอร์มสื่อสาร (WeChat และ QQ) ดิจิทัลคอนเทนต์ (WeTV) และธุรกิจฟินเทค ส่วนบริษัทอื่น ๆ ได้แก่ TSMC ซึ่งเป็นเจ้าตลาดเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน และ Samsung Electronics ของเกาหลีใต้

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทชั้นนำอีกหลายบริษัทที่ทางกองทุนเข้าไปลงทุน เช่น AIA Group บริษัทประกันภัยชั้นนำจากฮ่องกง Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซจากจีนที่ยังมีธุรกิจคลาวด์และมีเดียในมือ Ping An Insurance แบรนด์ประกันจีนที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก NetEase ผู้ผลิตเกมจากจีนเจ้าของเกม Identity V และเกมอื่น ๆ Samsung Fire & Marine Insurance บริษัทประกันอัคคีภัยและประกันทางทะเลของ Samsung บริษัทยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ และ ICICI Bank อีกหนึ่งธนาคารชั้นนำจากอินเดีย

รูปที่ 3: เปรียบเทียบการจัดสรรการลงทุนในต่างประเทศของกองทุนหลัก Invesco Asian Equity Fund เมื่อสิ้นสุดเดือนมกราคมและมีนาคม, Source: หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญกองทุนรวมบัวหลวงหุ้นเอเชีย (B-ASIA) รอบกุมภาพันธ์ 2566 และรอบเมษายน 2566

รายละเอียดอื่น ๆ ของ B-ASIA (ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566)

  • กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเอเชีย (B-ASIA) เป็นกองทุนรวมตราสารทุน เน้นลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่างประเทศในกลุ่ม Asia Pacific ex Japan
  • ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Invesco Funds – Invesco Asian Equity Fund, Class C (AD) USD (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
  • กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก โดยกองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
  • กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทหรือนิติบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะ ดังนี้ (1) จดทะเบียนในประเทศภูมิภาคเอเชีย หรือ (2) จดทะเบียนในประเทศที่อยู่นอกภูมิภาคเอเชียแต่ดำเนินธุรกิจหลักในประเทศภูมิภาคเอเชีย หรือ (3) บริษัทโฮลดิ้งที่มีการลงทุนหลักในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ การลงทุนในแถบภูมิภาคเอเชียดังกล่าวไม่รวมถึงประเทศ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
  • มีการลงทุนใน Derivatives เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ
  • กองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6
  • ไม่มีนโยบายการจ่ายปันผล
  • ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.0% ของมูลค่าที่ซื้อ
  • ค่าธรรมเนียมขาย ยกเว้น
  • ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก 500 บาท
  • ลงทุนขั้นต่ำครั้งถัดไป 500 บาท

สรุปจุดเด่นของกองทุน B-ASIA

กองทุน B-ASIA เป็นกองทุนในกลุ่ม Asia Pacific ex Japan ที่มีนโยบายการลงทุนในบริษัทเอเชีย บริษัทที่มีธุรกิจหลักในเอเชีย หรือบริษัทโฮลดิ้งที่มีการลงทุนหลักในบริษัทเอเชีย ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันอันยั่งยืน เน้นการเติบโตระยะยาวสอดคล้องไปกับโอกาสการเติบโตในอนาคตของภูมิภาค สำหรับใครที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุนดังกล่าว สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  https://finno.me/fund-b-asia

แหล่งอ้างอิง

https://www.invesco.ch/en-ch/fund-centre/invesco-asian-equity-fund?audienceType=investor
https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/foreign-investment-fund/b-asia/summary
https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/foreign-investment-fund/b-asia/asia#content
https://www.imf.org/en/Publications/WEO/Issues/2023/04/11/world-economic-outlook-april-2023
https://www.worldometers.info/geography/7-continents/
https://www.mckinsey.com/featured-insights/asia-pacific/why-the-future-is-asian
https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/BOTWEBSTAT.aspx?reportID=904&language=ENG

คำเตือน

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ

Bitkub Exchange

เมื่อพูดถึงการลงทุนหลายคนย่อมมองเห็นข้อดีชัดกว่าข้อเสียว่าเป็นวิธีที่ได้มาซึ่งผลกำไรในการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง แต่สิ่งสำคัญที่คนมักมองข้ามไปคือ การระวังตัวและรู้เท่าทันกลโกงการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมิจฉาชีพในปัจจุบันพยายามคิดแผนการใหม่ ๆ มาอยู่เสมอเพื่อหลอกล่อให้ผู้เริ่มต้นลงทุนหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์หลงเชื่อ บทความนี้ขอรวบรวมประโยคทองที่มิจฉาชีพชอบใช้ไว้ชวนลงทุน พร้อมคำแนะนำในการหลีกเลี่ยงกลโกงเหล่านี้เพื่อเป็นแนวทางให้คุณเริ่มต้นการลงทุนได้อย่างปลอดภัย

1. “รับประกันผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง”

รูปแบบประโยคที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูง โดยไม่มีโอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนเลย แท้จริงแล้วต้องจำไว้ว่าการลงทุนทั้งหมดมีความเสี่ยงในระดับหนึ่งที่ต่ำหรือสูงแตกต่างกันไป และการลงทุนจากบริษัทหรือตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องเปิดเผยเกี่ยวกับความเสี่ยงล่วงหน้าด้วย

ตัวอย่างประโยคของมิจฉาชีพ:

“ลงทุน 1,000 บาทวันนี้ รับผลตอบแทน 10,000 บาทในเวลาเพียง 1 เดือน เรารับประกัน!”

วิธีหลีกเลี่ยง:

เพราะการลงทุนต่ำเพื่อได้ผลตอบแทนสูง ๆ โดยไม่มีความเสี่ยง ไม่มีอยู่จริงในโลกของการลงทุน หากคุณลองหาข้อมูลเกี่ยวกับการเชิญชวนลงทุนของบริษัท/สถาบันที่น่าเชื่อถือ จะเห็นได้ว่ามีการระบุความเสี่ยงมาด้วยทั้งนั้น นอกจากเรื่องประโยคเชิญชวนแล้ว ให้สังเกตดูความน่าเชื่อถือ ความเป็นทางการของผู้เชิญชวนก็จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้

2. “โอกาสการลงทุนสุดพิเศษที่มีให้เฉพาะคุณเท่านั้น”

สแกมเมอร์มักจะเล่นกับความต้องการของคนที่อยากจะเป็นคนพิเศษเพื่อมอบสิทธิพิเศษให้ ประโยคแบบนี้จะสร้างความรู้สึกเร่งด่วน เพื่อให้เหยื่อรู้สึกกลัวที่จะพลาดสิทธิพิเศษนี้ไป (FOMO) เพื่อจะได้รีบตอบรับการเชิญชวนโดยไม่ให้มีคำถามหรือข้อสงสัย

ตัวอย่างประโยคของมิจฉาชีพ:

“เราขอมอบโอกาสในการลงทุนให้คุณโดยเฉพาะ จำกัดเพียง 10 รายเท่านั้น เปิดพอร์ตเลยทันที ก่อนที่จะสาย!”

วิธีหลีกเลี่ยง:

หากเจอประโยคเหล่านี้ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าเป็นประโยคจากมิจฉาชีพ เพราะโดยทั่วไปแล้วโอกาสในการลงทุนที่ถูกต้องตามกฎหมายจะมีเวลาให้นักลงทุนได้ศึกษา หรือเปิดเผยรายละเอียดให้เราได้หาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะตามกฏหมายผู้เชิญชวนจะไม่สามารถเร่งให้ลงทุนทันทีได้

3. “มาร่วมลงทุนในธุรกิจ/แพลตฟอร์มใหม่ที่กำลังมาแรง”

เทคนิคนี้มิจฉาชีพพยายามใช้การโฆษณาที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับธุรกิจใหม่ เทคโนโลโยีใหม่หรือแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน หรือเคยอาจได้ยินชื่อมาบ้าง และมีการสัญญาว่าจะได้ผลตอบแทนมหาศาลจากการลงทุนเพราะเป็นกลุ่มแรก ๆ

ตัวอย่างประโยคของมิจฉาชีพ:

“มาเป็นคนแรกที่ร่วมลงทุนกับเทคโนโลยีใหม่ ใช้ Super AI จัดการ พร้อมรอรับผลตอบแทนมหาศาล”

วิธีหลีกเลี่ยง:

จากรูปแบบดังกล่าว เห็นได้ว่ามิจฉาชีพจะใช้ความไม่รู้ของคนเป็นช่องทางในการเชิญชวน หากเราสงสัยสิ่งที่ควรทำคือหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ เพิ่มเติม ว่ามีธุรกิจหรือเทคโนโลยีแบบนั้นจริงหรือไม่ รวมถึงการค้นหาข้อมูลของผู้เชิญชวนหรือบริษัทที่ถูกอ้างถึงด้วย เพราะส่วนใหญ่มิจฉาชีพจะอาจอ้างถึงสถาบันการเงินหรือบริษัทลงทุนที่มีชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

4. “การลงทุนนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีชื่อเสียง”

อีกหนึ่งวิธีสุดแยบยลของมิจฉาชีพคือจะหาจุดเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่คนคุ้นหน้า เพื่อเป็นสะพานไปสู่ความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ รูปแบบที่พบบ่อยคือ แบนเนอร์โฆษณาที่มีประโยคเชิญชวนการันตี พร้อมกับภาพตัดต่อของผู้ที่มีชื่อเสียงเข้าไปอยู่ในนั้น ให้เหมือนกับว่าเป็นพรีเซนเตอร์เชิญชวนคนมาลงทุน

ตัวอย่างประโยคของมิจฉาชีพ:

“ลงทุนกับเรา การันตีโดย (ชื่อคนที่มีชื่อเสียง) รับผลตอบแทนหลายเท่าตัว”

วิธีหลีกเลี่ยง:

ตรวจสอบจากช่องทางหลักอย่างเป็นทางการของผู้มีชื่อเสียงคนดังกล่าวว่ามีการเชิญชวนให้ลงทุนนี้หรือไม่ และสอบถามไปยังบริษัทที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์การลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

5. “ไม่ต้องมีความรู้หรือประสบการณ์ ก็ลงทุนอย่างผู้เชี่ยวชาญได้”

เทคนิคนี้สแกมเมอร์มุ่งเป้าไปที่ผู้เริ่มต้นที่อาจมีความรู้สึกหนักใจกับความซับซ้อนและข้อมูลที่มากมายประกอบการลงทุน โดยมิจฉาชีพจะใช้วิธีเชิญชวนพร้อมประโยคที่ทำให้รู้สึกว่าเรื่องการลงทุนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและจะจัดการทุกอย่างให้ โดยอ้างว่าเขาหรือบริษัทที่แอบอ้างมีความรู้และมีประสบการณ์มากมาย

ตัวอย่างประโยคของมิจฉาชีพ:

“เรามีทีมที่เชี่ยวชาญจัดการพอร์ตให้ รับผลตอบแทนได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องพยายาม!”

วิธีหลีกเลี่ยง:

วิธีการนี้มิจฉาชีพจะใช้ความง่ายเข้ามาจัดการในสิ่งที่คุณคิดว่ามันยุ่งยากและซับซ้อน แต่ในโลกขอวการลงทุนนั้น การหาความรู้ให้ตัวคุณเองนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ และควรหลีกเลี่ยงการพึ่งพาผู้อื่นในการจัดการการลงทุนให้ ไม่ควรมอบสิทธิ์หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นมาควบคุมการเงินของคุณด้วย

บทสรุป

เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการได้รับข้อความเชิญชวนดังที่กล่าวมาได้ แต่กุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณเลี่ยงจากการสูญเสียทรัพย์สินเงินลงทุนได้นั้นคือ การหาข้อมูลและทำความเข้าใจข้อเท็จจริง ดูข้อมูลลงทุนต่าง ๆ จากแหล่งที่ถูกต้องด้วยตนเอง โดยใช้เวลาในการศึกษา เปรียบเทียบ และประเมินความเป็นไปได้ หากคุณรู้จักที่ปรึกษาทางการเงินก็ขอคำแนะนำได้โดยตรง อย่าปล่อยให้ความโลภหรือความกลัวที่จะพลาด มาทำให้คุณต้องตัดสินใจผิดพลาด ควรตระหนักรู้ว่าประโยคหลอกลวงมีอยู่ทั่วไปและทุกวันนี้ก็เข้าถึงตัวเราได้ง่ายขึ้น หากมีความระมัดระวังอยู่เสมอก็จะสามารถปกป้องตัวเองและทรัพย์สินให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพได้

อ้างอิง: Bitkub Blog, Investright.org

บทความโดย Bitkub.com


คำเตือน

  • คริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  • ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
  • ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื้อหาข้างต้นเป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาโดยใช้ข้อมูลในอดีตหรือเครื่องมือวิเคราะห์ อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด

FINNOMENA Investment Team
FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด

