แจ้งเตือน

โอกาสลงทุนท่ามกลางสงครามไปกับ “ธีมอากาศยานและการป้องกันประเทศ”

DR.JITIPOL PUKSAMATANAN
โอกาสลงทุนท่ามกลางสงครามไปกับ “ธีมอากาศยานและการป้องกันประเทศ”

สงครามระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล นอกจากจะสร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินแล้ว ก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วโลกได้เห็นถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยีในการรบและธีมป้องกันประเทศ

ความเสี่ยงสงครามที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านการทหารเพิ่มเป็นโอกาสของการลงทุนขั้นต้น สำหรับ Thematic Investor Sector ลงทุนที่ตรงกับการทหารมากที่สุดคือ Aerospace and Defense หรือกลุ่มอากาศยานและการป้องกันประเทศ อย่างไรก็ดี เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ก็ต้องมีโอกาสของ Disruptor หรือ Innovator เพิ่มขึ้นอีก เราจึงควรทำความเข้าใจเหตุผลและความคาดหวังของธีมป้องกันประเทศกันอีกครั้ง

ประเด็นแรก แม้จะเป็นธีม Defense แต่ไม่ใช่การป้องกันความเสี่ยงสงครามหรือตลาดหุ้นปรับฐานโดยตรง

เหตุผลหลักมาจากความสัมพันธ์กับตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ

แม้การลงทุนกลุ่ม Defense จะได้รับแรงหนุนด้านรายได้จากสงคราม แต่ทั้งหมดยังเป็นหุ้นจึงมีความสัมพันธ์ทางบวกกับตลาดแม้จะต่ำกว่า Sector อื่นๆ นอกจากนี้ธีม Defense ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มการใช้จ่ายเป็นหลัก แม้ในช่วงสงครามสัดส่วนการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศอาจสูงขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจชะลอตัวจากสงคราม การใช้จ่ายโดยรวมก็จะลดลงอยู่ดี

ประเด็นที่สองคือการเติบโตที่ “สูงขึ้น” แต่อาจไม่สูงถึงขั้นเรียกว่าเป็นหุ้นเติบโตสูง

Stockholm International Peace Research Institute ประเมินว่าค่าใช้จ่ายทางกรทหารทั่วโลกจะเติบโตราว 4% ต่อปีในทศวรรษนี้ หรือแค่ใกล้เคียงกับ World Nominal GDP

เหตุผลหลักเป็นเพราะประเทศที่เกี่ยวข้อง เพิ่มค่าใช้จ่ายทางการทหารไปก่อนแล้ว เช่น สหรัฐที่มีการใช้จ่ายด้านการทหารมากที่สุดในโลก ปัจจุบันมีปริมาณการใช้จ่ายสูงเกิดกว่า 3.5%/GDP ขณะเดียวกันงบประมาณก็ต้องแบ่งเป็นหลายส่วน ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีหรือ R&D ทางการป้องกันอย่างเดียว

นักลงทุนหลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจมองว่าธีม Defense ไม่ตื่นเต้นอย่างที่คิด

ในมุมมองของผม สงครามไม่ใช่แรงกระตุ้นของการลงทุนโดยตรง แต่เป็นพัฒนาการของสงครามต่างหากที่จะหนุนธีมนี้ได้

จุดแข็งของธีม Defense คือ ส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ ความเฉพาะตัวสูง และโอกาสการเติบโตที่มากกว่าสงครามกายภาพ

เช่นห้ายักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง Lockheed Martin, Raytheon Technologies, Boeing, Northrop Grumman, หรือ BAE Systems บริษัทเหล่านี้ครองส่วนแบ่งการตลาดในผลิตภัณฑ์ด้านการป้องกันประเทศที่ตัวเองถนัดในสัดส่วนที่สูงกว่า 30% ทั้งหมด

นอกจากนั้นก็มีบริษัทอย่าง Norinco Group (CNIG) ของจีนหรือ Israel Aerospace Industries (ARSP) ที่รับหน้าที่ผลิตอาวุธและเครื่องป้องกันรายประเทศ ส่วนแบ่งการตลาดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในประเทศ มีโอกาสน้อยที่จะถูกต่างชิตแย่งไปได้

ส่วนการเติบโตที่คาดว่าจะเป็นตัวเร่งใหม่คือการป้องกันภัยด้าน Cyber

แม้สงครามในปัจจุบันเป็นเพียงทางกายภาพ ผมมองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะทรัพย์ยากรณ์ในตะวันออกกลางอย่างน้ำมันยังคงเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมาก แต่ในอนาคตยิ่งโลกเข้าสู่สังคม Digital มากขึ้นเท่าไร ข้อมูลข่าวสาร หรือการติดต่อระดับสูงจะกลางเป็นอีกหนึ่งสนามรบที่ต้องลงทุนป้องกันอย่างมาก

เช่นข้อมูลจาก Statista ที่ชี้ว่าค่าใช้จ่ายด้าน Cyber security ทั่วโลกมีการเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 50% ต่อปีมาตั้งแต่ปี 2016 ถึงปัจจุบันและคาดว่าจะเติบโตสูงต่อไป

นอกจากนั้น โอกาสลงทุนจะเพิ่มขึ้นมหาศาล ถ้าสามารถนำเทคโนโลยีด้านการทหารนี้ไปประยุกต์ใช้กับภาคเอกชน

ย้อนกลับไปในอดีต หลากหลายเทคโนโลยีมีจุดเริ่มต้นมาจากการทหาร ก่อนที่จะกลายไปเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกในปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็น เรดาร์ คอมพิวเตอร์ ที่พัฒนาขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไปจนถึง Internet และ GPS ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันก็มีการพัฒนาขึ้นช่วงสงครามเย็น

สงครามครั้งนี้เทคโนโลยีที่มีบทบาทมากที่สุดมีทั้ง Orbital Aerospace อย่างจรวด และ Suborbital Aerospace อย่าง Drones มีโอกาสนำไปสู่ธีมลงทุนแห่งอนาคตหลายประเภท

ตัวอย่างเช่น Electric Vertical Take-off and Landing หรือ eVTOL จากการพัฒนา Drone ที่บรรทุกนำหนักได้มากขึ้น ระบบนำทางที่แม่นยำ Bank of America มองว่า แค่เปลี่ยนจากขนระเบิดไปเป็นขนสินค้า ขนาดตลาด 4พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน อาจขยายไปได้ถึง 2.4 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2035

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือจรวดความเร็วสูงหรือ Hypersonic Missile ที่ถล่มกลุ่มฮามาส สามารถพัฒนาต่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการเดินทาง มีโอกาสร่นระยะเวลาการเดินทางไกลได้ถึง 3 เท่า โดย ARK Invest ประเมินว่าจะสร้างตลาดใหม่ด้านการบินที่มาขนาดถึงกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

โดยสรุป ผมมองว่าธีม Aerospace and Defense เป็นธีมสาย Defensive ที่แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ระยะสั้นได้แรงหนุนจากสงคราม ส่วนในระยะยาวโอกาสอยู่ที่การพัฒนาไปสู่เชิงพาณิชย์

สำหรับนักลงทุนที่สนใจในธีมนี้ ผมขอแนะนำให้รู้จัก 3 US ETF โดดเด่นมีความเฉพาะตัวสูง อย่าง ITA, SHLD, และ ARKX

iShares U.S. Aerospace & Defense ETF ตัวย่อ ITA เป็น ETF หลักของธีมป้องกันประเทศ ขนาด AUM ที่ใหญ่ที่สุดกว่า 6.1 พันล้านดอลลาร์ ประกอบไปด้วยหุ้นสหรัฐทั้งหมด 39 บริษัท เช่น RTX Corp (RTX) Boeing (BA) และ Lockheed Martin Corp (LMT) เป็น ETF ที่มี Beta ต่ำเพียงราว 0.4 เป็นเจ้าตลาดปัจจุบัน และ P/E ไม่แพง 28x จุดอ่อนคือมีการเติบโตของยอดขายเพียงราว 3.8%

Global X Defense Tech ETF ตัวย่อ SHLD เป็น ETF ธีมป้องกันประเทศที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนี้ ความแตกต่างที่ชัดเจนคือเป็น ETF ที่ลงทุนทั่วโลกมีสัดส่วนสหรัฐเพียง 60% และมีกลุ่มเทคโนโลยีนอกสหรัฐเข้ามาผสม เช่น BAE Systems (BA.LN) Rheinmetall AG (RHM.GR) และ Elbit System (ESLT.IT) ทั้งหมดมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้มากกว่าบริษัทในฝั่งสหรัฐ และเมื่อมาจากประเทศนอกสหรัฐเป็นหลัก P/E ก็ถูกลงเหลือเพียง 20x จุดอ่อนสำคัญ คือความผันผวนที่สูงกว่า ETF อื่น ๆ นั่นเอง

ARK Space Exploration & Innovation ETF ตัวย่อ ARKX หนึ่งใน ETF ที้แม้จะทำผลงานไม่ดีในปีนี้ แต่ก็รวมการลงทุนสายจรวดไว้มากที่สุด

ARKX ประกอบด้วยหุ้นที่มีความแตกต่างจากดัชนีมากที่สุด เช่น Kratos Defense and Security Solutions (KTOS) ผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐ AeroVironment (AVAV) ผู้ผลิตเครื่องบินไร้คนขับ หรือบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีสำหรับการสำรวจ Trimble (TRMB) โดยมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐสูงกว่า 80% แต่ P/E ปัจจุบันไม่แพงมากที่ 26x ความเสี่ยงสำคัญคือส่วนผสมของหุ้นเล็กที่สูง จึงมี Beta ถึง 1.5 เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500

