รู้จักกับ POP MART บริษัทกล่องสุ่มของเล่นที่กำลังดังสุดๆ ในตอนนี้ และยิ่งดังทวีคูณเข้าไปอีก หลังลิซ่า Blackpink โพสต์ภาพคู่กับ Labubu ที่เป็นหนึ่งในคอลเลคชัน Art Toy ของ POP MART
หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักชื่อ POP MART กันไปแล้ว แต่เรื่องที่หลายคนยังไม่รู้คือ POP MART เป็นบริษัทใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
ทำความรู้จัก POP MART กันให้มากขึ้น ไขทุกซอกหลืบธุรกิจที่น่ารู้ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมา การเงิน และที่มาความมั่งคั่ง มองให้ขาดว่าทำไม POP MART ถึงเข้าไปนั่งในใจคนยุคปัจจุบันได้สำเร็จ”
จุดเริ่มต้นของ POP MART
จุดเริ่มต้นของ POP MART เริ่มขึ้นหลังจาก Wang Ning (หวัง หนิง) เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเจิ้งโจว โดยเริ่มทำงานด้านการตลาดดิจิทัลเป็นเวลา 1 ปี ก่อนตัดสินใจเริ่มธุรกิจของตัวเองในปี 2010
การหันมาจำหน่ายสินค้าที่ขายดีที่สุดแค่อย่างเดียว นั่นคือ กล่องสุ่ม Art Toy
และในปี 2016 สิ่งที่ทำให้ POP MART รุ่งสุดขีดคือ การร่วมมือกับศิลปินดังชาวฮ่องกง Kenny Wong (เคนนี่ หว่อง) ออกแบบคอลเล็กชั่น “Molly” เพื่อขายใต้แบรนด์ POP MART แบบ Exclusive แล้วหลังจากนั้นก็ร่วมมือกับศิลปินอื่น ๆ อีกหลายราย
ยอดขายของ POP MART ก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนปลายปี 2020 Wang Ning ก็สามารถพา POP MART เข้า IPO ในตลาดฮ่องกงได้สำเร็จ
ธุรกิจของ POP MART
ตอนนี้ POP MART เป็นผู้เล่นที่ครองตลาด Art Toy ในจีนได้มากที่สุดที่ 13.6% และยังเข้าถึง 23 ตลาดทั่วโลกผ่านระบบ online หน้าร้าน 350 สาขา และตู้ขายสินค้ากว่า 2,000 แห่ง
รายได้ของ POP MART มาจาก 2 ส่วน คือ
1. Art Toy ที่ศิลปินออกแบบให้ POP MART โดยเฉพาะ (คิดเป็น 5 ใน 6 ของรายได้)
เช่น คอลเล็กชัน Skull Panda, Molly, Dimoo,
The Monster (ที่มี Labubu ในคอลเล็กชัน)
หรือ Crybaby ที่เป็นฝึมือของ Designer ชาวไทย
2. Art Toy ที่ร่วมมือกับแบรนด์ทั่วไป (คิดเป็น 1 ใน 6 ของรายได้)
เช่น คอลเล็กชันที่ออกร่วมกับ Disney
รายได้ของ POP MART
ทีนี้เรามาดูเรื่องรายได้ ปี 2023 POP MART มียอดขายกว่า 6,300 ล้านหยวน (3.3 หมื่นล้านบาท) โตขึ้นจากปีก่อนเกือบ 40% โดยยอดขายกว่า 80% มาจากจีนแผ่นดินใหญ่
สรุปแล้ว POP MART คืออีกหนึ่งธุรกิจจีนที่น่าจับตามอง เพราะถือเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาด Art Toy มากที่สุดในจีน รายได้เติบโตเร็ว มีช่องทางจำหน่ายครบวงจร แถมยังเริ่มตีตลาดสากลได้แล้ว
กล่องสุ่ม Art Toy ที่เกิดจากความร่วมมือกับศิลปินมากมาย คือเบื้องหลังที่ทำให้ Wang Ning ร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในพันของโลก ด้วยความมั่งคั่งเกือบ 3 พันล้านเหรียญ ด้วยวัยเพียง 37 ปี
กองทุนหุ้นโลกเทคโนโลยี AI & Big Data (ความเสี่ยงระดับ 6) ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรด้าน AI และ Big Data ในตลาด Nasdaq โดยแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากคาดว่าหุ้นโลกสไตล์เติบโตจะกลับมา Outperform
กองทุนหุ้น Asia ex Japan (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” พร้อมรับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคที่ฟื้นตัว และมีอัพไซด์จากดอลลาร์ใกล้อ่อนค่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียชัดเจนมากขึ้น