วันนี้ (31 พฤษภาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.3% และตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับตัวลง 1% หลังจีนรายงานดัชนี PMI ต่ำกว่าคาด โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคมของจีนอยู่ในโซนหดตัวที่ 48.8 แย่กว่าตลาดคาดที่ 51.4 และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 49.2 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการบริการอยู่ที่ 54.5 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 54.9 และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 56.4 โดยภาคการผลิตจีนได้รับปัจจัยกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่อุปสงค์ภายนอกประเทศยังอ่อนแอเนื่องจากสหรัฐฯซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย

นอกจากนี้บรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังถูกกดดันจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสหรัฐฯกล่าวหาจีนว่าได้มีการซ้อมอย่างแข็งกร้าวโดยไม่จำเป็น รวมถึงจีนปฏิเสธคำเชิญจากสหรัฐฯสำหรับเข้าร่วมประชุมของฝ่ายกลาโหม ซึ่งจะมีตัวแทนจากปลายประเทศเข้าร่วมประชุมในสัปดาห์นี้

FINNOMENA Investment Team มองว่าในช่วงสั้นแนวโน้มเศรษฐกิจจีนเริ่มสะดุดจากการฟื้นตัวไม่เต็มของภาคการบริโภค ซึ่งสะท้อนจากความมั่นใจผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่  ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐยังไม่มีความชัดเจนเนื่องจากจากระดับหนี้ของจีนที่ยังอยู่ในระดับสูง  แต่เราคาดว่าในระยะถัดไปเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวได้ต่อหลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางฟื้นตัวมากขึ้นหลังยกเลิกมาตรการ Zero Covid

ตลาดหุ้น All China มี Valuation ลดลงมาใกล้จุด -1 S.D. เมื่อเทียบกับหุ้นโลก เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาลงมาในจุดที่ Valuation น่าสนใจ  อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมี Upside ให้ฟื้นตัว

——————-

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน

News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว

THE OPPORTUNITY
News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว

บริษัทผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ อินวีเดีย (Nvidia Corp) กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าถึงหนึ่งล้านล้านดอลลาร์รายล่าสุดในวันอังคาร ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ในปัจจุบัน

ทำให้มูลค่าหุ้นของ Nvidia พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว 25% เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจนแตะระดับ 411 ดอลลาร์ต่อหุ้นในขณะนี้ และทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งพอๆ กับบริษัทเทคโนโลยี อัลฟาเบ็ต (Alphabet) เจ้าของกูเกิล (Google)

Nvidia ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีแห่งที่ 5 ที่มีมูลค่าแตะระดับหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ ต่อจาก แอปเปิล (Apple), อัลฟาเบ็ต (Alphabet)​, ไมโครซอฟต์ (Microsoft) และ แอมะซอน (Amazon)

ขณะที่ Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Invest มองว่า หุ้น Nvidia ที่เป็นลูกรักของนักลงทุนตอนนี้มูลค่า ‘แพง’ เกินแล้ว

Cathie Wood กล่าวใน Twitter เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ว่า บริษัทชิปที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกมีราคาแพงเกินไปแล้ว หลังกองทุน ARKK ของบริษัทลดสัดส่วนการถือหุ้นเมื่อต้นเดือน ม.ค. ก่อนที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า จนมีมูลค่าตลาด 1 ล้านล้านดอลลาร์

ที่มา: https://www.voathai.com/a/nvidia-joins-trillion-dollar-club-on-booming-ai-demand/7115458.html 

https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-30/too-rich-for-cathie-wood-nvidia-shares-stretch-valuation-limits?sref=e4t2werz

——————-

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน

แชร์ทริค แบ่งเงินออม 3 บัญชี ตามเป้าหมายระยะสั้น กลาง ยาว

NM

รู้หรือไม่ว่าสิ่งสำคัญของการออมเงิน นอกจากวินัยการออมก่อนใช้แล้ว ก็ควรแยกบัญชีเงินออมออกจากบัญชีเงินเดือนหรือบัญชีทั่วไป เพื่อจัดสรรเงินให้เป็นสัดส่วน รู้ว่าเงินส่วนไหนใช้ทำอะไรบ้าง โดยเราควรแบ่งเงินออมออกเป็น 3 ส่วนตามเป้าหมายทางการเงิน ดังนี้

  1. เป้าหมายระยะสั้น (ไม่เกิน 3 ปี) เช่น เงินสำรองฉุกเฉิน ท่องเที่ยวต่างประเทศ แนะนำพอร์ตลงทุนแบบระมัดระวัง เน้นลงทุนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางและมีสภาพคล่อง อย่างบัญชีออมทรัพย์ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน
  2. เป้าหมายระยะกลาง (3 – 7 ปี) เช่น ดาวน์รถยนต์ แต่งงาน แนะนำพอร์ตลงทุนความเสี่ยงปานกลาง อย่างกองทุนรวมตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมผสม
  3. เป้าหมายระยะยาว (7 ปีขึ้นไป) เช่น การเกษียณอายุ แนะนำพอร์ตลงทุนความเสี่ยงปานกลางถึงสูง เน้นการลงทุนในรูปแบบของการสะสมทรัพย์ อย่างประกันบำนาญ RMF หุ้นพื้นฐานดีหรือหุ้นปันผล กองทุนรวมหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ

จะเห็นได้ว่านอกจากจะแบ่งเงินออมตามเป้าหมายของการลงทุนแล้ว ยังต้องจับคู่สินทรัพย์ให้เหมาะสมอีกด้วย เพราะถ้าเราจับคู่ไม่ถูก อย่างเช่น เก็บเงินสำรองฉุกเฉินไว้ในบัญชีหุ้น เพราะมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่า หากเกิดเหตุที่จำเป็นต้องรีบใช้เงินขึ้นมา จะไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ทันที หรือถ้าตอนนั้นพอร์ตยังแดงอยู่ก็จะทำให้เราขาดทุนได้ หรืออยากซื้อบ้านด้วยเงินสดภายใน 1 ปี เลยนำเงินทั้งหมดที่มีไปลงทุนในคริปโตฯ เพื่อหวังรวยทางลัด จะได้มีเงินมาซื้อบ้านเร็ว ๆ แต่อยู่ดี ๆ โดนเจ้าทุบตลาดร่วง ขาดทุนหนักมาก บ้านที่เราฝันเอาไว้ก็คงเหลือแต่เสา

ซึ่งใครจะจัดสรรเงินออมเข้าบัญชีไหน เท่าไหร่บ้างนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขึ้นอยู่กับความความสำคัญ, จุดประสงค์ และเงื่อนไขทางการเงินของแต่ละคน แต่จะขอยกตัวอย่างให้ดูง่าย ๆ ตามตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่างการแบ่งออมตามเป้าหมายสั้น กลาง ยาว

ตัวอย่าง หากเงินเดือน 30,000 บาท แบ่งออม 20% (6,000 บาท) ตามเป้าหมายทางการเงินระยะสั้น กลาง ยาว จะสามารถแบ่งเงินออมออกเป็น 3 ส่วน ได้ดังนี้

  1. เงินสำรองฉุกเฉิน 20% (1,200 บาท) เผื่อกรณีเจ็บป่วยหรือตกงาน 3 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยเก็บเงินส่วนนี้ไว้ในสินทรัพย์สภาพคล่อง หากจำเป็นต้องใช้เงินก็สามารถนำออกมาใช้ได้ทันที อย่างบัญชีออมทรัพย์
  2. จัดงานแต่งงาน 50% (3,000 บาท) ในพอร์ตลงทุนความเสี่ยงปานกลาง อย่างกองทุนรวมผสม
  3. เกษียณอายุ 30% (1,800 บาท) ในกองทุน RMF และประกันบำนาญ ที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ด้วย

จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าคนเราต่างมีเป้าหมายทางการเงินที่หลากหลาย ถ้าสามารถรวมทุก ๆ เป้าหมายให้อยู่ในที่เดียวกันหรือบัญชีเดียวกันได้ก็คงจะสะดวกดีไม่น้อย ดังนั้นทาง FINNOMENA ขอแนะนำ “Goals Navigator” นวัตกรรมที่สามารถวางแผนทุกช่วงชีวิตให้ครบจบในที่เดียว รวมทั้งสามารถคาดการณ์ผลตอบแทน เพื่อจัดสรรเงินลงทุนตามลำดับความสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพได้สูงสุด

“FINNOMENA Goals Navigator™” นวัตกรรมวางแผนการลงทุนจัดพอร์ตระดับโลก ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายชีวิต ร่วมเคียงข้างคุณจนถึงฝัน
👉 รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก >> https://finno.me/gnavi-web


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำควรเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

แด่ William O’Neil ผู้เป็นแรงบันดาลใจแก่นักลงทุนสายไฮบริด

Park Kathawut
William O'Neil” นักลงทุนสายไฮบริด

30 พฤษภาคม 2023 ถือเป็นวันที่เศร้าวันหนึ่งของโลกการลงทุน หลังเราได้สูญเสียนักลงทุนระดับตำนาน William O’Neil ไปในวัย 90 ปี

ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ William O’Neil ได้ฝากมรดกแก่นักลงทุนรุ่นหลังไว้มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแนวคิดการลงทุนแบบผสมผสาน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ CAN SLIM ซึ่งอยู่ในหนังสือ How to Make Money in Stocks 

นอกจากนี้ ยังมีหนังสือที่เป็นองค์ความรู้ต่อการลงทุนอีกหลายเล่ม เช่น How to Make Money Selling Stocks Short, The Successful Investor, 24 essential lessons for investment success และ Comment gagner avec les actions เป็นต้น  

William O’Neil ยังได้สร้างคุณูปการต่อสังคมการลงทุน ด้วยการก่อตั้ง Investor’s Business Daily หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ด้านการลงทุน เพื่อเผยแพร่ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักลงทุนทั่วโลก 

ในพาร์ทของอาชีพการลงทุนเอง William O’Neil ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง และทำกำไรได้มหาศาล โดยเริ่มต้นจากการเป็นโบรกเกอร์ให้กับ Hayden, Stone and Company 

เขาเป็นคนแรก ๆ ที่พัฒนาโมเดลการลงทุนโดยใช้คอมพิวเตอร์ จนสามารถสร้างกลยุทธ์ CAN SLIM และประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงปี 1962 – 1963 ที่สามารถทำกำไรได้ถึง 40 เท่า เปลี่ยนเงินทุนเริ่มต้น 5,000 ดอลลาร์ ขึ้นไปเป็น 200,000 ดอลลาร์ ภายในเวลาเพียง 1 ปี

หลังจากนั้นจึงได้ออกมาก่อตั้ง William O’Neil and Co. บริษัทโบรกเกอร์ที่มุ่งเน้นการทำงานวิจัยและนำเสนอข้อมูลตลาดหุ้นให้แก่นักลงทุนสถาบัน

แนวคิด CAN SLIM เบื้องหลังความสำเร็จของ William O’Neil

CAN SLIM คือ สูตรคัดเลือกหุ้นแบบผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) กับ การวิเคราะห์กราฟเทคนิค (Technical) 

ประกอบด้วยหลัก 7 ข้อตามตัวอักษร แบ่งเป็นปัจจัยเชิงพื้นฐาน ได้แก่ C-A-N และเชิงเทคนิค ได้แก่ S-L-I-M ดังนี้

  • Current Earnings : กำไรในไตรมาสล่าสุดเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยหุ้นจะต้องมี Earning per Share เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20-25% 
  • Annual Earnings : ผลประกอบการประจำปี เติบโตอย่างแข็งแกร่งและสม่ำเสมอ โดยจะต้องมีกำไรปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3-5 ปี และสอดคล้องกับรายได้ที่มั่นคงด้วย
  • New Products : เป็นบริษัทที่มีปัจจัยการเติบโตใหม่ ๆ เช่น มีแผนออกสินค้าหรือบริการใหม่, เกิด Business Model ใหม่, เปลี่ยนทีมผู้บริหาร 
  • Supply and Demand : เป็นหุ้นที่ปริมาณซื้อขาย (Volume) หนาแน่น เพื่อแสดงว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นหุ้นที่มีจำนวนจำกัดด้วย
  • Leader or Laggard : เป็นผู้นำในธุรกิจที่ตัวเองทำ มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 โดยเลือกจากค่า Relative Strength ที่สูง 
  • Institutional Support : มีนักลงทุนสถาบันเข้าไปถือครอง เป็นตัวสะท้อนความแข็งแกร่งทางธุรกิจ รวมถึงมีโอกาสที่ราคาจะขยับตัวได้อย่างมีนัยะสำคัญ
  • Market Direction : เลือกจังหวะเข้าวื้อในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น โดยพิจารณาจากแนวโน้มกราฟแท่งเทียนและเส้นค่าเฉลี่ยของตลาดในช่วงนั้น ๆ  

ประโยชน์ของการค้นหาหุ้นด้วย CAN SLIM ทำให้เรามีสามารถพบเจอหุ้นดีที่สร้างการเติบโตต่อเนื่อง ในราคาที่เหมาะสม และมีโอกาสที่จะเติบโตได้ต่อไปในอนาคต

10 ลักษณะของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ในมุมมองของ William O’Neil

นอกจากจะสร้างไอเดียการลงทุนระดับโลกแล้ว William O’Neil ยังคอยฝากแนวคิดให้แก่นักลงทุนรุ่นหลังอยู่เสมอ ๆ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในแนวคิดที่มีชื่อเสียง โดยนิยามสิ่งที่จะช่วยให้คุณกลายเป็นนักลงทุนที่ดียิ่งขึ้น

  1. คิดในเชิงบวก คิดถึงความสำเร็จอยู่เสมอ
  2. กำหนดความฝันและออกแบบเป้าหมายชัดเจน
  3. คิดแล้วลงมือทำ
  4. ไม่หยุดเรียนรู้
  5. ทำงานหนักและไม่ยอมแพ้ เพราะความสำเร็จเป็นเหมือนการวิ่งมาราธอน
  6. ชอบการวิเคราะห์รายละเอียด ค้นหาความจริง เรียนรู้ข้อมูลจากความผิดพลาด
  7. มีโฟกัส ไม่ไขว้เขวจากเป้าหมาย 
  8. กล้าที่จะแตกต่าง ไม่กลัวที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่: 
  9. สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
  10. จงซื่อสัตย์กับตัวเอง และมีจิตใจที่มั่นคง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ William O’Neil ได้ฝากความรู้ด้านการลงทุนเอาไว้แก่โลกใบนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเป็นรากฐานสำคัญให้สังคมการลงทุนเติบโตดียิ่งขึ้นต่อไป

อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมลงทุนแบบ William O’Neil คว้าหุ้นโตทะยานฟ้า ด้วย 7 เคล็ดวิชาพื้นฐานผสานเทคนิค

รวมโพย SSF RMF รายกอง: คัดเน้นที่เดียวจบ!