แม้ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้สนับสนุนสงครามในทุกรูปแบบ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางครั้งการพัฒนาก็เกิดขึ้นในจุดที่เราไม่ได้คาดคิด

ทั้ง 3 ETF มีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัด นักลงทุนที่ต้องการลงทุนรับประโยชน์จากภาวะสงครามช่วงนี้ SHLD ตอบโจทย์มากที่สุด แต่ถ้าต้องการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำหลบสงคราม ITA ถือเป็นหนึ่งการลงทุนที่น่าสนใจ ส่วนใครที่มองหา Innovation จากสงคราม และบริษัทแห่งอนาคต ARKX เป็น ETF ที่ตอบโจทย์ได้ครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

Mr.Messenger Call: หุ้นจีนเตรียมทะยาน Upside ยังเหลือ หลังผ่านอีกแนวต้านสำคัญ

Bank - The Trend Follower Investor
Mr.Messenger Call: หุ้นจีนเตรียมทะยาน upside ยังเหลือ

ยังคงคำแนะนำเข้าซื้อกองทุนหุ้นจีน B-CHINE-EQ และ K-CHINA-A(A) หลังทะยานผ่านอีกแนวต้านสำคัญ แต่ยังเหลือ Upside อีกราว 7% จากระดับปัจจุบัน

กราฟราคา MCHI ETF (Timeframe Day)

Mr.Messenger Call: หุ้นจีนเตรียมทะยาน upside ยังเหลือ

Source: Tradingview as of 29/04/2024

Mr.Messenger ได้ออกคำแนะนำ หุ้นจีนเกิดสัญญาณกลับตัว ทะยานเหนือแนวต้านสำคัญ ผ่านกองทุน B-CHINE-EQ และ K-CHINA-A(A) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมา โดยราคา NAV ของ iShares MSCI China ETF (MCHI) ปรับตัวขึ้นราว 9% นับตั้งแต่เริ่มต้นแนะนำ พร้อมปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้าน Downtrend line ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 (เส้นสีน้ำเงิน) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวต้านสำคัญ และบ่งชี้ถึงแนวโน้มการกลับตัวของ MCHI ETF สอดคล้องกันกับ MACD ที่เกิด Buy signal และอยู่เหนือแดน 0 ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงทิศทางของราคาเชิงบวก

หากพิจารณาระดับเป้าหมายในการ Take Profit ที่เคยให้ไว้ที่ระดับ ~$45.3 เท่ากับว่ายังมี Upside อีกราว 7% จากระดับปัจจุบัน สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ได้ลงทุนในหุ้นจีนตามคำแนะนำ Mr.Messenger Call จึงยังคงสามารถลงทุนได้โดยกำหนดจุด Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อ NAV ของ MCHI ปิดตลาดต่ำกว่า $39.4 อย่างมีนัยยะ ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci 38.2 จุดต่ำสุดเดิม โดยมี Downside -7% จากราคาวันที่ 26 เมษายน 2024 และเป็นระดับที่ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1

B-CHINE-EQ

กองทุน B-CHINE-EQ เป็น Fund of Fund ลงทุนในหุ้นที่จัดตั้งในประเทศจีนหรือมีการดำเนินธุรกิจในประเทศจีน และจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นที่ยอมรับต่าง ๆ ซึ่งหลักทรัพย์ที่กองทุนจะลงทุน ได้แก่ หุ้น A-Share, H-Share, American Deposit Recipient (ADR), B-Share, Red-Chips, P-Chips รวมถึงหลักทรัพย์อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีนในอนาคต ทั้งนี้ กองทุน B-CHINE-EQ มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (FX hedging ratio) USDTHB ที่ 55.7%

B-CHINE-EQ Top Holding

Mr.Messenger Call: หุ้นจีนเตรียมทะยาน upside ยังเหลือ

Source: Fund Fact Sheet ของกองทุน B-CHINE-EQ as of 31/03/2024

K-CHINA-A(A)

กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่เน้นลงทุนในบริษัทที่มีการตั้งถิ่นฐานหรือดำเนินธุรกิจในจีน ผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund โดยคัดเลือกธุรกิจที่จะลงทุนแบบ bottom-up stock และเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่ได้ประโยชน์จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน ทั้งนี้ K-CHINA-A(A) เป็นกองทุนความเสี่ยงสูงระดับ 6 ปัจจุบันมี FX hedging ration ที่ 87.63%

K-CHINA-A(A) Top Holding

Mr.Messenger Call: หุ้นจีนเตรียมทะยาน upside ยังเหลือ

Source: Fund Fact Sheet ของกองทุนหลัก K-CHINA-A(A) as of 31/03/2024

นักลงทุนที่เหมาะกับคำแนะนำนี้ ระยะสั้นนี้ควร…

  1. เป็นนักลงทุนที่มีเงินสด หรือสภาพคล่องส่วนเกิน และรับความผันผวนได้สูง
  2. ใช้เงินลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของภาพรวมพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
  3. นักลงทุนต้องยอมรับการ Limit Loss หรือ การตัดขาดทุนได้ทันที

ดู Fund Fact Sheet กองทุนแนะนำ

 

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

รู้จักหุ้นใกล้ตัวควรรู้! พบเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

Finspace
รู้จักหุ้นใกล้ตัวควรรู้! พบเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

พอพูดถึง “หุ้น” คนมักจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่เอาจริง ๆ แล้ว ถ้าลองมองดูไปรอบ ๆ จะพบว่าหุ้นอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะสินค้าต่าง ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทบทั้งนั้น มาดูกันว่าจะมีหุ้นตัวไหนบ้างนะ?

รวม 9 หุ้นในร้านสะดวกซื้อ

รู้จักหุ้นใกล้ตัวควรรู้! พบเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

  1. หุ้น TFMAMA : มาม่า
  2. หุ้น TKN : สาหร่ายเถ้าแก่น้อย
  3. หุ้น CPF : อาหารแช่แข็งซีพี
  4. หุ้น PB : ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์
  5. หุ้น TNR : ถุงยางอนามัยวันทัช
  6. หุ้น CBG : คาราบาวแดง
  7. หุ้น ICHI : อิชิตัน
  8. หุ้น PM : ทาโร่
  9. หุ้น TU : ปลากระป๋องซีเล็ค

รวม 6 หุ้นร้านอาหารในห้าง

รู้จักหุ้นใกล้ตัวควรรู้! พบเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

  1. หุ้น M : เอ็มเคสุกี้
  2. หุ้น OISHI : ร้านอาหารเครือโออิชิ
  3. หุ้น AU : ร้าน After U
  4. หุ้น ZEN : Zen Restaurant
  5. หุ้น MINT : The Pizza Company
  6. หุ้น CENTEL : KFC

รวม 6 หุ้นร้านกาแฟชิค ๆ

รู้จักหุ้นใกล้ตัวควรรู้! พบเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

  • หุ้น OR : คาเฟ่ อเมซอน
  • หุ้น BCP : อินทนิล คอฟฟี่
  • หุ้น TRUE : True Coffee
  • หุ้น CPALL : ALL Cafe’
  • หุ้น MM : au bon pain
  • หุ้น SNP : Bluecup Coffee

รวม 6 หุ้นห้างสรรพสินค้าชอปปิงเพลิน ๆ

รู้จักหุ้นใกล้ตัวควรรู้! พบเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

  1. หุ้น CPN : เซ็นทรัล
  2. หุ้น COL : B2S
  3. หุ้น MBK : มาบุญครอง เซ็นเตอร์
  4. หุ้น HMPRO : โฮมโปร
  5. หุ้น BJC : บิ๊กซี BigC
  6. หุ้น COM7 : Banana IT

รวมหุ้น 7 หุ้น เดินทาง-ท่องเที่ยว

รู้จักหุ้นใกล้ตัวควรรู้! พบเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

  1. หุ้น AOT : ท่าอากาศยานไทย
  2. หุ้น NOK : นกแอร์
  3. หุ้น THAI : การบินไทย
  4. หุ้น AAV : แอร์เอเชีย
  5. หุ้น BA : บางกอกแอร์เวย์
  6. หุ้น BTS : รถไฟฟ้าบีทีเอส
  7. หุ้น BEM : รถไฟฟ้าใต้ดิน, ทางด่วน

 

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%ab%e0%b8%b8%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7/

Finnomena Funds Market Alert : หุ้นฮ่องกงทะยานทั้งสัปดาห์ เมื่ออสังหาฯ ดูดี ราคาขึ้นในรอบเกือบปี

Finnomena Funds

วันนี้ (26 เมษายน 2024) ดัชนีหุ้นฮ่องกง Hang Seng (HSI) และดัชนี HSCEI หรือหุ้นจีน H-Share ปรับตัวขึ้นกว่า 2% หลังจากราคาบ้านในฮ่องกงเพิ่มขึ้นในรอบ 11 เดือน โดยดัชนีราคาสำหรับบ้านส่วนตัวในประเทศ ได้เพิ่มขึ้น 1.06% จากเดือนกุมภาพันธ์ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ดีขึ้น นับตั้งแต่รัฐบาลได้ยกเลิกมาตรการควบคุมด้วยการลดภาษีการซื้อบ้านใหม่เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 

นอกจากนี้มีรายงานว่า บริษัทจีนทุ่มเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 8 ปี เป็นจำนวนเงินกว่า 2.43 แสนล้านหยวน (3.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) นำโดยบริษัทในภาคอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานแสงอาทิตย์ ส่งผลให้ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางการค้า ผ่านการสร้างงาน และส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในตลาดต่างประเทศมากขึ้น 