FundTalk คาดว่าความกังวลปัญหาเงินเฟ้อคลี่คลาย เนื่องจากน้ำมันลง จึงแนะนำลงทุนในกองทุน AI Growth Theme อย่างกองทุน TISCOAI ซึ่งลงทุนในกองทุน Xtrackers AI and Big Data
UOBSA ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United Asia Fund กองทุนหลักจัดตั้งและบริหารจัดการโดย UOB Asset Management (Singapore) มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก โดยกองทุนหลักใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก (active management)
กองทุน UOBSA เป็นกองทุนความเสี่ยงสูงระดับ 6 ปัจจุบันป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (FX Hedge ration) ที่ 0.00% มีดัชนีชี้วัดเป็น ดัชนี MSCI AC Asia (ex Japan) net TR USD
Source: uobam.co.th as of 19/03/2024
Source: Finnomena Funds, Morningstar as of 13/03/2024
Source: Finnomena Funds, Morningstar as of 13/03/2024
UOBSA ลงทุนในกองทุนหลัก United Asia Fund ซึ่งที่ผ่านมากองทุน UOBSA สามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่ากองทุนในกลุ่มเดียวกันมาก และที่มาของผลตอบแทนที่โดดเด่น มาจากการกลยุทธ์การเลือกหุ้นด้วย Artificial Intelligence (AI) ซึ่ง United Asia Fund เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2021 ทำให้ผลตอบแทนหลังจากนั้นมีความโดดเด่นมาก
Source: Finnomena Funds, Morningstar as of 13/03/2024
โดยจาก Track Record ที่ผ่านมา AI มีการจัดสัดส่วนได้อย่างแม่นยำ โดยมีการแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศจีนในช่วงปี 2021 และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในประเทศอินเดียเข้ามาแทน ส่งผลให้ United Asia Fund สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นใน 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การปรับสัดส่วนรายเดือนยังสามารถทำได้อย่างรวดเร็วเมื่อเที่ยบกับกองทุนที่ไม่ใช่ AI
KF-CSINCOM ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน PIMCO GIS Income Fund (Class I-Acc) โดยบริษัทที่บริหารจัดการกองทุนหลัก คือ PIMCO Funds: Global Investors Series plc ซึ่งกองทุนหลักใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุก (active management)
กองทุน KF-CSINCOM เป็นกองทุนความเสี่ยงสูงระดับ 5 ปัจจุบันป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Fx Hedge ratio) ที่ 95% มีดัชนีชี้วัดเป็น ดัชนี Bloomberg U.S. Aggregate Index
Source: krungsriasset.com as of 29/03/2024
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, as of 29/04/2024
Source: Finnomena Funds, Bloomberg, as of 29/04/2024
ซึ่งนั่นได้จุดประกายความหลงใหลในคอมพิวเตอร์ เขาค้นพบว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ มากมาย ด้วยรหัสเพียงไม่กี่บรรทัด! จึงได้ตัดสินเข้าเรียนปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจาก Manipal Institute of Technology (MIT) ในอินเดีย และเรียนต่อปริญญาโท สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ University of Wisconsin-Milwaukee ที่สหรัฐอเมริกา
เส้นทางสายอาชีพเทคโนโลยีของ Satya Nadella
หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ปี 1990 Satya Nadella เข้าสู่สายงานเทคโนโลยีครั้งแรก กับ Sun Microsystems บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ใน Silicon Valley
ก่อนที่ในปี 1992 จะย้ายเข้ามาทำงานกับ Microsoft โดยรับตำแหน่งนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในยุคการบริหารของ Bill Gates (บิล เกตส์)
ปี 2007 เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานอาวุโสของ Microsoft Online Services ที่ดูแลการพัฒนาและการให้บริการออนไลน์ เช่น Bing, Microsoft Office Online, Xbox Live เป็นต้น
ปี 2011 ดำรงตำแหน่งประธานแผนก Server and Tools ดูแลธุรกิจศูนย์ข้อมูลซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ทำเงินให้กับ Microsoft ในเวลานั้นทั้ง Windows Server, ระบบฐานข้อมูล SQL Server รวมถึง Cloud Platform อย่าง Microsoft Azure ที่เพิ่งเปิดตัว
จุดสูงสุดในชีวิตการทำงานกับ Microsoft ของ Satya Nadella มาถึงเมื่อปี 2014 ด้วยการขึ้นมานั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนที่ 3 ต่อจาก Bill Gates และ Steve Ballmer ซึ่งมีภารกิจสำคัญคือการพาบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังตกขบวน พลิกกลับมาเป็นผู้ชนะอีกครั้ง
Source: geekwire as of 08/10/2014
ซีอีโอผู้รีเฟรช Microsoft ให้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเคย
Bill Gates พูดว่าในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของ Microsoft คงไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำบริษัทมากไปกว่า Satya แล้ว เขามีทักษะด้านวิศวกรรมเต็มร้อย มีมุมมองด้านธุรกิจ สามารถรวมใจพนักงานได้ และที่สำคัญคือการมีวิสัยทัศน์ต่อเทคโนโลยีในโลกอนาคต
Steve Ballmer เองก็ยืนยันจากการร่วมงานกับ Satya มานานกว่า 20 ปี และคิดว่าเขานั้นเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของบริษัทแล้วในห้วงเวลานี้
คำถามคือเขาทำได้อย่างไร? เพราะหากย้อนมองในช่วงกลางทศวรรษ 2000 ภาพจำของ Microsoft คือเสือหลับในยุคสมาร์ทโฟน โดยเจอความท้าทายทางธุรกิจรอบด้าน อาทิ
ธุรกิจเสิร์ชเอนจิน Bing ที่แพ้ให้กับ Google ราบคาบ
ธุรกิจสมาร์ทโฟนที่บริษัทไปซื้อกิจการ Nokia มาใส่ระบบปฏิบัติการ Windows ก็ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคู่แข่งอย่าง Apple ที่มี iPhone และ iOS รวมถึง Google ที่มี Android
พูดตามตรงเป็นยุคที่ Microsoft มือตกจริง ๆ แม้แต่ระบบปฏิบัติการ Windows 8 ก็ไม่สามารถชนะใจผู้ใช้งานได้เหมือนเดิม
ทว่าสิ่งแรก ๆ ที่ Satya Nadella เข้ามาจัดการ ก็คือการเปลี่ยน Vision ของ Microsoft จาก “a computer on every desk and in every home.” มาเป็น “empower every person and every organization on the planet to achieve more.”
พร้อมกันนี้ก็ได้ขายธุรกิจมือถือของ Nokia ออกไป และเข้าซื้อกิจการที่มีอนาคตอย่าง LinkedIn, GitHub, Activision Blizzard และล่าสุดกับการลงทุนใน ChatGPT ของ Open AI
ความต้องการด้าน Semiconductor และ AI ยังคงเพิ่มสู้ต่อเนื่อง ใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานสะสมเพิ่ม 5%
Global semiconductor industry sales for February 2024 jumped 16.3% year-over-year to $46.2 billion, according to data from The Semiconductor Industry Association