FINNOMENA
รวมโพย SSF RMF รายกอง: คัดเน้นที่เดียวจบ!

คัดเน้นที่เดียวจบ! คัมภีร์รวมโพย SSF RMF ทีเด็ดรายกอง สำหรับนักลงทุนสายพึ่งพาตนเอง

แฟนพันธุ์แท้ FINNOMENA ห้ามพลาด!! ดูโพยกองทุนประหยัดภาษีแบบจัดชุด ได้ที่ลิงก์

https://www.finnomena.com/z-admin/ssf-rmf-series-package/

รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองภาษี 200,000 บาทขึ้นไป
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/taxplanner-services

ขั้นตอนการคัดเลือกกองทุนแบบพิถีพิถันที่สุดให้กับนักลงทุน 

กองทุนที่ทาง FINNOMENA เลือกสรรให้กับทุกท่านจะผ่านการคัดกรองมาอย่างเข้มข้น ด้วยทีมงานการลงทุนที่มากความสามารถและประสบการณ์ โดยมีรายละเอียดขั้นตอนดังนี้

1. กรองข้อมูลเชิงสถิติในเบื้องต้น ในแต่ละหมวดกองทุน

  • กองทุนที่มี Calendar Year Performance รายปีติด Top 30 Percentile สม่ำเสมอในหลายปีปฏิทิน เหนือค่าเฉลี่ยกลุ่ม จะนำมาเป็น Candidate กองทุน หรือ
  • กรองด้วย 3D Score Model โดยคำนวณคะแนน 3 ด้าน ด้วยการให้น้ำหนักที่เท่ากัน ได้แก่
    • Max Drawdown (ย้อนหลัง 1,3, และ 5 ปี)
    • Sharpe Ratio (ย้อนหลัง 1,3, และ 5 ปี)
    • Total Return (ย้อนหลัง 1,3, และ 5 ปี)
    • โดยกองทุน 20 กองทุนที่มีคะแนนสูงสุด และเป็นกองทุนที่มี 3D Score Model สูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่ม จะถูกเลือกมาเป็น Candidate ต่อไป หรือ
  • กองทุนที่เคยอยู่ในแผนการลงทุนประหยัดภาษีเดิมจะถูกนำมาพิจารณาเป็น Candidate ในการลงทุน
  • หมวดที่มี Candidate น้อย เช่น เวียดนาม จะติดเข้าการพิจารณาทุกกองทุน

2. พิจารณาความสม่ำเสมอของกองทุนรวมที่สะท้อนออกมาผ่าน Performance

  • บนสมมติฐานที่ว่าการลงทุน SSF/RMF คือการลงทุนระยะยาว ความสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญ

3. ข้อมูลเชิง Qualitative 

  • พิจารณาความต่อเนื่องของ Fund Manager ในการบริหารกองทุน เพื่อความสม่ำเสมอของผลตอบแทนในระยะยาว
  • พิจารณาการปรับพอร์ตการลงทุนในอดีตที่ผ่านมา และสถานะปัจจุบัน ว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์มากน้อยแค่ไหน

4. พิจารณาค่าธรรมเนียมหากมีการลงทุนที่เหมือนกัน

5. กรณีที่ 4 ข้อข้างต้นไม่ได้โดดเด่นอย่างมีนัย

  • จะยึดจากกองทุนเดิมเป็นหลัก เพื่อป้องกันการลงทุนที่กระจายในหลายกองทุนมากเกินไปในระยะยาว ซึ่งจะยากต่อการดูแล

สารบัญ

SSF รายกอง

  1. KFGGSSF
  2. K-CHANGE-SSF
  3. MEGA10-SSF
  4. K-USA-SSF
  5. K-CHINA-SSF
  6. KT-Ashares-SSF
  7. TSF-SSF
  8. K-VIETNAM-SSF
  9. B-INNOTECHSSF
  10. ABPCAP-SSF
  11. UGIS-SSF
  12. KKP ACT FIXED-SSF
  13. PRINCIPAL iPROPEN-SSF

RMF รายกอง

  1. KFGGRMF
  2. KCHANGERMF
  3. MEGA10RMF
  4. KUSARMF
  5. KFCHINARMF
  6. KT-Ashares RMF
  7. KVIETNAMRMF
  8. TSFRMF-A
  9. B-INNOTECHRMF
  10. KGARMF
  11. KKP INRMF
  12. UGISRMF
  13. B-IR-FOFRMF

โพยรวม SSF รายกอง

รวมโพย SSF RMF รายกอง: คัดเน้นที่เดียวจบ!

หุ้น

หุ้นโลก

KFGGSSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนมีกลยุทธ์การบริหารแบบไม่อิงกับ Benchmark เลือกหุ้นแบบ Bottom Up เน้นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว เน้นการซื้อและถือเป็นหลัก ในหุ้นที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง 

จุดเด่น

  • บริหารโดย Baillie Gifford หนึ่งในผู้บริหารกองทุนหุ้นเติบโตอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน
  • คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตการลงทุนอย่างเข้มข้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีโอกาสเติบโต 2 เท่าใน 5 ปี
  • กลยุทธ์ Buy & Hold เพิ่มความมั่นใจในการไม่พลาดโอกาส และลดค่าใช่จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.1613%

สัดส่วนหุ้น 5 ดันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

NVIDIA 6.30%

Amazon.com 5.10%

Kering 4.90%

Tesla Inc 4.90%

Moderna 4.70%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund, Class B USD Acc โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KFGGSSF Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.krungsriasset.com/DataWeb/AYFWeb/th/pdf/FFS_KFGGSSF_TH.pdf?rnd=20230524112930

K-CHANGE-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมหุ้นตามแนวคิด ESG ที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนทั่วโลก แบบ Active

จุดเด่น

  • บริหารโดย Baillie Gifford หนึ่งในผู้บริหารกองทุนหุ้นเติบโตอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน
  • คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโต 2 เท่าใน 5 ปี และเป็นไปตามมาตรฐาน ESG แบบเข้มข้น
  • กลยุทธ์ Buy & Hold เพิ่มความมั่นใจในการไม่พลาดโอกาส และลดค่าใช่จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.3736%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

MercadoLibre 8.00%

ASML 7.10%

TSMC 5.40%

Moderna 5.10%

Deere & Co 4.80%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: K-CHANGE-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/K-CHANGE-SSF.pdf

MEGA10-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งทั่วโลกโดยกระจายการลงทุนในหุ้น 10 ตัว สัดส่วนเท่า ๆ กัน

จุดเด่น

  • ใช้หลักการเลือกหุ้นเข้ามาในพอร์ตแบบ Rule Based Investing Approach ทำให้มีหลักการที่ชัดเจนในการเลือกหุ้นเข้ามาไม่มี Bias ของผู้จัดการกองทุน
  • แบรนด์ชั้นนำระดับโลกเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเป็นบริษัทที่ทุกคนให้การยอมรับโดยการจัดอันดับแบรนด์เหล่านี้มีการใช้งบการเงินของบริษัทมาเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกด้วย ทำให้ได้หุ้นที่ดีมีคุณภาพ และมีงบการเงินที่แข็งแรง

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 1,000 บาท

ครั้งถัดไป: 1 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.7120%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก 

Tesla 10.38%

Meta 10.26%

Microsoft 10.02%

Alphabet 9.95%

Amazon.com 9.85%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE / NASDAQ โดยเฉลี่ยใน รอบปีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: MEGA10-SSF Fund Fact Sheet วันที่: 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.talisam.co.th/wp-content/uploads/2023/04/20230331_MEGA10-SSF.pdf

หุ้นสหรัฐ

K-USA-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นสหรัฐฯ เน้นการเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีรูปแบบธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

จุดเด่น

  • กองทุนบริหารแบบ Active และยืดหยุ่น สามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
  • กองทุนเน้นการลงทุนแบบ High Conviction เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว บนหุ้นเติบโตที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ชัดเจน

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.3889%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

Microsoft 5.10%

NVIDIA 4.90%

Visa 4.70%

Intuit 4.20%

Amazon.com 4.10%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Brown Advisory US Sustainable Growth Fund, Dollar Class SI Acc  โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: K-USA-SSF Fund Fact Sheet วันที่: 16 พฤษภาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/K-USA-SSF.pdf

หุ้นจีน

K-CHINA-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นจีน All China แบบ Active 

จุดเด่น

  • เน้นการลงทุนบนเป้าหมายการเติบโตในระยะ 5 ปีขึ้นไป จากการวิเคราะห์อย่างเข้มข้น เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
  • ใช้ชุดคำถาม Checklist กว่า 100 ข้อ ในการคัดเลือกหุ้นเข้าสู่พอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจบนมุมมองที่แข็งแกร่ง

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.1603%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

Tencent 9.70%

Alibaba 6.60%

Meituan 5.30%

NetEase 3.20%

Ping An Insurance 3.00%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในหน่วยลงทุนของ JPMorgan Funds – China Fund, Class JPM China I (acc) – USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: K-CHINA-SSF Fund Fact Sheet วันที่: 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/K-CHINA-SSF.pdf

KT-ASHARES-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นจีน A Shares แบบ Active พร้อมกลยุทธ์ลงทุนแบบ High Conviction 

จุดเด่น

  • ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ High Conviction ซึ่งผ่านกระบวนการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
  • เน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของกำลังการบริโภคภายในประเทศจีน เพื่อล้อไปกับโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจจีน
  • บริหารโดยทีมงาน Allianz ที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศจีนมาอย่างยาวนาน

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: ไม่กำหนด

ครั้งถัดไป: ไม่กำหนด

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยังไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยังไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.3100%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

Kweichow Moutai 5.44%

CITIC Securities 3.81%

Contemporary Amperex Technology 3.66%

China Tourism Group Duty Free 2.77%

East Money Information 2.60%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares (class PT (USD)) (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KT-Ashares-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.ktam.co.th/document_fund/fundfactsheet/Factsheet_th_KT-Ashares-SSF.pdf

หุ้นไทย

TSF-SSF

รายละเอียดกองทุน

ลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดีที่ผ่านการคัดสรรจากผู้จัดการกองทุน โดยใช้นโยบายการลงทุนแบบเชิงรุก เน้นเลือกลงทุนเพียง 10-15 ตัวในหุ้นเติบโต

จุดเด่น

  • กองทุนหุ้นไทย หมวดกองทุนหุ้นไทยทั่วไป ที่มีผลการดำเนินงานดีสม่ำเสมอในระยะยาว ชนะดัชนีหุ้นไทยอย่างขาดลอย
  • จากมุมมองของผู้จัดการกองทุนที่มีความเฉียบคมนำหน้าตลาด และทีมบริหารจัดการที่มีประสบการณ์ ผ่านหลายสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • พอร์ตการลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นไทยผู้ชนะในแต่ละ Sector ที่ถูกคัดสรรอย่างดี 15 ตัว  เพื่อกระจายคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 1,000 บาท

ครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.9850%

สัดส่วนสินทรัพย์ 5 อันดับแรก

หุ้นสามัญบริษัท กัลฟ์เอ็นเนอร์จีดี เวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) 9.73%

หุ้นสามัญบริษัท คอมเซเว่น จํากัด (มหาชน) 9.68%

หุ้นสามัญบริษัท ซีพีออลล์ จํากัด (มหาชน) 9.60%

หุ้นสามัญบริษัทโรงพยาบาลบํารุง ราษฎร์ จํากัด (มหาชน) 9.53%

หุ้นสามัญบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จํากัด (มหาชน) 9.20%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในตราสารทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: TSF-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.tisco.co.th/content/dam/tiscobank/download/factsheet/ffs_tsf-ssf_th.pdf