Finnomena Funds มองว่าความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงจะเริ่มดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นและความพยายามออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงระดับ valuation ของดัชนี CSI 300 ที่มี 12-m forward PE ที่ 11.06  เท่า หรือ -0.8 S.D. ขณะที่ดัชนี Hang Seng มี 12-m forward  PE ที่ 7.98 เท่า หรือ -2 S.D. เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และมีการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 ปีและ 10 ปีตามลำดับ เรายังแนะนำทยอยสะสมในกองทุน K-CHINA-A และ ABCA-A สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและยังมีสัดส่วนหุ้นจีนในพอร์ตไม่มาก

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)

[สรุป LIVE] รับมือโลกการลงทุนไตรมาส 2 ปี 2024 ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างไร? ส่องตัวอย่างการปรับพอร์ตของ KAsset Global Perspective Portfolio

Finnomena Editor

KAsset Global Perspective ปรับพอร์ตไตรมาส 2 ปี 2024 รับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยล่าสุดสถานการณ์การลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงคือ

– ต้องจับตาเรื่องเงินเฟ้อโดยเฉพาะในฝั่ง Service โดยตลาดเริ่มมองว่า Fed อาจยังไม่ลดดอกเบี้ยปีนี้

– กำไรบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มกระจายไป sector อื่น นอกจาก Tech มากขึ้น

– ยุโรปน่าสนใจเพราะ PMI ผ่าน Bottom ไปแล้ว ประกอบกับเงินเฟ้อที่ลดลง และ ECB พร้อมลดดออกเบี้ย แถมยังได้อัปเกรด EPS ของบริษัทต่าง ๆ ขึ้น

– ขณะที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มนโยบายการเงินผ่อนคลายน้อยลง ส่วนอินเดียยังโตแกร่งแต่ระดับราคาค่อนข้างสูง

สรุปออกมาเป็นมุมมองการลงทุนคือ

– ในระยะสั้น ระมัดระวังขึ้นจากเรื่องสงคราม ราคาน้ำมัน และ Yield พันธบัตร ตลอดจนท่าทีของ Fed

– ในระยะยาว Geopolitical risk ไม่ส่งผลต่อผลตอบแทนแบบมีนัยยะ

– แต่ Geopolitical risk ที่เกิดบ่อยและถี่ ก็ทำให้กระจายความเสี่ยงสำคัญมาก

– ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเทคฯ อเมริกา และเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น

– มีมุมมองเชิงบวกต่อยุโรปมากขึ้น

ส่องการปรับพอร์ตช่วงไตรมาส 2 ของ KAsset Global Perspective

1. กลยุทธ์ในส่วนของ Core Port เพื่อลงทุนระยะยาว

Overweight ตราสารหนี้ 

  • กรอบตราสารหนี้ไทย สิบปี พันธบัตรรัฐบาล อยู่ที่ 2.30 – 2.70% คาดว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในครึ่งปีหลัง
  • สําหรับตราสารหนี้ไทย ระยะยาว แนะนําสะสม K-FIXEDPLUS
  • กรอบตราสารหนี้สหรัฐฯ สิบปีพันธบัตรรัฐบาล อยู่ที่ 3.5 -4.25% แนะนําทยอยสะสมกอง K-GDBOND

Overweight ตราสารทุน 

  • แนะนําทยอยลงทุนในประเทศที่การเติบโตแข็งแกร่ง K-USA, K-INDIA
  • ทยอยเข้าลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงใน K-JPX, K-EUX
  • Downside risk จํากัด แนะนํากองทุน K-CHX, K-STAR, K-VALUE

Neutral สินทรัพย์ทางเลือก 

  • แนะนําลงทุนใน K-GOLD 3% ในพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง
  • มีมุมมองเชิงบวกต่อ REITS แนะนํา K-PROPI

2. กลยุทธ์ในส่วนของ Satellite Port ปรับพอร์ตในไตรมาสสอง

Return Seeking Satellite เพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มเติมในระยะสั้น

  • มีการปรับขาย K-GTECH เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมาตั้งแต่ต้นปี มองว่าจะเข้ารอบย่อ จากการที่ตลาด repricing ใหม่ เรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด
  • ซื้อ K-SF เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น มองว่าบอนด์ยิลด์ไทย น่าจะยังเป็นขาลง และจะให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อ ธปท. ลดดอกเบี้ย

Diversifier Satellite เพื่อกระจายความเสี่ยงจาก Core Portfolio

  • K-GHEALTH คงเดิม แนะนําเข้าลงทุน หรือทยอยสะสม เพื่อกระจายความเสี่ยงได้
  • K-HIT คงเดิม แนะนําเข้าลงทุน หรือทยอยสะสม เพื่อกระจายความเสี่ยงได้

แนะนำ Global Perspective Portfolio by KAsset

หากใครสนใจการลงทุนในพอร์ตที่มีนโยบายแบบ Multi Asset วันนี้ FINNOMENA FUNDS ขอแนะนำ Global Perspective Portfolio by KAsset ช่วยสร้างผลตอบแทนระยะยาวผ่านพอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายลงทุนเป็นอย่างดี

Global Perspective Portfolio by KAsset ใช้แนวคิด Core-Satellite portfolio คือ

มี Core Portfolio (80%) เป็นพอร์ตหลักที่ถือไปยาว ๆ 

มี Satellite Portfolio (20%) เป็นพอร์ตที่ช่วยสร้างโอกาสผลตอบแทนในระยะสั้นกว่า

 

ความพิเศษคือในส่วนของ Satellite Portfolio จะมีการแบ่งย่อยเป็น 2 ส่วนอีก คือ 

– Return-seeking Satellite (10%) ช่วยหาโอกาสผลตอบแทนเพิ่มเติม

– Diversifying Satellite (10%) ช่วยกระจายความเสี่ยง มี correlation กับ Core Port ต่ำ

 

นอกจากนี้ Global Perspective Portfolio by KAsset ยังมีการผสานมุมมองการลงทุนจาก J.P. Morgan Asset Management ซึ่งเป็นบลจ. ระดับโลกเข้ามาอีกด้วย

อ่านข้อมูลของ Global Perspective Portfolio by KAsset เพิ่มเติม : https://finno.me/global-perspective-port 


นักลงทุนสายจัดพอร์ต สามารถติดตามรายการใหม่ “Portfolio Mastery – รีวิวทุกข้อมูลพอร์ตการลงทุนที่คุณถือ” ได้ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 1 ทุ่มตรง!

‍‍‍‍รายการที่จะนำทุกพอร์ตการลงทุนของ FINNOMENA มาทำการ review เชิงลึกให้นักลงทุนได้ติดตามความเคลื่อนไหวและมุมมองการลงทุน พร้อมกลยุทธ์ที่ใช้ในอนาคต รวมถึงแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วง

โดยคุณกิ๊ก กสิณ สุธรรมมนัส หรือ Coach Gigs – The Global Allocation และคุณหยง วศิน ปริธัญ – The Long-term Growth

‍‍‍‍‍‍สำหรับ EP. ล่าสุดเรื่อง Global Perspective Portfolio by KAsset รับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/live/OYIfxtk8s6E?si=cFPwrUsQBU9xiEfB 


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในกรอบระยะเวลาตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกันตามคำแนะนำ | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ชี้เป้ากองทุนแนะนำ มองขาดทุกโอกาสการลงทุน: สงครามผ่อนคลาย จังหวะ Buy the Dip [อัปเดตมุมมอง 25 เม.ย. 2024]

FINNOMENA FUNDS Investment Team
กองทุนแนะนำ Finnomena Funds

กองทุนไหนดี? ในภาวะที่ตลาดกลับมาผ่อนคลายความกังวลในเรื่องสงคราม Finnomena Funds มองว่าปัจจัยลบต่าง ๆ นั้นสร้างความผันผวนในระยะสั้นเท่านั้น และเป็นโอกาสเข้าลงทุนมากกว่าตื่นกลัว 

อ่านมุมมองการลงทุน – สงครามแค่ชั่วคราว ตลาดผ่อนคลาย ได้เวลา Buy the Dip

บทความนี้ จึงสรุปมาให้แล้วแบบเน้น ๆ กับคำแนะนำลงทุนรับโอกาส Buy the Dip ด้วยมุมมองการลงทุนหลากหลายสไตล์ ได้แก่  

  • FundTalk Call โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
  • Mr.Messenger Call โดย Bank – Trend Follower คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง โดยเน้นการใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติเพื่อนำมาคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้หาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
  • MEVT Call คำแนะนำการลงทุนในกองทุนเด่นที่มีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical ปัจจัยอื่น ๆ เช่น fund flow, sentiment, seasonal statistic และ technical analysis

 

กองทุนแะนำ Buy the Dipอัปเดตมุมมองการลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 25 เมษายน 2024 โดย Finnomena Funds

กองทุนแนะนำ MEVT Call

1.) PRINCIPAL VNEQ-A

กองทุนหุ้นเวียดนาม (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” จากศักยภาพการเติบโตสูง และระยะยาวได้รับอานิสงส์จาก China+1 และโอกาสการถูกยกระดับเข้าสู่ดัชนี FTSE Emerging Market Index

2.) UOBSA

กองทุนหุ้น Asia ex Japan (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” พร้อมรับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคที่ฟื้นตัว และมีอัพไซด์จากดอลลาร์ใกล้อ่อนค่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียชัดเจนมากขึ้น

