โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) TISCOAI
กองทุนหุ้นโลกเทคโนโลยี AI & Big Data (ความเสี่ยงระดับ 6) ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรด้าน AI และ Big Data ในตลาด Nasdaq โดยแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากคาดว่าหุ้นโลกสไตล์เติบโตจะกลับมา Outperform
กองทุนหุ้น Asia ex Japan (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” พร้อมรับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคที่ฟื้นตัว และมีอัพไซด์จากดอลลาร์ใกล้อ่อนค่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียชัดเจนมากขึ้น
กองทุนหุ้นโลกเทคโนโลยี AI & Big Data (ความเสี่ยงระดับ 6) ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรด้าน AI และ Big Data ในตลาด Nasdaq โดยแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากคาดว่าหุ้นโลกสไตล์เติบโตจะกลับมา Outperform
กองทุนหุ้น Asia ex Japan (ความเสี่ยงระดับ 6) แนะนำ “ทยอยสะสม” พร้อมรับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคที่ฟื้นตัว และมีอัพไซด์จากดอลลาร์ใกล้อ่อนค่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียชัดเจนมากขึ้น
รายได้ที่เกิดขึ้นส่วนใญ่จะไปตกอยู่กับกลุ่มผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ AI Server, AI storage, AI infrastructure as a service และอีกกลุ่มที่น่าจะกินส่วนแบ่งก้อนใหญ่ก็คือผู้ให้บริการ Software ต่าง ๆ ในปัจจุบัน
ซึ่งท้ายสุดแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จริง ๆ ล้วนแต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มี Data Center และมีพลังเงินในการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น Microsoft (MSFT), Alphabet (GOOGL), Amazon (AMZN) เป็นต้น
สำหรับใครที่ตามหากองทุนที่มีเน้นการลงทุนแบบโฟกัสในหุ้น AI อย่างแท้จริง และมีกลยุทธ์คัดเลือกหุ้น AI โดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากหุ้นเทคโนโลยีทั่วไป ปัจจุบันมีให้เลือก ได้แก่
นโยบายการลงทุน: ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Xtrackers AI and Big Data โดยจะคัดเลือกบริษัทที่มีสิทธิบัตรด้าน AI และ Big Data ทั้งหมด 88 บริษัทที่อยู่ในดัชนี Nasdaq Global Artificial Intelligence and Big Data (NYGBIG) ซึ่งมีเงื่อนไขคือต้องมี Market Cap. มากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เน้นหาหุ้นที่สร้างนวัตกรรมใหม่จากข้อมูลสิทธิบัตรใน 7 ธีม ได้แก่ Deep Learning, Image Recognition, Natural Language Processing (NLP) & Chatbots, Big Data, Cloud Computing, Speech Recognition & Chatbots และ Cybersecurity
ตัวอย่างหุ้น Top 10 Holding (คิดเป็นสัดส่วน 47.08%% ของทั้งหมด)
Nvidia 7.66%
Meta Platforms 5.42%
Amazon 5.12%
Alphabet 4.96%
Microsoft 4.53%
Salesforce 4.26%
Bank of America 3.92%
Apple 3.89%
Samsung Electronics 3.85%
SAP SE 3.48%
รีวิวกองทุน MEGA10AI
นโยบายการลงทุน: ลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั้งที่เป็นบริษัทผู้ผลิต และผู้พัฒนาสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ 4 ธีมหลัก ได้แก่ Generative AI, AI Software, AI Service และ AI Data & Infrastructure โดยจะคัดเลือกเพียง 10 หุ้นที่มี Market Cap. สูงสุด และมีสภาพคล่องสูงเท่านั้น
จุดเด่น: ใช้หลักการเลือกหุ้นแบบ Rule Based Investing Approach ที่ชัดเจน คือดูในเรื่องความเกี่ยวข้องกับ AI อย่างมีนัยสำคัญ งบ R&D ที่บริษัทใช้พัฒนา และโฟกัสเฉพาะหุ้น Large-cap ในพอร์ตเพียง 10 ตัวเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมี Class ของกองทุนให้เลือกหลากหลาย ทั้งชนิดสะสมมูลค่า MEGA10AI-A และรูปแบบกองทุนลดหย่อนภาษี MEGA10AI-SSFMEGA10AIRMF
ตัวอย่างหุ้น Top 10 Holding (กระจายลงทุนแบบ Equal Weight)
Microsoft
Nvidia
Alphabet
Meta
TSMC
Apple
Amazon
Oracle
Broadcom
Salesforce
เปรียบเทียบ TISCOAI vs MEGA10AI เลือกกองทุนไหนดี?