หุ้นเวียดนาม

K-VIETNAM-SSF

รายละเอียดกองทุน

ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเวียดนาม ที่ดำเนินธุรกิจหรือได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือมีทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม

จุดเด่น

  • กองทุนหุ้นเวียดนามที่เน้นลงทุนตรงในตลาดหุ้นเวียดนาม โดยทีมผู้จัดการกองทุนคนไทยที่มีประสบการณ์ ลดการเสียค่าธรรมเนียมหลายต่อจากการลงทุนผ่าน Feeder Fund 
  • สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นลำดับต้น ๆ ของกองทุนเวียดนามในไทย ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
  • กองทุนมี Track Record ที่ยาวนาน โดยที่ยังสามารถทำผลตอบแทนในระยะยาวได้ดี และมีค่าธรรมเนียมไม่แพง

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่มี

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.7334%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2566)

หุ้น Mobile World Investment Corp 7.44%

หุ้น FPT Corp 7.34%

หุ้น Vinhomes Joint Stock Company 6.90%

หุ้น JSC Bank for Foreign Trade of Vietnam 6.37%

หุ้น Asia Commercial Bank 5.44%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในกองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: K-VIETNAM-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/K-VIETNAM-SSF.pdf

หุ้นเทคโนโลยี

B-INNOTECHSSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก บริหารแบบ Active เน้นการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อรับโอกาสการเติบโตที่ดีภายใต้ความผันผวนที่ต่ำกว่าในระยะยาว

จุดเด่น

  • กองทุนหุ้นเทคโนโลยีแนวหน้า ที่มีผลการดำเนินงานติดอันดับต้น ๆ สม่ำเสมอ
  • บริหารแบบ Active ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย อาทิ เข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีตามวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งจัดสรรเข้าลงทุนในหุ้นวัฏจักร หรือ หุ้นสถานการณ์พิเศษ (Special Situation) ได้บางส่วน เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนหรือกระจายความเสี่ยง
  • ผู้จัดการกองทุนหลักบริหารมาอย่างยาวนาน ส่งผลถึงความสม่ำเสมอของผลตอบแทนกองทุนในอดีต และความต่อเนื่องในอนาคต

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 0.6094%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2566)

Microsoft 5.50%

Apple 5.30%

Ericsson 3.40%

Alphabet 3.20%

Amazon.com 3.10%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Funds – Global Technology Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: B-INNOTECHSSF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.bangkokbank.com/-/media/files/personal/save-and-invest/mutual-funds/fund-information/b-innotechssf/b-innotechssf_factsheet_th.pdf?la=th-th&hash=D774A625F28D7045F3FA83EF097AB924BE94D398

Global Private Equity

ABPCAP-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนที่ลงทุนใน Private Capital ทั่วโลก

จุดเด่น

  • ลงทุนในบริษัทที่ยังไม่ได้เข้าสู่ตลาด ซึ่งบริษัทมักจะมีการเติบโตที่สูงกว่าบริษัทที่เข้าตลาดและถึงจุด Mature แล้ว
  • เป็น Asset ที่เข้าไปลงทุนเองโดยตรงได้ยากและใช้เงินลงทุนเยอะ กองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่คัดสรรมาแล้วทำให้มีการกระจายความเสี่ยงด้วยเงินลงทุนที่ไม่สูงมาก
  • ลงทุนตรงทั้งใน Private Equity โดยตรง และลงทุนใน Asset Manager ที่มีความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกบริษัทลงทุน

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 1,000 บาท

ครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): 0.00%

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): 0.00%

ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.8725%

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวมสูงสุดไม่เกิน: 2.6750%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก 

3i Group PLC 7.87%

KKR & Co Inc 7.82%

Apollo Global Management Inc 6.55%

Intermediate Capital Group 5.92%

Brookfield Corp 5.86%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Aberdeen Standard SICAV I – Listed Private Capital Fund Z Acc USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: ABPCAP-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.abrdn.com/docs?editionid=1d50b880-89f5-400b-8d07-a37aa831d7f6

ตราสารหนี้

UGIS-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วโลก ลงทุนแบบเชิงรุก เพื่อสร้างผลตอบแทนเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอ

จุดเด่น

  • บริหารแบบ Active ปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
  • ผลตอบแทนย้อนหลังเอาชนะดัชนีเปรียบเทียบได้สม่ำเสมอ ภายใต้ความผันผวนที่ต่ำ
  • บริหารโดย PIMCO บลจ. เฉพาะด้านตราสารหนี้ทั่วโลก

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: ไม่กำหนด

ครั้งถัดไป: ไม่กำหนด

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 0.9973%

สัดส่วนสินทรัพย์หลัก 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2566)

FNMA TBA 3.5% FEB 30YR 6.4%

FNMA TBA 4.0% MAR 30YR 5.5%

FNMA TBA 6.0% JAN 30YR 2.9%

BNP PARIBAS ISSUANCE BV SR SEC **ABS** 2.8%

FNMA TBA 3.0% FEB 30YR 2.6%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ PIMCO GIS Income Fund (Class I) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: UGIS-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.uobam.co.th/srcm/fund_mapping/mmdpt21qh/t2/1q/o0x0/UGISSSF.pdf

KKP ACT FIXED-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวคุณภาพดี ลงทุนกระจายทั้งในตราสารหนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งไทยและต่างประเทศ

จุดเด่น

  • กองทุนมี Duration ค่อนข้างต่ำไม่เกิน 2 ปี ทำให้มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยไม่สูง
  • กองทุนสร้างผลตอบแทนได้ดีมาก ใกล้เคียงกับกองตราสารหนี้ที่มี Duration ยาวกว่า
  • กองทุนมีความผันผวนที่ต่ำ ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ควบคุม Drawdown ได้ดีกว่าตราสารหนี้ระยะยาว

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 1,000 บาท

ครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 0.4020%

สัดส่วนสินทรัพย์หลัก 5 ดันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2566)

พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (CBF23O09A) 6.51%

พันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ (ILB283A) 3.78%

พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (CBF23N13A) 3.68%

พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (CBF23619A) 3.60%

พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT239A) 3.55%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในตราสารภาครัฐ และตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเอกชน และ/หรือ เงินฝาก ทั้งในและต่างประเทศ โดยกองทุนจะลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79% ของ NAV

ที่มา: KKP ACT FIXED-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://media.kkpfg.com/document/2020/Nov/AM%20FFS%20KKP%20ACT%20FIXED-SSF.pdf

REITs

PRINCIPAL IPROPEN-SSF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมกลุ่ม REITs และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานไทย และต่างประเทศ

จุดเด่น

  • ลงทุนใน REITs ประเทศไทยและสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระจายการลงทุนไม่กระจุดตัวในตลาดเดียว
  • เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอยู่ในภาคส่วนที่มั่นคง มีการเติบโต เน้นความผันผวนต่ำ
  • เน้นคัดเลือกรายสินทรัพย์โดยมอง Valuation เป็นหลัก ไม่เร่งซื้อ สะสมเมื่อราคาปรับตัวลง

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 1,000 บาท

ครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.5600%

สัดส่วนสินทรัพย์หลัก 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2566)

GOODMAN GROUP : GMG AU 8.10%

CapitaLand Mall Trust : CICT SP 3.82%

CapLAnd Ascendas REIT : CLAR SP 3.66%

LINK REIT : 823 HK 3.65%

STOCKLAND : SGP AU 3.63%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึง Exchange Traded Fund (ETF) และ/หรือหน่วยของกองทุน private equity ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือทรัสต์เพื่อการลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์(REITs) หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือเน้นลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือโครงสร้างพื้นฐาน และ/หรือตราสารของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/ตรา สารของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: PRINCIPAL iPROPEN-SSF Fund Fact Sheet วันที่ 30 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.principal.th/sites/default/files/fund-documents/Thailand%20Site/th_PRINCIPAL_iPROPEN_FFS.pdf

โพยรวม RMF รายกอง

รวมโพย SSF RMF รายกอง: คัดเน้นที่เดียวจบ!

หุ้น

หุ้นโลก

KFGGRMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนมีกลยุทธ์การบริหารแบบไม่อิงกับ Benchmark เลือกหุ้นแบบ Bottom Up เน้นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว เน้นการซื้อและถือเป็นหลัก ในหุ้นที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง 

จุดเด่น

  • บริหารโดย Baillie Gifford หนึ่งในผู้บริหารกองทุนหุ้นเติบโตอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน
  • คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตการลงทุนอย่างเข้มข้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีโอกาสเติบโต 2 เท่าใน 5 ปี
  • กลยุทธ์ Buy & Hold เพิ่มความมั่นใจในการไม่พลาดโอกาส และลดค่าใช่จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.1491%

สัดส่วนหุ้น 5 ดันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

NVIDIA 6.30%

Amazon.com 5.10%

Kering 4.90%

Tesla Inc 4.90%

Moderna 4.70%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund, Class B USD Acc โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KFGGRMF Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.krungsriasset.com/DataWeb/AYFWeb/th/pdf/FFS_KFGGRMF_TH.pdf?rnd=20220818022444

KCHANGERMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมหุ้นตามแนวคิด ESG ที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนทั่วโลก แบบ Active

จุดเด่น

  • บริหารโดย Baillie Gifford หนึ่งในผู้บริหารกองทุนหุ้นเติบโตอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน
  • คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโต 2 เท่าใน 5 ปี และเป็นไปตามมาตรฐาน ESG แบบเข้มข้น
  • กลยุทธ์ Buy & Hold เพิ่มความมั่นใจในการไม่พลาดโอกาส และลดค่าใช่จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่มี

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.3666%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

MercadoLibre 8.00%

ASML 7.10%

TSMC 5.40%

Moderna 5.10%

Deere & Co 4.80%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KCHANGERMF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/KCHANGERMF.pdf

MEGA10RMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งทั่วโลกโดยกระจายการลงทุนในหุ้น 10 ตัว สัดส่วนเท่า ๆ กัน

จุดเด่น

  • ใช้หลักการเลือกหุ้นเข้ามาในพอร์ตแบบ Rule Based Investing Approach ทำให้มีหลักการที่ชัดเจนในการเลือกหุ้นเข้ามาไม่มี Bias ของผู้จัดการกองทุน
  • แบรนด์ชั้นนำระดับโลกเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเป็นบริษัทที่ทุกคนให้การยอมรับโดยการจัดอันดับแบรนด์เหล่านี้มีการใช้งบการเงินของบริษัทมาเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกด้วย ทำให้ได้หุ้นที่ดีมีคุณภาพ และมีงบการเงินที่แข็งแรง

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 1,000 บาท

ครั้งถัดไป: 1 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.7120%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก 

Meta 10.75%

Microsoft 9.64%

Procter & Gamble 9.58%

Alphabet 9.57%

Amazon.com 9.52%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE / NASDAQ โดยเฉลี่ยใน รอบปีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: MEGA10RMF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.talisam.co.th/wp-content/uploads/2023/04/20230331_MEGA10RMF.pdf

หุ้นสหรัฐฯ

KUSARMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นสหรัฐฯ เน้นการเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีรูปแบบธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

จุดเด่น

  • กองทุนบริหารแบบ Active และยืดหยุ่น สามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
  • กองทุนเน้นการลงทุนแบบ High Conviction เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว บนหุ้นเติบโตที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ชัดเจน

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่มี

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.3866%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

Microsoft 5.10%

NVIDIA 4.90%

Visa 4.70%

Intuit 4.20%

Amazon.com 4.10%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Brown Advisory US Sustainable Growth Fund, Dollar Class SI Acc  โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KUSARMF Fund Fact Sheet วันที่ 16 พฤษภาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/KUSARMF.pdf

หุ้นจีน

KFCHINARMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นจีน All China แบบ Active

จุดเด่น

  • เน้นการลงทุนบนเป้าหมายการเติบโตในระยะ 5 ปีขึ้นไป จากการวิเคราะห์อย่างเข้มข้น เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
  • ใช้ชุดคำถาม Checklist กว่า 100 ข้อ ในการคัดเลือกหุ้นเข้าสู่พอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจ บนมุมมองที่แข็งแกร่ง

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: ขั้นต่ำ 500 บาท

ครั้งถัดไป: ขั้นต่ำ 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.0015%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

Taiwan Semiconductor (TSMC) 7.80%

Tencent Holdings Ltd. 6.40%

AIA Group Limited 5.00%

Midea Group 4.90%

China Merchants Bank Co., Ltd. Class H 4.20%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ FSSA Greater China Growth Fund (Class I – USD) (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV 

ที่มา: KFCHINARMF Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.krungsriasset.com/DataWeb/AYFWeb/th/pdf/FFS_KFCHINARMF_TH.pdf?rnd=20220818023708

KT-ASHARES RMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นจีน A Shares แบบ Active พร้อมกลยุทธ์ลงทุนแบบ High Conviction 