3.) ONE-EUROEQ

กองทุนหุ้นยุโรป (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” หลังเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ Valuation ยังไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับหุ้นโลก หนุนโดยกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เติบโต

4.) SCBKEQTG

กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” เป็นจังหวะฟื้นตัวตามวัฏจักร Semiconductor และยังมีปัจจัยหนุนจากโครงการ Value-up program เพื่อส่งเสริมมูลค่าตลาดหุ้น โดย Valuation ก็ยังไม่แพง เป็นโอกาส Buy the Dip

กองทุนแนะนำ Mr.Messenger Call

1.) PRINCIPAL VNEQ-A

กองทุนหุ้นเวียดนาม (ความเสี่ยงระดับ 6) ถึงเวลากลับเข้า “เก็งกำไร” หลังจากที่เริ่มย่อตัวลงมา และดัชนีทำสัญญาณกลับตัวอีกครั้ง โดยแนะนำเข้าลงทุนที่ดัชนี VN30 ไม่เกินระดับ 1,222 จุด 

2.) ASP-DIGIBLOC

กองทุนหุ้นเทคโนโลยี Blockchain (ความเสี่ยงระดับ 6) มองเป็นจังหวะกลับมา Follow Buy หลังผ่านช่วง Bitcoin Halving 

3.) ABEG / ONE-EUROEQ

กองทุนหุ้นยุโรป (ความเสี่ยงระดับ 6) “ซื้อ” ตามเทรนด์ที่ตลาดหุ้นยุโรปทำจุดสูงสุดใหม่ และเกิดสัญญาณ Golden Cross จึงแนะนำเข้าลงทุนที่ NAV ของ STOXX EURO 600 ไม่เกิน 514 จุด

กองทุนแนะนำ FundTalk Call

1.) MEGA10CHINA-A

กองทุนหุ้นจีน (ความเสี่ยงระดับ 6) ที่ลงทุนแบรนด์ระดับโลก 10 ตัว แนะนำ “ซื้อ” โดยจะได้รับประโยชน์จากท่าทีของรัฐบาลที่หันกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจเต็มสูบ

2.) KT-ENERGY

กองทุนหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก (ความเสี่ยงระดับ 7) แนะนำ “ซื้อ” เพราะยังคงได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำมันโลกที่มีโอกาสขาดแคลน

3.) K-SEMQ

กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่  (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ซื้อ”  โดยมองเห็นโอกาสครั้งใหม่ของการเติบโตที่มีอัพไซด์ค่อนข้างสูง หนุนโดยประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย และบราซิล

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

หุ้นจีน Hang Seng ทำจุดสูงสุดในรอบปี “ของจริง” หรือ “เด้งหลอก”

Finnomena Editor
หุ้นจีน Hang Seng ทำจุดสูงสุดในรอบปี

ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีหุ้นจีนฮ่องกง Hang Seng ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทุกวัน และล่าสุดในเช้าวันนี้ (25/04/2024) ก็ขึ้นไปทะลุ 17331 จุด ผ่านเส้นค่าเฉลี่ย (MA) 200 วัน และทำจุดสูงสูงตั้งแต่ปี 2024

ก่อนหน้านี้ ดัชนี Hang Seng ลงไปทำจุดต่ำสุดของปี เมื่อวันที่ 22 มกราคม แต่ก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น และบวกมาแล้วกว่า +16 เมื่อเทียบจากวันนั้น กำลังจะ break down trend channel ไปแล้ว

ประเด็นที่เป็นปัจจัยบวกมาอย่างต่อเนื่อง คือท่าทีกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนของรัฐบาลจีน แถมล่าสุุด (22/04/2024) ก็มีข่าวกระตุ้นตลาดหุ้น H-Share โดย ก.ล.ต. จีนจะดันให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับนานาชาติ ประกาศสนับสนุนการจดทะเบียนของบริษัทชั้นนำของจีนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง พร้อมปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับธุรกิจเทคโนโลยีในการเสนอขายหุ้น IPO

หุ้นจีน Hang Seng ทำจุดสูงสุดในรอบปี

Source: Trading View as of 24/04/2024

MEGA10CHINA-A

หุ้นจีน Hang Seng ทำจุดสูงสุดในรอบปี

Source: Finnomena Funds as of 24/04/2024

กองทุนหุ้นจีนหลาย ๆ กองในไทย ก็วิ่งทำราคาขาขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ MEGA10CHINA-A ที่ลงทุนใน 10 บริษัทที่ทรงอิทธิพลในจีน ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

มูลค่า NAV ของ MEGA10CHINA-A ปรับเพิ่มขึ้น +11.72% นับตั้งแต่ต้นปี ชนะดัชนี Hang Seng Index และ MSCI All China Index

ความน่าสนในของหุ้น 10 ตัวในพอร์ต MEGA10CHINA-A

Source: investing as of 24/04/2024

  1. Alibaba (HKG: 9988) อีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในจีน และเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ระดับโลก
  2. Ping An Insurance (HKG: 2318) บริษัทประกันภัยและการเงินแบบครบวงจรชั้นนำของจีน
  3. BYD (HKG: 1211) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีน โดยเป็นหนึ่งบริษัทที่มียอดขายมากที่สุดในโลก
  4. NetEase (HKG: 9999) บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน ที่มีทั้งธุรกิจเกม เพลงสตรีมมิ่ง อีคอมเมิร์ซ และมีเดียแพลตฟอร์ม
  5. Baidu (HKG: 9888) เสิร์ชเอนจินรายใหญ่ของจีน พร้อมทั้งบริการแผนที่ออนไลน์ และมีการพัฒนา AI ครบวงจร
  6. Nongfu Spring (HKG: 9633) บริษัทน้ำดื่มบรรจุขวดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจีน อาทิ น้ำแร่ น้ำเปล่า และน้ำชา
  7. Tencent (HKG: 0700) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจไปทั่วโลก เช่น โซเชียลมีเดีย เกมออนไลน์ บริการชำระเงิน เป็นต้น
  8. Meituan (HKG: 3690) ผู้นำแพลตฟอร์มการจัดส่งอาหารออนไลน์และสินค้า
  9. JD (HKG: 9618) อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน มีจุดเด่นที่การนำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน
  10. Xiaomi (HKG: 1810) ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไอทีสัญชาติจีนที่ส่งออกไปทั่วโลก

มุมมองการลงทุน FundTalk Call

ยังคงชอบกองทุนหุ้นจีน MEGA10CHINA-A ที่ได้ให้คำแนะนำเข้าลงทุนไว้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2024 โดยมองว่าความเชื่อมั่นต่าง ๆ จะจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นจีน รวมทั้งนักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรของตลาดหุ้นจีนจะเติบโตประมาณ 15–20% ในปีนี้และปีหน้า ทำให้ระดับ P/E ที่ระดับ 7 เท่า ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโต

ควรซื้อเพิ่ม ถือ หรือขายทำกำไร ณ จุดนี้ FundTalk มองว่าดัชนีหุ้นจีนน่าจะยังไปต่อ และเป็นหนึ่งในตลาดที่ทำผลตอบแทนได้ดีอันดับต้น ๆ ของปีนี้ หลังจากทำผลงานแย่มาหลายปี

ดังนั้นใครมีอยู่แล้ว แนะนำ “ถือ” ส่วนใครยังไม่มี อาจจะรอให้ Hang Seng ยืนระยะเหนือเส้น 200 วัน แล้วจึงพิจารณาเข้าลงทุนอีกครั้ง


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ชี้เป้ากองทุนแนะนำ มองขาดทุกโอกาสการลงทุน: สงครามผ่อนคลาย จังหวะ Buy the Dip [อัปเดตมุมมอง 25 เม.ย. 2024]

Finnomena Funds
กองทุนแนะนำ Finnomena Funds

กองทุนไหนดี? ในภาวะที่ตลาดกลับมาผ่อนคลายความกังวลในเรื่องสงคราม Finnomena Funds มองว่าปัจจัยลบต่าง ๆ นั้นสร้างความผันผวนในระยะสั้นเท่านั้น และเป็นโอกาสเข้าลงทุนมากกว่าตื่นกลัว 

อ่านมุมมองการลงทุน – สงครามแค่ชั่วคราว ตลาดผ่อนคลาย ได้เวลา Buy the Dip

บทความนี้ จึงสรุปมาให้แล้วแบบเน้น ๆ กับคำแนะนำลงทุนรับโอกาส Buy the Dip ด้วยมุมมองการลงทุนหลากหลายสไตล์ ได้แก่  

  • FundTalk Call โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
  • Mr.Messenger Call โดย Bank – Trend Follower คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง โดยเน้นการใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติเพื่อนำมาคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้หาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
  • MEVT Call คำแนะนำการลงทุนในกองทุนเด่นที่มีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical ปัจจัยอื่น ๆ เช่น fund flow, sentiment, seasonal statistic และ technical analysis

 

กองทุนแะนำ Buy the Dip

อัปเดทมุมมองการลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 25 เมษายน 2024 โดย Finnomena Funds

กองทุนแนะนำ MEVT Call

1.) PRINCIPAL VNEQ-A

กองทุนหุ้นเวียดนาม (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” จากศักยภาพการเติบโตสูง และระยะยาวได้รับอานิสงส์จาก China+1 และโอกาสการถูกยกระดับเข้าสู่ดัชนี FTSE Emerging Market Index

2.) UOBSA

กองทุนหุ้น Asia ex Japan (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” พร้อมรับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคที่ฟื้นตัว และมีอัพไซด์จากดอลลาร์ใกล้อ่อนค่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียชัดเจนมากขึ้น