สรุปแล้วจะเห็นว่าทั้ง 2 กองทุนมีธีมหลักที่เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI เหมือน ๆ กัน แต่จุดแตกต่างคือการลงทุนใน MEGA10AI-A นั้นกระจุกอยู่ที่หุ้น Big Tech เพียง 10 บริษัทในสหรัฐฯ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้ชนะในการพัฒนาเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง โตแล้วล้มยาก และมีโอกาสทิ้งห่างคู่แข่งไปเรื่อย ๆ
พอร์ต All Balance สร้างด้วย Black Litterman Model ที่พิจารณาทั้งผลตอบแทน ความผันผวน และความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ ซึ่งเป็นการพิจารณาข้อมูลแบบ Historical นอกจากนี้ Model ดังกล่าวยังใช้ข้อมูลมุมมองการลงทุนของ Finnomena Funds เพื่อตัดสินใจเลือกสินทรัพย์
การใช้ Black Litterman Model จึงเหมาะสมกับนักลงทุนในปัจจุบันเนื่องจากเป็นการผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีผ่าน Historical Data และประสบการณ์ผ่านมุมมองการลงทุนของ Finnomena Funds
Past Performance ของพอร์ต All Balance
ผลตอบแทนย้อนหลังของ All Balance Portfolio ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2024
ลดระดับ Bank RRR ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการลดเพิ่มอีกในเดือนหน้า
ส่งผลให้ภาคอสังหาฯ ที่กดดัน GDP จีนมาตั้งแต่ปี 2022 กว่า 4 แสนล้านหยวน เริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว และเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการบริโภคในประเทศ
แก้พอร์ตหุ้นจีนอย่างไร เมื่อทั้ง A-Shares และ Hang Seng เกิด Golden Cross
Source: TradingView as of 21/05/2024
ตลาดหุ้นจีน Hang Seng Index มีสัญญาณ Golden Cross ที่ Time frame day หลังจากทำจุดต่ำสุดเมื่อปลายปี 2022 โดยลงไปกว่า 53% ก่อนจะฟื้นจากจุดต่ำสุด และปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 35% ในช่วงปีนี้
FundTalk เชื่อว่าจากแรงกดดันภาคอสังหาฯ เริ่มผ่อนคลายแล้ว จากทิศทางเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว และจากจุดนี้มองว่าหุ้นจีน A-Share จะวิ่งเร็วกว่า Hang Seng จากการกระตุ้นภาคอสังหาฯ และ Real Economy ที่กำลังเกิดขึ้น
ด้วยความใหญ่ของ Apollo ทำให้มีบริษัทเข้ามาขอกู้จำนวนมาก ทำให้ Apollo สามารถคัดบริษัทชั้นนำและมีคุณภาพได้ (อัตราการคัดเลือก 5 ใน 100) สะท้อนผ่านอัตราการผิดนัดชำระหนี้แค่ 0.1% ต่อปี ในช่วงกว่า 15 ปี
นอกจากนี้ Apollo ยังลงทุนในหลาย Sector โดยบริษัทที่ปล่อยกู้ให้สูงสุดคิดเป็นเพียง 2.9% ของพอร์ตโดยรวม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การลงทุนของ Apollo มีความเสถียร