จุดเด่น

  • ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ High Conviction ซึ่งผ่านกระบวนการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
  • เน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของกำลังการบริโภคภายในประเทศจีน เพื่อล้อไปกับโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจจีน
  • บริหารโดยทีมงาน Allianz ที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศจีนมาอย่างยาวนาน

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท 

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยังไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยังไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.34%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

Kweichow Moutai 5.44%

CITIC Securities 3.81%

Contemporary Amperex Technology 3.66%

China Tourism Group Duty Free 2.77%

East Money Information 2.60%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares (class PT (USD)) (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KT-Ashares RMF Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.ktam.co.th/document_fund/fundfactsheet/Factsheet_th_KT-Ashares%20RMF.pdf

หุ้นเวียดนาม

KVIETNAMRMF

รายละเอียดกองทุน

ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเวียดนาม ดำเนินธุรกิจหรือได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือมีทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม

จุดเด่น

  • กองทุนหุ้นเวียดนามที่เน้นลงทุนตรงในตลาดหุ้นเวียดนาม โดยทีมผู้จัดการกองทุนคนไทยที่มีประสบการณ์ ลดการเสียค่าธรรมเนียมหลายต่อจากการลงทุนผ่าน Feeder Fund 
  • สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นลำดับต้น ๆ ของกองทุนเวียดนามในไทย ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
  • กองทุนมี Track Record ที่ยาวนาน โดยที่ยังสามารถทำผลตอบแทนในระยะยาวได้ดี และมีค่าธรรมเนียมไม่แพง

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่มี

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.8634%

สัดส่วนสินทรัพย์ 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 2566)

หุ้น Mobile World Investment Corp 7.44%

หุ้น FPT Corp 7.34%

หุ้น Vinhomes Joint Stock Company 6.90%

หุ้น JSC Bank for Foreign Trade of Vietnam 6.37%

หุ้น Asia Commercial Bank 5.44%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในกองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KVIETNAMRMF Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/KVIETNAMRMF.pdf

หุ้นไทย

TSFRMF-A

รายละเอียดกองทุน

ลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดีที่ผ่านการคัดสรรจากผู้จัดการกองทุน โดยใช้นโยบายการลงทุนแบบเชิงรุก เน้นเลือกลงทุนเพียง 10-15 ตัวในหุ้นเติบโต

จุดเด่น

  • กองทุนหุ้นไทย หมวดกองทุนหุ้นไทยทั่วไป ที่มีผลการดำเนินงานดีสม่ำเสมอในระยะยาว ชนะดัชนีหุ้นไทยอย่างขาดลอย
  • จากมุมมองของผู้จัดการกองทุนที่มีความเฉียบคมนำหน้าตลาด และทีมบริหารจัดการที่มีประสบการณ์ ผ่านหลายสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • พอร์ตการลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นไทยผู้ชนะในแต่ละ Sector ที่ถูกคัดสรรอย่างดี 15 ตัว  เพื่อกระจายคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 1,000 บาท

ครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 0.5060%

สัดส่วนสินทรัพย์ 5 อันดับแรก

หุ้นสามัญบริษัท กัลฟ์เอ็นเนอร์จีดี เวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) 9.73%

หุ้นสามัญบริษัท คอมเซเว่น จํากัด (มหาชน) 9.68%

หุ้นสามัญบริษัท ซีพีออลล์ จํากัด (มหาชน) 9.60%

หุ้นสามัญบริษัทโรงพยาบาลบํารุง ราษฎร์ จํากัด (มหาชน) 9.53%

หุ้นสามัญบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จํากัด (มหาชน) 9.20%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในตราสารทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: TSFRMF-A Fund Fact Sheet วันที่ 28 เมษายน 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.tiscoasset.com/th/historicalnavs/init.action?navData.fundCode=TSFRMF-A

หุ้นเทคโนโลยี

B-INNOTECHRMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก บริหารแบบ Active เน้นการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อรับโอกาสการเติบโตที่ดีภายใต้ความผันผวนที่ต่ำกว่าในระยะยาว

จุดเด่น

  • กองทุนหุ้นเทคโนโลยีแนวหน้า ที่มีผลการดำเนินงานติดอันดับต้น ๆ สม่ำเสมอ
  • บริหารแบบ Active ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย อาทิ เข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีตามวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งจัดสรรเข้าลงทุนในหุ้นวัฏจักร หรือ หุ้นสถานการณ์พิเศษ (Special Situation) ได้บางส่วน เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทน หรือ กระจายความเสี่ยง
  • ผู้จัดการกองทุนหลักบริหารมาอย่างยาวนาน ส่งผลถึงความสม่ำเสมอของผลตอบแทนกองทุนในอดีต และความต่อเนื่องในอนาคต

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.4350%

สัดส่วนหุ้น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ. 2566)

Microsoft 5.00%

Apple 4.90%

Salesforce 3.10%

Alphabet 3.00%

Ericsson 3.00%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Funds – Global Technology Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: B-INNOTECHRMF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.bangkokbank.com/-/media/files/personal/save-and-invest/mutual-funds/fund-information/b-innotechrmf/b-innotechrmf_factsheet_th.pdf?la=th-th&hash=BDCEE04E66E4C67E200CFA3479A44E7C1B30455D

สินทรัพย์ผสม

KGARMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมผสมทั่วโลก มุ่งเน้นหาผลตอบแทนสูงสุดให้กับกองทุน ลงทุนในตราสารหลากหลายประเภททั่วโลก

จุดเด่น

  • ลงทุนในหลากหลาย Asset Class ช่วยลดความผันผวนของกอง 
  • บริหารกองโดย บลจ. Blackrock ที่เป็น บลจ. ชั้นนำระดับโลก
  • กอง allocation มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนแต่ละ asset class ตามสถานการณ์หาโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้น

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: ขั้นต่ำ 500 บาท

ครั้งถัดไป: ขั้นต่ำ 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่มี

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.2505%

สัดส่วนสินทรัพย์ 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

Microsoft 2.42%

Apple 1.54%

Alphabet 1.33%

Amazon.com 1.06%

Unitedhealth Group 0.94%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในกองทุน BGF Global Allocation Fund A2 USD (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: KGARMF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.kasikornasset.com/FundDocument/Fund_Fact_Sheet/KGARMF.pdf

ตราสารหนี้

KKP INRMF

รายละเอียดกองทุน

ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้เอกชนที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และมีเสถียรภาพทางการเงินที่ดี

จุดเด่น

  • กองทุนสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว เทียบกับกองที่มี Duration ใกล้เคียงกัน
  • ผลตอบแทนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำได้ดีกว่ากองอื่นโดยเปรียบเทียบมาก เป็นช่วงที่ผู้จัดการกองทุนคนปัจจุบันเข้ามา
  • ลงทุนในหุ้นกู้เอกชนไม่มากเท่ากับกองทุนอื่น ทำให้มี Credit Risk ที่ต่ำกว่า กองมี Turnover ต่ำ แต่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่ากองอื่น

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 1,000 บาท

ครั้งถัดไป: 1,000 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่มี

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่มี

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 0.4050%

สัดส่วนสินทรัพย์ 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (CBF23O24A) 4.68%

หุ้นกู้ที่ออกโดย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) (GULF269A) 4.22%

พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (CBF23619A) 3.97%

หุ้นกู้ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) (TBEV253A) 3.77%

หุ้นกู้ของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวิร์ค เซอร์วิสเซ็ส จํากัด(มหาชน) (JMT25OA) 3.63%

นโยบายการลงทุน

เน้นการลงทุนในเงินฝาก และ/หรือตราสารหนี้ ของบริษัทเอกชนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเติบโตสูง และมีเสถียรภาพทางการเงินดี หรือของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลที่มี กฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้อาวัล ผู้สลักหลัง ผู้ค้ำประกัน หรือคู่สัญญา เพื่อให้ผู้ถือหน่วยได้รับผลตอบแทนที่ดี

ที่มา: KKP INRMF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://media.kkpfg.com/document/2020/Nov/AM%20Sum%20KKP%20INRMF.pdf

UGISRMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วโลก ลงทุนแบบเชิงรุก เพื่อสร้างผลตอบแทนเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอ

จุดเด่น

  • บริหารแบบ Active ปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
  • ผลตอบแทนย้อนหลังเอาชนะดัชนีเปรียบเทียบได้สม่ำเสมอ ภายใต้ความผันผวนที่ต่ำ
  • บริหารโดย PIMCO บลจ. เฉพาะด้านตราสารหนี้ทั่วโลก

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: ไม่กำหนด

ครั้งถัดไป: ไม่กำหนด

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.0152%

สัดส่วนสินทรัพย์หลัก 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

FNMA TBA 3.5% JUN 30YR 7.75%

FNMA TBA 3.5% MAY 30YR 7.59%

FNMA TBA 3.0% JUN 30YR 4.40%

FNMA TBA 4.0% APR 15YR 4.13%

FNMA PASS THRU 30YR #SD7543 2.62%

นโยบายการลงทุน

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ PIMCO GIS Income Fund (Class I) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: UGISRMF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.uobam.co.th/srcm/fund_mapping/mmdpt21c7/t2/1c/o0x0/UGISRMF.pdf

REITs

B-IR-FOFRMF

รายละเอียดกองทุน

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยและต่างประเทศ บริหารแบบ Active เพื่อเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนทั้งปันผล และส่วนต่างราคา (Capital Gain) ที่ดีในระยะยาว

จุดเด่น

  • มีความผันผวนต่ำกว่ากองทุนในประเภทเดียวกัน แต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า (ระยะเวลาตั้งแต่ปี 2020) ซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของกองทุนสินทรัพย์ทางเลือก
  • อสังหาฯ ไทยและสิงคโปร์ ยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง แต่กลับมาเปิดเมืองอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นจึงมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อจากนี้
  • ผู้จัดการกองทุนมีระบบและจุดชี้วัดที่ใช้ในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่ชัดเจน

ลงทุนขั้นต่ำ

ครั้งแรก: 500 บาท

ครั้งถัดไป: 500 บาท

ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ไม่เรียกเก็บ

ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.4415%

สัดส่วนสินทรัพย์ 5 อันดับแรก

หน่วยลงทุน CapitaLand Ascendas REIT 8.36%

หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท 7.41% 

หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอ 6.79%

หน่วยลงทุน CapitaLand Integrated Commercial Trust 6.19%

หน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โทรคมนาคม ดิจิทัล 5.29%

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก ได้แก่ หน่วย Property/ REITs/ หน่วย Infra/ ETF ที่เน้นลงทุนในหน่วย Property/ REITs/ หน่วย Infra โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV

ที่มา: B-IR-FOFRMF Fund Fact Sheet วันที่ 31 มีนาคม 2023

ศึกษารายละเอียด นโยบาย ข้อมูล และความเสี่ยงของกองทุนเพิ่มเติม ได้ที่

https://www.bangkokbank.com/-/media/files/personal/save-and-invest/mutual-funds/fund-information/b-ir-fofrmf/b-ir-fofrmf_factsheet_th.pdf?la=th-th&hash=364A84FB64705DA63661F3A4FD98B2BA0F83A9B4

แฟนพันธุ์แท้ FINNOMENA ห้ามพลาด!! ดูโพยกองทุนประหยัดภาษีแบบจัดชุด ได้ที่ลิงก์

https://www.finnomena.com/z-admin/ssf-rmf-series-package/

รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองภาษี 200,000 บาทขึ้นไป
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/taxplanner-services

รวมโพย SSF RMF รายกอง: คัดเน้นที่เดียวจบ!