3.) ONE-EUROEQ

กองทุนหุ้นยุโรป (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” หลังเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ Valuation ยังไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับหุ้นโลก หนุนโดยกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เติบโต

4.) SCBKEQTG

กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” เป็นจังหวะฟื้นตัวตามวัฏจักร Semiconductor และยังมีปัจจัยหนุนจากโครงการ Value-up program เพื่อส่งเสริมมูลค่าตลาดหุ้น โดย Valuation ก็ยังไม่แพง เป็นโอกาส Buy the Dip

กองทุนแนะนำ Mr.Messenger Call

1.) PRINCIPAL VNEQ-A

กองทุนหุ้นเวียดนาม (ความเสี่ยงระดับ 6) ถึงเวลากลับเข้า “เก็งกำไร” หลังจากที่เริ่มย่อตัวลงมา และดัชนีทำสัญญาณกลับตัวอีกครั้ง โดยแนะนำเข้าลงทุนที่ดัชนี VN30 ไม่เกินระดับ 1,222 จุด 

2.) ASP-DIGIBLOC

กองทุนหุ้นเทคโนโลยี Blockchain (ความเสี่ยงระดับ 6) มองเป็นจังหวะกลับมา Follow Buy หลังผ่านช่วง Bitcoin Halving 

3.) ABEG / ONE-EUROEQ

กองทุนหุ้นยุโรป (ความเสี่ยงระดับ 6) “ซื้อ” ตามเทรนด์ที่ตลาดหุ้นยุโรปทำจุดสูงสุดใหม่ และเกิดสัญญาณ Golden Cross จึงแนะนำเข้าลงทุนที่ NAV ของ STOXX EURO 600 ไม่เกิน 514 จุด

กองทุนแนะนำ FundTalk Call

1.) MEGA10CHINA-A

กองทุนหุ้นจีน (ความเสี่ยงระดับ 6) ที่ลงทุนแบรนด์ระดับโลก 10 ตัว แนะนำ “ซื้อ” โดยจะได้รับประโยชน์จากท่าทีของรัฐบาลที่หันกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจเต็มสูบ

2.) KT-ENERGY

กองทุนหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก (ความเสี่ยงระดับ 7) แนะนำ “ซื้อ” เพราะยังคงได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำมันโลกที่มีโอกาสขาดแคลน

3.) K-SEMQ

กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่  (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ซื้อ”  โดยมองเห็นโอกาสครั้งใหม่ของการเติบโตที่มีอัพไซด์ค่อนข้างสูง หนุนโดยประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย และบราซิล

กองทุนไหนดี ดูคำแนะนำทั้งหมด คลิกเลย

ไหน ๆ จะลงทุนทั้งที การไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเต็มเนี่ย ออกจะฟินสุด ๆ ทีมงานมัดรวม FINT Cashback ตามลิงก์ข้างล่างเลย 👇🏻👇🏻👇🏻

1️⃣ อยากใช้ FINT Cashback ต้องเข้าตรงไหน?
💡 Link : https://www.finnomena.com/fint/cashback

2️⃣ สอนใช้ FINT Cashback แบบจับมือทำ
💡 Link : https://youtu.be/Zsrs7URDUwM?si=uROVCvLFIvA_Au0f

3️⃣ กองทุนที่เราจะลงทุน เข้าร่วม Cashback ไหม?
💡 Link : https://www.finnomena.com/fint/cashback/fund-list

4️⃣ อยากรู้ลึกๆ ว่า FINT Cashback คืออะไร?
💡 Link : https://docs.fint.finance/fint-token/use-fint-fint/cashback-from-fee

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

TISCO Omakase Extra Fund ปรับพอร์ตเดือนเมษายน 2024: เบนเข็มเข้าหา Cloud Computing

บลจ.ทิสโก้
TISCO Omakase Extra Fund ปรับพอร์ตเดือนเมษายน 2024

 

TISCO Omakase Extra Fund ปรับพอร์ตเดือนเมษายน 2024


ที่มา: บลจ. ทิสโก้ วันที่: 18 เมษายน  2024

Outlook

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯได้เข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 เริ่มจากกลุ่มการเงิน ที่เริ่มประกาศตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. โดยพบว่าบริษัทส่วนใหญ่มีกำไรออกมาดีกว่าคาด และยังคงได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูง โดยเรามองว่า แม้โอกาสการลดดอกเบี้ยของ Fed จะลดลงเมื่อเทียบกับตลาดประเมินในช่วงก่อนหน้า แต่ตลาดหุ้นยังได้รับปัจจัยบวกหนุนจากผลประกอบการ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Technology ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI จะยังเติบโตอย่างโดดเด่น
  • เชื่อว่าตลาดหุ้นจีนเริ่มมี Sentiment เชิงบวกมากขึ้น หลังจากที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ด้านตัวเลข GDP จีนในไตรมาส1/2024 เติบโตมากกว่าคาดการณ์ จากการผลิตที่ออกมาแข็งแกร่ง ขณะที่ภาคบริโภคยังคงอ่อนแอ สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศษฐกิจจีนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • แม้เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวช้า โดยล่าสุด IMF ได้ปรับลดการคาดการณ์ GDP ไทย ในปี 2024 จากภาคการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวมีสัญญาณฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และยังได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ และคาดว่าเศษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของกนง.ในช่วงครึ่งปีหลัง

Strategy

  • ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับแรงเทขายในช่วงกลางเดือน เม.ย. กดดันจากประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หลังอิหร่านเปิดจากโจมตีอิสราเอล และ กังวลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุด มี.ค.ที่ 3.5% และ ภาคแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง อาจทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยน้อยกว่า 3 ครั้ง ส่งผลให้ ตลาดเข้าสู่สภาวะ Risk-Off อีกครั้ง
  • อย่างไรก็ดี การปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลก ถือเป็นการสะท้อนปัจจัยกดดันระยะสั้น ซึ่งเรายังมีมุมมองเชิงบวกกับตราสารหนี้ภาคเอกชนและสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่ม AI จากการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

Portfolio Action

  • ปรับลดน้ำหนัก TISCO China Consumer Fund TCHCON ไปยัง TISCO Cloud Computing Equity Fund TCLOUD โดยเรามองว่า กลุ่ม Consumer Discretionary ในจีน กำลังเผชิญกับความท้าทายจากสงครามราคารถยนต์ EV ในจีน ขณะที่ความต้องการใช้ Cloud Computing สูงขึ้นจากเทคโนโลยี AI ที่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาระบบ Cloud จากการขยายฐานข้อมูล นอกจากนี้ กองทุนหลักมีกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นที่ นอกเหนือจาก Cloud Storage อย่างเช่นกลุ่ม Application Software และ System Software เป็นต้น
  • ดู Fund Fact Sheet กองทุนที่เพิ่มน้ำหนัก/ปรับเข้า TCLOUD

Performance Review

ผลตอบแทนพอร์ตกองทุนนับจากวันที่ 19 มี.ค.จนถึง 18 เม.ย. 2024 ปรับเพิ่มขึ้น +0.01% และสำหรับผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +1.73%

ㆍDetractor:

  • สำหรับช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา กองทุน TISCO China Clean Energy Fund TCHCLEAN ปรับลงมากที่สุด หลังจากที่นาง Janet Yellen รมว.กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนประเทศจีน และสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลจีน ให้เร่งแก้ไขมาตรการควบคุมอุปทานของผลิตภัณฑ์พลังงานสะอาดในจีนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั่วโลก อาทิ การบิดเบือนราคาในตลาดโลก

ㆍ Contributor:

  • ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา TISCO Gold Fund TGOLD เป็นกองทุนที่หนุนพอร์ตกองทุนมากที่สุด โดยอันดับที่ 2 คือ กองทุนจีน TCHCON (TISCO China Consumer Fund) และ อันดับที่ 3 คือ กองทุนเวียดนาม TVIETNAM (TISCO Vietnam Equity)

บลจ. ทิสโก้


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน |  ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

​​​​อยากเกษียณแบบสุขใจ ควรเตรียมเงินไว้เท่าไรดี?

planet 46
​​​​อยากเกษียณแบบสุขใจ ควรเตรียมเงินไว้เท่าไรดี?

หลังจากที่เราทำงานมาอย่างขยันขันแข็ง แน่นอนว่าในวัยเกษียณเราก็ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะที่จะสร้างความสุขสำราญให้กับวัยเกษียณของเรา

บทความนี้จะขอพาทุกคนมาดูว่า เราควรเตรียมเงินไว้เท่าไร จึงจะสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสุขใจด้วยไลฟ์สไตล์แบบที่เราต้องการ

​​​​อยากเกษียณแบบสุขใจ ควรเตรียมเงินไว้เท่าไรดี?