จดหมายจาก “Warren Buffett” ถึงนักลงทุนเน้นคุณค่า ในปี 2023

Finspace
จดหมายจาก “Warren Buffett” ถึงนักลงทุนเน้นคุณค่า ในปี 2023

“หลายปีที่ผ่านมา ผมทำผิดพลาดไปหลายครั้ง”

วอร์เรน บัฟเฟตต์ อุทิศเนื้อที่ส่วนแรก ๆ บนจดหมายให้กับความถ่อมตัวของเขา

“เราจึงมีธุรกิจที่มีผลงานน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ อยู่ในมือน้อยตัวนัก” เขาอธิบายต่อ “หลาย ๆ ธุรกิจในมือก็มีผลงานที่ดีใช้ได้ แต่กลุ่มใหญ่ ๆ เลยกลับร่อแร่จนเกือบขาดทุน”

แทบจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วที่เราจะได้เห็นหัวเรือใหญ่ของ Berkshire Hathaway เริ่มต้นจดหมายจากปลายปากกาของเขาด้วยความผิดพลาดของเขาเอง ทั้งนี้ ‘จดหมายจากบัฟเฟตต์’ คือส่วนหนึ่งในรายงานประจำปีของบริษัทและเป็นเหมือนคัมภีร์ไบเบิลฉบับรายปีที่นักลงทุนทั่วโลกตั้งตารอคอย

‘การยอมรับความผิดพลาด’ ซึ่งเป็นเรื่องแรก ๆ ที่เขาสื่อสารออกมาในข้อเขียนถึงนักลงทุนทั่วโลก จึงเป็นคำสำคัญที่นักลงทุนน่าหยิบไปคิดต่อ เพราะจากเนื้อความที่เขาจะอธิบายต่อจากนี้ จะเห็นได้ชัดว่า การพูดถึงก้าวที่พลาดพลั้ง ไม่ใช่การถ่อมตนจนเกินเลยของพ่อมดแห่งโอมาฮา แต่กลับเป็นแก่นสารของการสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาวที่ดลบันดาลผลตอบแทนให้เขาได้ราวกับเวทมนตร์ในอัตราทบต้น 19.8% ต่อปี ติดต่อกัน 58 ปี

พลั้งบ้างก็ได้

บัฟเฟตต์พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายปีว่า หุ้นเพียงไม่กี่ตัวก็สามารถพลิกการลงทุนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ดังนั้น การยอมให้กับการลงทุนที่ผิดพลาดบ้างในบางครั้งจึงเป็นเรื่องที่ทำได้

เขายกตัวอย่างการลงทุนของตัวเองเพื่อเน้นย้ำถึงเรื่องสำคัญเรื่องนี้ในจดหมายฉบับล่าสุดว่า “การบริหารงานของผมตลอด 58 ปี ที่ Berkshire การตัดสินใจส่วนใหญ่เข้าข่ายธรรมดา ๆ” บัฟเฟตต์ยืนยันว่า ผลลัพธ์อันน่าประทับใจของเรา “มาจากการตัดสินใจที่ดีเยี่ยมจริง ๆ ซึ่ง 5 ปี จะมีมาให้เห็นสักครั้ง”

เพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้เห็นภาพชัด ๆ บัฟเฟตต์พาเราไปยังเมืองโอมาฮา ในปี 1994 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของมหากาพย์ 7 ปีของ Berkshire Hathaway ในการทุ่มซื้อหุ้น Coca-Cola จำนวน 400 ล้านหุ้น ที่มูลค่ารวม 1,300 ล้านเหรียญ และต่อมาเพียงหนึ่งปี พวกเขาก็ทุ่มซื้อหุ้น American Express ในมูลค่าเท่ากัน

กลับมายังปัจจุบัน การลงทุนในหุ้นน้ำอัดลมของเขาทะยานขึ้นมามีมูลค่า 25,000 ล้านเหรียญ ส่วนหุ้นบัตรเครดิตก็เติบโตไม่แพ้กัน โดยมีมูลค่าปัจจุบัน 22,000 ล้านเหรียญ ซึ่งรวม ๆ หุ้นทั้งสองจะมูลค่ารวมกันราว 1 ใน 10 ของการลงทุนทั้งหมดที่ Berkshire ปี 2022

บัฟเฟตต์สมมติขึ้นมาว่า ถ้าบังเอิญในทศวรรษ 1990 เขาได้ตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวที่ 3 ในมูลค่า 1,300 ล้านเหรียญ เท่ากับ Coca-Cola และ American Express แต่การลงทุนเจ้ากรรมตัวนี้ดัน ‘ผิดพลาด’ และราคาไม่เพิ่มเลยในเวลา 30 ปี ซึ่งทำให้มูลค่าปัจจุบันของหุ้นนี้อยู่ที่ 1,300 ล้านเหรียญเท่าเดิม

ความผิดพลาดก้อนนี้ก็จะเป็นเศษเสี้ยวเพียง 0.03 ใน 10 ของการลงทุนทั้งหมด (เทียบกับ Coca-Cola บวกกับ American Express ที่มีมูลค่า 1 ใน 10) เพราะการตัดสินใจดี ๆ บางตัว (บวกกับการลงทุนระยะยาว) เข้ามาชดเชยการลงทุนแย่ ๆ นิทานของบัฟเฟตต์เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “วัชพืชจะเฉาตายเมื่อมวลไม้ใหญ่ผลิบาน”

เล่นหุ้น? ที่นี่เราไม่ทำกันแบบนี้

“ชาร์ลีและผมไม่ใช่นักเลือกหุ้น เราเป็นนักเลือกธุรกิจต่างหาก”

บัฟเฟตต์อธิบายถึงสิ่งที่ตัวเขา ชาร์ลี มังเกอร์ คู่หูของเขา รวมถึงทีมงานทุกคน ทำกันที่ Berkshire นี่คือประโยคที่อธิบายปรัชญาการลงทุนของเขาได้ดีที่สุด และยังเป็นเรื่องราวอันดับหนึ่งที่เขาย้ำนักย้ำหนากับนักลงทุน

เรื่องนี้ช่วยเติมเต็มเรื่องราวที่เล่าไปก่อนหน้าได้เป็นอย่างดีว่าเราจะหา ‘การลงทุนที่ดี’ เพื่อลบล้างการตัดสินใจแย่ ๆ ได้อย่างไรในระยะยาว ซึ่งบัฟเฟตต์อธิบายว่าเราจะต้องหา “ธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตที่ยั่งยืนและทีมบริหารที่วางใจได้” และลงทุนในธุรกิจเหล่านั้น

เป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าการลงทุนที่ดีต้องมีศักยภาพเติบโต แต่อีกคำที่น่าสนใจในคำพูดของบัฟเฟตต์คือการมองหาผู้บริหารที่ดี และเขาก็พูดเอาไว้ชัดเจนว่า “ถ้าธุรกิจจะผิดพลาดบ้างเราเข้าใจ แต่ถ้าผู้บริหารประพฤติไม่เหมาะสมเรื่องนี้เราจะไม่ทนเด็ดขาด”

คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนอย่างยิ่งว่า เมื่อ Berkshire จะลงทุน พวกเขาลงทุนไปกับ ‘ธุรกิจทั้งกระบวน’ ไล่ไปตั้งแต่ทีมผู้บริหารไปจนถึงพนักงานที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจขึ้น ไม่ใช่ลงทุนในหุ้นและอาศัยการขึ้นลงของราคาหลักทรัพย์ตามความคาดหวังตลาดเพื่อสร้างผลตอบแทน

จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบัฟเฟตต์ถึงให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อของทีมบริหารในระดับที่ตัวเขาเองก็ยอมรับว่า “อาจสุดโต่งไปด้วยซ้ำหากมองจากมุมของคนอื่น”

ธุรกิจแสนวิเศษ ในราคาสุดโง่งม

ถ้าจะมีที่ไหนสักที่ที่จะมอบโอกาสอันหอมหวาน (และบางครั้งก็ขื่นขม) ในการเป็นเจ้าของธุรกิจสักตัวหนึ่ง บัฟเฟตต์บอกว่าที่แห่งนั้นก็คือ ตลาดหุ้น

“เรื่องนี้สำคัญมาก คุณต้องเข้าใจว่าหุ้นมักถูกซื้อขายในราคาแสนโง่งมอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็แพงหูฉี่ บ้างก็ถูกเหลือเชื่อ” เขาอธิบาย “ทั้งหุ้นและพันธบัตรต่างก็ยุ่งเหยิงไปหมด พฤติกรรมในราคาของสิ่งเหล่านี้จะเป็นที่เข้าใจได้ก็ต่อเมื่อเรากลับมามองย้อนทีหลังเท่านั้นแหละ”

บัฟเฟตต์กล่าวถึงชาร์ลี มังเกอร์ คู่หูผู้เต็มไปด้วยวาจาโผงผางดุดัน ว่าครั้งหนึ่งชายผู้นี้เคยอธิบายถึงโลกการลงทุนเอาไว้ว่า “เต็มไปด้วยนักพนันจอมทึ่ม และคนเหล่านี้จะไม่มีวันทำได้ดีเท่านักลงทุนผู้อดทน”

“แต่เรื่องแบบนี้ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง” บัฟเฟตต์พูดถึงข้อดีของตลาดหุ้นที่นักลงทุนเน้นคุณค่าสามารถฉกฉวยได้ “เพราะบางครั้ง มันก็เปิดโอกาสให้เราได้มีส่วนร่วมในธุรกิจแสนอัศจรรย์ในราคาอันน่าทึ่ง”

แล้วจะทำอย่างไรต่อกับธุรกิจแสนอัศจรรย์นั้น? คำตอบไม่ยาก ครั้งหนึ่ง มังเกอร์เคยกล่าวประโยคที่สะท้อนถึงแนวทางการลงทุนในแบบของ Berkshire เอาไว้ว่า “วอร์เรนกับผมขอเพิกเฉยกับตลาดที่ฟูฟ่อง สิ่งที่เรามองหาคือการลงทุนที่ดี และจะกอดมันเอาไว้อย่างดื้อดึงเป็นเวลานาน”

กำเงินสด และอดทน

“ความอดทนฝึกกันได้ สมาธิที่มั่นคงและความสามารถที่จะจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างยาวนานถือเป็นข้อได้เปรียบอันใหญ่หลวง” – ชาร์ลี มังเกอร์

นี่คือคำตอบของคำถามว่าควรทำอะไรเมื่อต้องเผชิญยามยากในโลกแห่งการลงทุน เพราะบัฟเฟตต์เชื่ออย่างแรงกล้าว่า “การคาดเดาเศรษฐกิจและตลาดในอนาคตอันใกล้เป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าไร้ประโยชน์”

เขาอธิบายวิธีการที่ทำให้ Berkshire สามารถถือบริษัทที่ดีในตลาดที่แย่ได้ด้วยจิตใจที่ไม่สั่นไหวว่า “เราถือเงินสดแบบเต็มกระบุงพร้อมด้วยพันธบัตรรัฐบาลอีกไม่น้อย และเราจะเลี่ยงทุกพฤติกรรมที่ทำให้เงินสดขาดมือในยามยาก เช่น เมื่อตลาดตื่นตกใจ” เขาอธิบายต่อ “หน้าที่ของเราคือสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจเมื่อเวลาผ่านไป”

ส่องผลงาน Berkshire Hathaway เมื่อก้าวสู่ปี  2023

หลายปีที่ผ่านมา Berkshire เติบโตได้กลาง ๆ เมื่อเทียบกับตลาด แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในเวลาที่ผันผวนอย่างปี 2022 กลับเป็นเวลาที่หุ้นของ Berkshire เปล่งประกาย เพราะถูกซื้อขายอยู่ในจุดที่เกือบจะแตะจุดสูงสุดใหม่ สวนทางกับหุ้นร้อนแรงอย่างหุ้นเทคฯ ที่ทำผลงานได้ย่ำแย่

เมื่อสิ้นปี 2022 บริษัท Berkshire Hathaway นั่งตำแหน่งผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดใน 8 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ American Express, Bank of America, Chevron, Coca-Cola, HP Inc., Moody’s, Occidental Petroleum และ Paramount Global

นอกเหนือจากรายงานประจำปีที่ Berkshire จะส่งถึงนักลงทุนเป็นประจำทุก ๆ ต้นปี แล้ว ในไตรมาส 2 ซึ่งในปีนี้คือวันที่ 5-6 พฤษภาคม Berkshire ก็จะมีอีกหนึ่งอีเวนต์สำคัญซึ่งก็คืองานประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ เมืองโอมาฮา และนี่จะเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญที่นักลงทุนตั้งตารอ

อ้างอิง 

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/warren-buffett-letter-2023/

เริ่มทำเลย! 5 พฤติกรรม สู่การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

planet 46
เริ่มทำเลย! 5 พฤติกรรม สู่การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

เคยไหม? ลงทุนมาก็นาน แต่ทำไมไม่ประสบความสำเร็จสักที น้อยใจตัวเอง พูดแล้วก็ท้อ ไม่อยากลงทุนต่อแล้ว

แต่ช้าก่อน.. อย่าเพิ่งถอดใจกันไป เพราะวันนี้เราได้รวบรวม 5 พฤติกรรม ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในโลกการลงทุนมาฝากนักลงทุนทุกท่านกันแล้ว หากทำตามได้ครบทั้ง 5 อย่างนี้รับรองว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน!