ใครที่ดูตารางด้านบนแล้วยังนึกไม่ออกว่าเราควรเตรียมเงินหลังเกษียณเท่าไร ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณไปพร้อม ๆ กันได้เลย

ขั้นตอนที่ 1: คำนวณหา “ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณ”

โดยส่วนใหญ่แล้ว ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณจะลดลงอยู่ที่ประมาณ 70-80% ของค่าใช้จ่ายก่อนเกษียณ

ค่าใช้จ่ายปัจจุบัน x 0.70

ตัวอย่างเช่น     ค่าใช้จ่ายปัจจุบัน = 50,000 บาท

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณ = 50,000 x 0.70 = 35,000 บาท

ขั้นตอนที่ 2: คำนวณหา “จำนวนเงินที่ควรมี ณ วันเกษียณ”

ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณ x 12 (เดือน) x จำนวนปีที่คาดว่าจะใช้ชีวิตหลังเกษียณ

ตัวอย่างเช่น     ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณ = 35,000 บาท
                         จำนวนปีที่คาดว่าจะใช้ชีวิตหลังเกษียณ = 20 ปี

ดังนั้น จำนวนเงินที่ควรมี ณ วันเกษียณ = 35,000 x 12 x 20 = 8,400,000 บาท

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณ และจำนวนเงินที่ควรมี ณ วันเกษียณ ที่ได้มาจะเป็นจำนวนที่ยังไม่ได้ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ

แถม!! วิธีการคำนวณหาจำนวนเงินที่ควรมี ณ วันเกษียณ ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ

ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลให้ระดับราคาของสินค้าและบริการโดยทั่วไปในประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มูลค่าของเงินลดลง จึงทำให้เราต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นในการซื้อสินค้าและบริการนั่นเอง ดังนั้นในการเก็บเงินหรือการลงทุนเราจึงควรคิดรวมอัตราเงินเฟ้อไว้ด้วย 

จำนวนเงินที่ควรมี ณ วันเกษียณ x [(1+อัตราเงินเฟ้อ)^(อายุที่จะเกษียณ – อายุปัจจุบัน)]

ตัวอย่างเช่น     จำนวนเงินที่ควรมี ณ วันเกษียณ = 8,400,000 บาท
                         อายุที่จะเกษียณ = 60 ปี
                         อายุปัจจุบัน = 30 ปี
                         อัตราเงินเฟ้อ = เพิ่มขึ้น 3% ต่อปี

ดังนั้น จำนวนเงินที่ควรมี ณ วันเกษียณ ที่ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว = 8,400,000 x [(1+3%)^(60-30)] = 20,389,004.76 บาท

อ่านเพิ่มเติม ไขข้อสงสัย… “เงินเฟ้อ” คืออะไร? “ภาวะเงินเฟ้อลดลง” แตกต่างกับ “เงินฝืด” อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ต้องการใช้หลังเกษียณ ควรประเมินตามไลฟ์สไตล์ที่เราต้องการใช้หลังเกษียณ ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ได้แก่

  • ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำรงชีพ เช่น ค่าอาหาร ค่าของใช้ในบ้าน ค่าของใช้ส่วนตัว ฯลฯ
  • ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ฯลฯ
  • ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทาง เช่น ค่าขนส่งสาธารณะ ค่าน้ำมัน ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ค่าซ่อมรถ ฯลฯ 
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ/ประกันชีวิต ค่าตรวจสุขภาพ ฯลฯ
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อนันทนาการ เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับความบันเทิง ฯลฯ

 

ซึ่งหลังจากเกษียณ เราจะนำเงินที่เก็บออมได้มาแบ่งใช้เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนเลย หรือจะต่อยอดด้วยการลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income ไว้ใช้สบาย ๆ ก็ได้อีกเช่นกัน ซึ่งใครที่อยากต่อยอดด้วยการลงทุน Finnomena ก็มีแผนการลงทุนอย่าง “Finnomena Port GIF” พอร์ตการลงทุนที่เน้นการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ ในรูปแบบของการจ่ายปันผล หรือ การรับซื้อคืนอัตโนมัติ (Auto Redeem) โดยคาดหวังกระแสเงินสดเฉลี่ยต่อปีที่ 3-5% (ไม่ใช่การการันตี) เหมาะสำหรับการสร้าง Passive Income ในวัยหลังเกษียณ

การวางแผนเกษียณเราควรเริ่มทำตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าชะล่าใจคิดว่าการวางแผนเกษียณเป็นเรื่องของคนสูงอายุ เพราะยิ่งเราเริ่มวางแผนเร็ว เราก็จะยิ่งได้เปรียบเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จะได้เปรียบอย่างไร สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ไม่รู้ไม่ไหว! 5 เหตุผล ทำไมเรื่องลงทุน “เริ่มเร็ว” ชนะ “เงินเยอะ”

และใครที่อยากมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคุณวางแผนเกษียณแบบตัวต่อตัว ให้คุณสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสุขใจ ลองให้ “Finnomena Funds Goals Navigator” ช่วยคุณกับนวัตกรรมที่มาพร้อมกับบริการวางแผนลงทุนจัดพอร์ตระดับโลกหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ทาง Finnomena Funds และ Franklin Templeton ร่วมมือกันพัฒนาและออกแบบ เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และเป้าหมายการลงทุน ไม่ว่าคุณจะมีเป้าหมายชีวิตกี่อย่าง Goals Navigator ก็พร้อมทำเป้าหมายเหล่านั้นให้เป็นจริงได้

https://finno.me/gnavi-web

— planet 46.


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”

Warren Buffett ลงทุนอย่างไรในช่วงสงคราม

Park Kathawut
Warren Buffett สงคราม

การลงทุนที่ยอดเยี่ยมในช่วงสงคราม
ไม่ใช่ทองคำ ไม่ใช่ Bitcoin และอย่าถือเงินสด
แต่จงซื้อหุ้นคุณภาพดีที่โดนเทขาย

(1)

ในช่วงความกังวลภาวะสงคราม หลายคนเลือกที่จะกอดเงินสดเอาไว้ หรือลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็น Safe Haven อย่างเช่น ทองคำ หรือแม้แต่ Bitcoin 

แต่ความเชื่อนี้ตรงกันข้ามกับ Warren Buffett ที่บอกว่าการซื้อหุ้นที่ราคาร่วงลงมาต่างหาก คือการลงทุนที่ดีที่สุดในช่วงสงคราม

(2)

ในปี 2014 จุดเริ่มต้นสงครามรัสเซีย-ยูเครน Warren Buffett ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC โดยมีใจความสำคัญที่เตือนนักลงทุนว่าไม่ควรถือเงินสด แต่ให้ลงทุนต่อเนื่อง

ส่วนสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในยามสงครามนั้นไม่ใช่ทั้งทองคำ และ Bitcoin แต่เป็นการสะสม “หุ้นคุณภาพดีที่ราคาตก” 

แม้ในช่วงสงครามราคาทองคำ น้ำมัน แม้กระทั่ง Bitcoin จะดูโดดเด่นมากในระยะสั้น แต่เป็นเพราะตัวเขาเน้นย้ำในหลักการลงทุนระยะยาว 

ดังนั้น หากเป็นหุ้นที่ดีแต่ราคาตกจากความกังวล เราก็แค่ซื้อเพิ่ม ซึ่งจังหวะนี้แหละเป็นโอกาสเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีไปอีก 50 ปีข้างหน้า

(3)

Warren Buffett เล่าว่าเห็นบทเรียนเรื่องนี้มาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 วิกฤตการณ์คิวบา และวิกฤตทางการเงินต่าง ๆ ซึ่งสุดท้ายตลาดหุุ้นสหรัฐฯ ฟื้นกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งทุกครั้ง 

พร้อมย้ำว่าจงอย่าแทงสวนตลาดหุ้นสหรัฐฯ “Never bet against America”

(4)

เกร็ดข้อมูลเล็ก ๆ คือหุ้นตัวแรกของ Warren Buffett ซื้อในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนปี 1942 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุ 11 ขวบ 

ด้วยการนำเงินเก็บของตัวเองกับพี่สาว ซื้อหุ้น Cities Service บริษัทพลังงานในสหรัฐฯ เนื่องจากเห็นว่าปั๊มน้ำมันเจ้านี้มีลูกค้าเยอะดี น่าจะโตได้อีกมาก 

จึงใช้เงินเก็บ 120 ดอลลาร์ ซื้อหุ้น Cities Service ที่ราคา 38 ดอลลาร์ จำนวน 3 หุ้น เพียงไม่นานราคาหุ้นก็ตกไปที่ 27 ดอลลาร์ และเด้งขึ้นมาที่ 40 ดอลลาร์ เขาจึงตัดสินใจเทขายหุ้นทั้งหมด แต่หลังจากนั้นไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นไปเกือบ 200 ดอลลาร์ ถือเป็นบทเรียนการลงทุนบทเรียนการลงทุนแรก


แหล่งข้อมูลอ้างอิง: CNBC, Business Insider

Finnomena Funds Market Alert : หุ้นเอเชียทะยาน 2% จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามที่ผ่อนคลายลง

Finnomena Funds

วันนี้ (24 เมษายน 2024) ภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียฟื้นตัวสดใสหลังความกังวลต่อปัจจัยสงครามคลายตัว และผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ทยอยประกาศในตลาดสหรัฐฯ และยุโรปยังมีทิศทางดีกว่าที่คาด นอกจากนั้นดัชนีหุ้นฮ่องกง Hang Seng (HSI) และดัชนี HSCEI หรือหุ้นจีน H-Share ปรับตัวขึ้นราว 2% ใกล้แตะระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ได้รับแรงหนุนจากการที่ UBS และ Goldman Sachs มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงมากขึ้น 

Finnomena Funds มองการปรับฐานจากปัจจัยสงครามที่ผ่านมาเป็นโอกาสเข้าลงทุนหุ้นเพิ่ม สำหรับกองทุนหุ้นเอเชียแนะนำ UOBSA ที่ใช้ AI ร่วมกับผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น สร้างผลตอบแทนโดดเด่นกว่ากองเอเชียอื่นๆ อย่างชัดเจน หากเป็นรายประเทศยังแนะนำสะสมหุ้นเวียดนามผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A, หุ้นจีนผ่านกองทุน MEGA10CHINA-A และ ABCA-A สำหรับหุ้นจีน A Shares และกองทุนหุ้นเกาหลี SCBKEQTG