5 พฤติกรรม สู่การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

เริ่มทำเลย! 5 พฤติกรรม สู่การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

1. เข้าใจตลาดและสินทรัพย์ที่ลงทุน

สินทรัพย์ทางการเงินมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ คริปโตเคอร์เรนซี ฯลฯ โดยสินทรัพย์แต่ละประเภทก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจในสินทรัพย์นั้น ๆ พร้อมทำความเข้าใจกับตลาดที่เราจะเข้าไปลงทุนด้วย เช่น หากลงทุนในหุ้น ก็ควรรู้จักหุ้นตัวนั้นว่าบริษัททำธุรกิจอะไร งบการเงินเป็นอย่างไร มีโอกาสเติบโตมากน้อยเพียงใดหากเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม Asset Class คืออะไร?: คำศัพท์การลงทุนที่นักลงทุนต้องทำความรู้จัก

2. วางแผนและตั้งเป้าหมายการลงทุน

ก่อนที่จะเริ่มลงทุน เราควรวางแผนการลงทุนเสมอ เริ่มด้วยการกำหนดเป้าหมายการลงทุน เพราะหากรู้ว่าเป้าหมายการลงทุนของเราคืออะไรแล้ว ก็จะช่วยให้วางแผนการลงทุนได้ง่ายขึ้น รวมถึงพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายการลงทุนได้ในระยะยาว

เช่น นาย A อายุ 25 ปี ตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากมีเงิน 20 ล้านในวัยเกษียณอายุ 60 ปี แบบนี้ก็จะทำให้ นาย A ทราบได้ว่าเหลือเวลาอีกกี่ปีในการลงทุน ต้องลงทุนในสินทรัพย์อะไร สัดส่วนเท่าไรตามความเสี่ยงที่นาย A รับได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแผนเกษียณ 20 ล้าน

ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มวางแผนการลงทุนอย่างไร หรืออยากมีตัวช่วยทำให้การวางแผนการลงทุนเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น ลองให้ “FINNOMENA Goals Navigator™” ช่วยคุณกับนวัตกรรมที่มาพร้อมกับบริการวางแผนลงทุนจัดพอร์ตระดับโลกหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ทาง FINNOMENA และ Franklin Templeton ร่วมมือกันพัฒนาและออกแบบ เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และเป้าหมายการลงทุน

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://finno.me/gnavi-web

3. กระจายการลงทุน

หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” กันมาบ้าง สำหรับประโยคนี้ในโลกการลงทุนนั้นหมายถึงการกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ หรือที่เรียกกันว่า “Asset Allocation” นั่นเอง อย่างที่ทราบกันดีว่าไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนได้ดีในทุกช่วงเวลา เราจึงต้องกระจายลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง สร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน ลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในช่วงตลาดขาลง พร้อมสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้ในทุกสภาวะตลาด

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Asset Allocation

4. ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าในโลกการลงทุน ก็ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอยู่เสมอ ติดตามสภาวะตลาดและเศรษฐกิจโลกเป็นประจำ เพราะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงมีความจำเป็นที่นักลงทุนอย่างเรา ๆ ต้องรู้เท่าทันตลาด ยิ่งศึกษามากเพียงใด ก็ยิ่งมีโอกาสชนะตลาดได้มากขึ้น และจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในโลกการลงทุนได้ง่ายขึ้น

5. รู้จักควบคุมอารมณ์

จิตวิทยากับการลงทุนเป็นของคู่กัน สภาวะตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอาจทำให้บางครั้งเรานำอารมณ์มาใช้ในการลงทุน ซึ่งการลงทุนที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล อาจทำให้ตัดสินใจพลาดได้ เหมือนคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณใช้อารมณ์กับการลงทุน คุณจะไม่มีวันทำมันได้ดีเลย” ดังนั้นนักลงทุนที่อยากประสบความสำเร็จต้องรู้จักที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ในการลงทุน

— planet 46.

อ้างอิง

https://www.johnhancock.com/ideas-insights/how-to-be-a-good-investor.html


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำควรเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

News Update: Cathie Wood ออกมาอธิบายแล้วว่าทำไม ARKK ถึงขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160%

THE OPPORTUNITY
News Update: Cathie Wood ออกมาอธิบายแล้วว่าทำไม ARKK ถึงขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160%

Cathie Wood ออกมาบอกว่าที่ Ark Invest ตัดสินใจขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% เป็นเพราะวัฏจักรที่เฟื่องฟูของอุตสาหกรรมนั้นมี ‘ความเสี่ยง’

ก่อนหน้านี้ กองทุนเรือธงของ Ark Invest อย่าง ARK Innovation ETF หรือ ARKK ได้ ‘ลดสัดส่วน’ หุ้น Nvidia ออกมาในเดือน ม.ค. ทำให้ ‘พลาด’ การทำกำไรในบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นมามากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์

ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (25 พ.ค.) เพียงวันเดียว ราคาหุ้น Nvidia เพิ่มขึ้นมา 24% หลังจากออกมาคาดการณ์ว่ายอดขายในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 53%

Cathie Wood ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg TV ว่า ยิ่งราคาหุ้น Nvidia วิ่งไปเท่าไร ยิ่งทำให้ Ark ต้องลดสัดส่วนการลงทุนลงชั่วคราว และเมื่อได้ยินคำว่า ‘ขาดแคลน’ ซ้ำๆ เกี่ยวกับการ์ดจอ (GPU) หรืออะไรก็ตาม มันทำให้ Cathie Wood เริ่มคิดว่าถึงเวลาวัฏจักรของหุ้นกลุ่มนี้แล้ว

Cathie Wood อธิบายต่อว่า Nvidia ยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในการผลิตชิปสำหรับโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่อยู่เบื้องหลัง AI อย่างเช่น Tesla, Meta และ Alphabet ที่กำลังพัฒนาชิปของตนเอง

ตลอดปี 2023 ที่ผ่านมา กองทุน ARKK ของ Cathie Wood เพิ่มขึ้น 25% แซงหน้า S&P 500 ที่ +9.4% แต่ยังน้อยกว่าดัชนี Nasdaq 100 ที่พุ่งขึ้นมากกว่า 30% 

นอกจากนี้ Cathie Wood ยังบอกว่า Ark กำลังเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นกลุ่มอื่นที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยค้นพบ เหมือนที่ก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า Nvidia คือหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก AI แต่เพิ่งจะมาสนใจกันเมื่อไม่นานมานี้

Cathie Wood กล่าวว่า กลยุทธ์ของ Meta ในการเน้นไปที่ AI นั้น ‘น่าสนใจ’ เพราะโมเดลภาษา LLaMA AI ของ Meta สามารถนำเสนอโมเดลที่ดีกว่า โดยใช้พลังการประมวลผลที่น้อยลงและข้อมูลที่มากขึ้น

ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-26/cathie-wood-defends-bailing-on-nvidia-citing-risk-of-chip-cycle-li4vonws?sref=e4t2werz 

——————-

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน

กฎมีไว้แหก! 5 ความสัมพันธ์ของตลาดการเงินและเศรษฐกิจที่อาจแตกในปี 2023

DR.JITIPOL PUKSAMATANAN
กฎมีไว้แหก! 5 ความสัมพันธ์ของตลาดการเงินและเศรษฐกิจที่อาจแตกในปี 2023

ช่วงที่ความไม่แน่นอนมีมากมายในตลาดแต่ราคาสินทรัพย์ทางการเงินส่วนใหญ่กลับไม่เปลี่ยนแปลง ความผันผวนปรับตัวลดลง มักเป็นเวลาเหมาะสมที่นักลงทุนจะตั้งคำถามว่านี่คือ “คลื่นลมสงบก่อนเกิดพายุใหญ่” หรือ “แค่คลื่นรบกวนแต่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญ”

สำหรับตลาดการเงิน ความแน่นอนมีอยู่เรื่องเดียวคือไม่มีใครที่จะหยั่งรู้อนาคต

แต่ถ้าอดีตสามารถบอกอะไรเราได้บ้าง การเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้มักเกิดจาก “กฎหรือความสัมพันธ์” ของเศรษฐกิจและตลาดการเงินกำลังผิดไปจากประวัติศาสตร์

กฎข้อแรก “บอนด์ยีลด์กลับทิศ” จะตามมาด้วยเศรษฐกิจถดถอยในไม่เกิน 18 เดือน

กลับทิศในที่นี้ผมหมายถึงการที่ยีลด์ระยะสั้นสูงกว่ายีลด์ระยะยาวหรือ Inverted  Yield Curve (IYC)

ตั้งแต่ปี 1950 กฎข้อนี้ทำนายเศรษฐกิจถดถอยถูกทุกครั้ง โดยเฉลี่ยเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยภายใน 17-19 เดือนจากการกลับทิศเดือนแรก

รอบนี้ยีลด์ระยะยาว (10ปี) ต่ำกว่าระยะสั้น (2ปี) ตั้งแต่มีนาคม 2022 ดังนั้นเดือนสิงหาคมถึงกันยายนจึงเป็นช่วงที่ต้องจับตามากที่สุด

อย่างไรก็ดี การทำนายเศรษฐกิจถดถอยนั้นมักถูกต้องเสมอถ้าตลาดรอได้นานพอ เช่นในปี 1965 เศรษฐกิจถดถอยเกิดหลังยีลด์กลับทิศนานถึง 48 เดือน!

สำหรับครั้งนี้ผมมองว่า IYC เกิดด้วยเหตุผลอื่นไม่ใช่ภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เป็นไปได้สูงที่กฎข้อนี้อาจไม่จริงเป็นอย่างแรก

กฎข้อสอง ดอกเบี้ยขาขึ้นจะจบด้วยวิกฤติทางการเงิน

ย้อนกลับไปในอดีตที่ใกล้ที่สุด 40 ปี กฎข้อนี้เป็นจริงเสมอ เพราะมีทั้ง Great Financial Crisis ปี 2008 Dot Com ปี 2000 Asian Crisis ปี 1997 ไปจนถึง S&L Crisis ปี 1986 ทั้งหมดล้วนมีดอกเบี้ยขาขึ้นที่สูงเกินกว่า 5% เป็นองค์ประกอบของวิกฤติ

ครั้งนี้เริ่มเห็นวิกฤติภาคการธนาคารจากการไหลออกของเงินฝาก แต่ปัญหานี้อาจไม่ลามไปเป็นวิกฤติเพราะความแตกต่างเรื่องการใช้ตราสารทางการเงินที่น้อย โครงสร้างเศรษฐกิจอยู่บนธุรกิจที่ไม่ต้องพึ่งการกู้ยืม ขณะที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real residential investment) ต่อจีดีพีก็เหลือเพียง 2-3% จากในอดีตก่อน GFC ที่ราว 5-8% นี่เป็นกฏที่อาจแตกเป็นข้อสอง

กฎข้อสาม ธนาคารกลางสหรัฐจะไม่ลดดอกเบี้ยในช่วงที่การว่างงานต่ำและเงินเฟ้อสูง

ย้อนกลับไปในอดีต ช่วงการลดดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงที่สุดคือปี 2019 และ 2001 อัตราการว่างงานต่ำราว 4% แต่ต้องเงินเฟ้อต่ำติดเป้าหมายที่ 2% ด้วย หรือการลดดอกเบี้ยปี 1970 และ 1987-89 เงินเฟ้อสูง 6-7% เท่าปัจจุบัน แต่การว่างงานก็ต้องสูงเกิน 5%

ครั้งนี้ความแตกต่างอยู่ที่เงินเฟ้อพื้นฐาน ถ้าไม่นับราคาที่อยู่อาศัยและรถมือสอง ล่าสุดปรับตัวลงและคาดว่าจะกลับมาที่เป้าหมายได้แล้ว ขณะที่รายงานใน Beige Book ก็ชี้เช่นกันว่าการว่างงานที่ต่ำไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจดี แต่มาจากความกังวลกับการหาแรงงานใหม่จนไม่กล้าปลดคนงานต่างหาก

กฎข้อสี่ เพดานหนี้มีไว้ต่อรองแต่จะผ่านได้ด้วยการเพิ่มหนี้ทุกครั้ง

แม้ครั้งที่แย่ที่สุดในปี 2011 จะนำไปสู่การลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ แต่ในทุกครั้งนักการเมืองก็ตกลงกันได้เสมอ

ผมเชื่อว่าครั้งนี้แม้อาจหาทางออกได้ แต่จุดเริ่มต้นมาจากระดับหนี้ต่อจีดีพีที่สูงสุดในประวัติศาสตร์และแทบไม่มีทีท่าที่จะหาทางหยุดการขาดดุลการคลังได้อาจทำให้ปัญหาไม่จบ

เพดานหนี้อาจพัฒนาไปเป็นเกมส์การเมืองเพื่อกดดันพรรค Democrats สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2024 ปัญหานี้จึงอาจจบไม่สนิท และเลื่อนข้อตกลงจนเศรษฐกิจสหรัฐต้องเข้าสู่ภาวะถดถอยระยะสั้น เป้าหมายไปจบที่กฎการเมืองอีกข้อว่า ประธานาธิบดีที่บริหารเศรษฐกิจจนถดถอยจะแพ้เลือกตั้งในสมัยหน้า

กฎข้อห้า ตลาดหุ้นจะปรับฐานก่อนเศรษฐกิจถดถอยและจะฟื้นตัวเมื่อเศรษฐกิจแตะจุดต่ำสุด

ในอดีต S&P500 มักทำจุดต่ำสุดก่อนเศรษฐกิจถดถอย การปรับตัวลงมักเกิดขึ้นใกล้กับการเกิด Recession ราว 30-50 วัน โดยเฉลี่ยนจะปรับตัวลงราว 15-20%

แต่ครั้งนี้ ผมมองว่าเป็นไปได้สองกรณี แบบแรกคือไม่สนใจเศรษฐกิจเลยเพราะ หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทำให้ตลาดหุ้นไม่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐเหมือนทุกครั้ง ความต่างนี้อาจทำให้การปรับตัวลงดูเบา และไม่รุนแรงถึงกับเป็นจุดต่ำสุดใหม่