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)

Mr.Messenger Call: ถึงเวลาลงทุนหุ้นเวียดนาม หลังดัชนีทำสัญญาณกลับตัว

Bank - The Trend Follower Investor
Mr.Messenger Call ถึงเวลาลงทุนหุ้นเวียดนาม

แนะนำเข้าซื้อกองทุนหุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A ที่ดัชนี VN30 ไม่เกินระดับ 1,222 จุด หลังทำสัญญาณกลับตัวมาทดสอบรอบขาขึ้นครั้งใหม่

กราฟดัชนี VN30 (Timeframe Day)

Mr.Messenger Call ถึงเวลาลงทุนหุ้นเวียดนาม

Source: Tradingview as of 23/04/2024

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ทำสัญญาณกลับตัว หลังลงมาทดสอบ Fibonacci Retracement 61.80% ของรอบขาขึ้นที่กินเวลานับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2023 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับแนวรับบนเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน ที่ระดับ 1,192 จุด และสามารถมีแท่งกลับตัวได้ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (22/04/2024) 

Mr.Messenger Call จึงแนะนำลงทุนในกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A เป็นกองทุนที่ลงทุนหุ้นเวียดนามที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Active ให้ผลการดำเนินงานเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี VN30 ซึ่งมีค่า Correlation กับดัชนี VN30 ที่ 0.93 สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นเวียดนาม โดยมีคำแนะนำดังนี้

1. แนะนำเข้าลงทุนที่ดัชนี ไม่เกินระดับ 1,222 จุด (+1.2% จากระดับราคาวันที่ 23/04/2024) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เราแนะนำให้พิจารณาชะลอการเข้าซื้อ (หยุดซื้อ) ภายใต้คำแนะนำ Mr.Messenger Call เนื่องจากทำให้ Risk/Reward ratio เข้าใกล้ระดับ 1:1

2. แนะนำ Take Profit หรือขายทำกำไร เมื่อดัชนีถึง 1,306 จุด (Upside 8.1% จากระดับราคาวันที่ 23/04/2024 และ +6.9% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงจุดสูงสุดเดิมในเดือนมีนาคม 2024

3. แนะนำ Limit Loss หรือตัดขาดทุนทันที เมื่อดัชนีปิดตลาดต่ำกว่า 1,138 จุดอย่างมีนัยยะ ซึ่งใกล้เคียงระดับ Fibonacci 38.2% (Downside -5.8% จากราคาวันที่ 23/04/2024 และ -6.9% จากจุดหยุดเข้าซื้อ) โดยเราอาจพิจารณาแนะนำ Trailing Stop ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day MA) ทั้งนี้ จะประเมินสถานการณ์และแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

PRINCIPAL VNEQ-A

Mr.Messenger Call ถึงเวลาลงทุนหุ้นเวียดนาม

Source: Fund Fact Sheet ของกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A as of 29/02/2024

PRINCIPAL VNEQ-A เป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมทั้งตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ/หรือกองทุนรวม โดยปัจจุบันกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ข้อมูล Correlation ของกับกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A กับดัชนี VN30 

Mr.Messenger Call ถึงเวลาลงทุนหุ้นเวียดนาม

Source: Bloomberg as of 23/04/2024

นักลงทุนที่เหมาะกับคำแนะนำนี้ ระยะสั้นนี้ควร…

  1. เป็นนักลงทุนที่มีเงินสด หรือสภาพคล่องส่วนเกิน และรับความผันผวนได้สูง
  2. ใช้เงินลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของภาพรวมพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
  3. นักลงทุนต้องยอมรับการ Limit Loss หรือ การตัดขาดทุนได้ทันที

ดู Fund Fact Sheet กองทุนแนะนำ

 

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

สงครามแค่ชั่วคราว ตลาดผ่อนคลาย ได้เวลา Buy the Dip

Finnomena Funds
สงครามอิสราเอล-อิหร่าน

สรุปกลยุทธ์และมุมมองการลงทุนหลังเหตุการณ์ความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน กระทบแค่ในระยะสั้นหรือบานปลายต่อเนื่อง เป็นโอกาสหรือควรตื่นกลัวมากกว่ากัน และจังหวะนี้แนะนำลงทุนอะไร?

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกย่อตัวลงมาแรง อาทิ หุ้นสหรัฐฯ S&P500 -3.05% WoW หุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) -4.83% WoW และหุ้นเวียดนาม (VN Index) -7.97% WoW สวนทางกับราคาน้ำมันที่พุ่งจากความกังวลภาวะสงคราม และทองคำที่ยืนระดับสูงในฐานะ Safe Haven โดยประเด็นกดดันหลัก ๆ มี 3 เรื่อง

  • หนึ่งคือ… Fed ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยยาวนานขึ้น
  • สองคือ… ความกังวล US Election ที่อาจเกิด Trade War สหรัฐฯ-จีนอีกรอบ
  • สามคือ… ความตึงเครียดจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

เหตุการณ์ความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน

สงครามอิสราเอล-อิหร่าน

Source: Finnomena Funds, TradingView  as of 22/04/2024

สำหรับประเด็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดในตอนนี้ คือสงครามอิสราเอล-อิหร่าน

จุดเริ่มต้นมาจากช่วงต้นเดือนเมษายน 2024 ได้เกิดเหตุโจมตีสถานทูตอิหร่าน ในประเทศซีเรีย ซึ่งมีนายทหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่อิหร่านเสียชีวิต 7 ราย และรัฐบาลอิหร่านยืนยันว่าเป็นการโจมตีจากอิสราเอล

กระทั่งวันที่ 12 เมษายน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โจ ไบเดน” ให้ข่าวว่าอิหร่านจะโจมตีอิสราเอลกลับอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว

ช่วงกลางคืนของวันที่ 13 และ 14 เมษายน อิหร่านเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ โดยยิง โดรนและขีปนาวุธประมาณ 300 ลูก ไปยังพื้นที่เป้าหมายในอิสราเอล แต่อิสราเอลสามารถป้องกันได้ 99%

และเมื่อวันศุกร์ที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา ก็มีกระแสข่าวว่าอิสราเอลเปิดศึกตอบโต้อิหร่านแล้ว หลังเกิดเสียงระเบิดในบริเวณสนามบินอิสฟาฮาน ก่อนที่ทางการอิหร่านจะออกมาระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นการโจมตีโดยผู้ปลุกปั่นมากกว่าฝีมืออิสราเอล และไม่มีแผนจะตอบโต้อิสราเอล

ทำให้เหมือนว่าล่าสุดท่าทีระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน เริ่มลดระดับความรุนแรงลงแล้ว จากสถานการณ์ที่เริ่มคลี่คลาย ไม่น่าจะเกิดการปะทุรุนแรงต่อเนื่อง

สงครามกับตลาดหุ้นมีความสัมพันธ์กันแค่ไหน?

สงครามอิสราเอล-อิหร่าน

Source:  Investopedia as of 22/04/2024

คำถามคือแล้วเวลาเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบครั้งใหญ่ ๆ สถิติที่ผ่านมา ตลาดตอบรับเรื่องนี้แค่ไหน

จะเห็นว่าความไม่สงบจะกดดันตลาดเฉลี่ย 22 วัน และตลาดจะ Recover เฉลี่ย 47 วัน โดยค่าเฉลี่ยของ Drawdown อยู่ที่ -5.9%

สงครามอิสราเอล-อิหร่าน

Source: Finnomena Funds, TradingView as of 22/04/2024

ยิ่งถ้าเทียบกับเหตุการณ์ปีที่แล้ว ระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ซึ่งกดดัน S&P500 ลงประมาณ 4-5% แต่ก็ฟื้นได้ภายใน 1 เดือน

จึงพอสรุปได้ว่าสงคราม การก่อการร้าย และความไม่สงบในรูปแบบต่าง ๆ มีผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นเท่านั้น และมักจะเป็นโอกาสการลงทุนมากกว่าการตื่นกลัว

Finnomena Funds มองเป็นโอกาสซื้อ มากกว่าตื่นกลัว

มุมมองของทีมวิเคราะห์การลงทุน Finnomena Funds คาดสงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านมีผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นเท่านั้น โดยจากการศึกษาเหตุการณ์ในอดีตบ่งชี้ว่า สงคราม การก่อการร้าย และความไม่สงบในรูปแบบต่าง ๆ มักจะเป็นโอกาสการลงทุนมากกว่าการตื่นกลัว นอกจากนั้นพัฒนาการของข่าวล่าสุดชี้ไปทิศทางการลดระดับความรุนแรง (de-escalation) อย่างเห็นได้ชัด

ประกอบกับการที่สถิติในอดีตบ่งชี้ว่าเมื่อเกิดสงครามหรือการก่อการร้าย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 จะปรับตัวลง (total drawdown) โดยเฉลี่ยประมาณ 5% ทำจุดต่ำสุดเฉลี่ยใน 22 วัน และฟื้นตัวกลับมาก่อนเกิดเหตุการณ์ได้โดยเฉลี่ย 47 วัน อย่างไรก็ตาม สถิติในแต่ละครั้งมีช่วงของข้อมูลที่กว้าง เหตุการณ์แต่ละครั้งอาจมีความแตกต่างกันอย่างมีนัย แต่โดยภาพรวมตลาดปรับตัวลงไม่มากอย่างที่นักลงทุนส่วนมากกังวล และฟื้นตัวได้เร็ว