หรือแบบที่สองคือผลพวงจากเศรษฐกิจถดถอย ถึงจะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาเช่นวิกฤติภาคการธนาคาร นั่นหมายความว่า Recession อาจเกิดขึ้นก่อน Market Bottom ไม่ใช่ที่ตลาดจะปรับฐานก่อนเหมือนทุกครั้ง

ผมมองว่าความ “คิดต่าง” เหล่านี้เป็นแรงต้านที่ทำให้ตลาดไม่ปรับตัวลงทันที หรือความเสี่ยงอาจถูกเลื่อนออกไปไกลว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะตลาดการเงินก็ไม่ต่างจากสังคมที่ “กฎมีไว้แหก” และ “ความสัมพันธ์มีไว้ทำลาย”

ความเชื่อของตลาดและการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายเปลี่ยนแปลงได้เสมอ และเราจะได้เห็นพร้อมกันจากนี้เป็นต้นไปครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

ตลาดหุ้นกับรัฐบาล

Dr.Niwes Hemvachiravarakorn
ตลาดหุ้นกับรัฐบาล

การเมืองล่าสุดที่พรรค “ฝ่ายซ้าย” กำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาล นี่ก็คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่ประเทศไทยยังไม่เคยเจอ ในมุมมองคิดว่าตลาดหุ้นนั้น ชอบความเป็น “ทุนนิยมเสรี” มากกว่าการเป็น “สังคมนิยม”

ในช่วงที่กำลังมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงมาพร้อม ๆ กันจนดูเหมือนว่าการจัดตั้งและการมีรัฐบาลที่มีนโยบายหรือมีแนวความคิดทางการปกครองและการบริหารงาน โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ อาจจะมีผลต่อตลาดหุ้น นั่นก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “รัฐบาล” ว่าที่จริง ในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอย่างในสหรัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทุก 4 ปี ก็มีการศึกษาว่าระหว่างรัฐบาลที่มาจากพรรคเดโมแครทซึ่งเป็นพรรคที่อยู่ทาง “ซ้าย” ที่เป็นเสรีนิยม กับพรรครีพับลิกัน ที่อยู่ทาง “ขวา” ที่อนุรักษ์นิยมกว่านั้น ตลาดหรือดัชนีหุ้นฝั่งไหนจะดีกว่า ซึ่งผลก็ดูเหมือนว่าจะไม่แตกต่างกันนัก หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ รัฐบาลจากทั้ง 2 พรรคไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้นนัก เลือกตั้งประธานาธิบดีไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้นแม้ว่าผู้ชนะจะเปลี่ยนไปจากเดิม แต่เรามาดูตลาดหุ้นไทยบ้าง โดยผมจะเลือกเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่อยู่เกิน 2 ปีขึ้นไป

รัฐบาลแรกก็คือ รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้บัญชาการกองทัพบกภายหลังจากการรัฐประหารและความวุ่นวายทางการเมือง (กรณี 6 ตุลาคม 2519) ในปี 2523 หรือหลังจากตลาดหลักทรัพย์ก่อตั้งมา 5 ปีในปี 2518 และการเกิดวิกฤติตลาดหุ้นกรณีราชาเงินทุนในปี 2522

วันแรกที่พลเอกเปรมเป็นนายกนั้น ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 138 จุด ซึ่งก็เป็นระดับที่ต่ำจากที่เคยสูงถึง 258 จุด หรือตกลงมาถึง 47% หลังวิกฤติในปี 2522 ภายใต้การบริหารงานของพลเอกเปรมนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวอนุรักษ์นิยมและส่วนใหญ่ก็อิงกับระบบราชการ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยที่พรรคการเมืองที่หนุนหลังนั้นก็กระจัดกระจายและไม่ได้มียุทธศาสตร์อะไรในการชี้นำประเทศ

ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้น “นิ่ง” ไปนานถึง 6 ปีจนถึงปี 2529 ที่ดัชนีก็ยังอยู่ที่ประมาณ 130 จุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลในรูปแบบที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยและอนุรักษ์นิยมนั้น ไม่ดีต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีสุดท้ายของระยะเวลา 8 ปี ครึ่งของพลเอกเปรม ดัชนีตลาดหุ้นก็วิ่งขึ้นไปแรงถึง 437 จุด แต่นั่นก็น่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั้งต่างประเทศและของไทยที่กำลังเริ่มบูมมากกว่าเป็นเรื่องของรัฐบาล

รัฐบาลที่ 2 ก็คือ รัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีในนามของพรรคการเมืองคือพรรคชาติไทย หลังจากที่พลเอกเปรมปฏิเสธที่จะเป็นต่อหลังการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2531 นโยบาย “ทำสนามรบให้เป็นสนามการค้า” และการ “สนับสนุนธุรกิจเอกชน” ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 2 ปี ครึ่ง ปรับตัวขึ้นช่วงหนึ่งจาก 320 จุด เป็น 1,100 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 250% ตามภาวะการณ์เติบโตอย่างร้อนแรงของเศรษฐกิจและการเปิดเสรีทางการเงินของประเทศ และนี่ก็คือสิ่งที่ “ตลาดหุ้นชอบ” นั่นก็คือ “ทุนนิยมเสรี”

รัฐบาลที่ 3 ก็คือ รัฐบาล ชวน หลีกภัย 1 ระหว่างปี 2535 ถึง 2538 เป็นเวลาเกือบ 3 ปี นี่คือช่วงเวลาหลังรัฐประหารรัฐบาลชาติชายและต่อมานำไปสู่เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ในปี 2535 ซึ่งประเทศไทยดูเหมือนจะ เข้าสู่ “ยุคใหม่” ของการปกครองที่พลเรือนที่เป็นนักการเมืองเป็นผู้นำแทนทหารและข้าราชการระดับสูง ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มจากประมาณ 800 จุด ขึ้นไปถึง 1,754 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่ไม่ถูกทำลายต่อมาอีกกว่า 20 ปี เป็นการเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้นกว่า 100% ในเวลาเพียงปี 1 ปี 4 เดือน

รัฐบาลนายชวน หลีกภัย 2 เริ่มในช่วงปลายปี 2540 หลังเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในช่วงกลางปี และอยู่ถึงต้นปี 2544 เป็นเวลา 3 ปี 2 เดือน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ตกลงมา 55% ในปี 2540 เหลือเพียง 370 จุด ตอนสิ้นปี พยายามประคองตัวและปรับขึ้นบ้างแต่เมื่อประสบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายและการปรับโครงสร้างหนี้ของธุรกิจและประเทศ แบบ “อนุรักษ์นิยม” และตามการชี้นำของ IMF ที่เข้ามาช่วยเหลือรัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายของรัฐบาล ดัชนีตลาดหุ้นก็ปรับตัวลงเหลือเพียงประมาณ 300 จุด กลายเป็น 3 ปีที่หายไป ส่วนหนึ่งจากวิกฤติไฮเทคของอเมริกาที่กำลังมาด้วย ซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกลงมาถึง 44% ในปี 2544

รัฐบาลที่ 4 คือ รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร ที่ชนะเลือกตั้งทั่วไปในปี 2544 ด้วย “ความคิดใหม่” และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในยุคใหม่ของการสื่อสารฉายา “อัศวินคลื่นลูกที่สาม” ภายในช่วง 3 ปีแรกจาก 5 ปี 7 เดือนในตำแหน่ง ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปจาก 300 จุดเป็น 772 จุดหรือเพิ่มขึ้น 157% ประเทศไทยจากสถานะเกือบล้มละลายได้รับการปรับอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือและสามารถใช้หนี้ IMF ได้หมดก่อนครบกำหนดเวลา

รัฐบาลที่ 5 คือ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2551 – 2554 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือนหลังจากการรัฐประหารและความวุ่นวายทางการเมืองที่มีการประท้วงและต่อสู้ระหว่างคน 2 กลุ่มหรือคนเสื้อเหลือง-แดง อย่างไรก็ตาม ดัชนีตอนที่รัฐบาลเข้ามาบริหารงานนั้นอยู่ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดหลังวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ที่ 450 จุด ซึ่งเป็นการตกลงมาถึงประมาณ 48% ในเวลา 1 ปี และกำลังเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็น “ยุคทอง” ของการลงทุน ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง 1,070 จุด หรือ 138% ในเวลา 2 ปี 8 เดือน ทั้ง ๆ ที่การเมืองกำลังวุ่นวาย แต่ก็ไม่มีสัญญาณว่าทหารจะเข้ามาเกี่ยวข้องอีก

รัฐบาลที่ 6 คือรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งจากปี 2554 -2557 เป็นเวลา 2 ปี 9 เดือน จากการเลือกตั้งทั่วไปที่พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะเด็ดขาด ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมั่นคงจากประมาณ 1,070 จุด เป็น 1,416 จุด หรือเพิ่มขึ้น 32% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 10.7% ต่อปี ทั้ง ๆ ที่ปัญหาการเมืองก็ยังคงรุนแรงและในที่สุดก็นำไปสู่การรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง

รัฐบาลสุดท้ายก็คือ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากการรัฐประหารในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน คิดเป็นระยะเวลายาวนานถึง 8 ปี 9 เดือน เป็นรองเฉพาะจอมพล ป. พิบูลสงครามและจอมพลถนอม กิตติขจร เท่านั้น ช่วงตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจจนถึงวันนี้ที่ 27 พฤษภาคม 2566 ดัชนีตลาดลดลงจาก 1,562 จุดเป็น 1,531 จุด หรือลดลงประมาณ 2% หรือพูดง่าย ๆ นี่เป็นช่วง ทศวรรษที่หายไป ตลาดหุ้นแทบจะไม่ให้ผลตอบแทนเลยเป็นเวลาถึง 10 ปี และนี่ก็มีลักษณะคล้าย ๆ กับช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ที่หุ้นไม่ไปไหนยาวนาน และในระหว่างนั้นก็ไม่ขึ้นแรงหรือตกแรง

ข้อสรุปของผมจากข้อมูลที่เห็นก็คือ ข้อแรก ตลาดหุ้นจะไม่ชอบการรัฐประหารและการใช้ระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมาก ยิ่งรัฐบาลอยู่นานตลาดก็ยิ่งแย่หรือไม่โตเลย ข้อสอง แม้ว่าการเมืองจะมีความวุ่นวายและมีการประท้วงรุนแรง แต่ถ้าภาพใหญ่ยังปกครองโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นก็มักจะยังพอไปได้ ถ้าหุ้นตกลงมาต่ำมากจนเป็นวิกฤติ โอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวกลับตามภาวะตลาดโลกอย่างในกรณีของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังเป็นไปได้ หรือแม้แต่ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตลาดหุ้นก็ยังพอไปได้แม้ว่าการเมืองจะวุ่นวายมาก

ตลาดหุ้นมักจะดีเมื่อมีรัฐบาลที่เกื้อหนุนธุรกิจ เน้นทุนนิยมเสรี เน้นการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เช่น การมีสัญญาการค้าและการเมืองกับนานาชาติ เช่นสมัยชาติชาย ชุณหะวัน หรือมีการลดภาษีต่าง ๆ และการส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือธุรกิจมาก ๆ อย่างกรณีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีนโยบายรถคันแรกหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554

การนำประเทศเข้าสู่ “ยุคใหม่” หรือผู้นำที่จะนำพาประเทศสู่ความรุ่งเรืองใหม่หลัง “วิกฤติ” ต่าง ๆ อย่างในกรณีทักษิณ ชินวัตรก็มักจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรง เช่นเดียวกับกรณีของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน และอาจจะรวมถึง ชวน หลีกภัย สมัยแรก ที่เปลี่ยนผู้นำจากทหารและข้าราชการเป็นรัฐบาลพลเรือน

สุดท้ายก็คือ เรื่องของการเมืองล่าสุดที่พรรค “ฝ่ายซ้าย” กำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาล นี่ก็คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่ประเทศไทยยังไม่เคยเจอ ผมเองคิดว่าตลาดหุ้นนั้น ชอบความเป็นทุนนิยมเสรีมากกว่าการเป็น “สังคมนิยม” ที่รัฐจะเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจมากขึ้นผ่านระบบการเก็บภาษีมากขึ้น เรายังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นจนกว่ารัฐบาลจะเข้ามาบริหารและผลกระทบส่งถึงตลาดหุ้นเมื่อเวลาผ่านไป

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนนี้ได้สะท้อนเข้าในตลาดหุ้นบ้างแล้ว เพราะหลังการเลือกตั้งไม่กี่วันหุ้นก็ตกลงมาอย่างชัดเจนโดยที่ไม่มีเหตุผลอื่น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด

FINNOMENA Investment Team
ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด (จำนวนจำกัด)

     Weekly Market Insight ประจำสัปดาห์  29/05/66 – 02/06/66

พิเศษ! สำหรับสมาชิก FINNOMENA

THIS ISSUE
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

EYE ON THIS WEEK
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้

MARKET
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

FINNOMENA PORT PERFORMANCE
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน

ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”

(ถ้าเปิดจากโทรศัพท์แล้วดูแบบ preview ไม่ได้ ให้กดดาวน์โหลดมุมขวาบน)