นอกจากนี้ การศึกษาผลตอบแทนของ S&P500 ในช่วงปี 1926-2013 ตลอดช่วงสงครามครั้งสำคัญ ๆ เช่น สงครามโลกครั้งที่ 2, สงครามเกาหลี, สงครามเวียดนาม และสงครามอ่าว เป็นต้น พบว่า S&P500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11% ต่อปี เทียบกับผลตอบแทนตลอดช่วงที่ทำการศึกษาเฉลี่ย 10% ต่อปี ซึ่งผลการศึกษาเหล่านี้ชี้ชัดแล้วว่าสงครามกับผลตอบแทนดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ (น้ำหนักราว 60% ของดัชนีหุ้นโลก) อาจไม่ได้เป็นประเด็น โดยเฉพาะเมื่อมองข้ามความผันผวนในระยะสั้น

Finnomena Funds จึงมองว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งล่าสุด และการปรับตัวลงของหุ้นในช่วงสงครามมักเป็นโอกาสซื้อมากกว่าตื่นกลัวต่อการลงทุน โดยเป็นจังหวะสะสมในสินทรัพย์เสี่ยง ด้วยกลยุทธ์ Buy the Dip

กองทุนที่แนะนำในจังหวะนี้ตามมุมมอง MEVT Call ทยอยสะสมระยะกลาง-ยาว คือ

กองทุนแนะนำตามมุมมอง Mr.Messenger Call จับจังหวะเก็งกำไรระยะสั้น ตามสัญญาณทางเทคนิค คือ

 

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/


แหล่งอ้างอิง: Reuters, Investopedia, cfainstitute, Politico

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Finnomena Funds Market Alert : หุ้นฮ่องกงทะยาน 2% หลังจีนประกาศ ดันฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินนานาชาติ

Finnomena Funds

วันนี้ (22 เมษายน 2024) ดัชนีหุ้นฮ่องกง Hang Seng (HSI) และดัชนี HSCEI หรือหุ้นจีน H-Share ปรับตัวขึ้นราว 2% หลังจากคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์แห่งประเทศจีนมีการเปิดเผยมาตรการกระตุ้นความร่วมมือระหว่างตลาดทุนบนแผ่นดินใหญ่ และเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน เพื่อสนับสนุนให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับนานาชาติ โดยได้ประกาศสนับสนุนการจดทะเบียนของบริษัทชั้นนำของจีนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และจะปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมสำหรับบริษัทเทคโนโลยีในการเสนอขายหุ้น IPO ตลอดจนการผ่อนคลายกฏเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นระหว่างเมืองและตลาดหลักทรัพย์บนจีนแผ่นดินใหญ่ 

ภายใต้มาตรการดังกล่าว กองทุน ETF จะถูกขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น และครอบคลุมทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) นอกจากนี้คณะกรรมการฯ จะสนับสนุนการรวมหลักทรัพย์สกุลเงินหยวนสำหรับนักลงทุนแผ่นดินใหญ่ที่ซื้อในฮ่องกงอีกด้วย 

นอกจากนี้คณะกรรมการฯ จะทำงานร่วมกับคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง ตลอดจนภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดของตลาด IPO และเพื่อกระตุ้นสภาพคล่อง

Finnomena Funds มองว่าความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงจะเริ่มดีขึ้นจากมาตรรการกระตุ้มเพิ่มเติม และความพยายามออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงระดับ valuation ของดัชนี CSI 300 ที่มี 12-m forward PE ที่ 11.06  เท่า หรือ -0.8 S.D. ขณะที่ดัชนี Hang Seng มี 12-m forward  PE ที่ 7.98 เท่า หรือ -2 S.D. เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และมีการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 ปีและ 10 ปีตามลำดับ เรายังแนะนำทยอยสะสมในกองทุน K-CHINA-A และ ABCA-A สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและยังมีสัดส่วนหุ้นจีนในพอร์ตไม่มาก

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)

Mr.Messenger Call: Stop Loss หุ้นไทยขนาดกลางและขนาดเล็ก

Bank - The Trend Follower Investor
Stop Loss หุ้นไทย Mid Small Cap

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา Mr.Messenger Call ได้แนะนำเข้าลงทุนในรูปแบบการเก็งกำไรระยะสั้นในดัชนี sSET ผ่านกองทุน ASP-SME-A ที่ลงทุนในหุ้นไทย Mid-Small Cap โดยตั้งจุด Stop Loss เมื่อดัชนี sSET ปิดตลาดต่ำกว่า 864 จุด

ซึ่งในวันที่ 19 เมษายน 2024 ที่ผ่านมา ดัชนี sSET ได้ปรับตัวลงมาปิดที่ต่ำกว่าระดับ 864 จุด โดยเป็นจุด Stop Loss ที่กำหนดไว้ 

จึงแนะนำให้ Stop Loss การลงทุนในกองทุน ASP-SME-A สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนตามคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพื่อรักษาวินัยและรักษาเงินต้นไว้เพื่อโอกาสในการเก็งกำไรครั้งถัดไป อย่างไรก็ดี นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนตามคำแนะนำอื่น ๆ ของ Mr.Messenger  ได้ดังนี้

 

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/ 
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA FUNDS ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด

Finnomena Funds

Weekly Market Insight

ประจำสัปดาห์  22/04/2024 – 26/04/2024

พิเศษ! สำหรับสมาชิก FINNOMENA

THIS ISSUE
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

EYE ON THIS WEEK
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้

MARKET
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

FINNOMENA PORT PERFORMANCE
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน

ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”

กดที่นี่เพื่อดาวน์โหลดได้เลย

6 โหล มหัศจรรย์ (เทคนิคออมเงินอย่างเป็นระบบ)

Finspace
6 โหล มหัศจรรย์ (เทคนิคออมเงินอย่างเป็นระบบ)

หลายคนออมเงินก็จริง แต่ไม่เคยวางแผนทำอย่างระบบ เราเลยขอหยิบวิธีบริหารเงินแต่ละเดือนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาฝากกัน

กับเทคนิค JARS SYSTEM วิธีง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้การเงินมากมาย เพียงแบ่งเงินออกเป็น 6 ส่วน โดยใช้โหลมาเป็นคอนเซ็ปต์ให้เข้าใจยิ่งขึ้น

6 โหล มหัศจรรย์ (เทคนิคออมเงินอย่างเป็นระบบ)
เทคนิคออมเงิน

โหลใบที่ 1 – ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 55%

เป็นเงินก้อนหลักจำนวน 55% ของรายได้ ซึ่งใช้กับค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่ำน้ำ ค่าไฟ น้ำมันรถ ฯลฯ แน่นอนว่าส่วนนี้เป็นเงินที่ใช้แล้วหมดไป ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มเติม แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต

โหลใบที่ 2 – ให้รางวัลตัวเอง 10%

เงินส่วนนี้ จะเป็นเงินเพื่อใช้ตามใจชอบ ถือเป็นรางวัลให้ตัวเอง เช่น ท่องเที่ยว เข้าร้านอาหารดีๆ ช้อปปิ้งของที่อยากได้

โหลใบที่ 3 – ออมเพื่อเกษียณ 10%

เป็นเงินออมระยะยาวสำหรับอนาคต และความมั่งคงยามเกษียณ จึงควรออมในรูปแบบที่ไม่เสี่ยงมาก เช่น เงินฝากดอกเบี้ยสูง สลากออมทรัพย์ กองทุนเพื่อการออม เบี้ยประกัน เป็นต้น

โหลใบที่ 4 – ลงทุนต่อยอด 10%

ควรแบ่งเงินบางส่วนมาสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองด้วย โดยการลงทุนมีหลายรูปแบบให้เลือกตามเป้าหมาย และความเสี่ยงที่รับได้

โหลใบที่ 5 – ให้ความรู้ตัวเอง 10%

อย่าลืมแบ่งเงินบางส่วนมาต่อยอดพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

โหลใบที่ 6 – แบ่งปันผู้อื่น 5%

เพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่น เช่น เงินบริจาคต่างๆ เงินเพื่อให้คนใกล้ชิดสำหรับ JARS SYSTEM เป็นเคล็ดลับการออมเงินของ T.Harv Eker ผู้เขียนหนังสือดัง “ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน” ซึ่งเราสามารถนำมาปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การเงินของตัวเองได้เลย

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/jar-system/

บลจ.ดาโอ: ขอนำเสนอโปรโมชั่นสำหรับผู้ลงทุนกองทุน RMF ระหว่างวันที่ 2 ม.ค. – 30 ธ.ค. 2567

Finnomena Editor
Promotion RMF  ปี 2567 ระหว่างวันที่ 2 มกราคม – 30 ธันวาคม 2567
กองทุน DAOL-GLOBALEQRMF และ DAOL-GOLDRMF
รวมถึงกองทุน RMF ที่เปิดเสนอขาย IPO ในปี 2567
 
 1.  โปรโมชั่นสำหรับผู้ลงทุน ยอดเงินลงทุนสะสมทุกๆ 50,000 บาท รับหน่วยลงทุนกองทุน DAOL-MONEY-R มูลค่า 100 บาท


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

บลจ.วรรณ : ส่งโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างเงินออมในกองทุน RMF & SSF ในระหว่างวันที่ 3 ม.ค.-30 ธ.ค.67

Finnomena Editor

บลจ.วรรณ นำส่งโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างเงินออมเตรียมความพร้อมวัยเกษียณ กับ

กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ร่วมรายการผ่านผู้สนับสนุนการขายฯ ระหว่างวันที่ ม.ค.-30 ธ.ค.67

โดยมีรายละเอียดโปรโมชั่นดังนี้

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”